องคป์ ระกอบของดนตรี
1. เสียงดนตรี ( Tone)
เสียงที่มนุษยป์ ระดิษฐข์ ึน้ มา โดยนาเสียงต่างๆ มาจดั ระบบให้ได้สดั ส่วน มีความกลมกลืนกนั
เครือ่ งดนตรี/เสียงรอ้ งเพลงของมนุษย์
ระดบั เสียง Pitch หมายถึง คณุ สมบตั ิของเสียง เกิดการสนั่ สะเทือน
ความสงู ตา่ ของเสียง
ความเขม้ ของเสียง คณุ ภาพของเสยี ง
ความยาวของเสียงดนตรี
Duration Intensity จงั หวะทางดนตรี Quality
2. จงั หวะ (Rhythm)
การเคลื่อนไหวที่สมา่ เสมอ เป็นความช้า /เรว็ ท่ีต่างกนั ความสนั้ / ยาวของเสียง
จงั หวะในดนตรีสากล
จงั หวะเคาะ Beat อตั ราความเรว็ Tempo ลลี าจงั หวะ Rhythmic pattern
ความหนักเบาของจงั หวะ
จงั หวะท่ีสมา่ เสมอ การกาหนดความช้าเรว็ 1. กล่มุ 2 จงั หวะ เช่น 2/4
ของบทเพลงท่ีขึน้ กบั ผแู้ ต่ง 2. กล่มุ 3 จงั หวะ เช่น 3/4
เท่ากนั ตลอดบทเพลง 3. กล่มุ 4 จงั หวะ เช่น 4/4
3. ทานอง (Melody)
เสียงสงู เสียงตา่ เสียงยาว เสียงสนั้ ของเครอ่ื งดนตรีหรอื เสียงคนร้อง
องคป์ ระกอบของทานองเพลง ทานองในดนตรี
จงั หวะของทานอง คือ แนวการดาเนิ นทานองของ
ความสนั้ -ยาว ของแต่ละเสียง เครือ่ งดนตรีแต่ละชนิด
มิติ คือ ความสนั้ -ยาว ระดบั เสียงในการบรรเลง
และช่วงกว้างของเสียง ของวงดนตรีแต่ละประเภท
ช่วงเสียง คือช่วงเสียงใดช่วงเสียงหน่ึง ผปู้ ระพนั ธไ์ ด้คิดประดิษฐ์
ทิศทางของทานอง แนวทานองขึน้
เคลื่อนไปในหลายทิศทาง
4. การประสานเสียง (Harmony)
เสียงของเครื่องดนตรีและเสียงร้องเพลงของมนุษยท์ ่ีมีระดบั
เสียงต่างกนั เปล่งเสียงออกมาพรอ้ มกนั ฟังแล้วไม่ขดั หู
การแต่งทานองสาหรบั เคร่อื งดนตรเี ดียวกนั การแปรทานองหลกั
เครอ่ื งดนตรีบรรเลง บรรเลงเสียงพร้อมกนั ของลกู ฆ้องให้เป็น
ทานองของเคร่อื งดนตรี
การประสานเสียงในดนตรีสากล เป็นเสียงขนั้ คู่ แต่ละชนิดที่ไม่เหมอื นกนั
สาหรบั การขบั รอ้ ง มีทงั้ แบบใช้ขนั้ คู่ การประสานเสียง
หรอื อาศยั รปู คอรด์ เป็นหลกั ในดนตรีไทย
บรรเลงดนตรีด้วยเคร่ืองดนตรี
ต่างชนิ ดกนั
5. พืน้ ผิว (Texture)
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างลกั ษณะของการประสานเสียงในแนวตงั้ กบั ทานองในแนวนอน
แบบโมโนโฟนี (Monophony) แบบโพลโิ ฟนี พืน้ ผิวในดนตรีไทย
ดนตรีแนวทานองแนวเดียว (Polyphony) คอื
ดนตรที ใ่ี ชแ้ นวทานองหลายแนว ลกั ษณะรปู พรรณแบบเฮทเทอโรโฟนิคคือ
พืน้ ผิวในดนตรีสากล มีแนวทานองหลกั เดียว
เพอ่ื มาประสานกบั ทานองหลกั เครอื่ งดนตรีอื่นจะตกแต่งทานองเพ่ิมเติม
แบบโฮโมโฟนี (Homophony) คอื มีฆ้องวงใหญ่จะทาหน้ าที่ดาเนิ นทานองหลกั
ดนตรที ม่ี แี นวทานองหลกั
และแนวประสานเสยี งดว้ ยคอรด์
6. สีสนั ของเสียง (Tone Color)
คณุ สมบตั ิของเสียงเคร่อื งดนตรีแต่ละชนิด รวมถึงเสียงรอ้ งของมนุษยซ์ ึ่งแตกต่างกนั
ดนตรสี สี นั ของเพลงอาจเกดิ จากการรอ้ งเดย่ี ว การบรรเลงเดย่ี วโดยผแู้ สดงเพยี งคนเดยี ว
หรอื การนาเครอ่ื งดนตรหี ลายชนิดเสยี งรอ้ งมารว่ มบรรเลงดว้ ยกนั
เสียงรอ้ งของมนุษย์ เครือ่ งดนตรสี ากล
โซปราโน คือ เสียงสงู สดุ ของผหู้ ญิง เเเเคคคครรรรื่ออื่อื่ื่องงงงเดลสปมนา่ ายทตลอรมีปงไเมรหะ้ ลเภือทงคียบ์ อรด์
เมสโซ โซปราโน คือ เสียงกลาง ๆ ของผหู้ ญิง เคร่อื งตี
อลั โต หรือ คอนทรลั โต คือ เสียงตา่ สดุ ของผหู้ ญิง
เทเนอร์ คือ เสียงสงู ของผชู้ าย เคร่อื งดนตรีไทย
บาริโทน คือ เสียงกลางของผชู้ าย เเเเคคคครรรร่ือ่อื่อือ่ื งงงงเสดตปีีดี่ า
เบส คือ เสียงตา่ สดุ ของผชู้ าย
7. คีตลกั ษณ์ (Forms)
ลกั ษณะทางโครงสร้างของบทเพลงท่ีมีการแบง่ เป็นห้องเพลง แบง่ เป็นวลี แบง่ เป็นประโยค และ
แบง่ เป็นท่อนเพลง หรอื กระบวนเพลง เป็นแบบแผนการประพนั ธบ์ ทเพลง
เอกบท (Unitary Form) หรือ วนั พารท์ ฟอรม์ (One Part Form) คือบทเพลงท่ีมีทานองสาคญั
เพียงทานองเดียวเท่านัน้ (A) กจ็ ะจบบริบรู ณ์
ทวิบท (Binary Form) หรือ ทพู ารท์ ฟอรม์ (Two Part Form) เป็นรปู แบบของเพลงที่มีทานองสาคญั
เพียง 2 กล่มุ คือ ทานอง A และ B
ตรีบท (Ternary Form) หรอื ทรีพารท์ ฟอรม์ (Three Part Form) รปู แบบของเพลงแบบนี้จะมี
องคป์ ระกอบอยู่ 3 ส่วน คือ กล่มุ ทานองท่ี 1 หรือ A กล่มุ ทานองท่ี 2 หรอื B
รอนโดฟอรม์ (Rondo Form) รปู แบบของเพลงแบบนี้จะมีแนวทานองหลกั (A) และแนวทานองอื่นอีก
หลายส่วน ส่วนสาคญั คือแนวทานองหลกั ทานองแรกจะวนมาขนั้ อย่รู ะหว่างแนวทานองแตล่ ะส่วน