งานวจิ ยั ในชนั้ เรยี น
เร่ือง
การประดษิ ฐ์ผลติ ภณั ฑ์จากวสั ดทุ ี่เหลือใช้จากธรรมชาติ
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
ผู้วิจัย
ครูภิญญาพัชร์ ถาวรพร
กลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี ฯ
ปกี ารศึกษา 2564
โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ
ช่อื เร่อื ง การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคง์ านประดิษฐ์ของใช้จากวัสดเุ หลือใช้ จากขวดพลาสติก
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โดยใช้วธิ ีการสอนแบบสรา้ งสรรค์การประดษิ ฐเ์ ศษวัสดเุ หลือใช้
ช่อื ผ้วู จิ ัย คุณครภู ญิ ญาพชั ร์ ถาวรพร
บทคดั ยอ่
การวจิ ัยเก่ียวกบั การประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวสั ดุธรรมชาติ มีวัตถปุ ระสงค์ เพ่อื หาประสิทธภิ าพของการ
ประดษิ ฐผ์ ลิตภณั ฑจ์ ากวัสดุธรรมชาติ และศึกษาความคิดเห็นเกีย่ วกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑจ์ ากวสั ดุ
ธรรมชาติ โดยใช้วิธกี ารวจิ ยั เชงิ สำรวจ กล่มุ ตัวอย่างไดแ้ กน่ กั เรยี น จำนวน 100 คน โดยใช้เครื่องมือเป็น
แบบสอบถาม เกบ็ รวบรวมข้อมลู แลว้ นำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Excel ใชส้ ถิติรอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และ
ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบวา่ ความคิดเหน็ เก่ยี วกบั การประดิษฐผ์ ลิตภณั ฑจ์ ากวสั ดธุ รรมชาติ มี 4 ด้าน คอื ด้าน
ความคดิ สรา้ งสรรค์ ดา้ นความคงทน ดา้ นความประณีตและสวยงาม และด้านการนำไปใช้ประโยชน์ ผลการ
วเิ คราะห์ข้อมลู มรี ายละเอียดดังนี้
ผลสรปุ การวิจัยได้ดงั น้ี
1. ดา้ นความคิดสรา้ งสรรค์อยใู่ นระดับมากค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.48 โดยเรยี งลำดบั จากมากไปหาน้อยดังนี้
ผลติ ภัณฑ์เป็นงานท่ีคดิ ประดษิ ฐ์จากการประยกุ ต์ข้ึนมา ค่าเฉล่ียเทา่ กับ 4.51 ผลิตภณั ฑ์สามารถนำไปใช้ใน
ชวี ิตประจำวันได้จรงิ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 การออกแบบและตกแตง่ ผลติ ภัณฑ์มีความทนั สมยั คา่ เฉล่ยี เทา่ กับ
4.48 การเลือกใช้วัสดมุ ีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ทที่ ำ คา่ เฉล่ียเท่ากบั คอื 4.45
2. ดา้ นความความคงทนอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ ค่าเฉลีย่ เท่ากับ 4.53 โดยเรยี งลำดบั จากมากไปหาน้อย
ดังน้ี ผลิตภัณฑ์มสี นั สวยงาม ค่าเฉลี่ยเทา่ กับ 4.67 รปู ทรงของผลิตภัณฑ์ประดษิ ฐไ์ ดส้ มบรู ณ์ ค่าเฉลยี่ เท่ากับ
4.52 ผลติ ภัณฑม์ คี วามคงทนต่อการใช้งาน ค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 4.49 และผลิตภัณฑม์ ขี นาดและสดั สว่ นท่ี
เหมาะสม ค่าเฉลย่ี เท่ากบั 4.45
3. ดา้ นความประณีตและสวยงามอยู่ในระดับมากทส่ี ุดคา่ เฉลยี่ เท่ากับ 4.56 โดยเรียงลำดับจากมากไป
หานอ้ ยดังนี้ การจัดและตกแตง่ ผลติ ภณั ฑม์ ีความสวยงาม คา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.63 ผลติ ภัณฑถ์ ูกประดษิ ฐข์ ึ้นด้วย
ความละเอียดและประณตี ค่าเฉล่ยี เทา่ กบั 4.59 และและผลติ ภัณฑ์มีการประกอบ/ติดดว้ ยความเรียบร้อย
คา่ เฉลย่ี เท่ากับ 4.45
4. ด้านการนำไปใช้ประโยชนอ์ ยใู่ นระดบั มากที่สุดคา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.59 โดยเรียงลำดบั จากมากไป
หานอ้ ยดงั นี้ ผลิตภัณฑส์ ามารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้จริงค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.67 ผลิตภัณฑส์ ามารถ
เคลอ่ื นย้ายไดส้ ะดวก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 และผลติ ภัณฑ์สามารถผลิตเพือ่ จำหนา่ ยได้ ค่าเฉล่ยี เท่ากับ 4.53
กิตตกิ รรมประกาศ
วิจัยฉบบั น้สี ำเสรจ็ ไดด้ ว้ ยความกรุณาจาก ทุกๆฝ่ายในโรงเรียนธดิ าแม่พระ และขอบพระคณุ ครู
อรโุ ณทัย กำเนดิ ผล และ คุณครูอวรรณ จนั ทรมณี ท่ีให้คำปรกึ ษา แนะนำ อ่านและตรวจแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง
ตา่ งๆ ตลอดจนให้ข้อคิดประโยชน์ แกผ่ วู้ ิจัยด้วยความเอาใจใสอ่ ย่างดเี สมอมา และขอกราบขอพระคุณเปน็
อย่างสูงมา ณ โอกาสน้ี
ขอขอบพระคุณ ผู้อำนวยการโรงเรยี นธดิ าแมพ่ ระ คณุ ครู ทใี่ หค้ วามร่วมมือและชว่ ยเหลือในการทด
การวิจยั ในครั้งน้ี และขอบใจนกั เรยี นในระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนธดิ าแม่พระ ปกี ารศกึ ษา 2564 ทกุ
คนท่ีให้ความรว่ มมือในการทดลองเกบ็ ข้อมูลในการวิจยั คร้ังน้ี
ประโยชน์และคุณค่าท้ังมวลท่เี กดิ จากวจิ ยั ฉบับน้ี ผวู้ ิจัยขอมอบเปน็ เครื่องบูชาพระคณุ แด่บิดามารดา
และครูอาจารย์ทุกท่าน ท่ีประสทิ ธิป์ ระสาทวิชา ความร้แู กผ่ ้วู จิ ัย
นางสาวภิญญาพชั ร์ ถาวรพร
สารบญั
บทคัดยอ่ หน้า
กติ ติกรรมประกาศ จ
สารบัญ ช
สารบญั ตาราง ช
สารบญั ภาพ ฐ
บทที่ ฑ
1 บทนำ 1
ท่ีมาและความสำคญั ของปญั หา 1
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 2
สมมตฐิ านของงานวิจัย 2
ขอบเขตการวิจยั 2
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 2
2. เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 4
การพัฒนาหลักสตู ร 4
การเรยี นการสอน 6
ความคดิ สร้างสรรค์ 9
ผลิตภัณฑ์จากวสั ดุเหลอื ใช้ 13
3.วธิ กี ารดำเนินงานวจิ ยั 18
ประชากรตวั อย่าง 18
ขั้นตอนการวิจยั 18
เครอ่ื งมอื การวิจยั 20
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วิจยั 20
4. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 21
5. สรุปผลและอภปิ รายผล 24
สรปุ ผลการวิจัย 24
การอภปิ รายผล 25
สารบัญ (ตอ่ ) หนา้
25
ขอ้ เสนอแนะ
26
เอกสารอ้างองิ
27
ภาคผนวก 28
แบบสอบถาม 29
ตวั อย่างผลงานนักเรยี น การประดษิ ฐจ์ ากวัสดุเหลือใช้
แผนการสอน
สารบัญตาราง หนา้
27 - 29
ตารางท่ี
ค่าเฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และค่ารอ้ ยละของ ความคิดสร้างสรรค์ ผลงาน
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1. ขวดตา่ งๆ 14
2. โพลเิ อทิลีน 14
3. หลอดกาแฟ 15
1
บทท่ี 1
บทนำ
ทีม่ าและความสำคัญของปญั หา
สังคมไทยในปจั จุบนั มกี ารเปล่ียนแปลงไปอย่างมาก ผคู้ นในสงั คมมกี ารเบยี่ งเบนความสัมพันธ์ไป
จากเดิม และเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ดังนั้นการกระทำของมนุษย์ย่อมส่งผล
กระทบตอ่ สิง่ แวดล้อมท่สี ำคญั เช่น มลพษิ ทางนำ้ มลพิษทางอากาศ มลพษิ ทางเสยี ง และมลพิษทางดนิ ใน
แต่ละวันมีขยะเกิดขึ้นจากกิจวัตรประจำวันของเราแต่ละคน มากน้อยต่างกันตามอายุ เพศ สภาพเศรษฐกิจ
รายได้ สถานที่ กิจกรรม ค่านิยม ฯลฯ ซ่ึงขยะส่วนใหญ่มาจากวัสดุที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เช่น
เศษกระดาษ ขวดพลาสติก กระป๋อง เศษแก้ว และขวดนมจืดเมจิ ขยะจึงตกค้างอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ และ
สร้างปัญหาขยะมูลฝอยต่อตัวเราและชุมชน ปัญหาขยะมูลฝอย เป็นปัญหาที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องมาจากการเพิม่ ของจำนวนประชากร ซงึ่ การกำจดั ขยะมกั จะใชว้ ธิ ี การฝงั กลบ หรือการเผาเป็นสว่ นใหญ่
ในฐานะผู้สอนทักษะอาชีพได้เล็งเห็นประโยชน์ของวัสดุเหลือใช้ หลอดกาแฟ ขวดนมจืดเมจิ ท่ี
สามารถนำมาใช้พฒั นาใหเ้ ป็นชิ้นงานประดษิ ฐ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์การใช้งานและ ความเหมาะสมของการใช้
งาน ความตอ้ งการของผูใ้ ช้ ความคงทน ความสวยงาม ซง่ึ ตอ้ งมีการออกแบบ การจัดองค์ประกอบทเี่ หมาะสม
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และเพิ่มมูลค่าของสินค้าหรือช้ินงานให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยงั เป็นการลด
ปริมาณขยะ อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกของนักเรียนที่จะก่อใหเ้ กิดพฤตกิ รรมการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า
โดยเฉพาะวัสดพุ ลาสติกซง่ึ วัสดทุ ย่ี อ่ ยสลายยาก ถ้านำไปทง้ิ จะกอ่ ให้เกิดมลภาวะทเี่ ปน็ พิษต่อส่ิงแวดลอ้ ม จงึ นำ
ขวดนมจืดเมจิทีเ่ ปน็ พลาสติก มาประดิษฐเ์ ปน็ ของใชต้ ่าง ๆ เชน่ ที่ใส่แก้วนำ้ พลาสติก ท่ีใส่ฝาแก้วพลาสตกิ ที่
ใส่ช้อน ที่ใส่ดินสอ-ปากกา ที่ใส่อุปกรณ์แปรงฟัน อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องน้ำ ที่ตักน้ำแข็ง ที่รองแก้วน้ำ เป็นต้น
และนักเรยี นยงั สามารถนำชนิ้ งานเข้าร่วมการแขง่ ขันในโอกาสต่าง ๆ เพ่อื เป็นการเสริมสร้างทกั ษะการทำงาน
ทกั ษะการคิด ทกั ษะทางสงั คม ความกลา้ แสดงออก เพ่ือเปน็ การตอ่ ยอดความรู้ในการประกอบอาชีพหรือเข้า
รว่ มกิจกรรมกับผอู้ ื่นได้ตอ่ ไป
วัตถุประสงค์ของการวิจยั
1. การสรา้ งงานให้เหมาะสมกบั การเรยี นในยคุ ของเทคโนโลยไี ด้ดียิ่งขนึ้ โดยการเลือกใช้เศษวัสดุเหลือ
ใช้อย่างประหยัดและปลอดภัยในการทำงานประดิษฐ์ ซึ่งเหมาะสมและสอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง โดย
วิธกี ารสอนแบบสร้างสรรค์ ทำให้เกดิ กระบวนการคดิ และการกระทำผลงานใหม่ ๆ
2. เพอ่ื พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ นักเรยี นบกพรอ่ งทางสติปัญญา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ให้มคี วามรู้
มีทักษะในการทำงานประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุเหลือใช้ หลอดกาแฟ ขวดนมจืดเมจิ โดยใช้วิธีการสอนแบบ
สรา้ งสรรคก์ ารประดิษฐเ์ ศษวสั ดุเหลือใช้
สมมตฐิ านของงานวจิ ัย
1. เพ่ือศึกษาความคดิ สรางสรรคของนกั เรียนโดยใชเศษวัสดุเหลือใชจ้ ากธรรมชาติ เพื่อพฒั นาความคดิ
สรางสรรคใชวิธีการสอนแบบสรางสรรคกลมุ การงานอาชีพและเทคโนโลยีช้ันมธั ยมศกึ ษาปี 1
2. การใชเศษวสั ดุอยางประหยัดและปลอดภัยในงานประดิษฐ เปนวิธกี ารสอนแบบสรางสรรค ทําให
เกดิ กระบวนการคิดและการกระทําผลงานใหมๆ ซึง่ เหมาะสมและ สอดคลองกับเศรษฐกจิ พอเพียง ในการสราง
งานบาน งานเกษตร งานประดษิ ฐ งานชางและงานธุรกจิ ไดด้ ีขน้ึ
2
3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่ีเน้นทักษะการคิด เรือ่ ง งานประดิษฐ์จากเศษวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ
กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ของผ้เู รยี นหลงั เรยี นมีค่าสูงกว่า
ก่อนเรยี น อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่
ขอบเขตการวิจยั
1. ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนธิดาแม่พระ ทั้งหมดจำนวน
268 คน
4. ตวั แปรทศ่ี ึกษาได้แก่
- ตัวต้น ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชางานประดิษฐ์ เรื่องผลิตภัณฑจ์ ากวัสดเุ ศษเหลือใช้จาก
ธรรมชาตทิ ่ีผู้วิจยั พฒั นาขึ้น
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการงานอาชีพ ในเรื่องการประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือใช้ และ
ความคิดสรา้ งสรรคจ์ ากผลงานประดิษฐ์
ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับจากงานวจิ ยั
- สามารถทําใหนักเรียนคิดสรางสรรค และหาวิธีการใชเศษวัสดุอยางประหยัดและมี คุณคา และ
สามารถประดษิ ฐช้นิ งานใหมๆ ไดถูกตองเกดิ ความมัน่ ใจ มนี วัตกรรมท่ที นั ตอยคุ เทคโนโลยีในปจจบุ นั
- เพือ่ พัฒนาดานการเรียนการสอนใหเกิดประสทิ ธภิ าพ ใหทนั สมยั เหมาะสมกับ เหตกุ ารณและสถาน
การณจริง และที่สําคัญรูจักประหยัดใชวัสดุใหเกิดประโยชน และเป็นการเพ่ิมรายได้สำหรับครอบครัวอีกทาง
หนึ่ง หรอื จดั พัฒนาเปน็ อาชีพอสิ ระได้ และเหมาะสมกับเศรษฐกจิ พอเพยี งและความเพยี งพอ
สถิติทใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล
- วเิ คราะหค์ ะแนนเฉลย่ี
- ค่าสถติ ิ T-test หาคา่ ความพึงพอใจต่อการใชเ้ ครื่องมอื ออนไลน์ Google Classroom
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. หลักสตูรกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ในงานประดษิ ฐ์ เรอ่ื ง การผลติ ภณั ฑจ์ าก
วัสดุเหลอื ใช้จากธรรมชาติ หมายถึง แนวทางการจดั กิจกรรมในการเรียนการสอน กลุ่มสาระการงานอาชีพ
และเทคโนโลยี ในงานประดษิ ฐ์ ซ่งึ ประกอบด้วย
- หลกั การ/มาตรฐานการเรยี นรู้
- จดุ มุ่งหมาย
- สาระการเรยี นรู้
- การจัดจกิ รรมการเรยี นการสอน
- สื่อการสอน
- การวัดผล ประเมินการเรยี น
2. การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนตามหลักสูตรท่พี ฒั นาขึ้น หมายถึง การเรยี นการสอนโดยใช้
