อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) หัวข้อเรื่อง (Topics) 2.1 ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง 2.2 ความส าคัญและระดับความฉลาดในการบริการของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง 2.3 รูปแบบการเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ต 2.4 การน าข้อมูลของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งไปใช้ในรูปแบบธุรกิจ 2.5 บทบาทของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งในงานด้านต่างๆ แนวคิดส ำคัญ (Main Idea) อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตที่เหนือกว่าการ เชื่อมต่อ กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟนไปยังวัตถุอื่นๆและสิ่งแวดล้อม โดยที่การถูกเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (IoT) นั้นด าเนินการเพื่อรวบรวมจัดเก็บข้อมูล ส่งข้อมูลออกไป หรือทั้งสองรูปแบบ “อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง” หรือ “Internet of Things (IoT)” ถือเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเรียบง่าย หมายถึง การรวบรวมทุกสรรพสิ่งในโลกมาเขียนต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งช่วยให้ภาคธุรกิจ หรือบุคคลทั่วไปได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกและสามารถควบคุมข้อมูลของวัตถุและสิ่งแวดล้อมได้ถึงร้อยละ 99 ซึ่งอยู่ นอกเหนือจากการเข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต และนอกจากนั้นอินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่งยังช่วยให้ภาคธุรกิจและผู้คนได้ เชื่อมต่อเข้ากับโลกและสภาพแวดล้อมรอบตัว อีกทั้งยังสามารถท างานหรือด าเนินกิจการได้อย่างมี ประสิทธิภาพและคล่องแคล่วมากขึ้น สมรรถนะบ่อย (Element of Competency) แสดงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความหมาย องค์ประกอบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) 1.บอกความหมายและความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งให้ 2.อธิบายความส าคัญและระบบความฉลาดในการบริการของอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งใต้ 3.จ าแนกรูปแบบของการเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ตโต้ 4.อธิบายการบ้าข้อมูลของอินเทอร์เน็ต สรรพลังไปใช้ในรูปแบบธุรกิจได้ 5.บอกบทบาททองอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งในงานด้านต่าง ๆ ได้
เนื้อหำสำระ (Content) 2.1 ควำมเป็นมำของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพ อินเทอร์เน็ตก าเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1969 โดยองค์กรทางทหารของ สหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ยู.เอส.ดีพาร์ตเมนต์ออฟดีเฟนซ์ (U.S. Department of Defence) เป็นผู้คิดค้นระบบ ขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีระบบเครือข่ายที่ไม่มีวันตาย แม้จะมีสงคราม ระบบการสื่อสารถูกท าลายหรือตัด ขาด แต่ระบบเครือข่ายแบบนี้ยังท างานได้ ในปี ค.ศ. 1995 เควิน แอนตัน (Kevin Ashton) บิดาแห่ง อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) เขาได้น าเสนอโครงการที่ชื่อว่าออโต-ไอดีเซ็นเตอร์ (Auto-ID Center)ต่อยอดมาจากเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี(RFIC) ในขณะนั้นถือเป็นมาตรฐานโลกส าหรับการจับสัญญาณ เซ็นเซอร์ต่างๆ (RFID Sensors) ตัวเซ็นเซอร์เหล่านั้นสามารถสื่อสารเชื่อมต่อกันได้โดยผ่านระบบออโต-ไอดี (Auto-ID) ของเขา โดยการบรรยายให้กับบริษัทพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (PAG) ในครั้งนั้นเควินใช้ค าว่า Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขาเป็นครั้งแรก ไทยเควินนิยามเอาไว้ตอนนั้นว่า อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ก็ตามที่สามารถซื้อหากันได้ก็ถือเป็นอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง รูปที่ 2.1 การควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง หรือ Internet of Things (IoT) ( บางทีเรียก loE : Interrunt of Everything) หรือ“อินเทอร์เน็ตส าหรับทุกสิ่ง” เป็นการที่สิ่งของต่างๆ ถูกเชื่อมโยงสู่โลกอินเทอร์เน็ต ท าให้ สามารถสั่งการ ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การเปิด-ปิด อุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า การสั่งงาน กล้องวงจรปิดภายในบ้านระยะไกล การเปิด-ปิดม่านภายในบ้าน หรือแม้แต่การท า ฟาร์มเกษตรด้วยอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นระบบเชื่อมต่อวัตถุที่มีความสามารถในการรวบรวม ประมวลผล และสื่อสาร ข้อมูลกับสภาพแวดล้อม รวมถึงการได้ตอบกันเอง ได้ตอบกับมนุษย์ หรือได้ตอบกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บริการที่มีความฉลาด (Smartness/Intelligence)
รูปที่ 2.2 เครือข่ายอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (IoT) อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งหรือไอโอที หมายถึง เครือข่ายของวัตถุ อุปกรณ์ พาหนะสิ่งปลูกสร้าง และสิ่งของ อื่นๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายฝังตัวอยู่ และท าให้วัตถุเหล่านั้น สามารถบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งท าให้วัตถุสามารถรับรู้สภาพแวดล้อมและถูกควบคุมได้จากระยะไกลผ่าน โครงสร้าง พื้นฐานเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ท าให้สามารถผสานโลกกายภาพกับระบบคอมพิวเตอร์ได้แนบแน่นขึ้น ผลที่ ตามมา คือ ประสิทธิภาพ ความแม่นย า และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อไอโอทีถูกเสริมด้วยเซ็นเซอร์ (Sensor) และแอคชูเอเตอร์ (Actuator) ซึ่งเปลี่ยนลักษณะทางกลได้ตามการกระตุ้นก็จะกลายเป็นระบบที่ถูกจัด ประเภท โดยทั่วไปว่า ระบบไซเบอร์-กายภาพ (Cyber-Physical System) ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี เช่น ระบบโครงข่าย ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (Intelligent Transport) และ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) วัตถุแต่ละชิ้นสามารถถูกระบุได้โดยไม่ซ้ ากันผ่านระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัว และ สามารถท างานร่วมกันได้บนโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าเครือข่าย ของสรรพสิ่งจะมีวัตถุเกือบ 50,000 ล้านชิ้น ภายในปี ค.ศ. 2020 มูลค่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 80 พันล้านเหรียญ สหรัฐ “สรรพสิ่ง” ในความหมายของไอโอที หมายถึง อุปกรณ์ที่แตกต่างหลากหลาย เช่น อุปกรณ์วัดอัตราการ เต้นของหัวใจแบบฝังในร่างกาย แท็กไบโอซิป (Biochip Tag) ที่ติดกับปศุสัตว์ ยานยนต์ที่มีเซ็นเซอร์ในตัว อุปกรณ์ วิเคราะห์ดีเอ็นเอในสิ่งแวดล้อมหรืออาหาร หรืออุปกรณ์ภาคสนามที่ช่วยในการท างานของนักผจญเพลิงในภารกิจ ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย อุปกรณ์เหล่านี้จะจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้วยการใช้เทคโนโลยีหลากหลาย ชนิดและจากการส่งต่อข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อื่นๆโดยอัตโนมัติ อาทิ เทอร์โมสตัดอัจฉริยะและเครื่องซักผ้า-อบผ้า ที่ต่อกับเครือข่ายวายฟายเพื่อให้สามารถดูสถานะจากระยะไกลได้
2.2 ควำมส ำคัญและระดับควำมฉลำดในกำรบริกำรของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง คือ การที่ทุกอุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงสู่โลกอินเทอร์เน็ต ท าให้สามารถรับ-ส่งข้อมูล และ ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร วัดระดับน้ า วัดความชื้น วัดแสง วัดอุณหภูมิ ส่งข้อมูลไปจัดเก็บเพื่อประมวลผล วิเคราะห์ และรับ-ส่งค าสั่ง ควบคุมอุปกรณ์เป็นต้น มนุษย์ก้าวผ่านวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีไปได้หลายช่วง ช่วงนี้อยู่ในยุคของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง หาก ประเทศไทยจะพูดว่า 4.0 ในทุกกลุ่ม ก็จะต้องมีค าว่าไอโอทีเข้าไปเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย การประยุกต์ใช้ อยู่ในช่วง เริ่มต้น ปัจจัยส าคัญ คือ บุคลากร ผู้ใช้ และความเข้าใจ โดยสามารถน าไอโอทีมาใช้งานได้ทุกด้าน เชื่อมโยงกับ คลาวด์ ธุรกิจ และเซ็นเซอร์ อาจกล่าวได้ว่าที่ใดมีความเคลื่อนไหวที่เป็นข้อมูลได้ ที่นั่นย่อมมี อินเทอร์เน็ตทุกสรรพ สิ่งได้ ตัวอย่างการใช้ด้านความปลอดภัยในบ้าน คือ ติดตั้งไอโอทีไว้ตามประตู หน้าต่างห้องนอน ห้องน้ า ห้องครัว และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ส าคัญ ว่ามีใครบุกรุก เก็บสถิติการใช้ ไฟตก ไฟเกิน ไฟช็อต แล้วส่งข้อมูลแจ้งเตือน (Alert) หรือ คลิปวิดีโอไปยังผู้ดูแล การใช้ด้านการเกษตร คือ ติดตั้งอุปกรณ์ไว้กับทุกอย่างในพื้นที่เกษตร อาทิ เครื่องวัดอุณหภูมิ ความชื้น แสงติดกับต้นไม้ แหล่งน้ า ขวดยา แล้ววัดระดับเพื่อสั่งให้ด าเนินการที่เหมาะสม หรือส่งข้อมูลให้ผู้ดูแลได้แน่ใจ อาทิ การช ารุดทางกายภาพ เติมน้ ามันเชื้อเพลิง เติมน้ ายาเครื่องปรับอากาศ หรือซ่อมอุปกรณ์ ก า รใช้ ด้ าน สุขภาพ คือ ติดตั้งอุปกรณ์สวมใส่ไว้กับตัว วัดอุณหภูมิชีพจร การเต้นของหัวใจ น้ าตาลในเลือด ความดันโลหิต ติดตามต าแหน่งผู้ป่วย (GPS) เก็บข้อมูลเข้าระบบเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยสุขภาพ หากพบสิ่งผิดปกติแบบเวลา จริง (Real-Time) ก็จะแจ้งไปยังสถานพยาบาลให้ไปช่วยเหลือได้ทันที การใช้ด้านยานพาหนะ คือ ติดตั้งอุปกรณ์วัดความเร็ว ระดับน้ ามัน ความดันลมยาง อุณหภูมิในห้อง โดยสาร น้ าหนักสัมภาระ ชีพจรของพนักงานขับรถ ระดับแอลกอฮอล์ ส่งไปเข้าระบบวิเคราะห์ข้อมูลในระบบ ปัญญาประดิฐษ์เพื่อด าเนินการที่ถูกต้องเหมาะสม การด้านการจราจรหรือควบคุมกับพิบัติ คือ ติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับน้ า ลม ไฟป่า การเคลื่อนที่ของรถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เพื่อให้ได้ข้อมูลมาบริหารจัดการ หรือการใช้ระบบตรวจจับใบหน้า (Face Detection) ใน สนามบิน แล้วเชื่อมกับฐานข้อมูลผู้กระท าผิด ท าให้การจับกุมผู้ต้องมีประสิทธิภาพ การใช้ด้านธุรกิจ คือ การเก็บข้อมูลผ่านระบบขนส่ง ผลิต คงคลัง การท ารายการของพนักงาน การ เคลื่อนที่ของลูกค้าภายในร้าน ต าแหน่งสินค้า ล้วนเป็นข้อมูลที่ส่งกลับไปยังส านักงานใหญ่และถูกประมวลผลอย่าง มีประสิทธิภาพ ไอโอที คือ ในอินเทอร์เน็ตส าหรับทุกอย่าง ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตคือการเชื่อมต่อผู้คนในโลกสื่อสารกันได้ ผ่าน จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ สื่อสังคมออนไลน์ หรือการสนทนาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่การเชื่อมต่อไม่ได้ หยุด
