The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้าธานทิพย์โทรศัพท์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มัด 'ด, 2023-03-03 05:15:38

ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้าธานทิพย์โทรศัพท์

ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้าธานทิพย์โทรศัพท์

ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์ E-commerce for Tarnthip Phone นางสาวธานทิพย์ นิลเพ็ชร นายรัชชานนท์ เจริญโห้ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565


ข บทคัดย่อ หัวข้อโครงการ ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์ E-Commerce for Tarnthip Phone ผู้จัดท าโครงการ 1.นางสาวธารทิพย์ นิลเพ็ชร รหัสนักศึกษา 40412 2.นายรัชชานนท์ เจริญโห้ รหัสนักศึกษา 40434 อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์นราภรณ์ เจริญชัย อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ฐิติรัตน์ นัยพัฒน์ สาขาวิชา เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล สถาบัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ คณะผู้จัดท าได้คิดท าโครงการนี้เพื่อสร้างระบบขายของออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์ โทรศัพท์วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อให้เข้าใช้งานระบบได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มข้อมูล หรือจะ แก้ไขข้อมูลก็ท าได้ง่ายและสามารถซื้อของผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น โครงการระบบขายของออนไลน์ ประเภท ธารทิพย์โทรศัพท์ เป็นการประยุกต์สื่อ อินเทอร์เน็ตมาใช้ในการ ด าเนินธุรกิจ ที่นิยมกันมาก ในปัจจุบันการท าธุรกิจในยุคดิจิทัลให้ประสบ ความส าเร็จ คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งด้านเทรนด์การบริโภค เครื่องมือในการท า การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น การผสมผสานกลยุทธ์การขาย และการตลาดดิจิทัลที่ เหมาะสมกับแบรนด์ รวมทั้งการเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด เพื่อลับคมแผนธุรกิจ หากแบรนด์มีเพียง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ แต่ขาดวิธีการในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในโลกออนไลน์ ก็อาจท าให้ธุรกิจ ECommerce พลาดโอกาสในการก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจท าให้คู่แข่งแซงหน้า ไปได้ง่าย ๆ ประโยชน์ของระบบขายของออนไลน์ ประเภท ธารทิพย์โทรศัพท์ หมูโครงการนี้เป็น ประโยชน์ให้กับ ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจซื้อของผ่านทางช่องทางออนไลน์ที่ต้องการความปลอดภัยดั้งนั้น เราจึงสร้างระบบนี้ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจซื้อของผ่านทางช่องทางออนไลน์สามารถเข้ามาใช้ เว็บไซต์ของเราได้อย่างสะดวกสบาย


ค กิตติกรรมประกาศ โครงการการระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภท สินค้าธารทิพย์โทรศัพท์Tarnthip Phone ฉบับนี้นั้นได้จัดท าขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความพยายามเป็นอย่างมากโดยได้รับความร่วมมือเป็น อย่างดีจากทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับ โครงการฉบับนี้ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ทุกท่านรวมถึงเพื่อน ๆ และผู้ที่มีส่วน ร่วมในโครงการฉบับนี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์นราภรณ์เจริญชัย ที่ปรึกษาโครงการ และ อาจารย์ฐิติรัตน์ นัยพัฒน์ ที่ปรึกษาร่วมโครงการที่ได้ให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือรวมทั้งค าปรึกษาและค าแนะน า ตลอด การท าโครงการ รวมทั้งท่านอาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัลทุกท่านที่คอย ตักเตือนส่วนที่ ผิดพลาดของโครงการนี้ขอขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการที่ได้เอื้อเฟื้อต าราจาก ห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการพร้อมทั้งขอบพระคุณท่านคณะกรรมการในการ สอบโครงการที่ให้ค า ติชมในการสอบวิชาโครงการเพื่อที่คณะผู้จัดท าได้น าไปปรับปรุง แก้ไขในส่วนที่บกพร่องให้ดีขึ้นเพื่อที่ โครงการในครั้งนี้จะได้ออกมาสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณพ่อแม่ บุคคลภายในครอบครัวทุกท่านที่คอยให้ก าลังใจและให้โอกาสใน การศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ รวมทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยให้ค าปรึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขและอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกันจนท าให้การด าเนินการวิชาโครงการนี้ได้ลุล่วงและผ่าน ไปด้วยดี ธารทิพย์ นิลเพ็ชร รัชชานนท์ เจริญโห้


ง ค ำน ำ การจัดท าโครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน 1 (30204-8502) และ โครงงาน 2 (30204-8503) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล โดยคณะ ผู้จัดท าได้จัดท าโครงงานเร่่อง ระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์โดยมีการ สร้างเว็บไซต์เพ่่อน าเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการซ่้อ-ขายสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ โครงงานที่ทางคณะผู้จัดท าได้จัดท านั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพัฒนา การซ่้อสินค้าที่สะดวกสบายและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เป้าหมายได้อย่างชัดเจน การซ่้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ถ่อเป็นเร่่องปกติในยุตดิจิทัล โดยในการท างาน ของเว็บไซต์ซ่้อสินค้า ของ ระบบขายสินค้าออนไลน์ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์จะมีส่วนใหญ่ๆ ค่อ ในส่วยของผู้ดูแลระบบหร่อแอดมิน และผู้ใช้งานทั่วไป เว็บไซต์จะถูกเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น และ สะดวกต่อผู้ใช้มายิ่งขึ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ท าให้สมารถเข้าถึงการซ่้อสินค้าเพ่่อความสะดวกสบายมาก ขึ้น สามารถซ่้อสินได้โดยผ่านเว็บไซต์ ในการจัดท าโครงการนี้เกี่ยวกับระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์เหมาะส าหรับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการสินค้ารองเท้าผ้าใบ ที่ ต้องการจะซ่้อสินค้าได้อย่างสะดวก เพียงแค่ซ่้อผ่านทางเว็บไซต์ผู้ที่สนใจระบบที่มีความถูกต้อง แม่นย าในการช าระเงินมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานรวมถึงสามารถลดการใช้ ทรัพยากรกระดาษจากการสั่งซ่้อสินค้าหน้าร้านได้อีกด้วย ทั้งนี้คณะผู้จัดท า จึงจัดท าเว็บไซต์นี้เพ่่อให้ ความสะดวกสบายแก่ผู้ที่สนระบบซ่้อขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์ หากโครงการนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดท า ขออภัยไว้ณ ที่นี้และจะ ด าเนินการพัฒนาผลงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้พัฒนาให้ดีขึ้นไป คณะผู้จัดท า 28 กุมภาพันธ์2566


จ สารบัญ หน้า หน้าอนุมัติ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค ค าน า ง สารบัญ จ สารบัญรูป ช สารบัญตาราง ญ บทที่ 1 บทน า 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา 1 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 2 1.3 ขอบเขตการศึกษา 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 1.5 แผนการด าเนินงาน 3 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 4 1.7 งบประมาณการด าเนินงาน 5 บทที่ 2 ระบบงานและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน 6 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 8 2.3 การวิเคราะห์และความต้องการของระบบใหม่ 8 2.4 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 9 2.5 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง 40 บทที่ 3 การออกแบบระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบระบบงาน (Flowchart) 41 3.2 การออกแบบแผนภาพบริบท (Context Diagram) 45 3.3 แผนภาพการไหลของข้อมูล (Dara Flow Diagram) 46 3.4 การออกแบบแผนภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล 53 3.5 พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) 54 3.6 การออกแบบ Sitemap 56


ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า 3.7 การออกแบบแผนภาพแนวความคิด (Story Board Design) 57 3.8 การออกแบบสิ่งน าเข้า (Input Design) 59 3.9 การออกแบบสิ่งน าออก (Output Design) 59 บทที่ 4 การพัฒนาระบบการขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธานทิพย์โทรศัพท์ 4.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 60 4.2 โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา 60 4.3 การติดตั้งโปรแกรมและระบบ 61 4.4 วิธีการน าไปใช้งาน 67 บทที่ 5 สรุปผลการท าโครงงาน 5.1 สรุปผลโครงงาน 72 5.2 ปัญหาและอุปสรรคในการด าเนินงาน 73 5.3 สรุปเวลาการท างานจริง (Gantt Chart) 75 5.4 สรุปค่าใช้จ่ายในการด าเนินการจริง 77 บรรณานุกรม 78 ภาคผนวก 79 - ใบขอเสนออนุมัติโครงการระบบคอมพิวเตอร์ (ATC.01) 80 - ใบขอเสนออาจารย์ที่ปรึกษาร่วมโครงการ (ATC.02) 81 - ใบขอสอบโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.03) 83 - ใบรายงานความคืบหน้าโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.04) 85 - ใบบันทึกการเข้าพบที่ปรึกษาโครงการ (ATC.05) 87 - ใบขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมจัดท า เอกสารบทที่ 4-5 (ATC.06) 91 - ใบรับรองการน าไปใช้ประโยชน์ได้จริง (ATC.07) 92 ประวัติผู้จัดท าโครงงาน 96


ช สารบัญรูป หน้า รูปที่ 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน (Flowchart) 6 รูปที่ 2.2 สัญลักษณ์ในการออกแบบผังงาน 22 รูปที่ 2. 3 ตัวอย่างในการออกแบบผังงาน 23 รูปที่ 2.4 ตัวอย่างในการออกแบบเว็บไซต์ของ iPhone 24 รูปที่ 2.5 ตัวอย่างโครงสร้างแบบเรียงล าดับ 26 รูปที่ 2.6 ตัวอย่างโครงสร้างแบบเรียงล าดับชั้น 2 6 รูปที่ 2. 7 ตัวอย่างโครงสร้างแบบตาราง 27 รูปที่ 2. 8 ตัวอย่างโครงสร้างแบบใยแมงมุม 2 7 รูปที่ 3.1 การออกแบบระบบงาน (Flowchart) 41 รูปที่ 3.2 Flowchart การสมัครสมาชิก 42 รูปที่ 3.3 Flowchartการเข้าสู่ระบบ 43 รูปที่ 3.4 Flowchartการสั่งซื้อสินค้า 44 รูปที่ 3.5 การออกแบบแผนภาพบริบท (Context Diagram) 45 รูปที่ 3.6 Dataflow Diagram Level 0 46 รูปที่ 3.7 Dataflow Diagram Level 1 Process 1 4 7 รูปที่ 3.8 Dataflow Diagram Level 1 Process 2 4 8 รูปที่ 3.9 Dataflow Diagram Level 1 Process 3 4 9 รูปที่ 3.10 Dataflow Diagram Level 1 Process 4 50 รูปที่ 3.11 Dataflow Diagram Level 1 Process 5 51 รูปที่ 3.12 Dataflow Diagram Level 1 Process 6 52 รูปที่ 3.13 E -R Diagram 53 รูปที่ 3. 1 4 การออกแบบ Sitemap 56 รูปที่ 3.1 5 หน้าแรก 5 7 รูปที่ 3. 1 6 หน้าเข้าสู่ระบบ 57 รูปที่ 3. 1 7 หน้าสินค้า 5 8 รูปที่ 3. 1 8 หน้าวิธีการสั่งซื้อสินค้า 5 8 รูปที่ 3.19 หน้าเกี่ยวกับเรา 5 9


ซ สารบัญรูป (ต่อ) หน้า รูปที่ 4.1 เข้าเว็บไซต์ดาวน์โหลด Xampp 61 รูปที่ 4.2 ไฟล์ดาวน์โหลดตัว Xampp 61 รูปที่ 4.3 หน้าต่างการติดตั้ง Xampp 62 รูปที่ 4.4 หน้าต่างเลือกการท างานของ Xampp 62 รูปที่4.5 หน้าต่างเลือกที่อยู่การติดตั้ง 63 รูปที่ 4.6 หน้าต่างการเลือกภาษาการใช้งาน 63 รูปที่4.7 หน้าต่างบอกการพร้อมติดตั้ง 64 รูปที่4.8 หน้าต่างรอการดาวน์โหลดตัวโปรแกรม Xampp 64 รูปที่ 4.9 หน้าต่างการดาวน์โหลดเสร็จสิ้น 65 รูปที่ 4.10 หน้าต่างการควบคุมของโปรแกรม Xampp 65 รูปที่ 4.11 หน้าต่างการเปิดใช้งานโปรแกรม Xampp 66 รูปที่ 4.12 แสดงการเข้าโปรแกรม Xampp 66 รูปที่ 4.13 หน้าต่างของส่วน phpMyAdmin 67 รูปที่ 4.14 เข้าเว็บไซต์ https://tarnthipphone.000webhostapp.com/ 67 รูปที่ 4.15 แสดงหน้าเข้าสู่ระบบของสมาชิก 68 รูปที่ 4.16 แสดงหน้าสมัครสมาชิก 68 รูปที่ 4.17 แสดงหน้าหลัก 69 รูปที่ 4.18 แสดงหน้าสินค้า 69 รูปที่ 4.19 แสดงหน้ารายละเอียดสินค้า 70 รูปที่ 4.20 แสดงหน้าตะกร้าสินค้า 70 รูปที่ 4.21 แสดงหน้ายืนยันการสั่งซื้อ 71 รูปที่ 4.22 แสดงหน้าเข้าสู่ระบบของผู้ดูและระบบ 71 รูปที่ 4.23 แสดงหน้าจัดการสมาชิก 72 รูปที่ 4.24 แสดงหน้าจัดการประเภทสินค้า 72


ญ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 แผนการด าเนินงาน (Gantt Chart) 3 ตารางที่ 1.2 แผนการด าเนินงาน (ต่อ) 4 ตารางที่ 3.1 ตารางข้อมูลสมาชิก (tbl_Member) 54 ตารางที่ 3.2 ตารางข้อมูลสินค้า (tbl_product) 54 ตารางที่ 3.3 ตารางข้อมูลใบเสร็จ (CP_receipt) ตารางที่ 3.4 ตารางข้อมูลใบสั่งซื้อ (order_detail) 55 55 ตารางที่ 3.5 ตารางข้อมูลสินค้า (purchase_order) 56 ตารางที่ 5.3 สรุปเวลาด าเนินงานจริง (Gantt Chart) 75 ตารางที่ 5.3 สรุปเวลาด าเนินงานจริง 76 ตารางที่ 5.4 สรุปเวลาด าเนินงานจริง (ต่อ) 77 ตารางที่ 5.3 สรุปค่าใช้จ่ายในการด าเนินงานจริง 78


1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ภูมิหลังและควำมเป็นมำ E-commerce คือการสร้างธุรกิจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ปัจจุบันเว็บไซต์เปรียบเหมือนสิ่งหนึ่ง ที่ไม่อาจขาดได้ไปเสียแล้วเพราะเว็บไซต์คือช่องทางส าคัญที่จะท าให้บริษัทมีโอกาสได้น าเสนอสินค้า ของตนให้ผู้คนจ านวนมากได้เห็น ซึมซับ และรับทราบถึงสินค้าหรือบริการการซื้อขายสินค้าและ บริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นการท าธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการท าธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่าน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมคือ วิทยุ โทรทัศน์และที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความเสียง ภาพ และคลิปวีดีโอในการท าธุรกิจได้ ปัจจุบันเทคโนโลยี สารสนเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทส าคัญกับคนทั่วไปมากขึ้นการขาย สินค้าแบบระบบ E-Commerce ในโลกออนไลน์จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะท าให้ ลูกค้าสามารถเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารของร้านค้าได้อย่างรวดเร็วและยังเป็นช่องทางที่จะท าให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความ สะดวกสบายในการสั่งซื้อสินค้าและยังประหยัดเวลาในการเดินทางเพื่อไปซื้อสินค้ากับทางการค้าที่จัด จ าหน่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาท องค์ประกอบทางธุรกิจ เช่น ท าเล ที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึง พนักงานขายแนะน าสินค้าพนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจ ากัดระยะทาง และเวลาลงได้ ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วและการใช้งาน อินเทอร์เน็ตมือถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจ าของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียล มีเดีย ค้นหา ข้อมูล เช็คอีเมล ดูโทรทัศน์หรือฟังเพลงออนไลน์ เป็นต้น ดังนั้น ในโครงงานนี้จึงได้มีแนวความคิดที่จะน าระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ จัดการงานเอกสาร เพื่อช่วยในการพัฒนากระบวนการทท างานจากเดิมที่จะต้องเขียนด้วยลายมือ และจัดเก็บอยู่ในรูปแบบกระดาษ ไปเป็นกท างานในการท างานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จัดเก็บเอกสาร ให้อยู่ในรูปของไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยสนับสนุนในการทท างานให้พนักงานสามารถท างานได้ อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและมีการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน


2 1.2 วัตถุประสงค์โครงกำร 1. เพื่อให้ลูกค้าสะดวกสบายในการใช้โทรศัพท์ 2. เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ 3. เพื่อให้ลูกค้ารู้จักการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น 1.3 ขอบเขตกำรศึกษำ 1. เพื่อการศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนผู้ใช้งาน 3. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ประโยชน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนักศึกษา 4. ผู้ดูแลสามารถ แก้ไขข้อมูลของสมาชิกสามารถ เพิ่ม และ ลบ ข้อมูลในระบบได้ 5. ผู้ใช้งานสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ และ แก้ไขโปรไฟล์ของตนเองได้ 1.4 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1. เพื่อนเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการที่ท ากิจการเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.ได้ช่วยในการส ารองข้อมูล ป้องกันเอกสารสูญหาย หรือ เสียหาย 3.ได้อ านวยความสะดวกและลดขั้นตอนของการท างานด้านเอกสาร 4.ได้ช่วยให้การจัดการเอกสารมีระบบระเบียบมากขึ้นในการจัดการเอกสาร 5.ได้สร้างระบบขึ้นมาช่วยในการจัดท าเอกสารต่าง ๆ แทนการเขียนด้วยลายมือ


