The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กรอบงานพื้นฐาน (แก้ครั้งที่ 5)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pcc.print, 2020-05-23 13:05:10

กรอบงานพื้นฐาน (แก้ครั้งที่ 5)

กรอบงานพื้นฐาน (แก้ครั้งที่ 5)

คาํ นํา

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ซง่ึ เปน็ องคก์ รวชิ าชพี ดา้ นเภสชั กรรม
ได้เข้าเยี่ยมสำ� รวจระบบยาและงานเภสชั กรรมโรงพยาบาล ล่วงหน้ากอ่ นการเย่ียมส�ำรวจ
รับรองคณุ ภาพ (Accreditation) และกอ่ นการเย่ียมสำ� รวจซำ้� (Reaccreditation) ของ
โรงพยาบาลขนาดใหญต่ ามขอ้ กำ� หนดของสถาบนั รบั รองคณุ ภาพสถานพยาบาล (องคก์ าร
มหาชน) หรือ สรพ.อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จนถงึ ปัจจบุ ัน แตด่ ้วยข้อจ�ำกดั หลายประการ ท�ำให้
สมาคมฯ ไม่สามารถเข้าเย่ียมส�ำรวจงานเภสัชกรรมและระบบยาได้ครอบคลุมใน
โรงพยาบาลทุกระดับ ซึ่งสง่ ผลใหอ้ งค์ความรู้ในการพฒั นาระบบยาขยายได้ไมท่ วั่ ถึง

เนื่องจากงานของกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมมีรายละเอียดต่าง ๆ ท่ีต้องปฏิบัติตาม
มาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล และมีงานบางส่วนที่ต้องเช่ือมประสานกิจกรรม
กับสหวิชาชีพในการดูแลระบบยาของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา
ดงั นน้ั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทต่ี รงกนั รศ.ภญ.ธดิ า นงิ สานนท ์ อดตี นายกสมาคมฯ และ
อดตี ผู้เย่ียมส�ำรวจรบั รองคณุ ภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) รว่ มกับผูเ้ ย่ยี มสำ� รวจ
ระบบยาของสมาคมฯ จงึ เหน็ ความจำ� เปน็ ในการจดั ทำ� “กรอบงานพน้ื ฐานระบบยา” ขน้ึ
เพื่อเป็นกรอบในการพัฒนางานท่ีเป็นพ้ืนฐานจ�ำเป็น ที่ต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน โดยได้
รวบรวมประเด็นความเส่ียงส�ำคัญที่เกิดขึ้นในระบบยาจากประสบการณ์การเยี่ยมส�ำรวจ
ของผู้เย่ียมส�ำรวจของสมาคมฯ และสอดแทรกองค์ความรู้ ทักษะ และแนวทางการ
ด�ำเนินการท่ีถูกต้อง เพื่อให้เภสัชกรโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
ในระบบยา ตลอดจนผู้บริหารและผู้เย่ียมส�ำรวจต่างวิชาชีพ ได้รับทราบและเข้าใจ
ตรงกัน จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ส่งมอบให้โรงพยาบาลทุกแห่งและผู้เยี่ยมส�ำรวจทุกท่าน
รวมทง้ั เผยแพรบ่ นเว็บไซตข์ องสมาคมฯ ให้ download ได้ โดยไม่มีคา่ ใช้จ่ายใด ๆ

สมาคมฯ ขอขอบคุณท่านอาจารย์ธิดาและคณะเป็นอย่างสูง ท่ีสละเวลาในการ
ร้อยเรยี ง “งานพ้ืนฐานจำ� เป็นของระบบยา” ให้เหน็ กรอบที่ชัดเจนและเขา้ ใจง่าย หวงั เป็น
อย่างยิ่งว่าเภสัชกรโรงพยาบาลจะมีบทบาทส�ำคัญในการพัฒนาระบบยาร่วมกับทีม
สหวิชาชีพให้บรรลเุ ป้าหมายความปลอดภัยได้ในท่ีสดุ

เภสัชกรอ�ำนวย พฤกษภ์ าคภูมิ
นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

9 มนี าคม พ.ศ. 2563

สารบญั

5 ............. บทน�ำ
6 ............. คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัด

(Pharmacy and Therapeutic Committee – PTC)

10 ............. การเก็บรักษายา
13 ............. การทบทวนค�ำสัง่ ใชย้ า

15 ............. การส่งมอบยา
1............. High Alert Drugs (ยาท่มี ีความเสยี่ งสูง)

19 ............. ระบบการกระจายยาผูป้ ่วยใน
21............. การผลติ ยาในโรงพยาบาล
23 ............. อาการไมพ่ งึ ประสงค์จากการใช้ยา (ADR/ADE)
28 ............. การประสานรายการยา (Medication reconciliation)
31 . . . . . . ความคลาดเคลอื่ นทางยา (Medication Error)
37 . . . . . . Ambulatory Clinic และ Acute Care

กรอบงาน
พนื้ ฐานระบบยา

บทน�ำ

บทน�ำ

กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมจะมีงานหลายอย่างท่ีเภสัชกรต้องด�ำเนินการเพ่ือ
ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัย ท้ังที่ต้องด�ำเนินการเองและต้องร่วมกับสหวิชาชีพ งานของกลุ่ม
งาน/ฝ่ายเภสัชกรรมโดยพ้ืนฐานมีงานท่ีต้องด�ำเนินการเหมือนกันท่ีระดับหน่ึงไม่ว่าจะ
เป็นโรงพยาบาลเล็กหรือใหญ่ แต่ในโรงพยาบาลใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ
โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ หรือโรงพยาบาลเอกชน จะมีความหลากหลายของบริการ
ที่เภสัชกรต้องสนับสนุนการรักษาของแพทย์ตามบริบทของโรงพยาบาล รวมทั้งต้องมี
การด�ำเนินงานบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในที่ชัดเจนและเป็นไปตาม
มาตรฐาน มากน้อยขึ้นกับอัตราก�ำลัง โดยค�ำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นส�ำคัญ
นอกจากน้ ี ยงั ต้องรับผดิ ชอบงานผลิตยาปราศจากเช้ือทแี่ พทย์สั่งสำ� หรับผ้ปู ว่ ยเฉพาะราย
ด้วย (เช่น งานผสมยาเคมีบ�ำบัด, IV admixture, งานผสม total parenteral nutrition,
งานผสมยาตา เปน็ ตน้ )

อยา่ งไรกต็ าม ในโรงพยาบาลขนาดเลก็ ทรี่ บั ผปู้ ว่ ยไมซ่ บั ซอ้ น การบรกิ ารเภสชั กรรม
ทม่ี จี ะลดลงตามบรบิ ทโรงพยาบาล แตต่ อ้ งมงี านบรกิ ารจ�ำเปน็ พน้ื ฐานทตี่ อ้ งด�ำเนนิ การ
ให้เหมือนกันดังจะกล่าวในบทต่อไป ท้ังน้ี ต้องมีการก�ำหนดตัวชี้วัดเพ่ือวัดผลงาน
หรือเพื่อติดตามการท�ำงาน โดยกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมสามารถก�ำหนดข้ึนเองได้
แต่ต้องมีเหตุผลในการก�ำหนดตัวชี้วัดเหล่านั้น และต้องท�ำความเข้าใจกับผู้เก่ียวข้องใน
เร่ืองความครอบคลุมของการเก็บข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น�ำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
และมีมาตรฐานเดียวกัน ตัวชี้วัดบางตัวสามารถก�ำหนดข้ึนเพื่อใช้งานเฉพาะกิจ
เพ่ือวัดผลกระบวนการท�ำงาน แต่ตัวชี้วัดบางตัวโดยเฉพาะท่ีเป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์คุณภาพ
งานเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย เช่น ความคลาดเคลื่อนทางยา อาการไม่พึงประสงค์
ที่เกิดจากยา จ�ำเป็นต้องมีการเก็บต่อเน่ืองเพ่ือติดตามการท�ำงานตลอดไป และต้องน�ำ
เสนอข้อมูลให้คณะกรรมการที่ดูแลระบบยารับทราบเป็นระยะอย่างสม�่ำเสมอพร้อมผล
การวเิ คราะห์

5

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัด
(Pharmacy and Therapeutic Committee – PTC)

คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัด หรือ คณะกรรมการ PTC เป็นคณะ
กรรมการที่ประกอบด้วยสหวิชาชีพท่ีเกี่ยวข้องกับระบบยา (แพทย์ เภสัชกร และ
พยาบาล) จ�ำนวนกรรมการข้ึนกับขนาดของโรงพยาบาลและความเหมาะสม โดย
ประธานคณะกรรมการ ต้องเป็นผู้บริหารที่มีอ�ำนาจตัดสินใจเพื่อชี้น�ำการพัฒนา
ระบบยา ซ่ึงในโรงพยาบาลขนาดเลก็ ผอู้ ำ� นวยการมักเป็นประธานเอง แต่ในโรงพยาบาล
ใหญ่ ประธานอาจเป็นผู้อ�ำนวยการหรือรองผู้อ�ำนวยการแพทย์ หรืออาจเป็นแพทย์
ท่ีสนใจเร่ืองระบบยาและเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสหวิชาชีพ สามารถประสานให้
เกิดการขับเคล่ือนการพัฒนาได้ โดยมีหัวหน้ากลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมท�ำหน้าที่เป็น
เลขานกุ าร และมพี ยาบาลระดบั หวั หนา้ หรอื ผทู้ ไี่ ดร้ บั มอบหมายซงึ่ มอี �ำนาจในการตดั สนิ ใจ
แทน นอกจากน้ี จะมีแพทย์ เภสัชกร และพยาบาล ท่ีรับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ ที่
เกยี่ วขอ้ ง รว่ มเป็นกรรมการ จะมจี �ำนวนมากนอ้ ยเพียงใดแล้วแตค่ วามจ�ำเป็น บางกรณี
อาจมผี ู้ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เรอื่ งท่จี ะพจิ ารณาเข้าร่วมประชุมด้วยเปน็ ครงั้ คราว

ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ คณะกรรมการ PTC จะท�ำหน้าที่ทบทวนบัญชียา
โรงพยาบาล พจิ ารณารบั ยาเขา้ และตดั ยาออกจากบญั ชยี า โดยนำ� ขอ้ มลู ความคลาดเคลอ่ื น
ทางยาและข้อมูลการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยามาประกอบการพิจารณาด้วย
ส่วนการดูแลเรื่องความปลอดภัยจากการใช้ยาในโรงพยาบาลน้ัน คณะกรรมการ PTC
จะแต่งตั้งคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งขึ้นมาดูแลโดยตรง โดยให้รายงานต่อคณะกรรมการ
PTC ทั้งน ี้ กลมุ่ งาน/ฝ่ายเภสชั กรรมตอ้ งรับผดิ ชอบในการนำ� เสนอ และท�ำความเข้าใจ
กับคณะกรรมการในเร่ืองมาตรฐานระบบยาที่ต้องปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
เพื่อจัดท�ำนโยบาย/มาตรการ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องได้รับความร่วมมือจากสหวิชาชีพ
จึงจะน�ำไปสู่ผลส�ำเร็จ ส่วนในโรงพยาบาลขนาดเล็กนั้น คณะกรรมการ PTC จะท�ำ
หนา้ ที่ท้ังการทบทวนบัญชียาโรงพยาบาลและการดูแลเรือ่ งความปลอดภัยในการใชย้ า

6

คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำ� บัด (Pharmacy and Therapeutic Committee – PTC)

บทบาทหนา้ ท่ขี องคณะกรรมการสหวิชาชพี

1. ดูแลภาพรวมของระบบยาโรงพยาบาล ก�ำหนดทิศทางการพัฒนาให้สอดคล้อง
กับพันธกิจและวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาล ออกนโนบาย/มาตรการในการด�ำเนินงาน
ตลอดจนประสานความร่วมมือของสหวิชาชีพให้เข้าใจถึงบทบาทของแต่ละวิชาชีพใน
การด�ำเนนิ การร่วมกันเพ่ือให้บรรลุเปา้ หมาย
2. ประสานความรว่ มมอื กบั ทมี นำ� เชงิ ระบบอน่ื ๆ และหวั หนา้ กลมุ่ งาน/ฝา่ ยทเี่ กยี่ วขอ้ ง
กับระบบยา เพ่ือเช่ือมโยงท้ังการด�ำเนินการและการเก็บข้อมูล ไม่ให้เกิดความซ้�ำซ้อนใน
การทำ� งาน
3. สนับสนุนทรัพยากรที่จ�ำเป็นในการพัฒนาระบบยา ท้ังเร่ืองสถานท่ี อุปกรณ์
บคุ ลากรและการพฒั นาทักษะให้สอดคล้องไปกับทศิ ทางของโรงพยาบาล
4. มีการประชุมสม�่ำเสมอเพื่อติดตามและประเมินผลภาพรวมในการด�ำเนินการ
ตามนโยบาย น�ำผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายมาวิเคราะห์เพื่อช่วยกันแก้ไข และ
ปรับระบบการจัดการรว่ มกัน รวมทัง้ ปรบั มาตรการตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องกับการทำ� งานของ
เจา้ หนา้ ท่หี นา้ งาน เพือ่ ให้สามารถด�ำเนนิ การได้บรรลเุ ป้าหมาย
5. วิเคราะห์ (มิใช่เพียงการรับทราบ) ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทเ่ี ก็บรวบรวมในระบบยา เช่น
ความคลาดเคลื่อนทางยา การเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยา การเกิดการแพ้ยา
ซ้�ำ การประสานรายการยา ฯลฯ เพ่ือดูแนวโน้มความเส่ียงท่ีเกิดข้ึน ซ่ึงในบางคร้ัง
อาจต้องประสานความร่วมมือกับทีมนำ� เชงิ ระบบทีมอน่ื ด้วย
6. น�ำเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาในเร่ืองความปลอดภัยด้านยา
เช่น ความคลาดเคล่ือนทางยา การเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ผลการ
ตดิ ตามความปลอดภยั ในการใชย้ าใหมท่ ตี่ อ้ งเฝา้ ระวงั ความปลอดภยั (Safety Monitoring
Program: SMP) เป็นต้น ให้คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดเพ่ือใช้ประกอบ
การพจิ ารณายาเข้า-ออกจากบญั ชียาโรงพยาบาล