วิธกี ารระดมสมอง คือการแบ่งกลุ่มนักเรยี นร่วมกันแสดงความคิดเห็นในการออกแบบงานประดษิ ฐท์ ่ี
ร่วมกันเสนอความคิดทีเ่ ป็นขอ้ ดี จุดเดน่ ของงานการออกแบบผลิตภัณฑท์ ่ีมโี ดยทว่ั ไป งานทีอ่ อกแบบนั้น
3
สามารถผลติ เปน็ ชนิ้ งานได้จริง ใชว้ สั ดุทเี่ หลอื ใชจ้ ริงตั้งเกณฑก์ ำหนดเวลาด้วยโดยต้ังเกณฑ์คะแนนสูง
สำหรบั กลมุ่ ทเ่ี สร็จกอ่ นตามลำดับ เปน็ การกระต้นุ ให้ผูเ้ รยี นใช้กระบวนการคดิ โดยตรง และมีความถกู ตอ้ ง
ครบตามเกณฑท์ ีก่ ำหนดเปน็ การกระตนุ้ สง่ เสริมให้เกิดความคดิ สร้างสรรคไ์ ด้เช่นกัน
3. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น วิชาการงานอาชพี เรอื่ งงานประดิษฐ์ หมายถงึ ความรู้ทางสตปิ ญั ญา
โดยพจิ ารณาจากคะแนนผลการสอบของนกั เรียน ทไี่ ดจ้ ากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วชิ า การงานอาชพี เรือ่ ง การผลิตภัณฑจ์ ากเศษวสั ดทุ ่ีเหลือใช้ที่ผู้วิจัยสรา้ งขนึ้ ในดา้ นความ รคู้ วามจำ
ความเข้าใจ
4. ความคดิ สร้างสรรคจ์ ากผลงานประดษิ ฐ์ หมายถงึ ผลงานทไี่ ด้จากการคดิ ทน่ี ำ ประสบการณ์
การณ์ ความรูเ้ ดิมออกแบบ ดัดแปลง แก้ปญั หา ปรับปรุงงาน เพือ่ สรา้ งสรรคง์ านในลักษณะการรเิ ริ่มข้ึนมาใหม่
ซ่ึงเปน็ ประโยชน์มากในงานประดิษฐ์ งานอาชีพตา่ งๆ ทไี่ ดผ้ ลผลิตจากการสร้าง วัดโดยการใชแ้ บบวัดความคิด
สร้างสรรค์จากผลงานประดิษฐ์ ที่ผู้วิจยั สร้างขึ้นตามหัวข้อ ดังต่อไปน้ี
- สภาพชิ้นงานมีการออกแบบเป็นงานใหม่ หรอื ดดั แปลงตลอดท้งั ชิ้นงาน
- สภาพชิ้นงานมีความประณตี กลมกลืนตลอดท้งั ช้นิ
- สภาพชิน้ งานมีความสวยงาม ไมม่ รี อยตำหนิตลอดทั้งชน้ิ งาน
- สภาพชน้ิ งานมคี วามมน่ั คง แข็งแรงทั้งชน้ิ งาน
5. ผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุเหลืองใชจ้ ากธรรมชาติ หมายถึง ผลงานจากการประดษิ ฐ์ใช้วัสดุที่เหลือใช้
ไม่ไดซ้ ้ือมาหรือเปน็ ของใหม่ นำมาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ประโยชน์ เป็นการมีสว่ นรว่ มในการลดปริมาณ
เศษวัสดุ ทีท่ ำให้เกิดสง่ิ แวดลอ้ มเปน็ พิษหรอื ลดจำนวนขยะทเี่ ป็นวัสดทุ ่ีเหลอื ใช้จากการใชง้ านแลว้ เชน่ เศษไม้
ใบตอง กะลามะพร้าว กระดาษ ขวด ถุงกระดาษ ฯลฯ
4
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ งข้อง
ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัย พัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การอาชีพและเทคโนโลยีวิชา
งานประดิษฐ์ ระดับมัธยมศกึ ษาปีที่ 1ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาคน้ คว้าจากเอกสาร และผลงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้องกับการ
พัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตร หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 กลุ่ม
สาระการอาชีพและเทคโนโลยี ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 วิชางานประดษิ ฐ์ช่าง ความคดิ สร้างสรรค์ ผลิตภณั ฑ์
จากวัสดุทเ่ี หลือใช้ และงานวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ ง
การพฒั นาหลกั สตู ร
การดำเนินการจัดการศกึ ษาให้มีเอกภาพ จำเป็นต้องมีการกำหนดหลักสูตรให้กบั ผเู้ รียน โดยหลักวิชา
นั่นมีทั้งหลักและกระบวนการพัฒนาหลักสูตรอย่างเป็นลำดับข้ั นให้สอดคล้องกับระบบบริหารการศึกษา
แนวนโยบาย แผนพัฒนาต่างๆ ของประเทศ เพ่อื ความถูกต้อง เหมาะสมสอดคล้องกบั สภาพการณ์ปัจจุบันกับ
ความคาดหวงั ในอนาคต หลักสูตรแตล่ ะหลักสูตรกวา่ จะไดม้ าซ่ึงเอกสารประกอบหลกั สตู ร นักพัฒนาหลักสูตร
จะต้องศกึ ษา เรยี นรู้ และดำเนินการตามหลักการ นำผลท่ีได้จากการศกึ ษาแตล่ ะประเดน็ มาสรุป ตัดสนิ ในการ
ปรับ ขยาย หรือสร้างหลกั สูตรข้นึ ใหม่ โดยใช้กระบวนการพฒั นาหลกั สตู ร ด้วยเหตทุ ีน่ ักพฒั นาหลักสูตรมีการ
ดำเนินงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค แม้กระทั้งในระดับโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหลักสูตรใน
ระดับใด ต่างก็จะมีหลักการและกระบวนการที่ไม่แตกต่างกันในรายระเอียด จะมีความแตกต่างกันบ้างเพียง
ขอบเขตและกว้างลกึ ของหลักสตู ร (วิชัย ประสิทิทธ์วิ ุฒิเวชช์ : 2542: 85)
1. ความหมายของการพฒั นาหลกั สตู ร
ความหมายของ “หลักสูตร” มีนักการศึกษาให้ความหมายไว้อย่างหลากหลายซึง่ ขึ้นอยู่กับหลักการ
พ้นื ฐานหรือกเกณฑท์ ่อี ธิบายความหมายของหลักสตู รดงั น้ี
( โอลิวา Oliva, 1992 : 8-9 ) ได้สรุปความหมายของหลักสูตรไว้ว่า คือแผนงานหรือ โครงการที่จัด
ประสบการณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้เรียน ภายใต้การดำเนินงานของโรงเรียน และทาปฏิบัติหลักสูตรประกอบด้วย
จำนวนของแผนการตา่ งๆ ที่เขยี นเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร มีขอบเขตกว้างขวางหลากหลาย เปน็ แนวทางของการ
จัดประสบการณ์การเรียนรูท้ ี่ต้องการ ดังนั่นหลักสูตรอาจเป็นหน่วย (Unit) เป็นรายวิชา (Course) หรือเป็น
รายวิชาย่อยต่างๆ (Sequence of course ) แผนงานหรอื โครงการทางการศึกษาดังกล่าว อาจจัดขึ้นได้ทั้งใน
และนอกชั้นเรียนหรือโรงเรียน (โซเวลล์ Sowell, 1996 : 5) มีผู้อธิบายความหมายของหลักสูตรไว้ว่าอย่าง
มากมาย เช่น หลักสูตรเป็นการสะสมความรู้ตั้งแต่เดิม เป็นวิธีการคิด เป็นประสบการณ์ที่ถูกกำหนดไว้เป็น
แนวทางในการประสบการณ์ เป็นแผนการจัดสภาพการเรียนรู้ เปน็ ความรู้คุณลักษณะของผเู้ รียน เป็นเน้ือหา
และกระบวนการ เป็นแผนการเรียนการสอน เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางผลลัพธ์ของการจดั การเรียนการสอน
และเป็นผลผลิตของระบบเทคโนโลยีเป็นต้น และอธิบายว่าเป็นเรื่องปกติที่นิยามความหมายของหลักสูตร
แตกต่างกันไป เพราะว่าบางคนให้ความหมายของหลักสูตรที่ระดับที่แตกต่างกัน หรือไม่ได้แยกระหว่าง
หลกั สตู รการจัดการเรียนการสอน แต่งอยา่ งไรก็ตามโซเวลล์ ไดส้ รปุ ว่า หลักสูตร คือ การท่จี ะสอนอะไรให้กับ
ผู้เรียน เป็นความหมายที่กว้างขวางที่รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร ทักษะและทัศนคติที่กำหนดไว้ให้แก่ผู้เรียนใน
โรงเรียน ( วชิ ยั วงษ์ใหญ่ 2544:5) กลา่ วว่า หลักสูตรหมายถงึ ประสบการณท์ ี่ทางโรงเรียนได้จัดให้กับผู้เรียน
ให้ผู้เรียนไดเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปในทางที่โรงเรียนปรารถนา และหลักสูตรที่ดีควรตอบสนองความ
ตอ้ งการ ความสนใจของผูเ้ รียนแต่ละตนเพอื่ นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน
5
2. การพัฒนาการหลักสตู ร
( ทาบา Taba, 1962 : 12 ) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตร คือ การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง
หลกั สตู รอันเดิมให้ได้ผลดยี ิ่งข้ึน ท้ังในดา้ นการวางจุดมงุ่ หมาย การจดั เนอ้ื หาวชิ า การเรียนการสอน การวัดผล
ประเมินผล และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุง่ หมายอนั ใหม่ที่วางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบ
กระเทือนทางด้านความคดิ และความรูส้ กึ นึกคิดของผเู้ กี่ยวขอ้ งทุกฝา่ ย
( ณรงค์ ก่องแกว้ 2541: 19) ให้ความหมายการพฒั นาหลกั สตู รว่า หมายถึง การปรับปรุงหลกั สูตรที่มี
อยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียนเป็นไปตาม
จุดมุ่งหมายท่ีวางไว้
3. แนวคิด ความสำคัญและรูปแบบของการพฒั นาหลักสูตร
จากแนวคิดของนักศึกษาเกีย่ วกบั การพัฒนาหลักสูตรพบว่า การพัฒนาจะเปน็ ระบบเชือ่ มโยงกันในมิตรต่างๆ
ดำเนนิ ไปอย่างราบรืน่ และมีประสิทธภิ าพ ความแตกต่างในรายละเอียด ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาหาแนวคิด ความสำคัญ
และรปู แบบการพฒั นาหลกั สตู รในการวจิ ยั ครัง้ นี้ ดังนี้
3.1 แนวคิดการพัฒนาหลักสตู รของไทเลอร์ (Tyler )
( ไทเลอร์ ,1949 : 1) ได้ให้แนวคิดการวางโครงร่างหลักสูตร โดยใช้วิธี Means – ends Approach
เป็นหลักการและเหตุผลในการสร้างหลักสูตรที่เรียกว่า “หลักการของไทเลอร์” ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการจัด
หลกั สูตรทีเ่ น้นการตอบคำถามท่ีได้เปน็ พื้นฐาน 4 ประการ ดงั น้ี กำหนดให้ผ้เู รยี น
3.1.1. มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง ที่สถาบันทางการศึกษาควรจัด ขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุ
จดุ มงุ่ หมายท่กี ำหนดไว้
3.1.2. จะจัดประสบการณท์ างการศึกษาอย่างไร จึงจะทำใหก้ ารสอนมปี ระสทิ ธภิ าพ
3.1.3. จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการศึกษาอย่างไร จึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถงึ
จดุ มงุ่ หมายท่ีกำหนดไว้
จากแนวคิดในการพัฒนาการหลกั สตู รของไทเลอร์ จดั เปน็ ลำดับขน้ั ดังน้ี (ชมพันธ์ กุญชร ณ อยุธยา,2540: 8)
ขนั้ ท่ี 1 การกำหนดจดุ มุ่งหมายของหลักสูตร เร่มิ จากการกำหนดจุดมุง่ หมายชั่วคราวโดยอาศัยข้อมูลจากแหล่ง
กำเนินที่จะเป็นพืน้ ฐานในการตดั สนิ ใจ 3 แหลง่ ดว้ ยกนั คอื
1. ศกึ ษาจากสังคม
2. ศกึ ษาจากผู้เรียน
3. ขอ้ เสนอแนะของผ้เู ช่ยี วชาญในเน้ือหาวชิ า
ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากท้งั 3 แหลง่ นำไปกลั่นกรอง เป็นจดุ มงุ่ หมายขั้นสุดทา้ ยหรอื จุดม่งุ หมายถาวร ที่จะนำไปใช้ในการ
พฒั นาหลกั สตู รตอ่ ไป
ขั้นที่ 2 การเลือกประสบการณ์การเรยี นในการวางโครงสร้างหลกั สตู ร ไทยเลอร์ได้ต้งั คำถามวา่ จะเลือก
ประสบการณ์การเรยี นอยา่ งไร จึงจะช่วยใหบ้ รรลถุ ึงจดุ มงุ่ หมายที่กำหนดไว้ จุดมงุ่ หมายท่รี ะบพุ ฤตกิ รรมและ
เนอื้ หานน่ั เป็นจดุ มงุ่ หมายปลายทางที่ต้องการไปถงึ แตป่ ระสบการณเ์ รียนทจ่ี ดั ขนึ้ เพือ่ เกิดการเรยี นรู้ เปน็ วิธที ่ี
ทำให้บรรลุถงึ จุดหมายปลายทาง
ขัน้ ท่ี 3 การจดั ประสบการณก์ ารเรยี น ในการจัดประสบการณใ์ ห้เป็นหนว่ ยจะต้องมกี ารสำรวจความสมั พนั ธ์
ทางด้านเวลาเนื้อหา โดยมเี กณฑ์ ในการประสบการณก์ ารเรียนอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ดงั นี้
1. ความตอ่ เน่ือง
2. การเรียงลำดบั ขั้นตอน
3. การบรู ณาการ
6
ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผล เปน็ ขนั้ ตอนสุดทา้ ยของแนวคดิ ในการจดั หลกั สูตรของไทเลอร์ เปน็ ขั้นท่ีให้ผวู้ างแผน
หลักสตู รรูว้ ่า ประสบการณก์ ารเรยี นท่จี ัดข้ึนบรรลตุ ามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไวเ้ พยี งใด
รปู แบบการพฒั นาหลกั สูตรของไทเลอร์ (Tyler) สรปุ เป็นข้ันตอนได้ ดังแสดงในภาพท่ี 1
ขอ้ เสนอแนะของนกั วชิ าการ การศกึ ษาสังคม การศกึ ษาตัวผ้เู รยี น
จิตวทิ ยาการเรียนรู้ จดุ มุง่ หมายชั่วคราว ปรัชญา
จดุ มุ่งหมายสุดทา้ ย
เลอื กประสบการณเ์ รียน
การจดั ประสบการณก์ ารเรยี น
การประเมนิ ผล
ภาพท่ี 1 ลำดบั ขนั้ ตอนการพัฒนาหลกั สตู รของไทเลอร์
การเรยี นการสอน
( กรมวิชาการ : 2545 ,15-24 ) กำหนดองค์ประกอบของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2544
ประกอบด้วย หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง เวลาเรียน แนวดำเนินการการวัดผล ประเมินผล และการ
ติดตามผล จากขอ้ มูลของนกั เรยี นศึกษาท่ไี ด้กลา่ วไว้ข้างต้น จงึ สรุปไดว้ ่าหลักสตู รควรมีองค์ประกอบ ดังน้ี
1. หลกั การ ท่ีเป็นตัวกำหนดความชดั เจนของการจดั การศกึ ษาตอ้ งการอะไร มลี ักษณะอยา่ งไร โดยยดึ
เปน็ แนวทีม่ คี วามหมายอย่างกวา้ งไว้
2. จดุ มุ่งหมายของหลกั สตู ร คอื สงิ่ ทแี่ สดงให้เหน็ วา่ เป้าหมายของหลักสตู รพัฒนาผู้เรยี นนนั่ มีสง่ิ
ใดบา้ งเหมาะสมที่จะสร้างให้เปน็ คนมีคุณภาพเป็นมนุษยท์ ีส่ มบรู ณ์
3. โครงสรา้ งของหลักสูตร คือ เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ กจิ กรรมทจ่ี ดั ให้กบั ผู้เรยี นได้ เรียนรู้ทั้งความรู้
ทักษะ เจตคตทิ ี่เปน็ มาตรฐานของการเรยี นรไู้ ปสจู่ ดุ มงุ่ หมายของหลักสูตรทกี่ ำหนดไว้กำหนดเวลาเรยี น
4. การประเมินผลและติดตามผล โดยนำข้อมลู ท่ไี ด้จากการนำหลักสตู รไปใช้ หาขอ้ มูลแก้ไข ปรับปรุง
จนไดห้ ลักสูตรทม่ี คี ณุ ภาพสมบรู ณ์
7
หลกั สูตร การศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน 2544 กลุม่ สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี
การพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาให้เป็นคนสมบูรณ์และสมดุลทั้งด้าน
