๑
แบบทดสอบก่อนเรียน
ผ้เู รียนตอบคาํ ถามต่อไปนีให้ถูกต้อง
๑. เครืองดนตรีชนิดใดบา้ งทีเกิดขึนในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
๒. เครืองดนตรีชนิดใดทีเพมิ เขา้ มาในวงปี พาทยเ์ ครืองหา้
๓. วงมโหรีมหี นา้ ทีบรรเลงอยา่ งไร
๔. เพราะเหตุใดจึงมีการออกกฎมณเฑียรบาลหา้ มเล่นดนตรีในเขตพระราชฐาน
๕. ใครเป็นผอู้ อกกฎมณเฑียรบาลหา้ มเล่นดนตรีในเขตพระราชฐาน
๖. เครืองดนตรีชนิดทีมีบทบาทในพระราชพธิ ีของราชสาํ นกั
๗. เพลงลกั ษณะใดใชส้ าํ หรับการขบั กลอ่ ม
๘. เพลงปี พาทยใ์ ชข้ บั ร้องและบรรเลงในลกั ษณะใด
๙. เพราะเหตุใดเพลงภาษาตอ้ งมีการประพนั ธ์เพลงตามสาํ เนียงชาติต่างๆ
๑๐. เป็นกลองขึงหนงั หนา้ เดียว หนา้ กลอง ยาน ผานออก หุ่นกลองนนั รูปร่าง
คลา้ ยชาม กะละมงั หรือชามอา่ ง หมายถึงเครืองดนตรีชนิดใด
อยา่ ทอ้ นะครับ คาํ ถามอาจจะยาก
แต่ไม่เกินกาํ ลงั ความสามารถของเพือนๆ ตอนนี
เราไปศึกษาหาความรู้กนั ก่อนดีกวา่ นะครับ
๒
สวสั ดีครับเพือนๆ วนั นีจกุ จะพาเพือนๆศึกษาประวตั ิดนตรีไทย
สมยั กรุงศรีอยธุ ยา ก่อนอืนไปหาคุณครูกนั ก่อนนะครับ
คุณครูครบั ช่วยอธิบายประวตั ิดนตรีไทยสมยั อยธุ ยา ใหผ้ มกบั เพอื นๆ
ฟังฟังหน่อยไดไ้ หมครับ
การดนตรี สมัยกรุ งศรี อยุธยานีเจริ ญขึนกว่าสมัยกรุ งสุ โขทัยมาก
ชาวพระนครศรีอยุธยาในสมยั นนั มีความสนใจในศิลปะการดนตรีเป็นอยา่ งมาก
และนิยมเล่นกนั อยา่ งแพร่หลาย สาํ หรับเครืองดนตรีสมยั อยุธยา คือเครืองดนตรี
ทีเล่นกนั มาตงั แต่ครังกรุงสุโขทยั นนั เองแต่ไดว้ ิวฒั นาการใหด้ ีขึนทงั ดา้ นรูปทรง
และการประสมวงตลอดจนการบรรเลงกป็ ระณีตขึนและเพมิ เครืองดนตรีบางชนิด
ซึงสรุปไดด้ งั นี
๓
๑. เครืองดนตรีประเภทดดี
กระจบั ปี จะเข้
พณิ เพยี ะ
พณิ นําเต้า
๔
๒. เครืองดนตรีประเภทสี
ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง
๕
๓. เครืองดนตรีประเภทตี
แบ่งออกเป็ น ๓ ลกั ษณะ
๓.๑ เครืองตีประเภทไม้
กรับพวง กรับคู่
ระนาดเอก
กรับเสภา
๖
๓.๒ เครืองตีประเภทตโี ลหะ
ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องคู่
มโหระทึก ฆอ้ งชยั ฆ้องโหม่ง
ฉิง ฉาบ
๗
๓.๓เครืองตีประเภททขี งึ ด้วยหนัง
ตะโพน (ทบั ) โทน
กลองทัด กลองตุ๊ก
ระมะนา
๘
๔. เครืองดนตรีประเภทเครืองเป่ า
ปี ใน ปี กลาง ปี มอญ ปี ชวา ขลุ่ยเพยี งออ
แตรงอน แตรสังข์
๙
เครืองดนตรี ทเี กดิ ขนึ ในสมัยนี ได้แก่ ขล่ยุ จะเข้ และ รํามะนา
สมัยกรุ งศรี อยุธยาเป็ นยุคสมัยทีบ้านเมืองต้องทําศึกสงคราม
เกือบตลอดเวลาทงั สงครามภายนอกและสงครามภายใน ดงั นนั การดนตรีไทย
ใ น ส มัย นี จึ ง ย ัง ไ ม่ มี ก า ร เ ป ลี ย น แ ป ล ง ไ ป จ า ก เ ดิ ม ที ไ ด้รั บ แ บ บ แ ผ น จ า ก
สมยั สุโขทยั มากนกั แต่การดนตรีไทยในสมัยอยุธยามีวงดนตรีไทยครบทงั