เป้าหมายของระบบยาทดี่ ีคือ

ความปลอดภยั ของผปู้ ว่ ย

7

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

นโยบาย/มาตรการส�ำคญั ท่ตี อ้ งก�ำหนดจากคณะกรรมการสหวชิ าชีพ

เน่ืองจากระบบยาเป็นการท�ำงานร่วมของสหวิชาชีพ แม้เภสัชกรจะเป็นเจ้าภาพ
หลกั ในการดแู ลระบบน ี้ แตห่ ากปราศจากความรว่ มมอื ของสหวชิ าชพี แลว้ จะไมส่ ามารถ
บรรลุเป้าหมาย ความปลอดภัยของผู้ป่วยในการใช้ยาได้ ด้วยหลักคิดดังกล่าว คณะ
กรรมการสหวิชาชีพจึงต้องมีบทบาทในการก�ำหนดนโยบาย/มาตรการการด�ำเนินการท่ี
ชดั เจนในกิจกรรมสำ� คัญที่เป็นเรอื่ งความร่วมมือของสหวชิ าชพี ไดแ้ ก่

1. Medication reconciliation คณะกรรมการฯ ควรร่วมกันก�ำหนดว่าจะให้
ครอบคลุมผู้ป่วยกลุ่มใดบ้าง ควรท�ำตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวไปจนผู้ป่วยถูก
จ�ำหน่ายออกจากโรงพยาบาล และเมอื่ ผู้ป่วยจะกลับบ้าน เภสัชกรตอ้ งทำ� discharged
counselling เพือ่ ใหผ้ ้ปู ่วยกลับบา้ นไปใชย้ าและเก็บยาไดอ้ ย่างถกู ต้อง ป้องกนั การใช้ยา
ซ้�ำซ้อน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังท่ีต้องใช้ยาหลายขนานร่วมกัน เพราะแพทย์อาจ
มกี ารเปลีย่ นยาหรือขนาดยา

2. การจดั การเหตกุ ารณไ์ มพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า (ADE/ADR) คณะกรรมการฯ
ควรก�ำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติส�ำหรับสหวิชาชีพในการรายงานและเฝ้าระวัง
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมต้องท�ำหน้าท่ีส่ือสาร
สิ่งท่ีต้องการให้สหวิชาชีพให้ความร่วมมือ และมีความเข้าใจในมาตรฐานการปฏิบัต ิ
ผ่านที่ประชุมของคณะกรรมการ PTC หรือคณะกรรมการที่ดูแลความปลอดภัยของยา
เม่ือเกิดการแพ้ยาซำ�้ หรือการเกิดอาการข้างเคียงจากยาท่ีรุนแรงขึ้นในโรงพยาบาล ควร
น�ำข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกันในท่ีประชุมสหวิชาชีพ เพ่ือช่วยกันวิเคราะห์และแก้ไขท่ี
สาเหต ุ มมุ มองของสหวิชาชพี จะทำ� ใหไ้ ดค้ วามเห็นในทกุ มติ ิ

3. การจัดการยาท่ีมีความเส่ียงสูง (High alert drugs: HAD) คณะกรรมการฯ
ต้องกำ� หนดนโยบายการจัดการยาที่มีความเส่ียงสูงของโรงพยาบาล โดยร่วมกันพิจารณา
รายการยาทม่ี คี วามเสยี่ งสงู ใหค้ รอบคลมุ ตามบรบิ ทของโรงพยาบาล และกำ� หนดแนวทาง
การจัดการเพื่อป้องกันความคลาดเคล่ือนท่ีอาจเกิดข้ึน ตั้งแต่การคัดเลือก จัดหา เก็บ
ส�ำรองยา การสั่งใช้ยา การจัด/จ่าย การเตรียมยา การบริหารยา และการติดตามผล
การใชย้ า

8

คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบดั (Pharmacy and Therapeutic Committee – PTC)

4. การก�ำหนดวงรอบยา คณะกรรมการฯ ตอ้ งเป็นตัวกลางในการรว่ มกันก�ำหนด
วงรอบยา ส�ำหรับการบริหารยาแบบ one day dose เพ่ือให้ปริมาณการจ่ายยาจาก
ห้องยาสัมพันธ์กับวงรอบการบริหารยา 24 ชั่วโมง และต้องสัมพันธ์กับการตัดรอบวัน
ในระบบคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อให้มียาเหลือค้างบนหอผู้ป่วยน้อยท่ีสุด ป้องกันความ
เส่ียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากยาที่เหลือใช้บนหอผู้ป่วย และพยาบาลต้องส่งยาท่ีเหลือหรือ
ท่แี พทยส์ ั่งหยดุ คืนห้องยาทันที
5. การจัดการยาที่ผู้ป่วยน�ำมาจากบ้าน คณะกรรมการฯ ต้องมีนโยบายชัดเจน
เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยใช้ยาของโรงพยาบาลเท่านั้น
ยกเว้นว่ายาน้ันไม่มีในบัญชียาโรงพยาบาล และพยาบาลก็ต้องมีมาตรการในการบริหาร
ยาดังกล่าว เพ่ือให้ผู้ป่วยได้รับยาครบถ้วนขณะรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วย รวมทั้งมี
มาตรการชัดเจนว่าจะจัดการอย่างไรกบั ยาท่ผี ูป้ ว่ ยใชอ้ ยูแ่ ละเป็นยาทมี่ ีอยใู่ นโรงพยาบาล
6. การจัดการเม่ือห้องยาปิดท�ำการ ส�ำหรับโรงพยาบาลขนาดเล็กท่ีมีผู้ป่วยไม่
มากนกั และห้องยาปิดทำ� การหลังเวลาราชการ คณะกรรมการฯ ต้องกำ� หนดมาตรการให้
แต่ละวิชาชีพที่เกี่ยวข้องน�ำใบสั่งยามาทบทวนความถูกต้องในการวินิจฉัยโรคและการสั่ง
ใช้ยาในวันรุ่งขึ้น และห้องยาต้องส�ำรวจยาส�ำรองคงเหลือในห้องฉุกเฉินให้สอดคล้องกับ
ใบสั่งยาดว้ ย
7. การจัดการยาด่วน/ยา stat คณะกรรมการฯ ต้องก�ำหนดชัดเจนว่า ห้องยา
ตอ้ งส่ง ยาดว่ น/ยา stat ถึงหอผปู้ ่วยพร้อมใชภ้ ายในเวลากี่นาทีนับจากได้รบั ใบสัง่ ยา
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่าน้ัน หากเรื่องใดท่ีต้องการความร่วมมือของ
ผู้ปฏิบัติวิชาชีพเพื่อให้มีการด�ำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน คณะกรรมการฯ ก็ควร
ออกเป็นนโยบายหรือมาตรการใหช้ ัดเจน และสอื่ สารให้ท่วั ถึง เพ่อื ใหร้ บั ทราบและปฏิบตั ิ
โดยทัว่ กัน

9

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

การเกบ็ รกั ษายา

ยาทกุ ชนดิ จ�ำเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การเกบ็ รกั ษาทถ่ี กู ตอ้ ง เพอ่ื ใหย้ าคงคณุ ภาพจนกวา่
จะถึงผู้ป่วย เภสัชกรต้องให้ความส�ำคัญและเป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการน้ีตลอดจนถึง
การส่งมอบยาให้ผ้ปู ว่ ยพร้อมค�ำแนะน�ำใหผ้ ู้ป่วยเกบ็ รักษายาให้ถกู ตอ้ งเหมาะสมดว้ ย

คลงั ยา/คลงั เวชภณั ฑ์

เป็นสถานท่ีเก็บรักษายาเพื่อใช้ส�ำหรับการรักษาผู้ป่วยท้ังโรงพยาบาล อยู่ในความ
ดูแลของกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรม ต้องมีพ้ืนที่ท่ีเหมาะสม มีการควบคุมอุณหภูมิ/ความชื้น
และไม่มีแสงแดดส่องถึง มีอุปกรณ์เพียงพอ (ตู้เย็น ชั้นวาง palate เครื่องวัดอุณหภูมิ/
ความช้ืน) ต้องมีระบบส�ำรองไฟส�ำหรับเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นที่เก็บรักษายาที่
ต้องควบคุมอุณหภูมิ มีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิ/ความช้ืนผิดปกติ มีระบบ
ป้องกันอุบัติภัยและการโจรกรรม รวมท้ังระบบป้องกันและรองรับการเกิดอัคคีภัย ทั้งนี้
กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมต้องได้รับการสนับสนุนทรัพยากรท่ีเพียงพอต่อการรักษาคุณภาพ
ยาจากคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบดั

ยาส�ำรองบนหอผปู้ ่วย (Floor stock) และหนว่ ยบริการอนื่
เภสัชกรมีหน้าที่ช่วยแนะน�ำพยาบาลบนหอผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ในหน่วยบริการอ่ืน
ที่มีการเก็บส�ำรองยา ให้มีการเก็บยาส�ำรองในสภาวะท่ีถูกต้องเพ่ือป้องกันการเสื่อมของ
ยา ยาส�ำรองบนหอผู้ป่วยไม่ควรมีมากเกินความจ�ำเป็น และควรมีปริมาณสอดคล้อง
กับความสามารถของห้องยาในการส่งยาข้ึนหอผู้ป่วย ควรมีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพ่ือ
ก�ำหนดบัญชีรายการยาและปริมาณการส�ำรองให้เหมาะสมเฉพาะท่ีจ�ำเป็นเช่นเดียวกับ
ยาสำ� รองในหน่วยบรกิ ารอน่ื ทั้งน้ีโดยใชข้ อ้ มลู ความคลาดเคล่ือนทางยา รายการยาทม่ี กั
ท�ำใหเ้ กิดอาการไมพ่ ึงประสงคม์ าประกอบการพจิ ารณาดว้ ย กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสชั กรรมควร
มกี ารกำ� หนดวงรอบการตรวจสอบยาส�ำรองท่ีเหลืออยา่ งสม่�ำเสมอ และใหค้ วามรเู้ บื้องต้น
เกี่ยวกับยาทสี่ ำ� รองเพ่อื ใหเ้ ตรียมและบริหารยาได้อยา่ งปลอดภัย

10

การเก็บรกั ษายา

การเกบ็ รกั ษายาทตี่ อ้ งควบคมุ อุณหภูม/ิ ความชื้น

กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมต้องวางระบบการติดตามตรวจสอบอุณหภูมิ/ความช้ืน
ของคลังยา ตามวงรอบที่ก�ำหนดอย่างสม�่ำเสมอ และต้องวางระบบจัดการแก้ไขอย่าง
ทนั ทว่ งทเี มอ่ื พบวา่ อณุ หภมู /ิ ความชน้ื อยนู่ อกชว่ งทกี่ ำ� หนด หวั หนา้ งานมหี นา้ ทตี่ อ้ งตดิ ตาม
อยา่ งสม�ำ่ เสมอให้การบันทึกเป็นไปตามความเปน็ จริง มีระบบ Cold chain ในการขนส่ง
ยาท่ีต้องแช่เย็น เช่น ยากลุ่มชีววัตถุ เป็นต้น ต้องมีระบบตรวจสอบการหมุนเวียนยา
อย่างสม�่ำเสมอ เพื่อป้องกันยาเสื่อมสภาพและสูญหาย ส�ำหรับหน่วยงานท่ีมีการส�ำรอง
ยาจ�ำนวนมาก เช่น หนว่ ยส�ำรองยายอ่ ย ควรมีระบบบนั ทึกเช่นเดยี วกับคลงั ยาใหญ่ เพือ่
ใหส้ ามารถยอ้ นดูขอ้ มลู ไดเ้ มื่อเกิดเหตุการณไ์ มพ่ งึ ประสงคเ์ พอ่ื นำ� มาส่กู ารวิเคราะห ์

การเก็บรักษาและการควบคุมยาเสพตดิ

สถานท่ีหรือตู้จัดเก็บยาเสพติดให้โทษประเภทสอง ท้ังท่ีคลังยาและทุกหน่วยท่ี
ส�ำรองยา ตอ้ งมีความม่นั คง ปลอดภยั มดิ ชดิ ไมป่ ะปนกบั ยาอ่ืนหรอื วตั ถุอื่น มีกุญแจ
ใสไ่ วเ้ ปน็ พเิ ศษ การสำ� รองยาเสพตดิ ทหี่ นว่ ยงาน ใหส้ ำ� รองเฉพาะหนว่ ยงานทจี่ ำ� เปน็ ตอ้ งใช้
ก�ำหนดผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษาและเบิกจ่าย และมีระบบการตรวจสอบยาเสพติดท่ี
สำ� รองตามหน่วยงานต่าง ๆ เปน็ ระยะอย่างสม�ำ่ เสมอ

ในการจ่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ให้ใช้ข้อมูลใบส่ังจ่ายยาตามแบบ ยส.5
ทรี่ ะบลุ ายมอื แพทยห์ รอื ทนั ตแพทยผ์ สู้ งั่ ใชย้ า และมหี ลอดยาเปลา่ เปน็ หลกั ฐานการเบกิ จา่ ย
กรณีใช้ยาไม่ครบตามปริมาณยาต่อหน่วยบรรจุ (ยาเหลือ) การท�ำลายยาที่เหลือให้ท�ำ
บันทึกและระบุลายมือช่ือผู้ร่วมรับทราบการท�ำลายยาอย่างน้อย 2 คนเก็บเป็นหลักฐาน
แต่ทั้งนี้ ต้องมีมาตรการท่ีก�ำหนดชัดเจนจากคณะกรรมการท่ีดูแลระบบยา และถือ
ปฏบิ ตั ิอย่างจรงิ จัง

การจดั การอน่ื ๆ เพอื่ ดแู ลคุณภาพยาท่ใี ช้ในโรงพยาบาล

นอกจากต้องดูแลการเก็บรักษายาให้คงคุณภาพแล้ว กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมยัง
ต้องส่ือสารกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ยาอย่างสม่�ำเสมอ เพ่ือติดตามและรับทราบ
ปัญหาต่าง ๆ จากผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้ในโรงพยาบาล และแจ้งให้บริษัทผู้ผลิต/น�ำเข้ายา