จิตใจ ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ทั้งด้าน
วิชาการ วชิ างาน และวิชาชวี ิต เพื่อให้สามารถดำรงชวี ติ อยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสุข พง่ึ ตนเองได้อยู่ร่วมกับ
ผ้อู ื่นอย่างสร้างสรรค์ พัฒนาสังคมและส่งิ แวดล้อม
กลุ่มสาระการเรยี นรู้กล่มุ สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี มุง่ พฒั นาใหม้ ที ักษะในการทำงาน รกั การ
ทำงาน ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอน การวางแผนออกแบบการทำงาน
สามารถนำเอาความรู้ เทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ และประยุกต์ใช้ในการทำงาน พัฒนางาน
ผลิตภณั ฑ์ ตลอดจนวธิ กี ารใหมๆ่ เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพของงานแลการทำงาน
1. ความสำคญั ธรรมชาติ และลักษณะเฉพาะ
กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับงาน อาชีพและเทคโนโลยี มีทักษะการำงาน ทักษะการจัดการ สามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ใน
การทำงานอยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม คุ้มค่าและมีคุณธรรม สร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือวิธีการใหม่ สามารถ
ทำงานเปน็ หมู่คณะ มนี ิสยั รักการทำงานเหน็ คุณค่าและมีเจตคตทิ ่ีดีต่องาน ตลอดจนมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและ
ค่านิยมที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ความขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด และอดทน อันจะนำไปสูก่ ารเรียนสามรถช่วยเหลือ
ตนเองและพึ่งตนเองได้ ตามพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสขุ
ร่วมมอื และแข่งขันในระดับสากลในบรบิ ทของสงั คมไทย
2. วิสยั ทศั น์
วินัยทัศน์ของกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นกลุ่มสาระที่เน้นกระบวนการทำงานและการ
จัดการอย่างเป็นระบบ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะการออกแบบงาน และการทำงานอย่างมีกลยุทธ์
โดยใช้กระบวนการเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนนำเทคโนโลยีมาใช้และประยุกต์ใช้ในการ
ทำงานรวมทั้งการสร้าง พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการใหม่ๆ เน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและ
พลังงานอย่างประหยัดคุ้มค่า เพื่อให้บรรลุวิสยั ทัศน์ดังกล่าวกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยีจึงกำหนด การ
เรียนรู้งาน กระบวนการและการแก้ปัญหาเป็นสำคัญบนพื้นฐานของการใช้หลักการและทฤษฎีเป็นหลักการ
ทำงานและการแก้ปัญหา งานที่นำมาฝึกฝนเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของกลุ่มนั่น เป็นงานเพื่อการดำรงชีวิตใน
ครอบครัวและสังคม และงานเพื่อการประกอบอาชีพซึ่งงานท้ัง 2 ประเภทนี้ เมื่อผู้เรียนได้รบั การฝึกฝนและ
ปฏิบัติตามกระบวนการเรียนรู้ ของกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยีแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการปลูกฝังและ
พฒั นาให้มคี ุณภาพและศลี ธรรม เรียนรจู้ ากการทำงานและการแกป้ ัญหาของกลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี
จึงเป็นการเรยี นรทู้ ่ีเกิดจาการบรู ณการ ความรู้ ทักษะ และความดีทห่ี ลอมรวมกนั จนก่อให้เกดิ เป็นคุณลักษณะ
ของเรยี น ท้งั ดา้ นคุณภาพและศีลธรรมตามมาตรฐานการเรยี นรู้ทก่ี ำหนด
3. คณุ ภาพของผู้เรยี น
กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมเพื่อให้เป็นคนดี มีความรู้
ความสามารถ โดยมีคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ ดังนี้
มีความรู้ เข้าใจเก่ียวกับการดำรงชวี ิตและครอบครัว การอาชีพ การออกแบบ และเทคโนโลยีสารสนเทศ และ
เทคโนโลยีเพ่อื การทำงานและอาชีพ มีทักษะในการทำงาน การประกอบอาชีพ การจดั การ การแสวงหาความรู้
เลือกใช้เทคโนโลยใี นการทำงาน สามารถทำงานอย่างมกี ลยุทธ์ สรา้ งและพัฒนาผลิตภณั ฑห์ รอื วธิ กี ารใหมๆ่
8
มีความรับผดิ ชอบ เสียสละ และมีวนิ ยั ในการทำงาน เห็นคุณคา่ ความสำคญั ของงานและอาชพี สุจริต ตระหนัก
ถงึ ความสำคญั ของสารสนเทศ การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม และพลงั งาน
4. เมอื่ จบแต่ละช่วงชั้น ผู้เรยี นตอ้ งมีความสามารถดงั นี้
ชว่ งชน้ั 3 เมอื่ จบ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1-3 มที กั ษะการทำงานอาชพี สจุ รติ มีทกั ษะการจัดการทำงานอย่าง
เป็นระบบ และมีกลยุกต์เทคโนโลยีและสารสนเทศไดเ้ หมาะสม ถูกต้องและมีคุณธรรม สามารถคิดออกแบบ
สร้างและพฒั นาผลิตภัณฑห์ รือวธิ กี ารใหม่ๆ ในการทำงาน ด้วยความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา ขยัน ชอ่ื สัตย์ อด
ออม มงุ่ ม่ัน อดทน เอื้อเฟ้อื เสียสละ ใชพ้ ลังงานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมอย่างคมุ้ ค่าและถูกวธิ ี
5. โครงสร้าง
เพื่อให้จัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดมุงหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ให้
สถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรสถานศึกษา จึงกำหนดโครงสร้างของหลักสูตร
การศึกษาขัน้ พื้นฐานดังน้ี
5.1 ระดับชว่ งชน้ั
กำหนดหลักสูตรเป็น 4 ช่วงชัน้ ตามพฒั นาการพัฒนาการของผ้เู รยี นดงั น้ี
ช่วงช้นั ท่ี 1 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 – 3
ช่วงชน้ั ที่ 2 ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 – 6
ชว่ งช้ันที่ 3 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3
ชว่ งชั้นท่ี 4 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6
5.2 สาระการเรยี นรู้
กำหนดสาระการเรียนร้ตู ามหลักสตู ร ซงึ่ ประกอบดว้ ยองคค์ วามรู้ ทกั ษะหรือกระบวนการการเรยี นรู้
และคณุ ลักษณะหรอื คา่ นิยม คุณธรรม จรยิ ธรรมของผู้เรยี นเปน็ 8 กลุ่ม ดงั นี้
1. ภาษาไทย
2. คณติ ศาสตร์
3. วทิ ยาศาสตร์
4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
5. สุขศกึ ษาและพลศึกษา
6. ศลิ ปะ
7. การงานอาชพี และเทคโนโลยี
8. ภาษาต่างประเทศ
6. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
หลักสตู รการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน กำหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นร้เู ป็นเกณฑ์ในการกำหนดคุณภาพ
ของผ้เู รยี นเมอื่ เรียนจบการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ซึ่งกำหนดไวเ้ ฉพาะสว่ นทจ่ี ำเปน็ สำหรับพื้นฐานในการดำรงชวี ติ ให้
มีคุณภาพ สำหรับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตาม ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน
สถานศกึ ษาสามารถพฒั นาเพิ่มได้ สาระและมาตรฐานการเรยี นร้ขู น้ั พน้ื ฐานกลุม่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี
มีดงั ต่อไปนี้
สาระที่ 1 : การดำรงชวี ิตและครอบครัว
9
มาตรฐาน ง 1.1 : เขา้ ใจ มีความคดิ สร้างสรรค์ มีทักษะ มีคุณธรรม มีจติ สำนกึ ในการใช้พลงั งาน ทรัพยากรและ
สิ่งแวดล้อมในการทำงานเพื่อ การดำรงชีวิตและครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับงานบ้าน งานเกษตร งานประดิษฐ์
และงานธุรกิจ
มาตรฐาน ง 1.2 : มีทักษะ กระบวนการทำงาน และการจัดการ การทำงานเป็นกลมุ่ การแสวงหาความรู้
สามารถแกป้ ญั หาในการทำงาน รักการทำงาน และเจตคดิ ทด่ี ีตอ่ งาน
สาระท่ี 2 : การอาชีพ
มาตรฐาน ง 2.1 : เข้าใจ ทักษะ มปี ระสบการณ์ในงานอาชีพสุจรติ มคี ณุ ธรรม มีเจตคติทีด่ ีต่องานอาชพี เหน็
แนวทางในการประกอบอาชพี สจุ ริต
สาระที่ 3 : การออกแบบเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 3.1 : เข้าใจธรรมชาติและกระบวนการของเทคโนโลยี ใช้ความรู้ภูมิปัญญา จินตนาการและ
ความคิดอย่างมีระบบในการออกแบบ สร้างสิ่งของเครื่องใช้ วิธีการเชิงกลยุทธ์ตามกระบวนการเทคโนโลยี
ในทางสรา้ งสรรค์ตอ่ ชวี ติ สังคม สง่ิ แวดลอ้ ม โลกของงานและอาชีพ
สาระที่ 4 : เทคโนโลยีสารสนเทศ
มาตรฐาน ง 4.1 : เขา้ ใจ เห็นคุณคา่ และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลการเรยี นรู้ การ
ส่ือสาร การแก้ปญั หา การทำงาน และอาชีพอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ประสิทธิผลและมีคณุ ธรรม
สาระท่ี 5 : เทคโนโลยีเพอ่ื การทำงานและอาชพี
มาตรฐาน ง 5.1 ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน การผลิต การออกแบบ การแก้ปัญหา การสร้างงาน การสร้าง
อาชีพสุจรติ อย่างมคี วามเขา้ ใจ มกี ารวางแผนเชิงกลยุทธ์และมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์
ความคดิ สร้างสรรค์
ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ปน็ ความคดิ ท่แี ปลกหรอื แตกต่างจากความคิดโดยทว่ั ไป มชี ่อื เรียกอกี อย่างหนงึ่ ว่า
ความคดิ อเนกนยั ( วนิช สุธารัตน์, 2547:181) มีนักการศกึ ษาได้ใหค้ วามหมายองคป์ ระกอบ ดังตอ่ ไปน้ี
Guilford (1956 : 128) ไดศ้ ึกษาเรือ่ งความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงกลา่ วไวว้ า่ ความคิดสร้างสรรค์
ประกอบด้วยลกั ษณะ ดงั ต่อไปนี้
1. ความคล่องแคล่วในการคิด คอื ความสามารถของบุคคลในการหาคำตอบได้อย่างคลอ่ งแคลว่
รวดเรว็ และมีคำตอบในปรมิ าณที่มากในเวลาจำกัด
2. ความคดิ ยืดหยุน่ ในการคดิ คอื ความสามารถของบุคคลในการคดิ หาคำตอบไดห้ ลายประเภทและ
หลายทิศทาง
3. ความคดิ ริเรม่ิ คือ ความสามารถของบคุ คลในการคดิ หาส่งิ แปลกใหม่และเปน็ คำตอบทไี่ ม่ซำ้ กับผู้อ่นื
4. ความคิดละเอียดลออ คือ ความสามารถในการกำหนดรายละเอยี ดของความคิดเพ่ือบ่งบอกถึงวธิ ี
สร้างและการนำไปใช้
หลักความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอรด์ มุ่งไปทีค่ วามสามารถของบคุ คลที่จะคดิ ได้ รวดเรว็ กวา้ งขวาง และมี
ความคิดรเิ ร่ิม ถ้ามสี ง่ เรา้ มากระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความคิดนั้นๆ สงิ่ เรา้ ท่จี ะมากระตนุ้ ใหเ้ กิดความคิด มีอยู่ 4 ชนิด
1. รูปภาพ
2. สญั ลักษณ์
3. ภาษา
4. พฤตกิ รรม
10
กิลฟอรด์ กลา่ วโดยสรุปว่า ความคดิ สรา้ งสรรค์เปน็ ความสามารถดา้ นสมองท่ีจะคิดไดห้ ลายแนวทางหรือ
คิดไดห้ ลายคำตอบ เรียกว่า การคิดแบบอเนกนัย
Torrance (1962 : 16) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถของบุคคลในการคิดสร้างสรรค์
ผลิตผล หรือสง่ิ แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่รูจ้ กั มาก่อน ซ่ึงสิง่ ตา่ งๆ เหลา่ นีอ้ าจจะเกดิ จากการรวมความรู้ตา่ งๆ ท่ีได้รับ
จากประสบการณ์แลว้ เช่ือมโยงกับสถานการณ์ใหมๆ่ สิ่งที่เกิดข้ึนแต่ไม่จำเป็นสิ่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง ซึ่งอาจ
ออกมาในรูปของผลผลิตทางศิลปะ วรรณคดี วิทยาศาสตร์
Wallach and Kogan (1965 : 13-20) ให้ความหมายของความคิดสร้างสรรคว์ า่ หมายถงึ ความคิดโยง
สมั พนั ธ์ (Association) คนทม่ี คี วามคดิ สร้างสรรค์ คอื คนท่สี ามารถจะคดิ อะไรไดอ้ ย่างสมั พนั ธ์เป็นลูกโซ่
อารี พันธ์มณี (2537 : 25) ไดก้ ลา่ วถึงความคิดสรา้ งสรรค์วา่ เปน็ กระบวนการทางสมองทคี่ ดิ ในลกั ษณะ
อเนกนยั อนั นำไปสู่การคดิ พบสิง่ แปลกใหม่ดว้ ยการคิดดัดแปลง ปรุงแต่งจากความคดิ เดมิ ผสมผสานกันให้เกิด
สิ่งใหม่ ซึ่งรวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้นพบสิ่งต่างๆ ตลอดจนวิธีการคิด ทฤษฎีหลักการได้สำเร็จ ความคิด
สรา้ งสรรค์จะเกดิ ข้ึนได้มใิ ชเ่ พยี งแต่คิดในสิ่งที่เป็นไปได้ หรือส่งิ ท่เี ปน็ เหตผุ ล เพียงอยา่ งเดยี วเทา่ น้นั หากแต่คิด
จินตนาการก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งท่ีจะก่อให้เกดิ ความแปลกใหม่ แต่ต้องควบคู่กันไปกับ ความพยายามที่จะสร้าง
ความคิดฝันหรือจนิ ตนาการให้เปน็ ไปได้หรือเรียกว่าเป็นจนิ ตนาการประยกุ ต์นั้นเอง จึงจะทำใหเ้ กิดผลงาน
สมศักดิ์ ภ่วู ภิ าดาวรรธณ์ (2537 : 56) ไดใ้ หค้ วามหมายของความคดิ สร้างสรรค์ไว้ 2 ลักษณะ
ดังตอ่ ไปน้ี
1. ความคิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นเร่อื งทส่ี ลับซบั ซ้อน ยากแก่การให้คำจำกัดความทีแ่ นน่ อนตายตัว
2. ถ้าพจิ ารณาความคิดสรา้ งสรรค์ในเชงิ ผลงาน ผลงานนนั้ ตอ้ งแปลกใหมแ่ ละมคี ณุ ค่า
กล่าวคือ ใช้ได้โดยมีคนยอมรับ ถ้าพิจารณาความคิดสร้างสรรค์ในเชิงกระบวนการคือการเชื่อมโยง
