หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1
                               หลักการมัคคเุ ทศก์
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมจะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมาย ความสำคัญของหลักการมัคคุเทศก์ บทบาทหน้าที่
ความรับผิดชอบ บคุ ลกิ ลักษณะและจรรยาบรรณของมัคคเุ ทศก์
      ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันดีว่า “การท่องเที่ยว” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อหลายๆ ประเทศทั่วโลก
โดยเฉพาะประเทศไทย “การท่องเที่ยว” ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินตราให้แก่ประเทศและสามารถทำ
ประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก เช่น การสร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ วจะเจริญเตบิ โตอย่างต่อเน่ืองแต่กต็ อ้ งเผชิญกบั ภาวะการแขง่ ขันทางการท่องเที่ยว
ในตลาดโลก และความผันผวนทางเศรษฐกิจและทางการเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงต่อ
สภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐ และ
ภาคเอกชนจึงควรร่วมมือร่วมใจกันวางรากฐานการดำเนินงานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษา
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของแหลง่ ทอ่ งเที่ยว และการรณรงคป์ ลูกจติ สำนึกในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อ
ใชป้ ระโยชนด์ า้ นการท่องเทย่ี วในระยะยาว เพื่อรักษาอตุ สาหกรรมการท่องเท่ียวของประเทศไทยในรปู แบบท่ีย่ังยืน
ต่อไป และความที่ประเทศไทยมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคทำให้ประเทศไทยเป็น
หนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักทอ่ งเที่ยวเพือ่ เข้ามาชื่นชมความงามของทรพั ยากรธรรมชาติตามแหล่งท่องเที่ยว
และเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม ทำให้อาชีพมัคคุเทศก์กลายเป็นอาชีพที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว เพราะในทาง
ปฏบิ ตั ิมคั คเุ ทศกถ์ อื เป็นผู้ท่ีมีความใกล้ชิดกบั นกั ท่องเที่ยวและนักท่องเท่ยี วให้ความไว้ใจมากทสี่ ดุ ซง่ึ ส่งผลกับความ
ประทับใจในการเดินทางท่องเท่ียวได้ และมคั คุเทศก์ยงั ถือเป็นตวั แทนของประเทศท่ีนอกจากจะทำหน้าที่เป็นผู้นำ
ในการเดินทางท่องเที่ยวแล้วยังต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ทั้งข้อมูลที่ให้กับนักท่องเที่ยว และต้องมีความรู้ใน
การปฏิบัติงานตามขั้นตอนเป็นอย่างดี เพราะจะทำให้การนำเที่ยวประสบความสำเร็จและไม่มีความผิดพลาด
เกดิ ขึ้น และคณุ สมบตั ทิ ี่จะขาดไม่ได้คือต้องมคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาเฉพาะหน้าให้กับนักท่องเทย่ี วได้ เพราะ
นกั ท่องเท่ยี วกค็ าดหวงั วา่ มคั คุเทศก์จะสามารถดูแลใหบ้ ริการและให้ความรู้ไดใ้ นทุกกรณี
ความสำคญั ของมัคคเุ ทศก์
      มัคคุเทศก์หรือไกด์มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและจากประวัติศาสตร์ที่ได้มีการศึกษา
ค้นควา้ ก็อาจกลา่ วได้ว่า “มัคคเุ ทศก์” เปน็ อาชพี หนงึ่ ท่เี ก่าแกท่ ่สี ดุ ในบรรดาอาชีพตา่ ง ๆ ของโลก เพราะมนุษย์เร่ิม
มีการท่องเที่ยวหรือการเดินทางมาเป็นเวลาช้านาน สมัยแรกเริ่มมีผู้กล่าวถึงมัคคุเทศก์ในการเป็นผู้นำเที่ยวหรือ
ผู้นำทาง ได้แก่ “ผูเ้ บกิ ทาง” (Pathfinders)
      มัคคุเทศก์นับว่าเป็นอาชีพท่ีมีความสำคัญต่อประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสำคญั ท่ีมตี ่อ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต่อสังคมวัฒนธรรม ต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ต่อนักท่องเที่ยว เป็นผู้ชี้แนะอธิบายสิ่ง
ตา่ ง ๆ สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นระหว่างนักท่องเท่ียวกบั แหลง่ ท่องเทยี่ ว ตอบคำถามทุกอย่างที่นักท่องเที่ยว
สงสัยอยากรู้ ตลอดจนทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ ยวได้รับ
ความสะดวกสบายอนุ่ ใจ และป้องกนั ดแู ลแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ข้ึนให้ลุลว่ งด้วยดี
      มัคคุเทศก์เป็นเหมือนทูตทางวัฒนธรรมของประเทศ ทำหน้าที่เป็นผู้นำชมแหล่งท่องเที่ยว รวมถึง
การอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง และสถาบัน
พระมหากษตั ริย์ ดังน้นั อาชีพมคั คเุ ทศกจ์ ึงตอ้ งมีความรอบรู้ทีถ่ ูกต้องในเร่อื งราวต่าง ๆ ในทกุ ด้าน
2
บทบาทของมคั คเุ ทศก์
      ในการปฏิบัติงานของมัคคุเทศก์นั้น จะต้องมีการแสดงออกได้ในหลายบทบาท ที่สำคัญได้แก่ บทบาทครู
บทบาทนักจิตวทิ ยา บทบาทนกั แสดง บทบาทนกั การทตู
      1. บทบาทครูหรอื นักวชิ าการ (Teacher Impersonate)
      เพราะต้องทำหน้าที่อธิบายเรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม สภาพ
ภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ ตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจและควรทราบ พร้อมทั้งสามารถตอบคำถามจาก
นักท่องเที่ยวได้ มัคคุเทศก์จึงต้องมีความรู้ในเนื้อหาที่หลากหลาย และต้องมีวิธีถ่ายทอดแบบเข้าใจง่ายและ
มปี ระสิทธภิ าพ แตม่ ัคคุเทศกไ์ ม่ใช่ครูจริง ๆ จึงตอ้ งพึงระวงั ในการใชค้ ำพดู ด้วย
      2. บทบาทนกั จิตวทิ ยา (Psychologist Impersonate)
      มัคคเุ ทศก์ตอ้ งรจู้ ัการใชจ้ ิตวิทยาในการทำงานเพอื่ ดูความต้องการของนักทอ่ งเที่ยววา่ ต้องการหรอื ให้ความ
สนใจในเรื่องใด ซึ่งความต้องการจะมีความแตกต่างกันไปตาม วัย ฐานะ พื้นฐานความรู้ เพศ อาชีพ ฯลฯ ของ
นักท่องเที่ยวแต่ละคน เช่นบางกลุ่มอาจไม่สนใจประวัติศาสตร์หรือข้อมูลที่เป็นวิชาการมากนัก แต่สนใจเรื่องท่ี
สนุกสนานและสร้างความบันเทิง แต่บางกลุ่มก็อาจจะต้องการความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม
อย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ชอบความสนุกหรือเสียงดังอึกทึก ดังนั้นมัคคุเทศก์จึงต้องค้นหาความลงตัวของแต่ละคนให้เจอ
โดยใชเ้ ทคนิคทางจติ วิทยานั่นคอื การพูด โดยท่คี วรต้องรู้วา่ คนฟงั สนใจฟังเรือ่ งอะไร หรือควรพดู อยา่ งไรให้น่าสนใจ
นักท่องเทีย่ วแตล่ ะคนมีความสนใจที่แตกต่างกนั มัคคเุ ทศกจ์ ึงควรทจี่ ะสังเกตการตอบสนองการฟังและปรบั การพูด
ใหเ้ หมาะสมนา่ สนใจตลอดเวลา
      3. บทบาทนักแสดง (Actor Impersonate)
      ในบางครั้งมัคคุเทศก์จำเป็นต้องแสดงบทบาทนักแสดง เพื่อสร้างบรรยากาศในการนำเที่ยวให้มีความ
สนุกสนาน มเี สียงหัวเราะ และมชี ีวิตชีวา
      4. บทบาทนกั การทตู (Diplomat Impersonate)
      ในบทบาทนม้ี คั คุเทศกเ์ ปรยี บเหมือนผู้ส่ือสารที่ทำหนา้ ท่ีบอกเล่าเร่ืองราวเกี่ยวกับประเทศหรือท้องถิ่นของ
ตนเองให้นักท่องเที่ยวได้ฟัง ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ชื่อเสียง และเสนอภาพลักษณ์ที่ดี สิ่งที่ไม่ควรพูดถึงคือ เรื่อง
ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
      5. บทบาทของผู้นำ (Leader Impersonate)
      มคี วามสามารถในการนำและควบคุมกลมุ่ นักท่องเที่ยวให้เดนิ ทางและท่องเท่ียวเป็นไปตามรายการนำเที่ยว
      6. บทบาทของนักอนรุ กั ษ์ (Conservationist Impersonate)
      มีความรับผิดชอบและเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว และสามารถทำให้
นักทอ่ งเทีย่ วมสี ่วนร่วมในการอนุรักษไ์ ด้
      7. บทบาทของผ้ปู ระสานงาน (Collaborator Impersonate)
      มีหน้าที่สร้างความเข้าใจในวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม โดยสามารถประสานความรู้สึกของ
นักทอ่ งเทีย่ ว ชมุ ชนท้องถิ่น และผปู้ ระกอบการให้มคี วามเขา้ ใจท่ดี ีต่อกนั
      8. บทบาทของเจา้ บา้ น (Host Impersonate)
      ให้การต้อนรับ เอาใจใส่นักท่องเที่ยว พยายามสร้างความสนุกสนาน และเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว
รู้ปัญหา ความตอ้ งการ และเตม็ ใจใหค้ ำแนะนำอยา่ งเตม็ ใจ
      9. บทบาทของนักส่อื ความหมายทางการท่องเทย่ี ว (Communicators Impersonate)
      เลา่ เร่ืองราวต่าง ๆ อย่างถูกต้องและมีทกั ษะ แปล รวมถงึ สอื่ สารให้ถกู ต้อง
                                                         ค่มู อื ลกู เสอื มคั คุเทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แห่งชาติ 2562
3
คุณสมบัตกิ ารเป็นมัคคุเทศก์
  1. มีใจรักการใหบ้ ริการ
  2. มคี วามรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว
  3. มจี รรยาบรรณ และศรัทธาต่ออาชพี
  4. มีความจรงิ ใจตอ่ นักท่องเทีย่ ว และมีความเชื่อมัน่ ในตวั เอง
  5. รูจ้ กั ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีแตล่ ะท้องถิน่
  6. มีไหวพริบดี สามารถแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้าเปน็ อยา่ งดี
  7. มีศิลปะในการพดู และการบริการ
  8. มมี นุษยสมั พนั ธ์ดี เข้มแข็ง สุภาพ อ่อนโยน
  9. มีความรู้เรือ่ งภาษาต่างประเทศเป็นอย่างดี
บทบาทหน้าที่ของมัคคุเทศก์
  ลักษณะงานของมัคคเุ ทศก์
  1. นำเท่ียวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
  2. มคั คเุ ทศกเ์ ปน็ ผู้เผยแพรภ่ าพพจน์
  3. เป็นตวั กลางในการประสานงานกับภาครฐั เอกชน และทอ้ งถิ่น
  4. มีสว่ นรว่ มในการเพ่ิมรายได้ให้แกท่ ้องถนิ่
  5. ดแู ลใหก้ ารบรกิ ารนักท่องเท่ยี ว
  6. อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดรายการนำเที่ยว
  7. นำเทย่ี วสถานที่ท่องเทย่ี วต่าง ๆ
  8. บรรยายใหค้ วามรู้เก่ียวกับสถานทน่ี ั้น ๆ
  9. ดแู ลเรื่องอาหาร ความปลอดภัย สรา้ งความบันเทงิ และความสขุ ให้แก่นักท่องเท่ียว
มารยาทและการวางตวั ขณะปฏบิ ตั ิงานของมคั คเุ ทศก์
  1. มัคคเุ ทศก์ตอ้ งผสมผสานระหว่างมารยาทไทย และ ควรเน้นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ไทยให้ เกดิ ความ
      ประทับใจ
  2. พูดจาสภุ าพ นำ้ เสยี ง และไม่ใช่คำหยาบ
  3. ไม่พูดคุยเรอื่ งสว่ นตวั ให้นกั ทอ่ งเท่ียวฟงั เพ่ือขอความเห็นอกเห็นใจ
  4. ใหป้ ฏบิ ัติในการพดู กับนักท่องเท่ยี วทั้งกล่มุ อย่างเทา่ เทยี ม
  5. ปฏบิ ตั ติ นให้นกั ท่องเท่ยี วเกดิ ความไวว้ างใจ หนา้ เช่อื ถือ
  6. ไม่แสดงความสนทิ สนมกับนักท่องเทย่ี วจนเกินสมควร โดยเฉพาะในด้านชสู้ าว
มารยาทและการวางตวั ของมัคคุเทศก์
 ข้อควรกระทำ
     1.รักษาความสะอาด และสขุ นสิ ัยส่วนตัว
     2.แต่งกายสภุ าพเรียบร้อย
     3.มกี ริ ยิ า มารยาท สภุ าพนุ่มนวล
     4.แสดงความเอาใจใส่ ต่อนกั ท่องเท่ยี วทุกคนในกลุ่ม
     5.ย้ิมแย้มแจ่มใสขณะปฏิบัติงาน
     6.ตรงตอ่ เวลาในทกุ กรณี
                                                         คมู่ ือลูกเสอื มคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลกู เสือแหง่ ชาติ 2562
4
ข้อไม่ควรกระทำ
   1.ไมท่ ะเลาะกบั นักท่องเทย่ี วทุกกรณี
   2.เลอื กดแู ลนักท่องเท่ียว เฉพาะกลมุ่ ที่เราชอบ
   3.เอาเร่อื งสว่ นตัวเลา่ ให้นกั ท่องเทีย่ วฟงั
   4.หวังผลประโยชน์จากร้านค้าท่นี ำนักท่องเทีย่ วไปซอื้ จนนกั ทอ่ งเท่ยี วเสยี ผลประโยชน์
เทคนิคการพากย์ทวั ร์
   1. ศึกษาขอ้ มูลในโปรแกรมทอ่ งเท่ียวท่ีได้รบั มอบหมาย
   2. ต้องรู้และเขา้ ใจ ข้อมลู สถานที่ท่องเท่ยี ว
   3. ใชภ้ าษาง่ายๆ ในการพดู บรรยาย เปน็ ธรรมชาติ
   4. เสยี งดงั ฟงั ชัด น้ำเสยี งน่าฟัง สุภาพ ไม่หยาบคาย
   5. ลกั ษณะทา่ ยืนพากย์ทัวร์ ตามสถานที่ท่องเท่ียวต่าง ๆ
จรรยาบรรณของมคั คเุ ทศก์
        มัคคุเทศก์มีบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นผู้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด และ
เป็นตัวแทนของประเทศ เปรียบเสมือน ทูตวัฒนธรรม เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี เกียรติคุณ และภาพพจน์ของ
ผปู้ ระกอบอาชพี เดยี วกนั ตลอดจนชอ่ื เสยี งของประเทศ จงึ จำเปน็ ตอ้ งมจี รรยาบรรณวิชาชีพมคั คเุ ทศก์
        1. เทดิ ทนู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
        2. เลอ่ื มใสการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย
        3. ยดึ มนั่ ในศาสนาที่ตนนับถือไมล่ บหลู่ดหู มิ่นศาสนาอืน่
        4. มีความรับผิดชอบและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย อุทิศเวลาของตน โดยคำนึงถึง
ผลประโยชนข์ องนกั ทอ่ งเทย่ี วเป็นสำคัญ ไมล่ ะท้งิ หนา้ ที่
        5. รกั ษาช่ือเสียงของตน โดยการปฏิบัตหิ นา้ ทดี่ ้วยความซือ่ สตั ย์สุจริต
        6. พึงมีทศั นคติ พฒั นาตนเองใหม้ คี ณุ ภาพ คุณวฒุ ิ คุณธรรม และทักษะในการปฏิบัติงาน
        7. พึงเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน ทั้งทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและ
ศลิ ปวัฒนธรรม
        8. ถือปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบแบบแผน ของสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่ง ตลอดจนระเบียบของทาง
ราชการ
มารยาทและจรรยาบรรณของมคั คุเทศก์
        1. แต่งกายเหมาะสม                                    4. มีความซื่อสัตย์สจุ รติ
        2. ตรงตอ่ เวลา                                       5. มบี คุ ลิกภาพดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง เปน็ ผูน้ ำ
        3. มีกรยิ า มารยาทสุภาพ                              6. เอาใจใส่ ไมท่ ะเลาะกบั นักท่องเที่ยว
                           ----------------------------------------------------------
                                                                   คู่มือลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ 2562
5
                               หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2
                          การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับการ
ฝึกอบรมจะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกบั ความหมาย ความสำคญั ของการส่ือสาร วัตถปุ ระสงค์ องค์ประกอบและ
หลักการสื่อสาร พร้อมทง้ั ตัวอย่าง คำกลา่ วทกั ทาย และบทสนทนาต่าง ๆ
การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ
      ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการสื่อสารเจริญก้าวหน้าไปมาก ทำให้การสื่อสารกลายเป็นปัจจัยสำคัญของ
อุตสาหกรรมดา้ นการท่องเที่ยวและการบริการ เพราะการสื่อสารเป็นเครื่องมือที่จะชว่ ยสร้างความแตกต่างในการ
รบั รทู้ งั้ ในด้านผลิตภณั ฑ์ ด้านการบริการ ดงั นั้นองคก์ รดา้ นการท่องเท่ยี วและชุมชนจงึ ควรทจ่ี ะหันมาให้ความสนใจ
