ไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิ
เรื่องไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิ
รายชื่อส
มาชิก
นางสาวสู่ขวัญ พระตลับ เลขที่ ๑
นางสาวธัญพิชชา คชสิทธิ์ เลขที่ ๒
นายกษิดิศ กรสังข์ เลขที่ ๕
นายพรหมพิริยะ สถาพรพานิช เลขที่ ๑๐
นางสาวรัฐกานต์ ธรรมสรางกูร เลขที่ ๑๙
นางสาววิชญาดา ท้าวแก้ว เลขที่ ๒๑
นางสาวสุธัญญา ศรีสัจจัง เลขที่ ๒๒
นายชิษณุพงศ์ เจตน์อัศวภิรมย์ เลขที่ ๒๓
นางสาวสาริสา วิชัยดิษฐ์ เลขที่ ๓๑
ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๖/๖
นำเสนอ
ครูภัทรวรรธน์ ปิจจวงค์
ความเป็นมา
ไตรภูมิพระร่วง หรือเรียกว่า ไตรภูมิกถา
หรือ เตภูมิกถา นี้ไม่มีต้นฉบับเดิมเป็นหลักฐาน
ที่มีอยู่เป็นฉบับคัดลอกซึ่งมีปรากฏในบาน
แผนกว่า พระมหาช่วยวัดกลาง (ปากน้ำ
จังหวัดสมุทรปราการ) เป็นผู้จารแต่เขียนเป็น
อักษรขอม สมัยนั้นถือว่าเป็นอักขระที่ขลัง
ศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนังสือทางศาสนา
ต้นฉบับไตรภูมิพระร่วงที่ถอดเป็นตัวอักษร
ไทย พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกปีพ.ศ. ๒๔๕๔
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง
ราชานุภาพ ประทานคำอธิบายโดยสรุปไว้ว่า
“หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่ามาก มีศัพท์เก่าๆ
ที่ไม่เข้าใจและเป็นคำศัพท์อันเคยพบในศิลา
จารึกครั้งสุโขทัยหลายศัพท์ น่าเชื่อว่าฉบับเดิม
จะได้แต่งครั้งสุโขทัยจริง แม้มีการคัดลอกต่อ
เติมเมื่อครั้งกรุงเก่าบ้าง ถึงกระนั้นโวหารใน
หนังสือเรื่องนี้ยังเห็นได้ว่าเก่าแก่กว่าหนังสือ
เรื่องใดๆ ในภาษาไทย นอกจากศิลาจารึกที่ได้
เคยพบมา.. ”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ จึงทรงเปลี่ยนชื่อหนังสือเล่ม
นี้เป็น ไตรภูมิพระร่วง เพื่อเฉลิมพระเกียรติ
พระร่วงจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือ
สุภาษิตพระร่วง
ประวัติผู้แต่ง
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท)
เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ราชวงศ์
พระร่วง เป็นพระโอรสในพระยาเลอไทย เป็น
พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปกครองประชาชนตามหลัก
ธรรมราชา และทรงยึดมั่นคำสอนของพุทธ
ศาสนา
งานพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท ได้แก่
ไตรภูมิพระร่วงหรือเตภูมิกถาศิลาจารึกวัด
ป่ามะม่วงและศิลาจากรึกวัดศรีชุม เป็นหลัก
ฐานทางประวัติศาสตร์ กล่าวถึงเหตุการณ์
และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆการสร้าง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ การผนวชที่วัดป่า
มะม่วง เป็นต้น
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
๑. เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา เป็นการ
เจริญธรรมกตัญญู
๒. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรม
เข้าใจพุทธศาสนาและช่วยกันธำรง
พระพุทธศาสนา
ลักษณะคำประพันธ์
ร้อยแก้ว ที่มีสัมผัสคล้องจอง ประเภทความเรียง โดยใช้โวหารทั้ง
เทศนาโวหาร พรรณนาโวหารและบรรยายโวหาร โดยเฉพาะการพรรณนา
นั้นใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง โน้มน้าวให้คล้อยตาม แม้มีการใช้ภาษาที่
ค่อนข้างจะเข้าใจยาก
ความโดดเด่นในโวหารด้านต่างๆ
พรรณนาโวหาร นั้นจะใช้ถ้อนคำที่แจ่มแจ้งจนสามารถโน้มน้าวใจผู้อ่าน
ให้คล้อยตามแม้จะมีการใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะยาก
อุปมาโวหาร การยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพตาม
และได้รับอรรถรสตามที่ผู้แต่งต้องการ
เทศนาโวหาร การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็น ประโยชน์
หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง เป็นการชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม เห็นด้วย
สรุปไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิ
มนุสสภูมิ เป็นภูมิหนึ่งในกามภูมิ ซึ่ง
กล่าวถึงเนื้อหาของการกำเนิดมนุษย์เอา
ไว้ โดยกล่าวถึงมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงที่
ปฏิสนธิในท้องของแม่ จะเริ่มต้นโดยการ
เป็น “กลละ” หรือเซลล์ที่มีขนาดเล็ก
ที่สุด พอครบ ๗ วัน จะมีลักษณะเหมือน
น้ำล้างเนื้อ เรียกว่า “อัมพุทะ” อีก ๗ วัน
ถัดมาจะเป็นชิ้นเนื้อในครรภ์มารดา หรือ
เรียกว่า “เปสิ” ซึ่งมีลักษณะข้นเหมือน
ตะกั่วเชื่อมในหม้อ และอีก ๗ วันต่อมา
จะแข็งเป็นก้อนเหมือนไข่ไก่ ซึ่งเรียกว่า
“ฆนะ” จากนั้นจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นทุกวัน
โดยคำว่าเบญจแปลว่า ๕ ดังนั้น จึงหมายถึง
หูดที่มี ๕ ตุ่ม ได้แก่ หัว ๑ ตุ่ม แขน ๒ ตุ่ม และ
ขา ๒ ตุ่ม ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน จะเริ่มมี
ฝ่ามือ นิ้วมือ และเมื่อครบ ๔๒ วันจึงมีขน มี
เล็บเท้า เล็บมือ มีอวัยวะครบถ้วนทุกประการ
แบบมนุษย์ นอกจากนั้นในไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิยังบอกอีกว่า เด็กที่เกิดในท้อง
แม้นั้นมีรูปร่าง ๑๘๔ ประการ แบ่งออกเป็น
• ส่วนบน ตั้งแต่คอถึงศีรษะ มี ๘๔ รูป
• ส่วนกลาง ตั้งแต่คอถึงสะดือ มี ๕๐ รูป
• ส่วนล่าง ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า มี ๕๐ รูป
สำหรับอาหารที่เด็กกินนั้น ก็จะกินผ่านสาย
สะดือที่ส่งจากผู้เป็นแม่อีกทอหนึ่งโดยอาหารที่
แม่กินเข้าไปก่อนจะอยู่ใต้ตัวเด็ก ส่วนอาหารที่
แม่กินเข้าไปใหม่จะทับอยู่บนศีรษะเด็ก ทำให้
เด็กได้รับความทุกข์ทรมาน
ตอนที่อยู่ในท้องแม่ เด็กจะนั่งอยู่กลางท้อง ในท่า
คู้คอจับเจ่า และกำมือแน่น ซึ่งในขณะที่นั่งอยู่นั้น
เลือดและน้ำเหลืองจะหยดลงเต็มตัวเด็กตลอด
ไม่ได้หายใจ รวมถึงไม่ได้เหยียดมือและเท้าเลย
ต้องเจ็บปวดเหมือนถูกขังไว้ในไห หรือที่คับแคบ
เวลาแม่เดิน นอน หรือลุกขึ้นเด็กก็จะเจ็บ
ปวดประหนึ่งว่าจะตาย เปรียบได้กับลูก
เนื้อทรายที่อยู่ในมือของคนเมาเหล้า หรือ
ลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น
เด็กจะอยู่ในท้องแม่ประมาณ ๘-๙ เดือน
หากเด็กคลอดออกมาก่อน มักจะออกมา
ไม่แข็งแรงหรือมักจะไม่รอด
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวไว้ว่า
“เด็กที่มีที่มาต่างกัน เมื่ออยู่ในท้องแม่จะมีลักษณะที่ต่างกัน
รวมถึงตอนคลอดออกมาย่อมมีลักษณะต่างกันด้วย”
เด็กที่มาจากนรก
เมื่ออยู่ในท้องแม่ ก็จะเดือดเนื้อร้อนใจ
กระสับกระส่าย ทำให้แม่ร้อนเนื้อร้อนตัวไปด้วย
เด็กที่มาจากสวรรค์
เมื่ออยู่ในท้องแม่ ก็จะมีแต่ความสุขกายสบายใจ
ตัวแม่ก็จะเย็นไปด้วย
ต่อมาเมื่อถึงเวลาจะคลอด ก็จะเกิดลมกรรมชวาตพัดดัน
ตัวเด็กให้ขึ้นไปด้านบน และหันหัวเด็กลงมาด้านล่าง เตรียมที่
จะคลอด หลังจากออกจากท้องแม่แล้ว
• เด็กที่มาจากนรก มักจะคิดถึงความยากลำบากที่เคย
เจอมา พอคลอดออกมาก็จะร้องไห้
• เด็กที่มาจากสวรรค์ จะคิดถึงความสุขในครั้งก่อน
พอคลอดออกมาก็จะหัวเราะ
นอกจากนั้นไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิ
ยังกล่าวถึงเด็ก ๒ กลุ่ม
ได้แก่
• เด็กทั่วไป จะไม่รู้สึกตัวทั้งตอนมาเกิดในท้องแม่
ตอนที่อยู่ในท้องแม่และตอนออกจากท้องแม่
• เด็กที่เป็นพระปัจเจกโพธ
ิเจ้า พระอรหันตาขีณาสพ
และและพระอัครสาวก จ
ะรู้สึกตัวตอนมาเกิดใน
ท้องแม่และตอนอยู่ในท้องแม่ แต่เมื่ออกจาก
ท้องแม่แล้ว ก็จะลืมทุกอย่างเหมือนเด็กทั่วไป
การเกิดของมนุษย์ตามลำดับไตรภูมิ
ปฏิสนธิ = กัลละ มีขนาดเศษ ๑ ส่วน ๒๕๖ ของเส้นผม
๗ วัน = อัมพุทะ (น้ำล้างเนื้อ)
๑๔ วัน = เปสิ (ชิ้นเนื้อ)
๒๑ วัน = ฆนะ (ก้อนเนื้อขนาดเท่าไข่ไก่)
๒๘ วัน = เบญจสาขาหูด (มีหัว แขนและขา ๒ ข้าง)
๓๕ วัน = มีฝ่ามือ นิ้วมือ และลายนิ้วมือ
๔๒ วัน = มีขน เล็บมือและเล็บเท้า (เป็นมนุษย์ครบ
สมบูรณ์)
๕๐ วัน = ท่อนล่างสมบูรณ์
๘๔ วัน = ท่อนบนสมบูรณ์
๑๘๔ วัน = เป็นเด็กสมบูรณ์ นั่งกลางท้องแม่