เพียงเท่านั้น นักพัฒนาเริ่มมองหาและสร้างสิ่งที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ตส าหรับทุกอย่างหรืออินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง เป็นจริงขึ้นมา เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์ให้สื่อสารกันได้ อาทิ สมาร์ตโฟน เครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ เครื่องวัดอุณหภูมิ กล้องวงจรปิด เซ็นเซอร์อุณหภูมิ เซ็นเซอร์แสง หรือ เซ็นเซอร์ความ เคลื่อนไหวเข้าด้วยกัน โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในอนาคตมนุษย์จะคุ้นชินกับการควบคุม รอบตัวที่อยู่ใน ระยะใกล้และไกล อยู่ที่บ้าน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน หรือส านักงาน เรียกทุกอย่างที่เรียนต่อ กันเป็นไอโอทีว่า ระบบอัจฉริยะ เพราะสามารถท างานได้โดยไม่ต้องรอรับการสั่งงาน ตัวอย่างการควบคุมที่ใกล้เคียงกับการใช้งานในชีวิตประจ าวัน อาทิ การควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านให้ เหมาะกับการอยู่อาศัย การเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ การสั่งเครื่องต้มกาแฟให้ท างานเมื่อเดินเข้าห้องท างาน การใช้ อุปกรณ์อัตโนมัติท างานแทนคน ซึ่งมีผลท าให้ผู้บริหารพิจารณาเลือกใช้อุปกรณ์ท างานแทนพนักงานเพิ่มขึ้น นรก งานลงตัว ทีน่า ไอทีมาใช้ให้เห็น อาทิ การใช้ด้านการทหาร การควบคุมสินค้า การขนส่งมวลชน การแพทย์ การ ผลิตภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบควบคุมอาคาร อุปกรณ์ส าคัญที่สนับสนุนให้ไอโอทีน ามาใช้งานได้จริงในอนาคตอันใกล้ คือ อุปกรณ์ตรวจจับ (Sensor) สามารถรับ-ส่งข้อมูล ถูกฝังเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ และการพัฒนาให้ ท างานร่วมกับอาร์เอฟไอดีที่มีอยู่รอบตัวได้ ความส าคัญของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งช่วยให้ภาคธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปได้รับทราบข้อมูลชิงลึกและ สามารถควบคุมข้อมูลของวัตถุและสิ่งแวดล้อมได้ถึงร้อยละ 99 ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และ นอกจากนั้นอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งยังช่วยให้ภาคธุรกิจและผู้คนได้เชื่อมต่อเข้ากับโลกและสภาพแวดล้อม รอบตัว อีกทั้งยังสามารถท างานหรือด าเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องแคล่วมากขึ้น สามารถเชื่อมต่อ เครือข่ายเพื่อควบคุมหรือเก็บข้อมูลประมวลเพื่อรายงาน อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นตัวขับเคลื่อนบริการ อัจฉริยะ ในโดเมน (Domain) ต่างๆ ให้เกิดขึ้น ในกรณีของโดเมนเมืองอัจฉริยะที่เกี่ยวข้องด้านการจราจรและขนส่ง ได้มีการ แบ่งระดับความฉลาดของบริการออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 2.2.1 ระดับกำรเชื่อมต่อ (Connected Level) ในระดับล่างซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดคือการเชื่อมต่อ (Connected) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถ เชื่อมต่อเพื่อส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันได้ โดยระบบมีการท างานแบบง่ายๆ ในลักษณะของการรวบรวม ข้อมูลเพื่อ แสดงผลหรือการควบคุมอุปกรณ์อื่นๆ ภายในโดเมนการประยุกต์เดียวกัน ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ด้านบ้านอัจฉริยะ เช่น การควบคุมการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟและหน้าต่างภายในบ้านผ่านโทรศัพท์มือถือ การใช้เซ็นเซอร์ ตรวจจับ อุณหภูมิและความชื้นภายในบ้านและอาคารเพื่อดูสถานะของสภาพแวดล้อม เป็นต้น การสร้างบริการ ที่มีความ ฉลาดในระดับนี้สามารถท าได้ไม่ยาก โดยใช้ฮาร์ดแวร์โลลองลาดและซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สทั่วไป
2.2.2 ระดับบูรณำกำร (Integrated Level) ในความฉลาดที่สูงขึ้นมาอีกระดับคือการบูรณาการ (Integrated) จะมีการส่งผ่านข้อมูลข้ามโตเมนการ ประยุกต์ หรือระหว่างอุปกรณ์ต่างชนิดที่อยู่คนละระบบ เช่น ข้อมูลอุบัติเหตุของรถยนต์สามารถถูก ส่งต่อไปยัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทันที เช่น สถานีต ารวจและโรงพยาบาล เพื่อให้มีการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว หรือสมมุติว่าในขณะที่อยู่ในรถบนท้องถนน อาจต้องการดูสถานะของหลอดไฟและเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน หรือเปิด-ปิดสิ่งเหล่านั้นผ่านทางหน้าจอสัมผัสของรถยนต์ บริการในลักษณะนี้ต้องมีการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง ระบบบ้านอัจฉริยะและยานพาหนะอัจฉริยะ (Smart Vehicles) โดยอาจมีบริษัทนายหน้า (Data Broker) ที่เป็น ตัวกลางที่รับ-ส่งข้อมูลระหว่างระบบเพื่อให้บริการข้อมูลและสารสนเทศจากลาว (Data-as-a-Service - Darts) ให้กับอุปกรณ์คนละไดแมน และจ าเป็นต้องมีมาตรฐานของรูปแบบข้อมูลและค าสั่งเพื่อใช้ควบคุมและ ดึงข้อมูลจาก อุปกรณ์ด้วย ในระดับความฉลาดทั้งสองระดับยังอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมต่อ (Connectivity) เท่านั้น ศักยภาพที่ แท้จริงของอินเตอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถถูกดึงออกมาใช้ในระดับความฉลาดที่เป็นเฉพาะบุคคลและท านานช่วง หน้า 2.2.3 ระดับเฉพำะบุคคล (Personalized Level) ระดับความฉลาดเฉพาะบุคคล หมายถึง การที่ระบบสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการให้ตอบสนอง การใช้งานผู้ใช้แต่ละคนและผู้ใช้แต่ละกลุ่ม เช่น ในโดเมนเมืองจะร้อย ผู้ใช้สามารถเลือกให้ระบบ รายงานสภาพ จราจร มีการแจ้งเรียนสภาพจราจรเบี้ยรถก าลังเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณที่ผู้ใช้ก าหนด หรือเลือกให้ รายงานความคับคั่ง ของสภาพจราจรในเส้นทางที่ใช้เป็นประจ าในช่วงเวลาเฉพาะ เป็นต้น การสร้างบริการเฉพาะ บุคคลอาจต้องอาศัย การเรียนรู้ข้อมูลในอดีต เช่นในตัวอย่างของบ้านอัจฉริยะ ตามปกติแล้วระบบไฟในห้องนอน อาจเปิด-ปิดเองเมื่อมี การตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุภายในห้อง ระบบสามารถเรียนรู้เองว่าถ้าผู้ใช้ลุกมา เข้าห้องน้ าตอนกลางคืน ให้เปิดไฟหรี่ได้เตียงนอนแทนที่จะเปิดไฟกลางห้อง เป็นต้น 2.2.4 ระดับท ำนำยล่วงหน้ำ (Predictive Level) ในขันทีเป็นการท านายล่วงหน้า ระบบสามารถท่านานล่วงหน้าหรือพยากรณ์งการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น และท าการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมโดยไม่ต้องมีการกระท าจากผู้ใช้เป็นตัวกระตุ้น โดยอาศัยการเรียนรู้จาก ข้อมูลในอดีต เช่น การใช้ข้อมูลภาพจราจรในการท านายรูปแบบและระดับความคับคั่งของจราจรในถนนเส้นต่างๆ ล่วงหน้า เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้รถ รวมถึงเป็นแนวทางในการขยายเส้นทางเพื่อรองรับปริมาณรถ เป็นต้น ในตัวอย่าง ของบ้านอัจฉริยะถ้าระบบเรียนรู้ว่าผู้ใช้มักเข้ามาห้องนอนในช่วงเวลาประมาณ 4 ถึง 5 ทุ่ม ระบบอาจท าการเปิด เครื่องปรับอากาศในห้องนอนอัตโนมัติก่อนเป็นเวลา 15 นาที เพื่อให้ห้องมีความเย็นสบาย ก่อนที่ผู้ใช้จะเข้านานจน เป็นต้น
ด้วยความอัจฉริยะของอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจ าวัน จึงไม่จ าเป็นต้องมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ หรือใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงในการจัดเก็บ สิ่งที่ต้องท าคือ เชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับอุปกรณ์จัดเก็บหรือ คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงผ่านอินเทอร์เน็ต 2.3 รูปแบบกำรเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้ำกับอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ต สามารถจ าแนกออกได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ - สิ่งที่รวบรวมจัดเก็บข้อมูลและท าการส่งข้อมูลออกไป - สิ่งที่รับข้อมูลและน าข้อมูลไปประเมิน - สิ่งที่ท าได้ทั้งสองอย่าง (รวบรวมจัดเก็บข้อมูลและประเมินผลข้อมูลเอง 2.3.1 จัดเก็บข้อมูลและส่งต่อข้อมูล ส่วนนี้หมายถึงอุปกรณ์เซ็นเซอร์โดยที่อาจเป็นได้ทั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ เซ็นเซอร์ตรวจจับ การ เคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเซ็นเซอร์ ดังกล่าว เมื่อถูกน าไปเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแล้ว จะท าให้สามารถจัดเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมได้อย่างอัตโนมัติ และ รวดเร็ว จึงท าให้ตัดสินใจได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้น ตัวอย่างของการเกษตร 4.0 ข้อมูลเกี่ยวกับความชื้นในพื้นที่ได้รับมาอย่างอัตโนมัตินั้นเป็นตัวบ่งชี้ให้ เกษตรกรทราบถึงช่วงเวลาที่ต้องท าการรดน้ าผลผลิตของตน แทนที่จะสิ้นเปลืองน้ าในการรดน้ าเป็นปริมาณมาก ซึ่ง จะเป็นการเพิ่มต้นทุนทางชลประทานที่มากเกินควรและเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรทางธรรมชาติ หรือ การรดน้ า ในปริมาณน้อยเกินไป (ซึ่งอาจท าให้เกิดการสูญเสียผลผลิตและรายใต้จ านวนมาก) เมื่อน าเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่งและเซ็นเซอร์ตรวจวัดค าเหล่านี้มาใช้ เกษตรกรจะสามารถมั่นใจได้ว่าผลผลิตของตนนั้น ได้รับน้ าใน ปริมาณที่เหมาะสมท าให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง เปรียบเสมือนประสาทสัมผัสของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส และการลิ้มรส ที่ท าให้มนุษย์ได้สัมผัสกับโลก อุปกรณ์ เซ็นเซอร์ ของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเองก็ท าให้เครื่องจักรสามารถสัมผัสกับโลกได้เช่นเดียวกัน 2.3.2 รับข้อมูลและน ำข้อมูลไปประเมินผล การใช้อุปกรณ์เครื่องจักรในการรับข้อมูลและน าข้อมูลไปใช้ เช่น เครื่องพิมพ์เอกสารที่รับข้อมูล การสั่ง พิมพ์เอกสารจากคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้และท าการพิมพ์ออกมาบนกระดาษ รถยนต์ ที่รับ สัญญาณจากรีโมตกุญแจและปลดล็อกประตูรถยนต์ในการส่งข้อมูลค าสั่งให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ท างาน หรือข้อมูล ที่ ซับซ้อนในการสั่งพิมพ์แม่แบบ 3 มิติ ไปยังเครื่องพิมพ์ ซึ่งสามารถสั่งให้เครื่องจักรท างานได้ แม้จะอยู่ห่างออกไป ประสิทธิภาพที่แท้จริงของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์สามารถรวบรวมข้อมูลที่ได้รับจาก เซ็นเซอร์ต่าง ๆ และบ้าข้อมูลเหล่านี้ไปประเมินผล