11

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

และเวชภัณฑ์นั้น ๆ ด�ำเนินการแก้ไข หรืออาจพิจารณาเปล่ียนบริษัทถ้าจ�ำเป็น หรือใน
กรณีทีเ่ ปลย่ี นบรษิ ทั ที่ซอ้ื ยาใหม ่ ตอ้ งแจง้ ให้หนว่ ยงานทใี่ ช้ยาน้นั ๆ รับทราบ โดยเฉพาะ
ขอ้ มลู ส�ำคญั เชน่ ยาฉีดทีม่ ีขนาดบรรจุหรอื ความเขม้ ขน้ ที่เปล่ยี นไปจากเดมิ สารละลาย
และปริมาณที่ใช้ในการละลายยาที่เปล่ียนไปจากเดิม ข้อมูลความคงตัว ความเข้ากัน
ไม่ได้ระหว่างยากับสารละลาย เป็นต้น เพ่ือให้มีการบริหารยาที่ถูกต้อง หรือป้องกัน
ความคลาดเคลื่อนทางยาท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้
ส�ำหรับโรงพยาบาลที่คณะกรรมการ PTC หรือคณะกรรมการทดี่ แู ลระบบยาอนุมัติ
ให้มีการใช้ยาตัวอย่างในโรงพยาบาลเพ่ือติดตามผลการใช้ก่อนพิจารณาความเหมาะสม
ในการน�ำยาเข้าบัญชียาโรงพยาบาลน้ัน จะต้องมีระบบการจัดการยาตัวอย่าง โดย
กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายยาตามแพทย์สั่ง และสื่อสารให้ผู้มีหน้าที่
จา่ ยยาทกุ คนในหอ้ งยารบั รโู้ ดยทว่ั กนั กำ� หนดผมู้ อี ำ� นาจในการสงั่ ใชย้ า เกณฑก์ ารสง่ั ใชย้ า
การทบทวนคำ� สงั่ ใช้ยา การบริหารยาท่ีปลอดภยั และการตดิ ตามผลในเรอ่ื งประสิทธภิ าพ
และความปลอดภัยจากในการใช้ยา รวมท้ังต้องมีการรายงานปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา
ตัวอย่างด้วย เพ่ือเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาคัดเลือกยาเข้าบัญชียาโรงพยาบาล
ตอ่ ไป

12

การทบทวนค�ำสงั่ ใช้ยา

การทบทวนค�ำสง่ั ใชย้ า

ท�ำไมต้องมกี ารทบทวนค�ำสงั่ ใชย้ า

การทบทวนค�ำสงั่ ใชย้ าโดยเภสชั กรกอ่ นเรมิ่ กระบวนการจดั ยา เปน็ กระบวนการ
ส�ำคัญท่ีสามารถป้องกันหรือลดความคลาดเคลื่อนจากการส่ังยาได ้ แม้ในระยะหลัง
แพทย์จะเป็นผู้บันทึกลงในคอมพิวเตอร์เองแล้ว แต่โอกาสบันทึกผิดพลาดก็ยังเกิดข้ึนได้
การช่วยกันตรวจสอบซ�้ำท้ังความถูกต้องและความเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัย
มากท่ีสุด อย่างไรก็ตาม ในการทบทวนค�ำส่ังใช้ยาได้ดีนั้น เภสัชกรต้องสามารถ
เข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยและข้อมูลยา ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจาก
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบดั

จะก�ำหนดประเดน็ ใดในการทบทวนค�ำสั่งใช้ยา

ในการทบทวนค�ำสั่งใช้ยาน้ัน จ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมต้องมีการ
ก�ำหนดประเด็นทจ่ี ะทบทวนใหช้ ดั เจน ซ่ึงไดม้ าจากการวิเคราะหข์ ้อมูลความคลาดเคล่ือน
ท่ีเกิดข้ึนบ่อยจากการสั่งใช้ยาท่ีรวบรวมไว้ และประเด็นเส่ียงจากการสั่งใช้ยาในผู้ป่วย
กลุ่มส�ำคัญ เช่น ผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไตเร้ือรัง ผู้ป่วย
ที่มีปัญหาโรคตับ เป็นต้น รวมทั้งผู้ป่วยที่ได้รับยาที่มีความเส่ียงสูง กรณีแพทย์สั่งยา
ทางคอมพิวเตอร์ (Computerized physician order entry-CPOE) ควรร่วมกันวิเคราะห์
ความเส่ียงท่ีอาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาด้วยคอมพิวเตอร์ เพ่ือน�ำมาร่วมกันก�ำหนดประเด็น
ที่จะทวนสอบค�ำส่ังใช้ยา ซึ่งท้ังหมดน้ี กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมจะต้องท�ำแนวทาง
การทบทวนคำ� สั่งใช้ยาร่วมกัน เพื่อให้เภสัชกรทุกคนปฏิบัติงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน มี
ความแตกต่างกันน้อยท่ีสุด การทวนสอบในประเด็นเดียวกันจะท�ำให้ได้ชุดข้อมูลอีกชุด
มาท�ำการวิเคราะห์เพอ่ื นำ� มาใชป้ ระโยชน์และปรบั เปลีย่ นแนวทางการปฏิบัตงิ านต่อไป

กระบวนการท�ำงานท่ีเหมาะสมและเอื้อให้การทบทวนค�ำส่ังใช้ยาได้ผลและ
ไม่ต้องท�ำงานย้อนไปมานั้น เภสัชกรจะต้องได้ทบทวนค�ำสั่งใช้ยาของแพทย์ก่อนเร่ิม
ต้นกระบวนการจัดเตรียมยา เมื่อพบความคลาดเคล่ือนจะได้ด�ำเนินการก่อน ไม่ต้อง
ย้อนกลับมาแก้ไขภายหลัง โดยฝ่ายสารสนเทศต้องออกแบบระบบให้เอ้ือและสะดวก

13

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

แก่ผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยและข้อมูลยาที่ซึ่งเพียงพอต่อการทบทวนค�ำส่ังใช้
ยา เภสชั กรเองกต็ อ้ งมคี วามรแู้ ละทกั ษะทจี่ ำ� เปน็ ในการทบทวนคำ� สง่ั ใชย้ าเบอ้ื งตน้ ใหเ้ ปน็
แนวทางเดยี วกนั ทำ� การประสานแพทยผ์ สู้ ง่ั เมอ่ื พบความไมป่ ลอดภยั และไมเ่ หมาะสมของ
การสง่ั ใชย้ า ตลอดจนรายงานเปน็ ความคลาดเคลอ่ื นทางยา นำ� ขอ้ มลู ความคลาดเคลอื่ น
จากการส่ังใช้ยา (Prescribing error) มาพัฒนาทักษะของเภสัชกร และน�ำเสนอคณะ
กรรมการฯ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ใหก้ ารสั่งใชย้ ามคี วามปลอดภัยมากขนึ้

14

การส่งมอบยา

การส่งมอบยา

การสง่ มอบยาส�ำคญั อย่างไร ท�ำไมเภสชั กรตอ้ งสง่ มอบยาเอง
เภสัชกรต้องเป็นผู้ส่งมอบยาให้ผู้ป่วย เพราะการส่งมอบยาเป็นข้ันตอนสุดท้าย
ทจี่ ะไดต้ รวจสอบความถกู ตอ้ งของยาซ�้ำกอ่ นมอบใหผ้ ปู้ ว่ ย และมโี อกาสไดพ้ ดู คยุ กบั ผปู้ ว่ ย
ด้วย ซ่ึงมีความส�ำคัญมาก เพราะนอกจากเภสัชกรจะได้อธิบายการใช้ยาที่ถูกต้องแล้ว
ยังได้รับทราบปัญหาของผู้ป่วย หรือความทุกข์ที่เกิดจากยาที่เคยได้รับ อันเป็นสาเหตุ
ให้ไม่รับประทานยาต่อเน่ือง และเพ่ือให้มีมาตรฐานเดียวกันในการส่งมอบยา กลุ่มงาน/
ฝ่ายเภสัชกรรมควรก�ำหนด prime question ท่ีจะต้องถามผู้ป่วยทกุ ราย เช่น การแพ้ยา
โรคประจำ� ตัว อาการทีท่ ำ� ใหต้ ้องมาพบแพทย ์ เป็นตน้
ทกั ษะในการสง่ มอบยาของเภสชั กรเปน็ บทบาทวชิ าชพี ทมี่ คี วามสำ� คญั ดว้ ยองคค์ วาม
รู้ท้งั เร่ืองตัวยาและขอ้ ควรระวังในการใช้ยา ตลอดจนอาการข้างเคียงที่พบบอ่ ย ประกอบ
กับการพูดคุยกับผู้ป่วยในรูปแบบการสื่อสาร 2 ทาง เภสัชกรจะต้องประเมินปัญหาของ
ผู้ป่วยจากการสังเกตและซักถามผู้ป่วยในขณะส่งมอบยา ซ่ึงอาจได้ข้อมูลเพ่ิมเติมท่ีช่วย
ใหส้ ามารถใหค้ �ำแนะนำ� การใชย้ าแก่ผูป้ ่วยได้ตรงประเด็น
การอ่านหน้าซองยาอย่างเร็ว ๆ ให้ผู้ป่วยฟังในขณะส่งมอบยาน้ันเป็นส่ิงที่
ไมค่ วรทำ� เพราะจะไมเ่ กดิ ประโยชน์อะไรกับผู้ป่วยเลย และยังเป็นสาเหตทุ ที่ ำ� ให้
ผู้ปว่ ยเบื่อหนา่ ยไมอ่ ยากฟังอกี ด้วย

ขอ้ มูลพ้นื ฐานที่ควรมเี พ่ือการส่งมอบยา
1. รายการยาท่ีผู้ป่วยแพ้บ่อย (โดยน�ำข้อมูลจากกรณีท่ีเกิดขึ้นในโรงพยาบาลมา
จัดลำ� ดับ)
2. อาการข้างเคียงที่พบบ่อยส�ำหรับยาบางตัว ซ่ึงมักเป็นสาเหตุท่ีท�ำให้ผู้ป่วยหยุด
ยาเอง
3. ข้อมูลยาทีต่ อ้ งระวงั การใชใ้ นผูป้ ว่ ยโรคตับและไต
4. ยาตัวใดที่พบปัญหาการใช้ไม่ถูกต้อง ซ่ึงเป็นข้อมูลท่ีจะได้จากเภสัชกรที่ไป
เยยี่ มบ้าน

15

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

5. ยาที่ต้องมีการเก็บรักษาเฉพาะ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพจากแสงหรือเมื่ออยู่
นอกอณุ หภมู ิที่ก�ำหนด เภสชั กรต้องใหค้ วามส�ำคญั กับบรรจภุ ณั ฑย์ าที่สง่ มอบดว้ ย
6. ฉลากชว่ ยส�ำหรับยาบางชนิด เพอื่ ส่อื สารขอ้ ควรระวงั ในการใช้ยานนั้ ๆ ท่ีเข้าใจ
งา่ ย ให้ผูป้ ่วยได้รบั ทราบในรายละเอยี ด

นอกจากน้ี ยังมีข้อมูลจ�ำเป็นอื่น ๆ ตามบริบทของโรงพยาบาลท่ีแตกต่างกัน
กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมควรร่วมกันจัดท�ำรายการยาที่ต้องอธิบายข้อมูลส�ำคัญขณะ
ส่งมอบยา โดยก�ำหนดข้อมูลที่ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยรับทราบ เพ่ือให้มีการส่งมอบยาที่
เปน็ มาตรฐานเดยี วกนั การส่งมอบยาและการตรวจสอบซ้ำ� (double check) ที่แผนก
จา่ ยยาผปู้ ว่ ยนอกมคี วามส�ำคญั ในการชว่ ยปอ้ งกนั อนั ตรายจากความผดิ พลาดทอ่ี าจ
เกิดขึ้นได้ เพราะหากจ่ายยาผิดพลาดหรือผู้ป่วยใช้ผิด จะส่งผลต่อผู้ป่วยโดยตรง และ
ในกรณีที่จ่ายยา 2 หรือ 3 เดือน กว่าจะถึงวันนัดครั้งต่อไป ผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเป็น
เวลานานอาจเปน็ อันตรายอยา่ งมาก

ในโรงพยาบาลของรัฐขนาดเล็กท่ีห้องยาไม่เปิดท�ำการหลังเวลาราชการ ท�ำให้
ไม่มีการส่งมอบยาโดยเภสัชกร แต่มีการจ่ายยาโดยบุคลากรอ่ืนที่ไม่ใช่เภสัชกร จ�ำเป็น
ต้องมีการก�ำหนด prime question ให้ถามผู้ป่วยพร้อมเหตุผล และในวันรุ่งขึ้นเภสัชกร
จะต้องตรวจสอบใบส่ังยาเพอื่ ประเมินความถกู ต้องและเหมาะสมในการจา่ ยยาใหผ้ ปู้ ว่ ย

ระบบฐานขอ้ มลู ผปู้ ่วยทเ่ี ภสชั กรจ�ำเปน็ ตอ้ งรเู้ พื่อการสง่ มอบยาทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ

เภสัชกรควรมีข้อมูลผู้ป่วยบางอย่างท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับประกอบการให้ค�ำแนะน�ำ
ท่ีเหมาะสมกับผู้ปว่ ยแตล่ ะราย ไดแ้ ก่ ข้อมลู เฉพาะตัวผปู้ ว่ ย (ช่อื สกุล อาย ุ เพศ โรค
ประจ�ำตัว ประวัติแพ้ยา) บัญชีรายการยาที่ผู้ป่วยได้รับ ท้ังชนิดยา ขนาดและปริมาณ
ที่ได้รับ บันทึกการให้ค�ำแนะน�ำหรือปัญหาเฉพาะผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงการบันทึกผล
การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ เชน่ ระดบั นำ้� ตาลในเลอื ด การท�ำหนา้ ที่ของไต/ตับ เปน็ ตน้

การสง่ มอบยาใหผ้ ปู้ ว่ ยอยา่ งมคี ณุ ภาพ ไมใ่ ชเ่ พยี งความรวดเรว็ ในการจา่ ยยา
และตรงตามใบสงั่ ยาเทา่ นนั้ แตห่ วั ใจสำ� คญั คอื ความปลอดภยั และประสทิ ธภิ าพ
การใช้ยาของผู้ป่วยท่มี ารับบรกิ าร

16

High Alert Drugs (ยาทมี่ ีความเส่ยี งสูง)

High Alert Drugs (ยาทม่ี คี วามเส่ยี งสงู )