3 1.2 แผนกำรด ำเนินงำน (Gantt Chart) ตำรำงที่ 1.1 แผนการด าเนินงาน รำยกำร ภำคเรียนที่ 1 มิถุนำยน 65 กรกฎำคม 65 สิงหำคม 65 กันยำยน 65 ระยะเวลำ 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 เสนอหัวข้อ ATC.01 5-10 มิ.ย. 65 ประกาศผลรอบที่ 1 13 มิ.ย. 65 เสนอหัวข้อ รอบที่ 2 14-16 มิ.ย 65 ประกาศผล รอบที่ 2 17 มิ.ย. 65 เสนออาจารย์ที่ปรึกษา ร่วม ATC.02 13 -30 มิถุนายน 65 ส่งเอกสารบทที่ 1 สมบูรณ์ 14- มิ.ย. 65 ถึง 8 ก.ค. 65 ส่งเอกสารบทที่ 2 สมบูรณ์ 9-31 ก.ค. 65 ส่งเอกสาร บทที่ 3 สมบูรณ์ 1-31 ส.ค. 65 สอบน าเสนอโครงงาน ATC.03 ครั้งที่ 1 5-23 ก.ย. 65 ส่งเอกสารโครงงาน ปก ,บทที่ 1-3 บรรณานุกรม ATC 01-05 26-30 ก.ย. 65 ติดตำมควำมคืบหน้ำโปรแกรม อำจำรย์ที่ปรึกษำร่วม ตุลำคม 65 รำยละเอียดในกำรเข้ำพบที่ปรึกษำร่วม 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 20 % โครงร่างชิ้นงาน ออกแบบโลโก้ชื่อแบรนด์ 3-9 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 40 % การลงเนื้อหา จัดวางรูปภาพ สีที่ใช้ 10-16 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 60 % การเชื่อมโยง การตั้งชื่อ 17-23 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 80 % ระบบเริ่มใช้งานได้ 24-31 ต.ค. 65


4 ตำรำงที่ 1.2 แผนการด าเนินงาน (ต่อ) 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนำโปรแกรม 1. โปรแกรม Adobe Dreamweaver CC 2019 ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ 2. โปรแกรม Adobe Photoshop CC 2019 ใช้ในการตัด ตกแต่งรูป 3. โปรแกรม Adobe Illustrator CC 2019 ใช้ในการสร้าง Logo รำยกำร ภำคเรียนที่ 2 พฤศจิกำยน 65 ธันวำคม 65 มกรำคม 66 กุมภำพันธ์ 66 ระยะเวลำ 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 100 % 1-7 พ.ย. 65 สอบน าเสนอโครงงาน ระดับปวส.2 - ปวช.3 ATC.03 ครั้งที่ 2 26 พ.ย. 65 ส่ง ATC.06 1-16 ธ.ค. 65 ส่ง ATC.07 1-30 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 4 สมบูรณ์ 20 ธ.ค. - 23 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 5 สมบูรณ์ 31 มกราคม 2566 บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ ค าน า 1-7 ก.พ.66 สารบัญ สารบัญรูป สารบัญตาราง 8-14 ก.พ.66 ประวัติผู้จัดท า หน้าอนุมัติ 15-19 ก.พ.66 ภาคผนวก ATC.04-05 20-27 ก.พ.66 ส่งเล่มโครงงาน 28 ก.พ.66 ส่งไฟล์เอกสำร Word PDF โปรแกรม ไฟลรวม PDF ไม่เกิน 10 มีนำคม 2566


5 1.7 งบประมำณกำรด ำเนินงำน ล ำดับ รำยกำร จ ำนวน รำคำ (บำท) 1 กระดาษ A4 2 รีม 250 2 ตลับหมึกพิมพ์ 1 ตลับ 450 3 ค่าเข้าเล่ม 1 เล่ม 300 4. ค่าเบ็คเตล็ด - 500 รวมเป็นเงิน 1,500 ตำรำงที่ 1.2 งบประมาณการด าเนินงาน


บทที่ 2 ระบบงานการขายสินค้าออนไลน์ ประเภทสินค้า ธารทิพย์โทรศัพท์และทฤษฎีที่ เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน (Flowchart) รูปที่ 2.1 Flowchart ระบบงานในปัจจุบัน Y N


7 ระบบขายสินค้าออนไลน์ประเภท E-commerce สามารถเลือกดูสินค้าของแบรนด์ต่าง ๆ ใน แต่ละรุ่นได้สามารถเลือกสี ดูรายละเอียดของตัวผลิตภัณฑ์ ก าหนดรายละเอียดของค าสั่งซื้อ โดยที่ยัง ไม่ต้องเป็นสมาชิกของระบบก็ได้ เพื่อเป็นการอ านวยความสะดวกต่อผู้ใช้งาน ให้สามารถเข้าเลือกชม ผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตัดสินใจก่อนสั่งซื้อจริง หลังจากก าหนดรายละเอียดค าสั่งซื้อแล้ว นั้น เมื่อกดสั่งซื้อ ระบบจะขึ้นแจ้งให้เข้าสู่ระบบด้วยสมาชิก หากผู้ใช้ยังไม่เป็นสมาชิก ก็สามารถสมัคร และท ารายการต่อได้ในทันที เมื่อเข้าสู่ระบบด้วยสมาชิกแล้วนั้น ก็สามารถที่จะบันทึกสินค้าเข้าสู่ ตะกร้า และท าการสั่งซื้อต่อไปได้ตลอดจนจบการท างาน อินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่มีส่วนส าคัญอย่างมากในการท าแต่ละสิ่งใ น ชีวิตประจ าวัน เนื่องจากจะช่วยให้ท าในหลาย ๆ สิ่งได้พร้อมกัน อ านวยความสะดวก รวดเร็ว ลด ความซ้ าซ้อนในการท างาน ประหยัดเวลาและมีความปลอดภัยในเวลาด้วยกัน ก่อให้เกิดเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ตลอดจนเป็นจุดเนิดของโลกธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เรียกจะแทบได้ว่า อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทส าคัญในการขับเคลื่อนโลกของธุรกิจเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น การขาย สินค้าบนโลกออนไลน์ หรือบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ท าธุรกิจก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค จึงมีร้านค้าที่ก้าวเข้าสู่โลก E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) กันมากขึ้น การศึกษาและเรียนรู้ เกี่ยวกับการท าธุรกิจออนไลน์และกลยุทธ์การตลาดในการโปรโมทสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตจึงเป็นเรื่อง ส าคัญ ที่จะท าให้สามารถขายสินค้าและเอาชนะคู่แข่งที่มีจ านวนมากได้ อีกทั้งยังต้องค านึงถึงเรื่องของ ความปลอดภัย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการท าให้ สามารถเช็คประวัติของผู้ขาย สามารถติดต่อผู้ขายได้โดยตรง โดยมีเบอร์มือถือและที่อยู่จริงตามบัตร ประชาชน มีการออกใบเสร็จ ใบซื้อขาย และใบสั่งสินค้าเป็นหลักฐานแก่ลูกค้าเพื่อความมั่นใจในการ ซื้อขาย 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 1. การที่ผู้ขายไม่มั่นใจว่าลูกค้ามีตัวตนอยู่จริงจะเป็นบุคคลเดียวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่ 2. จ าเป็นต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะใช้งานระบบได้ 3. ลูกค้ายังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของระบบ 4. การออกแบบหน้าเว็บเพจยังไม่น่าดึงดูด หรือยังใช้งานซับซ้อนเกินไป


8 2.3 การวิเคราะห์และความต้องการของระบบใหม่ 1. มีระบบการแจ้งช าระเงินก่อนสั่งซื้อสินค้าเพื่อเป็นการยืนยันในการซื้อสินค้าก่อนจัดส่ง 2. มีการเข้าสู่ระบบก่อนสั่งซื้อสินค้าเพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจของผู้ขายว่ามีลูกค้าสั่งซื้อจริงๆ 3. มีการสมัครสมาชิกเข้าสู่ระบบก่อนสั่งซื้อเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 2.4 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจ าวันของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโซเชียลมีเดียค้นหาข้อมูล เช็คอีเมล ดูโทรทัศน์หรือฟังเพลงออนไลน์ เป็นต้น ท าให้หลายธุรกิจ จึงหันมาท า E-Commerce กันมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าดังกล่าว อีกทั้งธุรกิจ E-Commerce ยังมีข้อดีและประโยชน์ในหลายด้านซึ่งสามารถ สรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. ไม่ต้องมีหน้าร้าน สามารถโชว์ตัวอย่างสินค้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์หรือโซเชียล มีเดียได้ 2. ไม่ต้องใช้พนักงานขาย สามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมระบบที่สามารถท าการซื้อขายได้ อัตโนมัติ หรือ ติดต่อทางร้านได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ท าให้เปิดขายและรองรับลูกค้าได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง 3. เพิ่มโอกาสในการขาย ร้านค้ามีโอกาสเข้าถึงทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ตได้ จึงสามารถมีลูกค้าได้ จากทั้ง ประเทศและทั่วโลก หมดปัญหาเรื่องการเดินทาง 4. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ จึงสามารถน าเงินไปลงทุนในด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้นได้ เช่น การขยาย ธุรกิจ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น 5. ท าการตลาดได้แม่นย าและสามารถวัดผลได้ สามารถใช้เว็บไซต์ขายสินค้าและโซเชียล มีเดียเก็บข้อมูลลูกค้ารวมถึงผู้เยี่ยมชม และน าไปใช้ในการท าการตลาดออนไลน์ได้ตรงเป้าหมาย อีก ทั้งยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพได้ซึ่งต่างจากการลงโฆษณาในสื่อออฟไลน์ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น เว็บไซต์ถือเป็นตัวกลางระหว่างร้านค้าและลูกค้า การจะขายสินค้าได้หรือไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งก็ มาจากเว็บไชต์ นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าทางออนไลน์เป็นจ านวนมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง E-commerce แบบธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก (B to C) ท าให้มีการแข่งชันสูง การท าเว็บไชต์ให้มี ระบบการจัดการที่ดีต่อเจ้าของธุรกิจและเป็นมิตรกับลูกค้าผู้ใช้งาน จะช่วยลดภาระต่าง ๆ ของ ผู้ประกอบการได้มากและปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่ง สามารถสรุปรายละเอียดของเว็บไชต์ E-Commerce ที่ดีได้เป็นหัวข้อดังนี้


9 1. หน้าเว็บไชต์ต้องเป็นระเบียบ นอกจากความสวยงามแล้ว เว็บไซต์จะต้องใช้งานง่าย มีการ แบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ ไม่ซับซ้อน 2. ระบบเว็บไชต์หรือระบบหลังร้านต้องจัดการและควบคุมได้ง่าย เพื่ออ านวยความสะดวก แก่ผู้ขาย 3. มีรายละเอียดของสินค้าครบถ้วนชัดเจน ทั้งรูปภาพ ข้อความอธิบาย ราคา นอกจากนี้ ยัง สามารถเพิ่มส่วนของรีวิวจากลูกค้าก็ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ 4. สถานะสินค้าต้องแสดงแบบ Real Time กล่าวคือ ถ้าสินค้าหมด หรือเหลือจ านวนน้อย ต้องขึ้นแสดงให้ลูกค้าเห็น เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ 5. มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก มีการระบุชัดเจนว่าต้องท าอย่างไรบ้าง 6. อ านวยความสะดวกในการสั่งซื้อด้วยระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ที่สามารถ จดจ าข้อมูลและจ านวนสินค้าของลูกค้าเอาไว้ 7. สามารถสรุปรายการสั่งซื้อให้ลูกค้าได้ เช่น ราคาสินค้าทั้งหมด ค่าจัดส่ง เป็นต้น 8. การช าระเงินต้องมีความปลอดภัย และควรมีช่องทางให้ลูกค้าช าระเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนผ่านธนาคาร เป็นต้น 9. มีระบบการติดตามการจัดส่ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า 10. เว็บไซต์ต้องรองรับการท า SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ค้น เจอเว็บไซต์และเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งจะท าให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น ทฤษฎีเกี่ยวกับโปรแกรม Adobe Dreamweaver อะโดบีดรีมวีฟเวอร์ (Adobe Dreamweaver) หรือชื่อเดิมคือ แมโครมีเดีย ดรีมวีฟเวอร์ (Macromedia Dreamweaver) เป็นโปรแกรมแก้ไข HTML พัฒนาโดยบริษัทแมโครมีเดีย (ปัจจุบัน ควบกิจการรวมกับบริษัท อะโดบีซิสเต็มส์) ส าหรับการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบ WYSIWYG กับ การควบคุมของส่วนแก้ไขรหัส HTML ใน การพัฒนาโปรแกรมที่มีการรวมทั้งสองแบบเข้าด้วยกันแบบ นี้ท าให้ ครีมวีฟเวอร์เป็นโปรแกรมที่แตกต่างจาก โปรแกรมอื่น ๆ ในประเภทเดียวกัน ในช่วงปลายปี ทศวรรษ 2533 จนถึงปีพ.ศ. 2544 ครีมวีฟเวอร์มีสัดส่วนตลาด โปรแกรมแก้ไข HTML อยู่มากกว่า 70% ครีมวีเวอร์มีทั้งในระบบปฏิบัติการแมคอินทอช และไมโครซอฟท์วินโดวส์ ครีมวีฟเวอร์ยัง สามารถท างานบนระบบปฏิบัติการแบบยูนิกซ์ ผ่านโปรแกรมจ าลองอย่าง WINEได้ รุ่น ล่าสุดคือ ครีม วีฟเวอร์ CS6 การเริ่มก าหนดโครงสร้างของเว็บ ก่อนด าเนินการสร้างเว็บเพจ ขั้นแรก ควรก าหนดให้ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ใน Folder เดียวกัน เพื่อง่ายต่อค้นหาและจัดเก็บตัวอย่างเช่นท าเว็บเพจ ของหน่วยงานก่อนอื่นเรา ควรสร้าง Folder ชื่อของหน่วยงานก่อนอาจเป็นภาษาอังกฤษหรือ ภาษาไทยก็ได้ แล้วใน Folder หน่วยงานค่อย สร้าง Folder ย่อยอีกทีอาจประกอบด้วยหลาย Folder ย่อย เพื่อใช้ส าหรับแยกเก็บไฟล์ต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่ เช่น ไฟล์รูปภาพ ไฟล์ HTML และ ไฟล์ Multimedia ต่าง ๆ Dreamweaver เป็นเครื่องมือในการสร้างเว็บเพจที่มี ประสิทธิภาพสูงปัจจุบัน


10 Dreamweaver ได้พัฒนาเป็น CS แล้ว เป็นโปรแกรมสร้างเว็บเพจแบบเสมือนจริง ของ ค่าย Adobe ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ ต้องการสร้างเว็บเพจไม่ต้องเขียนภาษาบน IML หรือโค้ด โปรแกรม หรือที่ศัพท์เทคนิค เรียกว่า "WYSIWYG โปรแกรม Dreamweaver มีฟังก์ชันที่ท าให้ผู้ใช้สามารถจัดวางข้อความ รูปภาพ ตาราง ฟอร์ม วิดีโอรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ภายในเว็บเพจได้อย่างสวยงามตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดย ไม่ต้องใช้ภาษา สคริปต์ที่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนก่อน Dreamweaver มีทั้งในระบบปฏิบัติการ แมค อินทอช และ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ ยังสามารถท างานบนระบบปฏิบัติการแบบยูนิกซ์ ผ่าน โปรแกรม จ าลองอย่าง WINI: ได้เวอร์ชั่นล่าสุดของ โปรแกรมตัวนี้คือ Adobe Dreamweaver CS6 ความสามารถของ Dreamweaver CS6 1. สนับสนุนการท างานแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) หมายความ ว่าอะไรก็ ตามที่เราท า บนหน้าจอ Dreamweaver ก็จะปรากฏผลแบบเดียวกันบนเว็บเพจ ซึ่งช่วยให้ การสร้างและแก้ไขเว็บ เพจนั้นท าได้ง่าย โดยไม่ต้องมีความรู้ภาษา HTML เลย 2. มีเครื่องมือในการสร้างรูปแบบหน้าจอเว็บเพจ ซึ่งช่วยอ านวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน ได้มาก 3. สนับสนุนภาษาสคริปต์ต่าง ๆ เช่น Java, ASP, PHP, CGI, VBScript 4. มีเครื่องมือที่ช่วยในการ Upload หน้าเว็บที่สร้างไปที่ Server เพื่อท าการเผยแพร่งาน 5. รองรับการใช้มัลติมีเดียต่าง ๆ เช่น เสียง กราฟฟิก และภาพเคลื่อนไหว ที่สร้างโดย โปรแกรม Flash, Shockwave, Firework เป็นต้น 6. มีความสามารถท าการติดต่อกับฐานข้อมูล เพื่อเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ ส่วนประกอบ Adobe Dreamweaver CS6 1. เมนูบาร์ (Menu bar) เป็นส่วนที่ใช้ในการสร้างและท างานกับโปรแกรม ซึ่งมีการแบ่งเป็น กลุ่มค าสั่งต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่และเก็บไว้เป็นเมนู โดยในแต่ละเมนูก็จะมีเมนูย่อย ๆ ไว้เรียกใช้งาน ตามต้องการ 2. แถบเครื่องมือ (Insert bar) เป็นส่วนของการรวบรวมเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างวัตถุหรือ องค์ประกอบ ต่าง ๆ ของหน้าเว็บเพจ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มๆ มีทั้งหมด 8 กลุ่ม คือ - Common เป็นกลุ่มเครื่องมือที่ใช้งานบ่อย ๆ ในการสร้างเว็บเพจ เช่น การแทรกตาราง การแทรก รูปภาพ เป็นต้น - Layout ใช้ส าหรับวางวัตถุที่ใช้จัดโครงสร้างของเว็บเพจ เช่น ตาราง เฟรม และ AP Element - Forms ใช้ส าหรับวางวัตถุที่ใช้สร้างแบบฟอร์มเพื่อรับข้อมูลจากผู้ใช้งานเว็บไซต์ เช่น การ สมัครสมาชิก เป็นต้น - Data ใช้ส าหรับวางค าสั่งที่ใช้จัดการกับฐานข้อมูลและน าฐานข้อมูลออกมาแสดงบนหน้า เว็บเพจ