2.3.3 ด ำเนินกำรได้ทั้งสองรูปแบบ (รวบรวมจัดเก็บข้อมูลและประเมินผลข้อมูลเอง) จากตัวอย่างการเกษตร 4.0 ตัวอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจวัดค่าความชื้นในดินได้อย่างเดียว นั้น จะ สามารถเตือนให้เกษตรกรท าการรดน้ าเมื่อความชื้นลดลง แต่เมื่ออุปกรณ์อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถ ตรวจวัด ค่าความชื้นใต้ดินไปพร้อมกับประเมินผลเองและส่งข้อมูลไปที่ระบบรดน้ า ระบบรดน้ าก็จะท าการรดน้ า โดย อัตโนมัติตามปริมาณความชื้นที่ต้องการโดยที่เกษตรกรไม่จ าเป็นต้องออกไปท าการรดน้ าเอง ซึ่งเป็นการ ประหยัด ทั้งค่าแรงและค่าน้ า ทั้งนี้การเพิ่มประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตที่เหนือกว่าการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟนไปยังวัตถุอื่นๆ และสิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง นั้นด าเนินการเพื่อรวบรวมจัดเก็บข้อมูล ส่งข้อมูลออกไป หรือทั้งสองรูปแบบ 2.4 กำรน ำข้อมูลของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งไปใช้ในรูปแบบธุรกิจ ข้อมูล คือ สิ่งที่มีอัตราการขยายตัวมหาศาล มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น ในแต่ละวันข้อมูลไหลเข้าออก ผ่านจากทุกทิศทาง สร้างขึ้นและส่งต่อข้อมูลจากการติดต่อทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Transactions) สมาร์ตโฟน และอีกหลายแหล่งที่มา ผู้คนย่อมแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล ข้อมูล ก็ เช่นกัน ยิ่งข้อมูลที่รับเข้ามามากจนกลายเป็นบิ๊กดาต้า ธุรกิจย่อมต้องใช้ประโยชน์และสร้างรายได้จากข้อมูลทั้งสิ้น นอกจากข้อมูลมากมายมหาศาลแล้ว ยังส่งต่อได้อย่างรวดเร็ว มีความซับซ้อนในการวิเคราะห์แยกแยะออกมา ท าให้ เกิดประโยชน์ในการด าเนินธุรกิจ ธุรกิจที่อยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่มีข้อมูลอย่างหลากหลาย จะท าการ สร้าง ช่องทางการหาก าไรโดยการสร้างธุรกิจเฉพาะทางขึ้นมาใหม่ส าหรับบริหารจัดการข้อมูลที่มีอยู่เพื่อให้เกิดผล ก าไร โดยเฉพาะส าหรับธุรกิจข้อมูลมีรูปแบบหลัก 7 รูปแบบ ซึ่งสามารถน าเอาบิ๊กดาต้ามาช่วยท าให้เกิดธุรกิจได้ โดยมี ข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้ 2.4.1 สินค้ำสั่งท ำ (Build to Order) การน าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อใช้สร้างผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการที่มีความเฉพาะตัว เพื่อตอบสนอง ความ ต้องการของลูกค้าโดยธุรกิจในรูปแบบนี้จะสร้างค่าและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้ดี และช่วยสร้างเส้นแบ่ง ระหว่างคู่แข่งได้จากเอกลักษณ์ของสินค้าและบริการ แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้อาจน าพาปัญหาจุกจิกมาได้ เช่น ลูกค้ารอสินค้านานกว่าปกติ เพราะเป็นสินค้าสั่งท าหรือสินค้ามีความเฉพาะตัวสูง ท าให้การขายค่อนข้างยาก รูปที่ 2.3 ตัวอย่างสินค้าสั่งท า (Build to Order)
2.4.2 กลุ่มสินค้ำ กำร (Service Bundle) ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์บิ๊กดาต้าที่มีความเกี่ยวเนียวกันจะสามารถท าให้มองเห็นสินค้าและบริการ สามารถน ามารวมกลุ่มกันได้ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสในการขายให้มีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถกดดันคู่แข่งได้ อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มสินค้าบริการเข้าด้วยกันแล้ว ท าให้ยากต่อการแบบออกจากกัน รูปที่ 2.4 กลุ่มสินค้า/บริการ (Service Bundlr) 2.4.3 สินค้ำขำยคล่อง (Plug and Play) สินค้าขายคล่องใช้รูปแบบการขายผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งรูปแบบนี้จะ ง่ายต่อการวางกลยุทธ์ในการขายและการขนส่ง อีกทั้งช่วยกระตุ้นยอดขายได้ดี แต่ข้อเสียคือลูกค้าจะเกิดความ ภักดี ต่อแบรนด์น้อย เพราะค่าในตัวผลิตภัณฑ์จะไม่สูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์สั่งท า รูปที่ 2.5 ตัวอย่ำงสินค้ำขำยคล่อง (Plug ang Play)
2.4.4 จ่ำยเมื่อใช้ (Pay per Use) รูปแบบที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการที่ตรงกับความต้องการด้วยตัวเองโดยจ่ายเงินเฉพาะที่ ไว้เท่านั้น ส่งผลให้กระตุ้นยอดขายได้ดีซึ่งรูปแบบนี้ถูกน าไปใช้อย่างกว้างขวางในตลาดดึงผู้บริโภค (Consumer Media) เช่น โทรทัศน์และบริการออนไลน์ เป็นรูปแบบที่ลูกค้าสามารถจ่ายค่าบริการตามการใช้งานของตัวเอง แทนที่จะ จ่ายค่าบริการรวมทั้งหมดตามที่ผู้เห็นปีการก าหนด รูปที่ 2.6 รูปแบบจ่ายเมื่อใช้ (Pay per Use) 24.5 คอมมิชชั่น (Commission) การท าธุรกิจแบบอาศัยความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ธนาคารวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าที่มี สภาพคล่องทาง การเงินสูงเป็นล าดับแรก ก่อนจะน าเสนอการผ่อนบัตรเครดิตให้ เพื่อแลกกับยอดการใช้ บัตรเครดิตจากลูกค้า เป็นวิธีการรักษาลูกค้าได้นานกว่ารูปแบบจ่ายเมื่อใช้ โดยมีการน าเสนอข้อมูลส่งเสริม การ (Promotion) ให้ลูกค้า ติดตามอย่างต่อเนื่อง 2.4.6 แลกเปลี่ยน (Value Exchange) การลดราคาสินค้าหรืออาหารเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เป็นการใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรม การใช้บัตร เครดิต แล้วน ามาใช้ส่งเสริมการขายร่วมกับโปรโมชั่นรายอื่น ๆ ข้อเสีย คือ การร่วมให้การส่งเสริม การขายกับ บุคคลที่ 3 ในระยะยาวอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มากนัก เช่น ไม่มีลูกค้ากลุ่มใหม่
รูปที่ 2.7 การลดราคาสินหรือร้านอาหารเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 2.4.7 กำรสมัครสมำชิก (Subscription) การสมัครสมาชิกเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากบิ๊กดาต้าเพื่อหากลุ่มลูกค้าเฉพาะในการสร้างแรงจูงใจ เพื่อ สมัครสมาชิก รูปแบบนี้จะท าให้เกิดรายได้ที่แน่นอน สม่ าเสมอ แต่ยอดขายจะไม่สูงเท่ากับรูปแบบจ่ายเมื่อใช้ รูปที่ 2.8 การสมัครสมาชิก (Subscription)
2.5 บทบำทของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพ ในงำนด้ำนต่ำงๆ ความสามารถในการออุปกรณ์ที่หลากหลายเข้ากับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเปิดโอกาสให้มีการประยุกต์ ใช้งาน ที่หลากหลายและกว้างขวางมาก โดยรูปแบบการเรียนต่ออุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ จ านวนมากเข้ากับ โครงข่าย จะ ช่วยให้สามารถตรวจวัดข้อมูลที่หลากหลายประเภทได้เป็นจ านวนมาก และช่วยให้สามารถน าข้อมูล เหล่านั้นมา วิเคราะห์ และแบบกราฟิกเพื่อช่วยในการตัดสินใจอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเข้ามามีบทบาท ในด้านต่างๆ มากมาย ดังนี้ 2.5.1 กำรจัดกำรพลังงำนและสำธำรณูปโภค (Utility Management) ระบบการจัดการพลังงานและสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งถูกน ามา ประยุกต์ใช้ในลักษณะการตรวจวัดระยะไกล (Telemetry) เช่น ระบบมาตรอัจฉริยะ (Smart Meter) การ ประยุกต์ ใช้งานประเภทนี้ คือ บริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าโดยใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่ ท าหน้าที่ ตรวจวัดปริมาณการใช้งานพลังงานไฟฟ้า และรวบรวมข้อมูลเพื่อประมาณการค่าอุปสงค์การใช้ไฟฟ้าใน ช่วงเวลา ต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมการจ่ายไฟฟ้า การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้า จัดการแหล่งจ่าย พลังงาน ไฟฟ้า และการคิดราคาค่าไฟฟ้าแบบสอดคล้องกับค่าอุปสงค์อุปทาน รวมไปถึงระบบบ้านอัจฉริยะ ระบบ การควบคุมบ้านที่มีความชาญภาค มีอุปกรณ์อัตโนมัติที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เช่น ตู้เย็นอัจฉริยะสามารถบอก ได้ว่ามีอาหารอะไร จ านวนเท่าไรอยู่ภายในตู้เย็น อีกทั้งยังบอกได้ว่าอาหารจะหมดอายุเมื่อไหร่ เก้าอี้ที่สามารถ ปรับ ความอ่อนเข้าได้ตามสรีระและความพอใจของแต่ละคน ห้องน้ าอัจฉริยะที่สามารถควบคุม อุณหภูมิ เสียง แสง พระกลิ่นภายในห้องน้ าได้ ประตูอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับใบหน้าสมาชิกภายในบ้านแก้วท าการเปิด-ปิดเอง โดยอัตโนมัติ รีโมตควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั้งหมด ระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้ กล้อง บันทึกและเซ็นเซอร์ตรวจเป็นความเคลื่อนไหว ไซเรนเพื่อส่งเสียงในการระงับเหตุ การน าหุ่นยนต์เข้ามาใช้ ภายใน บ้าน เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นยนต์ให้อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น รูปที่ 2.9 การจัดการพลังงานและสาธารณูปโภค (Utility Management)