ท�ำไมตอ้ งมีการจดั การยาท่มี ีความเส่ยี งสงู

ยาท่ีมีความเสี่ยงสูง คือ ยาท่ีมีดัชนีการรักษาแคบหรือมีการออกฤทธ์ิท่ีเป็น
อันตราย จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดความผิดพลาดในกระบวนการรักษา และก่อ
ให้เกิดอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตหากเกิดความผิดพลาดขึ้นในการใช้ยาหรือบริหารยา
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดจึงต้องก�ำหนดนโยบายเรื่องการจัดการยาที่มี
ความเสี่ยงสูง เร่ิมจากการตกลงร่วมกันระหว่างสหวิชาชีพในโรงพยาบาลเพื่อก�ำหนด
รายการยาที่มีความเสี่ยงสูงให้ครอบคลุมตามบริบทของโรงพยาบาล รวมท้ังมีข้อตกลง
ร่วมกันในการด�ำเนินการข้ันตอนต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับยากลุ่มนี้ เริ่มตั้งแต่การสั่งใช้ยา
การทบทวนค�ำส่ังใช้ยา การจ่ายยา การเตรียมยา การบริหารยา และการติดตามเฝ้า
ระวงั หลังการให้ยาผู้ปว่ ย

เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการก�ำหนดวา่ ยาใดเปน็ ยาทม่ี ีความเสี่ยงสงู

1. เป็นรายการยาที่มีความเสี่ยงสูงท่ี ISMP (Institute for Safe Medication
Practices) กำ� หนดขนึ้ แต่ต้องพจิ ารณาให้เหมาะสมกับบรบิ ทโรงพยาบาลด้วย
2. เป็นรายการยาที่มักมีรายงานอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนทางยาหรืออาการ
ไม่พึงประสงค์ท่ีเกิดขึ้นในโรงพยาบาล ซ่ึงได้จากการวิเคราะห์รายงานความคลาดเคลื่อน
ทางยาของโรงพยาบาลเอง
3. เป็นรายการยาท่ีได้จากค�ำแนะน�ำของผู้เช่ียวชาญ (expert opinion) ว่าเป็นยา
ที่มีความเส่ียงสูง หรือต้องมีความระมัดระวังในการใช้ยาสูง เนื่องจากมีรายงานอุบัติ-
การณ์เกิดขึ้นบ่อย ได้แก่ อินซูลิน (Insulin) โดยเฉพาะ regular insulin, สารละลาย
อิเล็กโทรไลต์ความเข้มข้นสูง (high concentration electrolytes), ยาเคมีบ�ำบัด
(chemotherapy drugs), ยาต้านการเกดิ ลมิ่ เลือด (antithrombotic agents), ยาเสพติด
(narcotic drugs), ยาที่มีผลกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ (sympathomimetic drugs)
และยาทางวิสัญญี (anesthetic drugs), ยาต้านการแขง็ ตวั ของเกล็ดเลอื ด (Antiplatelet
drugs) และครอบคลมุ ถงึ กลุ่ม LASA (look alike sound alike) ดว้ ย

17

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

อย่างไรก็ตาม รายการยาท่ีมีความเสี่ยงสูงอาจมีการปรับเปล่ียนได้ ซ่ึงต้องมี
การติดตามอุบัติการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ด้วยการน�ำข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยา,
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางยา (adverse drug event), ข้อมูล serious type A ADR
ที่เกิดข้ึน มาท�ำการวิเคราะห์ เพื่อทบทวนบัญชีรายการยาท่ีมีความเสี่ยงสูงให้มีความ
เหมาะสม และปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องในการจัดการยาที่มีความเสี่ยงสูง
ดังกล่าว เพ่ือให้สามารถป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา และลดระดับความรุนแรง
ของเหตกุ ารณ์ไม่พงึ ประสงคจ์ ากการใช้ยาเหล่านี้ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

แนวทางการจัดการยาทม่ี ีความเสยี่ งสูง
1. จดั ท�ำชดุ คำ� ส่งั ใช้ยา หรือ preprinted order forms
2. จดั ท�ำ protocols สำ� หรบั ผ้สู งู อายุที่มีการใช้ยาที่มีความเสีย่ งสูง
3. ก�ำหนดให้มีการตรวจสอบที่เป็นอิสระแก่กัน (independent double-check)
ในการจัดจา่ ยยา การเตรยี มยา และโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในการบริหารยา
4. ก�ำหนดให้มีเครื่องมือการค�ำนวณขนาด (dose) เช่น dosing charts ส�ำหรับ
ผู้ปว่ ยท่มี นี ้�ำหนกั ตัวขนาดตา่ ง ๆ
5. ก�ำหนดแนวทางการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยท่ีได้รับยาท่ีมีความ
เสี่ยงสงู ระบุความถ่ใี นการเฝา้ ระวัง และประเดน็ ท่ีตอ้ งเฝ้าระวงั ตามชนิดของยาทมี่ ีความ
เสี่ยงสูงน้ัน ๆ สื่อสารแนวทางการเฝ้าระวังให้ผู้ที่เก่ียวข้องเข้าใจเหมือนกัน และเฝ้าระวัง
ติดตามประเมินการปฏบิ ตั ิตามแนวทางทกี่ ำ� หนดไว้อย่างสม�่ำเสมอ

18

ระบบการกระจายยาผปู้ ว่ ยใน

ระบบการกระจายยาผู้ป่วยใน

ระบบการกระจายยาผู้ป่วยในควรเป็นแบบรายวัน (One day) เหมือนกันทั้ง
โรงพยาบาล หากจ�ำเปน็ ไมใ่ หเ้ กนิ 3 วนั เพื่อลดความเสี่ยงจากการบรหิ ารยาผดิ และทำ�
ให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา ระบบกระจายยา one day dose ต้องควบคูไ่ ปกับ
การก�ำหนดวงรอบการบรหิ ารยาของพยาบาล ปรมิ าณจา่ ยยาจากหอ้ งยาตอ้ งสมั พนั ธ์
กบั วงรอบการบรหิ ารยา 24 ชวั่ โมง เพอ่ื ไมใ่ หม้ ยี าเหลอื คา้ งบนหอผปู้ ว่ ย และสามารถ
ใช้ระบบกระจายยาในการค้นหาความคลาดเคล่ือนในการบริหารยาได้อีกทางหน่ึง
ด้วย
ปัจจุบันมีการน�ำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้กันในโรงพยาบาลเกือบทุกแห่ง ท�ำให้
รูปแบบการกระจายยาไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่ควรจะมุ่งเน้นกระบวนการตรวจสอบ
ข้ามระหว่างวชิ าชพี (cross check) โดยพยาบาลต้องตรวจสอบความถกู ต้องของ
ยาท่ีส่งขึ้นไปบนหอผู้ป่วยกับรายการยาในใบให้ยา (Medication administration
record หรอื MAR) ทพี่ ยาบาลคดั ลอกจากค�ำสง่ั แพทย์ หรอื ตรวจสอบกบั doctor
order sheet โดยตรง (ถ้าเป็นไปได้) หากพบความคลาดเคล่ือน ต้องรีบแจ้งให้
ห้องยาด�ำเนินการแก้ไข และรายงานความคลาดเคลื่อนท่ีตรวจพบเป็น dispensing
error IPD เพ่อื น�ำไปวิเคราะห์และพฒั นาการทำ� งานต่อไป

19

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

ตวั อยา่ งนโยบายหรอื มาตรการส�ำคญั ทคี่ ณะกรรมการเภสชั กรรมและการบำ� บดั
ต้องก�ำหนดให้ชัดเจน เพ่ือสนับสนุนการด�ำเนินการของระบบกระจายยาผู้ป่วยในให้
มปี ระสทิ ธภิ าพ ส่งผลดีตอ่ การรกั ษาและผปู้ ่วยเกิดความปลอดภยั จากการใช้ยา ได้แก่

การสง่ ยาคนื
ในกรณีท่ีแพทย์เปลี่ยนยาหรือสั่งหยุดยา ควรมีมาตรการให้ส่งยาคืนห้องยาทันที
และต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะ ไม่ควรเก็บยาไว้บนหอผู้ป่วยเพราะอาจมีผู้น�ำไปให้
ผปู้ ว่ ยอีกคน เป็นทม่ี าของการเกดิ ความคลาดเคล่ือนทางยา หรือเกดิ การแพ้ยาซำ้� ได้

การจัดการยาดว่ น
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดควรร่วมกันก�ำหนดรายการยาท่ีจ�ำเป็น
ต้องใช้ในภาวะเร่งด่วน ระยะเวลาท่ีประกัน (ต้ังแต่ส่ังยาจนผู้ป่วยได้รับยา) และก�ำหนด
แนวปฏิบัติท่ีชัดเจนส�ำหรับแต่ละวิชาชีพ กรณีมีการก�ำหนด fast track ต้องก�ำหนดช่วง
เวลาท่ปี ระกันให้ชดั เจนสอดคล้องกบั แต่ละโรค

ยาทผ่ี ปู้ ่วยน�ำมาจากบา้ น
ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลและน�ำยารักษาโรคประจ�ำตัวมาด้วย
นั้น คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดต้องก�ำหนดมาตรการชัดเจนให้ด�ำเนิน
การกับยาเหล่าน้ันเป็นแนวทางเดียวกันท้ังโรงพยาบาล โดยก�ำหนดให้ผู้ป่วยต้องใช้ยา
ของโรงพยาบาลเท่าน้ันในระหว่างรับการรักษาในโรงพยาบาล ยกเว้นว่ายาที่ผู้ป่วยเคย
ใช้น้ันไม่มีในบัญชียาโรงพยาบาล และพยาบาลต้องมีมาตรการในการบริหารยาดังกล่าว
นน้ั ใหผ้ ้ปู ่วยได้รับยาครบถ้วนขณะรักษาตวั ในโรงพยาบาลดว้ ย


20

การผลติ ยาในโรงพยาบาล

การผลติ ยาในโรงพยาบาล

การผลิตยา เป็นงานวิชาชีพที่เภสัชกรทุกคนต้องมีองค์ความรู้พื้นฐานจากการ
เรยี นและฝกึ ปฏบิ ตั ิตามหลกั สตู รการศกึ ษามาแล้ว แตใ่ นการปฏบิ ตั ิจรงิ อาจต้องฝกึ ทกั ษะ
และเรียนรู้มาตรฐานตลอดจนการควบคุมคุณภาพเพ่ิมเติม รวมทั้งองค์ความรู้พ้ืนฐาน
ในเร่ืองสารเคมี เพราะอาจต้องมีการดัดแปลงสูตรต�ำรับตามความต้องการของแพทย์
ผู้ส่ังให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่และโรงพยาบาลมหา-
วิทยาลัย การผลิตยาในโรงพยาบาล ต้องค�ำนึงถึง สถานที่ผลิตซึ่งต้องเป็นไปตาม
มาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียม วัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และที่
ส�ำคญั คือตัวเภสชั กรเอง

การผลติ ยาทวั่ ไป

ปัจจุบัน การผลิตยาทั่วไปในโรงพยาบาลมีน้อยลงมาก เพราะสามารถซ้ือหา
จากบริษัทผู้ผลิตได้ในราคาท่ีถูกกว่าผลิตเอง ยกเว้นยาบางต�ำรับที่เภสัชกรต้องผลิตเอง
ในโรงพยาบาล เน่ืองจากเป็นยาที่แพทย์สั่งส่วนผสมส�ำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย หรือเป็น
ตำ� รับยาท่ีไมม่ ีจำ� หนา่ ยทั่วไป

สถานที่ผลิตต้องเป็นสถานท่ีเฉพาะ สะอาด แสงสว่างเพียงพอ เคร่ืองมือต้อง
เหมาะสมส�ำหรับการผลิตยาและได้รับการบ�ำรุงรักษาสม�่ำเสมอ โดยเฉพาะอุปกรณ์ช่ัง
ตวงต้องมีการ calibration เพ่ือความถูกต้องแม่นยำ� และเป็นไปตามมาตรฐานการผลิต
ยา มีกระบวนการควบคุม/ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต กระบวนการ
ผลิตยาต้องมีเอกสารบันทึกประกอบการผลิต (master formula, working formula) ท่ีมี
ข้อมูลสำ� คัญครบถว้ น (ชื่อสาร lot number วันหมดอาย ุ วันผลิต ปรมิ าณ ชือ่ ผปู้ ฏิบัติ
และผู้ควบคมุ ) มีการควบคุมกำ� กบั ทุกขน้ั ตอนโดยเภสัชกร ในกรณี potent drug เภสัชกร
ต้องเป็นผู้ช่ัง/ตวง/วัดด้วยตัวเอง และมีการควบคุมคุณภาพยาที่ผลิตอย่างเหมาะสม ติด
ฉลากหลงั เตรียมผลิตภัณฑ ์ โดยฉลากยาตอ้ งระบสุ ่วนประกอบทส่ี ำ� คัญ วนั ผลิต วนั หมด
อายุ lot number

21

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

การผลิตยาปราศจากเชือ้ ส�ำหรบั ผ้ปู ว่ ยเฉพาะราย
ในโรงพยาบาลใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ
โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ จะมีการผลิตยาปราศจากเช้ือส�ำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
ตามใบสั่งแพทย์ ซ่ึงมีทั้งการผสมยาเคมีบ�ำบัด การเตรียม IV admixture การเตรียม
TPN การเตรียมยาหยอดตา ซึง่ การผลติ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานการผลติ ทั้งสถานที่
เคร่อื งมอื อปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นการผลติ ระบบการ maintenance ทั้งหอ้ งและเครอ่ื งมือ
เภสัชกรผู้ท�ำหน้าที่ผลิตยาปราศจากเชื้อต้องได้รับการอบรมและฝึกทักษะเฉพาะ
ตามมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะในเร่ือง aseptic technique เพ่ือเป็นต้นแบบและ
ขยายผลในโรงพยาบาลให้ทัง้ เภสชั กรและเจ้าหนา้ ทีผ่ ชู้ ่วยงาน
การผลิตยา Extemporaneous
โอกาสท่ีเภสัชกรจะต้องผลิตต�ำรับ extemporaneous เกิดข้ึนได้แม้ในบริบท
โรงพยาบาลเล็ก สถานที่เตรียมควรเป็นสัดส่วน สะอาด มีอุปกรณ์เฉพาะ ได้มาตรฐาน
ผลิตโดยเภสัชกร ตามสูตรต�ำรับที่ก�ำหนด ความเข้ากันได้ของสารเคมีที่ใช้เป็นเร่ืองที่
เภสัชกรผู้ผลิตต้องมีองค์ความรู้ก่อนเร่ิมด�ำเนินการ เพราะต้องค�ำนึงถึงความคงตัวของ
ผลิตภณั ฑ์เมือ่ อย่ใู นมอื ผปู้ ว่ ยแลว้ ดว้ ย