๓ ประเภทนนั คือ วงปี พาทย์ วงมโหรี และวงเครืองสาย
๑. ว ง ปี พาท ย์ เครื องห้ ามี เ ครื องด นต รี ที ม าจา กส มัยสุ โข ทัยคื อปี ใ น
ฆ้องวง ตะโพน กลองทัดและฉิง ในสมัยอยุธยายงั คงแบบเดิมไว้ทังหมด
แต่ในช่วงปลายสมยั อยุธยา "ระนาด" เพิมเขา้ มาเป็ นเครืองดนตรีในวงปี พาทย์
เครืองหา้ กย็ งั เรียก “วงปี พาทย์เครืองห้า”ไม่มีการเปลียนแปลง
๑๐
๒.วงมโหรีเป็ นวงดนตรีทีเกิดขึนสมยั อยุธยามีผูห้ ญิงเป็ นผูบ้ รรเลงสําหรับขับกล่อม
พระมหากษตั ริยใ์ ห้ทรงพระเกษมสําราญ โดยการบรรเลงวงมโหรีในครังแรก มีผู้
บรรเลงทงั หมด ๔ คน
๑. คนดีดพิณทีเรียกวา่ กระจบั ปี
๒. คนสีซอสามสาย
๓. คนตีทบั (โทน)
๔. คนตกี รับพวง
ต่อมาไดม้ ีการเพมิ คนบรรเลงและเครืองดนตรี
ขึนมาอีกนนั คือ คนตีราํ มะนา (ใหต้ ีคู่กบั โทน)
๑ คน และเป่ าขลุ่ยอีก๑รวมขณะนีมีผบู้ รรเลงใน
วงมโหรีทงั สิน๖คน
ในระยะเวลาต่อมาไดม้ ีการนาํ เอาจะเข้ทีเป็ นเครืองดนตรีของมอญ
เขา้ มาแทนกระจบั ปี เพราะมีเสียงทีไพเราะกว่า นอกจากนียงั ดีดไดง้ ่ายและสะดวก
กว่ากระจบั ปี
๑๑
๓.วงเครืองสาย เครืองดนตรีประเภทสายทีมีอยู่ในสมยั อยธุ ยามีอยู่แลว้ มากมาย
หลายชนิดและไดร้ บั ความนิยม และเลน่ กนั อยา่ งแพร่หลายจึงทาํ ใหว้ งเครืองสายใน
สมยั อยธุ ยามีเครืองดนตรีครบถว้ นสมบูรณ์ ทงั เครืองดนตรี ทีใช้ในการบรรเลง
ทาํ นองไดแ้ ก่ ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย เครืองดนตรีประกอบจงั หวะ ไดแ้ ก่ โทนหรือ
ทบั และฉิง
ก า ร เ ล่ น เ ค รื อ ง ด น ต รี ป ร ะ เ ภ ท เ ค รื อ ง ส า ย เ ป็ น ไ ป
จ น เ กิ น ข อ บ เ ข ต โ ด ย เ ข้า ใ ก ล้เ ข ต พ ร ะ ร า ช ฐ า น จึ ง มี ก า ร อ อ ก
กฎหมายมณเฑียรบาลบัญญัติเป็ นกฎหมายเพือกําหนดโทษสําหรับ
ผู้กระทําผิด ทีเล่นดน ตรี จนเกิ นขอบเขตขึนมาในรัชสมัยของ
สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ดงั นีกฎมณเฑียรบาลตอนที ๑๕ ความวา่
"แต่ละประตูแสดงราม คือ สระแกว้ ไอยการหมืนโทราวิท
คือ ผชู้ ายหญิง เจรจาดว้ ยกนั กด็ ี... และร้องเรือง เป่ าขลุ่ย เป่ าปี ตีทบั ขบั รํา
โห่ร้องนีนนั ... ถา้ จบั ไดโ้ ทษสามประการ ประการหนึงให้ส่งมหาดไทย
ประการหนึงใหส้ ่งองครกั ษป์ ระการหนึงใหส้ ่งลงหญา้ ชา้ ”
๑๒
กฎมณเฑียรบาล ตอนที ๒๐ ความวา่
"อนึง ในท่อนาํ ในสระแกว้ ผใู้ ดขีเรือคฤ เรือปทุน เรือกูบ และ
เรื อมีศาสตราวุธและใส่หมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนังมาด้วยกัน
อนึงชเลาะตีด่ากนั ร้องเพลงเรือ เป่ าปี เป่ าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ กระจบั ปี
ตีโทนทับ โห่ร้องนีนัน ทังนีอัยการขุนสนมห้ามถ้ามิได้ปราบเกาะกุม
เอามาถึงศาลาให้แก่เจา้ ท่า แลใหน้ านาประเทษ ไปมาในทา้ ยสนมไดโ้ ทษเจา้
พนกั งานถึงตาย..."