11 - Spray ใช้ส าหรับวางวัตถุที่ใช้เทคโนโลยีของ Spray ในรูปแบบต่าง ๆ - In Context Editing ใช้ส าหรับสร้างพื้นที่เทมเพลตเพื่ออ านวยความสะดวกต่อผู้ใช้ใน การ แก้ไขเนื้อหา - Text ใช้ส าหรับจัดรูปแบบของข้อความภายในเว็บเพจ เช่น ตัวหนา ตัวเอียง หัวข้อและ แทรกสัญลักษณ์ ต่าง ๆ ได้ - Favorites ใช้ส าหรับเพิ่มเครื่องมือที่เรียกใช้งานบ่อย ๆ โดยเพิ่มจากกลุ่มเครื่องมืออื่น ๆ ได้โดยคลิก เมาส์ขวาบน Insert bar แล้วเลือก Customize Favorites (ตัวอย่างด้านล่างเป็นการดึง เครื่องที่ใช้งานบ่อย ๆ คือ ตาราง รูปภาพ และ Rollover Image) หน้าต่างการท างาน (Document Window) เป็นบริเวณที่ใช้ในการ ออกแบบและสร้างเว็บเพจตามต้องการ ซึ่งสามารถแทรกข้อความ รูปภาพ และวัตถุต่าง ๆ ลงไปได้เลย 3. แถบสถานะ (Status bar) เป็นส่วนที่แสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่ก าลังท าอยู่ เช่น การปรับขนาด การแสดงผลและเวลาที่ใช้ในการโหลดเว็บเพจนั้น ๆ 4. Properties Inspector ใช้ในการก าหนดค่าคุณสมบัติของหน้าเว็บเพจและในส่วนของ วัตถุ ต่าง ๆ ซึ่ง จะมีรายละเอียดแสดงขึ้นมา เมื่อมีการคลิกเลือกวัตถุนั้น ๆ 5. พาเนล (Panel) เป็นหน้าต่างหรือชุดค าสั่งพิเศษที่ใช้งานเฉพาะด้าน เช่น ฐานข้อมูล ไฟล์ งานต่าง ๆ สร้างการเชื่อมโยง รวมถึงเรื่องการอัพโหลดไฟล์งานขึ้นเซิร์ฟเวอร์ ทฤษฎีเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft Visual Studio Code Visual Studio Code หรือ VSCode เป็นโปรแกรม Code Editor ที่ใช้ในการแก้ไขและ ปรับแต่งโค้ด จากค่าย มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบของ OpenSource จึงสามารถน ามาใช้งานได้ แบบฟรี ๆ ที่ต้องการความเป็นมืออาชีพ ซึ่ง Visual Studio Code นั้น เหมาะส าหรับนักพัฒนา โปรแกรมที่ต้องการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม รองรับการใช้งานทั้งบน , macOS และ Linux สนับสนุน ทั้งภาษา JavaScript, TypeScript และ Node.js สามารถเชื่อมต่อกับ Git ได้ น ามาใช้งานได้ง่ายไม่ ซับซ้อน มีเครื่องมือส่วนขยายต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาก ไม่ว่าจะเป็น 1.การเปิดใช้งานภาษา อื่น ๆ ทั้ง ภาษา C++, C#, Java, Python, PHP หรือ Go 2.Themes 3.Debugger 4.Commands เป็นต้น ทฤษฎี PHP ในช่วงแรกภาษาที่นิยมใช้งานบนระบบเครือข่าย คือ ภาษา HTML (Hypertext Markup Language) แต่ ภาษา HTML มีลักษณะเป็น Static คือ ภาษาที่มีลักษณะของข้อมูลคงที่ ซึ่งไม่ เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน ที่นิยมใช้ระบบเครือข่าย Internet เป็นศูนย์กลางในการติดต่อ ระหว่างกัน ท าให้ต้องการใช้เว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น แบบ Dynamic คือ เว็บไซต์ที่ข้อมูลสามารถ เปลี่ยนแปลงได้โดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้เขียนเว็บไซต์เป็นผู้ ก าหนด และการควบคุมการ


12 ท างานเหล่านี้จะกระท าโดยโปรแกรมภาษาสคริปต์ เช่น ภาษา PHP ซึ่งเป็นภาษาหนึ่ง ที่ได้รับความ นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน PHP ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1994 โดย Rasmus Lerdorf ต่อมามีผู้ให้ ความสนใจเป็นจ านวนมาก จึงได้ออกเป็นแพ็คเกจ "Personal Home Page" ซึ่งเป็นที่มาของ PHP โดยภาษา PHP เป็นแบบ Server Side Script และเป็น Open Source ที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถดาวน์ โหลด Source Code และ โปรแกรมไปใช้ฟรี ได้ที่ http://www.php.net พอกลางปี ค.ศ.1995 เขา ก็ได้พัฒนาตัวแปลภาษา PHP ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อว่า PHP/FI เวอร์ชั่น 2 ซึ่งได้เพิ่มความสามารถใน การรับข้อมูลที่ส่งมาจากฟอร์มของ HTML (จึงมีชื่อว่า FI หรือ Form Interpreter) นอกจากนั้นยัง เพิ่มความสามารถในการติดต่อกับฐานข้อมูลอีกด้วย จึงท าให้ผู้คนเริ่มหัน มาสนใจ PHP กันมากขึ้นใน ปี 1997 มีผู้ร่วมพัฒนา PHP เพิ่มอีก 2 คน คือ Zeev Suraski และ AndiGutmans (กลุ่มที่เรียก ตัวเองว่า Zend ซึ่งย่อมาจาก Zeev และ Andi ) โดยได้แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ และเพิ่มเติม เครื่องมือ ให้มากขึ้น ทฤษฎีโปรแกรมฐานข้อมูล โปรแกรมฐานข้อมูล เป็นโปรแกรมหรือซอฟแวร์ที่ช่วยจัดการข้อมูลหรือรายการต่าง ๆ ที่อยู่ ในฐานข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บ การเรียกใช้ การปรับปรุงข้อมูลโปรแกรมฐานข้อมูลจะช่วยให้ ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งโปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว เช่น Access, FoxPro, MySQL, Oracle, SQL, Sever , Appserv เป็นต้น โดยแต่ละโปรแกรมจ ะมี ความสามารถต่างกันบางโปรแกรมใช้ง่ายแต่จะจ ากัดขอบเขต การใช้งานหรือใช้กับฐานข้อมูลขนาด เล็กบางโปรแกรมใช้งานยากกว่า แต่จะมีความสามารถในการท างานมากกว่า โปรแกรม Access นับเป็นโปรแกรมที่นิยมใช้กันมากในขณะนี้ โดยเฉพาะในระบบฐานข้อมูลขนาดเล็กและขนาด กลาง สามารถสร้างแบบฟอร์มที่ต้องการจะเรียกดูข้อมูลในฐานข้อมูลหลักจากบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล เรียบร้อยแล้วจะสามารถค้นหาหรือเรียกดูข้อมูลจากเขตข้อมูลใดก็ได้ การแสดงผลก็อาจแสดงทาง จอภาพ หรือส่ง พิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ก็ได้นอกจากนี้ Access ยังมีระบบความปลอดภัยของข้อมูล โดยการก าหนดรหัสผ่านเพื่อ ป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลในระบบได้ด้วย โปรแกรม Appserv 2.5.10 Appserv คือโปรแกรมที่รวบรวมเอา Open Source Software หลายๆ อย่างมารวมกัน โดยมี Package หลักดังนี้ – Apache – PHP – MySQL – phpMyAdmin


13 โปรแกรมต่าง ๆ ที่น ามารวบรวมไว้ทั้งหมดนี้ ได้ท าการดาวน์โหลดจาก Official Release ทั้งสิ้น โดยตัว Appserv จึงให้ความส าคัญว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องให้เหมือนกับต้นฉบับ เราจึงไม่ได้ตัด ทอนหรือเพิ่มเติมอะไรที่ แปลกไปกว่า Official Release แต่อย่างได้ เพียงแต่มีบางส่วนเท่านั้นที่เรา ได้เพิ่มประสิทธิภาพการติดตั้งให้ สอดคล้องกับการท างานแต่ละคน โดยที่การเพิ่มประสิทธิภาพนี้ไม่ได้ ไปยุ่ง ในส่วนของ Original Package เลย แม้แต่น้อยเพียงแต่เป็นการก าหนดค่า Config เท่านั้น เช่น Apache ก็จะเป็นในส่วนของ httpd.conf, PHP ก็จะ เป็นในส่วนของ php.ini, MySQL ก็จะเป็นใน ส่วนของ my.ini ดังนั้นเราจึงรับประกันได้ว่าโปรแกรม Appserv สามารถท างานและความเสถียรของ ระบบ ได้เหมือนกับ Official Release ทั้งหมด จุดประสงค์หลักของการรวมรวบ Open Source Software เหล่านี้เพื่อท าให้การติดตั้ง โปรแกรมต่าง ๆ ที่ ได้กล่าวมาให้ง่ายขึ้น เพื่อลดขั้นตอนการติดตั้งที่แสนจะยุ่งยากและใช้เวลานาน โดยผู้ใช้งานเพียงดับเบิ้ลคลิก setup ภายในเวลา 1 นาที ทุกอย่างก็ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ระบบต่าง ๆ ก็ พร้อมที่จะท างานได้ทันทีทั้ง Web Server, Database Server เหตุผลนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่หลายๆ คนทั่วโลก ได้เลือกใช้โปรแกรม Appserv แทนการที่ จะต้องมาติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่ละส่วนไม่ว่า จะเป็นผู้ที่ความช านาญในการติดตั้ง Apache, PHP, MySQL ก็ ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเสมอไป เนื่องจาก การติดตั้งโปรแกรมที่แยกส่วนเหล่านี้ให้มารวมเป็นชิ้นอันเดียวกัน ก็ใช้เวลา ค่อนข้างมากพอสมควร แม้แต่ตัวผู้พัฒนา Appserv เอง ก่อนที่จะ Release แต่ละเวอร์ชั่นให้ดาวน์โหลด ต้องใช้ ระยะเวลาใน การติดตั้งไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อทดสอบความถูกต้องของระบบ ดังนั้นจึงจะเห็นว่าเราเองนั้นเป็น มือใหม่หรือมือเก่า ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะติดตั้ง Apache, PHP, MySQL ในพริบตาเดียว มีบาง ค าถามที่พบ บ่อยว่า Appserv สามารถน าไปเป็น Web Server หรือ Database Server ได้ทันที หรือไม่ ข้อนี้ต้องตอบว่าได้ แน่นอน 100% แต่ทางผู้พัฒนาเองขอแนะน าว่า ระบบจัดการ Memory และ CPU บน Windows ที่ท างาน เกี่ยวกับ Web Server หรือ Database Server ไม่เหมาะกับการ ใช้งานหนักๆ เป็นอย่างยิ่ง เพราะ Windows นั้น จะกลืนกินทรัพยากรอันมหาศาล และหากเทียบ อัตรารองรับระบบงานกับ OS ตัวอื่นเช่น Linux/Unix จะยิ่งเห็น ได้ชัดว่า OS ที่เป็น Windows ที่มี ขนาด Memory และ CPU ที่เท่าๆ กัน OS ที่เป็น Linux/Unix นั้น จะรองรับ งานได้น้อยกว่ามาก พอสมควร เช่น Windows รับได้ 1000 คนพร้อม ๆ กัน แต่ Linux/Unix อาจรับได้ถึง 5000 พร้อม ๆกัน หากท่านต้องท างานหนักๆ ทางผู้พัฒนาแนะน าให้เลือกใช้ Linux/Unix OS จึงจะเหมาะสมกว่า ทฤษฎีการสร้าง Banner การท าธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันนี้ขาดไม่ได้เลยก็คือต้องมีเว็บไซต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องมือชิ้น ส าคัญของการ ท าธุรกิจออนไลน์ เพื่อโปรโมทสินค้าหรือโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อเป็นที่สนใจของลูกค้า ภายในเว็บไซต์จ าเป็นต้องมี แบนเนอร์ที่สะดุดตา โดดเด่นเห็นได้ชัด ฉะนั้นภายในเว็บไซต์จ าเป็นที่ จะต้องมีการออกแบบแบนเนอร์ให้ กลุ่มเป้าหมายสนใจ และการออกแบบแบนเนอร์อย่างถูกหลัก เพื่อใช้เป็นตัวช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาชมเว็บไซต์ ของคุณ ถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เจ้าของธุรกิจที่


14 มีเว็บไซต์ควรให้ความส าคัญ หรือแม้กระทั่งคนที่ท างานด้าน Graphic Designer ก็ควรใส่ใจในการ ออกแบบของคุณด้วย เพื่อผลงานที่ดี เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่าว่าหลักการใน การออกแบบแบนเนอร์ โฆษณา ให้โดนใจลูกค้าออนไลน์ นั้นมีหลักการดังนี้ 1. เลือกใช้ไฟล์ขนาดเล็ก รูปภาพและสื่อมัลติมีเดียที่เราใส่ไว้ภายในการออกแบบแบนเนอร์ แต่ละครั้ง ถ้าเกิด ว่าเราใส่มากเท่าไหร่ขนาดไฟล์ก็จะใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น อาจเกิดปัญหาที่ท าให้หน้า เว็บโหลดช้าได้ ถ้าเกิดว่าหน้าเว็บ โหลดช้าจะส่งผลกระทบท าให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะได้เห็นโฆษณา จากสถิติแล้วผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะอ่าน เนื้อหาในเว็บไซต์แต่ละหน้าคร่าวๆ อย่างรวดเร็วแค่ 10-20 วินาทีเท่านั้น 2. เพิ่มปุ่ม Call to action Call to action หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CTA เป็นปุ่มที่มีไว้กระตุ้นให้ ผู้ที่ได้อ่านคลิก เมาส์ไปที่ปุ่มนั้น ๆ ถ้าเกิดว่ามีการออกแบบแบนเนอร์โดยเพิ่มปุ่ม Call to action เข้า ไปด้วย จะส่งผลบวกต่อ เว็บไซต์และการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นอย่างมาก 3. เพิ่มข้อมูลชื่อและโลโก้ของแบรนด์เข้าไปในแบนเนอร์ ในแบนเนอร์ของเราต้องมีโลโก้ รวมถึงชื่อแบรนด์ ด้วยเสมอ เพื่อเป็นการบอกให้ผู้อ่านได้รู้ว่าก าลังรับชมโฆษณาของแบรนด์อะไร เนื่องจากว่าจุดประสงค์ของการท า ธุรกิจออนไลน์นั่นก็คือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยม ชมเว็บไซต์และสามารถจ าแบรนด์สินค้าได้ 4. มีข้อความสั้น กระชับ และรูปภาพที่เหมาะสม ในการท าแบนเนอร์โฆษณาไม่จ าเป็นต้อง อธิบายให้เยอะ ขอ เพียงแค่ใช้ค าที่สั้น กระชับ ท าให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย เพราะพื้นที่ในป้ายแบนเนอร์มี อยู่จ ากัด และรูปประกอบต้อง เหมาะสมกับโฆษณาที่ต้องการจะสื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้รับทราบ 5. ขนาดฟอนต์ต้องเด่น อ่านง่าย สะดุดตา แบนเนอร์นั้นจะต้องออกแบบให้มีความน่าสนใจ ดึงดูดสายตาจาก คนที่เข้ามาดู ซึ่งขนาดฟอนต์ในแบนเนอร์นั้นก็เป็นส่วนส าคัญ ในการออกแบบทุก ครั้งต้องเลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย เป็นระเบียบและเข้ากับลักษณะของข้อความ จัดวางให้เหมาะสม โดด เด่น จะท าให้ผู้อ่านไม่สับสนเมื่อได้อ่านตัว อักษรบนแบนเนอร์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ E-Commerce ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศท าให้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เติบโตขึ้นอย่าง รวดเร็ว ส่งผลให้ การเสนอขายสินค้าการตกลงท าสัญญาซื้อขายสินค้า และการช าระเงินสามารถท าได้ อย่างง่ายดายทาง อิเล็กทรอนิกส์ แต่ในเมืองไทยก็มีปัจจัยส าคัญหลายอย่างเป็นอุปสรรคในการท า E-Commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เราจะมาศึกษาถึงเนื้อหา ของกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ว่ามี ความส าคัญอย่างไร ในหลายประเทศทั่วโลกได้มีการตื่นตัวต่อการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและได้ เล็งเห็นถึง ความส าคัญของกฎหมาย ดังกล่าวในการพัฒนาประเทศ จึงได้จัดท าและมีกฎหมาย ดังกล่าวใช้บังคับเพื่อให้เป็น โครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงต่อไป อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงสภาพของ สังคมไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าประเทศไทย มีปัญหาโดยพื้นฐานดังต่อไปนี้