22

อาการไม่พึงประสงคจ์ ากการใช้ยา (ADR/ADE)

อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ADR/ADE)

ข้อแตกต่างระหวา่ ง ADE กบั ADR
ADE (Adverse Drug Event) หมายถงึ เหตกุ ารณ์ไมพ่ ึงประสงคท์ ่ีเกิดขึ้นระหวา่ ง
การรักษา และได้รบั การประเมนิ แลว้ ว่ามคี วามสมั พนั ธ์กับการใช้ยา
ADR (Adverse Drug Reaction) หมายถึง อาการไม่พงึ ประสงค์จากการใช้ยาที่
เกิดข้ึนระหว่างการรักษาด้วยยาในขนาดปกติ และได้รับการประเมินแล้วว่ามีความ
สมั พนั ธก์ ับการใช้ยา ซ่ึงแบ่งเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. Type A ADR หมายถึง อาการไมพ่ งึ ประสงคท์ ่เี กิดจากการใชย้ าในขนาดปกติ
และสัมพันธ์กับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยา หรืออาจเรียกว่า อาการข้างเคียงจาก
การใชย้ า (side effect)
2. Type B ADR หมายถึง อาการไมพ่ งึ ประสงค์ ที่เกดิ จากปฏิกิริยาทางภมู คิ ุ้มกนั
ของร่างกายต่อยาที่ได้รับ หรืออาจเป็นการแพ้แบบ idiosyncratic คือ ไม่ทราบสาเหตุ
แนช่ ัดก็เปน็ ได ้ อาจเรียกอีกอยา่ งหน่งึ วา่ อาการแพย้ า (drug allergy)

การจดั การเหตุการณ์ไม่พงึ ประสงคจ์ ากการใช้ยา
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัด ต้องก�ำหนดใหเ้ ร่ือง การจัดการเหตกุ ารณ์
ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาเป็นนโยบายหลักของโรงพยาบาล เภสัชกรทุกคนควรมีทักษะ
การประเมนิ ADR อยา่ งเปน็ ระบบ เพือ่ รับผิดชอบด�ำเนินการใหค้ รอบคลุมทงั้ ผูป้ ่วยนอก/
ผู้ป่วยใน รวมถึงนอกเวลาราชการ สามารถผนวกงานประเมิน ADR เข้าในงานบริบาล
เภสัชกรรมผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (ambulatory care และ acute care) เนื่องจาก
ADR เป็นหนึ่งใน DRP (drug related problem) ทส่ี �ำคญั
หัวหน้ากลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรม ควรก�ำหนดให้มีเภสัชกร 1 คนเป็นผู้รับผิดชอบ
หลักในการดูภาพรวม ซ่ึงต้องเป็นเภสัชกรท่ีผ่านการอบรมหลักสูตร basic ADR โดย
ADCoPT เปน็ อยา่ งน้อย มีองค์ความร้/ู ทักษะการประเมนิ ADR อย่างเป็นระบบ เปน็
ผู้สอนเภสัชกรคนอ่ืน ๆ ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรม ให้เข้าใจการประเมิน ADR ได้

23

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

อย่างถกู ต้อง เป็นผู้รวบรวมรายงาน ADR จากหนว่ ยงานต่าง ๆ เพ่ือน�ำมาทบทวนทกั ษะ
การประเมินของเภสัชกรคนอ่ืน ตลอดจนรายงานท่ีบันทึกว่าเป็นไปตามมาตรฐานท่ีควร
เป็นหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลท่ีได้น่าเชื่อถือและน�ำไปใช้งานได้จริง นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่
วิเคราะห์ข้อมูลที่ประเมินได้ในภาพรวมเพ่ือน�ำไปสู่การแก้ไขระบบในกรณีท่ีการเกิด
เหตุการณไ์ ม่พึงประสงค์จากการใช้ยานน้ั สามารถปอ้ งกนั ได้

ระบบป้องกันการแพย้ าซ�้ำ
การแพ้ยาซำ�้ คอื เหตุการณท์ ่ผี ปู้ ว่ ยแพย้ า ซงึ่ เปน็ ยาตวั เดยี วกับทีเ่ คยมปี ระวัตแิ พ ้
โดยมีอาการแสดงทเี่ หมือนกนั
การแพย้ ากลมุ่ เดยี วกนั คอื เหตกุ ารณท์ ผ่ี ปู้ ว่ ยเกดิ อาการแพย้ าจากยาทมี่ โี ครงสรา้ ง
คลา้ ยกับยาทเ่ี คยมีประวัติแพโ้ ดยมอี าการเหมือนกนั
Preventable ADR คือ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาท่ีสามารถป้องกัน
หรือลดความรุนแรงได ้ การประเมินว่าอาการไม่พึงประสงค์ใดเป็น “Preventable ADR”
ให้ใช้แนวทางการประเมินของ Schumock & Thornton ซ่ึงประกอบด้วยค�ำถาม 7 ข้อ
หากผลการประเมินพบว่ามีอย่างน้อย 1 ข้อตอบว่า “ใช่” อาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว
จะจัดเป็น “Preventable ADR” รายละเอยี ดของแนวทางการประเมนิ มดี งั น้ี

24

อาการไม่พงึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า (ADR/ADE)

แนวทางการประเมิน Preventable ADR ค�ำตอบ
ล�ำดับ ค �ำถามในการประเมนิ ใช ่ ไม่ใช่
1 ยาท่ีสงสัยไมเ่ หมาะสมตอ่ โรคหรือภาวะของผปู้ ่วยใชห่ รอื ไม่
2 ขนาดยา วถิ ี ความถข่ี องการบริหารยาท่ีสงสยั ไม่เหมาะสมตอ่ อาย ุ
น้�ำหนัก ผลตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร หรือสภาวะโรคของผู้ป่วย
ใชห่ รือไม่
3 ไมม่ ีการตรวจวัดระดบั ยาในเลือด หรอื การตรวจทางห้องปฏบิ ตั ิการ
ที่จำ� เป็น หรือมกี ารตรวจในความถท่ี ไี่ มเ่ พยี งพอใช่หรือไม่
4 ผ้ปู ่วยมีประวตั ิแพ้ยา หรอื เคยมีปฏิกริยาต่อยาทส่ี งสยั มาก่อน
ใช่หรือไม่
5 อาการไมพ่ ึงประสงคค์ รัง้ น้ีเกดิ จาก drug interaction ใช่หรือไม่
6 มีผลการตรวจวดั ระดับยาในเลอื ดพบวา่ อยู่ในระดบั ทีส่ ูงกวา่ ระดบั
รักษาใชห่ รือไม่
7 อาการไม่พึงประสงค์ทพี่ บเกิดจากความไมร่ ่วมมอื ในการรักษา
ของผู้ปว่ ย (non-compliance) ใช่หรอื ไม่

เภสชั กรผรู้ บั ผดิ ชอบหลกั ในงาน ADR ตอ้ งรว่ มกบั ทมี สหสาขาวชิ าชพี ในการ
ออกแบบระบบป้องกันการแพ้ยาซ�้ำ ก�ำหนดวิธกี าร/ขั้นตอนการสื่อสาร การสง่ ผปู้ ว่ ยท่ี
สงสยั ว่าเกิด ADR ใหไ้ ด้รับการประเมินอยา่ งครอบคลุมทงั้ ในเวลาทเี่ ภสชั กรอาจไม่พรอ้ ม
ทจ่ี ะประเมินการแพ้ยาทันที ก�ำหนดรูปแบบ วิธีการบันทึกประวัติ ADR ในเวชระเบียน
และการออกบัตรแพ้ยา/บัตรเตือนเร่ืองยาที่สื่อสารข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง
ชัดเจน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์รัทราบและสามารถใช้ข้อมูลหลีกเล่ียงยาท่ีแพ้หรือ
เสีย่ งตอ่ การแพ้ยาข้ามกนั และสามารถเลอื กยาทดแทนที่เหมาะสมใหผ้ ้ปู ่วยได ้ ตลอดจน
กำ� หนดแนวทางปฏิบตั ทิ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ ง ADR ได้แก่
• การติดตาม ADR อยา่ งเข้มงวด (Intensive ADR monitoring) ในกล่มุ ยาใหม่
ท่ีอยใู่ นโปรแกรมเฝา้ ระวังความปลอดภยั (SMP) หรอื ยาที่มีความเสี่ยงสูง (HAD) หรอื
ยาที่เสยี่ งต่อการแพ้ยารุนแรง เช่น SJS/TEN

25

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

• การเลือกยาทดแทนเพอื่ ป้องกันการแพย้ ากล่มุ เดยี วกนั
• การทดสอบเพ่ือวินิจฉัยแพ้ยา เช่น skin test, drug provocation test และ
oral challenge test
• การให้ยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ซ�้ำอีก (rechallenge) เพ่ือประโยชน์ในการรักษา
และความปลอดภัยของผ้ปู ว่ ย
• การตรวจตัวบ่งช้ีทางเภสัชพันธุศาสตร์ (pharmacogenetic marker) หรือ
กลุ่มยีนเอชแอลเอ (HLA) ท่ีสัมพันธ์กับการแพ้ยา โดยมีแนวทางท่ีชัดเจนครอบคลุม
ต้ังแต่ เกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ป่วยท่ีควรส่งตรวจ การน�ำผลการตรวจยีนมาใช้ประโยชน ์
การจัดการผู้ป่วยที่มียีนเสี่ยงต่อการแพ้ยา การบันทึกส่งต่อข้อมูลเพ่ือป้องกันการแพ้ยา
ที่รนุ แรง จนถงึ การให้คำ� แนะนำ� แก่ผู้ป่วยเพ่อื ใหเ้ กิดความร ู้ ความเขา้ ใจ
• ฯลฯ
แนวทางปฏิบัติเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่าง ท้ังน้ีการจัดท�ำแนวทางปฏิบัติใดขึ้นกับ
บริบทของแตล่ ะโรงพยาบาล
ส�ำหรับการเฝ้าระวังอาการข้างเคียงจากยา (side effect หรือ type A ADR)
ให้เป็นไปตามบริบทของโรงพยาบาล (คาดหวังให้เร่ิมด�ำเนินงานหลังการเยี่ยมส�ำรวจเพื่อ
การรับรองซ�ำ้ ครัง้ ท่ี 2) กจิ กรรมทค่ี วรมไี ดแ้ ก่
• กระบวนการค้นหา ADR/ADE เชิงรุก เช่น การใช้เคร่ืองมือตัวส่งสัญญาณ
(trigger tools) หรือการทบทวนรายงานอบุ ัตกิ ารณ์
• รวบรวมข้อมูล type A ADR ท่ีสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงได้ เช่น
อาการท่ีเกิดจากการบริหารยาท่ีมีความเสี่ยงสูงไม่เหมาะสม (phlebitis, extravasation)
เปน็ ตน้ น�ำมาจดั ทำ� แนวทางปฏบิ ัติเพื่อป้องกนั หรอื ลดความรนุ แรง เช่น แนวทางปฏิบตั ิ
ในการบริหารยาเพ่ือป้องกันหรือลดความรุนแรงของการเกิด ADR รุนแรง การประเมิน
สภาวะผูป้ ว่ ยกอ่ นได้รบั ยาทเี่ สย่ี งต่อการเกดิ ADR รนุ แรง การพจิ ารณาเลอื กใช้ยา (ทั้ง
ชนิดและขนาด) ให้เหมาะสมกบั ผูป้ ่วยกลุ่มเสย่ี ง เปน็ ต้น

26

อาการไม่พึงประสงค์จากการใชย้ า (ADR/ADE)

หมายเหตุ
ค�ำว่า เภสัชพันธุศาสตร์ (pharmacogenetics หรือ pharmacogenomics)
คือ ศาสตร์ที่ศึกษาอิทธิพลของลักษณะทางพันธุกรรมต่อการตอบสนองของยา และ
เป็นศาสตร์ท่ีมีบทบาทมากขึ้นในการเป็นส่วนหน่ึงของการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะใน
ประเด็นของการคัดกรองผู้ป่วยท่ีมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา
ปัจจุบันมีการศึกษาพบกลุ่มยีนเอชแอลเอ (HLA) ที่มีความสัมพันธ์กับการแพ้ยารุนแรง
มากขึ้น เช่น HLA B*1502 สัมพันธ์กับการแพ้ยา carbamazepine, HLA B*5701
สมั พนั ธก์ บั การแพย้ า abacavir, HLA B*5801 สมั พนั ธก์ บั การแพย้ า allopurinol เปน็ ตน้
ดังนั้น การตรวจตัวบ่งชี้ทางพันธุศาสตร์ (pharmacogenetic markers) หรือกลุ่มยีน
เอชแอลเอดังกล่าวข้างต้น จึงสามารถใช้ท�ำนายโอกาสเกิดอาการแพ้ยาท่ีร้ายแรง และ
น�ำมาเลือกใช้ยาให้ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม ปัจจุบันการตรวจกลุ่มยีนเอชแอลเอ
บางชนิด เช่น carbamazepine ได้รับการอนุมัติ ทั้งจากกรมบัญชีกลาง ส�ำนักงาน
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และส�ำนักงานประกันสังคม ให้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ที่
ผู้ป่วยสามารถใช้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังน้ัน เภสัชกรรวมทั้งสหวิชาชีพ จึงควรทราบ
และเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับศาสตร์ในแขนงนี้ที่อาจเป็นส่วนหน่ึงของการบริบาล
ทางเภสัชกรรมในอนาคต และโรงพยาบาลท่ีมีการใช้ยาดังกล่าวควรวางระบบการตรวจ
ตัวบ่งช้ีทางพนั ธุศาสตร์เหล่านี ้ เพือ่ เพิม่ ความปลอดภัย ลดการเกิดอาการไม่พงึ ประสงคท์ ่ี
ร้ายแรงให้แก่ผปู้ ่วยต่อไป
(ส�ำหรับค�ำว่า “pharmacogenomics” อาจน�ำมาใช้ความหมายกว้างกว่าได้ เช่น
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยที างจโี นมคิ สใ์ นการคน้ หายาใหม่ ๆ และทำ� ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ความรใู้ หม ่ ๆ
ของยาเดมิ )

27

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

การประสานรายการยา (Medication reconciliation)