ขณะเดียวกัน ขลุ่ยก็มีบทบาทสําคัญในงานพระราชพิธีของ
ราชสาํ นกั จากกฎมณเฑียรบาลขอ้ ที ๑๖ ความวา่
"..ชาวดนตรีคอยฟังสุรเสียง...ครันเสร็จ...ขลุ่ยนาํ เพลง..." แสดงใหเ้ ห็นว่า
ในสมัยกรุงศรี อยุธยาขลุ่ยเป็ นเครืองดนตรี ทีทําหน้าทีเป่ านําขึนเพลง
ในเวลาทีพระเจา้ แผ่นดินเสด็จประทบั ในงานพระราชพิธี และปรากฏใน
เพลงยาวไหว้ครูมโหรี ทีแต่งขึนราวพุทธศตวรรษที ๒๔ เรียบเรียงไว้
มีความวา่
ขอพรเดชเดชาภูวนารถ พระบาทปกเกลา้ เกศี
ขา้ ผจู้ าํ เรียงเรืองมโหรี ขอกรบั กระจบั ปี ราํ มะนา
โทนขลุ่ยฉิงฉาบระนาดฆอ้ ง ประลองเพลงขบั กล่อมพร้อมหนา้
ขอเจริญศรีสุขสวสั ดิทุกเวลา ให้ปรีชาชาญเชียวในเชิงพิณฯ
๑๓
ลกั ษณะเพลงไทยในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาสามารถแยกประเภทเพลงไดด้ งั นี
๑ เพลงร้องมโหรี บรรเลงดว้ ยวงมโหรี ใชส้ าํ หรับ ขบั กลอ่ ม ไดแ้ ก่
๑.๑ เพลงตบั เช่นเพลงตบั เรืองพระนคร เพลงตบั เรืองนางร้องไห้
เพลงตบั เรืองเกสรมาลา เพลงตบั เรืองยกิ ิน
๑.๒เพลงเกร็ด เช่น นางตานีร้องไห้ ศรีประเสริฐ ระสาํ ระส่าย มดนอ้ ย
ล่องเรือละคร
๒.เพลงปี พาทย์ ใชส้ าํ หรับขบั ร้องและบรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร พิธีการต่างๆ เช่น
๒.๑เพลงหน้าพาทย์ เช่น สาธุการ ตระ รัว ชา้ ปี โอร้ ่าย ชมตลาด ชา้ ครวญ
๒.๒ เพลงเรือง เพลงเรืองทาํ ขวญั เพลงเรืองพระ-นเรศวร
๓.เพลงภาษา เนืองจากสมยั นีมีการติดต่อกบั ต่างประเทศทาํ ใหเ้ กิดการแลกเปลียนศิลปวฒั นธรรม
ดา้ นดนตรีไดม้ ีการประพนั ธ์บทเพลงโดยเลียนสาํ เนียงชาติต่างๆ เพือบรรเลงประกอบตวั ละคร
ตามชาตินนั ๆ เช่น จีนเกบ็ ดอกไม้ จนี หลวง ฯลฯ
เป็ นอยา่ งไรบา้ ง จกุ ไดศ้ ึกษาความรู้เกียวกบั ดนตรีไทยสมยั อยธุ ยาจบไปแลว้
ต่อไปเป็นหนา้ ทีของจุกทีตอ้ งสรุปความรู้ทีไดร้ ับแลว้ นะ
๑๔
ก า ร ด น ต รี ไ ท ย ใ น ส มั ย ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า เ ป็ น ร า ช ธ า นี นั บ ไ ด้ ว่ า
มีความเจริ ญรุ่ งเรื องเป็ นอย่างมากเพราะประชาชนนิยมเล่นดนตรี กันมาก
ซึ งเครื อง ดนตรี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ส่ ว นใหญ่ไ ด้รั บอิทธิ พลมา จากกรุ งสุ โขทัย