15 1. ปัญหาในทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายที่จะ เอื้ออ านวยให้การ ท าธุรกรรมทางการค้า สามารถด าเนินไปอย่างสะดวกรวดเร็ว 2. ปัญหาในการสร้างแรงจูงใจ การที่ประเทศมีกฎหมายที่ได้มาตรฐานในการประกอบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น - กฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange Law) - กฎหมายลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature Law) - กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Funds Transfer Law) เป็นต้น ย่อมจะสามารถสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี 3. ปัญหาในการสร้างความเชื่อมั่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลข่าวสาร (Data Protection Law) และกฎหมาย อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Related Crime) เป็นต้นย่อมที่จะช่วยให้ นักลงทุนชาวต่างชาติมั่นใจ ในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่มีค่ายิ่งใน สังคมสารสนเทศจะได้รับการคุ้มครอง 4. ปัญหาในการพัฒนาเทคโนโลยีและการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่ ประเทศจะต้องมีกลไก ทางกฎหมายที่จะเอื้ออ านวยและสนับสนุนให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีของชาติ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการถ่ายทอด เทคโนโลยีจากต่างชาติ 5. ปัญหาการเอื้อให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม (Fair Competition) การเปิดให้มี การแข่งขันที่เสรี และเป็นธรรมโดยเฉพาะในกิจการโทรคมนาคมจะส่งผลให้ มีการดึงดูดการลงทุน การเพิ่มการจ้างงานและน า เงินตราเข้าประเทศ หากท าอย่างมีระบบและหลักการ 6. ปัญหาในการสร้างศักยภาพในการแข่งขัน (Competitiveness) ท่ามกลางการ แข่งขัน ทางการค้าอย่าง รุนแรงในปัจจุบัน รัฐจ าเป็นที่จะต้องสร้างกลไกทาง กฎหมายที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชน ไทยมีศักยภาพในเชิงการ แข่งขัน 7. ปัญหาในเรื่องช่องว่างระหว่างผู้มีและผู้ไร้ข่าวสาร ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าว หน้าอย่าง รวดเร็วรัฐมี ความจ าเป็นที่จะต้องจัดหากลไกทางกฎหมายเพื่อเอื้อให้มี การลดช่องว่างดังกล่าว จาก สภาพการณ์ดังกล่าว กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้ มีพัฒนาการอย่างสอดรับ กับความก้าวหน้า และความเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยี กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเกิดขึ้นเนื่อง จากความ จ าเป็นของสังคม (Social Necessity) และเพื่อ จรรโลงให้สังคมมีความเป็นปึกแผ่น (Solidarity) ศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ


16 ทฤษฎีการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ระบบคือกลุ่มขององค์การต่าง ๆ ที่ท างานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์อันเดียวกัน ระบบอาจจะ ประกอบด้วย บุคคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ พัสดุ วิธีการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบจัดการอันหนึ่ง เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อัน เดียวกัน การวิเคราะห์และออกแบบระบบคือ วิธีการที่ใช้ในการสร้างระบบสารสนเทศขึ้นมาใหม่ใน ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง หรือระบบย่อยของธุรกิจ นอกจากการสร้างระบบสารสนเทศใหม่แล้ว การ วิเคราะห์ระบบช่วยในการแก้ไขระบบ สารสนเทศเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วยก็ได้ การวิเคราะห์ระบบ คือ การหาความต้องการ (Requirements) ของ ระบบสารสนเทศว่าคืออะไร หรือต้องการเพิ่มเติม อะไรเข้ามาในระบบและการออกแบบก็คือ การน าเอาความ ต้องการของระบบมาเป็นแบบแผนหรือ เรียกว่าพิมพ์เขียว ในการสร้างระบบสารสนเทศนั้นให้ใช้ในงานได้จริง ผู้ที่ ท าหน้านี้ก็คือ นักวิเคราะห์ และออกแบบระบบ (System Analysis : SA) เมื่อเราศึกษาระบบใดระบบหนึ่ง เราควรจะต้องเข้าใจการท างานของระบบนั้นให้ดีโดย การ ถามตัวเองตลอดเวลา ด้วยค าถามเหล่านี้ 1. ระบบท าอะไร (What) 2. ท าโดยใคร (Who) 3. ท าเมื่อไร (When) 4. ท าอย่างไร (How) ผู้ใช้ (Users) จึงเป็นผู้ก าหนดปัญหาและแนวทางของระบบงานที่น ามา แก้ไขซึ่งปัญหาแต่ผู้ใช้ เองไม่ทราบวิธี จะน าเอาคอมพิวเตอร์มาใช้แก้ปัญหา หรือช่วยเหลือในการบริหาร ในทางตรงกันข้าม โปรแกรมเมอร์ (Programmers) และช่างเทคนิค (Technicians) เป็นผู้ที่สามารถจะใช้เทคโนโลยีของ คอมพิวเตอร์และป้อนค าสั่ง ให้คอมพิวเตอร์ท างานได้ต้องการ แต่โปรแกรมเมอร์หรือช่างเทคนิคมักจะ ไม่เข้าใจถึงระบบธุรกิจมากนัก ดังนั้น ช่องว่างระหว่างนักธุรกิจหรือระบบงานในหน่วยงานต่าง ๆ กับ โปรแกรมเมอร์หรือกับช่างเทคนิคจึงอาจเกิดขึ้นได้ นักวิเคราะห์ระบบจึงท าหน้าที่เป็นผู้สมานช่องว่าง นี้ นักวิเคราะห์ระบบเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่จะน าเอาความ เข้าใจและเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ มาใช้ ในการพัฒนาระบบงานข้อมูลเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับงานในหน่วยงาน ต่าง ๆ นัก วิเค ร าะห์ ร ะบบจ ะเป็นผู้ที่ศึกษ าถึงปัญห าแล ะค ว ามต้ องก า รของนั ก ธุ ร กิ จ โดยน าเอาปัจจัย 3 ประการ คือ คน (People) วิธีการ (Method) และคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี (Computer Technology) ใช้ในการปรับปรุง หรือแก้ปัญหาให้กับนักธุรกิจเมื่อได้มีการน าเอา พัฒนาการทางเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์มาใช้ นักวิเคราะห์ระบบ จะต้องรับผิดชอบถึงการก าหนด ลักษณะของข้อมูล (Data) ที่จะจัดเก็บเข้าสู่ระบบงานคอมพิวเตอร์ การหมุนเวียน การเปลี่ยนแปลง ของข้อมูลและระยะเวลาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้หรือธุรกิจ (Business Users) นักวิเคราะห์ระบบไม่ได้เพียงวิเคราะห์หรือดีไซน์ระบบงานเท่านั้น หากแต่ยังขายบริการ ทางด้านระบบงาน ข้อมูล โดยน าเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ควบคู่กันไปด้วยจากบทบาท


17 ของนักวิเคราะห์ระบบที่กล่าว มาแล้วข้างต้น ท าให้นักวิเคราะห์ระบบจะต้องมีความรู้ทั้งทางภาค ธุรกิจหรือการด าเนินงาน ในหน่วยงานต่าง ๆ และคอมพิวเตอร์ควบคู่กัน นักวิเคราะห์ระบบโดยส่วน ใหญ่สามารถที่จะดีไซน์ระบบงานและเขียนโปรแกรมขึ้นได้ ด้วยตัวเอง ส่วนนี้เองกลับท าให้ บุคคลภายนอกเกิดความสับสนระหว่างโปรแกรมเมอร์กับนักวิเคราะห์ระบบ วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) ระบบสารสนเทศ ทั้งหลายมีวงจรชีวิตที่ เหมือนกันตั้งแต่เกิดจนตายวงจรนี้จะเป็นขั้นตอน ที่เป็นล าดับตั้งแต่ต้นจนเสร็จ เรียบร้อย เป็นระบบที่ใช้งานได้ ซึ่ง นักวิเคราะห์ระบบต้องท าความเข้าใจให้ดีว่าในแต่ละขั้นตอน จะต้องท าอะไร และท าอย่างไร ขั้นตอนการพัฒนา ระบบมีอยู่ด้วยกัน 7 ขั้น ด้วยกัน คือ 1. เข้าใจปัญหา (Problem Recognition) 2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) 3. วิเคราะห์ (Analysis) 4. ออกแบบ (Design) 5. สร้างหรือพัฒนาระบบ (Construction) 6. การปรับเปลี่ยน (Conversion) 7. บ ารุงรักษา (Maintenance) ขั้นที่ 1 : เข้าใจปัญหา ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารหรือผู้ใช้ตระหนักว่า ต้องการระบบสารสนเทศ หรือระบบ จัดการเดิม ได้แก่ระบบเอกสารในตู้เอกสาร ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่ตอบสนองความ ต้องการในปัจจุบันปัจจุบัน ผู้บริหารตื่นตัวกันมากที่จะให้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศมาใช้ใน หน่วยงานของตน ในงานธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือใช้ในการผลิต ตัวอย่างเช่น บริษัทของเรา จ ากัด ติดต่อซื้อสินค้าจากผู้ขายหลายบริษัท ซึ่งบริษัทของเราจะมี ระบบ MIS ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่ บริษัทขอเราติดค้างผู้ขายอยู่ แต่ระบบเก็บข้อมูลผู้ขายได้เพียง 1,000 ราย เท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้ขายมี ระบบเก็บข้อมูลถึง 900 ราย และอนาคตอันใกล้นี้จะเกิน 1,000 ราย ดังนั้นฝ่ายบริหาร จึงเรียก นักวิเคราะห์ระบบเข้ามาศึกษา แก้ไขระบบงานปัญหาที่ส าคัญของระบบสารสนเทศในปัจจุบัน คือ ระบบ เขียนมานานแล้ว ส่วนใหญ่เขียนมาเพื่อติดตามเรื่องการเงิน ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูล ข่าวสารในการตัดสินใจ แต่ปัจจุบันฝ่าย บริหารต้องการดูสถิติการขายเพื่อใช้ในการคาดคะเนใน อนาคต หรือความต้องการอื่น ๆ เช่น สินค้า ที่มียอดขายสูง หรือสินค้าที่ลูกค้าต้องการสูง หรือการ แยกประเภทสินค้าต่าง ๆที่ท าได้ไม่ง่ายนักการที่จะแก้ไข ระบบเดิมที่มีอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หรือ แม้แต่การสร้างระบบใหม่ ดังนั้นควรจะมีการศึกษาเสียก่อนว่า ความ ต้องการของเราเพียงพอที่เป็นไป ได้หรือไม่ ได้แก่ "การศึกษาความเป็นไปได้(Feasibility Study)


18 ขั้นตอนที่ 2 : ศึกษาความเป็นไปได้ จุดประสงค์ของการศึกษาความเป็นไปได้ก็คือ การก าหนดว่าปัญหาคืออะไรและตัดสินใจว่า การพัฒนาสร้าง ระบบสารสนเทศ หรือการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมมีความเป็นไปได้หรือไม่โดยเสีย ค่าใช้จ่ายและเวลาน้อยที่สุด และได้ผลเป็นที่น่าพอใจปัญหาต่อไปคือ นักวิเคราะห์ระบบจะต้อง ก าหนดให้ได้ว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีความ เป็นไปได้ทางเทคนิคและบุคลากร ปัญหาทางเทคนิคก็ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือเก่าๆถ้ามี รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ด้วย ตัวอย่างคือ คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ในบริษัทเพียงพอหรือไม่ คอมพิวเตอร์ อาจจะมีเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ ไม่เพียงพอ รวมทั้งซอฟต์แวร์ ว่าอาจจะต้องซื้อใหม่ หรือพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นต้น ความ เป็นไปได้ ทางด้านบุคลากร คือ บริษัทมีบุคคลที่เหมาะสมที่จะพัฒนาและติดตั้งระบบเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มีจะ หา ได้หรือไม่ จากที่ใด เป็นต้น นอกจากนั้นควรจะให้ความสนใจว่าผู้ใช้ระบบมีความคิดเห็นอย่างไร กับการ เปลี่ยนแปลง รวมทั้งความเห็นของผู้บริหารด้วย สุดท้ายนักวิเคราะห์ระบบต้องวิเคราะห์ได้ว่า ความเป็นไปได้เรื่องค่าใช้จ่าย รวมทั้งเวลาที่ ใช้ ในการพัฒนา ระบบ และที่ส าคัญคือ ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เรื่องเวลาเป็นสิ่งส าคัญ เช่น การ เปลี่ยนแปลงระบบเพื่อรองรับผู้ขาย ให้ได้มากกว่า 1,000 บริษัทนั้น ควรใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี ตั้งแต่ เริ่มต้นจนใช้งานได้ ค่าใช้จ่ายเริ่มตั้งแต่พัฒนาจนถึงใช้ งานได้จริงได้แก่ เงินเดือน เครื่องมือ อุปกรณ์ ต่าง ๆ เป็นต้น พูดถึงเรื่องผลประโยชน์ที่ได้รับอาจมองเห็นได้ไม่ง่าย นัก แต่นักวิเคราะห์ระบบควร มองและตีออกมาในรูปเงินให้ได้ เช่น เมื่อน าระบบใหม่เข้ามาใช้อาจจะท าให้ ค่าใช้จ่ายบุคลากรลดลง หรือก าไรเพิ่มมากขึ้น เช่น ท าให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริหารมีข้อมูลพร้อมที่จะ ช่วยในการ ตัดสินใจที่ดีขึ้น การคาดคะเนทั้งหลายเป็นไปอย่างหยาบๆ เราไม่สามารถหาตัวเลขที่แน่นอนตายตัวได้ เนื่องจากทั้งหมดยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง หลังจากเตรียมตัวเลขเรียบร้อยแล้ว นักวิเคราะห์ระบบก็น า ตัวเลข ค่าใช้จ่าย และผลประโยชน์ (Cost-Benefit) ขั้นตอนที่ 3 : การวิเคราะห์ เริ่มเข้าสู่การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบเริ่มตั้งแต่การศึกษาระบบการท างานของ ธุรกิจนั้น ในกรณีที่ ระบบเราศึกษานั้นเป็นระบบสารสนเทศอยู่แล้วจะต้องศึกษาว่าท างานอย่างไร เพราะเป็นการยากที่จะออกแบบ ระบบใหม่โดยที่ไม่ทราบว่าระบบเดิมท างานอย่างไร หรือธุรกิจ ด าเนินการอย่างไร หลังจากนั้นก าหนดความต้องการ ของระบบใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องใช้ เทคนิคในการเก็บข้อมูล (Fact-Gathering Techniques) ดังรูป ได้แก่ ศึกษาเอกสารที่มีอยู่ ตรวจสอบ วิธีการท างานในปัจจุบัน สัมภาษณ์ผู้ใช้และผู้จัดการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ระบบ เอกสารที่มีอยู่ได้แก่ คู่มือการใช้งาน แผนผังใช้งานขององค์กร รายงานต่าง ๆที่หมุนเวียนใน ระบบการศึกษา วิธีการท างาน ในปัจจุบันจะท าให้นักวิเคราะห์ระบบรู้ว่าระบบจริง ๆ ท างานอย่างไร ซึ่งบางครั้งค้นพบข้อผิดพลาดได้ ตัวอย่าง เช่น เมื่อบริษัทได้รับใบเรียกเก็บเงินจะมีขั้นตอนอย่างไรในการจ่ายเงิน ขั้นตอนที่เสมียนป้อน


19 ใบเรียกเก็บ เงินอย่างไร เฝ้าสังเกตการท างานของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจและเห็นจริง ๆ ว่าขั้นตอน การท างานเป็นอย่างไร ซึ่ง จะท าให้นักวิเคราะห์ระบบค้นพบจุดส าคัญของระบบว่าอยู่ที่ใด การสัมภาษณ์เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่นักวิเคราะห์ระบบควรจะต้องมีเพื่อเข้ากับผู้ใช้ได้ง่าย และสามารถดึงสิ่ง ที่ต้องการจากผู้ใช้ได้ เพราะว่าความต้องการของระบบคือ สิ่งส าคัญที่จะใช้ในการ ออกแบบต่อไป ถ้าเราสามารถ ก าหนดความต้องการได้ถูกต้อง การพัฒนาระบบในขั้นตอนต่อไปก็จะ ง่ายขึ้น เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจะน ามา เขียนรวมเป็นรายงานการท างานของ ระบบซึ่งควรแสดง หรือเขียนออกมาเป็นรูปแทนที่จะร่ายยาวออกมาเป็น ตัวหนังสือ การแสดงแผนภาพจะท าให้เราเข้าใจ ได้ดีและง่ายขึ้น หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบ อาจจะน าข้อมูลที่ รวบรวมได้น ามาเขียนเป็น "แบบ ทดลอง" (Prototype) หรือตัวต้นแบบ แบบทดลองจะเขียนขึ้นด้วย ภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ และที่ ช่วยให้ง่ายขึ้นได้แก่ ภาษายุคที่ 4 (Fourth Generation Language) เป็นการสร้าง โปรแกรม คอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อใช้งานตามที่เราต้องการได้ ดังนั้นแบบทดลองจึงช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจจะ เกิดขึ้นได้เมื่อจบขั้นตอนการวิเคราะห์แล้ว นักวิเคราะห์ระบบจะต้องเขียนรายงานสรุปออกมาเป็น ข้อมูลเฉพาะ ของปัญหา (Problem Specification) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รายละเอียดของระบบเดิม ซึ่งควรจะเขียนมาเป็นรูปภาพแสดงการท างานของระบบ พร้อม ค าบรรยาย, ก าหนดความต้องการของระบบใหม่รวมทั้งรูปภาพแสดงการท างานพร้อมค าบรรยาย, ข้อมูลและไฟล์ที่จ าเป็น, ค าอธิบายวิธีการท างาน และสิ่งที่จะต้องแก้ไข. รายงานข้อมูลเฉพาะของ ปัญหาของระบบขนาดกลางควรจะมีขนาด ไม่เกิน 100-200 หน้ากระดาษ ขั้นตอนที่4 : การออกแบบ ในระยะแรกของการออกแบบ นักวิเคราะห์ระบบจะน าการตัดสินใจ ของฝ่ายบริหารที่ได้จาก ขั้นตอนการ วิเคราะห์การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้วย (ถ้ามีหรือเป็นไปได้) หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ ระบบจะน าแผนภาพต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นในขั้นตอนการวิเคราะห์มาแปลงเป็น แผนภาพล าดับขั้น (แบบต้นไม้) ดังรูป ข้างล่าง เพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่แน่นอนของโปรแกรมว่ามี ความสัมพันธ์กันอย่างไร และโปรแกรมอะไรบ้างที่ จะต้องเขียนในระบบ หลังจากนั้นก็เริ่มตัดสินใจว่า ควรจะจัดโครงสร้างจากโปรแกรมอย่างไร การเชื่อมระหว่าง โปรแกรมควรจะท าอย่างไร ในขั้นตอน การวิเคราะห์นักวิเคราะห์ระบบต้องหาว่า " จะต้องท าอะไร (What) " แต่ใน ขั้นตอนการออกแบบต้อง รู้ว่า " จะต้องท าอย่างไร (How) " ในการออกแบบโปรแกรมต้องค านึงถึงความปลอดภัย (Security) ของระบบด้วย เพื่อป้องกัน การผิดพลาดที่ อาจจะเกิดขึ้น เช่น "รหัส" ส าหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ส ารองไฟล์ข้อมูลทั้งหมด เป็นต้น นักวิเคราะห์ระบบจะต้องออกแบบฟอร์มส าหรับข้อมูลขาเข้า (Input Format) ออกแบบ รายงาน (Report Format) และการแสดงผลบนจอภาพ (Screen Format) หลักการการออกแบบ ฟอร์มข้อมูลขาเข้าคือ ง่ายต่อการ ใช้งาน และป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นถัดมาระบบจะต้อง