ในเรื่องการสื่อสารตราสินค้า และพฤติกรรมในการให้บริการเปน็ เร่ืองสำคญั เพราะต้องการให้ลูกค้าสามารถจดจำ
และประทับใจในการเลือกใชบ้ ริการ โดยมกี ารปลูกฝังทัศนคติท่ีดีและมีการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพใน
การปฏิบัติงาน โดยมีการอบรมในเรือ่ งของพฤตกิ รรมท่ีเหมาะสมและมาตรฐานในการทำงาน เพราะตัวชี้วัดในการ
ทำงานคือความพึงพอใจของผู้เข้ารับการบริการ เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับชุมชนหรือองค์กรด้านการ
ท่องเทีย่ วทำใหป้ ระสบความสำเร็จ
ความหมายของการสื่อสาร
      การสื่อสาร (Communications) เป็นคำที่มีรากศัพท์จากภาษาลาตินว่า “Communis” หมายถึง
ความเหมือนกัน พรอ้ มกนั หรอื ร่วมกนั (Common) คอื เม่อื มีการส่ือสารระหว่างกันเกิดข้ึน กจ็ ะมีความพยายาม
ที่จะสร้างความรับรู้พร้อมกันหรือร่วมกัน ทั้งในด้านความคิด เรื่องราว ทัศนคติ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน
ความคิดเหน็ ซงึ่ กันและกัน รวมไปถงึ จดั สรา้ งระบบทใี่ ชใ้ นการติดต่อสอื่ สารกัน
      การสื่อสาร (Communication) หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์
ความร้สู กึ ความคิดเหน็ ความตอ้ งการจากผ้สู ่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ทอ่ี าจเป็นการพูด การเขยี น สัญลักษณ์อ่ืนใด
การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตาม
ความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคสู่ ื่อสาร โดยมีวัตถปุ ระสงค์ให้เกิดการรับรู้รว่ มกนั และมีปฏิกิริยา
ตอบสนองตอ่ กนั บริบททางการสื่อสารทเี่ หมาะสมเปน็ ปัจจัยสำคญั ที่จะชว่ ยให้การส่ือสารสัมฤทธิ์ผล
ความสำคัญของการสื่อสาร
การสอื่ สารมีความสำคัญดังน้ี
      1. การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ไม่มีใครที่จะดำรงชีวิตได้
โดยปราศจากการส่ือสาร ทุกสาขาอาชีพกต็ ้องใช้การสื่อสารในการปฏิบัติงาน การทำธรุ กิจต่าง ๆ โดยเฉพาะสังคม
มนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลา พัฒนาการทางสังคม จึงดำเนินไปพร้อม ๆ กับพัฒนาการ
ทางการสอื่ สาร
      2. การสื่อสารกอ่ ใหเ้ กิดการประสานสมั พันธ์กนั ระหว่างบุคคลและสังคม ชว่ ยเสริมสร้างความเข้าใจอันดี
ระหว่างคนในสังคม ช่วยสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี สะท้อนให้เห็นภาพความเจริญรุ่งเรือง วิถีชีวิตของผู้คน
ช่วยธำรงสงั คมให้อยรู่ ว่ มกันเปน็ ปกตสิ ขุ และอยรู่ ่วมกันอยา่ งสันติ
      3. การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทั้งตัวบุคคลและสังคม การพัฒนา
ทางสังคมในด้านคุณธรรม จริยธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ รวมทั้งศาสตร์ในการสื่อสาร จำเป็น
                                                         คมู่ ือลูกเสอื มัคคุเทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแห่งชาติ 2562
6
ต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์และพัฒนา
ความเจริญกา้ วหนา้ ในดา้ นตา่ ง ๆ
วตั ถุประสงค์ของการส่ือสาร
   1. เพอ่ื แจ้งใหท้ ราบ (Inform)
   2. เพ่อื สอนหรอื ให้การศึกษา (Teach or Education)
   3. เพอ่ื สร้างความพอใจหรือใหค้ วามบันเทิง (Please of Entertain)
   4. เพอื่ เสนอหรอื ชกั จูงใจ (Propose or Persuade)
   5. เพอ่ื เรียนรู้ (Learn)
   6. เพอื่ กระทำหรือตัดสนิ ใจ (Dispose or Decide)
องค์ประกอบของการสอ่ื สาร (S-M-C-R)
   1. ผู้ส่งสาร (Sender or Source) หมายถึงแหล่ง หรือผู้ที่นำข่าวสาร เรื่องราว แนวคิด องค์ความรู้ หรือ
      เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ เพือ่ ส่งไปยังผรู้ บั โดยการใช้เคร่อื งมืออย่างใดอยา่ งหนึง่ เช่น ภาษา โทรศพั ท์ ฯลฯ
   2. สาร (Message) หมายถึง เนื้อหา หรือเรื่องราวที่ถูกส่งออกมา เช่น ความรู้ ความคิด ข่าวสาร ข้อเขียน
      ฯลฯ เพ่อื ให้ผรู้ บั รับข้อมลู เหลา่ นั้น
   3. ส่ือหรือชอ่ งทางในการนำสาร (Channel or Media) หมายถึง ตัวกลางทชี่ ่วยถา่ ยทอดแนวคิด เรือ่ งราว
      เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ท่ีผู้สง่ ตอ้ งการส่งไปให้ถึงผู้รบั สือ่ สว่ นมากทีใ่ ชก้ นั มากท่ีสุด คือ ภาษาพูดที่ใช้เสียงเป็นตัว
      สื่อ หรือเวลาเขียนและอ่านหนังสือสื่อที่ใช้ก็คือภาษาเขียนหรือถ้าสื่อสารกับคนใบ้สื่อที่ใช้คือภาษามือ
      นอกจากนี้ยังมีสื่อที่เป็นอุปกรณ์ เช่น วิทยุ โทรทัศฯ สื่อสิ่งพิมพ์ รูปภาพ เพื่อเป็นสื่อหรือช่องทาง ในการ
      สือ่ ความหมายได้
   4. ผู้รับสารหรือกลุ่มเป้าหมาย (Receiver or Target Audience) หมายถึง ผู้รับเรื่องราวจากผู้ส่ง
      โดยผรู้ บั อาจเปน็ บุคคล กลมุ่ คน
หลักการสื่อสาร (7C's model for communication)
      C1- Complete มคี วามสมบูรณค์ รบถ้วน
      การส่อื สารทด่ี ี สารทส่ี ง่ ควรมีความครบถ้วนสมบูรณ์เสยี ก่อน ที่จะส่งออกไปยงั ผูร้ ับสาร เพอื่ ใหเ้ ข้าใจ
จุดมุง่ หมายของการส่อื สารตรงกัน การสือ่ สารท่สี มบูรณจ์ ะชว่ ยให้ :
          - ช่วยใหท้ ุกคนเห็นเปา้ หมายและทศิ ทางการเติบโตในทางเดยี วกนั
          - ประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยเน่ืองจากไม่มีขอ้ มูลที่สำคญั ขาดหายและไม่มีค่าใชจ้ ่ายเพม่ิ เติมในการถา่ ยทอด
      ข้อความพิเศษหากการส่ือสารเสร็จสมบรู ณ์
          - การส่ือสารท่ีสมบรู ณจ์ ะให้ข้อมลู ทีถ่ ูกต้อง ไมม่ ีข้อสงสยั ใด ๆ ของผ้รู ับสาร
          - การส่ือสารที่สมบรู ณจ์ ะชว่ ยในการตัดสนิ ใจไดด้ ีขนึ้ โดยผ้รู ับสาร / ผู้อา่ น / ผู้รบั ข้อความตามที่ไดร้ ับ
      ข้อมลู ที่ต้องการและสำคัญทง้ั หมด
      C2 - Conciseness กระชับ
      การสื่อสารที่ดีไม่จำเป็นจะต้องเขียนหรือพูดยาวๆหรือต้องปริมาณมาก ๆ แต่การสื่อสารที่ดีควรพูดหรือ
เขียนให้มีความสั้นกระชับ ลักษณะของการสื่อสารให้กระชับ เน้นเนื้อหาและข้อความที่สำคัญเป็นหลัก หลีกเลี่ยง
การใช้คำที่มากเกินไปโดยไม่มีความจำเป็น ข้อความที่กระชับไม่ซ้ำซ้อนกันจะช่วยให้ประหยัดเวลาและประหยัด
คา่ ใช้จา่ ย รวมทั้งดงึ ดูดผรู้ ับสารไดม้ ากขนึ้ ไมย่ ดื ยาวน่าเบ่อื
                                                         ค่มู ือลูกเสอื มัคคุเทศก์ : สำนกั งานลกู เสือแหง่ ชาติ 2562
7
      C3 - Consideration พินิจพเิ คราะห์/เหน็ อกเห็นใจผอู้ ืน่
      การสื่อสารท่ีดี ต้องพิจารณา ถึงมุมมองของผู้รับสารในด้านความคิด ความเชื่อ ระดับการศึกษา พยายาม
ทำความเข้าใจผู้รับสาร ความต้องการ อารมณ์ และปัญหาของเขา เข้าไปนั่งในใจของผู้รับสาร แล้วปรับเปลี่ยน
ถ้อยคำใหเ้ หมาะสมกับผูร้ บั สาร ซ่ึงจะทำใหเ้ กิดอารมณแ์ ละปฏิกริ ิยาเชงิ บวกกลบั มา
      C4 - Clarity ชดั เจน
      การสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูด การเขียน จะต้องเป็นการสื่อสารที่มีความชัดเจน เรียบง่าย เมื่อสื่อสาร
ออกไปแล้ว ผู้รับสารต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเช่นเดียวกับผู้ส่งสาร ความชัดเจนในการสื่อสารมีคุณสมบัติดังน้ี:
ทำให้เข้าใจงา่ ยข้ึน ความชดั เจนและความคิดทีส่ มบรู ณจ์ ะช่วยเพิม่ ความหมายของข้อความ เหมาะสม และเห็นเปน็
รปู ธรรม
      C5 - Concrete เป็นรปู ธรรม
      การสื่อสารแบบชัดเจนและเป็นรูปธรรม ด้วยข้อความประกอบด้วยข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ชัดเจน ช่วย
เพิม่ ความมัน่ ใจ ซึ่งจะทำใหไ้ มถ่ ูกตีความผดิ ๆ
      C6 - Courtesy สุภาพ
      การสือ่ สารท่ีสภุ าพ เปน็ มารยาทอยา่ งหน่งึ ในการแสดงออกถงึ ความคิด และความรสู้ กึ ของผู้ส่งสาร ท่จี ะถงึ
ผ้รู ับสาร ดังนน้ั จึงควรใหเ้ คารพสิทธขิ องผู้รับสารท่ีจะไดส้ ารทีด่ ี มคี วามสุภาพ โดยการคำนึงถึงมุมมองท้ังสองฝ่าย
รวมทงั้ ความรูส้ ึกของผู้รับข้อความด้วย
      C7- Correct ถูกตอ้ ง
      ความถูกต้องเป็นสิ่งที่ผู้ส่งสารควรพิจารณา และตรวจสอบก่อนที่จะส่งสารออกไป ว่าสารที่ผู้ส่งสาร
ต้องการจะสื่อสารออกไป เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีความถูกต้องชัดเจนหรือไม่ หากไม่ถูกต้องควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ก่อนที่จะส่งสารออกไป ความถูกต้องของการสื่อสารหมายถึงไม่มีข้อผิดพลาดทั้งทางไวยกรณ์ในการสื่อสารและ
ข้อเทจ็ จริง การสอ่ื สารทีถ่ ูกต้องมีคุณสมบัติดังนี้
             - ขอ้ ความถูกตอ้ ง และใชใ้ นเวลาท่ีถูก
             - ใช้ระดับภาษาท่เี หมาะสม
             - มคี วามแมน่ ยำและความถูกต้องของขอ้ เทจ็ จริงและตวั เลขท่ใี ชใ้ นข้อความ
             หากการส่อื สารถกู ตอ้ งจะช่วยเพิม่ ระดับความเช่ือม่นั ของผู้รับสารได้
ทักษะการสื่อสาร
      1. การฝึกการออกเสียงและการวางจังหวะการพูด
      2. ศลิ ปะแห่งการสนทนา (การเลือกใชถ้ ้อยคำในโอกาสตา่ ง ๆ)
      3. ทักษะการฟังและมารยาทของผรู้ ับฟงั ทด่ี ี
      4. การฝกึ และเตรียมพูดตอ่ ชมุ ชนเสมอ
คำกล่าวทักทาย (Greetings)
Hello แปลวา่ “สวัสดคี รบั /ค่ะ” คำนี้ใชใ้ นสถานการณ์ท่เี ป็นทางการได้ และใชพ้ ูดกบั คนทไ่ี ม่สนทิ หรือจะใช้
คำทกั ทายที่ขนึ้ อยู่กับชว่ งเวลาในแต่ละวนั
Good morning สวสั ดตี อนเชา้ , อรณุ สวสั ดิ์
Good afternoon สวสั ดตี อนบ่าย
Good evening               สวสั ดตี อนเยน็
                                              คมู่ ือลกู เสือมคั คุเทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แหง่ ชาติ 2562
8
เม่ือทักทายเสรจ็ เราจะถามถึงทกุ ขส์ ุขอีกฝา่ ยดังน้ี
How are you?                                          How is it going?
How are you today?                                    How is everything?
How are you doing?                                    How are things?
How have you been?                                    How are things with you?
ท้ังหมดนมี้ ีความหมายวา่ “คุณสบายดไี หมครบั /คะ” หรือ “เป็นอยา่ งไรบ้างครบั /คะ”
ซ่งึ อกี ฝา่ ยจะตอบรบั ได้ดงั นี้
I’m fine, thank you.
I’m well, thank you.
I’m doing well, thank you.
I’m very well, thank you for asking.
I’m doing fine, thank you for asking
ทง้ั หมดนี้แปลว่า “ผม/ฉันสบายดีครับ/คะ่ ” หรือถา้ ไม่ไดร้ ู้สึกสบายดี เราอาจจะตอบได้วา่
I’m not fine.                                         ผม/ฉนั ไม่ค่อยสบายครับ/ค่ะ
I’m not very well. I have a cold.                     ผม/ฉนั ไมส่ บายครบั /ค่ะ เป็นหวดั
It could be better.                                   ไมค่ ่อยสบายครบั /ค่ะ
I’ve been better.                                     ตอนน้ดี ขี ้ึนแลว้ (ผา่ นช่วงแยๆ่ มา)
ฝา่ ยทต่ี อบรับก็ควรจะถามอีกฝ่ายกลับดว้ ยเพือ่ เป็นมารยาท โดยถามได้ดงั นี้
And you?
And yourself?
What about you?
How about you?
ทัง้ หมดนแ้ี ปลวา่ “แล้วคณุ ล่ะครบั /คะ”
ตัวอย่างบทสนทนา
Example 1
A: Good morning.
B: Good morning. How are you doing?
A: I’m doing well, thank you for asking. What about you?
B: I’m very well, thank you.
Example 2
A: Good afternoon. How have you been lately?
B: Good afternoon. I’ve been fine, thank you. And you
A: I’ve been great, thank you.
Example 3
A: Good morning.
B: Hello. How are things with you?
A: Pretty good. Thank you. How about you?
B: I’m fine, thank you
                                                      คู่มอื ลกู เสือมคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แห่งชาติ 2562
9
การแนะนำตวั (Introduce)
Let me introduce myself.                       ขอแนะนำตวั เอง
May I introduce myself?                        ขอแนะนำตัวเอง
I’m/My name’s ..........                       ผมชื่อ..................
I come from ................                   ฉันมาจาก............
I'm a student at ……...... College. ฉนั เป็นนักเรียนทวี่ ิทยาลยั ….....
I study at …………… College.                      ฉนั เรียนอยู่ทว่ี ทิ ยาลัย …............
I’m teaching at …………… College. ฉันสอนอยู่ทีว่ ิทยาลัย ….............
เมอ่ื แนะนำตัวเรยี บรอ้ ยแลว้ เราควรกล่าวอะไรเพอื่ แสดงว่าเรายินดที ไ่ี ดร้ ู้จักเขา เชน่
“How do you do.” ใช้ในการทำความร้จู กั กนั ครงั้ แรก เม่ือฝา่ ยหนงึ่ กล่าวว่า “How do you do.” อีกฝา่ ยต้อง
ตอบรบั วา่ “How do you do.” เชน่ กัน
Nice to meet you.                              ยินดที ่ีไดร้ ู้จักครับ/ค่ะ
Very nice to meet you.                         ยินดมี าก ๆ เลยที่ไดร้ ู้จักครับ/คะ่
Glad to meet you.                              ยินดีที่ได้รู้จักครับ/ค่ะ
Pleased to meet you.                           ยินดีทีไ่ ด้รจู้ กั ครบั /ค่ะ
It’s a pleasure to meet you.                   ยนิ ดมี าก ๆ ครบั /ค่ะ ที่ได้รจู้ กั
ตวั อย่างบทสนทนา
Example 1
Harry: May I introduce myself? My name is Harry Wells.
Charlotte: My name is Charlotte Jackson. Pleased to meet you, Harry.
Harry: Pleased to meet you too, Charlotte.
Example 2
Jane: I’d like to introduce myself. My name is Jane Watts. I come from California. My
profession is an accountant.
Alice: My name is Alice Black. How do you do.
Jane: How do you do.
การเสนอตัวเข้าใหก้ ารชว่ ยเหลือ (Helper)
การเสนอความช่วยเหลือ สำนวนทีม่ กั ใช้ ไดแ้ ก่
Can I help you?                                มอี ะไรให้ผมช่วยไหม
Would you like me to help you? คณุ อยากให้ฉันชว่ ยไหม
Let me help you with this.                     ขอให้ผมชว่ ยคุณเรอื่ งนีเ้ ถอะ
Can I give you a hand?                         ฉนั ขอช่วยคณุ ได้ไหม
การตอบรบั ความชว่ ยเหลือ
Thank you very much. You’re so kind. ขอบคุณมาก คุณกรุณามากเลย
Thanks. It’s very kind/nice of you. ขอบคุณ คณุ ดีมากเลย
                                               คมู่ ือลูกเสอื มัคคุเทศก์ : สำนักงานลูกเสือแหง่ ชาติ 2562
10
ตวั อย่างบทสนทนา
     Example
         Tourist: Do you speak English?
         You: Yes, how can I help you?
         Tourist: Mm, well, I think we’re lost.
         You: Where are you going?
         Tourist: The Grand Palace.
         You: Oh, that’s far. I’ll help you catch a taxi.
         Tourist: Thank you.