สัมพันธ์สิ่งของหรือความคิดที่มีความแตกต่างกันมากเข้าด้วยกัน ถ้าพิจารณาความคิดสร้างสรรค์เชิงบุคคล
บุคคลนัน้ ตอ้ งเป็นคนที่มีความแปลก เปน็ ตัวของตัวเอง เปน็ ผ้ทู ่ีมคี วามคดิ คล่อง มคี วามยืดหยุน่ และสามารถให้
รายละเอียดในความคดิ นัน้ ๆ ได้
สรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความสามารถทางสมองของบุคคลที่จะคิดได้หลายทิศหลายทาง
หรือคดิ ได้หลายคำตอบ และความสามารถในการมองเห็นความสัมพนั ธ์ของสงิ่ ต่างๆโดยมสี ่งิ เร้าเป็นตัวกระตุ้น
ทำใหเ้ กิดความคิดใหม่ต่อเนื่องกนั ไป และความคดิ สรา้ งสรรค์น้ีอาจเปน็ ความคิดใหม่ผสมผสานกัประสบการณ์
กไ็ ด้
1. องค์ประกอบความคดิ สร้างสรรค์
องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของ
กิลฟอร์ด (Guilford. 1967 : 62) ซึง่ เชอื่ วา่ ความคิดสรา้ งสรรค์เปน็ ความสามารถทางสมองทค่ี ดิ ไดอ้ ย่างซับซ้อน
กว้างไกล หลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกนัย (Divergent thinking) ซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเร่ิม
(Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดละเอียดลออ
(Elaboration) Guilford (1967 : 145-151) ไดใ้ หร้ ายละเอียดเกยี่ วกบั องค์ประกอบของความคดิ สรา้ งสรรค์ไว้
ดังนี้
1. ความคดิ รเิ ริม่ (Originality) หมายถึง ความคิดแปลกใหมไ่ ม่ซ้ำกันกบั ความคิดของคนอนื่ และ
แตกตา่ งจากความคดิ ธรรมดา ความคิดริเริม่ อาจเกิดจากการคดิ จากเดมิ ที่มอี ยู่แล้วใหแ้ ปลกแตกตา่ งจากท่ีเคย
เหน็ หรอื สามารถพลกิ แพลงใหก้ ลายเปน็ สงิ่ ทีไ่ มเ่ คยคาดคิด ความคดิ รเิ ริ่มอาจเปน็ การนำเอาความคิดเกา่ มา
ปรงุ แตง่ ผสมผสานจนเกดิ เป็นของใหม่ ความคิดรเิ ร่ิมมีหลายระดับซงึ่ อาจเป็นความคิดครั้งแรกท่เี กิดข้ึนโดยไมม่ ี
ใครสอนแม้ความคิดนน้ั จะมีผอู้ ่นื คิดไว้ก่อนแลว้ กต็ าม
11
2. ความคดิ คล่องแคล่ว (Fluency) หมายถงึ ปรมิ าณความคิดทีไ่ มซ่ ำ้ กนั ในเรือ่ งเดยี วกนั โดยแบง่
ออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ี
2.1 ความคลอ่ งแคลว่ ทางดา้ นถอ้ ยคำ (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่าง
คล่องแคล่ว
2.2 ความคดิ คล่องแคล่วทางดา้ นการโยงสมั พันธ์ (Associational Fluency) เป็นความสามารถที่
จะคิดหาถ้อยคำท่ีเหมือนกนั ได้มากท่ีสุดเทา่ ที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
2.3 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถในการใช้
วลหี รือประโยค กล่าวคอื สามารถทจ่ี ะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อใหไ้ ด้ประโยคท่ีตอ้ งการ
2.4 ความคลอ่ งแคลว่ ในการคิด (Ideational Fluency) เปน็ ความสามารถทจ่ี ะคิดค้นสิ่งท่ีต้องการ
ภายในเวลาที่กำหนด เชน่ ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอฐิ ให้ได้มากทส่ี ุดภายในเวลาทก่ี ำหนดซึง่ อาจเป็น 5
นาที หรือ 10 นที
3. ความคิดยืดหยนุ่ (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรอื แบบของการคดิ แบง่ ออกเป็น
3.1 ความคิดยืดหยนุ่ ท่ีเกิดข้ึนทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถที่จะพยายาม
คิดไดห้ ลายทางอยา่ งอสิ ระ ตัวอย่างของคนท่ีมีความคิดยดื หยนุ่ ในดา้ นนจี้ ะคดิ ไดว้ ่าประโยชน์ของหนงั สอื พิมพม์ ี
อะไรบ้าง ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อ
โฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ ในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้
ขา่ วสาร เทา่ น้นั
3.2 ความคดิ ยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถงึ ความสามารถในการ
ดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน ซึ่งมีประโยชนต์ ่อการแก้ปัญหา ผู้ที่มีความ
ยืดหยุ่นจะคดิ ดัดแปลงไดไ้ ม่ซำ้ กัน
4. ความคดิ ละเอียดลออ (Elaboration) หมายถงึ ความคดิ ในรายละเอียดเปน็ ขัน้ ตอน สามารถอธบิ าย
ให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดลออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่ง
ขยายความคดิ ครง้ั แรกให้สมบูรณ์ข้นึ
จากทก่ี ลา่ วมาข้างต้นสรุปได้วา่ ความคิดสร้างสรรค์เปน็ การคิดอเนกนัย ทีป่ ระกอบด้วยความคิดริเริ่ม
ความคลอ่ งแคล่วในการคิด ความยดื หยุ่นในการคดิ และความคดิ ละเอยี ดลออ
สำหรับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์มีส่วนสำคัญ เช่นเดียวกับความคิดสร้างสรรค์
ทัว่ ไปซึ่ง อารี รงั สินนั ท์ (2527 : 24-34) อธิบายองค์ประกอบของความคิดสรา้ งสรรคไ์ ว้โดยสรุปดังน้ี
1. ความคิดริเริ่ม หมายถึง ลักษณะความคิดแปลกใหม่แตกต่างความคิดธรรมดาหรือความคิดง่ายๆ
ความคิดริเรมิ่ ท่เี รยี กวา่ Wild Idia เป็นความคดิ ท่เี ปน็ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม ความคดิ รเิ ร่มิ เป็นลักษณะ
ความคิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นความคิดที่จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการผสมกับเหตุผลแล้วหาทางทำให้
เกิดผลงาน ผ้ทู ่ีมคี วามคิดริเร่ิมเปน็ คนกล้าคิด กลา้ แสดงออก พร้อมทง้ั กบั ทดลอง ทดสอบความคดิ นน้ั อยู่เสมอ
2. ความคล่องตัว หมายถึง ปริมาณความคิดท่ีไม่ซ้ำกันเม่ือตอบปัญหาเรื่องเดียวกันความคล่องในการ
คิดนี้มคี วามสำคญั ต่อการแก้ปญั หาหลายๆ วิธี และต้องการนำวิธกี ารเหลา่ นนั้ มาทดลองจนกว่าจะพบวิธีการท่ี
ถกู ต้อง
3. ความคิดยืดหยุน่ หมายถงึ ประเภท หรือแบบของความคิด แบ่งออกเป็น
3.1 ความคิดยืดหยุ่น ที่เกิดขึ้นทันที เป็นความสามารถในการคิดอย่างอิสระให้ได้คำตอบหลาย
แนวทางในขณะทคี่ นทั่วไปจะคิดไดแ้ นวทางเดยี ว
12
3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางการดัดแปลง เป็นความสามารถในการดัดแปลง ของสิ่งเดียวให้เกิด
ประโยชน์หลายดา้ น
4. ความคดิ ละเอยี ดลออ เป็นลักษณะของความพยายามในการใช้ความคิด และประสานความคิดต่างๆ
เข้าดว้ ยกนั เพื่อให้เกิดความสำเรจ็
ดงั นั้นองคป์ ระกอบของความคดิ สรา้ งสรรคป์ ระกอบดว้ ยทฤษฎีเก่ยี วกบั สตปิ ญั ญาและความคิด แต่ท่ีจะใช้
เป็นแนวคิดในการศึกษาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์มี 3 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิล
ฟอร์ด ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ และทฤษฎีโมเดล ทฤษฎีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของความคิด
สร้างสรรค์ดังกล่าวมาแลว้ คือ
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford. 1956 : 53) ได้แบ่งสมรรถภาพทางสมอง
ออกเปน็ 3 มติ ิ คือ
1. เนื้อหาที่คิด (Content) หมายถึง สิ่งเร้าหรือข้อมูลต่างๆ ที่สมองรับเข้าไปคิดมี 4 ประเภท ได้แก่
ภาพ สัญลักษณ์ ภาษา และพฤตกิ รรม
2. วธิ ีการคิด (Operation) หมายถึง ลกั ษณะกระบวนการทำงานของสมองแบบต่างๆ มี 5 แบบ ได้แก่
ความรู้ความเข้าใจ ความจำ การคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) การคิดแบบอเนกนัย และการ
ประเมนิ ผล
3. ผลของการคิด (Product) เป็นผลของกระบวนการจัดกระทำของความคิดกับข้อมูลเนื้อหา ผลิตผล
ของความคดิ ออกมาเป็นรูปแบบตา่ งๆ การแปลงรูป และการประยกุ ตจ์ ากแบบทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญา
ของกิลฟอร์ดนี้
จะเห็นว่าองค์ประกอบส่วนหนึ่งในมิตทิ ี่ว่าด้วยการคิดแบบอเนกนัยมีความสัมพันธ์โดยตรงกบั ความคิด
สร้างสรรค์ และองค์ประกอบส่วนหนึ่งในมิติที่ว่าด้วยผลของคิดที่เรียกว่า การแปลงรูปเป็นส่วนที่แสดงถึง
ความคดิ
2. การระดมสมอง
วนิช สธุ ารตั น์ (2547:265-266) กลา่ วว่า การระดมสมอง (Brain Storming) เป็นวธิ ีการระดมสมองที่
ออเลกซ์ ออสบอร์น คิดขึ้นในปี ค.ศ. 1957 โดยมีหลักการอยู่ 4 ข้อ คือ แนวทางการระดมสมอง
(Brainstorming) อเลก็ ซ์ ออสบอร์ อธบิ ายว่า หลกั สำคัญมีอยู่ 2 อยา่ ง คือ
อย่าเพิ่งตัดสิน และ เน้นปริมาณ สาเหตุที่อย่าเพิ่งตัดสิน เพราะความคิดในการตัดสิน จะปิดกั้น
ความคิดสร้างสรรคไ์ มใ่ ห้เกิดขึ้น ดังน้ันอย่าเพ่ิงคิดวา่ ส่งิ ท่ีคิดถูกหรอื ผิด เป็นไปได้หรือไม่ ส่วนการเน้นปริมาณ
เนอื่ งมาจากปรมิ าณความคิดก่อให้เกดิ คุณภาพ ยิ่งมไี อเดียมาก กจ็ ะทำให้มที างเลือกในการแก้ไขปัญหาเพ่ิมข้ึน
ด้วย และเราสามารถคดั กรองใช้ทางเลอื กที่ดีทส่ี ดุ มคี ุณภาพสูงสดุ
กฎพืน้ ฐาน 4 ประการ ในการระดมสมอง
1. มุ่งเน้นไปทป่ี ริมาณย่ิงปริมาณความคดิ มีมาก โอกาสทจ่ี ะแกไ้ ขปญั หาไดส้ ำเร็จกส็ งู ตามไปดว้ ย
2. หยดุ วิจารณก์ ฎข้อน้ีมีความสำคญั มาก ถอื เป็นหวั ใจของการระดมสมองเลยทีเดียว คือ ใหร้ ะงับการ
วิจารณ์เอาไว้ก่อน โดยทุ่มเทไปทก่ี ารขยายและผลติ ความคิด เพื่อให้ผู้เข้ารว่ มระดมสมองรู้สึกเป็นอิสระในการ
แสดงความคิดที่แปลกใหมไ่ มใ่ ช่ใครคดิ อะไรขนึ้ มาหน่อย กบ็ อกวา่ เปน็ ไปไมไ่ ดบ้ ้าง เร่ืองน้ที ำไมไ่ ดบ้ า้ ง
3. เปดิ รับความคดิ แปลกใหม่การคน้ หาความคดิ ทีด่ ี จำเปน็ จะตอ้ งเปิดรับความคิดที่แปลกจากท่ีเคยมี
มา ความคดิ ซงึ่ เกดิ ขึ้นจากมุมมองใหม่ ๆ
13
4. รวมและพัฒนาความคิดนำรายการความคิดที่ได้มา ไปพัฒนาต่อยอดผสมผสานกัน จนกระทั่ง
กลายเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เทคนิค Brainstorming จะนำมาใช้หลังจากที่มีการ
ระบปุ ัญหาอยา่ งชดั เจน โดยใช้ในการสรา้ งความคดิ เพื่อแก้ไขปญั หาที่เฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างขั้นตอนการระดมสมอง
1. กำหนดขอบเขตปัญหา
2. แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลมุ่ ผรู้ ะดมสมอง กลุ่มผปู้ ระเมินความคดิ
3. จัดทำเอกสารท่ีระบถุ งึ ขอบเขตของปัญหาและตวั อยา่ งแนวทางแกไ้ ข สง่ ถึงผู้เข้ารว่ มประชมุ ทุกคน
ไม่น้อยกวา่ 2 วันกอ่ นประชมุ
4. เรมิ่ ประชุม โดยกอ่ นประชมุ ใหอ้ ธิบายกฎระเบียบของการระดมสมองใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมเข้าใจอย่างชัดเจน
5. เขยี นปญั หาลงบนกระดาน หรอื ฉายขนึ้ จอโปรเจคเตอร์ ใหท้ ุกคนเหน็
6. ใหผ้ รู้ ะดมสมอง เสนอความคิด โดยเร่มิ จากผทู้ ี่ยกมือกอ่ น แตล่ ะท่านควรเสนอความคดิ แค่คนละ
อย่างต่อการนำเสนอ 1 ครั้ง เพอื่ เปดิ โอกาสให้ทกุ คนได้เสนอความคิดจนครบ
7. ทำการบนั ทกึ ความคดิ ทั้งหมดท่ีได้
8. เม่ือผา่ นไป 30 นาที ใหท้ กุ คนหยดุ เสนอความคิด
9. นำความคิดทั้งหมดท่ีได้มานำเสนอใหก้ ลมุ่ ประเมนิ ความคดิ เลอื กความคิดท่ีดที ีส่ ุด
10. สง่ ผลการเลอื กจากกล่มุ ประเมนิ ใหก้ ล่มุ ทรี่ ะดมสมองอกี ครง้ั และ ขอให้พิจารณาว่ามสี ง่ิ ใดทคี่ วร
จะเพิ่มเติมเข้าไปอกี หรือไม่
11. นำความคิดทเ่ี ลือกแลว้ สง่ ตอ่ ใหก้ บั บุคคลท่ีรับผดิ ชอบในการนำไปใช้
การระดมสมอง เป็นอีกเทคนิคที่น่าสนใจในการนำมาใช้สร้างชุดความคิดเพ่ือแก้ไขปัญหา ซึ่งวิธีการ
ข้างตน้ เป็นเพียงตัวอย่างของรูปแบบหนง่ึ ในการใช้เทคนิคระดมสมองเท่าน้นั เพราะการระดมสมองมีการแตก
รปู แบบออกเปน็ หลากหลายประเภทมาก เชน่
Group passing technique ที่ให้ผู้ร่วมระดมสมองคนแรกเขียนความคดิ ใสก่ ระดาษ แล้วส่งตอ่ ไปยัง
คนถัดไป จนกระทั่งกระดาษท่ีเขยี นความคดิ วนกลับมายังคนแรกทีเ่ ขยี น จึงคอ่ ยนำไอเดยี ท้งั หมดมาคดั เลอื กไป
ใช้ Individual brainstorming เป็น การระดมสมองคนเดียว ทำได้โดยเขียนไอเดียลงในกระดาษไปเรื่อย ๆ
หรือ เขียนเป็น mind map หรือ พูดอย่างอิสระ อยากพูดอะไรก็พูด จากนั้นก็นำข้อมูลทั้งหมดที่ออกมาไป
พจิ ารณาวา่ มีสงิ่ ใดท่ีเปน็ ประโยชน์นำไปใชไ้ ด้บา้ งหากท่านกำลังอยู่ในสภาวะท่ีรู้แลว้ ว่าปัญหา คอื อะไร แต่นึก
ไม่ออกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยวธิ ีใด ลองนำเทคนิคการระดมสมอง (Brainstorming) ไปใช้ บางทีอาจทำให้
ทา่ นสามารถแกไ้ ขปญั หาที่คดิ ไม่ตกอยใู่ นขณะนไ้ี ด้
ผลิตภณั ฑ์จากวัสดุเหลือใช้
ผลิตภัณฑ์จากวัสดุที่เหลอื ใช้ มีการประดิษฐ์ ทำขึ้นมาได้โดยท่ัวไปในลักษะใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้
ทักษะวิชาช่าง ทักษะฝมี ือทเี่ กิดจากการเรียนร้โู ดยตรง หรอื จากการลองสรา้ งได้ชนิ้ งานเปน็ ผลติ ภัณฑ์ข้ึนมา จึง
มกี ารคัดเลือกผลติ ภัณฑ์ สินคา้ ให้เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม
ความหมาย
เป็นการจัดการวัสดุเหลือใช้ที่กำลังจะเป็นขยะโดยนำไปผา่ นกระบวนการแปรสภาพ (โดยเฉพาะการ
หลอม) เพอื่ ใหเ้ ปน็ วสั ดุใหม่แลว้ นำกลบั มาใช้ได้อกี วสั ดทุ ่ีผ่านการแปรสภาพนั้นอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์เดิมหรือ