20 ออกแบบวิธีการใช้งาน เช่น ก าหนดว่าการป้อน ข้อมูลจะต้องท าอย่างไร จ านวนบุคลากรที่ต้องการใน หน้าที่ต่าง ๆ แต่ถ้านักวิเคราะห์ระบบตัดสินใจว่าการซื้อ ซอฟต์แวร์ดีกว่าการเขียนโปรแกรม ขั้นตอน การออกแบบก็ไม่จ าเป็นเลย เพราะสามารถน าซอฟต์แวร์ส าเร็จรูปมา ใช้งานได้ทันที สิ่งที่นักวิเคราะห์ ระบบออกแบบมาทั้งหมดในขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดจะน ามาเขียนรวมเป็น เอกสารชุดหนึ่ง เรียกว่า "ข้อมูลเฉพาะของการออกแบบระบบ" (System Design Specification) เมื่อส าเร็จแล้ว โปรแกรมเมอร์สามารถใช้เป็นแบบในการเขียนโปรแกรม ได้ทันที่ส าคัญก่อนที่จะส่งถึง มือ โปรแกรมเมอร์เราควรจะ ตรวจสอบกับผู้ใช้ว่าพอใจหรือไม่ และตรวจสอบกับทุกคนในทีมว่าถูกต้อง สมบูรณ์หรือไม่ และแน่นอนที่สุดต้องส่ง ให้ฝ่ายบริหารเพื่อตัดสินใจว่าจะด าเนินการ ต่อไปหรือไม่ ถ้า อนุมัติก็ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างหรือพัฒนาระบบ (Construction) ขั้นตอนที่5 : การพัฒนาระบบ ในขั้นตอนนี้โปรแกรมเมอร์จะเริ่มเขียนและทดสอบโปรแกรมว่า ท างานถูกต้องหรือไม่ ต้องมี การทดสอบกับ ข้อมูลจริงที่เลือกแล้ว ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราจะได้โปรแกรมที่พร้อมที่จะน าไปใช้ งานจริงต่อไป หลังจากนั้นต้อง เตรียมคู่มือการใช้และการฝึกอบรมผู้ใช้งานจริงของระบบระยะแรกใน ขั้นตอนนี้นักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียม สถานที่ส าหรับ เครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะต้องตรวจสอบว่า คอมพิวเตอร์ท างานเรียบร้อยดี โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมตามข้อมูลที่ได้จากเอกสารข้อมูลเฉพาะของการออกแบบ (Design Specification) ปกติแล้วนักวิเคราะห์ระบบไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการเขียนโปรแกรม แต่ถ้า โปรแกรมเมอร์คิดว่าการเขียนอย่างอื่น ดีกว่าจะต้องปรึกษานักวิเคราะห์ระบบเสียก่อน เพื่อที่ว่า นักวิเคราะห์จะบอกได้ว่าโปรแกรมที่จะแก้ไขนั้นมี ผลกระทบกับระบบทั้งหมดหรือไม่ โปรแกรมเมอร์ เขียนเสร็จแล้วต้องมีการทบทวนกับนักวิเคราะห์ระบบและ ผู้ใช้งาน เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด วิธีการนี้ เรียกว่า "Structure Walkthrough" การทดสอบโปรแกรมจะต้องทดสอบ กับข้อมูลที่เลือกแล้วชุด หนึ่ง ซึ่งอาจจะเลือกโดยผู้ใช้ การทดสอบเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ แต่นักวิเคราะห์ ระบบต้อง แน่ใจว่า โปรแกรมทั้งหมดจะต้องไม่มีข้อผิดพลาด ขั้นตอนที่ 6 : การปรับเปลี่ยน ขั้นตอนนี้บริษัทน าระบบใหม่มาใช้แทนของเก่าภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ การ ป้อนข้อมูลต้องท า ให้เรียบร้อย และในที่สุดบริษัทเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่นี้ได้ การน าระบบเข้ามาควร จะท าอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ที่ดีที่สุดคือ ใช้ระบบใหม่ควบคู่ไปกับระบบเก่าไปสัก ระยะหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลชุดเดียวกันแล้วเปรียบเทียบผลลัพธ์ว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าเรียบร้อยก็เอาระบบเก่าออกได้ แล้วใช้ระบบใหม่ต่อไป ขั้นตอนที่ 7 : บ ารุงรักษา


21 การบ ารุงรักษาได้แก่ การแก้ไขโปรแกรมหลังจากการใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขโปรแกรม หลังจากใช้งาน แล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขระบบส่วนใหญ่มี 2 ข้อ คือ 1. มีปัญหาในโปรแกรม (Bug) และ 2. การด าเนินงานในองค์กร หรือธุรกิจเปลี่ยนไป จากสถิติของระบบที่พัฒนาแล้วทั้งหมดประมาณ 40% ของค่าใช้จ่ายในการแก้ไขโปรแกรม เนื่องจากมี "Bug" ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบควรให้ ความส าคัญกับการบ ารุงรักษา ซึ่งปกติจะคิดว่าไม่มีความส าคัญ มากนักเมื่อธุรกิจขยายตัวมากขึ้น ความต้องการของระบบอาจจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ต้องการรายงานเพิ่มขึ้น ระบบที่ ดีควรจะแก้ไข เพิ่มเติมสิ่งที่ต้องการได้การบ ารุงรักษาระบบ ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ เมื่อ ผู้บริหารต้องการแก้ไขส่วนใดนักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียมแผนภาพต่าง ๆ และศึกษาผลกระทบต่อ ระบบ และให้ ผู้บริหารตัดสินใจต่อไปว่าควรจะแก้ไขหรือไม่ ทฤษฎีการเขียนผังงาน (Flowchart) ผังงาน (Flowchart) เป็นผังงานรูปภาพที่ใช้แสดงแนวคิด หรือขั้นตอนการท างานของ โปรแกรม และเป็น เครื่องมือที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของโปรแกรมที่ท าให้เราเขียนโปรแกรมได้ง่าย ยิ่งขึ้น เนื่องจากเราสามารถ มองเห็นแนวคิด และทิศทางการท างานของโปรแกรมนั้นเอง


22 ผังงาน (Flowchart) เป็นผังงานที่ใช้แสดงแนวความคิด หรือขั้นตอนการท างานของ โปรแกรม โดยใช้ สัญลักษณ์แทนค าอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้กรอบสี่เหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์แทนการ ประมวลผล หรือจะเป็นการใช้ ลูกศรแทนทิศทางการท างานของโปรแกรม ซึ่งเราสามารถสรุป สัญลักษณ์การท างานที่ควรทราบได้ ดังนี้ รูปที่ 2.2 สัญลักษณ์ในการออกแบบผังงาน การเขียนผังงาน(Flowchart) มีหลักการง่ายๆที่ควรค านึงดังนี้ คือ 1. ผังงาน (Flowchart) จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเสมอ 2. เลือกใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมายให้ถูกต้อง 3. ใช้ลูกศรเป็นตัวก าหนดทิศทางการท างานของโปรแกรมจากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวาโดย เรียงตามล าดับ 4. รูปสัญลักษณ์ทุกตัวต้องมีลูกศรเข้าและออก ยกเว้นจุดเริ่มต้นจะมีเฉพาะออก จุดสิ้นสุดจะ มีเฉพาะเข้า เท่านั้น 5. ลูกศรทุกตัวจะชี้ออกจากรูปสัญลักษณ์ตัวหนึ่งไปยังรูปสัญลักษณ์อีกตัวหนึ่งเสมอ 6. ค าอธิบายภายในรูปสัญลักษณ์ ควรสั้นๆเข้าใจง่าย 7. ไม่ความใช้ลูกศรชี้ไปไกลมากเกินไป หากจ าเป็นให้ใช้จุดเชื่อมแทน


23 รูปที่ 2.3 ตัวอย่างในการออกแบบผังงาน


24 ทฤษฎีในการออกแบบเว็บไซต์ การออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดี จะต้องมี องค์ประกอบของเว็บไซต์อย่างครบถ้วน ซึ่งได้แก่ 1. ความเรียบง่าย เข้าใจง่าย การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี จะต้องเน้นที่ความเรียบง่ายเป็นหลัก โดยเลือก น าเสนอเฉพาะสิ่งที่ต้องการน าเสนอจริง ๆ ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยอาจจะเป็นสีสัน กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว หรือตัวอักษร ที่ส าคัญจะต้องมีการน าเสนอที่ไม่ดูรกหน้าเว็บจนเกินไป เพื่อ ไม่ให้เกิดความรู้สึกรกสายตา หรือสร้าง ความเบื่อหน่าย น่าร าคาญให้กับผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ มีตัวอย่าง เว็บไซต์ที่มีการออกแบบโดยเน้นความเรียบง่ายได้ดี คือ iPhone, BaNANA และ Powerbuy เป็นต้น รูปที่ 2.4 ตัวอย่างในการออกแบบเว็บไซต์ของ iPhone 2. ความสม่ าเสมอ ไม่สับสน ควรออกแบบเว็บไซต์ด้วยความสม่ าเสมอ คือจะต้องมีรูปแบบ กราฟิก โทนสี และการตกแต่งต่าง ๆ ให้แต่ละหน้าบนเว็บไซต์มีความคล้ายคลึงกัน และเป็นแนว เดียวกันไปตลอดทั้งเว็บไซต์ ดัง ตัวอย่างเว็บไซต์ทั่ว ๆ ไปที่จะสังเกตเห็นได้ว่าทุกหน้าของเว็บไซต์นั้น จะเน้นการตกแต่งในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ต่างก็แค่การน าเสนอของแต่ละหน้าเท่านั้น 3. สร้างความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้สามารถสื่อถึงจุดประสงค์ ในการน าเสนอ เว็บได้ดี จะต้องมีการสร้างความเป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้ สามารถสะท้อนถึงลักษณะของ องค์กรได้มากที่สุด โดยการสร้างเอกลักษณ์ดังกล่าวนั้น อาจใช้ชุดสี


25 รูปภาพ ตัวอักษรหรือกราฟิก นอกจากนี้ก็ต้อง ขึ้นอยู่กับว่า เป็นเว็บไซต์แบบบทางการหรือไม่ เพื่อจะ ได้ออกแบบได้อย่างเหมาะสมที่สุด 4. เนื้อหาต้องดี ครบถ้วน เนื้อหาเป็นสิ่งที่ส าคัญที่สุดของการสร้างเว็บไซต์ เพราะสิ่งที่ท าให้ ผู้คนเกิดความ สนใจ และหมั่นติดตามเว็บไซต์เหล่านั้นอยู่เสมอ ก็คือเนื้อหาที่มีความสมบูรณ์และ น่าสนใจ นอกจากนี้จะต้องมีการ ปรับปรุง พัฒนาเนื้อหาบนเว็บให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึง ข้อมูลต้องมีความถูกต้องที่สุด 5. ระบบเนวิเกชั่น ใช้ง่าย ระบบเนวิเกชั่น เป็นเสมือนป้ายบอกทางเพื่อให้ผู้ใช้งาน ไม่เกิด ความสับสนในขณะ ใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งการออกแบบเนวิเกชั่นก็จะต้องเน้นที่ความเรียบง่าย ใช้งาน สะดวก และมีความเข้าใจได้ง่าย ที่ ส าคัญจะต้องมีต าแหน่งการวางที่สม่ าเสมอเพื่อให้ดูเป็นแนวทาง เดียวกัน ท าให้ผู้ใช้งานหรือผู้ชมรู้สึกประทับใจ และจดจ าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ส่วนใครที่มีการน ากราฟิก มาใช้ในระบบเนวิเกชั่น ก็จะต้องเลือกกราฟิกที่สามารถสื่อ ความหมายได้ดีเช่นกัน 6. คุณภาพของเว็บไซต์เว็บไซต์ที่ดีจะต้องมีคุณภาพ ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบนเว็บไซต์ ไม่ว่า จะเป็นกราฟิก ชนิดตัวอักษร รูปภาพหรือสีสันที่ใช้ เนื้อหาที่น ามาแสดงผล ซึ่งหากเว็บไซต์มีคุณภาพก็ จะสร้างความน่าเชื่อถือ และ เป็นจุดเด่นที่ท าให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความสนใจได้ดี เพราะฉะนั้นห้าม ละเลยในส่วนของคุณภาพเด็ดขาด 7. ความสะดวกในการเข้าใช้งาน เว็บไซต์ควรให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานได้ดี คือจะต้อง มีการแสดงผล ได้ในทุกระบบปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นเว็บเบราว์เซอร์ คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คหรือบน โทรศัพท์มือถือ ที่ส าคัญจะต้อง มีความละเอียดของการแสดผลและสามารถใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา ด้วย 8. ความคงที่ของการออกแบบ การออกแบบเว็บไซต์ควรจะมีความคงที่ในการออกแบบ ด้วย การสร้าง เว็บไซต์ด้วยแบบแผนเดียวกัน และมีการเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ท าให้เว็บมีความ น่าเชื่อถือ และดูมี คุณภาพ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี 9. ระบบการท างานบนเว็บไซต์จะต้องมีความคงที่ และสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งนอกจากการ ออกแบบระบบ การท างานให้มีความทันสมัยและสร้างสรรค์แล้ว ก็จะต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ เพราะหากระบบการใช้งานมี ความผิดปกติก็จะได้แก้ปัญหาได้ทัน นอกจากนี้อาจมีการอัพเดตดีไซน์ ให้ทันสมัยขึ้นบ่อย ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกสนุก ไปกับการใช้งานเว็บไซต์ รูปแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ การออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ สามารถท าได้หลากหลายแบบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบ และความถนัด ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการน าเสนอ เพราะ จะต้องออกแบบให้เหมาะกับการ ใช้งานของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยโครงสร้างของเว็บไซต์ส่วน ใหญ่ก็จะประกอบไปด้วย 4 รูปแบบดังนี้


26 1. โครงสร้างแบบเรียงล าดับ โครงสร้างเว็บไซต์แบบเรียงล าดับ จะเป็นโครงสร้างแบบ ธรรมดาที่นิยมใช้งาน กันมากที่สุด เนื่องจากมีความง่ายต่อการจัดระบบข้อมูล และสามารถน าเสนอ เรื่องราวตามล าดับได้เป็นอย่างดี เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็ก มีเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่ก็จะ เป็นพวกเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ หรือเว็บไซต์องค์กร ขนาดย่อม โดยลักษณะการลิงค์เนื้อหา ก็จะลิงค์ไปที ละหน้า มีทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาต่าง ๆ ในแบบเส้นตรง ใช้ปุ่ม เดินหน้า-ถอยหลังในการก าหนด ทิศทาง จึงท าให้การใช้งานเป็นไปอย่างง่าย แต่โครงสร้างเว็บไซต์แบบเรียงล าดับก็ มีข้อเสีย คือจะท า ให้ผู้ใช้งานต้องเสียเวลาในการเข้าสู่เนื้อหาเพราะไม่สามารถก าหนดทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาด้วย ตัวเอง ได้ รูปที่ 2.5 ตัวอย่างโครงสร้างแบบเรียงล าดับ 2. โครงสร้างแบบล าดับขั้น โครงสร้างแบบล าดับขั้น นิยมใช้กับเว็บที่มีความซับซ้อนของ ข้อมูล เพื่อให้ สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยจะมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ และมีการ น าเสนอรายละเอียดย่อย ๆ ที่ลดหลั่นกันมา ท าให้สามารถท าความข้าใจกับโครงสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยจะมีโฮมเพจเป็นจุดเริ่มต้น และจุด ร่วมจุดเดียวที่จะน าไปสู่การเชื่อมโยงเนื้อหาเป็นล าดับจากบน ลงล่าง รูปที่ 2.6 ตัวอย่างโครงสร้างแบบล าดับขั้น