                            -----------------------------------------------
ค่มู ือลกู เสอื มัคคเุ ทศก์ : สำนกั งานลูกเสอื แหง่ ชาติ 2562
11
                               หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3
                     ความร้พู นื้ ฐานของพ้นื ท่ี และพื้นท่ีขา้ งเคียง
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมจะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมาย ความสำคัญ ประเภท และวิธีการเขียนพื้นที่และพื้นที่
ข้างเคียง
ทำไมลกู เสอื มัคคุเทศก์จำเป็นต้องทราบเก่ียวกบั ความรู้พืน้ ฐานของพ้นื ทีแ่ ละพื้นท่ีข้างเคียง
      1. ลูกเสือมคั คุเทศก์สามารถอธิบายลักษณะภูมศิ าสตร์ของสถานท่ีนนั้ ๆ ได้
      2. สามารถออกแผนท่สี ถานท่ีท่องเท่ียวได้
      3. สามารถพานักท่องเท่ยี วไปยังสถานที่นน้ั ได้ อยา่ งถูกต้อง
      4. สามารถอธิบายเสน้ ทางท่องเทยี่ วให้แก่นกั ทอ่ งเทย่ี วได้
      ประเทศในอดีตน้ันยังไมม่ ีการรวมเป็นประเทศหรือแบ่งเป็นภูมิภาคอยา่ งเช่นปจั จุบัน ตั้งแต่ในอดีตจะแบ่ง
การปกครองออกเป็นอาณาจักร หรือแบ่งตามความเข้มแข็งของผู้นำที่จะสามาถทำสงครามเพื่อที่จะขยายอาณา
เขตการปกครองออกไป ทำให้แต่ละพื้นที่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วัฒนธรรม หรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่อาจจะ
เหมือนหรือแตกต่างกนั ไป ดงั น้นั ลกู เสือมคั คุเทศกจ์ ึงควรที่จะทำการศึกษาเร่ืองราวของพ้นื ที่ของตนเองและพ้ืนท่ีท่ี
อย่รู อบ ๆ พ้นื ท่ีของลกู เสอื มัคคเุ ทศกเ์ อง เพ่อื ที่จะต่อยอดใชใ้ นการเชือ่ มโยงเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ได้มากขน้ึ
สิ่งที่ลกู เสือมคั คเุ ทศกค์ วรรู้ในเบ้ืองต้น ดงั นี้
     • ประวตั ิศาสตร์พนื้ ฐาน เช่น
            ➢ ประวัติศาสตรค์ วามเปน็ มาของจงั หวัด
            ➢ ประวตั บิ คุ คลสำคัญในจังหวัด
            ➢ นิทานพืน้ ถ่นิ ตำนาน เรือ่ งราวเร่ืองเล่า
     • ภูมิศาสตรพ์ น้ื ถ่นิ – ทางธรรมชาติ เชน่
            ➢ ดอยอ่างขาง
            ➢ ดอกพญาเสอื โครง่ ขุนช่างเค่ียน
     • แหล่งทอ่ งเท่ียวทส่ี ำคญั เชน่
            ➢ พระตำหนักภูพิงคร์ าชนเิ วศน์
            ➢ วัดพระธาตุดอยสเุ ทพราชวรวหิ าร
     • แหล่งท่องเที่ยวทางวฒั นธรรมและวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ เช่น
            ➢ ศนู ย์วฒั นธรรมเชียงใหม่
            ➢ หมบู่ ้านชุมชนชนเผ่าชาวเขา
                                                         คู่มอื ลกู เสือมคั คุเทศก์ : สำนักงานลกู เสือแห่งชาติ 2562
12
ภาพตัวอยา่ งการวาดแผนที่แหล่งท่องเที่ยวภายในพ้นื ท่ใี กล้เคยี ง
                                    ค่มู ือลกู เสอื มัคคุเทศก์ : สำนักงานลกู เสอื แหง่ ชาติ 2562
13
                                หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4
                      จติ วทิ ยาการให้บริการสำหรบั ลกู เสอื มัคคุเทศก์
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม
จะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของจิตวิทยาการบริการ หลักพื้นฐานของการบริการ วิธีการสร้าง
ความประทับใจนักท่องเที่ยว
ความหมาย
      “จิตวิทยาการบริการ หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบริการ และ
การจดั การระบบการบรกิ าร เพอ่ื ให้ไดม้ าซึง่ การบรกิ ารท่ีมคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ”
      โดยผรู้ ับบริการในทน่ี ี้ คอื นักท่องเทีย่ วทล่ี กู เสอื มคั คเุ ทศก์จะต้องไปฏิบตั ิหน้าท่ีใหบ้ ริการ
      ลูกเสอื มคั คเุ ทศก์ต้องเรียนรู้ความต้องการของนักท่องเท่ียววา่ ต้องการหรือสนใจในเรื่องอะไร ซง่ึ ความต้องการ
นั้นจะมีความแตกต่างกันไป ตามวัย เพศ ฐานะ พื้นความรู้ ฯลฯ ของ นักท่องเที่ยวในแต่ละคน แต่ละคณะ
เช่น นักท่องเที่ยวบางกลุ่มอาจไม่สนใจประวัติศาสตร์ หรืออะไรที่เป็นวิชาการมากนัก แต่อาจจะสนใจเรื่องราว
สนุกสนานบันเทิงมากกว่า ในทางตรงข้ามนักท่องเที่ยวบางกลุ่มอาจต้องการความรู้ ในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
อย่างลึกซึ่ง แต่ไม่ชอบความสนุกสนานอึกทึกครึกโครม ลูกเสือมัคคุเทศก์จึงต้องค้นหา ความต้องการ หาความลงตัว
ของนักทอ่ งเทีย่ วแตล่ ะคนแตล่ ะกลมุ่ คณะให้เจอ ทัศนคติ เทคนคิ ประกอบการเสริมในการใหบ้ รกิ ารนักท่องเทีย่ ว
หลักพ้นื ฐานของการบรกิ าร
      1. ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว (Satisfaction) คือการให้บริการที่ดีต้องมีเป้าหมายอยู่ท่ีนักท่องเที่ยว
เป็นสำคญั
      2. ความคาดหวังของนักท่องเที่ยว (Expectation) นักท่องเที่ยวมักคาดหวังการให้บริการที่รวดเร็วทันใจ
ตรงกับความต้องการของตนเอง
      3. ความพรอ้ มในการบรกิ าร (Readiness) ของลูกเสือมคั คเุ ทศก์ และอปุ กรณ์ที่เก่ยี วข้องกบั การใหบ้ ริการ
      4. ความมคี ุณคา่ ของการบริการ (Value) คุณภาพการให้บริการทีต่ รงไปตรงมา ไมเ่ อาเปรียบนักทอ่ งเทย่ี วด้วย
ความพยายามทจี่ ะทำให้นักท่องเทยี่ วชอบ หรอื ถูกใจกบั บรกิ ารท่ไี ด้รบั
      5. ความสนใจต่อการบริการ (Interest) ให้ความสนใจอย่างจริงใจต่อนักท่องเที่ยวทุกระดับ และยุติธรรมกับ
ทกุ คน
      6. ความมีไมตรจี ิตในการบริการ (Courtesy) การตอ้ นรบั นกั ทอ่ งเท่ยี วทีย่ ้ิมแย้มแจ่มใส สภุ าพ อ่อนโยน
      7. ความมีประสิทธิภาพของการดำเนินงานบริการ (Efficiency) ต้องมีการวิจัย วางแผน ปรับปรุงกลยุทธ
ต่าง ๆ ให้ตอบสนองความตอ้ งการของนักทอ่ งเทย่ี วมากทส่ี ดุ ตรวจสอบปรบั ปรุงการให้บริการ
                                                             คูม่ อื ลกู เสือมคั คเุ ทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแห่งชาติ 2562
14
การทำใหน้ ักท่องเที่ยวเกดิ ความประทับใจ พงึ พอใจในการใหบ้ ริการ
ความตอ้ งการของนักท่องเท่ียวมี 2 แบบ
      1. ความตอ้ งการเชงิ สว่ นตวั ( Personal needs)
             1.1 บรกิ ารทเี่ ป็นมติ ร
             1.2 ได้รบั การดแู ลเอาใจใส่ที่ดี
             1.3 ได้รับเกียรติและยกย่อง
             1.4 ได้รบั ความร่วมมือและคำาแนะนำ
             1.5 ไดร้ บั ความเขา้ อกเข้าใจ
      2. ความตอ้ งการเชงิ ปฏบิ ตั งิ าน ( Performance needs)
             2.1 ข้นั ตอนการบรกิ ารท่ีรวดเร็ว
             2.2 วิธีการทสี่ ะดวก เข้าถึงงา่ ย ไมย่ ่งุ ยาก
             2.3 มีข้อมูลขา่ วสารที่ถูกต้องทนั สมัย และเขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย
             2.4 ความปลอดภัย ความมั่นคงและความถกู ตอ้ ง
             2.5 เสนอทางเลือกหลากหลาย
             2.6 การดำเนินงานมมี าตรฐาน
การสรา้ งความประทบั ใจ เมือ่ พบกันครง้ั แรก
      1. แต่งกายเหมาะสม
      2. ตรงตอ่ เวลา
      3. มกี ริยา มารยาทสุภาพ
      4. ยิ้มแย้มแจม่ ใส
      5. กลา่ วทกั ทาย
การทำให้นักทอ่ งเท่ยี วเกิดความประทบั ใจ พงึ พอใจการให้บริการในชมุ ชน ความประทับใจ ขณะปฏิบตั ิหนา้ ที่
      1. ดูแลใหก้ ารบริการนักท่องเท่ยี ว
      2. อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดรายการนำเทย่ี ว
      3. นำเท่ียวสถานทท่ี ่องเทยี่ วตา่ ง ๆ
      4. บรรยายใหค้ วามรูเ้ กี่ยวกบั สถานทนี่ ้ัน ๆ
      5. ดูแลเรอ่ื งอาหาร ความปลอดภยั
      6. สร้างความบนั เทงิ และความสขุ ให้แกน่ กั ทอ่ งเท่ยี ว
ทกั ษะท่ีจำเป็นของลกู เสือมคั คเุ ทศก์
การดแู ลรปู ลกั ษณ์ตนเอง
      1. การรักษาสุขอนามัย
      2. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      3. กินอาหารใหถ้ ูกตอ้ งและดแู ลนำ้ หนกั
                                               คู่มือลูกเสือมัคคุเทศก์ : สำนกั งานลกู เสอื แหง่ ชาติ 2562
15
รูปลักษณ์
      1. ใบหนา้ และทรงผม
      2. ฟนั
      3. ผวิ
      4. ขนทีไ่ ม่พึงปรารถนาและหนวดเครา
      5. มือและเล็บเท้า
      6. กล่นิ กาย
      จิตวิทยาที่สำคัญของลุกเสอื มัคคุเทศก์ คือการพูด ต้องรู้ว่านักท่องเทีย่ วต้องการจะฟังเร่ืองอะไร และจะเริ่มต้น
พูดอย่างไรให้นักท่องเที่ยวสนใจ ลูกเสือมัคคุเทศก์จึงต้องเลือกวิธิีการพูดให้เหมาะสมกับความสนใจของนักท่องเที่ยว
คอยสังเกตการตอบสนองการฟังจากนักท่องเทย่ี ว และปรับการพูดให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ถา้ มคั คเุ ทศก์ไม่มีจิตวิทยา
ในการพดู ก็อาจจะทำให้นักท่องเทยี่ วเกดิ ความเบื่อหนา่ ย ทง้ั ๆ ที่ลกู เสอื มคั คเุ ทศกอ์ าจจะมีความร้ใู นเร่อื งนนั้ ดกี ็ได้
                       --------------------------------------------------------------------
                                                             คมู่ อื ลกู เสอื มคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แห่งชาติ 2562
16
                           หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 6
กระบวนการค้นหาเรื่องราวเรอื่ งเลา่ ของท้องถ่ิน และการจดั ลำดับความสำคัญของเน้ือหา
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมจะมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับ ความหมาย ประเภท กระบวนการค้นหาเรื่องราวเร่ืองเล่าของ
ทอ้ งถ่นิ วธิ กี ารเขยี นลำดับเรอ่ื งราว
      การท่องเท่ียวชุมชนเป็นการท่องเที่ยวท่ีบริหารจัดการโดยคนในชุมชน ชุมชนเป็นเจ้าของแหล่งท่องเท่ียว
นัน้ ๆ โดยในแต่ละชุมชน หรือแต่ละแหล่งทอ่ งเท่ียวกจ็ ะมีเรอื่ งราวความเป็นมาเป็นของตวั เอง ดงั น้ันในการทำงาน
ของลูกเสือมัคคุเทศก์จึงควรที่จะเรียนรู้วิธีการท่ีจะสืบค้นเรื่องราวเรื่องเล่า หรือตำนานของท้องถ่ิน โดยใช้
กระบวนการในด้านต่าง ๆ เพ่ือกลั่นกรองเร่ืองราวและบอกเล่าเรือ่ งราวต่าง ๆ ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ท้ังนีล้ ูกเสือ
มัคคุเทศก์จึงเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสำคัญในการเป็นส่ือกลางเพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจ และนำเสนอความเป็นตัวตน
ของชุมชนในพ้ืนท่ี เพื่อให้นักท่องเท่ียวได้รับฟัง และเป็นการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างลูกเสือมัคคุเทศก์และ
นักท่องเท่ียว ดังนั้นลูกเสือมัคคุเทศก์ต้องมีความรู้ของท้องถ่ิน มีทักษะ และมีความชำนาญในการนำเสนอ
นอกจากนี้ลูกเสือมัคคุเทศก์ยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทางการท่องเท่ียวและสามารถสร้างความ
ประทับใจใหก้ บั นักท่องเที่ยวอีกด้วย
ประเภทของเนื้อหาท่จี ะใชใ้ นการเล่าเรื่อง
      1. ข้อมลู พืน้ ฐานด้านตา่ ง ๆ เช่น สถานที่ ภูมศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์
      2. ตำนาน เร่ืองเลา่ ความเช่อื
      3. ประเพณี วัฒนธรรม
      4. ของกนิ ในชมุ ชน
      5. ของที่ระลกึ
      6. กจิ กรรม D. I.Y. (DO IT BY YOURSELF)
กระบวนการในการคน้ หาและรวบรวมข้อมูล
      1. การจดบันทึก
      2. การถ่ายภาพ
      3. การอัดเสยี ง
      4. การอัดวดี โี อ
      5. จากเอกสาร หนังสือ จดหมายเหตุ ฯลฯ
การเขยี นบทบรรยาย
      1. เกริน่ นำ
      2. เน้ือหา
      3. บทสรุป
                                           ค่มู อื ลกู เสอื มคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสือแหง่ ชาติ 2562
17
การจดั เตรยี มเนอ้ื หาท่จี ะพูด
      การเตรียมเน้ือหา ต้องใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ เหมาะสมกับผู้ฟัง สถานที่ เวลา และโอกาสท่ไี ด้
วิเคราะหไ์ วแ้ ล้ว โดยมีลำดับขั้นในการเตรยี มเน้ือหาดงั นี้
      1. กำหนดวตั ถุประสงคก์ ารพูดให้ชัดเจน
      2. เลือกเร่ืองท่ีจะพดู
      3. ค้นคว้ารวบรวมเนื้อหา
      4. วางโครงเรือ่ งและเรียบเรียงเรอื่ ง
การลำดับเรอื่ ง
  การลําดับเร่ืองมีความสําคัญต่องานเขียนมาก โดยทั่วไปแล้วการเนื้อทั่วไปก็ค่อนข้างมีความยากอยู่แล้ว
ถา้ ผู้เขยี นลาํ ดับเรือ่ งไมด่ ี จะทาํ ใหเ้ ร่ืองนน้ั ยิ่งยากขึน้ ไปอีก การลําดับเรือ่ งมหี ลายวิธี เชน่
      1. ถา้ เขียนบนั ทกึ เหตุการณค์ วรใชก้ ารลําดบั เร่ืองตามปฏิทิน
      2. ถ้าเขียนอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการทําส่ิงหนึ่งสิ่งใด ควรลําดับเร่ืองตามลําดับข้ันตอนจะข้ามข้ันตอน
         ไม่ไดเ้ พราะจะทําให้ไม่ไดค้ วามชดั เจน
      3. ตำราวิชาการที่ยาก ๆ ในบางเร่อื งควรลาํ ดบั จากเรือ่ งง่ายไปหาเรอ่ื งยาก
      4. ลําดับจากเรื่องใหญ่ ๆ แล้วย่อยให้เล็กลงเพ่ือให้ได้คําตอบในตอนท้าย การลําดับเรื่องน้ันอาจเป็นบาง
         ตอนของเนื้อเร่ือง หรือลาํ ดบั ในแต่ละบท หรือทง้ั เลม่ ก็ได้
      5. การจัดลาํ ดับเร่อื งราว เหตกุ ารณ์ ความเปลี่ยนแปลง ตามข้นั ตอน ตัง้ แต่ต้นจนถงึ ผลลพั ธ์
      6. การจัดลาํ ดับดา้ นสถานท่ี
      7. การจัดลําดับทางเหตุผล การจัดลําดับท่ีง่ายที่สุดคือชนิดที่เป็นความคิดสนับสนุนเป็นแบบเดียวกัน
         ฯลฯ
รูปแบบการลำดับเร่ือง
      หลักสาํ คัญในการจัดลําดบั ความคิดคือการจดั ระเบียบแนวคิดของเร่ืองใหเ้ ป็นระบบ โดยมจี ดุ มุ่งหมายหลัก
เพ่ือให้ผู้เขียนเขียนได้สะดวกและมีระบบ มีลําดับข้ันตอนที่ดีและผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น โดยดูจากความ
เหมาะสมกบั เน้ือหาจะทาํ ใหง้ านเขยี นช้นิ นน้ั มีค่ามากขึ้น จงึ มรี ูปแบบการลำดบั เร่อื ง ดังน้ี
      1. ลาํ ดับตามเหตุผล
      2. ลําดบั ตามเวลาหรือเหตุการณ์ก่อนหลังเป็นลาํ ดบั ขน้ั
      3. ลาํ ดับตามความสําคัญ
      4. ลาํ ดับตามทิศทางหรือสถานที่
      5. ลําดบั จากสว่ นรวมไปหาส่วนย่อยหรอื ลาํ ดบั จากสว่ นยอ่ ยไปหาส่วนรวม
                          -------------------------------------------------------
                                                         คมู่ อื ลูกเสอื มคั คเุ ทศก์ : สำนกั งานลูกเสอื แหง่ ชาติ 2562
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7
                     การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม
จะมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ความหมาย ความสำคญั ประเภท แนวทางการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม
และแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย
ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม
      ส่ิงแวดลอ้ ม หมายถงึ สิ่งตา่ ง ๆ ทอี่ ยรู่ อบตัวเรา ท้งั สิง่ ทม่ี ีชวี ิต ส่งิ ไมม่ ีชวี ิต เหน็ ได้ด้วยตาเปล่าและไม่สามารถ
เห็นได้ด้วยตาเปล่า รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และสิ่งทีม่ นษุ ย์เปน็ ผูส้ ร้างข้ึน หรืออาจจะกลา่ วได้ว่า สิ่งแวดล้อม
จะประกอบด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อสนองความต้องการของ
มนุษย์
      - สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ได้แก่ บรรยากาศ น้ำ ดิน แร่ธาตุ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก
(พชื และสัตว)์ ฯลฯ
      - สง่ิ แวดลอ้ มท่ีมนุษย์สร้างข้ึน ไดแ้ ก่ สาธารณูปการต่าง ๆ เช่น ถนน เขอ่ื นกั้นน้ำ ฯลฯ หรือระบบของสถาบัน
สงั คมมนษุ ย์ ที่ดำเนนิ ชีวติ อยู่ ฯลฯ
      ทรัพยากรธรรมชาติหมายถึง สิ่งต่าง ๆ (สิ่งแวดล้อม) ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สามารถนำมาใช้
ประโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดิน นำ้ ป่าไม้ ท่งุ หญ้า สตั ว์ปา่ แรธ่ าตุ พลงั งาน และกำลงั แรงงานมนุษย์เป็นต้น
      จะเห็นว่า ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ต่างกันท่ี
สิ่งแวดล้อมนั้นรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎอยู่รอบตัวเรา ส่วนทรัพยากรธรรมชาติเนน้ สิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์
มากกวา่ ส่งิ อน่ื
ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม
      1. ทรัพยากรธรรมชาติทีใ่ ชแ้ ลว้ ไมห่ มดสน้ิ (Non-Exhausting Natural Resources) หรือทรัพยากร ธรรมชาติ
ที่มีใช้ตลอด (Inexhaustible Natural Resources) เป็นทรัพยากรธรรมชาติทีจ่ ำเป็นตอ่ การดำรงชีวิตของมนุษย์ บาง
ชนิดมนษุ ยข์ าดเปน็ เวลานานได้ บางชนิดขาดไม่ไดแ้ ม้เพยี งระยะเวลาส้ัน ๆ กอ็ าจถงึ ตายได้ ทรัพยากรดงั กล่าวได้แก่
        ก) อากาศ มอี ยู่อย่างสมบูรณ์ในโลก จำเปน็ และสำคัญตอ่ มนุษย์ สัตว์ พชื ส่ิงมีชีวิตทกุ ชนิด
        ข) น้ำ (ในวัฏจักร) หมายถึง น้ำในลักษณะการเก็บน้ำแล้วแปรสภาพเป็นน้ำไหลบ่า น้ำท่า น้ำในลำน้ำน้ำใต้
ดิน น้ำขัง และน้ำในมหาสมุทรมีความจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต มีการหมุนเวียน ไม่จบสิ้น โดยทั่วไปมีปริมาณคงที่ในแต่ละ
แห่งของแตล่ ะปี นอกจากน้ยี งั มที รัพยากรแสงอาทิตย์ ดิน ช้ันบรรยากาศ เปน็ ต้น
      2. ทรัพยากรธรรมชาตทิ ท่ี ดแทนได้ (Replaceable or Renewable Natural Resources) เปน็ ทรพั ยากรที่มี
ความจำเป็นตอ่ มนุษย์ในการดำรงชพี เพือ่ ตอบสนองปัจจยั สี่และความสะดวกสบาย เมื่อใช้แล้วสามารถเกิดทดแทนขึน้
ได้ ซ่ึงการทดแทนนน้ั อาจใชร้ ะยะเวลาส้ันหรือยาวนานไม่เทา่ กัน ทรัพยากรดังกลา่ วได้แก่
       ก) น้ำที่ใช้ได้ หมายถึงน้ำในทีใ่ ดท่ีหน่ึงเมื่อใช้หมดแล้ว จะมีการทดแทนได้ด้วยฝนทีต่ กตามปกติในแต่ละแหง่
จะมีฝนตกเกือบเท่า ๆ กนั ในแตล่ ะปี นอกจากเกิดความแหง้ แลง้ ผดิ ปกตเิ ทา่ น้ัน
                                                             คู่มือลูกเสอื มคั คุเทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแห่งชาติ 2562
19
       ข) ดิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ให้อาหารเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ซึ่งกำเนิดจากพื้นดิน ปัจจัยที่ทำให้เกิดดิน คือ หิน
อากาศ พชื ระยะเวลา ลักษณะภมู ิประเทศ การทดแทนต้องใช้ระยะเวลานาน
      นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรชนิดอื่นอีก เช่น ทรัพยากรประมง ทรัพยากรเกษตร (พืชผัก เนื้อสัตว์) พืช สัตว์ป่า
ป่าไม้ ทงุ่ หญ้าเล้ยี งสตั ว์ เปน็ ต้น
     3. ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป (Exhausting Natural Resources) หรือทรัพยากรที่ไม่สามารถทดแทนได้
(Irreplaceable Natural Resources) เป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถจะทำมาทดแทนได้ เมื่อใช้หมดไป เช่น แร่ โลหะ
ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน เป็นต้น ซึ่งทรัพยากรดังกล่าวจำเป็นมากตอ่ การพัฒนาทางวิทยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยนี อกจากน้ีพื้นที่ในลักษณะ ธรรมชาติ (Land in Natural Condition) กถ็ อื ว่าเป็นสิ่งทที่ ดแทนไม่ได้ เพราะ
เม่อื ถูกทำลายลงแล้ว ไม่สามารถทำให้เหมอื นสภาพเดิมไดท้ ้ังในสว่ นประกอบต่าง ๆ และทศั นียภาพ
ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม
      มนุษย์เรามีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด ทั้งในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ
ธรรมชาติ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในการดำรงชีวิต จึงอาจกล่าวถึงความสำคัญของ
ทรพั ยากรธรรมชาตไิ ด้เปน็ 4 ประการ ดงั น้ี คือ
      1. เป็นแหล่งทม่ี าของวัตถดุ บิ และผลติ ผล
      2. เปน็ ทีร่ องรบั กิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ และชว่ ยเก้ือกูลให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
      3. เป็นแหล่งรองรับของเสยี และของ เหลอื เศษจากขบวนการผลิตและการบริโภค
      4. ใหค้ วามรืน่ รมย์แกจ่ ติ ใจของมนุษย์ เช่น ทิวทศั น์ ภมู ปิ ระเทศ ความงามของธรรมชาติ
      ดงั นน้ั บรกิ ารต่าง ๆ ท่มี นษุ ยเ์ ราได้รบั จากทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม จึงช่วยให้มีชวี ิตรอดอยูไ่ ด้ และ
สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการรู้จักใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด (Wise Use) และมีการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นระบบ
อย่างเหมาะสม โดยจะต้องคำนึงถึงขีดความ สามารถในการรองรับ (Carrying Capacity) เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์
ได้อย่างยั่งยืน (Sustain- able Utilization) เพราะหากมีการตักตวงใช้ ประโยชน์ที่มากเกินขนาด และขาดความ
ระมดั ระวงั ในการใช้ กย็ อ่ มจะกอ่ ให้เกิดความเสือ่ มโทรมของทรัพยากร และสง่ิ แวดลอ้ ม จนกลายเป็นปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม
ทยี่ ้อนกลบั มาส่งผลกระทบต่อชีวติ และความเป็นอยู่ของมนุษย์ ในท่ีสดุ ปญั หาของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การพฒั นาทผ่ี ่านมา ได้ระดมใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทีด่ ิน ปา่ ไม้ แหล่งน้ำ ทรพั ยากรชายฝ่งั ทะเล ทรัพยากร
ธรณี ในอัตราที่สูงมาก และเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จนมีผลทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เกิดการร่อยหรอ
และเสอ่ื มโทรมลงอย่างรวดเร็ว รวมท้ังเร่มิ สง่ ผลกระทบต่อการดำรงชีวติ ของประชาชนในชนบท ที่ตอ้ งพง่ึ พาทรัพยากร
เป็นหลักในการยังชีพ ไดแ้ ก่
      ทรพั ยากรป่าไม้
      พื้นที่ป่าไม้มีสภาพเสื่อมโทรม และมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญหลายประการ ได้แก่
การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การเผาป่า การบุกรุก ทำลายป่า เพื่อต้องการที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย และทำการเกษตร การ
ทำไรเ่ ลือ่ นลอยของชาวเขาในพนื้ ทต่ี ้นน้ำลำธาร และการใช้ทีด่ ิน เพือ่ ดำเนินโครงการของรัฐบาล เชน่ การจัดนิคมสร้าง
ตนเอง การชลประทาน การไฟฟ้าพลังน้ำ การก่อสร้างทาง กิจการรักษาความมั่นคงของชาติ เป็นต้น การที่พื้นท่ีป่าไม้
ทั่วประเทศลดลงอย่างมาก ได้ส่งผลกระทบต่อการควบคุมระบบนิเวศโดยส่วนรวมอย่างแจ้งชัด เช่น กรณีเกิดวาตภัย
20
และอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในพื้นที่ภาคใต้ ปัญหาความแห้งแล้งในภาคต่าง ๆ ของประเทศ และปัญหาน้ำท่วม ในฤดูฝน
อย่างรุนแรง ซึ่งปัญหาภัยธรรมชาติดัง กล่าวได้มีแนวโน้มของการเกิดถี่ขึ้น อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลิตผลทาง
การเกษตร ชวี ิต และทรพั ย์สนิ นอกจากน้ยี งั เกิดผลกระทบสงิ่ แวดล้อมดา้ นอื่น ๆ เชน่ การสญู เสยี หน้าดนิ ทำใหส้ ูญเสีย
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปัญหาการตกตะกอน ปัญหาการตื้นเขินของแหล่งน้ำ และปัญหาสภาพดินฟ้าอากาศ
แปรปรวน เป็นต้น
      ทรัพยากรดิน
      ปัญหาการพังทลายของดินและการสูญเสียหน้าดินโดยธรรมชาติ เช่น การชะล้าง การกัดเซาะของน้ำและลม
เป็นต้น และที่สำคัญคือ ปัญหาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทำลายป่า เผาป่า การเพาะปลูกผิดวิธี เป็นต้น
ก่อให้เกิดการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำให้ใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ลดน้อยลง ความสามารถในการผลิต
ทางดา้ นเกษตรลดน้อยลง และยังทำให้เกดิ การทบั ถมของตะกอนดินตามแมน่ ้ำ ลำคลอง เข่อื น อ่างเก็บน้ำ เป็นเหตุให้
แหล่งน้ำดงั กล่าวตืน้ เขิน รวมทัง้ การทตี่ ะกอนดิน อาจจะทับถมอยใู่ นแหล่งที่อยู่อาศยั และท่วี างไขข่ องสตั ว์นำ้ อีกทั้งยัง
เป็นตัวกั้นแสงแดด ที่จะส่องลงสู่พื้นน้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ นอกจากนี้ปัญหาความ
เสื่อมโทรมของดิน อันเนื่องมาจากสาเหตุดั้งเดิมตามธรรมชาติ คือ การที่มีสารเป็นพิษเกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดดิน
เชน่ มโี ลหะหนกั มีสารประกอบท่เี ป็นพษิ ซ่ึงอาจทำให้ดนิ เค็ม ดินดา่ ง ดนิ เปรย้ี วได้ โดยเฉพาะปญั หาการแพร่กระจาย
ของดินเค็มในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ การดำเนินกิจกรรม เพื่อใช้ประโยชนจ์ ากท่ีดนิ อย่างไม่เหมาะสม และขาดการ
จัดการท่ีดี เช่น การสร้างอา่ งเก็บน้ำในบริเวณท่มี เี กลอื หินสะสมอยู่มาก น้ำในอา่ งจะซึมลงไปละลายเกลือหนิ ใต้ดนิ แล้ว
ไหลกลับข้นึ ส่ผู ิวดินบริเวณรอบ ๆ การผลิตเกลอื สนิ เธาว์ในเชงิ พาณิชย์ โดยการสูบน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมาต้มหรือตาก ทำ
ให้ปญั หาดนิ เค็มแพร่ขยายออกไปกว้างขวางยง่ิ ข้นึ ยังมีสาเหตทุ เี่ กิดจากสารพิษ และสง่ิ สกปรก จากภายนอกปะปนอยู่
ในดิน เช่น ขยะจากบ้านเรอื นของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม สารเคมีตกคา้ งจากการใชป้ ุ๋ยและยากำจัดศัตรพู ืช เป็น
ตน้ ลว้ นแต่ส่งผลกระทบตอ่ สิง่ แวดล้อม และกอ่ ให้เกิดการสญู เสยี ทางเศรษฐกจิ
      ทรพั ยากรท่ดี นิ
      ปัญหาการใช้ที่ดินไม่เหมาะสมกับสมรรถนะของที่ดิน และไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การใช้
ท่ีดนิ เพ่ือการเกษตรกรรมอย่างไม่ถูกหลักวิชาการ ขาดการบำรุงรักษาดิน การปล่อยใหผ้ วิ ดินปราศจากพืชปกคลุม ทำ
ใหส้ ูญเสยี ความช่มุ ชนื้ ในดนิ การเพาะปลูกที่ทำให้ดนิ เสีย การใช้ปยุ๋ เคมี และยากำจดั ศัตรูพชื เพือ่ เร่งผลิตผล ทำให้ดิน
เสื่อมคุณภาพ และสารพิษตกค้างอยู่ในดิน การบุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าไม้บนพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง
รวม ทั้งปัญหาการขยายตัวของเมืองที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรม และการนำมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่ตั้งโรงงาน
อุตสาหกรรม หรือการเก็บที่ดินไว้เพื่อการเก็งกำไร โดยมิได้มีการนำมาใช้ประโยชน์แต่อย่างใด นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้น
ของประชากร ประกอบกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ที่ดิน เพื่อการขยายเมืองและ
อุตสาหกรรมเพิ่มจำนวนตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากการควบคุมการใช้ที่ดินภายในเมืองให้เหมาะสม เป็น
สาเหตุให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในเมืองหลายประการ เช่น ปัญหาการตั้งถิ่นฐาน ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม ปัญหา
การจราจร ปญั หาสาธารณสขุ ปัญหาขยะมูลฝอย และการบรกิ ารสาธารณปู โภคไม่เพียงพอ
21
      ทรัพยากรแหล่งนำ้
      การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ เพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละ
กิจกรรม กอ่ ให้เกิดความยุ่งยากต่อการจดั การทรัพยากรน้ำ และการพัฒนาแหลง่ นำ้ ความขดั แย้งดังกล่าวมีแนวโน้มว่า
จะสูงขึ้น จากปริมาณน้ำที่เก็บกักได้มีจำนวนจำกัด แต่ความต้องการใช้น้ำมีปริมาณเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทั้งในด้าน
เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค เป็นผลให้มีน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการ นอกจากน้ี
ความสามารถในการเก็บกักน้ำของดนิ ตามธรรมชาติมปี ระสทิ ธภิ าพลดลง และปรมิ าณนำ้ บางสว่ นสูญเสียไป เพราะการ
ปนเปื้อนจากนำ้ เน่า และกากของเสีย ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรน้ำที่มอี ยูไ่ ด้อยา่ งเต็มท่ี อีกทั้งการใช้
ทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างไม่ประหยัด และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้ก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง
และมีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น สาเหตุสำคัญคือ การทำลายพื้นที่ป่าไม้ อันเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ขาด
แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำ ที่สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำ และศักยภาพของแหล่งน้ำ การ บริหารการจดั การยัง
ไมม่ ีระบบท่ีชดั เจนตอ่ เนอ่ื ง และประสานสอดคลอ้ งกัน
      ทรัพยากรธรณี
      การนำทรพั ยากรธรณี ทัง้ ในรปู แรธ่ าตุ พลงั งาน มาใชป้ ระโยชน์ ไดก้ อ่ ให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเป็น
อย่างมาก โดยเฉพาะการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร การทำเหมืองแร่ทั้งบนบกและในทะเล การนำถ่านหิน
ลิกไนต์มาใช้ และการพัฒนานำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ ทั้งบนบก และในทะเล ได้ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสีย และดินตะกอน
ปัญหาเรื่องฝุ่นและอากาศเป็นพิษ และปัญหาดินเสีย สาเหตุประการสำคัญก็คือ การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม
การละเลยไมป่ ฏบิ ตั ิตามกฎหมาย หรือพระราชบัญญัติ ที่เก่ียวขอ้ งในการควบคุม ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหา
      ป่าชายเลน
      พื้นที่ป่าชายเลนไดล้ ดลงอย่างมาก จนเป็นทีน่ ่าวิตก เนื่องจากการบุกรุกทำลาย โดยการเปลี่ยนสภาพพื้นท่ปี า่
ชายเลนไปทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ นำมาใช้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง (นากุ้ง)
นอกจากนี้ก็ใช้ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ท่าเทียบเรือ ถนน เหมืองแร่ การเกษตร เป็นต้น ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนลดลง
ตลอดเวลา จนทำใหเ้ กดิ ผลเสียต่อระบบนเิ วศ อนั กอ่ ให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งที่อยอู่ าศัย การเพาะพันธ์ุสัตว์น้ำชายฝ่ัง
การกัดเซาะ และการพงั ทลายของทด่ี ินบรเิ วณชายฝงั่ และ คณุ ภาพน้ำชายฝง่ั เปน็ ต้น
      ปะการงั
      ปะการังที่สวยงามในเมืองไทยหลายแห่ง ต้องเสื่อมโทรมลงอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะปัญหาการถูกทำลาย
โดยฝีมือมนุษย์ นับเป็นปัญหาสำคัญของความเสื่อมโทรมของปะการัง ได้แก่ การระเบิดปลา เป็นการทำลายปะการัง
อย่างรุนแรง ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชในบริเวณนั้น และเป็นการทำลายการประมงใน
อนาคตด้วย นอกจากนี้ ปัญหาตะกอนจากการทำเหมืองแร่ในทะเล ยังส่งผลกระทบ ทำให้เป็นอันตรายต่อปะการังถงึ
ตายได้ การเปิดหน้าดิน เพื่อทำถนนหรือก่อสร้างบริเวณริมชายฝั่ง จะทำให้ดินโคลน หรือสีแดงของลูกรังไปทับถม
22
ชายหาด ปัญหาการปล่อยน้ำเสียลงทะเล การเก็บหอยหรือปะการังขึ้นมาขาย เป็นของที่ระลึก ทำให้แนวปะการังเสยี
สมดุล และถกู ทำลายลง การท้งิ สมอเรือ การถอนสมอเรอื และการนำนักทอ่ งเท่ยี วไปเดินบนปะการัง ทำให้ปะการังหัก
พังลงไปมากระบบนเิ วศ
      ระบบนเิ วศ
      เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ กับบริเวณแวดล้อม ที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นดำรงอยู่ การทำ
ความเข้าใจกับระบบธรรมชาติ หรือระบบนิเวศ จะช่วยให้มนุษย์เรารู้จักใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพดี
ยิ่งขนึ้ เราสามารถจำแนกระบบนเิ วศออกเป็นกลมุ่ ๆ ไดด้ งั น้ี
      1. ระบบนเิ วศทางธรรมชาติ เปน็ ระบบทตี่ ้องพ่ึงพลังงานจากดวงอาทิตย์เพอ่ื ท่จี ะทำงานได้ ไดแ้ ก่
         1.1 ระบบนิเวศแหล่งน้ำ แบ่งเป็นระบบนิเวศทางทะเล เช่น มหาสมุทร แนวปะการังทะเล และระบบนิเวศ
แหล่งนำ้ จืด เช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น
         1.2 ระบบนิเวศบนบก แบ่งเป็นระบบนิเวศกึ่งบก เช่น ป่าพรุ และระบบนิเวศบกแท้ เช่น ป่าดิบ ทุ่งหญ้า
ทะเลทราย เปน็ ตน้
      2. ระบบนิเวศเมือง-อุตสาหกรรม เป็นระบบที่ต้องพึ่งแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง พลังนิวเคลียร์
เป็นระบบนิเวศที่มนุษยส์ ร้างข้นึ มาใหม่
      3. ระบบนเิ วศเกษตร เป็นระบบทม่ี นุษย์ปรับปรุงเปลย่ี นแปลงระบบนเิ วศทางธรรมชาติขน้ึ มาใหม่
การอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม
      การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง
ฉลาด โดยใช้ให้น้อย เพื่อให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ใหย้ าวนาน และก่อให้เกิดผลเสียหาย
ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม ในสภาพ
ปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดลอ้ มจึงมคี วามหมายรวมไปถงึ การพฒั นาคุณภาพส่งิ แวดล้อมดว้ ย
      การอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมสามารถกระทำไดห้ ลายวิธี ท้ังทางตรงและทางอ้อม ดังน้ี
      1. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรง ซึ่งปฏิบัติได้ในระดับบุคคล องค์กร และ
ระดับประเทศ ท่ีสำคญั คอื
          1.1 การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้มีทรัพยากรไว้ใช้ได้นานและเกิด
ประโยชนอ์ ย่างคมุ้ คา่ มากทสี่ ุด
          1.2 การนำกลบั มาใช้ซ้ำอีก สิ่งของบางอยา่ งเมื่อมีการใช้แล้วครง้ั หนึ่งสามารถที่จะนำมาใช้ซ้ำได้อีก เช่น
ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะนำมาใช้ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การนำกระดาษที่ใช้
แลว้ ไปผา่ นกระบวนการตา่ ง ๆ เพือ่ ทำเปน็ กระดาษแข็ง เป็นต้น ซ่ึงเป็นการลดปรมิ าณการใช้ทรัพยากรและการทำลาย
สิง่ แวดลอ้ มได้
          1.3 การบูรณะซ่อมแซม สงิ่ ของบางอย่างเมื่อใช้เป็นเวลานานอาจเกิดการชำรุดได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีการ
บูรณะซ่อมแซม ทำให้สามารถยดื อายกุ ารใช้งานตอ่ ไปได้อีก
23
          1.4 การบำบัดและการฟื้นฟู เป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรด้วยการบำบัดก่อน
เช่น การบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ส่วนการ
ฟ้ืนฟูเป็นการรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน เพื่อฟื้นฟูความสมดุลของป่าชายเลนให้
กลับมาอุดมสมบรู ณ์ เปน็ ต้น
          1.5 การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และไม่ทำลาย
สิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลังงานแสงแดดแทนแร่เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ย
ชีวภาพแทนป๋ยุ เคมี เปน็ ต้น
        2. การอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มโดยทางอ้อม สามารถทำไดห้ ลายวธิ ี ดังน้ี
          2.1การเฝ้าระวังดูแลและป้องกัน เป็นวิธีการที่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
เช่น การเฝา้ ระวังการท้ิงขยะ สงิ่ ปฏกิ ลู ลงแม่น้ำ คคู ลอง การจดั ทำแนวปอ้ งกนั ไฟปา่ เปน็ ต้น
          2.2 การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดล้อมที่ถกู ตอ้ งตามหลักวิชา ซ่งึ สามารถทำได้ทกุ ระดบั อายุ ทงั้ ในระบบโรงเรยี นและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และ
นอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นใน
การอนรุ ักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และใหค้ วามร่วมมอื อย่างจรงิ จัง
          2.3 การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดตั้งกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมตา่ ง ๆ ตลอดจนการใหค้ วามรว่ มมือท้ังทางด้านพลังกาย พลงั ใจ พลังความคดิ ด้วย
จิตสำนึกในความมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่มีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่ง
ประเทศไทย มลู นธิ สิ บื นาคะเสถียร มลู นิธโิ ลกสเี ขยี ว เปน็ ต้น
          2.4 ส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถิ่นได้มีส่วนรว่ มในการอนุรกั ษ์ ช่วยกนั ดแู ลรกั ษาใหค้ งสภาพเดมิ ไม่ให้
เกิดความเสื่อมโทรม เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในท้องถิ่นของตน การประสานงานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ
และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประชาชน ให้มีบทบาทหน้าที่ในการ
ปกปอ้ ง คุม้ ครอง ฟืน้ ฟูการใชท้ รพั ยากรอยา่ งคุ้มค่าและเกดิ ประโยชน์สูงสดุ
          2.5 ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการและพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการกับ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดการ
วางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น การค้นคว้าวิจัยวิธีการจัดการ
การปรบั ปรงุ พัฒนาสิง่ แวดลอ้ มให้มปี ระสิทธภิ าพและยง่ั ยืน เป็นตน้
          2.6 การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมท้ังในระยะ
สั้นและระยะยาว เพื่อเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องยึดถือและนำไปปฏิบัติ รวมทั้งการ
เผยแพรข่ ่าวสารด้านการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มทางตรงและทางอ้อม
แนวทางการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ
      ในปัจจุบันการนำความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการจัดการหรือสร้าง
แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมี
ด้วยกันหลายแนวทาง แนวทางหนงึ่ คอื แนวทางการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 3Rs
24
      1. R : Reduce คือ การลดการใช้ การบริโภคทรัพยากรที่ไม่จำเป็นลง ลองมาสำรวจกันว่า เราจะลดการ
บริโภคที่ไม่จำเป็นตรงไหนได้บ้าง โดยเฉพาะการลดการบริโภคทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
ถา่ นหนิ และแร่ธาตุ ต่าง ๆ การลดการใชน้ ี้ ทำไดง้ า่ ย ๆ โดยการเลือกใชเ้ ทา่ ท่จี ำเปน็ เชน่ ปดิ ไฟทุกครงั้ ท่ีไม่ใช้งานหรือ
เปิดเฉพาะจุดที่ใช้งาน ปิดคอมพิวเตอร์และเครื่องปรับอากาศเมื่อไม่ใช้เป็นเวลานาน ๆ ถอดปลั๊กของเครื่องใช้ไฟฟ้า
เช่น กระติกน้ำร้อนออกเมื่อไม่ได้ใช้ เมื่อต้องการเดินทางใกล้ ๆ ก็ควรใช้วิธีเดิน ขี่จักรยาน หรือนั่งรถโดยสารแทนการ
ขบั รถไปเอง เป็นต้น เพยี ง-เท่านีเ้ ราก็สามารถเกบ็ ทรัพยากรด้านพลังงานไวใ้ ช้ไดน้ านขน้ึ ประหยัดพลังงานและอนุรักษ์
ส่ิงแวดล้อมอกี ดว้ ย
      2.R : Reuse คอื การใช้ทรพั ยากรใหค้ ุ้มค่าทส่ี ดุ โดยการนำส่งิ ของเครอ่ื งใช้ มาใช้ซำ้ ซึง่ บางอย่างอาจใชซ้ ้ำได้
หลาย ๆ ครัง้ เช่น การนำชดุ ทำงานเกา่ ทยี่ ังอยใู่ นสภาพดีมาใส่เล่นหรือใส่นอนอยบู่ ้านหรือนำไปบริจาค แทนท่ีจะท้ิงไป
โดยเปล่าประโยชน์ การนำกระดาษรายงานที่เขียนแล้ว 1 หน้า มาใช้ในหนา้ ที่เหลือหรืออาจนำมาทำเป็นกระดาษโนต้
ชว่ ยลดปริมาณการตัดตน้ ไม้ไดเ้ ป็นจำนวนมาก การนำขวดแก้วมาใสน่ ้ำรบั ประทานหรือนำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ต่าง
ๆ เช่นแจกันดอกไม้หรือที่ใส่ดินสอ เป็นต้น นอกจากจะช่วยลดคา่ ใช้จ่าย ลดการใช้พลังงานพลังงานแล้ว ยังช่วยรักษา
สิง่ แวดลอ้ มและยงั ไดข้ องนา่ รักๆ จากการประดษิ ฐไ์ ว้ใช้งานอีกด้วย
      3.R : Recycle คือ การนำหรือเลอื กใช้ทรพั ยากรท่สี ามารถนำกลบั มารีไซเคิล หรอื นำกลับมาใชใ้ หม่ เปน็ การ
ลดการใช้ทรพั ยากรในธรรมชาตจิ ำพวกต้นไม้ แร่ธาตุตา่ ง ๆ เช่น ทราย เหล็ก อลูมิเนียม ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้ สามารถ
นำมารไี ซเคิลได้ยกตวั อย่างเชน่ เศษกระดาษสามารถนำไปรีไซเคลิ กลบั มาใชเ้ ป็นกล่องหรือถุงกระดาษ การนำแก้วหรือ
พลาสติกมาหลอมใช้ใหม่เปน็ ขวด ภาชนะใส่ของ หรอื เคร่อื งใชอ้ ื่น ๆ ฝากระป๋องน้ำอัดลมก็สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่
แนวทางการจัดการขยะมูลฝอยอย่างครบวงจร
      เน้นรูปแบบของการวางแผนจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถลดปริมาณขยะมูลฝอยท่ี
จะต้องส่งเข้าไปทำลายด้วยระบบต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด สามารถนำขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์ทั้งในส่วนของการใช้ซ้ำ
และแปรรูปเพื่อใช้ใหม่ (Reuse & Recycle) รวมถึงการกำจัดที่ได้ผลพลอยได้ เช่น ปุ๋ยหมัก หรือพลังงาน โดยสรุป
วธิ กี ารดำเนินการตามแนวทางมีดงั นี้ คอื
1. การลดปริมาณการผลติ มูลฝอย รณรงคใ์ หป้ ระชาชนมีส่วนรว่ มในการลดการผลติ มลู ฝอยในแตล่ ะวันได้แก่
      1.1 ลดการท้ิงบรรจุภัณฑ์โดยการใชส้ นิ คา้ ชนดิ เติมใหม่ เช่น ผงซกั ฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด
      และถ่านไฟฉายชนิดชารต์ ใหม่ เปน็ ต้น
      1.2 เลือกใชส้ ินค้าท่มี คี ุณภาพมีห่อบรรจภุ ัณฑน์ ้อย อายุการใช้งานยาวนาน
      และตวั สนิ คา้ ไม่เป็นมลพิษ
      1.3 ลดการใช้วัสดกุ ำจัดยาก เชน่ โฟมบรรจอุ าหาร และถงุ พลาสตกิ
2 จัดระบบการรีไซเคลิ หรือการรวบรวมเพ่ือนำไปสกู่ ารแปรรปู เพ่ือใชใ้ หม่
      2.1 รณรงคใ์ หป้ ระชาชนแยกของเสยี นำกลับมาใชป้ ระโยชนใ์ หม่ เช่น กระดาษ พลาสติก และโลหะ นำไปใช้
          ซำ้ หรอื นำไปขาย/รไี ซเคิล ขยะเศษอาหารนำมาหมักทำปุ๋ย ในรูปปยุ๋ น้ำ หรอื ป๋ยุ หมกั เพ่ือใช้ในชุมชน
      2.2 จัดระบบที่เอ้ือต่อการทำขยะรีไซเคิล
          2.2.1 จัดภาชนะ (ถุง/ถัง) แยกประเภทขยะมูลฝอยที่ชดั เจนและเป็นมาตรฐาน
          2.2.2 จัดระบบบริการเกบ็ โดย
25
             - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บเอง โดยการจัดเก็บแบ่งเวลาการเก็บ เช่น หากแยกเป็นถุง 4 ถุง
              ขยะย่อยสลายได้ ขยะรีไซเคิล ขยะอันตราย และขยะทั่วไป ให้จัดเก็บขยะย่อยสลายและขยะทั่วไป
              ทุกวัน ส่วนขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย อาจ
              จัดเก็บสปั ดาห์ละคร้งั หรอื ตามความเหมาะสม
             - จดั กลุ่มประชาชนทมี่ อี าชีพรับซ้ือของเก่าให้ช่วย
              เก็บขยะรีไซเคิลในรูปของการรับซื้อ โดยการ
              แบ่งพื้นที่ในการจัดเก็บและกำหนดเวลาให้
              เหมาะสม
             - ประสานงานกบั รา้ นคา้ ท่ีรับซื้อของเก่าท่ีมีอยู่ใน
              พื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียงในการรับซื้อขยะรี
              ไซเคิลจัดระบบตามแหล่งการเกิดขยะขนาดใหญ่ เช่น ตลาด โรงเรียน สถานที่ราชการ
              หา้ งสรรพสินค้า เป็นต้น
      2.3 จัดกลุม่ อาสาสมัครหรอื ชมรมหรือนักเรียนให้มีกจิ กรรม/โครงการนำขยะมลู ฝอยกลับมาใชใ้ หม่ เช่น
             1. โครงการขยะรีไซเคิลแลกสง่ิ ของ เชน่ ตน้ ไม้ ไข่
             2. โครงการทำป๋ยุ นำ้ ปยุ๋ อเี อม็ ขยะหอม ปยุ๋ หมัก
             3. โครงการตลาดนัดขยะรีไซเคลิ
             4. โครงการธนาคารวสั ดุเหลอื ใช้
             5. โครงการรา้ นค้าสินค้ารไี ซเคิล
             3.2.4 จดั ตง้ั ศูนยร์ ีไซเคลิ
      หากพื้นที่ที่ปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นในแต่ละวันเป็น
ปริมาณมาก ๆ อาจจะมีการจัดตั้งศูนย์คัดแยกขยะมูลฝอยซึ่ง
สามารถจะรองรับจากชุมชนใกล้เคียงหรือรับซื้อจากประชาชน
โดยตรงซึ่งอาจจะให้เอกชนลงทุนหรืออาจให้สัมปทานเอกชนก็
ได้
3 การขนส่ง
      3.1 ระยะทางไม่ไกลให้รถขนส่งขยะมูลฝอยไปยัง
      สถานท่ีกำจัดโดยตรง
      3.2 ระยะทางไกลและมีปริมาณขยะมูลฝอยมากอาจจะ
      ต้องสรา้ งสถานขี นถา่ ย เพือ่ ถ่ายเทจากรถเก็บขนขยะมูลฝอยลงสู่รถบรรทุกขนาดใหญ่
3.4 ระบบกำจดั
      เนือ่ งจากขยะมลู ฝอยใช้ประโยชน์ใหม่ได้จึงควรจัดการเพ่ือกำจดั ทำลายใหน้ อ้ ยท่ีสดุ ควรเลอื กระบบกำจัดแบบ
ผสมผสานเนื่องจากปัญหาขาดแคลนพื้นที่ จึงควรพิจารณาปรับปรุงพื้นที่กำจัดมูลฝอยที่มีอยู่เดิม และพัฒนาให้เป็น
ศนู ยก์ ำจัดขยะมูลฝอย โดยมขี ้นั ตอนดังนี้
      3.4.1 จัดระบบคัดแยกขยะมูลฝอย
      3.4.2ระบบกำจัดผสมผสานหลาย ๆ ระบบในพื้นทเี่ ดยี วกนั ได้แก่ หมักทำปุ๋ย ฝังกลบ และวธิ ีอน่ื ๆ เปน็ ตน้
26
การคดั แยก เกบ็ รวบรวมและขนสง่ ขยะมูลฝอย
      ในการจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจร จำเป็นต้องจัดให้มีระบบการคัดแยกขยะมูลฝอยประเภทต่าง ๆ ตามแต่
ลักษณะองค์ประกอบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ สามารถดำเนินการได้ตั้งแต่แหล่งกำเนิด โดยจัด
วางภาชนะให้เหมาะสม ตลอดจนวางระบบการเก็บรวบรวมมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับระบบการคัด
แยกขยะมูลฝอย พร้อมทัง้ พิจารณาควรจำเปน็ ของสถานีขนถ่ายขยะมูลฝอยและระบบขนส่งขยะมูลฝอยไปกำจัดต่อไป
ประเภทขยะมูลฝอย โดยท่ัวไปแล้วขยะแบ่งออกเปน็ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
                        1. ขยะย่อยสลาย หรือ มูลฝอยย่อยสลาย คือ ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว
                          สามารถ นำมาหมักทำปุ๋ยได้เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษ
                          เนื้อสัตว์ เป็นต้น แต่ไม่รวมถึง ซากหรือเศษของพืช ผัก ผลไม้ หรือสัตว์ ท่ีเกิด
                          จากการทดลองในห้องปฏบิ ัติการ เป็นตน้
                        ถังรองรบั มลู ฝอยยอ่ ยสลาย คอื ถังสีเขียว
                        2. ขยะรีไซเคิล หรือ มูลฝอยที่ยังใช้ได้ คือของเสียบรรจุภัณฑ์หรือวัสดุเหลือใชซ้ ึ่ง
                          สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม
                          เศษพลาสตกิ เศษโลหะ อลูมิเนยี ม ยางรถยนต์ กลอ่ งเคร่ืองดม่ื แบบ UHT เป็น
                          ตน้
                        ถงั รองรับมลู ฝอยที่ยังใชไ้ ด้(รีไซเคิล) คือ ถังสีเหลอื ง
                        3. ขยะทว่ั ไป หรอื มูลฝอยทว่ั ไป คอื ขยะประเภทอ่ืนนอกเหนอื จากขยะย่อยสลาย
                          ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าสำหรับ
                          การนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุ
                          ผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงพลาสติกเปื้อนเศษ
                          อาหาร โฟมเปอ้ื นอาหาร ฟอยลเ์ ปอ้ื นอาหาร ซองหรือถุงพลาสตกิ สำหรบั บรรจุ
                          เครื่องอุปโภคด้วยวิธีรดี ความร้อน เป็นตน้
                        ถงั รองรับมูลฝอยทัว่ ไป คือ ถงั สนี ้ำเงิน
                        4. ขยะอนั ตราย หรอื มลู ฝอยอันตราย คอื มูลฝอยท่ีปนเปือ้ น หรอื มอี งค์ประกอบ
                          ของวัตถดุ ังต่อไปนี้
                          1. วัตถุระเบิดได้ 2. วัตถุไวไฟ 3. วัตถุออกไซด์และวัตถุเปอร์ออกไซด์ 4.