2.5.2 ระบบสำธำรณสุขอัจฉริยะและกำรแพทย์ (Smart Health) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเพื่อระบบสาธารณสุขอัจฉริยะสามารถท าได้โดยการใช้ อุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลสุขภาพและสัญญาณทางร่างกาย (Bio Signals) เช่น สัญญาณชีพจร ความดันโลหิต คุณภาพ การนอน การเคลื่อนที่ การหายใจ ผ่านการใช้อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) เพื่อรวบรวมและ ประมวลผล ออกมาเป็นข้อมูลสุขภาพและอาการเจ็บป่วย ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลการเจ็บป่วยที่มีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยก่อนที่ คนไข้มาถึงการดูแลของแพทย์ การคาดการณ์และการวินิจฉัยการเจ็บป่วยล่วงหน้า (Predictive Diagnostic) แจ้ง เตือนการเจ็บป่วยทันที และระบบติดตามการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งข้อมูลและค่าสถิติการเจ็บป่วยและสุขภาพ ของกลุ่มประชาชนโดยรวมจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนทางสาธารณสุข โดยเฉพาะ อุปกรณ์สวมใส่อย่างนาฬิกา อัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ที่รักสุขภาพหรือรักการออกก าลังภายใต้รับรู้ว่าแต่ละวันใช้พลังงาน แคลอรี การนับก้าว การ บันทึกการหลับ อัตราการเต้นของหัวใจ เห็นวิ่งไปกี่ก้าว หรือตั้งเวลา ก าหนดแจ้งเตือน หรือใช้งานร่วมกับ โทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยแจ้งเตือนนัดหมาย อุปกรณ์สวมใส่ของทางการแพทย์ยังสามารถเป็น อุปกรณ์ช่วยชีวิต ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจ าตัว เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่พักอาศัยอยู่บ้าน ทางโรงพยาบาลให้ ใส่อุปกรณ์ที่มี ฟีเจอร์กดปุ่มฉุกเฉินเรียกรถพยาบาลได้ก่อนที่จะรู้สึกวูบ เป็นต้น หรืออีกมุมมองที่เป็นประโยชน์คือ อุปกรณ์ที่ช่วย ป้องกันภัยร้ายจากมิจฉาชีพหรือโจรได้ เช่น หาอยู่ในอันตรายหรือถูกโจรท าร้ายเมื่อกดปุ่มที่อุปกรณ์ จะท าให้เกิด เสียงดังมากๆ รวมไปถึงส่งสัญญาณแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือ ต ารวจที่อยู่ใน บริเวณใกล้ ๆ ให้มาช่วยให้พร้อมบอกต าแหน่งพิกัดผ่านระบบระบุต าแหน่ง (GPS) เป็นต้น รูปที่ 2.10 ระบบสาธารณสุขอัจฉริยะและการแพทย์ท าให้แพทย์สามารถตรวจสถานะรายละเอียดคนไข้และมี การแจ้งเตือนแบบเวลาจริง 2.5.3 ระบบเทคโนโลยีกำรเงิน (Fintech) เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถเข้ามามีบทบาทสนับสนุนเทคโนโลยีทางการเงินได้ หลาย รูปแบบ เช่น ระบบการจ่ายเงินอัตโนมัติ (Auto-payment) ในร้านค้าปลีก ระบบการจ่ายเงินโดยผ่าน อุปกรณ์ สวมใส่และโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงสามารถท างานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น อุปกรณ์ในโรงงาน อุตสาหกรรม อุปกรณ์ในงานเกษตรกรรม เพื่อสั่งซื้อและช าระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบอย่างอัตโนมัติ นอกจาก ภาคส่วนที่ เกี่ยวข้องประเทศไทยยังสามารถน าอินเทอร์เน็ตมาช่วยสนับสนุนการสร้างคุณค่าแรงเพิ่มประภาพ การผลิตและ การให้บริการในภาคส่วนอื่น เช่น การท่องเที่ยว การค้าปลีก การจัดการข้อมูลกลางของภาครัฐ เป็นต้น
2.5.4 ระบบคมนำคมและกำรจัดกำรโลจิสติกส์แบบอัจฉริยะ (Transportation and Logistics Intelligent) โครงข่ายอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบคมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์ ช่วยสนับสนุนให้มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างยานพาหนะด้วยกันหรือระหว่างยานพาหนะและระบบ ควบคุม การจราจรอื่น เช่น ระบบสัญญาณการจราจร ระบบข้อมูลสภาพจราจร หรือการน าระบบดังกล่าวมาใช้ กับระบบ ขนส่งมวลชนที่จะช่วยให้การบริการมีความปลอดภัย สะดวก และตรงเวลามากยิ่งขึ้น การน าระบบดัง กล่าวไปใช้ ในการขนส่งสินค้า ท าให้สามารถรู้ต าแหน่งยานพาหนะ สถานการณ์รับ-ส่งสินค้า อันส่งผลให้การ จัดการสินค้าคง คลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การใช้งานระบบติดตามยานพาหนะในประเทศไทยเป็นเทคโนโลยีที่มีความส าคัญต่อภาคธุรกิจ ขนส่งสินค้า เนื่องจากสามารถท าให้ผู้ประกอบการขนส่งสามารถใช้ลดต้นทุนในกระบวนการขนส่งได้เป็นอย่างดี เช่น การลดการทุจริตของพนักงานขับรถที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การจัดการวางแผน เส้นทาง การขนส่งซึ่งท าให้ผู้ประกอบการได้มีการเลือกใช้เส้นทางหรือหลบเลี่ยงเส้นทางที่ต้องใช้จ านวนพลังงาน เชื้อเพลิง มากยิ่งขึ้น รวมถึงควบคุมพฤติกรรมการขับรถเร็วเกินก าหนดซึ่งส่งผลถึงความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่ท าให้เกิด ความเสียหายทั้งคนและทรัพย์สินขององค์กร สามารถบันทึกภาพหรือเสียงในการขับขี่ของพนักงาน สามารถ ตรวจสอบการเบรก การเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เป็นต้น รูปที่ 2.11 ระบบคมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์แบบอัจฉริยะมีความส าคัญต่อภาคธุรกิจขนส่งสินค้า 2.5.5 กำรเกษตรและอุตสำหกรรมกำรเกษตร (Smart Industrial Agriculture) การเกษตรที่น าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาใช้ โดยอาศัยการท างานร่วมกันของระบบ เซ็นเซอร์ที่ วัดความชื้น ปริมาณแสงแดด อุณหภูมิ ระบบฐานข้อมูลพืช ระบบให้น้ า ระบบปรับปริมาณแสง และ ระบบปรับ อุณหภูมิ ท างานสอดคล้องกันเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชมากที่สุด และแม่นย า ที่สุด ระบบดังกล่าวนอกจากช่วยให้เกษตรกรประหยัดการใช้ทรัพยากร ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถ ประมาณการ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวและปริมาณพืชผลที่จะได้อีกด้วย อีกทั้งช่วยเฝ้าระวังความชื้นและความแห้งแล้ง
เกษตรอัจฉริยะเป็นรูปแบบการท าเกษตรแบบใหม่ที่จะท าให้การท าไร่นามีภูมิคุ้มกันต่อสภาพ ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการน าข้อมูลของภูมิอากาศทั้งในระดับพื้นที่ย่อย (Microclimate) ระดับไร่ (Mesoclimate) และระดับมหภาค (Macroclimate) มาใช้ในการบริหารจัดการและดูแลพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้น รวมถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่จะเปลี่ยนแปลง ไป ในอนาคต ระบบมาร์คฟาร์มจะบูรณาการข้อมูลระดับพื้นที่ซ่อมและระดับมหภาคจากเครือข่ายเซ็นเซอร์ ไร้ สาย (Wireless Sensor Networks) ที่ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ ภายในไร่นา และน าเสนอต่อเกษตรกรเจ้าของไร่ ผ่านทางเว็บไซต์ โดยจะมีการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลของไร่ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและด าเนินกิจกรรม ต่างๆ การวางแผนการเพาะปลูก การให้น้ า ปุ๋ย และยา เป็นต้น รูปที่ 2.12 เกษตรกรรมยุคดิจิทัล ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ 2.5.6 ในอินเทอร์เน็ตอุตสำหกรรม (Industrial Internet) อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งที่น ามาใช้กับระบบอุตสาหกรรม คือ โครงข่ายข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อ อุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องวัด และระบบการควบคุมในระบบอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลผ่านโครงข่าย จะช่วยให้ อุปทานและระบบต่างๆ มีการท างานที่แม่นย าและสามารถท างาน การมูลเกี่ยวกับ สภาพของเครื่องจักร เช่น อุณหภูมิ การสั่น ตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องจักร คาดการณ์เวลาเปลี่ยนอะไหล่ รองอุปกรณ์ที่ใช้งาน การ เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างร้านสะดวกซื้อ ระบบโลจิสติกส์ และโรงงาน จะช่วยให้สามารถ บริหารการผลิตและการจ่าย สินค้าให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยในฐานะที่มีสัดส่วนการผลิตในภาค อุตสาหกรรมที่สูง จะมีโอกาสได้ ประโยชน์จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตละคนทุนที่ไม่จ าเป็น อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นการเชื่อมต่อสิ่งรอบ ๆ ตัวเพื่ออ านวยความสะดวกให้กับมนุษย์ ท าให้คุณภาพ ชีวิตสูงขึ้นและลดการสูญเสียเวลาในการท ากิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากปัจจุบันเวลาถือเป็นสิ่งส าคัญยิ่ง แนวคิด ดังกล่าวหากไม่ควบคุมรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ จะท าให้มิจฉาชีพเข้าถึงความเป็นส่วนตัวและแนวทาง การ ด าเนินของผู้ใช้ระบบได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก แม้ในอนาคตจะสามารถ ควบคุมการ ท างานของสิ่งของทุกๆ อย่างรอบตัวได้ง่ายๆ ผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต แต่ยังคงมีความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับ อินเทอร์เน็ต คือ การจัดการกับข้อมูล ระบบหลังบ้าน ระบบหน้าบ้าน และการจัดการกับข้อมูล ที่ได้จากอุปกรณ์ ต่าง ๆ การถูกตรวจสอบ การค้าฟัง หรือการควบคุมการใช้บริการ ดังนั้นผู้ใช้งานควรป้องกัน
ความเสี่ยงเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการประเมินความเสี่ยงในโลกความจริง การตั้งค าถามที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน อุปกรณ์อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งและระบบอื่นๆ เพื่อท าให้อุปกรณ์เหล่านี้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่ดี รูปที่ 2.13 อินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม (Industrial Internet) แนวคิดของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง วิธีการที่เห็นได้ทั่วไปส าหรับการปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นั่นคือ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ เช่น เมาส์หรือเป็นพิมพ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ จะถูกแทนที่ด้วยรูปแบบในรูปแบบใหม่โดยใช้ร่างกาย ของมนุษย์ใน การปฏิสัมพันธ์โดยตรง เช่น การสัมผัสหน้าจอ การปฏิสัมพันธ์ด้วยอวัยวะของร่างกาย ดวงตา นิ้วมือ หรือการ ปฏิสัมพันธ์ด้วยการแสดงท่าทาง เป็นต้น (Andrew Mariches, Pauline Dilihan, Lydia Plowman, and Shari Sabeti, 2015) ทอม แบรติ (Tommy Bradicich.2015) ให้นายหน้าการส าคัญของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งคือ “ข้อมูล” ซึ่งข้อมูลในที่นี้หมายถึง มีอยู่ทั่วไปรอบ ๆ ตัวเรา มีอยู่ในชาติ มีอยู่ในทุก ๆ ที่ทั่วโลกจ านวนมากหรือ ที่เรียกว่า ข้อมูลเชิงอนุมานขนาดใหญ่ (Big Analog Data) เช่น แสง เสียง อุณหภูมิ แรงดันไฟฟ้า สัญญาณวิทยุ ความชื้น การสั่นสะเทือน ความเร็วลม การเคลื่อนไหว อัตราเร่งอนุภาค คลื่นแม่เหล็ก ความดัน เวลาและสถานที่ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีอยู่จ านวนมาก ถึงแม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่มีมานานแล้ว แต่เป็น ความท้าทายที่ส าคัญส าหรับเทคโนโลยีอันมัยใหม่ที่จะน าข้อมูลเหล่านี้มาท าให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัลที่มีอยู่เพียง 2 ค่า คือ 0 และ 1 โดยข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มานั้นจะมีการเชื่อมต่อหรือประสานกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผ่าน ระบบการสื่อสารระบบโทระบบหนึ่ง (อินเทอร์เน็ต) โดยครอบคลุมการท างานใน 3 ลักษณะ คือ 1. เพื่อให้ผู้ใช้สำมำรถสังเกตกำรณ์ได้ (Monitor) หมายถึง อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะต้องสามารถ ตรวจสอบ สังเกตการณ์ รายงาน น าเสนอข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลาได้ และข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลทันสมัย ในเวลาจริง เช่น ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลอุณหภูมิความชื้นของห้องนอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา หรือ ผู้ใช้สามารถดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ส านักงาน หรือที่ใดก็ได้ที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตได้ ค าว่า เวลาจริง ในความหมายของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะแตกต่างจากความหมาย ทั่วไปที่เข้าใจ กัน คือ เวลาจริงของข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งนั้นจะเกิดกับอุปกรณ์ตรวจจับ (Sensor) เมื่อมีการรับ-ส่งข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดขึ้นที่อุปกรณ์ตรวจจับและส่งกลับมาที่อุปกรณ์สื่อสารโดยตรง ไม่ใช่ที ระบบเครือข่ายหรือระบบคอมพิวเตอร์ที่จะเป็นตัวส่งข้อมูลให้กับอุปกรณ์สื่อสาร 2. เพื่อให้ผู้ใช้สามารถท าการบ ารุงรักษา (Main) เนื่องจากผู้ใช้สามารถตรวจสอบหรือสังเกตการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา ผู้ใช้จึงอาจพบข้อมูลบางอย่างที่ต้องการหรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นปัญหา จึงต้องการท าการบันทึก แก้ไข ปรับปรุง อัปเกรด ดังนั้นอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง จึง จะต้องสามารถช่วยเหลือผู้ใช้ได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ 3. เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นหรือสร้างความสนใจให้กับผู้ใช้ (Motivate) ด้วยการติดต่อหรือเชื่อมต่อกับผู้ใช้ ตลอดเวลา ท าให้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถกระตุ้น หรือจูงใจผู้ใช้งาน เช่น สามารถท าให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ สินค้าหรือให้บุคลากรในหน่วยงานปฏิบัติงานได้ถูกต้อง เมื่ออินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเริ่มเข้ามามีอิทธิพลใน ชีวิตประจ าวันเพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลใน 3 ระดับ 1. ระดับบุคคล (Personal use) โดยอินเทอร์เน็ตเปิดทุกสรรพสิ่งจะเปลี่ยนแปลงวิถีการด าเนินชีวิตของทุก คน การสืบสานอุปกรณ์ต่างๆ ท าได้ง่าย ข้อมูลจ านวนมากจะทรงไปยังใช้การอ านวยความสะดวก ในการใช้ งานและ บริการต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิน เช่น สามารถส่งข้อมูลความดันโลหิต ระดับน้ าตาลในเลือด หรือ ข้อมูล อื่นๆ ที่แพทย์ต้องการได้จากเครื่องวัดสุขภาพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตามและรายงานความเปลี่ยนแปลงทาง บาลต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลได้ หรือเซ็นเซอร์ที่ดินอยู่บนรถเมื่อประสบส่งข้อมูล ไปยังรถฉุกเฉินเพื่อเเจ้งเตือนสถานที่เกิด อุบัติเหตุ โดยการค้นหาผ่านระบบต าแหน่งทางภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ อินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่งจะน าไปสู่ “บ้านอัจฉริยะ” ที่สามารถปรับอุณหภูมิ เปิด-ปิดไฟภายในบ้าน เปิด-ปิดประตูโรงรถได้ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ หรือ สามารถรายงานข้อมูลอาหารที่อยู่ภายในตู้เย็นได้ 2. ระดับรัฐบาล (Government Use) การเข้ามาของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งน าไปสู่แผนและ กลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศของหลาย ๆ ประเทศ ที่ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์หรือนโยบายโดยน าแนวคิด อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาเป็นเครื่องมือในการน าประเทศไปสู่ “เมืองอัจฉริยะ” ขึ้น เพื่อช่วยให้การบริหาร จัดการ ทรัพยากรต่าง ๆ สามารถท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตัวอย่าง เช่น ประเทศสิงคโปร์ใช้ระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะกับรถแท็กซี่เพื่อให้รถแท็กซี่ส่งข้อมูลรายงานสภาพ การจราจรบนท้องถนนโดยมีเซ็นเซอร์ที่จัดส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางของเครือข่ายและการวิเคราะห์ท านายรูปแบบ การจราจรและควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อปรับเปลี่ยนเส้นทางให้สอดคล้องกับสภาพการจราจร ส าหรับประเทศไทยก าลังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) เปลี่ยนการเทสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเขียนวัตกรรม เปลี่ยนจากการขับเคลื่อน ประเทศด้วยอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม และเปลี่ยนจาก การ เน้นภาคการผลิตสินค้าไปเน้นภาคบริการมากขึ้น ที่เรียกว่า “ประเทศไทย 4.0” โดยแนวคิดนี้เป็นการมุ่งพัฒนา วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ประกรรม ด้วยการวิจัยและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่
ด้านอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ ด้านสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งด้านดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และ เทคโนโลยีสมองกลฝังตัว และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่างๆ (Internet of Things) จาก นโยบายดังกล่าวย่อมท าให้ทุกภาคส่วนต้องขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ซึ่งทางด้านการศึกษาเป็น ภาค ส่วนหนึ่งที่ส าคัญที่จะท าให้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถเข้าถึงและเป็นจริงได้ ด้วยการเตรียมความพร้อม ทั้ง การผลิตคนและการผลิตนวัตกรรมต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง 3. ระดับโลก (Global Use) เป็นผลจากพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนทั่วโลก ส่งผลให้การพัฒนา อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทุกคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง ได้ จากเครือข่ายทั่วโลก จากผลการส ารวจสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ www.internetlivestats.com (เมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2559) จ านวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมีจ านวนที่เพิ่มขึ้นกระจายไปทั่วทุกประเทศ อันดับ หนึ่ง คือสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึง 721,434,547 คน ส าหรับประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 24 จ านวนผู้ใช้ทั้งหมด 29,078,158 คน คิดเป็นร้อยละ 42.7 ของประชากรทั้งหมด 68,146,609 คน คิดเป็น สัดส่วน ผู้ใช้ทั่วโลกร้อยละ 0.8 จากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งโลก 3,424,971,237 คน ตำรำงที่2.1 ปริมาณผู้ใช้อินเทอร์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000-2016 ล ำดับ ประเทศ จ ำนวนผูใช้ อินเทอร์เน็ต (ปี ค.ศ. 2016) จ ำนวน ประชำกรทั้งหมด (ปี ค.ศ. 2016) ร้อยละของกำร เปลี่ยนแปลง จ ำนวนผู้ใช้ ภำยใน 1 ปี จ ำนวนผู้ใช้ที่ เปลี่ยนแปลง ภำยใน 1 ปี 1 จีน 721,434,547 1,382,323,332 2.2% 15,520,515 2 อินเดีย 462,124,989 1,326,801,576 30.5% 108,010,242 3 สหรัฐอเมริกา 286,942,362 324,118,787 1.1% 3,229,955 4 บราซิล 139,111,185 209,567,920 5.1% 6,753,879 5 ญี่ปุ่น 115,111,595 1266,323,715 0.1% 117,385 24 ไทย 29,078,158 68,146,609 6.2% 1,708,982 จากรายงานผลการส ารวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2558 โดยส านักงานพัฒนา ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่าพฤติกรรม ของผู้ใช้สมาร์ตโฟนเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกันมากที่สุดตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนกิจกรรมยอดนิยมของ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 ใช้ในการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์เป็นต้น คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 82.7
อันดับที่ 2 ใช้ในการสืบค้นข้อมูล ร้อยละ 56.6 อันดับที่ 3 ใช้อ่าน/ติดตามข่าวสาร/อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 52.2 โดยภาพรวม ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่าร้อยละ 80 ใช้สมาร์ตโฟนในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับที่ 1 ด้วย จ านวนชั่วโมงการใช้งานเฉลี่ย 5.7 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตถัดมาเป็นอันดับที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 54.7 โดย มีจ านวนชั่วโมงการใช้งานเฉลี่ย 5.4 ชั่วโมงต่อวัน และอันดับที่ 3 เป็นการใช้คอมพิวเตอร์พกพาในการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ดังนั้น เมื่อมีปริมาณการใช้และข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตอันมากมายมหาศาลเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้ง ปริมาณคนใช้งานและประสิทธิภาพความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล ย่อมเป็นปัจจัยที่จะเกื้อหนุนแนวคิด อินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่งให้สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ปัจจัยด้านราคาของอุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อ ผ่าน อินเทอร์เน็ตมีราคาที่ถูกลงเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์สที่ให้นักพัฒนาต่างๆ สามารถพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระและอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่เปิดกว้างให้สามารถน ามาใช้งานได้ เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์อาร์ดูอิโน (Arduino Microcontroller) และราสป์เบอรีพาย (Raspberry Pi) ควำมเสี่ยงหรืออันตรำยที่มีต่ออินเทอร์เน็ททุกสรรพสิ่ง แนวคิดของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะเป็นการน าความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อรับ-ส่ง ออกระหว่างอุปกรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ระบบไฟ เงิน โทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งสามาร เข้าถึง ข้อมูลต่างๆ ได้มากมาย แต่อย่างไรก็ตามประเด็นที่ควรให้ความส าคัญในด้านผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก แนวคิด ดังกล่าว คือความปลอดภัยและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น อันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการท างาน องค์กร OWASP หรือ Open Web Application Security Project (www.owasp.org) เป็นองค์กรไม่แสวงหา ผลก าไรที่ มุ่งเน้นการพัฒนาระบบความปลอดภัยบนซอฟต์แวร์ ได้ท าการวิจัยเพื่อค้นหาความเสี่ยงหรืออันตรายที่มี อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง พบว่า ทุกลาย 10 อันดับ ด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (เทคทอล์คไทย TechTalkThai, 2015) สรุปได้ ดังนี้ 1. เว็บอินเตอร์เฟสไม่มีปลอดภัย สามารถล่วงรู้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านง่ายเกินไป 2. การพิสูจน์ตัวตนและการก าหนดสิทธิ์ที่ไม่ดีพอ ท าให้สามารถคาดเดารหัสผ่านเพื่อเจาะเข้าสู่ระบบได้ขึ้น ส่งผลให้ข้อมูลอาจถูกไทยหรืออุปกรณ์อาจถูกแย่งสิทธิ์ควบคุมได้ 3. บริการด้านเครือข่ายไม่ปลอดภัย มีช่องโหว่ ท าให้ง่ายต่อการเจาะเข้าสู่ระบบเครือข่าย 4. การเข้ารหัสข้อมูลไม่แข็งแกร่ง สามารถแอบดูข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่ายได้ ส่งผลให้ข้อมูลส าคัญ ถูกโยกหรือเปิดเผยสู่โลกภายนอก 5. นโยบายความเป็นส่วนบุคคล สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนา เพียงพอ ส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยหรือเปิดแผนภา 6. คลาวด์อินเตอร์เฟสไม่ปลอดภัย สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือเข้าควบคุมระบบผ่านทางคลาวด์เว็บไซต์ ส่งผลให้ข้อมูลอาจถูกขโมยหรืออุปกรณ์อาจถูกแย่งสิทธิ์ควบคุมได้