การประสานรายการยา (Medication reconciliation) เปน็ กระบวนการทีจ่ ะท�ำให้
ได้มาซ่ึงรายการยาที่ผู้ป่วยใช้จริงก่อนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ท้ังแผนกผู้ป่วย
นอก ผู้ป่วยใน หรือแม้แต่ในห้องฉุกเฉิน โดยมุ่งเน้นให้ได้รายการยาท่ีครบถ้วนและ
ถูกต้อง ตามท่ีแพทย์สั่งและที่ผู้ป่วยใช้จริง และรวมไปถึงรายการยาที่ผู้ป่วยซ้ือใช้เอง
เช่น วิตามิน สมุนไพร อาหารเสริม ฯลฯ ท่ีส�ำคัญท่ีต้องถามผู้ป่วยคือยาม้ือสุดท้ายท่ี
ผปู้ ว่ ยไดร้ ับคอื ยาอะไร ใชไ้ ปเม่อื ไร ขนาดเทา่ ใด รวมถงึ ระบุรายการยาท่ีแพ้พรอ้ มอาการ
ท่เี กิดขน้ึ ดว้ ย

กระบวนการน้ีจึงมีความส�ำคัญมากในการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาครบถ้วนตามท่ี
เคยได้รับก่อนเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ที่มีการรับ
ส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเล็ก การท�ำ medication reconciliation ส�ำหรับผู้ป่วยแต่
ละคน ต้องท�ำต่อเนื่องตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ย้ายหอผู้ป่วย จน
กระทง่ั discharged ออกจากโรงพยาบาล โดยตอ้ งด�ำเนนิ การใหค้ รบทกุ ขนั้ ตอน ไมใ่ ช่
ท�ำเพยี งขนั้ ตอนใดขนั้ ตอนหนง่ึ เทา่ นน้ั จงึ จะชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั ยาทคี่ วรไดร้ บั อยา่ ง
ถูกต้อง เหมาะสม และไม่ไดร้ ับยาซ�้ำซ้อน

ดังน้ัน คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดหรือคณะกรรมการพัฒนาระบบยา
จงึ ตอ้ งกำ� หนดนโยบายทชี่ ดั เจนในเรอื่ งการประสานรายการยา เนน้ ยำ้� ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื
ของสหวิชาชพี ท้ังแพทย์ เภสัชกร และพยาบาล โดยนำ� หลกั การ 3P (Purpose,
Process, Performance) มาใชใ้ นการดำ� เนนิ การ มเี ภสัชกรเป็นเจา้ ภาพในการทำ� ความ
เข้าใจกับแต่ละวิชาชีพ ให้รับทราบถึงเป้าหมายของกระบวนการ ประชุมร่วมกันเพ่ือ
พจิ ารณาว่า ในแตล่ ะขน้ั ตอน วชิ าชพี ใดจะตอ้ งมีบทบาทอย่างไร เพราะอะไร จะเริ่มตน้
ทดลองกระบวนการน้ีในผู้ป่วยกลุ่มใด ก่อนที่จะขยายผลให้ครอบคลุมผู้ป่วยท้ัง
โรงพยาบาล สุดท้ายควรก�ำหนดตัวชี้วัดร่วมกัน และก�ำหนดช่วงเวลาท่ีจะท�ำการ
ประเมินผล วิเคราะห์และแก้ไขกระบวนการหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

28

การประสานรายการยา (Medication reconciliation)

การประสานรายการยา ต้องด�ำเนินการให้ครบถว้ นทั้ง 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้

1. Verification การรวบรวมรายการยาทั้งหมดท่ีผู้ป่วยได้รับก่อนเข้ามารับการ
รักษาในโรงพยาบาล ซ่ึงอาจได้มาจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาล จากซองยาที่ผู้ป่วย/
ญาตนิ �ำมาใหด้ ู ตลอดจนขอ้ มลู ทางคลินิก เช่น ประวัติความเจ็บปว่ ย ผลการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น โดยข้อมูลยาที่ผู้ป่วยใช้นั้นต้องได้มาจากอย่างน้อย 2 แหล่งจึง
จะครบถว้ น

2. Clarification การสอบถามผปู้ ว่ ย/ญาตวิ า่ ผปู้ ว่ ยใชย้ าอยา่ งไร เปน็ ไปตามทรี่ ะบุ
บนซองยาหรือไม่ ตรวจสอบว่ายาท่ีอยู่ในซองยาใช่ยาท่ีมีช่ือและวิธีใช้ตามท่ีระบุไว้ที่หน้า
ซองยาหรือไม่ ผู้ป่วยยังใช้ยาทุกตัวที่น�ำมาหรือไม่ ถ้าข้อมูลที่ได้จากการซักถามผู้ป่วย/
ญาตไิ มส่ อดคลอ้ งกบั ยาทแ่ี พทยส์ งั่ ควรระบเุ หตผุ ลของการเปลยี่ นแปลงการใชไ้ วด้ ว้ ย เชน่
ผปู้ ่วยทนอาการขา้ งเคียงของยาไม่ได้จึงหยุดใช้ไปเอง หรือ รู้สึกวา่ อาการดขี น้ึ แล้วเลยลด
ขนาดยาลงหรือหยุดยาเอง เป็นต้น ควรให้เวลากับขั้นตอนน้ี โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยได้รับ
ยาหลายชนิด มโี อกาสมากท่จี ะใช้ยาคลาดเคลื่อนจากทแี่ พทย์สง่ั เชน่ ผู้ป่วยรบั ประทาน
ยาซ้�ำซ้อนจากการใช้ยาเดิมควบไปกับยาใหม่ที่แพทย์สั่งให้ทดแทนยาเดิมท่ีส่ังหยุดแล้ว
เป็นต้น ในขั้นตอนนี้และควรสอบถามข้อมูลว่าผู้ป่วยรับประทานยาครั้งสุดท้ายเม่ือใด
ยาอะไรบา้ ง ขนาดเท่าไร

ในขั้นตอนนี้ หากเป็นไปได้ ควรประเมินว่ายาท่ีผู้ป่วยใช้มีความเหมาะสม
สอดคล้องกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วยหรือไม่ อาการท่ีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาในครั้งน้ี
มีสาเหตุมาจากยาที่ใช้หรือไม่ เช่น หัวใจเต้นช้าลงมากจากการได้รับยา beta blocker
ในขนาดไม่เหมาะสม หรือ น้�ำตาลลดต�่ำลงมากจากการฉีดอินซูลินผิดขนาด หรือ ถ่าย
ปัสสาวะไมอ่ อกเพราะได้รบั ยาผิดเน่อื งจากความคลาดเคล่อื นในการจา่ ยยา เป็นต้น

3. Reconciliation ข้นั ตอนนีส้ �ำคัญมาก เปน็ การเปรียบเทียบรายการยาท่แี พทย์
ส่ังเมื่อแรกรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกับรายการยาเดิมท่ีได้จากการด�ำเนิน
การตามข้ันตอนที่ 1 และ 2 เพ่ือดูว่าแพทย์ลืมสั่งยาอะไรที่ผู้ป่วยเคยใช้ประจ�ำหรือไม่
แพทยจ์ ะหยดุ ยาบางอยา่ งไวช้ วั่ คราวในขณะทผ่ี ปู้ ว่ ยรกั ษาตวั ในโรงพยาบาลหรอื ไม ่ แพทย์
จะยกเลิกรายการยาที่ซ้�ำซ้อนหรือไม่ ซ่ึงหากมีการเปล่ียนแปลงรายการยาควรท�ำการ
บนั ทกึ การเปลย่ี นแปลงพรอ้ มเหตผุ ล ขน้ั ตอนนห้ี ากเปรยี บเทยี บแลว้ พบวา่ มกี ารเปลย่ี นแปลง

29

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

ของรายการยาโดยไม่ระบุเหตุผล เภสัชกรหรือผู้ท�ำหน้าที่ประสานรายการยาควรติดต่อ
แพทย์ผู้ส่ังใช้ยา เพื่อสอบถามและยืนยันอีกคร้ัง เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจ
เกิดข้ึน ท่ีส�ำคัญคือ ในการยืนยันค�ำสั่งใช้ยาน้ีจะต้องมีลายเซ็นแพทย์ผู้สั่งใช้ยาก�ำกับ
ดว้ ยเสมอ
4. Transmission ระหว่างผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล หากมีการย้ายแผนก
หรือหอผู้ปว่ ย หรอื มีการ Review treatment ข้อมลู รายการยาทงั้ หมดท่ผี ้ปู ว่ ยใช้อยู่และ
รายการยาท่ีแพทย์ส่ังหยุดไว้ชั่วคราว จะต้องถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานใหม่ทุกครั้ง และ
เม่ือผู้ป่วยถูกจำ� หน่ายกลับบ้าน จะต้องมีการประสานรายการยาที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยกลับ
บ้านกับรายการยาผู้ป่วยที่บันทึกไว้ตอนแรกรับ (ขั้นตอนท่ี 1 และ 2) หากมีการเปลี่ยน
แปลงชนิดของยา ขนาดยาท่ีใช้ วิถีบริหารยา หรือมีรายการยาใดที่ผู้ป่วยเคยใช้ประจำ�
หายไป เภสชั กรจะต้องยืนยันความถกู ต้องของรายการยากบั แพทย์ผสู้ ั่งใช้ยาก่อน พร้อม
กันน้ี เภสัชกรต้องมีการจัดท�ำสรุปรายการยาล่าสุดส่งให้สถานพยาบาลท่ีส่งตัวผู้ป่วย
มารักษา หรือท่ีผู้ป่วยจะไปรับบริการต่อไป ตลอดจนเก็บไว้ในเวชระเบียนเม่ือผู้ป่วยจะ
มาพบแพทยใ์ นโรงพยาบาลท่แี ผนกผ้ปู ่วยนอกในคร้ังตอ่ ไปด้วย

บทบาทของเภสชั กรในการท�ำ Discharged Counseling
นอกจากท�ำสรุปรายการยาล่าสุดและจัดยากลับบ้านให้ผู้ป่วยแล้ว เภสัชกรจะ
ต้องท�ำ discharged counseling ด้วย โดยอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจการใช้ยาท่ีผู้ป่วยได้
รับกลับบ้าน โดยเฉพาะรายการยาที่มีการเปลี่ยนแปลงชนิด ขนาด หรือวิธีบริหารยา
เพอื่ ใหผ้ ปู้ ว่ ยใชย้ าไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และผลการรกั ษาเปน็ ไปตามเปา้ หมาย ทงั้ น ้ี หากผปู้ ว่ ย
ใช้ยาไม่ถูกต้อง อาจเป็นสาเหตุให้ผูป้ ่วยต้องกลบั เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลอกี ได้

30

ความคลาดเคล่ือนทางยา (Medication Error)

ความคลาดเคลอื่ นทางยา (Medication Error)

ความหมาย

ความคลาดเคล่ือนทางยา หมายถึง เหตุการณ์ความผิดพลาดเกี่ยวกับยาซึ่งเกิด
ข้ึนขณะท่ียาอยู่ในความควบคุมของบุคลากรวิชาชีพด้านสุขภาพ อันอาจเป็นสาเหตุท่ีน�ำ
ไปสู่การใช้ยาไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย แต่เป็นเหตุการณ์ที่สามารถป้องกัน
ได ้ เหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ อาจเปน็ ความผดิ พลาดทเี่ กิดจากตัวบคุ คลทห่ี น้างาน (active หรือ
human error) หรืออาจเป็นความลม้ เหลวในเชงิ ระบบทฝี่ งั ตัวมานานแล้ว (latent error)
แต่ไมม่ ีใครสงั เกต จนกระทั่งเป็นสาเหตุให้เกดิ ความผิดพลาดทหี่ น้างานโดยตัวบคุ คล ซึง่
เมื่อวิเคราะห์หาสาเหตุเชิงลึกแล้วพบว่ามีความเก่ียวโยงกัน ต้องแก้ไขหรือวางระบบใหม่
จงึ จะป้องกนั การเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นซ้�ำไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื

บทบาทของคณะกรรมการสหวชิ าชีพ

การเกบ็ ขอ้ มลู ความคลาดเคลื่อนทางยาตอ้ งได้รบั ความรว่ มมอื จากสหวชิ าชีพ และ
ตอ้ งเก็บข้อมูลดว้ ยความเข้าใจ จึงจะได้ขอ้ มลู ท่ีด ี สามารถน�ำมาวเิ คราะหไ์ ดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
เพื่อนำ� ไปสู่การแก้ไขท่ยี ั่งยืน คณะกรรมการฯ จงึ ตอ้ งมีนโยบายชัดเจนให้สหวชิ าชีพ
ร่วมกันเก็บข้อมูลความคลาดเคล่ือนทางยา พร้อมท้ังก�ำหนดนิยามของความ
คลาดเคลอื่ นทางยาแตล่ ะประเภท โดยมเี ภสชั กรเปน็ เจา้ ภาพหลกั ในการทำ� ความเขา้ ใจ
กับผู้ท่ีเกี่ยวข้อง มีการตกลงร่วมกันในการเก็บข้อมูลให้ครอบคลุม ก�ำหนดให้มีการ
รายงานความคลาดเคลอ่ื นทางยาเขา้ สทู่ ป่ี ระชมุ เปน็ วงรอบทสี่ ม่�ำเสมอ และกำ� หนดชดั เจน
วา่ ความคลาดเคลอื่ นทางยาทม่ี คี วามรนุ แรงตง้ั แตร่ ะดบั E ขน้ึ ไปตอ้ งน�ำเขา้ สกู่ ารพจิ ารณา
และวิเคราะห์ร่วมกันในคณะกรรมการฯ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา บางเร่ืองอาจ
เป็นปัญหาเชิงระบบที่คณะกรรมการฯ ต้องมีการออกนโยบายหรือแนวทางใหม่เพื่อ
แก้ไขท่ีต้นเหตุป้องกันการเกิดซ�้ำ สหวิชาชีพจ�ำเป็นต้องวิเคราะห์หาสาเหตุร่วมกันเพื่อ
ใหไ้ ดม้ ุมมองครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะความคลาดเคลอ่ื นทม่ี คี วามรุนแรงระดบั สงู

ขอ้ มลู ความคลาดเคลอื่ นทางยาแบง่ ออกเปน็ ความคลาดเคลอ่ื นทางยาทมี่ ผี ลกระทบ
ทางคลินิก กับ ความคลาดเคล่ือนทางยาที่ผิดไปจากนโยบายท่ีก�ำหนดไว้ เช่น การใช้