14
ผลติ ภณั ฑ์ใหมก่ ไ็ ด้ การแปรใช้ใหม่มคี วามหมายต่างจาก การใช้ซ้ำ (reusing) ซ่ึงหมายถงึ การนำกลับมาใช้ใหม่
โดยไม่ผา่ นกระบวนการแปรสภาพใด ๆ ท้งั สน้ิ
ในความเข้าใจของคนบางกลุ่มนั้น การแปรใช้ใหมย่ ังหมายถงึ การนำวสั ดเุ หลือใช้กลับมาปรับเปล่ียน
รูปแบบหรอื พฒั นารปู ร่างใหมใ่ หส้ ามารถนำมาใชป้ ระโยชนใ์ นรูปแบบอื่น ๆ เชน่ ขวดน้ำพลาสติก หากนำมาใช้
ใส่น้ำอีกครั้งเป็นการใช้ซ้ำ แต่ถ้านำเอาขวดนำพลาสติกมาตัดให้เป็นกระป๋อง แล้วนำไปใช้ตัดดินบรรจุในถุง
หรือนำขวดพลาสติกมาตัดครึ่งทำเป็นแจกนั ใส่ดอกไมห้ รือเป็นที่ใส่ปากกา มักถูกเรียกวา่ เป็นการแปรขวดนำ้
พลาสติกเพ่อื ใช้ใหม่
1.1ขวดนมพลาสตกิ
วิวรรณ ธรรมมงคล (2549:1) กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่โรงงานผลิตออกมาเป็นอุตสาหกรรม
อาหาร รองลงมาคือ อุตสาหกรรมเคมีภาชนะตา่ งๆ นั่น จำแนกการผลิตตามชนดิ ได้ ดงั น้ี
โพลิเอทลิ นี เทเรฟทาเลต (Polyethylene Terephalate) PET เปน็ วัสดุ ใชท้ ำขวดพลาสิตกใสที่ใช้ใส่
ขวดน้ำอัดลม น้ำดื่ม ขวดบรรจุของดอง ขวดแยม ถาดอาหารสำหรับเตาอบเครื่องสำอาง น้ำมันพืชและ
แมก้ ระทง่ั ขวดน้ำปลาก็ทำดว้ ยเชน่ กัน ดังตวั อย่าง
โพลเิ อทลิ ีนเทเรฟทาเลต
โพลิเอทิลีชนิดความหนาแน่นสูง (High Dengsity Polyethene) HDPE ใช้ทำขวดนมสด น้ำโยเกิรต์
บรรจุภัณฑ์สำหรับน้ำยาทำความสะอาด ขวดสบู่ แชมพสู ระผม ขวดแป้งเด็ก ถงั เพราะมคี วามเหนียวและทน
การกระแทกไดด้ ี ตัวอยา่ ง
โพลเิ อทิลีชนิดความหนาแน่นสูง
โพลไิ วนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride) PVC ใช้ทำท่อประป่า สายยางใส แผ่นฟลิ ์มอาหาร ม่านใน
หอ้ งนำ้ แผ่นกระเบ้ืองยาง แผน่ พลาสติกปนู โตะ๊ ประตู หนา้ ต่าง วงกบ และหนงั เทยี ม ตวั อย่าง
15
โพลไิ วนิลคลอไรด์
โพลเิ อทลิ นี ชนิดความหนาแน่นตำ่ (Low Density Polylene) LDPE ใชท้ ำฟลิ ฒ์ หอ่ อาหารและห่อของ
ถุงใสขนมปัง ถุงเยน็ สำหรับบรรจอุ าหาร แสดงตัวอยา่ ง
โพลิเอทิลนี ชนดิ ความหนาแน่นตำ่
โพลิโพรพิลีน PP ใช้ทำภาชนะบรรจุอาหาร เช่น กล่องชาม จาน ถัง ตะกร้า กระบอกใส่น้ำแช่เย็น
ขวดบรรจยุ า แผ่นCD ตวั อย่าง
โพลิโพรพิลีน
โพลิสไตรีน PS ใช้บรรจุของใช้ เช่น เทปเพลง สำลี หรือของแห้งอาทิ หมูแผ่น หมูหยอง คุกก้ี
นอกจากน้ียงั นำมาทำโฟมใส่อาหารซง่ึ จะเบามากกว่าพลาสติกชนดิ อืน่ ที่ไมใ่ ชพ่ ลาสตกิ ทงั้ 6 กลมุ่ ตวั อย่าง
โพลสิ ไตรนี
1.2 หลอดกาแฟ
หลอดดดู เปน็ อปุ กรณ์ในการดูดของเหลว มกั ใชก้ ับเครื่องดืม่ โดยท่ัวไปหลอดดดู จะเป็นทอ่ ผอมและ
ยาว ทำจากพลาสติก (มกั จะเปน็ PP-polypropylene) มที ้งั หลอดดดู ตรง และหลอดดูดทสี่ ามารถงอตรง
ปลายได้ เพื่อใหด้ ูดเคร่อื งดื่มได้ง่ายข้นึ เมือ่ ดดู เครื่องดืม่ เราจะนำปลายข้างหนง่ึ ใสล่ งในเครือ่ งดมื่ อีกข้างหนง่ึ
ใส่ปาก โดยมักจะใช้มือจับไวด้ ว้ ย เม่อื กล้ามเน้ือบรเิ วณปากทำการออกแรงดดู ทำให้ความดันอากาศภายใน
16
ปากลดลง ความดันอากาศรอบเครอื่ งดม่ื ซึง่ มมี ากกวา่ จะดนั เคร่อื งดื่มให้ไหลเขา้ ไปในหลอดดูดเขา้ สู่ปาก หลอด
ดดู ถูกคดิ ค้นโดยชาวสเุ มเรียน โดยใช้ในการด่มื เบียร์ หลอดดดู ในรปู แบบปัจจุบันคิดค้นในปี พ.ศ. 2431
หลอดดูดถูกคดิ คน้ โดยชาวสุเมเรียน โดยใช้ในการดืม่ เบียร์ เพอื่ เล่ียงเศษตะกอนจากการหมกั หลอดที่
เกา่ ท่สี ุดพบท่ีสุสานชาวสุเมเรียน อายุ 3000 ปกี ่อนคริสตการ เปน็ หลอดทองประดบั ด้วย แลพสิ แลซูลีชาว
อารเ์ จนตนิ าและข้างเคียงใชเ้ คร่อื งมือเหล็กคล้าย ๆ กันเรยี กวา่ bombilla ใชเ้ ปน็ ทง้ั หลอดและตะแกรงสำหรบั
ด่มื ชาเมท (Yerba mate) หลายร้อยปี
การผลิตหลอดพลาสตกิ สง่ เสริมการใช้ปโิ ตรเลยี มและหลอดที่ใชแ้ ลว้ กลายเปน็ ส่วนหน่งึ ของมลภาวะ
พลาสตกิ ทั่วโลก เม่อื ถกู ท้งิ สว่ นใหญ่หลงั จากใช้งานครั้งเดยี ว กลุ่มผู้สนบั สนนุ กลุ่มตอ่ ตา้ นหลอดพลาสติกได้
ประเมนิ วา่ มกี ารใช้หลอดประมาณ 500 ล้านหลอดต่อวันในสหรัฐอเมริกาเท่านนั้ และโดยเฉล่ยี 1.6 หลอดตอ่
หัวตอ่ วนั
หลอดทางเลือกท่เี ปน็ มิตรกับสิง่ แวดลอ้ มเมอ่ื เทยี บกบั หลอดพลาสติกไดแ้ ก่
1. หลอดกระดาษ
2. หลอดแก้ว
3. หลอดอะลูมเิ นียม
4. หลอดไม้ไผ่
5. หลอดฟาง
6. หลอดพาสต้า
ความหมายของผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลอื ใช้
ความหมายของงานประดิษฐ์ หมายถึง งานที่เกิดจากการใช้ความคิดสรา้ งสรรค์ของมนุษย์สร้างหรือ
ประดิษฐ์ขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย หรือเพื่อความสวยงาม หรือประดับตกแต่งหรือเพือ่ ประโยชน์ใช้
สอย
17
ความเป็นมาของงานประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้สร้างผู้พัฒนา ปรับปรุง และ
เปลยี่ นแปลงแบบ ผลงานดว้ ยความคิดสร้างสรรค์ทีม่ อี ยูใ่ นแต่ละบุคคล มวี ตั ถุประสงคใ์ นการสร้างส่ิงประดิษฐ์
เพอ่ื ตอบสนอง ความต้องการดา้ นประโยชนใ์ ชส้ อย งานประดิษฐม์ ีความสัมพนั ธ์และเกยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจำวัน
ของคนไทยตั้งแต่สมยั โบราณ เกย่ี วข้องกบั ขนบธรรมเนียมและประเพณีทางศาสนา
หลักการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ให้ประดิษฐ์ให้ประสบผลสำเร็จนั้น
ผเู้ รียนตอ้ งมคี วามพงึ พอใจ ในการทำงาน โดยยดึ หลักการดังนี้
1. หมั่นศึกษาหาความรู้ในงานที่ตนเองสนใจ โดยศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญการในชุมชนการโรงเรียน
จากตัวอยา่ งส่งิ ประดิษฐ์ท่สี นใจ
2. ศึกษาหลักการ วธิ ีการ หรอื ขัน้ ตอนการปฏิบัตงิ าน ในการประดษิ ฐช์ นิ้ งานโดยการวิเคราะห์ ด้วย
ตนเองหรือศกึ ษาจากผรู้ ู้ ผูเ้ ชีย่ วชาญ หรือจากส่อื ต่าง ๆ เช่น วารสาร หนงั สือ เป็นตน้
ประโยชนข์ องงานประดิษฐ์
1 ประหยัดค่าใช้จ่าย
2 ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์
3 ความเพลิดเพลิน
4 เพม่ิ คุณค่าของวสั ดุ
5 สร้างความแปลกใหม่ที่มีอยู่เดมิ
6 ช้นิ ตรงตามความต้องการ
7 เปน็ ของกำนัลแกผ่ ู้อ่นื
8 อนุรักษ์ศิลปวฒั นธรรมไทย
9 เพ่ิมรายได้ให้แกต่ นเองและครอบครัว
10 เกิดความภมู ใิ จในตนเอง
ประโยชนข์ อง งานประดษิ ฐ์
1. เป็นการใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์
2. มีความภูมใิ จในผลงานของตน
3. มีรายได้จากผลงาน
4. มคี วามคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรคผ์ ลงานใหม่ๆ
5. เป็นการฝกึ ให้รู้จกั สงั เกตส่ิงรอบๆ ตัว และนำมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์
ลักษณะของงานประดิษฐ์
1. งานประดษิ ฐท์ ั่วไป เปน็ งานทีบ่ ุคคลสร้างขนึ้ มาจากความคิดของตนเองโดยอาศัยการเรียนรู้จากส่ิง
รอบๆ ตวั นำมาดัดแปลง หรอื เรียนรจู้ ากตำรา เช่น การประดษิ ฐข์ องใช้จากเศษวัสดุ การประดิษฐ์ดอกไม้
2. งานประดิษฐท์ ี่เป็นเอกลกั ษณ์ไทย เป็นงานที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษในครอบครัวหรือ
ในทอ้ งถ่นิ หรอื ทำข้นึ เพ่ือใช้งานหรอื เทศกาลเฉพาะอย่าง เชน่ มาลยั บายศรี งานแกะสลัก
ประเภทของงานประดิษฐ์
งานประดิษฐ์ต่างๆ สามารถเลือกทำได้ตามความต้องการและประโยชน์ใช้สอย ซึ่งอาจแบ่งประเภท
ของงานประดษิ ฐ์ตามโอกาสใช้สอยดังน้ี
1. ประเภทใช้เป็นของเล่น เป็นของเล่นที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวทำให้ลูกหลานเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน
เช่น งานปั้นดนิ เป็นสตั ว์ ส่งิ ของ งานจกั สานใบลานเปน็ โมบาย งานพับกระดาษ
18
2. ประเภทของใช้ ทำขนึ้ เพ่อื เป็นของใช้ในชีวติ ประจำวนั เช่น การสานกระบงุ ตะกร้า การทำเคร่อื งใช้
จากดนิ เผา จากผ้าและเศษวัสดุ
3. ประเภทงานตกแต่ง ใช้ตกแตง่ สถานที่ บ้านเรอื นใหส้ วยงาม เช่น งานแกะสลกั ไม้ การทำกรอบรูป
ดอกไม้ประดิษฐ์
4. ประเภทเครื่องใช้ในงานพิธี ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ในงานเทศกาลหรือประเพณีต่างๆ เช่น การทำ
กระทงลอย ทำพานพุ่ม มาลยั บายศรี
วัสดุอปุ กรณ์ที่ใช้ในงานประดิษฐ์
การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ชิ้นงานต้องเลือกให้เหมาะสมจึงจะได้งานออกมามีคุณภาพ
สวยงาม รวมทั้งต้องดูแลรักษาอุปกรณ์เครื่องใช้เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ตลอดเวลา และสามารถแบ่ง
ออกเป็นประเภทตา่ งๆ ได้ดงั น้ี
1. ประเภทของเลน่
- วัสดุทใี่ ช้ เชน่ กระดาษ ใบลาน ผ้า เชอื ก พลาสติก กระป๋อง
- อปุ กรณท์ ี่ใช้ เชน่ กรรไกร เข็ม ดา้ ย กาว มีด ตะปู คอ้ น แปรงทาสี
2. ประเภทของใช้
- วสั ดุทใี่ ช้ เชน่ กระดาษ ไม้ โลหะ ดนิ ผา้
- อปุ กรณท์ ี่ใช้ เช่น เล่ือย สี จักรเย็บผ้า กรรไกร เคร่ืองขัด เจาะ
3. ประเภทของตกแต่ง
- วัสดุที่ใช้ เชน่ เปลอื กหอย ผ้า กระจก กระดาษ ดินเผา
- อปุ กรณ์ เชน่ เลอ่ื ย คอ้ น มดี กรรไกร สี แปรงทาสี เครอื่ งตอก
4. ประเภทเคร่อื งใชใ้ นงานพธิ ี
- วัสดุที่ใช้ เช่น ใบตอง ดอกไมส้ ด ใบเตย ผ้า รบิ บ้ิน
- อปุ กรณท์ ี่ใช้ เชน่ เข็มเยบ็ ผ้า เขม็ รอ้ ยมาลยั คีม คน้ เข็มหมดุ
การเลอื กใชแ้ ละบำรุงรักษาอปุ กรณ์ มหี ลักการดังนี้
1. ควรเลือกใช้ใหถ้ กู ประเภทของวัสดุและอปุ กรณ์
2. ควรศึกษาวิธีการใชก้ ่อนลงมือใช้
3. เมอ่ื ใชแ้ ล้วเก็บไว้ใหเ้ ป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย
4. ซอ่ มแซมเครื่องมอื ทชี่ ำรุดให้พร้อมใช้เสมอ
19
บทที่ 3
วธิ กี ารดำเนินงานวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยีวิชาการงาน
ประดิษฐ์ เรื่องผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติเหลือใช้โดยใช้กระบวนการคิดที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นรายละเอียดการ
ดำเนินการวิจัย ประชาการและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือเครื่องใช้ในการวิจัย การสร้าง
คุณภาพของเคร่อื งมอื วธิ ีการทดลอง การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ประชาการและกล่มุ ตัวอย่าง
1. ประชากรท่ีศกึ ษา ไดแ้ ก่ ผเู้ รียนระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่1 โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ ท้ังหมด6 ห้อง
จำนวน 268 คน
2. กลมุ่ ตัวอย่างกลมุ่ ตัวอย่างท่ใี ช้ทดลอง เป็นนักเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนธดิ าแม่พระ
จำนวน 100 คนซ่งึ ได้มาจากการสุ่มแบบกล่มุ (Cluster Random Sampling)
ขัน้ ตอนการวิจัย
การวจิ ัยเรือ่ งการประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวัสดุธรรมชาติ (วัสดเุ หลือใช)้ มีระเบียบวธิ ีวจิ ยั ดงั นี้
1. การสรา้ งเครอ่ื งมอื ในการวิจัย
2. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
3. การดำเนินการทดลอง
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. วิเคราะหแ์ ละสรุปผล
3.1 การสรา้ งเครื่องมือในการวจิ ยั
การวจิ ัยครัง้ นเี้ ป็นการวิจัยเชงิ สำรวจ (Servey Research) ความคิดเหน็ เก่ียวกับการประดษิ ฐ์
ผลติ ภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ มีวิธีการสร้างเครอ่ื งมอื ดงั นี้
1. ศึกษาคน้ คว้าเอกสารต่าง ๆทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
2. กำหนดขอ้ คำถามที่เกยี่ วข้องกบั ผลติ ภัณฑ์
3. การสอบถาม คือหลงั จากที่ได้อธบิ ายใหน้ กั เรียนแลว้ นักเรียนลงมอื ปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนที่ได้รับ
มอบหมาย ครมู ีหนา้ ท่ีดวู า่ นักเรยี นไดก้ ระทำถกู ต้องตามข้ันตอนหรือไม่อย่างไร หลงั จากกระทำเสรจ็ ครทู ำการ
สอบถามนักเรียน อาจจะเป็นรายบุคคลหรอื กลมุ่ ในการปฏบิ ตั ิ โดยให้นกั เรยี นออกมาอธบิ ายความเข้าใจและ
ขั้นตอนหน้าชน้ั เรยี น เพอ่ื ให้เกิดความชัดเจนยง่ิ ขึ้น
3.1 จากการทำกิจกรรมการเรียนงานประดิษฐ์ คือการลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่ครูสาธิต
จนไดช้ ิ้นงานทีส่ ำคัญแลว้ เกดิ ความภาคภูมิใจ นำไปใชก้ บั ผู้ท่ีสนใจได้
3.2 เกณฑก์ ารประเมินผล คอื การวัดประเมนิ ผลของนักเรียน โดยจะวดั จากการวางแผนงาน
ขั้นตอนการทำงาน การปรบั ปรงุ งาน ความรบั ผิดชอบในงานที่ทำ ผลสำเร็จของงาน ซ่งึ วางเกณฑค์ ณุ ภาพไว้ 5
ระดับคอื 5 4 3 2 1
20
3.3 ประเมินผล คอื จากการท่คี รสู ังเกตและสอบถามแลว้ จนถงึ ขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ครูสามารถ
ทำการวัดผลและประเมนิ ผลของนักเรยี นได้ ซ่ึงอาจจะได้จากชน้ิ งานของนกั เรียน หรือการปฏบิ ตั ิที่ถูกต้องตาม