แต่กไ็ ดม้ ีการปรับปรุงรูปร่าง ตลอดจนการประสมวงดนตรี และไดม้ ีการพฒั นา คิดคน้
เครื องดนตรีเพิมเติม เช่น จะเข้ ด้วยความเจริ ญรุ่งเรื องในการดนตรีไทย
ทาํ ใหป้ ระชาชนนิยมเลน่ ดนตรีไทยกนั อยา่ งกวา้ งขวางจะเลน่ ดนตรีกนั จนเกินขอบเขต
จนตอ้ งออกกฎมณเฑียรบาล ในรัชสมยั ของพระบรมไตรโลกนารถ ( พ.ศ.๑๙๙๑ –
๒๐๓๑ ) ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีปรากฏว่ามีเครืองดนตรีไทย
ครบทุกประเภท
เครืองดีด ไดแ้ ก่ กระจบั ปี จะเข้ พณิ เพยี ะ พณิ นาํ เตา้
เครืองสี ไดแ้ ก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอดว้ ง
เครืองตีไม้ ไดแ้ ก่ กรับพวง กรับคู่ กรับเสภา ระนาดเอก
เครืองตีโลหะ ไดแ้ ก่ ฆอ้ งวงใหญ่ ฆอ้ งคู่ ฆอ้ งชยั ฆอ้ งโหม่ง ฉิงฉาบ มโหระทึก
เครืองตีหนงั ไดแ้ ก่ ตะโพน (ทบั ) โทน ราํ มะนา กลองทดั กลองตกุ๊
เครืองเป่ า ไดแ้ ก่ ปี ใน ปี กลาง (คงมีพวกปี มอญและปี ชวาดว้ ย) ขลุ่ย แตรงอน
เครืองดนตรี ทีเพงิ เกิดในสมยั นี ไดแ้ ก่ กระจบั ปี ขลุ่ย จะเข้ และ ราํ มะนาวง
ดนตรีไทยในสมยั อยธุ ยาจงึ มีครบทงั ๓ ประเภท นนั คือ ปี พาทย์ มโหรีและเครืองสาย
๑๕
เกร็ดความรู้เรืองเครืองดนตรีไทย
ระนาดเอกเป็ นเครื องตีชนิดหนึง ทีวิวฒั นาการมาจากกรับประดิษฐ์ให้มี
ขนาดลดหลันกันแล้วทํารางรองอุ้มเสียงและใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่าง ๆ กัน
ใหต้ ิดกนั ขงึ ไวบ้ นรางใชไ้ มต้ ีใหเ้ กิดเสียง นาํ ตะกวั ผสมกบั ขีผงึ มาถ่วงเสียงโดยนาํ มาติด
หวั ทา้ ยของไมก้ รับใหเ้ กิดเสียงไพเราะยิงขึนเรียกไมก้ รับทีประดิษฐ์เป็ นขนาดต่างๆกนั
นันว่า ลูกระนาด ระนาดเอกใช้ในงานมงคลเป็ นเครืองดนตรีเป็ นมงคลในบ้าน
บรรเลงในวงปี พาทย์และวงมโหรี โดยทาํ หนา้ ทีเป็นผนู้ าํ วง
ฆ้องวงใหญ่ มีลูกฆอ้ ง ๑๖ ลูก ลูกเสียงตาํ สุดเรียกวา่ ลูกทวนลูกเสียงสูงสุดเรียกวา่
ลูกยอด ไมท้ ีใชต้ ีมีสองอนั ผตู้ ีถือไมต้ ีมือละอนั
ฆ้องหุ่ย ใชต้ ีกาํ กบั จงั หวะเป็นฆอ้ งทีมีขนาดใหญ่ทีสุดในวงดนตรีไทย มีอีกชือวา่
ฆ้องชัย อาจเป็ นเพราะสมยั โบราณใชฆ้ อ้ งชนิดนีตีเป็ นสัญญาณในกองทพั ปัจจุบนั
ใชต้ ีใน งานพิธี งานมงคล
ฆ้องโหม่ง ใชต้ ีกาํ กบั จงั หวะมีขนาดใหญ่รองลงมาจากฆอ้ งหุ่ยไดช้ ือนีตามเสียง