31

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

ตัวย่อทห่ี า้ มใช้ การสั่งยาเปน็ สัดสว่ นที่หา้ มใช้ การจ่ายยาผดิ สทิ ธ ิ เป็นต้น ซ่งึ ต้องมกี าร
แยกเก็บ เพ่อื ใหข้ ้อมลู ทไ่ี ดไ้ ม่ปะปนกนั และงา่ ยตอ่ การนำ� ไปวเิ คราะห์

ค�ำนิยามของความคลาดเคล่ือนทางยาประเภทต่าง ๆ

1. ความคลาดเคล่ือนในการสั่งใช้ยา (prescribing error) หมายถึง ความ
คลาดเคลื่อนที่เกิดข้ึนในกระบวนการสั่งใช้ยาของแพทย์ที่ส่งผลกระทบทางคลินิก เช่น
การสั่งใช้ยาท่ีผู้ป่วยมีประวัติแพ้ หรือผู้ป่วยที่มีข้อห้ามใช้ (เช่น ยาท่ีห้ามใช้ในหญิง
ต้ังครรภ์ ผู้ป่วย G6PD เป็นต้น) การส่ังใช้ยาในขนาดท่ีมากหรือน้อยเกินไป การส่ัง
ใช้ยาในรูปแบบท่ีไม่เหมาะสม การสั่งใช้ยาท่ีมีปฏิกิริยากันหรือมีปฏิกิริยากับยาที่ผู้ป่วย
ใช้อยู่ก่อนแล้ว การส่ังใช้ยาซ้�ำซ้อน การสั่งใช้ยาท่ีมีวิถีทางให้ยาที่ไม่เหมาะสม และ
อัตราเร็วในการใหย้ าไม่เหมาะสม เปน็ ตน้

กระบวนการสำ� คญั ทจี่ ะชว่ ยคน้ หา prescribing error และแกไ้ ขไดก้ อ่ นถงึ ผปู้ ว่ ย
ได้แก่ การทบทวนค�ำส่ังใช้ยาโดยเภสัชกรก่อนเริ่มจัดยา และกระบวนการ medication
reconciliation นอกจากนี้พยาบาลที่รับค�ำสั่งแพทย์โดยตรง หากพบความคลาดเคลื่อน
ในค�ำสั่งแพทยก์ ็จะเป็นการคน้ หา prescribing error ไดอ้ กี ทางหนงึ่

2. ความคลาดเคล่ือนในการถ่ายทอดค�ำสั่ง (transcribing error) หมายถึง
การถ่ายทอดค�ำสั่งแพทย์ท่ีมีความคลาดเคลื่อน เช่น การรับค�ำส่ังการใช้ยาทางโทรศัพท์
คลาดเคลื่อน การอ่านค�ำสั่งแพทย์ผิด การคัดลอกผิด การบันทึกค�ำสั่งในคอมพิวเตอร์
ผิด เป็นต้น ปัจจุบันในโรงพยาบาลต่าง ๆ แพทย์เป็นผู้บันทึกค�ำส่ังใช้ยาผ่านระบบ
คอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ความคลาดเคล่ือนในการถ่ายทอดค�ำส่ังในประเด็นของการ
คดั ลอกจงึ มีนอ้ ยลง แต่กย็ ังมหี ลงเหลืออย่ใู นกรณรี ับค�ำสง่ั แพทยท์ างโทรศพั ท์

3. ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (dispensing error) หมายถึง ความ
คลาดเคล่ือนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้อง
ตามท่ีระบใุ นค�ำสง่ั ใช้ยา เชน่ จ่ายยาทีเ่ สอื่ มสภาพหรอื หมดอายุ จา่ ยยาท่ไี ม่มคี �ำสั่งใช้ยา
(unauthorized drug) ผู้ป่วยได้รับยาที่มีฉลากยาผิด ช่ือผู้ป่วยผิด จ่ายยาที่มีปฏิกิริยา
กัน จ่ายยาท่ีผู้ป่วยมีข้อห้ามใช้ เป็นต้น การจ่ายยาคลาดเคลื่อนในแผนกผู้ป่วยนอก
ส่วนใหญ่จะตรวจพบได้ต�่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริง แต่จะสามารถค้นหาได้จากการสอบถาม

32

ความคลาดเคล่อื นทางยา (Medication Error)

ผู้ป่วยภายหลังจากการจ่ายยา จากการเย่ียมบ้าน จากการท่ีผู้ป่วยเอายาเดิมท่ีเคยได้
รับมาให้ตรวจสอบดู จากการติดตามการรักษาในการมาพบแพทย์ครั้งต่อไป และจาก
การ cross check ของพยาบาลท่ีแผนก ER ห้องฉีดยา หรอื กลุ่มงานเวชกรรม

ในการจ่ายยาผู้ป่วยใน เมื่อยาถูกส่งออกจากห้องยาขึ้นหอผู้ป่วยหลังผ่านการ
ตรวจสอบจากเภสัชกรแล้ว พยาบาลบนหอผู้ป่วยจะต้องตรวจสอบยาที่ถูกส่งขึ้น
ไปโดยวิธีการ cross check ระหว่างวิชาชีพ ด้วยการน�ำยาท่ีส่งมาจากห้องยาไปตรวจ
สอบกับใบให้ยา (Medication administration record หรือที่เรียกกันว่าใบ MAR) ซึ่ง
พยาบาลเป็นผ้คู ัดลอกจากคำ� ส้ังแพทย์ หรือตรวจสอบกับ doctor order sheet โดยตรง
กระบวนการตรงนี้ส�ำคัญมากในการดักจับความคลาดเคล่ือน เม่ือพบความคลาดเคล่ือน
จะบันทึกเป็น dispensing error IPD และแจ้งเภสัชกรเพื่อขอเปลี่ยนยาก่อนท่ีจะผ่าน
ไปถงึ การบริหารยา

4. ความคลาดเคลอื่ นในการบรหิ ารยา (administration error) หมายถงึ ความ
คลาดเคล่ือนของการบริหารยาซ่ึงท�ำให้ผู้ป่วยได้รับยาท่ีต่างไปจากค�ำสั่งใช้ยาของแพทย ์
การบริหารยาให้ผู้ป่วยโดยพยาบาลมีความส�ำคัญมาก เพราะเป็นขั้นตอนท่ียาจะเข้าสู่
ตัวผู้ป่วย โดยเฉพาะการบริหารยาที่ต้องระวังมาก คือการบริหารยาเข้าทางหลอดเลือด
ซ่ึงมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การค�ำนวณปริมาณยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์สั่ง การละลาย
และการเข้ากันได้ของยากับสารละลายท่ีใช้ ความคงตัวของยา สุดท้ายคือการหยดยา
ด้วยอัตราเร็วท่ีถูกต้องตามท่ีแพทย์ต้องการ นอกจากการเตรียมและให้ยาถูกเทคนิคแล้ว
ยังต้องคำ� นึงถึง การใหย้ าถกู คน ถูกชนดิ ถูกขนาด ถกู เวลา ถกู วถิ ที าง และการบนั ทึก
การใหย้ าที่ถูกต้องตามจริงดว้ ย

Administration Error ของผู้ป่วยนอก ได้แก่ ความคลาดเคล่ือนในการให้ยา
ท่แี ผนกผูป้ ่วยนอกทห่ี อ้ งฉุกเฉิน ห้องฉีดยา กลุ่มงานเวชกรรมสังคม หนว่ ยไตเทยี ม หรือ
กลุ่มงานทันตกรรม ส่วนความคลาดเคล่ือนจากการใช้ยาของผู้ป่วยเม่ือกลับไปใช้ยา
เองท่ีบ้านนั้น ไม่ใช้ค�ำว่า administration error OPD เพราะยาอยู่ในมือผู้ป่วยแล้ว
แต่จะใช้ค�ำว่า compliance error แทน โดยสังเกตได้จากการท่ีผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น
ในการมาพบแพทย์คร้ังต่อไป หรือมียาเหลือมาก ซึ่งจะทราบได้จากการพูดคุยกับผู้ป่วย
ในการสง่ มอบยาโดยเภสัชกร

33

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

Administration Error ของผู้ป่วยใน กะบวนการการตรวจสอบซ�้ำ (double
check) โดยพยาบาลกอ่ นบริหารยาใหผ้ ้ปู ่วยมีส�ำคญั มาก โดยเฉพาะหากเปน็ การเตรยี ม
ยาฉีด ท่ีต้องมีการค�ำนวณปริมาณยาและสารละลายตามค�ำสั่งแพทย์ หรือต้องให้ใน
อัตราเร็วที่ถูกต้องตามค�ำสั่งแพทย์ หากพบว่ามีความคลาดเคลื่อน ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง
ก่อน และเมื่อจะให้ยาผู้ป่วย ต้องมีการตรวจสอบซ้�ำ (double check) อีกครั้ง โดย
เฉพาะการบริหารยาที่มีความเส่ียงสงู การตรวจสอบซ�้ำโดยอิสระ (independent double
check) โดยพยาบาลคนละคนกันเป็นเรื่องท่ีต้องท�ำก่อนเร่ิมให้ยาผู้ป่วย เพ่ือป้องกัน
ความคลาดเคล่ือนทีอ่ าจเกดิ ขึ้น

หมายเหตุ : ส�ำหรับ predispensing error ซึ่งเป็นความคลาดเคลอื่ นทางยาอีก
ชนิดหน่ึงที่มีรายงานกันในห้องยาน้ัน เป็นการเก็บความคลาดเคลื่อนจากการจัดยา
เพื่อเตรียมยาให้เภสัชกรตรวจสอบความถูกต้องก่อนจ่ายยาให้ผู้ป่วยหรือก่อนส่งขึ้นหอ
ผู้ป่วย กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมจะเก็บข้อมูลนี้ไว้เองเพ่ือใช้เป็นตัวช้ีวัดการท�ำงานของ
เจ้าหน้าที่ในห้องยา หากมีความคลาดเคล่ือนในการจัดยามาก ควรมีการวิเคราะห์และ
แกไ้ ขทีส่ าเหตุ เพอื่ ลดการเกดิ ความคลาดเคลื่อนในครั้งตอ่ ๆ ไป

การรวบรวมข้อมูลความคลาดเคลอ่ื นทางยา

หัวหน้ากลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรม ต้องก�ำหนดให้มีเภสัชกรที่รับผิดชอบรวมรวบ
ขอ้ มูลความคลาดเคล่อื นทางยาทุกประเภท ท้ัง prescribing, transcribing, dispensing
และ administration error ไมว่ ่าจะเปน็ ความรุนแรงระดับใดก็ตาม เพ่ือให้เห็นขนาดของ
ปัญหาที่แท้จริง โดยต้องรวบรวมความคลาดเคลื่อนท่ีเภสัชกรเก็บได้จากช่องทางอ่ืนด้วย
ได้แก่ ขอ้ มลู drug related problem (DRP) จากงานบรบิ าลทางเภสชั กรรม จากการ
ตรวจสอบเวชระเบียน จากช่องทางการบันทึกความคลาดเคลื่อนทางยาของหน่วยงาน
ต่าง ๆ เช่น ห้องฉีดยา ห้องฉุกเฉิน หน่วยงานเวชกรรม หอผู้ป่วยและปัญหาการใช้ยา
ท่ีพบจากการด�ำเนินงาน RDU, DUE เป็นต้น ท้ังนี้ เพื่อให้เกิดศูนย์รวมข้อมูลความ
คลาดเคลื่อนทางยาในภาพรวมของโรงพยาบาล

สำ� หรบั การลงบนั ทกึ ความคลาดเคลอื่ นนนั้ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ขนาดของความคลาดเคลอื่ น
ได้ชัดเจน การบันทึกเป็นจ�ำนวนครั้งของความผิดพลาดต่อจ�ำนวนใบส่ังยา 1,000 ใบ

34

ความคลาดเคลอื่ นทางยา (Medication Error)

หรือถ้าเป็นผู้ป่วยใน ให้บันทึกเป็นจ�ำนวนครั้งต่อ 1,000 วันนอน จะช่วยให้เห็นชัดเจน
และเขา้ ถงึ ปัญหาไดม้ ากกวา่

หลังจากรวบรวมข้อมูลความคลาดเคล่ือนทางยามาแล้ว เภสัชกรต้องวิเคราะห์
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ในประเดน็ ตา่ ง ๆ เพอื่ นำ� เสนอใหก้ บั คณะกรรมการ PTC หรอื คณะกรรมการ
ท่ีดูแลระบบยา ส�ำหรับข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยาที่มีความรุนแรงระดับ E ขึ้นไป
ขอ้ มลู ความคลาดเคลอ่ื นระดบั near miss ทอี่ าจสง่ ผลใหเ้ กดิ เหตกุ ารณพ์ งึ สงั วร (sentinel
event) ได้หากตรวจสอบไม่พบในคร้ังน้ี (เช่น การส่ังยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้รุนแรง การ
ส่ังยาคู่ท่ีเป็น fatal drug interaction เป็นต้น) จะต้องน�ำมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุรากใน
คณะกรรมการสหวิชาชีพให้ทันตามกรอบเวลาที่คณะกรรมการ PTC ก�ำหนด รวมถึง
near miss ระดับ A, B ท่ีเป็น high volume เพื่อให้มีการพัฒนา แก้ไข ปรับปรุงใน
เชิงระบบ ตลอดจนการก�ำหนด/ทบทวนโยบายเพ่ือปอ้ งกนั การเกิดซ�้ำ และจดั ท�ำแผนเพื่อ
การปรบั ปรงุ และพฒั นาอยา่ งเหมาะสมตอ่ ไป

การแบ่งความคลาดเคล่ือนตามระดับความรุนแรง

ความคลาดเคล่ือนประเภทต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้น เป็นการแบ่งตามวิชาชีพที่
รับผิดชอบในแต่ละส่วนของกระบวนการ ซ่ึงอาจท�ำให้เกิดปัญหาได้ National Co-
ordinating Council of Medication Error Reporting and Prevention (NCC MERP)
จงึ ไดจ้ ัดแบง่ ประเภทของความคลาดเคล่ือนโดยยึดทต่ี ัวผู้ป่วยเปน็ ส�ำคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี

Category A ไม่มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น แต่มีความเส่ียงท่ีอาจท�ำให้เกิด
ความคลาดเคล่ือนข้ึนได้ เช่น การเตรียมยาไว้ในกระบอกฉีดยาโดยไม่มีฉลากก�ำกับ
เปน็ ต้น