                          วัตถุมีพิษ 5. วัตถุที่ทำให้เกิดโรค 6. วัตถุกัมมันตรังสี 7. วัตถุที่ก่อให้เกิดการ
                          เปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม 8. วัตถุกัดกร่อน 9. วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคาย
                          เคือง 10. วัตถุอย่างอื่นที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือ
                          อาจทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์พืชหรือทรัพย์เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์
                          ถ่านไฟฉายหรือแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลง
                          หรอื วัชพชื กระป๋องสเปรยบ์ รรจุสีหรือสารเคมีเปน็ ต้น
                        ถังรองรบั มูลฝอยอันตราย คือ ถงั สีฟ้า
27
      นอกจากนี้ยังมีถุงพลาสติกสำหรับรองรับขยะมูลฝอยในแต่ละถัง โดยมัดปากถุงสีเดียวกับถังที่รองรับมูลฝอย
ตามประเภทดังกล่าวขา้ งต้น
      ในกรณที ่ีสถานทมี่ พี ื้นทจ่ี ำกดั ในการจัดวางภาชนะรองรับขยะมูลฝอยและมจี ำนวนคนท่ีค่อนข้างมากในบริเวณ
พื้นที่นั้น เช่น ศูนย์การประชุมสนามบิน ควรมีถังที่สามารถรองรับขยะมูลฝอยไดท้ ั้ง 4 ประเภทในถังเดียวกัน โดยแบ่ง
พื้นที่ของถังขยะมูลฝอยออกเปน็ 4 ช่อง และตัวถังรองรบั ขยะมูลฝอยทำด้วยสแตนเลส มีฝาปิดแยกเปน็ 4 สี ในแต่ละ
ชอ่ งตามประเภทของขยะมูลฝอยที่รองรับ ดังนี้
      • ฝาสีเขยี ว รองรบั ขยะมลู ฝอยทเ่ี นา่ เสยี และยอ่ ยสลายไดเ้ ร็ว
      • ฝาสีเหลือง รองรับขยะมูลฝอยที่สามารถนำรีไซเคลิ หรอื ขายได้
      • ฝาสีแดงรองรับขยะมลู ฝอยที่มีอันตรายต่อสิ่งมีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อม
      • ฝาสีฟา้ รองรับขยะมลู ฝอย ทยี่ ่อยสลายไม่ได้ ไมเ่ ปน็ พษิ และไม่ค้มุ ค่าการรีไซเคลิ และมสี ัญลักษณ์ขา้ งถัง
                           --------------------------------------------------------
1
                                  หน่วยการเรยี นรู้ที่ 8
                              ความปลอดภยั ของนกั ทอ่ งเท่ียว
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมจะมคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั ความหมาย ความสำคัญ และวิธีการปฐมพยาบาลนักท่องเท่ียว
      สถานการณ์การท่องเที่ยวไทย การท่องเที่ยวถือเป็นแหล่งรายได้หลักที่สำคัญของประเทศไทยโดยในปี
2551 รายรบั จากการทอ่ งเท่ียวของไทยจดั อยูใ่ นอนั ดับ 1 ของภมู ิภาคอาเซียน ภาคการทอ่ งเท่ียวสร้างรายได้ให้กับ
ประเทศไทย ร้อยละ 9 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานกว่า 1.9 ล้านคน
คดิ เปน็ ร้อยละ 5 ของจำนวนแรงงานท้ังหมดภายในประเทศ หากพจิ ารณาสถติ ินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติท่ีเดินทาง
มายังประเทศไทย พบว่า จำนวนนักท่องเท่ยี วชาวต่างชาติเดนิ ทางเขา้ มาประเทศไทยเพมิ่ มากข้ึนอยา่ งต่อเน่ือง
      ดังน้นั ในการท่องเทยี่ ว นกั ท่องเทีย่ วมักจะเดินทางไปท่องเท่ียวยังแหล่งทอ่ งเที่ยวต่าง ๆ ทว่ั ประเทศ ทำให้
ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของตนเองและหมู่คณะ ดังนั้นปัญหาด้านควา มไม่
ปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวจึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ
ประเทศ
      จึงมคี ำกล่าววา่ หากจะส่งเสรมิ การทอ่ งเทยี่ วในประเทศจะต้องขจัดปัญหาอุปสรรคใหห้ มดไป ในการรักษา
ความปลอดภยั ในชีวิต รา่ งกายและทรัพยส์ ินของนกั ท่องเท่ียว
การปฐมพยาบาล
1. การใช้ผ้าสามเหล่ยี ม
2. แผลงูพษิ กัด
3. ผงเขา้ ตา
4. บาดแผล
5. ความดันตำ่ หนา้ มดื เวยี นศรี ษะ
6. สุนขั กดั
7. การหา้ มเลือด
8. เป็นลม
9. เลอื ดกำเดาไหล
10. การเคลอื่ นย้ายผปู้ ว่ ย
- โดยผู้ชว่ ยเหลือสองคน                                  - โดยใช้ผ้าห่ม
- โดยผู้ชว่ ยเหลอื สามคน                                 - โดยใชเ้ ปลหาม
11. เครื่องกระตุกหัวใจดว้ ยไฟฟ้า อตั โนมัติ AED แบบพกพา
12. ข้ันตอนการทำ ซีพอี าร์ (CPR) หรือการช่วยชวี ิตข้นั พื้นฐาน
หมายเหตุ : หวั ข้อท่ี 1 – 11 ให้ผู้บรรยายอธบิ ายทบทวนเบื้องต้นโดยใชเ้ วลา ประมาณ 30 นาที ส่วนหวั ข้อที่
12 ให้บรรยายและเน้นให้ลกู เสอื เนตรนารี ฝึกปฏบิ ัติการทำ CPR ทุกคน โดยใช้เวลา 60 นาที
                                     คมู่ อื ลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนกั งานลกู เสอื แห่งชาติ 2562
29
การปฐมพยาบาล
      การปฐมพยาบาล หมายถึง การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้ป่วยหรือผูบ้ าดเจ็บ ณ สถานท่เี กิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์
เท่าที่จะหาไดใ้ นขณะน้ัน ก่อนท่ีผบู้ าดเจ็บจะได้รับการดูแลรกั ษาจากบคุ ลากรทางการแพทย์ หรือสง่ ตอ่ ไปยัง
โรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลมวี ตั ถุประสงคท์ ี่สำคญั คอื
     1. เพื่อชว่ ยชีวติ
     2. เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ
        หรือการเจ็บปว่ ย
     3. เพอ่ื ทำใหบ้ รรเทาความเจ็บปวดทรมาน
        และช่วยให้กลบั สสู่ ภาพเดิมโดยเร็ว
     4. เพื่อป้องกันความพิการทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ตามมา
        ภายหลังการปฐมพยาบาลแบบตา่ ง ๆ
1. การใช้ผา้ สามเหล่ียม ( Triangular bandages)
      การใช้ผ้าสามเหลี่ยม เมื่อมีบาดแผลต้องใช้ผ้าพันแผล ซึ่งขณะนั้นมีผ้าสามเหลี่ยม สามารถใช้ผ้า
สามเหลี่ยมแทนผ้าพันแผลได้ โดยพับเก็บมุมให้เรียบร้อย และก่อนพันแผลต้องพับผ้าสามเหลี่ยมให้มีขนาด
เหมาะสมกบั บาดแผล และอวัยวะ
      1. การคลอ้ งแขน (Arm sling)
         ในกรณที ่ีมกี ระดกู ต้นแขนหัก หรอื กระดูกปลายแขนหัก เม่ือตกแต่งบาดแผลและเข้าเฝอื กช่วั คราว
         เรยี บร้อยแลว้ จะคล้องด้วยผา้ สามเหลีย่ มตามลำดับดังนี้
             1.1 วางผ้าสามเหลี่ยมให้มุมยอดของสามเหลี่ยมอยู่ใต้
             ขอ้ ศอกข้างท่เี จ็บให้ชายผ้าด้านพบพาดไปท่ีไหลอ่ ีกขา้ งหนึง่
                                  1.2 จบั ชายผา้ ดา้ นลา่ งตลบกลับขึ้นข้างบน ใหช้ ายผ้าพาดไปทีไ่ หล่ข้าง
                                เดียวกบั แขนข้างทเี่ จ็บ
                                                         คู่มือลกู เสอื มัคคุเทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแห่งชาติ 2562
30
1.3 ผกู ชายทั้งสองใหป้ มอยู่ตรงร่องเหนอื กระดกู ไหปลารา้
1.4 เก็บมุมสามเหล่ยี มโดยใชเ้ ขม็ กลัดติดให้เรียบร้อย
      2. การพนั มือ ใช้กรณีทมี่ ีบาดแผลที่มอื ทำตามลำดบั ดังนี้
         2.1 วางมือที่บาดเจ็บลงบนผ้าสามเหลี่ยม จับ
         มุมยอดของผ้าสามเหลี่ยมลงมาด้านฐานจรด
         บริเวณขอ้ มือ
         2.2 หอ่ มือโดยจบั ชายผ้าทั้งด้านซา้ ยและขวา
         ไขว้กัน
         2.3 ผกู เงือ่ นพิรอดบริเวณข้อมือ
2. แผลงูพิษกดั
     1. ดูรอยแผล ถ้างูไม่มีพิษแผลจะเป็นรอย
     ถลอก ให้ทำแผลแบบ แผลถลอกแล้วถ้าแผล
     ไม่ลุกลามหรือไม่มีอาการอื่น ไม่ต้องไปหา
     หมอ แผลจะหายเอง ถ้างูมีพิษจะมีรอยเขี้ยว
     1 หรอื 2 จดุ ใหร้ ักษาตามขอ้ 2-7
     2. พดู ปลอบใจอย่าให้กลวั หรือตกใจ, ให้นอน
     นิง่ ๆ, ถา้ จำเป็นใหเ้ คลอ่ื นไหวน้อยท่สี ุด
     3. ห้ามให้ด่มื เหล้า ยาดองเหล้า หรือยากล่อม
     ประสาท
     4. ห้ามใชม้ ีดกรดี ปากแผล หา้ มบีบเค้นบริเวณแผล เพราะจะทำให้แผลช้ำสกปรก และทำให้พิษกระจายเร็วข้ึน.
     5. หา้ มขันชะเนาะรัดแขนหรือขา เพราะจะเกดิ อันตรายมากข้นึ
                                                         คู่มือลกู เสอื มคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลกู เสอื แหง่ ชาติ 2562
31
     6. รีบพาไปหาหมอ, ถา้ เป็นไปไดค้ วรนำซากงูที่กัดไปดว้ ย
     7. ถา้ หยดุ หายใจ ให้ เปา่ ปากช่วยหายใจ
3. ผงเข้าตา
      ห้ามขยี้ตา , รีบลืมตาในน้ำสะอาด , และกลอกตา
ไปมาหรือเทน้ำให้ไหลผ่านตาที่ถ่างหนังตาไว้ ถ้ายังไม่ออก
ให้คนช่วยใช้มุมผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดเขี่ยผงออกถ้าไม่ออก
ควรรีบไปหาหมอ
4. บาดแผล
      - แผลต้นื หรือแผลมดี บาด (เลือดออกไม่มาก)
      1. บบี ใหเ้ ลือดชะเอาส่งิ สกปรกออกมาบา้ ง
      2. ถา้ มีฝุ่นผงหรือสกปรก ต้องลา้ งออกด้วยนำ้ สกุ กบั สบู่
      3. ใส่ ทิงเจอรใ์ ส่แผลสด หรอื น้ำยาโพวโิ ดนไอโอดนี
      4. พันรดั ให้ขอบแผลติดกนั
      5. ควรทำความสะอาดแผลและเปลยี่ นผา้ กอซวันละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลจะหาย
5. ความดันตำ่ หนา้ มดื เวียนศีรษะ
      1. ถ้ามอี าการเจ็บหน้าอกรุนแรง, ปวดท้องหรอื อาเจียนรุนแรง, ถ่ายอจุ จาระดำ, ใจหววิ ใจสนั่ , ชีพจรเตน้
        เร็ว, เหงอื่ แตกท่วมตวั , หรือลุกนง่ั มีอาการเปน็ ลม ต้องไปหาหมอโดยเร็ว.
      2. ถ้าไมม่ ีอาการในข้อ 1 ใหป้ ฏิบัตดิ ังน้ี
        2.1 ใหน้ อนลงสกั ครู่ แลว้ ลุกข้ึนใหม่โดยลกุ ชา้ ๆ อยา่ ลุกพรวดพราด เชน่ ค่อยๆ
      ลกุ จากทา่ นอน เป็นทา่ น่ัง แลว้ นง่ั พกั สกั ครู่ ขยบั และเกร็งขาหลายๆ ครั้ง, แลว้ คอ่ ย ๆ ลุกขึ้นยนื , ยืนนงิ่ อยู่
        สักครู่ แลว้ จึงคอ่ ยเดิน
        2.2 ถ้ายังมอี าการใหก้ ินยาหอม หรอื กดจุด
      3. ถา้ เปน็ ๆ หาย ๆ เรอื้ รงั ควรไปหาหมอเพอ่ื ตรวจหาสาเหตุ ถา้ มอี าการวงิ เวียน เหน็ บ้านหมุน ดูเรอ่ื ง
        วิงเวียน เห็นบ้านหมุน
      การป้องกัน ใหอ้ อกกำลงั กายเพม่ิ ข้นึ ทลี ะน้อย, นอนหลบั พักผอ่ นให้เพยี งพอ, และด่มื นำ้ มาก ๆ
6. สุนัขกัด
      1. ใหร้ บี ทำแผลทนั ที โดยลา้ งแผลดว้ ยนำ้ สะอาด, ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง, แลว้ ชะแผลดว้ ย แอลกอฮอล์ หรือ
        ทงิ เจอรใ์ ส่แผลสด หรือ นำ้ ยาโพวโิ ดนไอโอดีน
      2. รีบพาไปหาหมอ เพื่อพจิ ารณาฉีดยาปอ้ งกนั บาดทะยัก, ฉีดยาป้องกนั โรคกลวั นำ้ และใช้ ยาปฏิชวี นะ
                                                         คมู่ อื ลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนกั งานลกู เสอื แหง่ ชาติ 2562
32
7. การห้ามเลือด
      1. ถา้ บาดแผลเล็ก กดปากแผลด้วยผา้ สะอาด แล้ว
        พันให้แน่น
      2. ถ้าบาดแผลใหญ่ เลือดออกพุ่ง ทำตามข้อ 1 แล้ว
        เลือดยังไม่หยุด ใช้ผ้า เชือก หรือสายยางรัดเหนือ
        แผล(ระหว่างบาดแผลกับหัวใจ) ให้แน่นพอที่เลือด
หยุดไหลเท่านั้น โดยอวัยวะส่วนปลายไม่เขียวคล้ำหรือ
ถ้าเป็นเลือดพุ่งออกมาจากปลายหลอดเลือดที่ขาดอยู่
ใหใ้ ช้ก้อนผา้ เลก็ ๆ กดลงตรงนน้ั เลอื ดจะหยุดได้
3. ยกสว่ นท่ีมเี ลอื ดออกใหส้ งู ไว้
8. เปน็ ลม
      1. ถา้ เปน็ ลมหมดสติ และหยุดหายใจ, หรอื ชกั , หรอื เปน็ ลมอมั พาต (ส่วนหนึ่งสว่ นใดของ รา่ งกายอ่อนแรง
        ทนั ที), หรอื เป็นลมแนน่ อกหรอื จกุ อก จนหายใจไม่ออก, หรอื มีอาการรุนแรง อื่น ต้องไปหาหมอโดยเรว็ .