27 3. โครงสร้างแบบตาราง โครงสร้างแบบตาราง เป็นโครงสร้างการออกแบบเว็บไซต์ที่มีความ ซับซ้อน แต่ก็มี ความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่เนื้อหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น การ ออกแบบในลักษณะนี้จะมีการ เชื่อมโยงเนื้อหาในแต่ละส่วนซึ่งกันและกัน ท าให้ผู้ใช้งานสามารถ เปลี่ยนทิศทาง หรือก าหนดทิศทางในการเข้าสู่ เนื้อหาด้วยตัวเองได้ จึงไม่ท าให้เสียเวลา แถมยังท าให้ เว็บไซต์มีความทันสมัยขึ้น รูปที่ 2.7 ตัวอย่างโครงสร้างแบบตาราง 4. โครงสร้างแบบใยแมงมุม โครงสร้างแบบใยแมงมุม เป็นโครงสร้างที่ได้รับความนิยมเป็น อย่างมาก เพราะมีความยืดหยุ่นมากที่สุด โดยทุกหน้าเว็บจะมีการเชื่อมโยงถึงกันหมด ท าให้สามารถ เข้าถึงหน้าเว็บเพจต่าง ๆ ที่ต้องการได้อย่างง่าย และมีความอิสระมากขึ้น นอกจากนี้ก็สามารถ เชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ภายนอกได้ดี รูปที่ 2.8 ตัวอย่างโครงสร้างแบบใยแมงมุม


28 การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีจะต้องค านึงถึงหลายๆ อย่างด้วยกัน โดยมี 9 ข้อหลักๆ ที่ควร ค านึงถึงดังนี้ 1. ความเรียบง่าย เว็บไซต์ที่ดีควรมีรูปแบบที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ชมสามารถใช้ งานเว็บไซต์ได้ อย่างสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะพวกกราฟิกทั้งหลาย จะต้องไม่ใช่ตัวอักษรที่เคลื่อนไหว อยู่ตลอดเวลา และไม่มีสีสัน ที่ดูแสบตาจนเกินไป 2. ความสม่ าเสมอ คือการเลือกใช้รูปแบบ กราฟิก โทนสี และการตกแต่งหรือการแสดง ผลต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ให้เป็นรูปแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บ 3. ความเป็นเอกลักษณ์ เว็บไซต์ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สามารถบ่งบอกได้ถึงความเป็น บริษัท องค์กร หรือแบรนด์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของ 1 Belief จะมีสีฟ้า ที่เป็นเอกลักษณ์ของ บริษัทอยู่บนเว็บ 4. เนื้อหา โดยเนื้อหาที่น ามาลงในเว็บ ควรเป็นเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บ หรืออาจเป็น เนื้อหาที่ได้สาระ มีประโยชน์ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดี และที่ส าคัญจะต้องมีความ ถูกต้อง สมบูรณ์และมีความทันสมัย 5. ระบบเนวิเกชัน ควรออกแบบให้สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวก สื่อความหมายต่าง ๆ และอธิบายได้ อย่างชัดเจน รวมถึงต้องมีรูปแบบ และล าดับรายการที่มีความสม่ าเสมอ 6. ลักษณะเด่น ส่วนนี้จะถือเป็นหน้าตาของเว็บไซต์เพื่อใช้ในการดึงดูดลูกค้า อาจออกแบบ ลักษณะเด่นของ เว็บให้ตรงกับความชอบส่วนใหญ่ของกลุ่มเป้าหมาย หรือจะออกแบบให้สัมพันธ์ ประเภทของเว็บ และคุณภาพของ องค์ประกอบต่าง ๆ บนเว็บ 7. การใช้งานที่ไม่จ ากัด การท าเว็บไซต์ให้รองรับการเข้าใช้งานจากหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าใช้งานจาก เครื่อง PC สมาร์ทโฟน หรือการใช้เบราว์ซอร์ต่าง ๆ ในการเข้าใช้งาน 8. คุณภาพในการออกแบบ จ าเป็นต้องท าเว็บไซต์ให้มีคุณภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ของการเรียบเรียง เนื้อหาอย่างรอบคอบ การตรวจสอบความถูกต้องและการท าให้เว็บไซต์มีความ น่าเชื่อถือ 9. การเชื่อมโยงไปยังลิงค์ต่าง ๆ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่มีอยู่จริง และมีเนื้อหาที่ เกี่ยวพันกัน และ ควรหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ว่าระบบการเชื่อมโยงยังคงท างานได้ตามปกติและมี ความถูกต้อง แม่นย า อยู่หรือไม่ บนหน้าเว็บเพจ จะมีส่วนประกอบส าคัญที่จ าเป็นต้องมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนหัวของหน้า (Header) อยู่ตอนบนสุดของหน้าและเป็นส่วนที่ส าคัญที่สุด โดยจะต้อง ท าให้สามารถ ดึงดูดผู้ชมให้รู้สึกอยากติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะมีการใส่ ภาพกราฟิกให้ดูสวยงาม สิ่ง ส าคัญหลักๆ เลย ก็คือ โลโก้ ชื่อเว็บไซต์และเมนูหลักที่สามารถลิงค์ไปยัง เนื้อหาในหน้าเว็บเพจต่าง ๆ ได้


29 2. ส่วนของเนื้อหา (Body) อยู่บริเวณตอนกลางของหน้าเว็บ โดยจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ เนื้อหาบนเว็บแบบ คร่าวๆ ซึ่งก็จะมีข้อความ กราฟิก ตารางข้อมูลหรือวิดีโอประกอบอยู่ และหากมี เมนูแบบเฉพาะกลุ่มก็จะถูกจัดไว้ใน หน้านี้เช่นกัน และที่ส าคัญเนื้อหาในส่วนนี้ควรจะมีความกระชับ เข้าใจง่าย มีการใช้รูปแบบตัวอักษรแบบเรียบง่าย และเป็นระเบียบ 3. ส่วนท้ายของหน้า (Footer) อยู่ล่างสุดของหน้าเว็บ ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ ส่วนนี้จะแสดงถึง ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมเข้าไป เช่น ข้อความที่แสดงถึงการเป็นลิขสิทธิ์ข้อมูลเจ้าของเว็บไซต์ วิธีการ ติดต่อและค าแนะน าต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์อย่างถูกต้อง เป็นต้น การเลือกใช้สีในการออกแบบเว็บไซต์มีความส าคัญเป็นอย่างมาก เพราะสีสามารถก าหนด อารมณ์ ความรู้สึก และกระตุ้นการรับรู้ทางด้านจิตใจของมนุษย์ได้ดี ดังนั้นสีที่ใช้จึงต้องมีความ สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ ของเว็บ ว่าต้องการให้ผู้เข้าชมรู้สึกอย่างไรต่อเนื้อหาที่ได้อ่าน โดยรูปแบบของสีที่สายตาของมนุษย์สามารถมองเห็น ได้ก็แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้ 1. สีโทนร้อน (Warm Colors) เป็นสีแห่งความอบอุ่น ปลอบโยนและกระตุ้นความสุขได้ดี ซึ่ง จะท าให้ผู้เข้า ชมรู้สึกมีชีวิตชีวาและมีแรงผลักดันมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยดึงดูดให้ผู้ชมรู้สึกอยากติดตาม เนื้อหามากขึ้น 2. สีโทนเย็น (Cool Colors) เป็นสีแห่งความสุภาพและความอ่อนโยน ท าให้ผู้ชมรู้สึกผ่อน คลายและ เพลิดเพลินมากขึ้น และยังสามารถใช้โน้มน้าวจากในระยะไกลได้อีกด้วย 3. สีโทนกลาง (Neutral Colors) สีเหล่านี้มักจะถูกน าไปผสมกับสีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดสีที่เป็น กลางมากขึ้น และ ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ประโยชน์ของสีในรูปแบบต่าง ๆ 1. ช่วยชักน าให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเนื้อหาบางจุด บางต าแหน่งบนหน้าเว็บ และท าให้ ผู้อ่านรู้สึกอยาก ติดตามเนื้อหาในบริเวณที่เราใช้สีก าหนดไว้มากขึ้น โดยจะต้องเลือกใช้สีอย่าง รอบคอบ และเป็นสีที่สามารถเน้น ความโดดเด่นของเนื้อหาในส่วนนั้นได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้สี เพื่อชักน าในส่วนของข้อมูลใหม่ๆ โปรโมชั่นพิเศษ หรือเนื้อหาในส่วนที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ เป็น ต้น 2. ช่วยในการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความสัมพันธ์แบบไม่เด่นชัดเข้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้ผู้อ่าน มองข้ามข้อมูล บางส่วนไป เพราะการใช้สีในลักษณะนี้จะท าให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาบริเวณที่มีสี เดียวกัน น่าจะมีความส าคัญเท่า ๆ กัน 3. ช่วยในการแบ่งเนื้อหาบริเวณต่าง ๆ ออกจากกัน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่าเนื้อหาส่วนไหน อยู่ในส่วนไหน ใช้ เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่มีสีเหมือนกันเข้าด้วยกัน เป็นการแบ่งแยกเนื้อหาที่มีสีต่างกัน ออกจากกันอย่างชัดเจน


30 4. ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดี ท าให้ผู้ชมรู้สึกสนใจและอยากติดตามเนื้อหาบน เว็บไซต์มากขึ้น และท า ให้พวกเขาอยากกลับมาใช้งานเว็บไซต์อีกหลายๆ ครั้ง แต่ในขณะเดียวกันหาก ใช้สีไม่เหมาะสม ก็จะท าให้ผู้ชมขาด ความสนใจและอยากไปชมเว็บอื่นมากกว่า 5. ช่วยกระตุ้นความรู้สึกการตอบสนองจากผู้ชม เพราะคนแต่ละคนจะมีความรู้สึกสัมพันธ์กับ สีบางสีมากเป็น พิเศษ หากสีที่ใช้มีความสัมพันธ์กับพวกเขา พวกเขาก็จะให้ความสนใจเว็บมากขึ้น 6. ช่วยในการจัดระเบียบให้กับข้อความต่าง ๆ ท าให้ข้อความ เนื้อหา ดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น ออกแบบเว็บไซต์ให้ดูน่าเชื่อถือ 1. ความทันสมัย เว็บไซต์ที่ดี น่าสนใจ และสามารถสะกดลูกค้าให้กล้ากดสั่งซื้อสินค้าบนหน้า เว็บมากขึ้น ก็คือ ความทันสมัย ดังนั้นจึงควรออกแบบเว็บให้มีความทันต่อยุคสมัยอยู่เสมอ และคอย ปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าเว็บ หรืออัปเดตสินค้า ข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เว็บมีความเป็น ปัจจุบัน ไม่ดูเหมือนเว็บที่ถูกปล่อยร้าง จนเกินไป 2. ความเป็นศิลปะ ศิลปะ เป็นสิ่งที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ สีสันหรือการเล่น ลวดลายต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรสร้างเว็บให้ดูเป็นงานศิลปะ ที่สามารถสื่ออารมณ์ถึงผู้ รับชมได้ดี และบ่งบอกถึงความ เป็นเอกลักษณ์ของสินค้าและบริการได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทั้งนี้สีสันที่ น ามาใช้ในการออกแบบควรจะมีความกลมกลืน และไม่ดูรกตาจนเกินไป ที่ส าคัญคือจะต้องตรงตาม กลุ่มเป้าหมายชัดเจน 3. มีข้อมูลผู้ขายชัดเจน เว็บไซต์จะมีความน่าเชื่อถือมากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับการลงข้อมูล ผู้ขายว่ามีความ ครบถ้วน และเป็นข้อมูลที่จริงแท้เพียงใด โดยข้อมูลหลักๆ ที่จ าเป็นต้องมี ก็คือ ชื่อ ของบริษัท ที่อยู่ เบอร์โทร แผน ที่ร้านค้า แฟกซ์ (ถ้ามี) และช่องทางการติดต่ออื่น ๆ ที่สามารถติดต่อ ได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้หากมีการจด ทะเบียนพาณิชย์พร้อมและมีหลักฐานชัดเจน ก็จะยิ่งสร้าง ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น 4. อย่าเน้น Hard Sell มากไป หน้าเว็บไซต์หากมีโฆษณาหรือ Pop up ต่าง ๆ ขึ้นมารบกวน มากเกินไป จะ ท าให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อหน่ายและร าคาญได้ โดยเฉพาะหากโฆษณาเหล่านั้นขึ้นมาปิดตรง ส่วนของเนื้อหาที่ลูกค้าสนใจ พอดี นอกจากนี้ก็รวมถึงพวกแบบฟอร์มติดต่อกับทางร้านด้วย ไม่ควร ออกแบบให้มาอยู่บนหน้าเว็บหลัก เพราะ หากลูกค้าสนใจก็จะเข้าไปยังหน้าติดต่อและกรอก แบบฟอร์มเอง ดังนั้นจึงควรใช้ Hard Sell ให้มีความเหมาะสม ที่สุด 5. อ้างถึงระยะเวลาที่เปิดให้บริการ เว็บไซต์ที่มีการเปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน จะยิ่งสร้าง ความน่าเชื่อถือ ให้กับผู้ชมได้มากขึ้น เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะยึดความเชื่อที่ว่า เว็บไซต์หรือร้านที่เปิด ขายสินค้ามาอย่างยาวนาน มักจะเป็นเว็บที่ไม่โกง การอ้างถึงระยะเวลาที่เปิดให้บริการมาแล้ว ควร อ้างตามความเป็นจริง ไม่ใช่พึ่งเปิดได้เพียง เดือนเดียว แต่อ้างไปเป็น 10 ปี


31 6. ตัวอักษรมีความโดดเด่น อ่านง่าย ตัวอักษรที่ใช้จะต้องมีความโดดเด่นและสามารถอ่านได้ ง่าย โดยให้เลือก ตัวอักษรที่มีขนาดพอเหมาะ มีการลดหลั่นขนาดกันตามล าดับหัวข้อ ใช้สีตัวอักษรที่ มองเห็นได้อย่างเด่นชัด และ เลือกฟ้อนท์ที่มีความเป็นมาตรฐานที่สุด ส าหรับฟ้อนท์แปลกๆ ที่อาจจะ ดูสวยแปลกตาแต่อ่านยากส าหรับคนทั่ว ๆ ไป ไม่ควรน ามาใช้เด็ดขาด 7. อัพเดตหรือน าเสนอข้อมูลอยู่ตลอด เว็บไซต์ที่ไม่มีการอัพเดตใด ๆ เลย มักจะถูกมองว่า เป็นเว็บที่ปล่อยทิ้ง ร้างและท าให้ลูกค้าเกิดความลังเลว่าร้านนี้แม่ค้ายังขายสินค้าอยู่หรือเปล่า เมื่อ สั่งซื้อแล้วจะได้รับสินค้าไหม และ ตัดสินใจไม่ซื้อในที่สุด ดังนั้นจึงควรมีการอัพเดตข้อมูล ความ เคลื่อนไหวต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา หรือจะเป็นการอัพ สินค้าใหม่ๆ เพิ่ม น าบทความมาลง ก็จะท าให้เว็บ ดูมีการเคลื่อนไหวและน่าเชื่อถือได้ดี 8. สะกดอักษรให้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะขึ้นชื่อว่าเป็นยุคที่ภาษาไทยวิบัติ เนื่องจาก ผู้คนส่วนใหญ่เริ่ม ใช้ภาษาโซเชียลที่เป็นภาษาแปลกๆ กันมากขึ้น แต่การท าเว็บไซต์ ก็ยังควรเน้นการ สะกดตัวอักษรให้มีความถูกต้อง มากที่สุดอยู่ดี และต้องมีความสวยงาม น่าอ่าน มีการเว้นวรรคอย่าง ถูกต้องดูเป็นระเบียบด้วย โดยเฉพาะหากเป็น ภาษาอังกฤษ ก็จะต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์และแกรมม่า จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่เข้ามา ดูข้อมูลในเว็บไซต์ได้ดี 9. บอกถึงวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่มักจะอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์แบบผ่านๆ และ ไม่ชอบอ่าน ข้อมูลที่มีความยาวจนเกินไป ดังนั้นในส่วนของเนื้อหา ขั้นตอนการสั่งซื้อ การจ่ายเงิน การ รอรับสินค้าต่าง ๆ ควร เขียนให้มีความกระชับและบอกถึงวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนมากที่สุด เช่น ต้องการท าเว็บไซต์ สนใจคลิกที่นี่ (ให้ใส่ การเชื่อมโยงเข้าไปยังหน้าเว็บการสั่งซื้อ เพื่อให้ลูกค้าคลิกเข้า สู่หน้าเว็บตามวัตถุประสงค์ได้เลย) หรือหากมี โปรโมชั่นอะไรก็ให้บอกอย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อมใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งการบอกถึงวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนนี้ จะท าให้ ลูกค้าทราบทันทีว่าแม่ค้าต้องการสื่ออะไร และถ้าอยากซื้ออยากได้โปรโมชั่นจะต้องท าอย่างไร ด้วยความชัดเจน นี่เองที่จะท าให้ลูกค้าเกิดความ ประทับใจและอยากซื้อสินค้ากับทางร้านมากขึ้น 10. อ้างอิงถึงผู้ที่เคยใช้บริการแล้ว การอ้างอิงถึงผู้ที่เคยใช้บริการแล้ว จะช่วยสร้างความ มั่นใจให้กับลูกค้าได้ดี มาก อาจมีการอ้างถึงและแคปภาพรีวิวจากลูกค้ามาลงบนหน้าเว็บ หรือเปิดให้ ลูกค้าเข้ามารีวิวได้แบบอิสระ ด้วย การเล่าประสบการณ์การใช้สินค้าของทางร้านว่าดีแค่ไหน นอกจากนี้หากเป็นการอ้างอิงถึงผู้ใช้ที่เป็นดาราก็จะยิ่ง ดึงดูดลูกค้าให้เกิดความสนใจมากขึ้น 11. แสดงถึงรางวัลที่เคยได้รับ หากร้านเคยได้รับรางวัลมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรางวัลร้านดีเด่น หรือรางวัลอะไร ที่สามารถแสดงถึงความน่าเชื่อถือได้ ก็ให้น ามาแสดงบนหน้าเว็บ เพราะรางวัลเหล่านี้ จะบอกได้ถึงการมีตัวตนของ ร้าน และท าให้ร้านมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากมีข่าวที่ เกี่ยวกับธุรกิจของตนในด้านดีก็แนะน าให้ น ามาแสดงไว้ที่เว็บไซต์เช่นกัน