Category B มีความคลาดเคลอ่ื นเกดิ ข้นึ แต่ไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ่วย เน่ืองจาก
ความคลาดเคลื่อนนั้นถูกดักจับได้ก่อน จึงยังไปไม่ถึงตัวผู้ป่วย ซึ่งความคลาดเคล่ือน
ระดับ B นี้จะพบได้เมื่อมีการตรวจสอบข้ามระหว่างวิชาชีพ (cross check) หรือมี
การตรวจสอบซ�้ำ (double, triple check) ก่อนการจ่ายยาผู้ป่วยนอกหรือการบริหารยา
ผปู้ ่วยนอก/ผ้ปู ว่ ยใน

35

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

Category C มคี วามคลาดเคลือ่ นเกดิ ข้นึ และถงึ มือผ้ปู ว่ ยแล้วแต่ไมเ่ ป็นอนั ตราย
ตอ่ ผู้ปว่ ย เช่น ในกรณจี ่ายยาผู้ปว่ ยนอก ยาอยูใ่ นมือผู้ป่วยแล้ว แต่ญาติ/ผูป้ ่วยพบเองว่า
มคี วามคลาดเคลอ่ื นเกดิ ขนึ้ และน�ำยาไปคืนห้องยา หรอื ผปู้ ว่ ยใชย้ าไปแลว้ แต่ไม่มคี วาม
ผิดปกติเกดิ ข้ึน เปน็ ต้น
Category D มคี วามคลาดเคลอื่ นเกดิ ขน้ึ แมไ้ มเ่ กดิ อนั ตรายกบั ผปู้ ว่ ย แตย่ งั จำ� เปน็
ตอ้ งตดิ ตามผปู้ ว่ ยเพ่ิมเติม
Category E มคี วามคลาดเคลอ่ื นเกดิ ขนึ้ และเปน็ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ว่ ยเพยี งชว่ั คราว
จ�ำเป็นต้องได้รับการรกั ษาหรือแกไ้ ขเพม่ิ เติม
Category F มีความคลาดเคลื่อนเกิดข้ึน เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยชั่วคราว แต่
จ�ำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหรือยืดระยะเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาล
ออกไป
Category G มคี วามคลาดเคลื่อนเกดิ ข้นึ และเปน็ อนั ตรายต่อผปู้ ว่ ยถาวร
Category H มีความคลาดเคลื่อนเกิดข้ึน และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยจนเกือบถึง
แก่ชีวิต เช่น แพย้ าแบบ anaphylaxis และหวั ใจหยุดเตน้
Category I มีความคลาดเคลอื่ นเกิดข้ึน และเปน็ อนั ตรายจนผูป้ ่วยเสยี ชีวิต

36

Ambulatory Clinic และ Acute Care

Ambulatory Clinic และ Acute Care

งานบรบิ าลทางเภสชั กรรมผปู้ ว่ ยนอก (ambulatory clinic)

คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบ�ำบัดหรือคณะกรรมการท่ีดูแลระบบยาต้องมี
นโยบายชัดเจนในการสนับสนุนทั้งสถานท่ีและอัตราก�ำลัง ตลอดจนมีการสื่อสารให้
สหวิชาชีพที่เก่ียวข้องรับทราบถึงการที่เภสัชกรจะเริ่มต้นงานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก
(ambulatory clinic) ส�ำหรับโรคใดโรคหน่ึง เพื่อช่วยให้ผลการรักษาด้วยยาดีขึ้น โดย
เภสัชกรจะต้องสื่อสารให้คณะกรรมการฯ รับทราบก่อนว่าก�ำลังจะท�ำอะไร เพราะอะไร
(มีความจ�ำเป็นอย่างไร) ท�ำแล้วจะได้ผลเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้บริหารมีความชัดเจนและ
เห็นประโยชน์ท่ีผู้ป่วยจะได้รับ ขณะเดียวกัน สหวิชาชีพท่ีเก่ียวข้องต้องช่วยกันก�ำหนด
เป้าหมายในการดแู ลผปู้ ว่ ย จดั ท�ำแนวทางปฏบิ ตั ิงานในแตล่ ะคลินกิ ทง้ั work instruc-
tion และ work flow เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติท่ีเป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้มีการ
ปฏิบัติต่อเน่ืองได้ไม่ว่าใครจะมาด�ำเนินการ ควรมีความชัดเจนในบทบาทของแต่ละ
วิชาชีพท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนจะส่ือสารส่งต่อข้อมูลกันอย่างไร จะโดยการบันทึกใน
คอมพิวเตอร ์ บนั ทึกในเวชระเบยี น หรือเขียนใน pharmacist’s note หรอื จะปรบั ฟอรม์
ให้ทุกวิชาชีพสามารถบันทึกร่วมกันได้ ทั้งนี้แล้วแต่การตกลงกันในสหวิชาชีพ ส่ิงส�ำคัญ
คือต้องรับรูโ้ ดยทั่วกนั และปฏบิ ตั ิเหมือนกัน

หัวหน้ากลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมต้องสามารถน�ำเสนอได้ว่าคลินิกน้ีมีที่มาอย่างไร
มเี ป้าหมายอะไร จะทำ� คลินกิ ตามทิศทางองคก์ ร (โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต ฯลฯ)
หรือตามปัญหาท่ีพบในการดูแลผู้ป่วย หรือกลุ่มผู้ป่วยท่ีผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทมี ตอ้ งชว่ ยกนั กำ� หนดการวดั ผล โดยอาจเรมิ่ จากเชงิ กระบวนการ เพอ่ื ทดลองกระบวนการ
และทกั ษะเชิงวิชาชีพของเภสชั กร หลังจากนนั้ จึงวัดผลทางคลินิก ทส่ี ะทอ้ นให้เหน็ คุณค่า
ของผลลัพธ์คุณภาพการดูแลผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ควรเก็บข้อมูลท่ีสะท้อนผลงาน
โดยตรงของเภสัชกร ได้แก ่ DRP, DI, ADR การปรบั ขนาดยา ปัญหาทพี่ บจากรปู แบบ
ยา เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนวา่ การมีเภสชั กรในทมี จะชว่ ยเสรมิ ความปลอดภัยให้ผปู้ ่วย

การก�ำหนดเกณฑ์ให้ผู้ป่วยเข้า-ออกจากคลินิกเป็นส่ิงส�ำคัญ (เช่น ใช้ผลลัพธ์ทาง
คลินิกเป็นตัววัด) แต่เป็นเร่ืองที่ต้องตกลงกันให้ชัดเจนและรับทราบโดยท่ัวกันในระหว่าง

37

สมาคมเภสชั กรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

ผู้ท่ีเก่ียวข้อง รวมถึงการท�ำ medication reconciliation ซึ่งเป็นสิ่งท่ีต้องท�ำในการให้
บริบาลทางเภสชั กรรมผูป้ ว่ ยนอก

เภสัชกรท่ีจะด�ำเนินงานบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอกคลินิกใด จะต้องมีองค์
ความรทู้ เ่ี พยี งพอโดยเฉพาะเรอื่ งยาทใี่ ชใ้ นโรคนนั้ จงึ ควรผา่ นการฝกึ อบรมเฉพาะทาง เพอ่ื
เพ่ิมทักษะในการปฏิบัติงานในคลินิกน้ัน ๆ เพื่อท่ีจะสามารถแก้ปัญหาท่ีอาจจะเกิดขึ้นได้
และเพื่อให้ผ้ปู ่วยปลอดภยั จากการใช้ยา

ข้อมูลที่รวบรวมได้จากการให้บริบาลทางเภสัชกรรม จะต้องน�ำมารวมกับข้อมูล
ความคลาดเคลอื่ นทางยา เหตกุ ารณไ์ มพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า แลว้ นำ� มาวเิ คราะห ์ เพอ่ื
การพัฒนางานหรือพัฒนาระบบที่เก่ียวข้อง อีกท้ังยังสามารถน�ำไปสู่การวิจัยเพ่ือต่อยอด
และเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในสหวิชาชพี ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

มักมีความเข้าใจผิดและสับสนว่าการให้ค�ำปรึกษาเรื่องยา (patient coun-
selling) กบั งาน ambulatory clinic เปน็ เรอ่ื งเดยี วกนั ทถี่ กู ตอ้ งคอื การใหค้ ำ� ปรกึ ษา
เรอื่ งยา เปน็ เพยี งกระบวนการหนง่ึ ในการใหบ้ รบิ าลทางเภสชั กรรมผปู้ ว่ ยนอกเทา่ นนั้

งานบรบิ าลทางเภสชั กรรมผู้ป่วยใน (acute care)

ปัจจุบนั บทบาทหน้าทข่ี องเภสัชกรประจำ� หอผู้ปว่ ยยงั มคี วามหลากหลาย แตกต่าง
กนั ไปในแตล่ ะโรงพยาบาล ข้ึนกบั วา่ เภสชั กรที่ดำ� เนินการน้นั ถนดั ท่ีจะทำ� อะไร ไมม่ ีการ
ก�ำหนดเป้าหมายชัดเจน ไม่มีตัวชี้วัดท่ีจะประเมินผลงานได้อย่างเป็นระบบ เภสัชกร
แตล่ ะคนบนหอผู้ป่วยมกั ต่างคนต่างท�ำงาน มีการสื่อสารกนั นอ้ ยมาก ขาดการท�ำงานเปน็
ทีม ไม่มีการพูดคุยถึงปัญหาท่ีเกิดซ�้ำ ๆ เพ่ือน�ำไปสู่การก�ำหนดเป็นประเด็นให้เภสัชกรท่ี
ทำ� งานในหอ้ งยาผปู้ ว่ ยในไดใ้ ชใ้ นการทบทวนใบสงั่ ยาผปู้ ว่ ยใน ซง่ึ จะเปน็ การทำ� งานรว่ มกนั
และต่างมสี ว่ นรว่ มในการดูแลความปลอดภัยของผ้ปู ว่ ย

ดงั นน้ั จงึ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ทค่ี ณะกรรมการเภสชั กรรมและการบำ� บดั หรอื คณะกรรมการ
ที่ดูแลระบบยาต้องรับทราบก่อนว่า เภสัชกรจะเร่ิมงานให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วย
ใน (acute care) และมนี โยบายชัดเจนในการสนบั สนุนอตั ราก�ำลัง และอนื่ ๆ ตลอดจน
ส่ือสารให้สหวิชาชีพท่ีเกี่ยวข้องรับทราบ หัวหน้ากลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรมควรกำ� หนด job

38

Ambulatory Clinic และ Acute Care

description ของเภสัชกรทีท่ �ำงานบนหอผู้ป่วย ว่าควรประกอบด้วยอะไรบา้ ง เพ่ือความ
เป็นมาตรฐานเดียวกันท้ังองค์กร ผลงานจะได้น�ำมารวบรวมกันได้ และเพื่อหัวหน้าจะได้
ประเมินผลงานได้โดยไม่ล�ำบากใจ ท้ังยังเป็นแนวทางในการก�ำหนดทักษะในการพัฒนา
ตนเองของเภสัชกรผู้จะให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในอีกด้วย ในกรณีที่มีปัญหาด้าน
กรอบอัตราก�ำลัง เภสัชกรที่หมุนเวียนมาด�ำเนินงานในแต่ละคลินิกต้องมีองค์ความรู้และ
ทักษะในการปฏิบัติงานเพียงพอที่จะท�ำให้การด�ำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงมีระบบการสง่ ต่อขอ้ มูลทเ่ี หมาะสม

กิจกรรมที่จะด�ำเนินการบนหอผู้ป่วยจะขึ้นกับบริบทของโรงพยาบาล แบ่งเป็น
ระดบั ตน้ ระดับกลาง และระดบั สูง โดยด�ำเนนิ การเปน็ ลำ� ดบั ไป เร่ิมจาก :
ระดบั ตน้ ประกอบดว้ ย medication reconciliation, discharged counselling,
การประเมินอาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า
ระดบั กลาง เพิม่ เติม การทบทวนคำ� ส่ังใชย้ า การให้ความรเู้ กี่ยวกบั ผลติ ภณั ฑย์ า
และการใชย้ า แก่ทีมสหวชิ าชีพทีท่ ำ� งานบนหอผปู้ ว่ ย
ระดับสงู ต่อยอดด้วยการตรวจเยี่ยมผูป้ ่วยใน (round ward) การประเมนิ การใช้
ยา (medication use evaluation) การใหค้ ำ� แนะนำ� และเสนอแนะเกีย่ วกับการปรับขนาด
ยา และการวัดระดับยาในเลือด

นอกจากนี ้ เภสชั กรบนหอผู้ปว่ ยไม่วา่ จะทำ� งานในโรงพยาบาลระดบั ใด จะตอ้ งทำ�
หน้าท่ีบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ยาบนหอผู้ป่วย ด้วยการบริหารจัดการยาส�ำรองบน
หอผปู้ ว่ ยใหม้ คี ณุ ภาพ ใหค้ ำ� แนะนำ� พยาบาลเกยี่ วกบั การเกบ็ รกั ษายา โดยเฉพาะยาแชเ่ ยน็
ยากนั แสง ตลอดจนแนะนำ� เรอื่ งความคงตวั ของยาชนดิ ตา่ ง ๆ ทมี่ กี ารใชแ้ ละการจดั เตรยี ม
บนหอผู้ป่วย ให้ค�ำแนะน�ำในการเตรียมยาให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นยาฉีด ยารับประทาน
ทตี่ ้องบรหิ ารผ่านสายให้อาหาร รวมทั้งการเขียนฉลากยาที่ถูกต้อง

เช่นเดียวกับการให้บริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก ข้อมูลที่รวบรวมได้จะต้องน�ำ
มารวมกบั ขอ้ มูลความคลาดเคลื่อนทางยา เหตกุ ารณ์ไม่พึงประสงคจ์ ากการใชย้ า เพือ่ นำ�
มาวเิ คราะห ์ นำ� ไปส่กู ารพฒั นางานหรอื พฒั นาระบบทีเ่ กีย่ วขอ้ ง อกี ท้ังยงั สามารถนำ� ไปสู่
การวิจัยเพือ่ ตอ่ ยอด และเพอื่ การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้รว่ มกันในสหวชิ าชพี ท่เี ก่ียวข้อง

39

กรอบงานพ้นื ฐานระบบยา

พิมพ์ครงั้ ท่ี 1 : พฤษภาคม 2563
จ�ำนวน 1,200 เลม่

จัดพิมพ์โดย :

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

3850/2 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศพั ท์ 02-2499333 โทรสาร 02-2499331
e-mail: [email protected] www.thaihp.org
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบญั ญัติลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537


Click to View FlipBook Version