ทีเกดิ จากการตี
๑๖
ฆ้องคู่ เป็ นฆ้องทีมี ๒ ใบมีขนาดเล็กเสียงตาํ ใบหนึง เสียงสูงใบหนึงใช้ตี
กาํ กับจังหวะ ชุดหนึงมีสองลูกลูกใหญ่ให้เสียงตาํ ลูกเล็กให้เสียงสูง ไม้ตีทาํ ด้วย
แผ่นหนังววั หรือใบหนังควายตดั เป็ นวงกลมเจาะรูตรงกลางใส่กา้ นไมใ้ ช้บรรเลง
ในการเชิดหนงั ตะลุงและละครโนราชาตรี ชุดหนึงมี ๒ ลกู ปักษใ์ ตเ้ รียก โหม่ง
รํามะนา เป็ นกลองขึงหนงั หนา้ เดียว หนา้ กลองยานผายออก หุ่นกลองนัน
รูปร่างคล้ายชามกะละมังหรือชามอ่าง เข้าใจว่าได้แบบอย่างจากเครืองดนตรี
ชนิดหนึงของมลายู ทีเรียกว่า เรบานา รํามะนามีสองชนิดคือรํามะนาสาํ หรับวงมโหรี
และรํามะนาสําหรับวงลาํ ตดั รํามะนาสําหรับวงมโหรี มีขนาดเลก็ หุ่นกลองสูงหนงั
ทีขึนตรึ งด้วยหมุดโดยรอบมีเชือกทีเรี ยกว่า "สนับ" สําหรับใช้หนุนข้างใน
โดยรอบหนา้ กลางเมือหนา้ กลองหยอ่ นเพอื ช่วยใหเ้ สียงสูง ใชม้ ือตีบรรเลงในวงมโหรี
และวงเครืองสายคู่กบั โทน
โทนหรือทบั เป็นเครืองดนตรีประเภทกลอง เดิมเรียกวา่ ทบั หุ่นทาํ ดว้ ยดินเผา
รูปร่างคล้ายกรวยปลายบานออกเป็ นดอกลาํ โพง ขึงด้วยหนังหน้าเดียวมีสายโยง
เร่งเสียงจากขอบหนังคอตีด้วยมือขา้ งหนึงมืออีกขา้ งหนึงคอยปิ ด-เปิ ดปากลาํ โพง
เพือช่วยให้เป็ นเสียงต่างๆกัน ใช้ตีเป็ นจังหวะกํากับทาํ นองเพลงมาแต่โบราณ
นิยมบรรเลงในวงเครืองสายไม่นิยมบรรเลงในวงปี พาทย์ ใช้ตีกาํ กับจังหวะ
ในวงดนตรีไทยโทน มี 2 ชนิด คือ โทนชาตรี และ โทนมโหรี
๑๗
จะเข้ จะเขเ้ ป็ นเครืองดีดทีวางนอนตามพืนราบทาํ ดว้ ยไมท้ ่อนขุดเป็นโพรง
ภายในดา้ นล่างมีกระดานแปะเป็นพนื ทอ้ ง เจาะรูระบายอากาศพอสมควรมีเทา้ ตอนหวั
๔ เทา้ ตอนทา้ ย ๑ เทา้ รวม เป็น ๕ เทา้ มีสาย ๓ สาย สายเอก (เสียงสูง) กบั สายกลาง
ทาํ ดว้ ยเอน็ หรือไหม สายตาํ สุดทาํ ดว้ ย ลวดทองเหลืองเรียกว่า สายลวด ขึงจากหลกั
ตอนหัวผ่านโต๊ะและนมไปลอดหยอ่ งแลว้ พนั กบั ลูกบิดสายละลูก มีนมตงั เรียงลาํ ดบั
บนหลงั ๑๑ นม สาํ หรับกดสายใหแ้ ตะเป็นเสียงสูงตาํ ตามตอ้ งการ การดีดตอ้ งใชไ้ มด้ ีด
ทาํ ดว้ ยงาชา้ งหรือกระดูกสัตว์ เหลากลม เรียวแหลม ผูกพนั ติดกบั นิวชี มือขวา ดีดปัด
สายไปมา ส่วนมือซา้ ยใชน้ ิวกดสายตรงสนั นมต่างๆ ตามตอ้ งการ