32 ทฤษฎีธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ อาจไม่ต้องมีส านักงาน ไม่ต้องมีพนักงานขายเพื่อออกหาลูกค้า ไม่ต้องมีแผนก จัดส่งสินค้า ฯลฯ แต่อาจเติบโตได้โดยใช้เงินทุน และเวลานานพอสมควรจึงจะเป็นที่รู้จักของลูกค้า ปัจจุบันเมื่อเทคโนโลยี เว็บไซต์ (Website) มีการพัฒนาไปเป็นอย่างมาก มีการติดต่อสื่อสารผ่านทาง Internet การท าธุรกิจการค้า แบบเดิม ๆ ก็ไม่จ าเป็นอีกต่อไป เพราะสามารถที่จะท าการขายผ่านทาง อินเทอร์เน็ต ในรูปแบบของธุรกิจออนไลน์ ได้ แถมใช้ต้นทุนต่ าและไม่จ าเป็นต้องจ้างพนักงานมากมาย เหมือนแต่ก่อน การท าธุรกิจออนไลน์จึงกลายเป็นที่นิยม อย่างมากในปัจจุบัน ประเภทธุรกิจออนไลน์ 1. เว็บไซต์ขายสินค้า เป็นรูปแบบธุรกิจที่ผู้คนนิยมท ากันมากที่สุด เพราะท าง่ายและสามารถ สร้างรายได้ได้เร็ว เพียงแค่น าสินค้าของคุณมาแสดงบนเว็บไซต์ พร้อมบอกรายละเอียดและราคา ตกแต่งเว็บไซต์ให้มีความสวยงาม สะดุดตา ก็จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เกิดความสนใจได้ดี 2. เว็บไซต์เพื่อการโฆษณา รูปแบบการท าธุรกิจออนไลน์ ที่ไม่ใช่การขายสินค้าบนเว็บ แต่เป็น การแนะน าหน้า ร้านของตนเอง เพื่อให้มีผู้คนรู้จักมากขึ้น โดยรายละเอียดในการประชาสัมพันธ์ก็จะ บอกว่า ร้านของเราคือร้าน อะไร ขายอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน และสามารถท าการติดต่อได้อย่างไร นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดให้กับ เว็บไซต์ ก็อาจมีการเพิ่มเติมเนื้อหาในรูปแบบของ บทความให้ความรู้ประกอบลงบนเว็บ 3. เว็บไซต์ข่าวสาร เป็นการท าธุรกิจออนไลน์ด้วยการเผยแพร่ข่าวสาวต่าง ๆ ให้กับผู้อื่นได้รู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะ สร้างรายได้ด้วยการติดโฆษณากับ Google AdSense ซึ่งก็ท ารายได้ได้ดีไม่แพ้การขาย ของ เพียงแต่ต้องมีการ อัพเดตข่าวสาร-บทความ อย่างสม่ าเสมอ 4. เว็บ Blog โปรโมทสินค้า ส่วนใหญ่จะท าขึ้นมาเพื่อเป็นการรีวิวสินค้าหรือสิ่งต่าง ๆ ที่มี ความน่าสนใจ ซึ่ง blog ในรูปแบบนี้ มักจะได้รับความนิยม เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบดูรีวิวสินค้า ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ 5. เว็บตลาดประกาศขาย เป็นการท าธุรกิจออนไลน์ในรูปแบบของการเป็นสื่อกลาง (ตลาด) เพื่อให้ผู้คนได้มา ท าการซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือแสดงความคิดเห็นกัน ตัวอย่างเว็บไซต์ประเภทนี้ เช่น Kaidee และ เว็บประกาศฟรี เป็นต้น 6. เป็นผู้ประกาศขาย ด้วยการน าสินค้าของตัวเองเข้าไปขายในตลาดออนไลน์ เมื่อเริ่มมี ชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก อย่างแพร่หลาย จึงสร้างตลาดออนไลน์เป็นของตัวเอง พร้อมกับขายสินค้าของ ตัวเองไปด้วย


33 ข้อดีของธุรกิจออนไลน์ 1. ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ท าได้ เพราะธุรกิจออนไลน์เป็นการเปิดกว้างในการขาย เพียงแค่สร้าง แฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเปิดร้านค้าออนไลน์ขึ้นมา ก็สามารถน าสินค้ามาขายได้ทันที ซึ่งตัวสินค้าที่ น ามาขายนั้นก็อาจจะเป็นตัวสินค้าที่ มีสต็อกจริง ๆ หรือเป็นการขายในรูปแบบตัวแทนที่ไม่ต้องมีหน้า ร้าน โดยหากต้องการให้ธุรกิจออนไลน์ของเข้าถึง กลุ่มลูกค้าอย่างรวดเร็ว ก็แค่ท า SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ต่าง ๆ เช่น Google, Bing, Yahoo 2. ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่มีค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าพื้นที่ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหา ลูกค้า หรือค่าสินค้าที่ จะน ามาสต็อกไว้ขาย การท าธุรกิจออนไลน์นั้นมีร้านค้าฟรี แฟนเพจฟรี ให้ สามารถเปิดขายได้ง่าย แค่มีอินเทอร์เน็ต เท่านั้น 3. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก เพราะบนโลกออนไลน์เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แบบทั่ว โลก แค่มีความรู้ใน ด้านภาษาเล็กน้อย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อพูดคุยกับลูกค้าได้ง่ายๆ ผ่านทางโซ เชียล อย่างเช่น Line, Facebook และ IG ที่สามารถเข้าถึงได้หลายประเทศ 4. สร้างแบรนด์ของตัวเองได้ คนส่วนใหญ่มักจะใช้อินเทอร์เน็ตจนเป็นส่วนหนึ่งของการ ด ารงชีวิต การขาย สินค้าโดยสร้างแบรนด์ของตัวเองบนธุรกิจออนไลน์ จึงท าให้มีผู้คนรู้จักและจดจ า แบรนด์ได้ง่ายขึ้น ประหยัด ค่าใช้จ่ายในการโปรโมทแบรนด์ได้มากกว่าเดิม 5. ท าได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถท าธุรกิจออนไลน์ อัพโหลดสินค้า พูดคุย ตอบโต้กับลูกค้าได้ ตลอด เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ได้ อาชีพนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ ต้องการสร้างรายได้เสริม เพราะถึงแม้ว่าจะท างานประจ า ก็สามารถสร้าง รายได้จากธุรกิจออนไลน์ได้ตลอดเวลา 6. ท าได้ทุกสายอาชีพ ธุรกิจออนไลน์เป็นงานที่เปิดกว้าง ไม่ว่าใครก็สามารถท าได้ และมีผู้คน จ านวนไม่น้อยที่ ประสบความส าเร็จกับการท าธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักเรียนนักศึกษาที่อยากจะมี รายได้เสริม ก็สามารถเริ่มลงมือได้ 7. สร้างรายได้มากกว่างานประจ า เรื่องนี้คือเรื่องจริง พนักงานประจ าบางคนขายของ ออนไลน์เป็นอาชีพเสริม ก็สามารถมีรายได้หลักแสน-หลักล้านได้ แต่จะต้องตั้งใจเรียนรู้ ลงมือท าอย่าง จริงจัง ท าธุรกิจออนไลน์ เสมือนหนึ่ง ว่านี่คือการท างานประจ า ท าพลาดก็กลัวโดนไล่ออก ท าดีก็ได้ ขึ้นเงินเดือน (รายได้)


34 วิธีการท าธุรกิจออนไลน์ 1. เว็บไซต์ สิ่งส าคัญของการท าธุรกิจออนไลน์ปัจจุบันโซเชียลก าลังมาแรง จึงท าให้เหล่า พ่อค้าแม่ค้าหรือผู้ที่ ต้องการท าธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ ให้ความส าคัญกับเว็บไซต์น้อยลง โดยเฉพาะ แบรนด์เล็ก ๆ แต่หากมองในแง่ ความจริงแล้ว เว็บไซต์ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ส าคัญที่สุดต่อการท าธุรกิจ ออนไลน์อยู่ดี โดยเฉพาะกับแบรนด์สินค้าที่ ต้องการการเติบโตอย่างยั่งยืน นั่นก็เพราะเว็บไซต์ถือเป็น สินทรัพย์บนโลกออนไลน์ของแบรนด์ เพราะมีเจ้าของจริง โดยไม่ได้ไปเช่าที่ของคนอื่นอยู่ หรืออาจ กล่าวได้ว่า เจ้าของเว็บไซต์ สามารถท าอะไรกับเว็บไซต์ก็ได้ตามต้องการ นอกจากนี้หากแบรนด์ไหน สามารถใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์ได้ดี ก็จะกลายเป็นผู้ที่ได้เปรียบบนโลกออนไลน์อีกด้วย 2. เน้นการสร้างคุณค่า และซื้อโฆษณาให้น้อยลง การซื้อโฆษณาเป็นกลยุทธิ์ ที่เหล่านักธุรกิจ ออนไลน์ส่วน ใหญ่นิยมใช้กัน ซึ่งแม้ว่าโฆษณาเหล่านี้จะสามารถเพิ่มผู้เข้าชมให้สูงขึ้นได้ และยังเข้าถึง กลุ่มลูกค้าได้เป็นจ านวน มากในระยะเวลาสั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถที่จะหยุดจ่ายเงินค่า โฆษณาเหล่านั้นได้ เมื่อมีการแข่งขัน ทางด้านโฆษณาสูงขึ้น ราคาค่าโฆษณาก็จะแพงขึ้น ดังนั้นคงจะ ดีกว่าหากพยายามซื้อโฆษณาให้น้อยลง และเน้น การสร้างคุณค่าให้กับเว็บไซต์ให้มากขึ้นแทน (การ ท า SEO) ซึ่งจะท าให้ได้กลุ่มลูกค้าที่เข้าชมเว็บไซต์เนื่องจากความ สนใจในเว็บไซต์จริง ๆ และยังลด ค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาลงอีกด้วย 3. อย่าลืมเก็บข้อมูลลูกค้า การเก็บข้อมูลของลูกค้า มีความส าคัญต่อการท าธุรกิจออนไลน์ เป็นอย่างมาก เพราะในอนาคตคาดว่าจะกลายเป็นยุคที่มีการท า Big Data ซึ่งมี Artificial Intelligence (AI) เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่ง หากแบรนด์ไหนมีข้อมูลของลูกค้ามาก ก็จะสามารถประมวลผล ได้ดีกว่า และยังได้เปรียบคู่แข่ง นอกจากนี้ก็ สามารถที่จะเสนอการขายได้อย่างถูกที่ ถูกเวลามากกว่า เช่นกัน โดยการเก็บข้อมูลของลูกค้า ก็สามารถท าได้ 2 แบบ คือ 3.1 การเก็บข้อมูลจากที่ลูกค้าให้มา เช่น อายุ เพศ ชื่อ งบประมาณ เป็นต้น 3.2 การเก็บข้อมูลที่ได้จากพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ความถี่จากการที่ลูกค้าเปิดอีเมล การ เข้าใช้งานของ ลูกค้า เป็นต้น 4. อย่าละทิ้งโลก Offline การท าธุรกิจออนไลน์ไม่ควรละทิ้งโลก Offline ดังนั้นจึงควร เชื่อมต่อระหว่างโลก ออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน กล่าวคือ เป็นการขายและ ให้บริการผ่านทางออนไลน์ก็จริง แต่ก็ ควรเปิดช่องทางให้สามารถติดต่อกันในรูปแบบ offline ได้ด้วย หรือในบางคนที่นอกจากจะขายของบนร้านค้า ออนไลน์แล้ว ก็มีหน้าร้านจริงด้วยนั่นเอง


35 การตลาดออนไลน์ 4.0 (Digital Marketing) เป็นรูปแบบในการท าการตลาดออนไลน์ที่ก าลังได้รับความนิยม และมีการพูดถึงเป็นอย่าง มาก โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์ 4.0 ซึ่งมี 3 ลักษณะส าคัญที่เหล่านักธุรกิจควรรู้ก่อน เริ่มท า การตลาดออนไลน์ 4.0 ดังนี้ 1. การท าธุรกิจแบบออนไลน์และออฟไลน์ต้องไปด้วยกัน การตลาด 4.0 เน้นการเชื่อมโยง ระหว่างโลก ออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ผู้ที่ต้องการท าธุรกิจการขาย ก็จะต้องมีทั้งการขายบน ร้านค้าออนไลน์ และขาย แบบหน้าร้านจริง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น และยัง เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือได้ดี 2. การตลาด 4.0 กับ 1-1 Marketing เน้นการท าธุรกิจที่ให้ความใส่ใจ และให้ความส าคัญกับ ลูกค้าแบบ รายบุคคล มากกว่าลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ 3. ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน พร้อมรับฟังความเห็น เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องมีการให้ ข้อมูล และรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่าย ดังนั้นผู้ที่ท าธุรกิจออนไลน์จึงต้อง เตรียมข้อมูลส าหรับการตอบ ค าถาม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด และต้องยอมรับฟัง ค าติชมจากลูกค้า เพื่อน ามาปรับปรุงต่อไป การจะท าธุรกิจในยุคการตลาด 4.0 จึงต้องท าการศึกษา ข้อมูลและกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้ดี เพื่อให้สามารถขับเคลื่อน ธุรกิจไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างความน่าเชื่อถือบนร้านค้าออนไลน์ เนื่องจากในปัจจุบันมีเว็บไซต์หลอกลวงเป็นจ านวนมาก ท าให้ ลูกค้าเริ่มขาดความมั่นใจและ ระมัดระวังในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นการจะขายของออนไลน์ ก็ต้องสร้าง ความน่าเชื่อถือ ให้กับร้านเป็นส าคัญ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อใจและตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยนั่นเอง โดยมีวิธีการสร้าง ความ น่าเชื่อถือบนร้านค้าออนไลน์ด้วย 7 วิธีง่ายๆ ดังนี้ 1. บอกเบอร์โทรศัพท์บนหน้าเว็บอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าติดต่อได้ง่าย และยังเป็นการ แสดงให้เห็นได้ว่าร้าน มีตัวตนจริง ซึ่งจะท าให้กลุ่มลูกค้ารู้สึกมั่นใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง ที่ส าคัญควร เป็นเบอร์ของตัวเองจริง ๆ และเป็น เบอร์ที่ติดต่อได้ง่ายด้วย 2. มีการอัพเดตเนื้อหาอย่างสม่ าเสมอ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าร้านมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา และร้านยังเปิดอยู่ แน่นอน โดยส าหรับเนื้อหาที่จะน ามาอัพเดตนั้น นอกจากจะเป็นสินค้าที่ขายแล้ว ก็ อาจเป็นเนื้อหาที่ให้ความรู้ต่าง ๆ ด้วยก็ได้ เพียงแต่ต้องเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ สร้างจุดสนใจได้ดี และ ไม่ดูน่าเบื่อจนเกินไปนั่นเอง หรือหากคิดไม่ ออก การแชร์ภาพที่ท าให้อารมณ์ดีก็ช่วยได้เหมือนกัน 3. ท าร้านให้เหมือนมนุษย์ นั่นคือการท าร้านให้ดูมีชีวิตจริง ๆ ด้วยการเปิดเผยหน้าตาและ ประวัติบางส่วนของ แม่ค้า รวมถึงมีการพูดคุยตอบโต้เพื่อสร้างความคุ้นเคยและเป็นกันเองกับลูกค้า อยู่เสมอ โดยวิธีนี้นอกจากจะท าให้ ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและอยากซื้อสินค้ากับทางร้านมากขึ้นแล้ว ก็ยังสร้างความประทับใจให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจได้ ดีอีกด้วย ซึ่งก็รับรองเลยว่าขายได้แน่นอน