      2. ถา้ เปน็ ลมหนา้ มดื อาจหมดสติจนไมร่ ้สู ึกตัวไดโ้ ดยกอ่ นเป็นลมหนา้ มืด อาจใจหววิ ใจสัน่ หรือเวยี นศีรษะ
        แล้วหมดแรงฟุบตวั ลงกับพ้นื (มักจะไม่ล้มฟาด)
          - ให้นอนหงายลงกบั พน้ื ( ศีรษะไม่หนุนหมอน) แขนขาเหยียด ใชห้ มอนหรือส่งิ อืน่ รองขา และเท้าให้
            สูงกว่าลำตวั
          - คลายเส้ือผ้าให้หลวมออก เอาฟันปลอมและของในปากออก
          - พดั โบกลมใหถ้ ูกหน้าและลำตัว ห้ามคนมงุ ด.ู
          - ให้ดมยาหมอ่ งหรือยาดมอนื่ ๆ หรือกดจุด
          - ใช้ผ้าชบุ น้ำเยน็ หรอื น้ำอนุ่ เช็ดหน้า และบบี นวดแขนขาถา้ ไม่ดีขึ้นใน 30 นาที ให้ไปหาหมอ
          การป้องกัน
          - รกั ษาสุขภาพให้แขง็ แรง เชน่ กนิ อาหารและนอนหลบั พกั ผอ่ นใหเ้ พียงพอ ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ
          - หลกี เลี่ยงชนวนทที่ ำใหเ้ ป็นลมหน้ามดื เช่น ทแี่ ออัดอบอา้ ว
      3. ถา้ เป็นลมแน่นทอ้ ง เรอลมบอ่ ย ๆ ผายลมบ่อย ๆ
          - ดื่มน้ำร้อน ๆ หรือนำ้ ขงิ /ข่า/กระชาย (อยา่ งใดอย่างหนึง่ )
          - กนิ ยาลดกรด ยาขับลม
         การปอ้ งกัน
          - อย่ากินอาหารจนอิ่มมาก และหลีกเลี่ยงอาหารที่เกิด
          ลมง่าย เช่น นม ถั่ว อาหารที่ย่อยยาก อาหารค้างหรือ
          เร่มิ บูด เป็นตน้
          - พูดหรือร้องเพลงใหน้ อ้ ยลง
          - จบิ นำ้ บ่อย ๆ เพ่ือไมใ่ หก้ ลืนลมโดยไม่รู้ตวั
          - ผ่อนคลายความเครียดลง ดเู รือ่ งกังวล-เครียด
                                                         คู่มือลกู เสือมัคคุเทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแหง่ ชาติ 2562
33
9. เลือดกำเดาไหล
      1. ให้นั่งนิ่งๆ, หงายศีรษะไปด้านหลัง พิงพนัก
        หรือผนัง หรือนอนหนุนไหล่ให้สูงแล้วหงาย
        ศีรษะพงิ หมอน
      2. ปลอบใจให้สงบ ใจ ให้หายใจ ย า ว ๆ
        (ย่ิงตืน่ เตน้ ตกใจ เลอื ดยง่ิ ออกมาก)
      3. ใช้นิ้วมือบีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น โดยให้
        หายใจทางปากแทน หรอื ใชผ้ ้าสะอาดมว้ นอุด
        รูจมูกข้างนัน้ หรือกดจดุ
      4. วางน้ำแข็งหรือผ้าเย็นบนสันจมูก หน้าผาก
        และใตข้ ากรรไกร
      5. ถา้ เลือดไม่หยุด รบี พาไปโรงพยาบาล
      6. ถ้ามีเลือดกำเดาออกบ่อย ควรปรึกษาหมอ,
        อาจเปน็ ความดนั เลือดสงู หรือโรคอื่น ๆ ได้
10. การเคลื่อนยา้ ยผปู้ ว่ ย
          การเคลื่อนยา้ ยผ้ปู ่วยโดยผ้ชู ว่ ยเหลือสองคน
          วิธีที่ 1 อุ้มและยก เหมาะสำหรับผู้ป่วยราย
      ในรายที่ไม่รู้สึกตัว แต่ไม่ควรใช้ในรายที่มีการ
      บาดเจบ็ ของลำตัว หรือกระดกู หัก
          วิธีที่ 2 นั่งบนมือทั้งสี่ที่จับประสานกันเป็น
      แคร่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยในรายทีข่ าเจ็บแต่รู้สกึ ดี
      และสามารถใชแ้ ขนทั้งสองข้างได้
          วิธีเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนใช้มือ
      ขวากำข้อมือซ้ายของตนเอง ขณะเดียวกันก็ใช้มือ
      ซ้ายกำมือขวาซึ่งกันและกัน ให้ผู้ป่วยใช้แขนทั้ง
      สองยันตัวขึ้นนั่งบนมือทั้งสี่ที่จับประสานกันเป็น
      แคร่ แขนทั้งสองของผู้ป่วยโอบคอผู้ช่วยเหลือ
      จากนั้นวางผู้ป่วยบนเข่าเป็นจังหวะที่หนึ่ง และ
      อุ้มยนื เปน็ จงั หวะทสี่ อง แลว้ จึงเดนิ ไปพรอ้ ม ๆ กัน
          วธิ ที ่ี 3 การพยงุ เดนิ วธิ ีนใี้ ช้ในรายท่ไี มม่ ีบาดแผลรุนแรง หรือกระดกู หักและผบู้ าดเจ็บยงั รู้สกึ ตวั ดี
      วิธีท่ี 1 อุ้มสามคนเรียง เหมาะสำหรบั ผปู้ ่วยในรายท่ีไมร่ สู้ กึ ตวั ต้องการอมุ้ ขึน้ วางบนเตยี งหรืออุ้มผ่านทาง
        แคบ ๆ
                                                         ค่มู ือลกู เสือมัคคุเทศก์ : สำนักงานลกู เสือแห่งชาติ 2562
34
      วิธีเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือทั้งสามคน
 คกุ เขา่ เรียงกันในท่าคกุ เข่าขา้ งเดียว ทุกคนสอด
 มือเข้าใต้ตัวผู้ป่วย และอุ้มพยุงไว้ตามส่วนต่าง
 ๆ ของร่างกายดงั นี้
      คนที่ 1 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ตัวผู้ป่วย
 ตรงบรเิ วณคอและหลงั ส่วนบน
      คนที่ 2 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ตัวผู้ป่วย
 ตรงบริเวณหลังส่วนล่างและกน้
      คนที่ 3 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ขาผู้
 ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอที่สุดควรเป็นคนที่ 3
 เพราะรับน้ำหนักน้อยที่สุด เมื่อจะยกผู้ป่วยผู้
 ช่วยเหลอื ทงั้ สามคน จะตอ้ งทำงานพร้อม ๆ กัน
 โดยให้คนใดคนหนึ่งเป็นออกคำสั่ง ขั้นแรก ยก
 ผปู้ ว่ ยพร้อมกันและวางบนเขา่
      จากท่านี้เหมาะสำหรับจะยกผู้ป่วยข้ึน
 วางบนเปลฉุกเฉินหรือบนเตียง แต่ถ้าจะอุ้ม
 เคลื่อนที่ผู้ช่วยเหลือทั้งสามคน จะต้องประคอง
 ตัวผู้ป่วยในท่านอนตะแคง และอุ้มยืน เมื่อจะเดินจะก้าวเดินไปทางด้านข้างพร้อม ๆ กัน และถ้าจะวาง
 ผู้ป่วยใหท้ ำเหมอื นเดมิ ทุกประการ คอื คุกเข่าลงกอ่ นและค่อย ๆ วางผปู้ ่วยลง
วิธีที่ 2 การใช้คน 3 คน วิธีนี้ใช้ในรายที่ผู้บาดเจ็บนอนหงาย
    หรือ นอนคว่ำก็ได้ ให้คางของผู้บาดเจ็บยกสูงเพื่อเปิด
    ทางเดินหายใจ
    1. ผู้ปฐมพยาบาล 2 คนคุกเข่าข้างลำตัวผู้บาดเจ็บข้างหน่ึง
      อีกข้างหนึ่ง ผู้ปฐมพยาบาลอีก 1 คน คุกเข่าข้างลำตัว
      ผู้บาดเจ็บ
    2. ผ้ปู ฐมพยาบาลคนที่ 1 ประคองทศี่ ีรษะและไหล่ผบู้ าดเจ็บ
      มอื อกี ขา้ งหนงึ่ รองส่วนหลังผบู้ าดเจ็บ
                           3. ผู้ปฐมพยาบาลคนที่ 2 อยู่
                           ตรงข้ามคนที่ 1 ใช้แขนข้าง
                           หนึ่งรองหลังผู้บาดเจ็บ เอามือไปจับมือคนที่ 1 อีกมือหนึ่งรองใต้
                           สะโพกผ้บู าดเจ็บ
                           4. ผู้ปฐมพยาบาลคนที่ 3 มอื หนงึ่ อยใู่ ต้ต้นขาเหนือมือคนท่ี 2 ที่รองใต้
                           สะโพก แล้วเอามือไปจับกับมือคนที่ 2 ที่รองใต้สะโพกนั้น ส่วนมืออีก
                           ข้างหนึ่งรองทข่ี าใตเ้ ขา่
                           5. มือคนที่ 1 และคนที่ 2 ควรจับกันอยู่ระหว่างกึ่งกลางลำตัวส่วนบน
                           ของผู้บาดเจบ็ ผปู้ ฐมพยาบาลจะต้องให้สัญญาณลุกขึ้นยนื พรอ้ ม ๆ กัน
                                                  คู่มือลูกเสือมคั คเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ 2562
35
การเคลอ่ื นยา้ ยผ้ปู ว่ ยโดยใชผ้ า้ ห่ม
ใช้กรณที ี่ไม่มเี ปลหามแตไ่ มเ่ หมาะกับผู้ป่วยที่ได้รบั บาดเจบ็ บรเิ วณหลัง
วธิ ีเคลอ่ื นย้าย
        พับผ้าห่มตามยาวทบกันเป็นชั้น ๆ 2-3 ทบ โดยวิธีการพับผ้า
ห่มพับเช่นเดียวกับการพับกระดาษทำพัด วางผ้าห่มขนาบชิดตัวผู้ป่วย
ทางด้านข้าง ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าลงข้างตัวผู้ป่วยอีกข้างหนึ่ง จับผู้ป่วย
ตะแคงตัวเพื่อให้นอนบนผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มทั้งสองข้างออก เสร็จ
แลว้ จงึ ม้วนเข้าหากัน จากนน้ั ชว่ ยกนั ยกตวั ผู้ป่วยขนึ้ ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่ง
ต้องประคองศีรษะผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยทีส่ งสยั ว่า ได้รับบาดเจ็บที่คอ
หรือหลงั
การเคลื่อนย้ายผปู้ ่วยโดยใช้เปลหาม
        เปลหรอื แครม่ ีประโยชนใ์ นการเคลื่อนย้ายผปู้ ว่ ย อาจทำได้ง่ายโดยดัดแปลงวสั ดุ การใช้เปลหาม
จะสะดวกมากแตย่ งุ่ ยากบ้างขณะทจ่ี ะอุ้มผู้ป่วยวางบนเปลหรืออมุ้ ออกจากเปล
วิธกี ารเคลอื่ นยา้ ย
      เรม่ิ ตน้ ด้วยการอุ้มผูป้ ่วยนอนราบบนเปล จากนั้นควร
ใหผ้ ชู้ ่วยเหลือคนหน่ึงเป็นคนออกคำสง่ั ให้ยกและหามเดิน เพ่ือ
ความพร้อมเพรียงและนุ่มนวล ถ้ามีผู้ช่วยเหลือสองคน คน
หนึ่งหามทางด้านศีรษะ อีกคนหามทางด้านปลายเท้าและหัน
หน้าไปทางเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าผู้ช่วยเหลือที่หาม
ทางด้านปลายเท้าจะเดินนำหน้า หากมีผู้ช่วยเหลือ 4 คนช่วย
หามอีก 2 คน จะช่วยหามทางด้านข้างของเปลและหันหน้า
เดินไปทางเดียวกนั
วสั ดุทีน่ ำมาดัดแปลงทำเปลหาม
1. บานประตไู ม้
2. ผ้าห่มและไม้ยาวสองอนั วิธีทำเปลผ้าห่ม ปูผ้าหม่ ลงบน
 พื้นใชไ้ ม้ยาวสองอัน ยาวประมาณ 2.20 เมตร
- อันท่ี 1 สอดในผา้ ห่มท่ไี ดพ้ ับไว้แล้ว
- อันที่ 2 วางบนผ้าห่ม โดยให้ห่างจากอันที่ 1 ประมาณ
 60 ซม. จากนั้นพับชายผ้าห่มทับไม้อันที่ 2 และอันที่ 1
 ตามลำดับ
                                          3. เสื้อและไม้ยาว 2 อัน นำเสื้อที่มีขนาดใหญ่
                                          พอๆกันมาสามตัว ติดกระดุมให้เรียบร้อย ถ้าไม่
                                          แน่ใจ ว่ากระดุมจะแน่นพอให้ใช้เขม็ กลดั ซ่อนปลาย
                                          ชว่ ยดว้ ย แลว้ สอดไม้สองอนั เขา้ ไปในแขนเส้ือ
                                                  ค่มู อื ลูกเสือมัคคเุ ทศก์ : สำนกั งานลกู เสือแหง่ ชาติ 2562
36
11. เครอื่ งกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า อัตโนมตั ิ AED แบบพกพา
      เครือ่ ง AED คอื อะไร
      AED ย่อมาจาก Automated External Defibrillator คือ เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ
เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาที่สามารถวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดย
อัตโนมัติ และ สามารถให้การรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้ากระตุกหัวใจ โดยใช้กระแสไฟฟ้า หยุดรูปแบบการเต้นของ
หัวใจที่ผิดจังหวะ เพื่อเปิดโอกาสให้หัวใจกลับมาเต้นใหม่ในจังหวะที่ถูกต้องเนื่องจากอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เป็นสิ่งที่อาจเกดิ ขึ้นได้ทุกทีท่ ุกเวลา และหากผู้ป่วยมีอาการในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านหรอื โรงพยาบาล การช่วยเหลอื
อาจเกิดขึ้นไม่ได้ทันท่วงที ดังนั้นในที่สาธารณะ เช่น ตามสถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้า จึงมีการติดตั้งเครื่อง AED
มากขึ้น เพราะเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ที่
ช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการใช้งาน AED มาก่อน เพราะคนทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ง่าย เพียงทำตาม
คำแนะนำของเครื่อง AED ซึ่งสามารถประเมินสถานการณ์ของผู้ป่วยได้อัตโนมัติและช่วยกระตุ้นการทำงานของ
หวั ใจไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที
วิธีการใช้งานเครอ่ื ง AED
      การใช้งานเครื่อง AED เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนั้นไม่ยุ่งยาก เมื่อเจอ
สถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ทำตาม
3 ข้ันตอนดงั ตอ่ ไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 เปิดสวิตช์เครื่อง AED
และทำตามคำแนะนำจากเคร่อื ง
ขั้นตอนที่ 2 ติดแผ่นแพดบน
หนา้ อกของผปู้ ่วย
ขั้นตอนที่ 3 กดปุ่มกระตุ้นที่มีไฟ
กระพริบสีส้มเพื่อปล่อย
กระแสไฟฟา้ กระตุกหวั ใจผปู้ ่วย
12. ข้นั ตอนการทำ ซพี ีอาร์ (CPR) หรือการช่วยชวี ิตข้นั พื้นฐาน
      การซีพีอาร์ (CPR) คือ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ป่วย ด้วยการกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดที่หยุด
ทำงานไปให้กลับมาทำงานอีกครั้ง การซีพีอาร์ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจ ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจแบบ
เฉียบพลนั หรือผ้ทู ่เี กิดภาวะขาดออกซเิ จนเป็นเวลานานจนตอ้ งรีบย้ือชวี ิตอยา่ งเรง่ ดว่ น
      ขนั้ ตอนการทำซพี ีอาร์CPRรว่ มกับการใช้เคร่ืองเออดี ีAED
      1. เมอ่ื พบคนหมดสติ ให้ตรวจดูความปลอดภัยก่อนเข้าไปช่วยเหลือ
      2. ประเมินสถานการณ์ของผู้ปว่ ย โดยการเรียกเสียงดงั และตบไหลท่ ้ังสองขา้ ง
      3. หากผ้ปู ว่ ยไมต่ อบสนอง โทรขอความชว่ ยเหลือท่ีสายดว่ น 1669
      4. ตรวจสอบวา่ ผู้ป่วยหายใจหรอื ไม่ หากไม่หายใจ ให้เริ่มทำซพี ีอาร์ทนั ที
      5. ใหผ้ ้ชู ว่ ยเหลือไปนำเคร่อื งเออดี ีมา ระหว่างนนั้ เคลียร์พื้นทใ่ี หอ้ ากาศถ่ายเทสะดวก ปรับตำแหน่งคอของ
      6. ผู้ป่วยใหห้ ายใจไดส้ ะดวกขึ้น และเร่ิมทำซีพีอาร์
      การทำซีพีอาร์ CPR
      1. เริ่มจากหาตำแหน่งกง่ึ กลางของหนา้ อกและราวนม วางสน้ มอื ลงไปท่ีตำแหนง่ กึ่งกลางนน้ั นำมืออีกขา้ ง
มาประกบ แขนตึง หลังตรง ต้ังฉากกับทรวงอก 90 องศา และโน้มตัวไปขา้ งหนา้ เล็กน้อย
                                                         คู่มอื ลกู เสือมคั คเุ ทศก์ : สำนกั งานลูกเสอื แห่งชาติ 2562
37
      2. กดหนา้ อกลึกประมาณ 5 เซนตเิ มตรด้วยแรงจากน้ำหนักตวั ในอัตราความเร็ว 100-120 ครง้ั ต่อนาที
ใชน้ ้วิ ปิดจมูกและเป่าลมหายใจเขา้ ไป 2 ลมหายใจ หลงั จากนัน้ ใหก้ ดหน้าอกต่อ
      3. เมื่อเครื่องเออีดีมาถึง ให้เปิดเครื่อง
และปฏิบตั ติ ามคำส่ังเสยี ง
      4. ถอดเส้อื ผู้ปว่ ยออก เช็ดผิวหนงั บรเิ วณหน้าอก
ให้แห้ง และติดแผ่นอิเล็กโทรด (เครื่องสั่งว่า ห้ามแตะ
ตอ้ งผู้ป่วยขณะทำการวิเคราะห์)
      5. หากเครื่องแนะนำให้รกั ษาด้วยการช็อกไฟฟา้
หัวใจ ให้ทุกคนถอยห่างจากผู้ป่วย และกดปุ่มช็อกไฟฟ้า
หากไมส่ งั่ ให้ชอ็ กไฟฟา้ หวั ใจ ใหท้ ำซพี อี ารต์ อ่ ไป
      6. หลังจากกดปุ่มช็อกไฟฟ้า เครื่องจะสั่งว่า
“ผู้ป่วยได้รับการช็อก ให้เริ่มซีพีอาร์” ให้กดหน้าอก
ตามเสยี งจงั หวะเครือ่ ง
      7. ทำซีพีอาร์สลับกับช็อกไฟฟ้าหัวใจจนกว่าทีม
ชว่ ยเหลือจะมาถงึ
      8. ส่งต่อผู้ป่วยให้กับทีมกู้ชีพ เพื่อนำส่ง
โรงพยาบาล
ขอบคณุ ความรู้จาก
มลู นิธิหมอชาวบ้าน
แสงหลา้ พลนอก ภาควิชาการพยาบาลพ้ืนฐาน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พษิ ณโุ ลก
http://www.doctor.or.th/default.asp
http://www.nurse.nu.ac.th/cai/index.html
http://scout.bmk.in.th/payaban/payaban.htm
https://www.honestdocs.co/10-ways-to-save-lives-using-cpr
https://www.alsok.co.th/th/service/automated-external-defribrivator/
                            -------------------------------------------------
                                                         ค่มู ือลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนักงานลกู เสือแห่งชาติ 2562
38
                               หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 9
                         การใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อื การมัคคุเทศก์
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมจะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญ บทบาทหน้าที่ การเทคโนโลยีที่นำมาใชใ้ น
งานการทอ่ งเท่ียวและผลกระทบทเ่ี กิดจากการใชเ้ ทคโนโลยี
เน้อื หาวชิ า
      เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ
เช่น อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ หรือ แม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น กระบวนการต่าง ๆ
เทคโนโลยี เป็นการประยุกต์ นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ ในทางปฏิบัติแก่มวล
มนุษย์กล่าวคือเทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี กับวิทยาศาสตร์ คือเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัย
ทางเศรษฐกิจเป็นสินค้ามีการซื้อขาย ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสมบัติส่วนรวมของ ชาวโลกมีการเผยแพร่
โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใดกล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็น
ฐานรองรับ
ลกั ษณะของเทคโนโลยี สามารถจำแนกออกได้เปน็ 3 ลักษณะ คือ
      1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (Process) เป็นการใช้อย่างเป็นระบบของวิธีการทาง
         วทิ ยาศาสตร์หรอื ความรตู้ ่าง ๆ ทีไ่ ด้รวบรวมไว้ เพอื่ นำไปส่ผู ลในทางปฏบิ ตั ิ โดยเชือ่ ว่าเป็นกระบวนการ
         ทเ่ี ชือ่ ถือได้และนำไปสู่การแก้ปญั หาต่าง ๆ
      2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (Product) หมายถึง วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นผลมาจากการใช้
         กระบวนการทางเทคโนโลยี
      3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (Process and Product) เช่น ระบบ