ซออู้ เป็นเครืองดนตรีประเภทเครืองสายชนิดสีกล่องเสียงทาํ ดว้ ยกะลามะพร้าว
ขึนหนา้ ดว้ ยหนงั ลูกววั หรือหนงั แพะ มีช่องเสียงซึงแกะสลกั เป็นรูปลายไทยชนิดต่างๆ
อยู่ดา้ นตรงข้าม คันทวนทาํ ด้วยไมเ้ นือแข็งกลึงกลมตลอดปลายตอนบนมีลูกบิด
สาํ หรับขึงสาย สายซออูม้ ี 2 สายทาํ ดว้ ยไหมฟัน คนั ชกั นบั ร้อยเส้นหางมา้ อยภู่ ายใน
ระหวา่ งสายทงั สอง ความยาวของคนั ทวนซอประมาณ ๖๐ เซนติเมตร คนั ชกั ประมาณ
๕๐ เซนติเมตร
๑๘
ซอด้วง เป็ นซอ ๒ สายทงั ทวนและคันชักทาํ อย่างเดียวกบั ซออู้ แต่ขนาด
ย่อมกว่าและสันกว่าเล็กนอ้ ย กะโหลกซอดว้ งเดิมทาํ ดว้ ยกระบอกไมไ้ ผ่ ต่อมา
ใชไ้ มจ้ ริงและงา แต่ทีนิยมวา่ เสียงดีนนั ทาํ ดว้ ยไมล้ าํ เจียก ใชห้ นงั งูเหลือมขึงหนา้ ซอ
เนืองจากลักษณะกะโหลกซอด้วงคล้ายคลึงเครื องดักสัตว์ทีเรี ยกว่า "ด้วง"
จึงเรียกเครืองดนตรีชนิดนีตามรูปร่างลกั ษณะนนั เอง ซอดว้ งมีเสียงแหลมสูง ดงั แหลม
กวา่ ซออู้ ใชบ้ รรเลงในวงเครืองสาย และวงมโหรี
ปี กลาง เป็ นปี ทีมีสัดส่วนและเสียงอยู่กลางระหว่างปี นอกกบั ปี ในจึงเรียก
ปี ชนิดนีวา่ " ปี กลาง"ใชเ้ ป่ าประกอบการเล่นหนงั ใหญ่มาแต่โบราณ ซึงเป็นตน้ กาํ เนิด
ใหเ้ กิดเสียง " ทางกลาง " ปัจจุบนั ไม่ใคร่ ไดพ้ บเห็น มีวิธีการเป่ าเช่นเดียวกบั ปี นอก
และปี ใน เพียงแต่ผิด กนั ทีนิวและระดบั เสียง มีขนาดกลาง ยาวประมาณ ๓๗ ซม.
กวา้ งประมาณ ๔ ซม. สําหรับเล่นประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ มีสําเนียงเสียง
อย่รู ะหว่าง ปี นอกกบั ปี ใน เสียงของปี กลางจะ ไม่แหลมหรือว่าตาํ เกินไปแต่จะอยู่
ในระดบั ปานกลาง
๑๙
ปี ชวา เป็นปี สองท่อนรูปร่างลกั ษณะเหมือนปี ไฉน แต่ยา่ วกวา่ ทาํ ดว้ ยไมห้ รืองา
เนืองจากมีขนาดยาวกว่าปี ไฉน จึงใหเ้ สียงแตกต่างไปจานปี ไฉน เขา้ ใจวา่ ไทยนาํ ปี ชวา
เข้ามาใช้คราวเดียวกับกลองแขก จากหลักฐานพบมีการใช้ปี ชวาในกระบวน
พยุหยาตราในสมยั อยธุ ยาตอนตน้
ปี มอญ เป็ นปี สองท่อน เหมือนปี ชวา แต่มีขนาดใหญ่และยาวกว่า เลาปี
ทาํ ดว้ ยไม้ ลาํ โพงทาํ ดว้ ยโลหะใชบ้ รรเลงในวงปี พาทยม์ อญ สมยั ก่อนเรียกว่า ปี พาทยร์ า
ใชบ้ รรเลงในวงปี พาทยม์ อญโดยเฉพาะ ใหเ้ สียงโหยหวนเศร้า