ขน้ั ตอน โดยมเี กณฑก์ ารประเมินผลดังนี้คอื นักเรยี นได้คะแนน
4.51-5.00 หมายถงึ พึงพอใจมากท่สี ดุ
3.51-4.50 หมายถงึ พงึ พอใจมาก
2.51-3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง
1.51-2.50 หมายถึง พงึ พอใจพอใช้
1.00-1.50 หมายถงึ พงึ พอใจปรับปรงุ
2 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง
2.1 ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนธิดาแม่พระ ทั้งหมด 6
หอ้ ง จำนวน 268 คน
2.2 กล่มุ ตัวอยา่ ง (Sample) เปน็ นักเรยี นระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 1โรงเรยี นธิดาแม่พระ ตัวอย่าง
เลือกโดยการสุ่มอยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) ตามตารางของเคอร์ซีและมอแกนท์ (Kerjcle and
Morgan) จำนวน 100 คน
การดำเนินการทดลอง
1 ออกแบบผลิตภณั ฑท์ ่ีประดิษฐ์
2 จัดเตรยี มวสั ดุและอปุ กรณใ์ นการทำ
3 ข้ันตอนการทำผลิตภณั ฑ์
4 นำผลงานไปใช้ผู้เช่ยี วชาญประเมนิ และแกไ้ ขผลติ ภัณฑ์
5 นำผลงานสำเร็จไปเก็บแบบสอบถามเพอ่ื ประเมินผลตามวัตถปุ ระสงค์
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ข้นั ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูลมีดงั น้ี
1 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากนกั เรียน ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี1
2 แจกแบบสอบถามดว้ ยตนเองจำนวน 100 คน แล้วเก็บขอ้ มูลกลับคนื ทันที
3 นำขอ้ มูลท่ไี ดม้ าอย่างครบถว้ นและสมบรู ณ์มาวเิ คราะหข์ อ้ มูล โดยใชโ้ ปรแกรม Excel เพือ่ หา
ค่าเฉลีย่ เลขคณิต(AVERAGE) และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน(Standard Deviation)
วิเคราะห์และสรุปผล
การวิเคราะห์ข้อมูลสถิตที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล เป็นค่าเฉลี่ยและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานโดย
ใชโ้ ปรแกรม Excel แล้วเขยี นพรรณนาหรอื บรรยายเพ่ือแปลผลของข้อมูลที่หาไดจ้ าก เกณฑก์ ารประเมนิ ความ
พึงพอใจของผู้ตอบแบบสอบถาม ดงั น้ี
4.51-5.00 หมายถึง พงึ พอใจมากทส่ี ดุ
3.51-4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก
2.51-3.50 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง
1.51-2.50 หมายถงึ พงึ พอใจพอใช้
1.00-1.50 หมายถงึ พงึ พอใจปรบั ปรงุ
21
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การวิจัยเกี่ยวกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ มีวัตถุประสงค์ เพื่อหาประสิทธิภาพของ
การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ และศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุ
ธรรมชาติ ผวู้ ิจัยขอเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ตามลำดับดงั น้ี
1. ความคิดเหน็ เกี่ยวกบั การประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวสั ดธุ รรมชาติ
ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั การประดษิ ฐผ์ ลติ ภัณฑจ์ ากวัสดุธรรมชาติ มี 4 ด้านคือด้านความคิดสร้างสรรค์ ด้าน
ความคงทน ด้านความประณตี และสวยงาม และดา้ นการนำไปใชป้ ระโยชน์ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามตาราง
ที่ 3-6
ตารางท่ี 3 ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานระดับความคดิ เหน็ ดา้ นความคิดสร้างสรรค์
ลำดับที่ รายการ X S.D. แปลผล(ระดับ)
1 นกั เรียนคดิ ว่าวสั ดุเหลอื ใช้ในปัจจุบนั น้มี ผี ลทำลายส่ิงแวดล้อมอยา่ งไร 4.51 0.50 มากที่สุด
2.การทำลายวัสดเุ หลือใชม้ ีผลตอ่ การดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์และสง่ิ แวดล้อมเป็นเชน่ ไร 4.49 0.52 มาก
3.การเลือกวสั ดุมาใชม้ ีความเหมาะสมกบั ผลิตภณั ฑ์ทท่ี ำ 4.45 0.62 มาก
4.การออกแบบและตกแต่งผลติ ภณั ฑ์มีความทันสมัย 4.48 0.54 มาก
เฉล่ยี 4.48 0.55 มาก
N=100
จากตารางที่ 3 พบว่า ความคิดเหน็ เก่ียวกับผลติ ภณั ฑ์โคมไฟเคร่อื งแขวนคริสตัลดา้ นความคิดสร้างสรรค์
อย่ใู นระดับมาก (X= 4.48)โดยเรียงลำดบั จากมากไปหานอ้ ยดงั นี้ ผลติ ภัณฑเ์ ปน็ งานที่คิดประดษิ ฐ์จากการ
ประยกุ ตข์ ้ึนมา (X=4.51)การออกแบบผลิตภัณฑ์มคี วามโดดเดน่ และนา่ สนใจค่าเฉลย่ี เท่ากบั (X=4.49) การ
ออกแบบและตกแต่งผลิตภณั ฑ์มีความทันสมัย (X=4.48)การเลือกวสั ดมุ าใช้มีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่
ทำ (X=4.45)
ตารางที่ 4 ค่าเฉล่ียและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานระดับความคดิ เหน็ ดา้ นความคงทน
ลำดบั ท่ี รายการ X S.D. แปลผล(ระดับ)
1. ผลติ ภัณฑม์ ขี นาดและสดั ส่วนท่เี หมาะสม 4.45 0.55 มาก
2.ผลิตภัณฑม์ ีความคงทนต่อการใชง้ าน 4.49 0.54 มาก
3. รูปทรงของผลิตภัณฑ์ประดิษฐไ์ ด้สมบูรณ์ 4.52 0.54 มากท่ีสุด
4 .ผลติ ภัณฑ์มีสสี นั ท่ีสวยงาม 4.67 0.53 มากท่ีสุด
22
เฉลีย่ 4.53 0.58 มากท่ีสุด
N=100
จากตารางท่ี 4 พบวา่ ความคิดเห็นเกยี่ วกบั ผลิตภัณฑ์โคมไฟเครอ่ื งแขวนคริสตัลดา้ นความความ
คงทนอยู่ในระดับมากท่ีสดุ (X= 4.53)โดยเรียงลำดับจากมากไปหานอ้ ยดงั นี้ ผลิตภณั ฑ์มีสันสวยงาม(X=4.67)
รูปทรงของผลิตภัณฑ์ประดษิ ฐ์ได้สมบรู ณ์ (X=4.52) ผลิตภณั ฑ์มีความคงทนตอ่ การใช้งาน(X=4.49) และ
ผลติ ภัณฑม์ ีขนาดและสดั สว่ นที่เหมาะสม (X= 4.45)
ตารางท่ี 5 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานระดบั ความคิดเห็นด้านความประณตี และสวยงาม
ลำดับที่ รายการ X S.D. แปลผล(ระดับ)
ผลิตภัณฑ์ถกู ประดษิ ฐ์ข้นึ ดว้ ยความละเอียดและประณีต 4.59 0.56 มาก
ผลติ ภัณฑ์มีการประกอบ/ตดิ ดว้ ยความเรียบร้อย 4.45 0.54 มาก
การจัดและตกแต่งผลิตภัณฑม์ คี วามสวยงาม 4.63 0.52 มากท่ีสุด
เฉล่ยี 4.56 0.54 มากทส่ี ุด
N=100
จากตารางที่ 5 พบวา่ ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลติ ภัณฑ์โคมไฟเคร่ืองแขวนครสิ ตลั ด้านความประณตี
และสวยงามอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ (X=4.51)โดยเรยี งลำดับจากมากไปหานอ้ ยดังน้ี การจัดและตกแตง่
ผลิตภัณฑม์ ีความสวยงาม (X=4.63) ผลติ ภัณฑ์ถกู ประดิษฐ์ขน้ึ ดว้ ยความละเอยี ดและประณีต(X=4.59)
ผลิตภัณฑม์ กี ารประกอบ/ติดดว้ ยความเรียบร้อย (X=4.45)
ตารางที่ 6 ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นด้านการนำไปใชป้ ระโยชน์
ลำดับท่ี รายการ X S.D. แปลผล
(ระดบั )
ผลิตภัณฑส์ ามารถนำไปใชง้ านในชีวิตประจำวันไดจ้ รงิ 4.67 0.55 มากท่สี ดุ
ผลิตภัณฑส์ ามารถเคลือ่ นยา้ ยได้สะดวก 4.58 0.57 มากท่สี ุ
ผลิตภณั ฑส์ ามารถผลิตเพือ่ จำหน่ายได้ 4.53 0.55 มากทีส่ ดุ
เฉลย่ี 4.59 0.56 มากทีส่ ดุ
N=100
23
จากตารางท่ี 7 พบว่า ความคดิ เห็นเก่ียวกับผลติ ภัณฑ์โคมไฟเคร่อื งแขวนครสิ ตัลด้านการนำไปใช้
ประโยชนอ์ ยู่ในระดบั มากทสี่ ุด (X=4.59)โดยเรียงลำดบั จากมากไปหานอ้ ยดงั น้ี ผลติ ภัณฑส์ ามารถนำไปใช้ใน
ชวี ติ ประจำวันไดจ้ รงิ (X=4.67) ผลติ ภัณฑ์สามารถเคลอ่ื นย้ายได้สะดวก(X=4.58) และผลติ ภัณฑ์สามารถ
ผลติ เพอ่ื จำหน่ายได้ (X=4.53)
24
บทที่ 5
สรุปและอภปิ รายผล
การวิจยั ในครั้งน้ีมวี ัตถุประสงค์ คอื เพอื่ หาประสิทธิภาพการประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวสั ดธุ รรมชาติ และ
ศกึ ษาความคดิ เห็นเกย่ี วกบั การประดษิ ฐ์ผลติ ภัณฑ์จากวสั ดธุ รรมชาติ กล่มุ ตวั อย่างทใ่ี ช้ในการวิจยั คร้ังนี้
ประกอบดว้ ยนกั เรียน นกั ศกึ ษา ครู เจา้ หนา้ ทแ่ี ละนักการภารโรงที่เลอื กมาเปน็ กลมุ่ ตัวอยา่ ง เลอื กโดยการสุ่ม
อย่างง่าย จำนวน 100 คน เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เป็นแบบสอบถาม ค่าสถติ ิทีใ่ ช้ในการวิจัยเปน็ ค่าสถิตริ ้อย
ละ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังน้ี
1.สรปุ ผลการวจิ ัย
การวิจัยเก่ยี วกบั การประดิษฐ์ผลติ ภัณฑจ์ ากวสั ดธุ รรมชาติ มีวัตถุประสงค์ เพ่อื หาประสิทธิภาพของ
การประดษิ ฐผ์ ลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ และศกึ ษาความคิดเหน็ เก่ียวกับการประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวัสดุ
ธรรมชาติ โดยใชว้ ิธกี ารวิจยั เชงิ สำรวจ กลุ่มตวั อย่างไดแ้ ก่นกั เรยี น นกั ศึกษา ครู เจา้ หน้าท่ีและนกั การภารโรง
จำนวน 100 คน โดยใช้เครอื่ งมือเป็นแบบสอบถาม เกบ็ รวบรวมข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะหข์ อ้ มูลดว้ ย
โปรแกรม Excel ใช้สถติ ิร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ความคิดเหน็ เกีย่ วกับการประดิษฐ์ผลติ ภณั ฑ์จากวัสดธุ รรมชาติ มี 4 ด้าน คอื ด้านความคิดสรา้ งสรรค์
ดา้ นความคงทน ด้านความประณีตและสวยงาม และดา้ นการนำไปใชป้ ระโยชน์ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลมี
รายละเอยี ดดังนี้
ด้านความคดิ สรา้ งสรรคอ์ ยใู่ นระดับมากค่าเฉลีย่ เท่ากับ 4.48 โดยเรียงลำดับจากมากไปหานอ้ ยดังนี้
ผลติ ภัณฑ์เปน็ งานทค่ี ดิ ประดิษฐ์จากการประยุกต์ข้ึนมา คา่ เฉลี่ยเท่ากบั 4.51 ผลิตภัณฑ์สามารถนำไปใชใ้ น
ชีวติ ประจำวันไดจ้ ริง ค่าเฉลี่ยเทา่ กับ4.49 การออกแบบและตกแต่งผลิตภัณฑม์ คี วามทันสมยั ค่าเฉลี่ยเทา่ กบั
4.48 การเลือกใชว้ สั ดมุ ีความเหมาะสมกับผลติ ภัณฑท์ ี่ทำ ค่าเฉลย่ี เท่ากับคอื 4.45
ด้านความความคงทนอย่ใู นระดบั มากท่สี ุดค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 โดยเรียงลำดบั จากมากไปหาน้อย
ดังน้ี ผลิตภัณฑ์มีสนั สวยงาม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 รูปทรงของผลิตภัณฑ์ประดษิ ฐ์ได้สมบรู ณ์ ค่าเฉล่ยี เท่ากับ
4.52 ผลิตภัณฑม์ คี วามคงทนต่อการใชง้ าน ค่าเฉลีย่ เทา่ กับ 4.49 และผลติ ภัณฑ์มีขนาดและสัดส่วนท่ี
เหมาะสม ค่าเฉล่ยี เท่ากบั 4.45
ดา้ นความประณีตและสวยงามอย่ใู นระดบั มากทส่ี ุดค่าเฉล่ยี เท่ากับ 4.56 โดยเรียงลำดบั จากมากไปหา
น้อยดังน้ี การจดั และตกแตง่ ผลิตภัณฑม์ ีความสวยงาม ค่าเฉลย่ี เท่ากบั 4.63 ผลิตภัณฑถ์ กู ประดิษฐข์ ้ึนด้วย
ความละเอียดและประณีต ค่าเฉลี่ยเท่ากบั 4.59 และและผลิตภัณฑม์ กี ารประกอบ/ตดิ ด้วยความเรียบร้อย
ค่าเฉลี่ยเท่ากบั 4.45
ดา้ นการนำไปใช้ประโยชนอ์ ยู่ในระดับมากท่ีสุดค่าเฉลีย่ เทา่ กับ 4.59 โดยเรียงลำดับจากมากไปหา
นอ้ ยดงั นี้ ผลิตภัณฑ์สามารถนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ไดจ้ รงิ คา่ เฉลี่ยเท่ากบั 4.67 ผลิตภัณฑ์สามารถ
เคล่อื นยา้ ยได้สะดวก คา่ เฉลีย่ เท่ากบั 4.58 และผลิตภัณฑ์สามารถผลิตเพ่อื จำหนา่ ยได้ ค่าเฉล่ียเท่ากบั 4.53
25
2. การอภิปรายผล
ความคดิ เห็นเก่ียวกับผลิตภัณฑ์โคมไฟเครื่องแขวนครสิ ตัล มีขอ้ ควรอภปิ รายดังต่อไปน้ี
2.1 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ ในภาพรวมทั้ง 4 ด้าน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากมีความคิดเห็นว่า การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ
เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสามารถนำไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้และสามารถผลิตเพ่ือจำหนา่ ยได้และรูปทรง
ของผลิตภณั ฑ์ประดิษฐ์ได้สมบรู ณ์ในระดับมากท่ีสุด รองลงมาคอื ผลติ ภณั ฑเ์ ป็นงานที่คิดประดิษฐ์ข้ึนมาใหม่
มีความละเอยี ดประณีต มคี วามคงทนต่อการใชง้ าน
2.2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ ด้านความคิดสร้างสรรค์
ผลการวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์เป็นงานที่คิดประดิษฐ์จากการประยุกต์ขึ้นมาอยู่ในระดับมาก รองลงมามีการ
ออกแบบและตกแตง่ ผลติ ภัณฑใ์ ห้มีความทันสมัย รวมทั้งมคี วามโดดเดน่ และน่าสนใจ และไดม้ ีการเลือกใช้วัสดุ
อยา่ งเหมาะสม สามารถประดิษฐ์อื่นๆอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพเชงิ ความคดิ สร้างสรรค์
2.3 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ ด้านความคงทน
ผลการวิจัยพบว่า ผลิตภัณฑ์มีสีสันที่สวยงาม อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาเป็นรูปทรงของผลิตภัณฑ์ท่ี
ประดิษฐ์ได้สมบูรณ์ มีความคงทนต่อการใช้งาน มีขนาดและสัดส่วนทีเ่ หมาะสม เพราะผลิตภณั ฑไ์ ด้ผ่านการ
ออกแบบขนาด รูปทรง สัดส่วนจากการนำหลักการออกแบบผลิตภัณฑม์ าใช้ทำให้ผลิตภัณฑ์ดา้ นความคงทนมี
ประสทิ ธิภาพ