36 4. โชว์รีวิวของลูกค้าจริง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจจากการได้ชมรีวิวของผู้ที่เคยซื้อ สินค้าหรือ บริการมาก่อน ดังนั้นการน ารีวิวของลูกค้ามาโชว์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มยอดขายได้ดี และสามารถเพิ่มความ น่าเชื่อถือได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามรีวิวที่น ามาใช้ ควรจะเป็นรีวิวจากลูกค้าที่ มีตัวตนจริง ๆ ซื้อจริงและใช้สินค้า จริง โดยท าเป็นภาพก่อนและหลังใช้สินค้า หรือจะท าเป็นข้อความ การสัมภาษณ์ก็ได้ 5. ลงรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับแม่ค้า การติดต่อ หรือ รายละเอียดของสินค้า โดยรายละเอียดหลักๆที่ควรจะมีก็คือ ชื่อสินค้า สี ไซส์ ราคาและเงื่อนไขการ จัดส่ง ส่วนรูปภาพ ถ้าเป็นรูปที่ถ่ายเอง ก็จะดีมาก เพราะแสดงให้เห็นได้ว่าแม่ค้ามีสินค้าพร้อมขาย อย่างแน่นอน และไม่ใช่การเซฟรูปจากที่อื่นมาขายเพื่อ หลอกลวงนั่นเอง 6. ต้องมีความโปร นั่นก็คือการเป็นแม่ค้าพ่อค้าแบบมืออาชีพนั่นเอง โดยมีความเข้าใจใน สินค้าทุกตัว สามารถ ตอบค าถามลูกค้าได้อย่างไม่มีติดขัดเสมอ และที่ส าคัญจะต้องใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นต าหนิ บนภาพ ขนาดภาพที่ดูใหญ่หรือเล็กเกินไป และการสะกดค าที่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้จะต้องมีการอัพเดตข้อมูล ให้เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลาด้วย 7. อย่าลืมข้อมูล เกี่ยวกับเรา ค าถามที่ถามบ่อยและการการันตี โดยในส่วนเกี่ยวกับเราก็อาจ พูดถึงประวัติของ ทางร้านเล็กน้อย และมีการแนะน าตัวเจ้าของร้านเพื่อสร้างความเป็นกันเองด้วยก็ได้ ส่วนค าถามที่ถามบ่อย ก็ให้ ลองเลือกค าถามที่พบบ่อย ๆ จากลูกค้ามาเขียนและตอบเอาไว้ ลูกค้าที่มี ความสงสัยเดียวกันจะได้อ่านท าความ เข้าใจได้เลยโดยไม่ต้องถามให้เสียเวลานั่นเอง และสุดท้ายก็คือ การการันตี โดยจะต้องการันตีอย่างพอเหมาะไม่ดู เกินจริง เท่านี้ก็จะสร้างความเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ ไม่ยาก กฎในการซื้อของออนไลน์ เป็นกฎในการซื้อของออนไลน์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยึดถือ ดังนั้นเหล่าแม่ค้าพ่อค้าจึงต้องท าให้ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายให้กับร้านของตัวเองนั่นเอง 1. ต้องแจ้งราคาและรายละเอียดสินค้า การแจ้งราคาและรายละเอียดของสินค้าแบบชัดเจน เป็นการแสดง ความจริงใจต่อลูกค้า ซึ่งจะท าให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้น โดยจะสังเกตได้ว่าลูกค้าส่วน ใหญ่ หากพบว่าสินค้าที่ขาย ไม่มีราคาหรือมีรายละเอียดไม่มากพอก็จะตัดสินใจไม่ซื้อทันที และไปหา ซื้อจากร้านอื่น ๆ ที่มีการระบุราคาแน่นอน มากกว่า ดังนั้นผู้ที่เปิดร้านค้าออนไลน์ จึงต้องระบุราคา สินค้าพร้อมให้รายละเอียดอย่างชัดเจน หรือหากมีเงื่อนไข ราคา ก็อาจระบุเป็นช่วงราคา เช่น 80-100 บาท แทนก็ได้ 2. มีหน้าร้านหรือที่อยู่ ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับร้านที่มีที่อยู่อย่างชัดเจนมากกว่า เพราะจะท าให้รู้สึก ว่าปลอดภัยแน่นอน โดยเฉพาะร้านที่มีหน้าร้านจริง ไม่ใช่แค่ขายออนไลน์เท่านั้น แต่หากเป็นการขายออนไลน์ที่ไม่ มีหน้าร้าน ก็ให้บอกที่อยู่บ้านแทน และจะต้องเป็นที่อยู่จริง ๆ ไม่ใช่ โกหกขึ้นมาด้วย


37 3. ข้อมูลผู้ขายสามารถสืบค้นได้เพราะพวกมิจฉาชีพมักจะมีการแอบอ้างชื่อของผู้อื่นมาใช้ใน การหลอกลวงอยู่ เสมอ ดังนั้นนอกจากจะต้องมีข้อมูลผู้ขายอย่างครบถ้วนแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็ จะต้องสืบค้นได้จริง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะ เป็น Facebook เบอร์โทร อีเมลหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้ขายได้ลงใน ประกาศไว้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกค้าเชื่อใจ และเพิ่มโอกาสในการท ายอดขายได้ดี ก็อย่าลงข้อมูล ปลอมเด็ดขาด 4. เบอร์โทรต้องโทรติดต่อไปเสมอ เพื่อความมั่นใจ ลูกค้าบางคนมักจะลองโทรเข้าเบอร์ โทรศัพท์ที่ผู้ขายแจ้งไว้ ก่อน เพื่อดูว่าใช่เบอร์ผู้ขายจริงหรือไม่ และโทรติดไหม ซึ่งหากโทรไปแล้ว ผู้ขายรับพร้อมตอบค าถามลูกค้าทุกครั้ง ก็จะท าให้ลูกค้ามั่นใจและตัดสินใจซื้อสินค้ากับทางร้าน แต่ หากโทรไปไม่ติด หรือโทรไป 2-3 ครั้งก็ไม่มีคนรับเลย แบบนี้ลูกค้าก็จะขาดความมั่นใจไปทันที เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียลูกค้า ควรให้เบอร์โทรจริงและต้องโทรติด เสมอด้วย 5. มีการตอบกลับการสั่งซื้อของลูกค้าเป็นหลักฐาน การท าการซื้อขายกันบนอินเทอร์เน็ต ควรมีการตอบกลับ รายการสั่งซื้อและการแจ้งช าระเงินของลูกค้า เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการซื้อขาย สินค้ากันจริง กล่าวคือ เมื่อลูกค้า ท ารายการสั่งซื้อสินค้าไป ผู้ขายได้รับแล้วก็ให้ตอบ Reply กลับมา และเมื่อลูกค้าโอนเงินพร้อมแจ้งช าระ ก็ให้ผู้ขาย ท าการตอบกลับเป็นการรับทราบถึงการช าระเงิน ดังกล่าวด้วย ซึ่งลูกค้าก็จะท าการบันทึกเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน หากทางร้านโกงไม่ส่งสินค้าให้จริง ดังนั้นผู้ขายไม่ควรละเลยตรงจุดนี้เด็ดขาด เพราะจะเป็นการสร้างความ น่าเชื่อถือได้ดีนั่นเอง 5 Tips สร้าง Banner Ads ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย 1. เลือกขนาดที่เหมาะสมขนาดของเเบนเนอร์ที่ดี มีดังนี้: 300×250 Pixel Medium Rectangle ถือว่าเป็นขนาดที่ดีที่สุดในการแสดงผล ทั้งบนมือถือและแท็บเลต เพราะจะอยู่ด้านบน และมีสัดส่วน 40% ของภาพรวมทั้งหมด 2. เลือกพื้นหลังให้เหมาะภาพพื้นหลังของ Banner Ads ควรเลือกให้เหมาะกับสีฟ้อนต์ เพราะจะช่วยเสริมให้ตัวหนังสือเห็นชัด อ่านสบายตา เเละยังช่วยเพิ่มการจดจ าด้วยนะคะ เเละที่ ส าคัญจะต้องสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าต้องการขายสินค้าอะไร ซึ่งการเลือกใช้พื้นหลังก็จพมีอยู่ 2 เเบบหลักๆ นั่นก็คือการใช้ภาพพื้นหลังสีทึบ เเละการใช้รูปภาพเป็นภาพพื้นหลัง 3. หัวเรื่อง (Headline) ต้องน่าสนใจโดยหัวเรื่องอาจใช้ข้อความสั้น ๆ ที่มีความกระชับได้ ใจความและมีความครีเอทีฟ สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ เเต่ก็ยังคงความชัดเจนว่า เราต้องการสื่อสารอะไรลงไปในภาพ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าเราจะสื่ออะไรเเละเกิดความสนใจในตัว สินค้านั้นๆ อย่างการใช้ค ากริยาขึ้นต้น เช่น ‘จองด่วน’ ‘อย่ารอช้า’ ‘ลดให้เลยกว่าครึ่ง’ หรืออาจใช้คีย์ เวิร์ด ที่บ่งบอกถึงสรรพคุณเเละประโยชน์ของตัวสินค้า เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ อยากรู้ อยากเห็น เเละกดคลิกตัวโฆษณาในที่สุด 4. ใช้ข้อความย่อย (Sub-heading) การใช้ข้อความย่อยหรือ Sub-heading ไม่ใช่เรื่องเเย่ เสมอไป เพราะในบางครั้งเพียงแค่หัวข้อ กับ Call to Action อาจจะเล่าเรื่องราวได้ไม่เพียงพอ ดังนั้น


38 การเพิ่มข้อมูลส่วนเล็กๆ เพิ่มเข้าไปใต้หัวเรื่องใหญ่ ก็สามารถช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าเเละเกิดความ อยากซื้อมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบ Banner Ads โฆษณาจากแบรนด์“Eatfresh” ที่มี สินค้าเป็นอาหาร ได้มีการใส่ค าพาดหัวที่เล่าถึงความน่ารับประทาน และ ความอร่อย นอกจากนี้ยังมี การใช้ Sub-headings “Serve Hot in 30 Minutes” ที่เป็นตัวช่วยอธิบายคุณค่าเพิ่มเติมในด้าน บริการที่ท าให้ลูกค้ามีความรู้สึกอยากทานมากขึ้น 5. ออกแบบ Landing Page ให้สอดคล้องกับโฆษณาการออกแบบ Landing Page ให้ สอดคล้องกับโฆษณา Banner Ads ที่เรายิงไป สามารถช่วยให้โฆษณาของเรามีผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ซึ่ง สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ที่เมื่อกดเข้ามาแล้วคงไม่อยากจะเสียเวลาหาสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือก Landing Page เป็นหน้าหลักของเว็บไซต์ ในขณะที่โฆษณาของคุณระบุถึง สินค้าชนิดหนึ่ง การที่ลูกค้าคนหนึ่งคลิกเข้าไป แล้วยังไม่ใช่หน้าเว็บไซต์ของสินค้าตัวนั้นทันที ก็อาจจะ ท าให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีได้ โดยสิ่งที่เราควรท านั่นคือการใส่ Landing Page เป็นหน้าเว็บ ส าหรับซื้อสินค้าชิ้นนั้น เพื่อท าให้ลูกค้าได้ท าสิ่งที่ตัวเองต้องการในทันทีที่กดโฆษณา Banner Ads ข้อเสียของการท าธุรกิจออนไลน์ 1. มีการแข่งขันที่สูงมาก – ด้วยความที่ธุรกิจออนไลน์เป็นธุรกิจที่สามารถท าได้ง่าย ใครก็ สามารถท าได้นั่นจึง ท าให้การท าธุรกิจประเภทนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อธุรกิจเดียวกันเกิดขึ้นมาก ๆ ก็กลายเป็นว่าแย่งกลุ่มลูกค้า เป้าหมายกลุ่มเดียวกันหมด โอกาสที่จะประสบความส าเร็จก็มีน้อยลง เรื่อย ๆ ที่ส าคัญอาจเกิดปัญหาทะเลาะเบาะ แว้งกันระหว่างคนขายด้วย 2. มีการขายตัดราคาท าให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่ล าบาก – สืบเนื่องจากการแข่งขันที่สูงกันมาก ขึ้นเรื่อย ๆ วิธีการ ที่ธุรกิจออนไลน์หลายแห่งตัดสินใจท าก็คือตัดราคาขายกันเองจนธุรกิจขนาดเล็กที่ สายป่านสั้น ไม่สามารถเลือกหา สินค้าที่ต้นทุนถูกกกว่าเจ้าใหญ่ได้ก็ไม่สามารถขายสินค้าออกได้ จน ในที่สุดก็ต้องปิดตัวเองลงเพราะลูกค้าเลือกซื้อ สินค้าที่มีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพเดียวกัน 3. ขาดความน่าเชื่อถือในตัวสินค้า – ต้องยอมรับว่าการเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจออนไลน์ยัง เป็นที่ไม่ต้องการ ของหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน เนื่องจากการซื้อสินค้าในลักษณะนี้ผู้ซื้อจะไม่ได้เห็นตัว สินค้าจริงว่าเป็นอย่างไร นั่น ท าให้โอกาสที่จะได้ของไร้คุณภาพมีสูงหรือได้สินค้าที่คุณภาพไม่ตรงตาม ต้องการได้เช่นกัน 4. มีความเสี่ยงที่จะได้สินค้าไม่ตรงตามต้องการ – เมื่อมีการซื้อสินค้าออนไลน์ก็ต้องมีการส่ง สินค้าซึ่งตอนที่ส่ง สินค้ามาให้ก็อาจเกิดปัญหาได้สินค้าไม่ตรงตามที่ระบุเอาไว้หรือว่าสินค้าเกิดความ เสียหายระหว่างการขนส่งได้ด้วย เช่นเดียวกัน 5. มีความยุ่งยากส าหรับคนที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยี – ส าหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งเรื่อง เทคโนโลยีการท าธุรกิจ ออนไลน์จะเป็นสิ่งที่ยากล าบากมาก ๆ เพราะหากท าอะไรผิดพลาดจนเกิด


39 เป็นไวรัสหรือโดนแฮ็คข้อมูลส าคัญใน การท าธุรกิจไปก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในภายหลังก็ได้ เหมือนกัน 6. บ่อยครั้งที่สินค้าขายไม่ออกจนท้อ – การท าธุรกิจออนไลน์บางครั้งมันก็เป็นวันแย่ๆ ได้ เหมือนกันเพราะ หากสินค้าขายไม่ออกติดต่อกันมาก ๆ ก็อาจท าให้คนทีท าเกิดความท้อถอยต่อการ ท าธุรกิจประเภทนี้ได้ ซึ่งเป็นสิ่ง ที่จะบั่นทอนจิตใจจนในที่สุดก็อาจตัดสินใจเลิกท าไปโดยปริยาย ทฤษฎีโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 Adobe Photoshop CS6 เป็นโปรแกรมในตระกูล Adobe ที่ใช้ส าหรับ ตกแต่งภาพถ่าย และภาพกราฟิก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสิ่งพิมพ์ นิตยสาร และงานด้าน มัลติมีเดีย อีกทั้งยังสามารถ Retouching ตกแต่งภาพและสร้างภาพ ซึ่งก าลังเป็นที่นิยม สูงมาก ในขณะนี้ เราสามารถน าโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 ในการแต่งภาพ การใส่ Effect ต่าง ๆ ให้กับภาพ และตัวหนังสือ การท าภาพขาวด าและการท าภาพถ่ายเป็นภาพเขียน การน าภาพ ต่าง ๆ มารวมกัน การ Retouch ตกแต่งภาพ เป็นต้น โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 เป็น โปรแกรมที่ มีเครื่องมือมากมายเพื่อสนับสนุนการสร้างงานประเภทสิ่งพิมพ์ งานวิดีทัศน์ งาน าเสนอ งานมัลติมีเดีย ตลอดจนงานออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ในชุดโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 จะประกอบด้วย โปรแกรมสองตัว ได้แก่ Adobe Photoshop CS6 และ Image Ready การที่จะใช้ งานโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 คุณต้องมีเครื่องที่มีความสามารถสูงพอควร มีความเร็วใน การประมวลผล และมีหน่วยความจ าที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นการสร้างงานคงไม่สนุกแน่ (ไอทีจีเนียส เอ็น จิเนียริ่ง, 2557) ข้อดีโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 1. มีความยืดหยุ่นของเครื่องมือในการท างานมาก 2. มีเครื่องมือ รวมถึง Filter ต่างๆ มากมายให้เลือกใข้ 3. มีเครื่องมือส าหรับเปิดไฟลล์ RAW (Adobe RAW)ซึ่งนักถ่ายภาพมืออาชีพใช้กัน 4. สามารถปรับ Profile สี ให้เข้ากันด้วย รวมถึงมี Adobe RGB ที่เป็นสากลทั่วโลกใช้กัน 5. สามารถใช้งานแบบ Layer ได้ 6. สามารถใช้ Plug-in เสริม รวมกับ โปรแกรมอื่นได้ 7. สามารถใช้งานร่วมกับหลายโปรแกรมจากค่าย Adobe ได้ เช่น Premiere, Illustrator 8. สามารถเปิดภาพ และเซฟไฟลล์ ได้หลายนามสกุล 9. สามารถ Slice ภาพ ออกเป็นภาพย่อยๆ และเซฟเป็นเว็บได้ทันที


40 ข้อเสียโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 1. มีราคาแพง 2. กินทรัพยากรเครื่องสูง 3. ยังคงมีปัญหาสระลอย ในภาษาไทย (ไม่รู้ CS3 แก้แล้วหรือยัง) 4. บังคับลง Adobe Bridge ซึ่งคนที่ไม่ใช่ Photograph คงไม่ได้ใช้แน่ๆเลย 2.5 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง นายภูมิทัต ตรีหิรัญ และนายวรัญญู จิตตาศิรินุวัตร (2563) โครงการระบบขายสินค้า ออนไลน์ ประเภท นาฬิกา ยี่ห้อ ไซโก้ คณะผู้จัดท าได้คิดท าโครงการนี้นั้นเพื่อสร้างเว็บไซต์เรื่อง นาฬิกายี่ห้อไซโก้วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อให้ผู้คนสนใจเกี่ยวกับนาฬิกายี่ห้อไซโก้เพิ่มมากขึ้น เป็นการเผยแพร่อย่างทั่วถึงให้บุคคลที่สนฝจได้เข้ามาศึกษาผ่านทางเว็บไซต์ของเราหลายอย่าง เกี่ยวกับนาฬิกายี่ห้อไซโก้ นางสาวกุลนันทน์ มธุรเวช และนายวรกุล ศรีพาชา (2563) โครงการระบบขายสินค้า ออนไลน์ ประเภทผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อความงาม คณะผู้จัดท าได้คิดท าโครงการนี้นั้นเพื่อสร้าง เว็บไซต์เรื่อง สินค้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อความงามเพื่อสุขภาพวัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อให้ ผู้คนสนใจเกี่ยวกับสมุนไพรเพื่อความงามเพิ่มมากขึ้นเป็นการเผยแพร่อย่างทั่วถึงให้บุคคลที่จะสนใจได้ เข้ามาศึกษาต่อผ่านทางเว็บไซต์ของเรา นายสุริยา ชูก้าน และนางสาวมิยูกิ ซาซากิ (2563) โครงการระบบขายสินค้าออนไลน์ ประเภทอุปกรณ์สมุดัจฉริยะ เพื่อให้ผู้สนใจเกี่ยวกับสมุดอัจฉริยะเพิ่มมากเป็นการเผยแพร่อย่างทั่วถึง ให้บุคคลที่สนใจได้เข้ามาซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ของเรา ช่วยอ านวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการ ซื้อสินค้า และใช้เป็นกรณีศึกษาในการพัฒนาเว็บไซต์ต่อไป


Click to View FlipBook Version