7. โมบายอินเตอร์เฟส ปลอดภัย สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือควบคุมระบบผ่านทางอินเตอร์เน อุปกรณ์ โมบาย ส่งผลให้ข้อมูลอาจถูกขโมยหรืออุปกรณ์อาจถูกแย่งสิทธิ์ควบคุมได้ 8. การตั้งค่าความปลอดภัยไม่ดีพอ อุปกรณ์มีการก าหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลและการควบคุมใน ท าให้เกิดช่องไหวในการเข้ารหัสหรือการใช้รหัสผ่านที่ง่ายเกินไป เพื่อโจมตีอุปกรณ์หรือเข้าถึงข้อมูลส าคัญได้ 9. ซอฟต์แวร์/เฟิร์มแวร์ไม่ปลอดภัย สามารถตรวจสอบข้อมูลของการอัปเดต ซึ่งท าให้ทราบได้ว่า ซอฟต์แวร์ หรือเฟิร์มแวร์ในปัจจุบันมีช่องไหนอะไรอยู่บ้าง ส่วนแต่ให้ข้อมูลจากกรมหรืออุปกรณ์อาจถูกแย่ง สิทธิ์ควบคุมได้ 10. ปัญหาเชิงกายภาพของอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยไม่ได้ปิดกั้น หรือ ควบคุมการใช้แฟลชไดรฟ (USB) การ์ดบันทึกข้อมูล (SD Card) หรืออุปกรณ์บันทึกข้อมูลประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจ ถูกใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในอุปการมิได้ ส่งผลให้อุปกรณ์ เจาะระบบ (Hacking) เพื่อขโมยข้อมูลออกไปได้ ผลกระทบทำงด้ำนกำรศึกษำของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง ส าหรับประเทศก าลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว การท าความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายเพราะผู้เรียนส่วนใหญ่เติบโตหรือเกิดมาพร้อมกันพัฒนาการของยุคดิจิทัล แต่ในประเทศที่ด้อยพัฒนายังคงมีปัญหาเรื่องของพลังงานและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นปัญหาส าคัญ สนับสนุน เอกสารหลัง ทั้งนี้เพื่อให้การศึกษาในยุคที่ใช้ชักน าไปสู่การช่องว่างในการเข้าถึง การเรียนของผู้เรียน ปัจจุบันความเฟื่องฟูของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งในทางการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแหล่งทรัพยากร การเรียน และเครื่องมือการเรียนรู้ในห้องเรียนมีแบบกายภาพและออนไลน์ ซึ่งความท้าทายส าหรับอินเทอร์เน็ตทุก สรรพสิ่งคือ ความสามารถหรือประสิทธิภาพการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ความน่าเชื่อถือ และความสามารถของเครื่อง คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการศึกษาจาก การใช้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งย่อมจะมี ผลกระทบในหลายมิติโดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากการสื่อสาร กับอุปกรณ์หรือสิ่งต่างๆ ในโรงเรียน (Robert Lutz, 2016) โดยมีผลกระทบส าคัญ ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อผู้เรียนที่ต้องกำรกำรช่วยเหลือเป็นพิเศษ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสามารถอ านวยความสะดวกให้กับผู้เรียนให้สามารถปฏิบัติกิจกรรม และ ด าเนินชีวิตประจ าวันต่างๆ ได้สะดวกสบายและเข้าถึงความต้องการได้ง่ายขึ้นด้วยอุปกรณ์ที่สามารถ เชื่อมต่อกับ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและช่วยให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบ ดูแล ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ สื่อสารไป ยังผู้เรียนได้ เช่น ผู้เรียนที่มีความบกพร ่องทางสายตาจะได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษโดยมีอุปกรณ์ที่ ให้กับผู้เรียนได้ใช้ส าหรับ การลงทะเบียน ช่วยเหลือในการเรียนรู้ต่างๆ การสืบค้น การอ่าน การเขียนได้ ด้วยตนเอง สามารถที่จะอ่าน ข้อความในคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องขอความ ช่วยเหลือจากผู้อื่น สามารถสร้าง ความเชื่อมั่นในตนเองให้กับผู้เรียน ท าให้ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทาง สายตามั่นใจในตนเองและส่งเสริม ความเป็นอิสระให้กับผู้เรียนได้
2. ผลกระทบต่อประสิทธิภำพกำรเรียนกำรสอบ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะช่วยในการลดต้นทุนให้กับโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนมีทรัพยากรต่างๆ มากมาย เช่น หลอดไฟ ระบบน้ าประปา อุปกรณ์สื่อโสตทัศนวัสดุ เครื่องฉายภาพ จอโปรเจกเตอร์ เครื่อง คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของโรงเรียนในการน างบประมาณมาสนับสนุนให้กับผู้เรียน อินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่งจะช่วยให้โรงเรียนสามารถบริหารจัดการด้วยการเชื่อมต่อกับทรัพยากรต่างๆ ใน โรงเรียนและ สามารถตรวจสอบ ควบคุม จัดการเปิด-ปิดอุปกรณ์ต่างๆ ได้จากส่วนกลางและสามารถท างานได้ อย่าง มีประสิทธิภาพผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนของ โรงเรียนแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนให้กับผู้เรียนใต้ เนื่องจากผู้เรียนสามารถ เรียนรู้และเชื่อมต่อ กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนสามารถน าเสนอผลงานหรือรายงานจาก โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์พกพาต่างๆ ไปยังอุปกรณ์ของโรงเรียนได้ สามารถส่งงานหรือเรียนรู้เนื้อหาได้ จากทุกที่ทั้งใน และนอกห้องเรียนได้อย่างแท้จริง ด้วยการเชื่อมต่อผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง จอห์น แฮร์ริส (chin Harris, 2016) อธิบายถึงผลกระทบของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งต่อประสิทธิภาพ การเรียนการสอนว่าจะท าให้การมีส่วนร่วมของผู้เขียน (Engagement of Students) มีมากขึ้น เพราะ ทรัพยากร การเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะต่าง ๆ ในปัจจุบัน สามารถช่วยเพิ่มอัตราการมี ส่วนร่วม ในการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าวิธีการเรียนรู้แบบดั้งเดิม อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นรูปแบบการ น าเสนอ แนวทางการเรียนการสอนที่ทันสมัยได้มากขึ้น 3. กำรรักษำควำมปลอดภัยของโรงเรียน อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมีการปรายมากมายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นนี้จ าเป็นต้องได้รับการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลผลการ เรียน ของผู้เรียน ทั้งนี้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนต่างให้ความส าคัญและเป็นสถานที่ที่ควรปลอดภัยที่สุดส าหรับ ผู้เรียน แต่การรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนยังคงไม่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงบ่อยครั้ง อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งจะช่วยให้การรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะอุปกรณ์ ความ ปลอดภัยต่าง ๆ สามารถสื่อสาร ควบคุม และตรวจสอบได้จากศูนย์กลางการควบคุมในโรงเรียน เมื่อเกิด เหตุต่างๆ สามารถส่งข้อมูลได้ทันทีจากอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ในบริเวณโรงเรียน ท าให้โรงเรียนสร้าง พื้นที่ปลอดภัย ได้มากขึ้น สามารถท าการแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ได้ทันทีและสามารถส่งข้อมูล ภาพ เสียง วิดีโอ ไปยังต ารวจ เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นได้ทันทีเช่นกัน จอห์น แฮร์ริส (John Harris, 2016) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าความปลอดภัยของผู้เรียน (Safety ofStudents) ที่เกิดจากการน าอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาใช้ในการรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษานั้น จะช่วย ลดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ในโรงเรียนได้ เช่น ในรัฐมิชิแกนมีโรงเรียนแห่งหนึ่งได้เพิ่มอุปกรณ์ ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่างๆ และมีการส่งสัญญาณภาพวิดีโอเมื่อตรวจพบเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ในโรงเรียน ท าให้อัตราการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้เขียนลดลง