2.4 ความคิดเหน็ เกีย่ วกับผลิการประดิษฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวสั ดธุ รรมชาติ ประณตี และสวยงาม
ผลการวจิ ัยพบวา่ การจดั และตกแตง่ ผลิตภัณฑ์มีความสวยงาม อยู่ในระดบั มากที่สุด รองลงมาเป็นผลิตภณั ฑ์
ถูกประดิษฐ์ขน้ึ ด้วยความละเอยี ดและประณีต มีการประกอบหรือตดิ ด้วยความเรยี บร้อย เพราะขัน้ ตอน
การประดษิ ฐ์มีการตรวจสอบงานเปน็ ระยะหากพบขอ้ บกพร่องรีบแกไ้ ข ซ่อมแซมหรอื ทำใหม่ทันที ผลิตภัณฑ์
จึงมคี วามประณีตและสวยงามในระดบั มาก
2.5 ความคดิ เห็นเกย่ี วกับการประดษิ ฐ์ผลิตภณั ฑ์จากวัสดธุ รรมชาติ การนำไปใชป้ ระโยชน์
ผลการวจิ ยั พบว่า สามารถนำไปใช้งานในชีวติ ประจำวนั ได้จรงิ ผลิตภณั ฑ์สามารถเคลอ่ื นย้ายได้สะดวกอยู่ใน
ระดบั มากทส่ี ดุ รองลงมาคอื ผลติ ภัณฑ์สามารถเคลือ่ นย้ายไดส้ ะดวก และสามารถผลิตเพ่ือจำหน่ายได้
เพราะโคมไฟครสิ ตัลทป่ี ระดษิ ฐ์ขึ้น คำนึงถึงประโยชน์การนำไปใช้ หากผลิตเพอ่ื จำหน่ายต้องเคลื่อนย้ายได้
สะดวก ไมเ่ ป็นอุปสรรคในการขนสง่ และผลติ ข้ึนเพ่ือใหใ้ ช้ไดจ้ รงิ
3.ขอ้ เสนอแนะ
จากการวจิ ัย แบบสรา้ งสรรคก์ ารประดิษฐ์เศษวัสดุเหลือใช้ มขี อ้ เสนอแนะ 2 ประเด็นดังนี้
3.1 ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
3.1.1 ควรนำผลงานวิจัยนีไ้ ปใช้ในการประดิษฐ์เพ่ือจำหน่าย
3.1.2 ควรนำผลงานวิจัยไปเผยแพร่ ประชาสมั พนั ธก์ ับชุมชน
3.2 ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ยั ครั้งต่อไป
3.2.1 การพัฒนารปู แบบการประดษิ ฐ์ผลิตภัณฑจ์ ากวัสดธุ รรมชาติ เพ่อื การจำหน่าย
26
เอกสารอ้างองิ
นางสาวรำไพพร สาระโบก.(2554),การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์งานประดษิ ฐข์ องใช้จากวัสดุเหลอื
ใช้ ชุดของใช้ในร้านท่าหลา-กาแฟจากขวดนมจืดเมจิ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 โดยใชว้ ิธีการสอนแบบสร้างสรรค์
การประดิษฐเ์ ศษวสั ดุเหลือใช,้ สืบค้นเมอื่ วันที่ 1 มกราคม 2565. https://www.google.com/search?q.
อาชวี ศึกษาสรุ นิ ทร.์ วทิ ยาลัย. สรปุ ผลการดําเนนิ งานตามแผนปฏิบตั กิ ารประจำปงี บประมาณ 2551.
สุรนิ ทร:์ สาํ นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา, 2551.
กัลยา วานิชยบ์ ญั ชา. สถติ ิสาํ หรับงานวจิ ยั . พิมพค์ รังที่2. กรุงเทพมหานคร. 2549.
ธานนิ ทร์ ศิลจารุ รศ. การวิจยั และวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถิติด้วยSPSS.
27
ภาคผนวก
28
การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคง์ านประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุเหลือใช้ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วธิ กี ารสอน
แบบสรา้ งสรรคก์ ารประดษิ ฐ์เศษวสั ดเุ หลือใช้
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นอ่านขอ้ ความแล้วโปรดทำเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งตารางทีก่ ำหนดให้
ขอ้ ท่ี รายการ มากท่สี ุด มาก ปลานกลาง นอ้ ย น้อยท่สี ดุ
1 นกั เรยี นคิดว่าวสั ดุเหลือใช้ในปัจจุบันนม้ี ีผล
ทำลายสง่ิ แวดล้อมอย่างไร
2 การทำลายวัสดุเหลือใชม้ ผี ลต่อการดำรงชีวิต
ของมนุษย์และส่ิงแวดลอ้ มเป็นเช่นไร
3 นกั เรียนคิดวา่ ตนเองและผู้อ่ืนสามารถชว่ ยลด
ภาวะขยะ หรือ เศษวสั ดุ ได้เพียงใด
4 ถ้านักเรยี นชว่ ยกนั ใช้เศษวัสดุมาประดิษฐ์
ช้ินงาน จะช่วยทำใหป้ รมิ าณเศษวสั ดุท่พี บ
เห็นเป็นเชน่ ไร
5 นกั เรียนคิดว่าชุดของใช้ในร้านทา่ หลา-กาแฟ
จากขวดนมจืดเมจิ สามารถช่วยเหลือสงั คมได้
เปน็ อยา่ งไร
6 สภาพความเปน็ อยู่ของมนษุ ย์ในปจั จุบนั อยใู่ น
ภาวะของสภาพมลภาวะเชน่ ไร
7 การนำเศษวสั ดมุ าประดษิ ฐ์ชุชุดของใช้ในรา้ น
ท่าหลา-กาแฟจากขวดนมจดื เมจิ นักเรียน
เกดิ ความภาคภูมิใจเป็นเชน่ ไร
ความคิดเห็นอน่ื ๆ
29
ผลงานจาก หลอด และจากขวด
30
ขวดนม
31
4หน่วยการเรียนรู้ท่ี การประดิษฐ์ของใช้ ของตกแต่ง
จากวสั ดทุ ้องถิ่น 7เวลา ชวั่ โมง
1 มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชี้วดั
ง 1.1 ม.1/1 วเิ คราะหข์ นั้ ตอนการทางานตามกระบวนการทางาน
ม.1/2 ใชก้ ระบวนการกลุม่ ในการทางานดว้ ยความเสยี สละ
ม.1/3 ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหาการทางานอยา่ งมเี หตผุ ล
2 สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ จะตอ้ งวเิ คราะหข์ นั้ ตอนการทางานตาม
กระบวนการทางาน ใชก้ ระบวนการกลมุ่ ดว้ ยความเสยี สละ และตดั สนิ ใจแกป้ ัญหาอย่างมเี หตผุ ล
3 สาระการเรยี นรู้
3.1 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
1) ขนั้ ตอนการทางาน เป็นสว่ นหนงึ่ ของการปฏบิ ตั งิ านตามทกั ษะกระบวนการทางานโดยทา
ตามลาดบั ขนั้ ตอนทว่ี างแผนไว้
2) กระบวนการกลมุ่ เป็นวธิ กี ารทางานตามขนั้ ตอน คอื การเลอื กหวั หนา้ กลมุ่ กาหนด
เป้าหมาย วางแผน แบง่ งานตามความสามารถ ปฏบิ ตั ติ ามบทบาทหน้าท่ี ประเมนิ ผลและ
ปรบั ปรุงงาน เชน่
- การประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุในทอ้ งถนิ่
3) ความเสยี สละเป็นลกั ษณะนสิ ยั ในการทางาน
4) การแกป้ ัญหาในการทางานเพ่อื ใหเ้ กดิ ความคดิ หาวธิ กี ารแกป้ ัญหาตา่ งๆ
3.2 สาระการเรยี นร้ทู ้องถิน่
1) ประโยชน์ของงานประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
2) ชนิดของวสั ดทุ อ้ งถนิ่
3) เคร่อื งมอื เครอ่ื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐ์
4 สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
4.1 ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 2) ทกั ษะการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ 3) ทกั ษะกระบวนการคดิ
ตดั สนิ ใจ
4.2 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา
5 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
32
1. ใฝ่เรยี นรู้
2. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
3. มุ่งมนั่ ในการทางาน
6 ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
การประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
7 การวดั และการประเมินผล
7.1 การประเมินกอ่ นเรยี น
- ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เร่อื ง การประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแตง่
จากวสั ดทุ อ้ งถนิ่
7.2 การประเมินระหว่างการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
1) ตรวจใบงานท่ี 4.1 เร่อื ง ชนดิ ของวสั ดทุ อ้ งถนิ่
2) ตรวจใบงานท่ี 4.2 เรอ่ื ง เคร่อื งมอื เครอ่ื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐ์
3) ตรวจใบงานท่ี 4.3 เร่อื ง อุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการวดั ตดั เจาะ และขน้ึ รปู ทรง
4) ตรวจใบงานท่ี 4.4 เร่อื ง การออกแบบงานประดษิ ฐ์
5) ตรวจใบงานท่ี 4.5 เรอ่ื ง งานประดษิ ฐ์จากวสั ดทุ อ้ งถนิ่
6) ตรวจแบบบนั ทกึ การอา่ น
7) ประเมนิ การนาเสนอผลงาน
8) สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล
9) สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
10) สงั เกตคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
7.3 การประเมินหลงั เรยี น
- ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เร่อื ง การประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแต่ง
จากวสั ดทุ อ้ งถนิ่
7.4 การประเมินช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
- ตรวจการประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
8 กิจกรรมการเรยี นรู้
นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 4
เรอ่ื งท่ี 1 ประโยชน์ของงานประดิษฐข์ องใช้ 33
ของตกแต่งจากวสั ดทุ ้องถิ่น
1 ชวั่ โมง
วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการสร้างค่านิ ยม
ขนั้ ท่ี 1 สงั เกต ตระหนัก
1. ครูใหน้ กั เรยี นดตู วั อยา่ งงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ แลว้ ตงั้ ประเดน็ คาถาม
ถามนักเรยี น เพ่อื ใหน้ กั เรยี นตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุ
ทอ้ งถน่ิ
2. ครอู ธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั ความหมายของการประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุ
ทอ้ งถนิ่ และชนิดของวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
ขนั้ ที่ 2 ประเมินเชิงเหตุผล
1. นกั เรยี นแต่ละคนศกึ ษาความรเู้ รอ่ื ง ประโยชน์ของงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
จากหนงั สอื เรยี น
2. นักเรยี นทุกคนช่วยกนั วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ งานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแต่งจากวสั ดุทอ้ งถน่ิ ใน
ทอ้ งถนิ่ ของตนเองตามประเดน็ ทก่ี าหนด
ขนั้ ที่ 3 กาหนดค่านิยม
ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกย่ี วกบั ประโยชน์ของงานประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดุทอ้ งถน่ิ
ขนั้ ท่ี 4 วางแนวปฏิบตั ิ
ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกย่ี วกบั แนวทางการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในการอนุรกั ษแ์ ละสง่ เสรมิ ใหม้ งี าน
ประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถนิ่ อยคู่ ูท่ อ้ งถน่ิ ของตนเอง และแนวทางการประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ ห้
คนในทอ้ งถนิ่ ตระหนักถงึ ความสาคญั และประโยชน์ของงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถนิ่
ขนั้ ที่ 5 ปฏิบตั ิด้วยความช่ืนชม
1. นักเรยี นร่วมกนั สรปุ ความรเู้ รอ่ื ง ประโยชน์ของงานประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดุทอ้ งถนิ่
2. ครูใหน้ กั เรยี นนาแนวทางการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นทก่ี าหนดไปปฏบิ ตั จิ รงิ ในชวี ติ ประจาวนั แลว้
รายงานผล ตอ่ ครูเป็นระยะๆ
เรื่องที่ 2 ชนิดของวสั ดทุ ้องถิ่น 34
1 ชวั่ โมง
วิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ขนั้ ท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engage)
1. ครใู หน้ กั เรยี นดตู วั อย่างงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ จากนนั้ ตงั้ ประเดน็ คาถาม
แลว้ ใหน้ ักเรยี นชว่ ยกนั ตอบ
2. ครอู ธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกยี่ วกบั วสั ดทุ น่ี ามาใชท้ างานประดษิ ฐ์
ขนั้ ที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore)
นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 5 คน ตามความสมคั รใจ แลว้ ใหแ้ ต่ละกลุ่มร่วมกนั ศกึ ษาความรเู้ ร่อื ง
ชนิดของวสั ดทุ อ้ งถน่ิ จากหนงั สอื เรยี น
ขนั้ ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
สมาชกิ แตล่ ะคนในกลมุ่ ผลดั กนั อธบิ ายความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาใหเ้ พ่อื นในกลุ่มฟังเรยี งลาดบั ทลี ะ
คน แบบเล่าเรอ่ื งรอบวง
ขนั้ ที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Expand)
1. ครูใหส้ มาชกิ แตล่ ะคนในกลมุ่ ช่วยกนั วเิ คราะหแ์ ละแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั วสั ดุทอ้ งถนิ่ ใน
ทอ้ งถนิ่ ของตนเองตามประเดน็ ทก่ี าหนด
2. สมาชกิ ในแตล่ ะกล่มุ คดั เลอื กตวั แทนกลุ่มนาเสนอคาตอบหนา้ ชนั้ เรยี น
3. นักเรยี นแตล่ ะคนทาใบงานที่ 4.1 เรอื่ ง ชนิดของวสั ดทุ ้องถ่ิน เป็นการบา้ น แลว้ นาส่งครใู นวนั
ถดั ไป
ขนั้ ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. สมาชกิ ในแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั สรุปความรเู้ ร่อื ง ชนดิ ของวสั ดุทอ้ งถนิ่ เป็นผงั มโนทศั น์ เสรจ็ แลว้ นาสง่
ครตู รวจ
2. ครูตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจของนักเรยี นจากการนาเสนอผลงาน และการสรปุ ความรเู้ รอ่ื ง ชนิด
ของวสั ดทุ อ้ งถนิ่
เร่อื งที่ 3 35
เคร่ืองมือเครือ่ งใช้ในการทางานประดิษฐ์
2 ชวั่ โมง
วิธีสอนแบบ กระบวนการกลุ่มสมั พนั ธ์
ขนั้ ที่ 1 นาเข้าสู่บทเรียน
1. ครูใหน้ กั เรยี นดูตวั อย่างงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ แลว้ แสดงความคดิ เหน็
เกยี่ วกบั ตวั อยา่ งงานประดษิ ฐช์ น้ิ ดงั กล่าว
2. ครูอธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั วธิ กี ารใชเ้ ครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐใ์ หถ้ ูกตอ้ ง
เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ในการใช้งาน
ขนั้ ท่ี 2 จดั การเรยี นรู้
1. นักเรยี นกลุม่ เดมิ ร่วมกนั ศกึ ษาความรเู้ ร่อื ง เครอ่ื งมอื เคร่อื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐ์ จากหนงั สอื
เรยี น ตามประเดน็ ทก่ี าหนด
2. นักเรยี นแตล่ ะคนในกลมุ่ ผลดั กนั อภปิ รายความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาใหเ้ พ่อื นในกลมุ่ ฟัง จนทุกคนใน
กลุ่ม มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทถ่ี ูกตอ้ ง ชดั เจน
3. ครูคดั เลอื กตวั แทนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการอภปิ รายหนา้ ชนั้ เรยี น แลว้ ใหน้ กั เรยี นกลมุ่ อน่ื ทม่ี ี
ความคดิ เหน็ แตกตา่ งกนั ออกไปไดแ้ สดงความคดิ เหน็ เพมิ่ เตมิ
4. สมาชกิ ในแตล่ ะกลุม่ ร่วมกนั ทาใบงานที่ 4.2 เรื่อง เครือ่ งมอื เครอื่ งใช้ในการทางานประดิษฐ์
เสรจ็ แลว้ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ถา้ มขี อ้ บกพรอ่ งใหช้ ่วยกนั ปรบั ปรงุ แกไ้ ข แลว้ นาสง่ ครูตรวจ
ขนั้ ที่ 3 สรปุ และนาหลกั การไปประยกุ ต์ใช้
1. นักเรยี นร่วมกนั สรุปความรเู้ ร่อื ง เครอ่ื งมอื เคร่อื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐ์
2. สมาชกิ ในแต่ละกลุม่ รว่ มกนั ทาใบงานท่ี 4.3 เร่ือง อปุ กรณ์ที่ใช้ในการวดั ตดั เจาะ และข้ึน
รปู ทรง เสรจ็ แลว้ นาส่งครูตรวจ
ขนั้ ที่ 4 วดั และประเมินผล
1. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั เฉลยคาตอบในใบงานท่ี 4.2-4.3
2. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ ของนกั เรยี น แลว้ เสนอแนะในส่วนทบ่ี กพรอ่ งเพ่อื นาไป
ปรบั ปรุง แกไ้ ขในการทางานครงั้ ตอ่ ไป
3. ครูวดั และประเมนิ ผลนกั เรยี นจากการทาใบงาน
เร่อื งที่ 4 การออกแบบงานประดิษฐ์ 36
1 ชวั่ โมง
วิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ขนั้ ที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engage)
1. ครูใหน้ กั เรยี นดตู วั อย่างงานประดษิ ฐ์ของใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ แลว้ แสดงความคดิ เหน็
ตามประเดน็ ทก่ี าหนด
2. ครูอธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั การออกแบบงานประดษิ ฐ์
ขนั้ ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
นกั เรยี นกลมุ่ เดมิ รว่ มกนั ศกึ ษาความรเู้ ร่อื ง การออกแบบงานประดษิ ฐ์ จากหนังสอื เรยี น
ขนั้ ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
1. สมาชกิ แต่ละคนในกลมุ่ ผลดั กนั อธบิ ายความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาใหเ้ พ่อื นในกลมุ่ ฟัง จนทุกคนใน
กลุ่ม มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทถ่ี กู ตอ้ ง ตรงกนั
2. ครูสุ่มนกั เรยี นอธบิ ายความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาใหเ้ พอ่ื นฟังหน้าชนั้ เรยี น จากนนั้ เพอ่ื นชว่ ยกนั
ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง แลว้ ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ
ขนั้ ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Expand)
1. ครใู หส้ มาชกิ แต่ละกลุ่มรว่ มกนั วเิ คราะหว์ จิ ารณต์ นเองและเพ่อื นในกลุ่มตามประเดน็ ทก่ี าหนด
2. ตวั แทนแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการวเิ คราะหว์ จิ ารณห์ น้าชนั้ เรยี น แลว้ ใหเ้ พอ่ื นกลุ่มอ่นื ทม่ี คี วาม
คดิ เหน็ แตกต่างกนั ออกไปไดแ้ สดงความคดิ เหน็ เพมิ่ เตมิ
3. สมาชกิ แต่ละกลมุ่ ร่วมกนั ทาใบงานที่ 4.4 เร่อื ง การออกแบบงานประดิษฐ์
ขนั้ ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูเฉลยคาตอบในใบงานท่ี 4.4 แลว้ ใหส้ มาชกิ แตล่ ะกลมุ่ ช่วยกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและแกไ้ ข
เพม่ิ เตมิ
2. นกั เรยี นร่วมกนั สรปุ ความรเู้ รอ่ื ง การออกแบบงานประดษิ ฐ์
เร่อื งที่ 5 งานประดิษฐจ์ ากวสั ดทุ ้องถิ่น 37
1 ชวั่ โมง
วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
ขนั้ ท่ี 1 สงั เกต
1. ครใู หน้ กั เรยี นดูตวั อยา่ งงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถนิ่
2. นกั เรยี นกลมุ่ เดมิ รว่ มกนั สนทนาเกย่ี วกบั ตวั อยา่ งงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถนิ่ ท่ี
ครูนามาใหด้ ู
ขนั้ ท่ี 2 จาแนกความแตกต่าง
1. สมาชกิ ในแต่ละกลุม่ รว่ มกนั ศกึ ษาความรเู้ รอ่ื ง งานประดษิ ฐ์จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ จากหนังสอื เรยี น
2. สมาชกิ ในแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั วเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งของตวั อยา่ งงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่
จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ ทค่ี รนู ามาใหด้ ู
3. ครูจบั สลากเลอื กตวั แทนกล่มุ นาเสนอผลการวเิ คราะหห์ น้าชนั้ เรยี น แลว้ ใหเ้ พอ่ื นกลมุ่ อ่นื ทม่ี ผี ลการ
วเิ คราะหแ์ ตกต่างกนั ออกไปไดน้ าเสนอเพม่ิ เตมิ
ขนั้ ที่ 3 หาลกั ษณะรว่ ม
1. สมาชกิ ในแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั วเิ คราะหค์ วามเหมอื นหรอื คลา้ ยคลงึ กนั ของตวั อย่างงานประดษิ ฐข์ อง
ใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ ทค่ี รนู ามาใหด้ ู
2. ครจู บั สลากเลอื กตวั แทนกลุ่มนาเสนอผลการวเิ คราะหห์ นา้ ชนั้ เรยี น แลว้ ใหเ้ พอ่ื นกลมุ่ อน่ื ทม่ี ผี ลการ
วเิ คราะหแ์ ตกตา่ งกนั ออกไปไดน้ าเสนอเพม่ิ เตมิ
ขนั้ ที่ 4 ระบุช่ือความคิดรวบยอด
นักเรยี นรว่ มกนั สรุปความรจู้ ากตวั อยา่ งงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ ทค่ี รนู ามา
ใหด้ ู
ขนั้ ท่ี 5 ทดสอบและนาไปใช้
นักเรยี นแต่ละคนทาใบงานที่ 4.5 เรอ่ื ง งานประดิษฐ์จากวสั ดทุ ้องถ่ิน เสรจ็ แลว้ นาสง่ ครตู รวจ
38
เรอ่ื งที่ 6 การฝึ กประดิษฐช์ ิ้นงานของใช้ ของตกแต่ง 1 ชวั่ โมง
จากวสั ดทุ ้องถ่ิน
วิธีสอนโดยใช้การ สาธิต
ขนั้ ท่ี 1 เตรียมการสาธิต
ครูจดั เตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประดษิ ฐก์ รอบรูปเชอื กปอ
(ครอู าจสอนการประดษิ ฐก์ ระเป๋ าเชอื กปอประดบั กงิ่ ไมไ้ ดต้ ามความเหมาะสม โดยศกึ ษาไดจ้ าก
เอกสารประกอบการสอน)
ขนั้ ท่ี 2 สาธิต
1. ครแู จง้ ใหน้ กั เรยี นทราบวา่ ครจู ะสาธติ วธิ กี ารประดษิ ฐก์ รอบรูปเชอื กปอใหน้ กั เรยี นดูเป็นตวั อยา่ ง
2. ครสู าธติ วธิ กี ารประดษิ ฐก์ รอบรูปเชอื กปอ พรอ้ มอธบิ ายประกอบทลี ะขนั้ ตอนอยา่ งชา้ ๆ เพอ่ื ให้
นกั เรยี นสงั เกตและจดจาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
3. นกั เรยี นกลุ่มเดมิ ร่วมกนั ประดษิ ฐ์กรอบรปู เชอื กปอตามทค่ี รสู าธติ
ขนั้ ที่ 3 สรปุ การสาธิต
1. นกั เรยี นร่วมกนั สรุปวธิ กี ารประดษิ ฐก์ รอบรปู เชอื กปอ
2. นกั เรยี นแตล่ ะคนศกึ ษาความรเู้ รอ่ื ง การฝึกประดษิ ฐช์ น้ิ งานของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถนิ่ :
การประดษิ ฐ์กรอบรปู เชอื กปอ จากหนงั สอื เรยี น เป็นการบา้ น เพอ่ื ทบทวนวธิ กี ารประดษิ ฐก์ รอบรูป
เชอื กปอ
ขนั้ ที่ 4 วดั ผลประเมินผล
ครูวดั และประเมนิ ผลนักเรยี นจากการประดษิ ฐก์ รอบรูปเชอื กปอ และการสรปุ วธิ กี ารประดษิ ฐก์ รอบ
รปู เชอื กปอ
ครมู อบหมายให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั ประดิษฐข์ องใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ ้องถ่ิน
โดยใหค้ รอบคลุมประเดน็ ตามทกี่ าหนด
(ครอู าจใหน้ ักเรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมนอกเวลาเรยี น)
นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 4
39
9 สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
9.1 สือ่ การเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี น การงานอาชพี และเทคโนโลยี ม.1
2) เอกสารประกอบการสอน
3) ตวั อย่างงานประดษิ ฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
4) วสั ดุอุปกรณ์ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประดษิ ฐก์ รอบรปู เชอื กปอ
5) ใบงานท่ี 4.1 เร่อื ง ชนดิ ของวสั ดุทอ้ งถน่ิ
6) ใบงานท่ี 4.2 เร่อื ง เคร่อื งมอื เคร่อื งใชใ้ นการทางานประดษิ ฐ์
7) ใบงานท่ี 4.3 เรอ่ื ง อปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการวดั ตดั เจาะ และขน้ึ รูปทรง
8) ใบงานท่ี 4.4 เร่อื ง การออกแบบงานประดษิ ฐ์
9) ใบงานท่ี 4.5 เร่อื ง งานประดษิ ฐ์จากวสั ดทุ อ้ งถน่ิ
9.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) หอ้ งสมุด
2) แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ
- http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-6405.html
- http://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/generality/10000-
6401.html
- http://www.kr.ac.th/wai/show.php?id=397
- http://monochromeoguise.wordpress.com/test-งานประดษิ ฐ/์
40
การประเมินช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมินการประดิษฐ์ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดทุ ้องถ่ิน
รายการประเมิน ดมี าก (4) คาอธิบายระดบั คณุ ภาพ / ระดบั คะแนน ปรบั ปรงุ (1)
ดี (3) พอใช้ (2)
1. การประดิษฐ์ ประดษิ ฐ์ของใช้ ของ ประดษิ ฐ์ของใช้ ของ ประดษิ ฐ์ของใช้ ของ ประดษิ ฐข์ องใช้ ของ
ของใช้ ของตกแต่ง ตกแตง่ จากวสั ดทุ อ้ งถนิ่ ตกแต่งจากวสั ดทุ อ้ งถนิ่ ตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถน่ิ ตกแตง่ จากวสั ดุทอ้ งถนิ่
จากวสั ดทุ ้องถ่ิน ตามขนั้ ตอนกระบวนการ ตามขนั้ ตอนกระบวนการ ตามขนั้ ตอนกระบวนการ ตามขนั้ ตอนกระบวนการ
ตามขนั้ ตอน ทางานไดถ้ กู ตอ้ ง ทางานไดถ้ กู ตอ้ ง ทางานไดถ้ กู ต้อง ทางานไมถ่ ูกตอ้ ง
กระบวนการ ทกุ ขนั้ ตอน เกอื บทุกขนั้ ตอน บางขนั้ ตอน
ทางาน
2. การใช้กระบวน ใชก้ ระบวนการกลุม่ ใชก้ ระบวนการกลมุ่ ใชก้ ระบวนการกล่มุ ใชก้ ระบวนการกลมุ่
ในการประดษิ ฐ์ ของใช้ ในการประดษิ ฐ์ ของใช้ ในการประดษิ ฐ์ ของใช้
การกลมุ่ ในการ ในการประดษิ ฐ์ ของใช้ ของตกแต่งจากวสั ดุ ของตกแตง่ จากวสั ดุ ของตกแต่งจากวสั ดุ
ทอ้ งถน่ิ ดว้ ยความ ทอ้ งถน่ิ ดว้ ยความ ทอ้ งถน่ิ ดว้ ยความ
ประดิษฐ์ของใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุ เสยี สละไดถ้ ูกต้อง เสยี สละไดถ้ กู ตอ้ ง เสยี สละไดถ้ ูกต้อง
เหมาะสมเกอื บทุก เหมาะสมบางขนั้ ตอน 1-2 ขนั้ ตอน
ของตกแต่ง ทอ้ งถน่ิ ดว้ ยความ ขนั้ ตอนของการทางาน ของการทางาน
ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา
จากวสั ดทุ ้องถิ่น เสยี สละไดถ้ ูกตอ้ ง การประดษิ ฐข์ องใช้
ดว้ ยความเสียสละ เหมาะสมทุกขนั้ ตอน ของตกแตง่ จากวสั ดุ
ทอ้ งถน่ิ อย่างมเี หตผุ ล
ของการทางาน ไดค้ อ่ นขา้ งถูกตอ้ ง
แต่ไม่ค่อยเหมาะสม
3. การตดั สินใจ ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา
แกป้ ัญหาการ การประดษิ ฐ์ของใช้
ประดิษฐข์ องใช้ ของตกแตง่ จากวสั ดุ การประดษิ ฐข์ องใช้ การประดษิ ฐ์ของใช้
ของตกแต่ง ทอ้ งถน่ิ อย่างมเี หตผุ ล
จากวสั ดทุ ้องถ่ิน ไดถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม ของตกแต่งจากวสั ดุ ของตกแต่งจากวสั ดุ
ทอ้ งถนิ่ อยา่ งมเี หตผุ ล ทอ้ งถน่ิ อยา่ งมเี หตผุ ล
ไดถ้ ูกต้อง และค่อนขา้ ง ไดค้ ่อนขา้ งถูกต้อง
อย่างมีเหตผุ ล เหมาะสม เหมาะสม
4. ผลงานการ ผลงานการประดษิ ฐ์ ผลงานการประดษิ ฐ์ ผลงานการประดษิ ฐ์ ผลงานการประดษิ ฐ์
ประดิษฐ์ของใช้ ของใช้ ของตกแตง่ จาก ของใช้ ของตกแตง่ จาก ของใช้ ของตกแต่งจาก ของใช้ ของตกแตง่ จาก
ของตกแต่งจาก วสั ดทุ อ้ งถน่ิ มคี วาม วสั ดุทอ้ งถนิ่ คอ่ นขา้ ง วสั ดทุ อ้ งถนิ่ ไมค่ อ่ ย วสั ดทุ อ้ งถนิ่ ไม่คอ่ ย
วสั ดทุ ้องถิ่น สวยงาม และสามารถ สวยงาม และสามารถ สวยงาม แต่สามารถ สวยงาม และไมส่ ามารถ
นาไปใชง้ านไดจ้ รงิ นาไปใชง้ านไดจ้ รงิ นาไปใชง้ านไดจ้ รงิ นาไปใชง้ านไดจ้ รงิ
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน 14 - 16 11 - 13 8 - 10 ต่ากวา่ 8
ระดบั คณุ ภาพ ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
41