4. ส่งเสริมกำรเรียน แบบเรียน (Mobile Learning) อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งช่วยให้ผู้เรียน ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ได้ ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ สามารถเรียนรู้เนื้อหาบทเรียน แบ่งปันเนื้อหาแบบดิจิทัลทั้งกับครูผู้สอนด้วยกันเอง หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันได้ เป็นการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน เพราะผู้เรียน สามารถ เชื่อมต่อกับโรงเรียน (Connect Academies) ได้ตลอดเวลา สามารถได้ตอบกับผู้เรียนด้วยกันและกับ ครูผู้สอนให้ แบบเวลาจริง สามารถได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์ตรวจจับที่สามารถควบคุมหรือสั่งการได้ ทั้งผู้เรียน และผู้สอน และในปัจจุบันมีประเทศในบนอุปกรณ์มือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาจ านวนมากที่ ผู้เรียน ที่มีความพิการสามารถน ามาใช้สนับสนุนการเรียนรู้ ช่วยในการอ่าน การได้ยิน การสัมผัส มีระบบ สังเคราะห์เสียง ช่วยให้ผู้เรียนอาเซียน ความต่าง ๆ การสื่อสารด้วยอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งช่วยขยายห้องเรียนให้กว้างมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่ห้องเรียนที่ เห็น กันทั่วไปเป็นปกติ แก่ผู้เรียนสามารถเข้าในร่มเรียนรู้ได้จากทรัพยากรทั่วโลก และการท างานร่วมกับกับ ผู้เรียน รายอื่น การเข้าสังคม ช่วยตอบสนองความต้องการทางสังคม โดยรูปแบบการสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ทุกสรรพสิ่ง จะเป็นแบบ อุปกรณ์กับอุปกรณ์ด้วยกันเอง (Device-to-Device) โดยตรงผ่านการสื่อสารบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตซึ่งจะเป็นแอปพลิเคชั่นหรือโปรแกรมที่ติดตั้งในอุปกรณ์ของผู้ใช้ และส่งค าสั่งตรงไปยังอีกอุปกรณ์ได้ ทันที โดยไม่ต้องสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันบนเซิร์ฟเวอร์ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการติดต่อกับอุปกรณ์อีกทีหนึ่ง (Karen Rose, Scott Eldridge, Lyman Chapin, 2015) บทสรุป อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นแนวคิดที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตให้สามารถเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ ด้วยการควบคุม ตรวจสอบ วิเคราะห์ และประมวลผล ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ที่มีอยู่จ านวนมหาศาล (Big Data) ให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ และปรับเปลี่ยน วิถีชีวิตของมนุษย์ อ านวยความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานได้มากขึ้น ส าหรับทางด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่ส าคัญ ที่เป็นเครื่องมือ ในการช่วยเหลือการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน ให้ผู้เรียนที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันแต่ละ บุคคล สามารถเรียนรู้ร่วมกันโดยใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ผู้เรียนและผู้สอนสามารถเรียนต่อ สื่อสารเข้าถึง และรับรู้ข้อต่างๆ ได้ตลอดเวลา ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการศึกษานั้นเป็นประเด็นเกี่ยวกับความ คาดหวังด้าน ประสิทธิภาพในการน าอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งหรือเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ มาใช้งาน ซึ่งนักการศึกษา หน้า เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ทุกสรรพ สิ่งเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสมในบริบทการเรียนรู้ในห้องเรียน และนอก ห้องเรียน นอกจากนี้เนื่องด้วยมีข้อมูลมากมายที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และข้อมูลมากมายเหล่านั้น ส่วนหนึ่งเป็น ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสามารถน ามาใช้ในการปฏิสัมพันธ์ได้หลากหลายรูปแบบจนก่อให้เกิด การเรียนรู้ สามารถ
น ามาจัดระบบข้อมูลได้จ านวนมากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบการเรียนการสอน ที่น าประสิทธิภาพ ของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง จะท าให้ระบบขัดในข้อมูลที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายที่กระจัดกระจายสามารถท าการประมวลอย่างมี ประสิทธิภาพ และช่วยให้เกิดการท างานแบบเวลาจริง และสามารถแบ่งปัน (Share) ข้อมูลได้อย่างราบรื่น ไม่ว่า ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ไหนก็ตาม ดังนั้นข้อมูลทางการศึกษาที่มีอยู่จ านวนมากสามารถบริหารจัดการได้อย่าง มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับการน าอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาใช้งานอย่างเหมาะสม ตัวอย่ำงของกำรใช้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งในระดับโลก เทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งได้สร้างพรมแดนใหม่ของการ ใหม่ๆ ในการหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต่างไปจากเดิม 1. บ้ำนอัจฉริยะ (Smart Home) บ้านอัจฉริยะ คือ การใช้เทคโนโลยีที่มาควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เพื่ออ านวยความสะดวก ผู้ อยู่อาศัย มีระบบการจัดการพลังงาน ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติทั้งภายในและรอบตัวบ้าน ส่วนใหญ่ ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปเรียกว่าระบบควบคุมการท างานในบ้าน (Home Automation) ซึ่ง สามารถจ าแนกความสามารถและความซับซ้อนในการควบคุมได้ดังนี้ (1) ระบบควบคุมไฟฟ้าแสงสว่าง เช่น เปิด/ปิดหรือปรับระดับความสว่าง (2) ระบบควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น สั่งงานเครื่องปรับอากาศ เปิด-ปิดม่าน (3) ระบบความบันเทิงภายในบ้าน เช่น สั่งวิทยุบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Radio) ให้ ท างานในห้องที่ผู้ใช้อยู่ และปิดเมื่อผู้ใช้ออกจากห้อง (4) ระบบบริหารพลังงานและพลังงานส ารอง เช่น การปิด/เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยขึ้นกับ สิ่งแวดล้อม (5) ระบบสื่อสาร เช่น รับส่งข้อความหรือค าสั่งระหว่างผู้ใช้ (6) ระบบรักษาความปลอดภัย เช่น เชื่อมต่อระบบป้องกันขโมย กล้องวงจรปิด กับบริษัทรักษา ความปลอดภัย ระดับของความซับซ้อนนี้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของผู้อยู่อาศัย เช่น บางราย อาจ ต้องการเพียงสามารถสั่งเปิด - ปิดอุปกรณ์ต่างๆ จากแท็บเล็ต เช่น ไอแพด (iPad) หรือจากโทรศัพท์มือถือ หรือ ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน โคมไฟ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ เปิด-ปิดอัตโนมัติจากการวัดด้วยเซ็นเซอร์ หรือ ประมวลผลชุดคาสั่งจากประวัติผู้ใช้ (User Profile) ว่าน่าจะต้องการให้ระบบควบคุมปฏิบัติเช่นไร
รูปที่ 2.14 การควบคุมระบบบ้านอัจฉริยะด้วยโทรศัพท์มือถือ 2. อุปกรณ์สวมใส่ (Wearables Device) อุปกรณ์สวมใส่เป็นได้ทั้งเครื่องประดับแฟชั่นและอุปกรณ์ไอทีที่ช่วยอ านวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ รูปที่ 2.15 ตัวอย่างอุปกรณ์สวมใส่
หลักการท างานของนาฬิกาอัจฉริยะซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น • เชื่อมต่อ (Sync) ข้อมูลระหว่างนาฬิกากับสมาร์ตโฟน • วัดอัตราการก้าวเดิน • การแจ้งเตือนข้อความและการโทรเข้า รวมถึงสั่นเตือน ในกรณีนาฬิกาอยู่ห่างจากสมาร์ตโฟน • รองรับการสั่งงานด้วยเสียง • เชื่อมต่อผ่านทางบลูทูธ (Bluetooth) และอินเทอร์เน็ต - ชาร์จแบตเตอรี่ได้ อุปกรณ์สวมใส่ คือ อุปกรณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวันของมนุษย์ ท างานและควบคุมด้วยระบบ คอมพิวเตอร์ ในที่นี้ยกตัวอย่างเช่น สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ลักษณะภายนอกคล้ายก าไลข้อมือ มีคุณสมบัติ เช่น สามารถนับก้าวเดินวันหนึ่ง ๆ ของผู้ใช้ว่าเดินไปทั้งหมดกี่ก้าว ถ้าออกวิ่งสามารถตรวจสอบการก้าวเท้าขณะวิ่งได้ ค านวณปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญ ตรวจสอบได้ว่านอนหลับลึกไม่ลึกแค่ไหน ตั้งปลุกตอนเช้าได้โดยการสั่นที่ข้อมือ ค านวณปริมาณแคลอรีของอาหารที่รับประทาน เป็นต้น เมื่อน าอุปกรณ์ดังกล่าวมาเชื่อมต่อด้วยสายยูเอสบีกัน สมาร์ตโฟนที่ติดตั้งแอปพลิเคชั่นอัป (UP) ข้อมูลต่างๆ จะถูกเชื่อมต่อและน ามาแสดงผลในแอปพลิเคชั่นซึ่งสามารถ แบ่งปันข้อมูลดังกล่าวลงในสื่อสังคมออนไลน์ได้ รูปที่ 2.16ตัวอย่างแอปพลิเคชันอัปและสายรัดข้อมืออัจฉริยะ
3. เมืองอัจฉริยะ (Smart City) เมืองอัจฉริยะเป็นแนวคิดที่หมายถึงระบบที่เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐาน ของ เมือง แนวคิดเบื้องหลังของเมืองยังเรียงคือการที่สภาพแวดล้อมสามารถรับรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อส่ง มอบ บริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย ตัวอย่างเช่น • ระบบไฟจราจรที่เชื่อมโยงกัน ท าให้รถรู้ว่าควรจะหยุดตอนไหนและคนเดินถนนรู้ว่าควรข้ามถนน เมื่อไหร่ ในที่สุดระบบสัญญาณจรพรณะพัฒนาเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของรถยนต์ แทนที่จะใช้ เพียงการจับเวลา • ระบบการสอดแนมด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบวิเคราะห์ใบหน้า ระบบอ่านป้ายทะเบียน รถยนต์ ระบบเหล่านี้สร้างข้อมูลขึ้นมาแม้แต่ละบุคคลไม่ได้ก าลังพกพาอุปกรณ์อินบาทรอนิกส์ใดๆ แค่สัญจร อยู่บนถนนก็ป้อนข้อมูลบางอย่างให้กับระบบแล้ว รูปที่ 2.17 ตัวอย่างป้ายจราจรอัจฉริยะ 4. ระบบโครงข่ำยไฟฟ้ำอัจฉริยะ (Smart ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ คือ ระบบโครงข่ายส าหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจรโดยใช้ เทคโนโลยีดิจิทัล ท าหน้าที่ส่งไฟฟ้าจากผู้ให้บริการไปยังผู้ใช้บริการด้วยระบบการสื่อสารสองทางเพื่อควบคุม เครื่องใช้ไฟฟ้า ณ บ้านของผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย บริษัทที่ให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้ายังจะได้พัฒนาโปรแกรมพร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถตรวจสอบ การใช้ ไฟฟ้าได้ตามเวลาจริงไว้ที่แต่ละครัวเรือนว่ามีการใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่ จุดไหนได้มากน้อยอย่างไร เพื่อช่วยค านวณการ จ่ายกระแสไฟฟ้าของเมือง ช่วยให้การจ่ายกระแสไฟฟ้ามีความเสถียร ลดปัญหาไฟฟ้าดับในช่วง การใช้ไฟฟ้าทุ่ง ทั้ง ยังท าให้ผู้ใช้สามารถเห็นพฤติกรรมและปรับลดการใช้พลังงานของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยส าคัญที่ท า ให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเกิดขึ้น เป็นเพราะแนวโน้มในธุรกิจไฟฟ้าของโลกเป็น เข็มมาที่การใช้พลังงาน สะอาดจากพลังงานลม แสงอาทิตย์ หรือพลังงานชีวภาพอื่นๆ และผู้ใช้ก็เป็นฝ่ายผลิตไฟฟ้าได้เองจากการติดตั้งแผง โซลาร์เซลล์หรือกังหันลม ซึ่งเมื่อผลิตไฟฟ้าได้เกินจากการใช้งานก็ย่อมสามารถ
ส่งกลับไปขายให้รัฐหรือบริษัทผู้ให้บริการไฟฟ้าได้ แต่ทั้งหมดนี้ยังขาดการบริหารการผลิตหรือรองรับการจัดเก็บ ในระบบอุตสาหกรรม สามารถจัดสรรงานทดแทนเข้ามาใช้ในระบบในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ระบบ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะนี้จึงเข้ามาช่วยจัดการการผลิต จัดเก็บ และจัดสรรพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น ไม่เพียงประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ระบบนี้ยังมุ่งเน้นไปในด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานทดแทนด้วย รูปที่ 2.18ตัวอย่างระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 5. อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเชิงอุตสำหกรรม (Industrial Internet of Things : lloT) รูปที่ 2.19 ตัวอย่างระบบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเชิงอุตสาหกรรม
อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเชิงอุตสาหกรรม หมายถึง การผสานเครื่องจักรเข้ากับเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ บันทึกข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลกันเป็นเครือข่าย ช่วยให้ท างานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น อินเทอร์เน็ต เชิงอุตสาหกรรมประกอบด้วยองค์ประกอบส าคัญ 3 สิ่ง ได้แก่ เครื่องจักรที่ชาญฉลาด การวิเคราะห์ชั้นสูง และ ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งการเขียนต่อกัน การเก็บข้อมูล การบูรณาการข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลจะท าให้การผลิต มี ประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มการผลิตได้รวดเร็วและมีคุณภาพสูงขึ้น ลดของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเด นอกจากนี้สามารถตอนป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรได้ 6. ยำนยนต์ที่เชื่อมโยงกัน (Connected Car) ยานยนต์ที่เชื่อมโยงกันเป็นส่วนที่มีการปรับตัวช้ากว่าในรูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากวงรอบของการพัฒนา ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์กลายเป็นที่สนใจและเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง เพราะรถยนต์ลายเป็น เซ็นเซอร์เคลื่อนที่ที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลจากท้องถนน ได้แก่ ข้อมูลอากาศ สภาพถนน และความหนาแน่นของ จราจร ซึ่งอาจเปรียบรถยนต์ให้กับสถานีตรวจวัดอากาศเคลื่อนที่ที่พร้อมส่งข้อมูลของสภาพแวดล้อมต่างๆ จาก พื้นที่จริง รถยนต์จึงเป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่น่าเชื่อถือและต่อยอดประโยชน์ได้อย่างมาก นอกจากนี้ระบบยานยนต์ ที่เชื่อมโยงกันจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ในอนาคต ได้แก่ มีความปลอดภัยขึ้น มีเวลาส่วนตัว มากขึ้น มีเงินเพิ่มขึ้น ในโรงพยาบาลน้อยละ และอยากเดินทางบ่อยขึ้น รูปที่ 2.20 ตัวอย่างยานยนต์ที่เชื่อมโยงกัน 7. ระบบสุขภำพที่เชื่อมโยงกัน (ระบบสุขภำพดิจิทัล บริกำรทำงกำรแพทย์ผ่ำนระบบโทรคมนำคม/ กำรแพทย์ทำงไกล) Connected Health (Digital Health/Telehealth Telemedicine) แนวคิดของระบบคุณภาพที่เชื่อมโยงกัน ระบบสุขภาพดิจิทัล หรือการแพทย์อัจฉริยะยังไม่ได้ แพร่หลาย ในขณะนี้ แต่มีหลายบริษัทได้ผลิตระบบและอุปกรณ์บ้างแล้ว เช่น บริษัทเซลล์สโคป (CellScope, incl) อุปกรณ์ด้านการแพทย์แบบในทางนิกส์ เปิดตัวที่ตรวจ (otoscope) อัจฉริยะ โดยประกอบเข้ากับเคสส าหรับสมาร์ตโฟน พร้อมแอปพลิเคชันส าหรับใช้คู่กันที่ตรวจหู
โดยเฉพาะ หลักการของที่ตรวจหูท างานเหมือนที่ตรวจทั่วไป โดยใช้เลนส์ชุดพิเศษในการเชื่อมเข้ากับกล้อง เพื่อส่องเข้าไปในรูหูของคนไข้ แต่ที่พิเศษกว่า คือ มีแอปพลิเคชั่นที่สามารถส่งข้อมูลไปให้แพทย์ที่มีข้องกับ บริษัทเพื่อช่วยวินิจจากการได้ โดยตั้งเป้าหมายว่าวินิจฉัยอาการภายใน 2 ชั่วโมง เมื่อได้รับภาพจากที่ตรวจหู เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รูปที่ 2.21 ตัวอย่างที่ตรวจหูอัจฉริยะ 8. ค้ำปลีกอัจฉริยะ (Smart Retail) ส าหรับระบบค้าปลีกอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยร้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดีในการประสบการณ์ ส าหรับ ลูกค้าในการซื้อสินค้า คือ การจัดการระบบร้านค้าด้วยการส่งข้อมูลไปถึงมือลูกค้าอย่างฉับไว เมื่อลูกค้า เดินผ่าน ประตูร้านเข้ามาจะได้รับการท้าทาย เพิ่มโอกาสและแรงจูงใจในการจับจ่ายสินค้าได้โดยน าแทนค้า ตรงตาม รสนิยมหรือมอบส่วนลดได้ตรงใจลูกค้าอย่างรวดเร็ว สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เมื่อไม่ต้อง เสียเวลาหรือ ถูกกวนใจกับข้อมูลสินค้าและโปรโมชั่นที่ไม่ต้องการ นอกจากนี้ระบบไม่เพียงส่งข้อมูลที่เหมาะสม ตรงถึงลูกค้า เท่านั้น ยังสามารถเก็บข้อมูลและสถิติได้ในรูปแบบต่างๆ ที่ธุรกิจสามารถน าไปปรับใช้กับกลยุทธ์ทาง ทาคลาด และการบริหาร เพิ่มความแข็งแกร่งด้านข้อมูลข่าวสาร เสริมศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขัน ของ ธุรกิจ
รูปที่ 2.22 ตัวอย่างค้าปลีกอัจฉริยะ 9. ห่วงโซ่อุปทำนอัจฉริยะ (Smart Supply Chain) ระบบนี้จะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เข้ามาช่วยสินค้าที่ก าลังขนส่ง แต่ยังมีการใช้งานอยู่ในวงจ ากัด ซึ่งส่วน ที่เชื่อมห่วงโซ่อุปทานเข้าด้วยกัน คือ โลจิสติกส์ (Logistics) โดยเริ่มจากการจัดหาวัตถุดิบ การผลิตสินค้า หรือ น าเข้าวัตถุดิบ การจัดเก็บสินค้า การส่งสินค้าหรือกระจายสินค้า และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ทั้งนี้ ระบบห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะต้องสามารถบริหารจัดการการไหลของสินค้า (Product Flow) การไหลของ ข้อมูล (Information Flow) และการไหลของเงินในระบบ (Financial Flow) รูปที่ 2.23 ตัวอย่างห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะ
10. เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เกษตรอัจฉริยะเป็นการน าอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งมาประยุกต์ใช้เพื่อท าการติดตามและตรวจสอบ จึงเป็นการปฏิวัติวงการท าเกษตรที่ทันสมัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เครื่องจักร โฟน คอมพิวเตอร์ เซ็นเซอร์ เป็นต้น ซึ่งมีความแม่นย าสูงมาช่วยในการท างาน โดยมีแนวคิด คือ การเกษตรแม่นย าสูง (Precision Farming) เพื่อท าการเกษตรที่เข้ากับสภาพพื้นที่เน้นประสิทธิภาพในการเพาะปลูก เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ จนถึงการ น าเทคโนโลยีเข้าใช้ในการตรวจวัดสภาพดิน ความชื้นในดิน แร่ธาตุในดิน ปริมาณแสง ศัตรูพืช ควบคุม สิ่งแวดล้อม ในโรงเรือนเพื่อป้องกันศัตรูพืช ท าให้สามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และคุณภาพของ ผลผลิตได้อย่างเข้มงวดโดยไม่ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง ดังนั้น องค์ประกอบส าคัญที่จะท าให้เกษตร อัจฉริยะที่มี ประสิทธิภาพ ได้แก่ การระบุต าแหน่งพื้นที่เพาะปลูก การวิเคราะห์ข้อมูลที่ตรงกับระยะเวลาของ การเพาะปลูกพืช และการบริหารจัดการพื้นที่อย่างคุ้มค่าให้สอดคล้องกับพืชแต่ละชนิด รูปที่ 2.24 ตัวอย่างเกษตรอัจฉริยะ
อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) ค ำชี้แจง จงเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ยุค IoT ที่ต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้คือขั้นใด ก. ขั้นสรุป ข. ขั้นอธิบาย ค. ขั้นน า ง. ขั้นกิจกรรม จ. ขั้นสอน 2. การสมัครเข้าไปจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Email) และการใช้สื่อสังคม (Social Media) เพื่อติดต่อสื่อสาร ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 4.0 มีข้อจ ากัดในการสมัครส าหรับประเทศไทยตามข้อใด ก. อายุของผู้สมัครต้อง 20 ปีขึ้นไป ข. อายุของผู้สมัครต้อง 18 ปีขึ้นไป ค. อายุของผู้สมัครต้อง 15 ปีขึ้นไป ง. อายุของผู้สมัครต้อง 13 ปีขึ้นไป จ. อายุของผู้สมัครต้อง 20 ปีขึ้นไป 3. บทบาทไอซีทีในการเรียนในศตวรรษที่ 21 ยุค loT ตรงกับข้อใด ก. เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้ด้วยใบงาน ข. เป็นสื่อในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของสถานศึกษา ค. ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้ด้วยโครงงาน ง. ใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างสถานศึกษากับบุคลากร จ. ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเองในการสร้างผลงาน 4. สัญลักษณ์ ตรงกับข้อใด ก. ใช้เพื่อการค้าและอ้างอิง ข. อ้างอิงแหล่งที่มาและไม่แสวงหาผลก าไร ค. ห้ามใช้เพื่อการค้า ง. ห้ามจ าหน่าย จ. ห้ามคัดลอก 5. ข้อใดเป็นแอปพลิเคชันระบบคลาวด์ (Cloud Computing Application) เพื่อการเรียนการสอน ก. MOOC ข. Facebook ค. Microsoft Word ง. Microsoft PowerPoint จ. Prezi
6. ข้อใดกล่าวถึงการใช้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเพื่อการสื่อสารและเครือข่ายได้ถูกต้อง ก. เป็นการท างานร่วมกันของเครื่องพิมพ์ ข. เป็นการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านสายเคเบิลเท่านั้น ค. ใช้ส าหรับส่งข้อมูลที่มีระยะห่างอย่างต่ า 5 เมตร ง. เป็นการท างานร่วมกันของเครื่องคอมพิวเตอร์ จ. เป็นการส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง 7. ข้อใดกล่าวถึงผลกระทบจากการใช้อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งได้ถูกต้อง ก. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบ ข. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น ค. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทางด้านลบเท่านั้น ง. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านบวกเท่านั้น จ. ทุกข้อที่กล่าวทั้งหมด 8. อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งส่งผลให้เกิดความเสมอภาคในสังคมคือข้อใด ก. ช่วยกระจายรายได้ ข. ช่วยกระจายโอกาส ค. ช่วยเสริมสร้างรายได้ ง. ช่วยลดปัญหาอาชญากรรม จ. ช่วยลดความเสี่ยงในการตกงาน 9. ข้อใดไม่ใช่ผลกระทบทางด้านบวกของเทศ มีสารสนเทศที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ก. ส่งเสริมการเรียนรู้ ข. ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม ค. เพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน ง. สร้างความเสมอภาคในสังคม จ. ลดรายจ่ายให้กับครอบครัว 10. แหล่งทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในยุคศตวรรษที่ 21 ตรงกับข้อใด ก. Google Classroom ข. Viral Video Open Online ค. Video Teleconference (VT) ง. Open Educational Resources (OER) จ. MOOC (Massive Open Online Course)