         คอมพวิ เตอร์ซงึ่ มีการทำงานเป็นปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวเครื่องกับโปรแกรม เทคโนโลยชี ีวภาพ
การนำเทคโนโลยีมาใชก้ ับงานในสาขาใดสาขาหน่ึงนนั้ เทคโนโลยี มีความสำคัญ 3 ประการ คอื
      1. ประสิทธิภาพ (Efficiency) เทคโนโลยจี ะชว่ ยให้การทำงานบรรลผุ ลตามเป้าหมายได้ เทีย่ งตรงและ
         รวดเร็ว
      2. ประสทิ ธผิ ล (Productivity) เกดิ ผลผลติ เต็มท่ี ไดป้ ระสิทธิผลสงู สุด
      3. ประหยดั (Economy) ประหยดั ทง้ั เวลาและแรงงาน ลงทนุ น้อยแต่ไดผ้ ลมาก
ความสำคัญของเทคโนโลยี
      1. เป็นพนื้ ฐานปัจจยั จำเป็นในการดำเนนิ ชีวิตของมนุษย์
      2. เป็นปจั จยั หลกั ที่จะมสี ว่ นร่วมในการพัฒนา
      3. เป็นเรอ่ื งราวของมนุษย์ และธรรมชาติ
                                                         คู่มอื ลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แห่งชาติ 2562
39
      ในช่วงสองทศวรรษท่ีผ่านมา วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง
นวัตกรรม (Innovation) ซึงก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่ ให้เกิดผลทั้งทาง
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เทคโนโลยีทำให้สังคมโลกทีเ รียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มี
การดำรงชีวิตที สลับซับซ้อนมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน หรือกระแสโลกาภิวัตน์ ทีเข้ามาสู่ทุก
ประเทศอย่าง รวดเร็ว จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกัน
ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม และข่าวสาร (Electronics , Computer ,Telecommunication and
Information หรอื เรยี กย่อ ๆ วา่ ECTI ) ทำให้สงั คมโลกสามารถส่ือสารกนั ได้ทุกแห่งทั่วโลกอยา่ งรวดเร็ว สามารถ
รับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้พร้อมกัน สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุน
ค้าขาย และธรุ กรรมการเงินทได้อย่างรวดเรว็ ดงั นัน้ เทคโนโลยี กำลังทำใหโ้ ลกใบน้ี “เล็กลง” ทุกขณะ
ประโยชน์ของเทคโนโลยี
      ๑. ชว่ ยยกระดบั คณุ ภาพชวี ิตของมนษุ ย์ แถมยงั ชว่ ยพฒั นาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อมอกี ดว้ ยเรื่องราว
         จากการเริม่ ตน้ เทคโนโลยี ยาวนานจนบดั นี้ทำใหม้ นษุ ยเ์ ราแทบไม่สามารถแยกจากเทคโนโลยีไปได้แล้ว
      ๒. ชว่ ยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายข้ึน
      ๓. ชว่ ยใหเ้ ราทนั สมัย
      ๔. ชว่ ยประหยัดเวลา
      ๕. ช่วยในการทำงาน
บทบาทหนา้ ท่ขี องเทคโนโลยี
      ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
ต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยไี ด้เขา้ มาเสรมิ ปัจจยั พืน้ ฐานการดำรงชีวติ ได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การ
สร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ
มนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ
เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟัง
ขา่ วสารกนั ไดต้ ลอดเวลา
ความสำคัญของเทคโนโลยีตอ่ การมคั คเุ ทศก์
      มัคคุเทศก์เป็นอาชีพหรือธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในสายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงหนีไม่พื้นกับความเกี่ยวข้อง
กนั ของเทคโนโลยี ซึ่งมคี วามสำคญั ดังนี้
      1. ขอ้ มูลขา่ วสารถือไดว้ ่าเปน็ สิ่งสำคัญในการท่องเทย่ี วทัง้ ตวั นักท่องเทย่ี ว และมคั คุเทศก์
      2. การวางแผน และเป็นตัวเลือก รวมทั้งต้องการข้อมูลที่เป็นรายละเอียด ระหว่างการเดินทาง เพื่อเป็น
         แนวทางในการท่องเท่ียว
      3. การจดั การเรื่องทีพ่ ัก การเดนิ ทาง และสถานที่ท่องเท่ียวต่าง ๆ
      4. การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อใหม่ (New Media) แทนที่สื่อเก่า (Traditional Media) เพื่อเป็นการลด
         ต้นทุนในธรุ กิจ และอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ ว โดยการนำ Social Media , Cloud Technology
      5. การวิจัย แสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยว จะหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจที่จะซื้อโปรแกรมการท่องเที่ยว
         โดยอาศยั เทคโนโลยที ่ีมีอยู่
                                                         คู่มือลูกเสือมัคคุเทศก์ : สำนักงานลูกเสอื แหง่ ชาติ 2562
40
      การที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเจริญเติบโตได้นั้น หน่วยงานต้องมีความสามารถในการประยุกต์เอา
เทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในโครงสร้างของการบริหารงานและการติดต่อสื่อสารที่ทำให้การดำเนินกิจกรรมใน
หน่วยงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธภิ าพ นอกจากน้คี วามต้องการของผูร้ ับบริการด้านการท่องเทยี่ วก็เป็นอีกปัจจัย
หนึง่ ท่ีสง่ ผลใหเ้ หน็ วา่ แนวโน้มในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การท่องเทยี่ วจะเป็นไปในทิศทางใด
เทคโนโลยีทน่ี ำมาใช้ในงานการทอ่ งเที่ยว
      1. Mobile Device
      ในโลกของเราทุกวนั นี้ เทคโนโลยไี ดเ้ ข้ามามบี ทบาทกบั ชีวิตของเรามากมาย ไมว่ า่ เราจะทำอะไรก็แล้วแต่
ไม่วา่ จะเดนิ ทางไปไหนก็ไม่ตอ้ งกลัวหลงทางเพราะในโทรศัพท์มือถือสว่ นใหญ่มโี ปรแกรม GPS บอกทางเราได้ และ
ถ้าพูดถึงความสำคัญของมอื ถือกับการท่องเท่ียวสมาร์ทโฟนทำให้การเดินทางไปเท่ียวนั้น แตกต่างไปจากเมื่อก่อน
มากมาย แค่มีมือถือเครื่องเดียวก็สามารถ เช็คราคา, ซื้อ/จองตั๋วเครื่องบิน แถมยังใช้เช็คอินหรือใชเ้ ป็นตั๋วโดยสาร
เพ่ือขน้ึ เครอื่ งบินได้ เรยี กได้วา่ มมี ือถอื เคร่อื งเดยี วกพ็ าเราเดินทางไปไดร้ อบโลกเลย
      2. Search Engine
      ไม่ว่าจะไปเท่ียวที่ไหนโดยเฉพาะสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ก็แสนง่ายดายเพียงแค่กดค้นหาข้อมูลจาก
อินเทอร์เน็ต มีรูปภาพให้เราดูหรือแม้แต่อยากทราบประสบการณ์จากคนที่เคยไปเที่ยวที่นั่นมาก่อนเราก็สามารถ
เข้าไปอ่านได้ การเข้าถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยว ที่กิน ที่เล่น ที่พักอาศัย โรงแรมจองตั๋วคอนเสริต์ สั่งพิชซ่า ซ้ือ
หนังสอื ฯลฯ ทุกอยา่ งสามารถทำได้อยา่ งง่ายดายในโลกปัจจบุ นั
      3. Social Media
      ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงแทบจะอันดับต้น ๆ ใน
บรรดาธุรกิจทั้งหมด ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ยกตัวอย่างในประเทศไทยของเรานี่ก็ได้ เนื่องด้วยอุตสาหกรรมการ
ท่องเที่ยวทำเงินให้ประเทศได้ปีละหลายสิบลา้ นดังน้ันผู้ประกอบการที่สามารถหาจุดเดน่ ของตัวเองเจอก่อนก็ย่อม
ที่จะนำหน้าคู่แข่งไปก่อนเป็นธรรมดา แต่ผู้ประกอบการรายย่อยอาจมองว่าตัวเองไม่มีกำลังพอที่จะไปสู้กับยักษ์
ใหญใ่ นวงการท่องเทีย่ ว เชน่ โรงแรมระดับ 5 - 6 ดาว ได้ ในอดีตการที่ปลาตัวเล็กจะสู้กบั ปลาตัวใหญใ่ นในแม่น้ำที่
เชี่ยวกรากอาจะเป็นเรื่องท่ีทำไดย้ ากแต่ในปจั จุบันที่ social media เข้ามามีบทบาททางการตลาดมากข้ึน แถมยัง
ช่วยเชื่อมต่อโลกทั้งใบเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการรอยย่อยจะผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าก็คงไม่ใช่เรื่อง
ยากอกี ตอ่ ไป ทงั้ นหี้ ากผ้ปู ระกอบการรายย่อยเรียนรู้ทีจ่ ะพฒั นาแคมเปญทางการตลาดโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์
มาช่วยในการขับเคลื่อนธุรกจิ ของตนเอง ก็จะทำใหบ้ รรลจุ ดุ ประสงคท์ างธรุ กิจท่ีตนเองตง้ั ไวไ้ ดไ้ ม่ยาก
      4. Application
      ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหน โทรศัพท์มือถือก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่พกติดตัวไปด้วยเสมอ และมันคงจะดีถ้ามีตัว
ช่วยมาทำให้การเดินทางของคุณง่ายขึ้น Application จึงเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใน
ด้านต่าง ๆ ดงั นนั้ Application ทเี่ กยี่ วข้องกบั การทอ่ งเทีย่ ว จงึ มีเกิดขึน้ มามาย ดงั น้ี
             4.1 แอพพลเิ คชั่น การจอง เชน่ ตว๋ั เคร่ืองบิน Expedia, Skyscanner /
                 โรงแรม Booking.com, Agoda / รถเช่า Kayak, Drivehub ฯลฯ
             4.2 แอพพลเิ คชั่น แผนที่ เชน่ Google Map, Our itinerary viewer
             4.3 แอพพลเิ คชน่ั แปลงสกลุ เงิน เชน่ Xe currency, My Currency
             4.4 แอพพลิเคชัน่ ตรวจสอบสภาพอากาศ เช่น The Weather Channel, Weather Timeline
             4.5 แอพพลิเคช่ัน ภาษา เชน่ Google translate, Dictionary
             4.6 แอพพลิเคชน่ั แนะนำสถานที่ทอ่ งเท่ียว เช่น Around Me, Foursquare
                                                         คมู่ ือลกู เสือมัคคเุ ทศก์ : สำนักงานลกู เสือแหง่ ชาติ 2562
41
ผลกระทบด้านบวกของเทคโนโลยมี อี ะไรบ้าง
      1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสาร
โทรคมนาคม เพ่ือติดต่อส่ือสารให้สะดวกขึ้น มกี ารประยุกต์มาใช้กบั เครื่องอำนวยความสะดวกภายในบา้ น เช่น ใช้
ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคมุ ระบบไฟฟา้ ภายในบา้ น เปน็ ต้น
      2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการ
กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการ
สอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะใช้ระบบการ
รักษาพยาบาลผา่ นเครือข่ายสอื่ สาร
      3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และ
เครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัด
การศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการ
แก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบนั มีการเรยี นการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใน โรงเรียนมากขึน้
      4. เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้
สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นตอ้ งใช้ข้อมลู มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมลู สภาพอากาศ
การพยากรณอ์ ากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะส่ิงแวดล้อม เพ่อื ปรบั ปรงุ แก้ไข การเกบ็ รวมรวมข้อมลู คุณภาพน้ำใน
แม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวดั มลภาวะ ตลอดจนการใชร้ ะบบการตรวจวดั ระยะไกลมาชว่ ย ทเี่ รยี กวา่ โทรมาตร เปน็ ตน้
      5. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธ
ยุทโธปกรณส์ มยั ใหม่ลว้ นแตเ่ ก่ียวข้องกบั คอมพิวเตอรแ์ ละระบบควบคุม มกี ารใช้ระบบป้องกันภยั ระบบเฝา้ ระวังที่
มีคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงาน
      6. การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
จำเป็น ต้องหาวิธีการ ในการผลติ ให้ไดม้ าก ราคาถกู ลง เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์เข้ามามบี ทบาทมาก มกี ารใช้ข้อมูล
ข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บรกิ ารกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้
สะดวกขึ้น
      7. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญ
มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลัง
สำคญั ในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศใหก้ ้าวหนา้ และเกิดประโยชนต์ อ่ ประเทศต่อไป
ผลระทบด้านลบของเทคโนโลยีมอี ะไรบ้าง
      1. ก่อให้เกิดความเครียดในสังคมมากข้ึน เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรแบบใด
มักจะชอบทำแบบนั้น ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลง บุคคลที่รับการ
เปลีย่ นแปลงไม่ได้ จงึ เกิดความวติ กกงั วล จนกลาย เป็นความเครียด กลวั วา่ คอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ
จะทำให้คนตกงาน เพราะส่ิงเหลา่ นจ้ี ะเข้ามาทดแทนมนษุ ย์
      2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนรรมของคนในสังคมโลก ทำให้พฤติกรรมท่ี
แสดงออกด้านการแต่งกาย และการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็กทรอนิกส์
สง่ ผลกระทบ ต่อการพัฒนาอารมณ์และจติ ใจของเยาวชน เกิดการกลนื วัฒนธรรมดั้งเดิมซง่ึ แสดงถึงเอกลักษณ์ของ
สังคมนนั้
      3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่
จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี
สารสนเทศให้ก้าวหน้า และเกดิ ประโยชน์ตอ่ ประเทศตอ่ ไป
                                                         คมู่ อื ลกู เสือมคั คเุ ทศก์ : สำนกั งานลกู เสอื แหง่ ชาติ 2562
42
      4. การมีส่วนรว่ มของคนในสงั คมลดน้อยลง การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว
ในการสื่อสารและการทำงาน แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีส่วนร่วมของกิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์กันจะ
น้อยลง ผู้คนมักอยู่แต่ท่บี า้ นหรอื ที่ทำงานของตนเองมากข้ึน
      5. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลโดยการเพยแพร่ข้อมูลหรือรูปภาพต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูล
บางอย่างอาจไม่เป็นความจรงิ หรอื ยังไม่ได้พิสูจนค์ วามถกู ตอ้ งออกสูส่ าธารณะชน ก่อให้เกดิ ความเสยี หาย ต่อบคุ คล
โดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นน้ี ต้องมีกฎหมายออกมาคุ้มครองเพื่อให้นำข้อมูล
ตา่ ง ๆ มาใชใ้ นทางทถี่ ูกต้อง
      6. เกิดชอ่ งว่างทางสังคม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกีย่ วข้องกับการลงทนุ ผูใ้ ชจ้ ึงเป็นชนชั้นในอีก
ระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชัน้ ระดับรองลงมามีจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้และผู้ยากจนก็ไม่มีโอกาสรู้จกั
กับเทคโนโลยีสารสนเทศ
      7. อาชญากรรมบนเครือข่าย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ข้ึน
เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ
การใหบ้ ริการสารสนเทศทม่ี ีการหลอกลวง รวมถึงการบอ่ นทำลายขอ้ มูลและไวรสั
      8. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์เข้ามามบี ทบาทในการทำงาน การศึกษา บันเทิง
ฯลฯ การจ้องมอง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา
เวยี นศรีษะ นอกจากน้นั ยังมผี ลต่อสขุ ภาพจิต เกดิ โรคทางจติ ประสาท
อา้ งองิ จาก>>http://neung.kaengkhoi.ac.th/information1/techno_3_2.html<<
                          --------------------------------------------------------
                                                         ค่มู อื ลกู เสอื มัคคุเทศก์ : สำนกั งานลูกเสือแห่งชาติ 2562
43
         หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 10
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของลูกเสอื มคั คุเทศก์
      ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมศึกษาองค์ความรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 นี้ และเมื่อศึกษาจบ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม
จะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในงานมัคคุเทศก์ กระบวนการ และขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้
และแนวทางในการแก้ปัญหาท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการปฏบิ ตั งิ านมคั คุเทศก์
ปญั หาในงานมคั คเุ ทศก์
      ลูกเสือมัคคุเทศก์ที่แก้ไขปัญหาเก่งมักจะประสบความสำเร็จได้รวดเร็ว และตรงกันข้ามถ้าลูกเสือมัคคุเทศก์
แก้ไขปัญหาไม่เป็นก็มักประสบความล้มเหลว ซ้ำร้ายถ้าแก้ปัญหาไม่ถูกจุดก็อาจก่อให้เกดิ ปญั หาใหม่ได้ การฝึกฝนเพ่อื
เพิ่มทักษะการแก้ปัญหาอาจทำได้โดยการทำงานหาประสบการณ์บ่อย ๆ ฝึกให้คุ้นเคยและยอมรับการถูกติเตียนอย่าง
เต็มใจ ควรหาโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ทักษะการปฏบิ ัติงาน จากเพื่อนร่วมอาชีพท่ีประสบความสำเร็จก็
เป็นชอ่ งทางหนึง่ ทีใ่ หม้ คั คุเทศก์ได้เรียนรู้คิดและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
      องค์ประกอบในการแก้ไขปัญหาของลูกเสือมัคคุเทศก์ การปฏิบัติงานในหน้าที่ทุกครั้ง อาจมีปัญหาให้แก้ไข
เสมอ เพราะงานมัคคุเทศก์นั้นเป็นงานที่เกี่ยวกับ “คน” คงไม่มีอะไรยากไปกว่าการมีปัญหากับการดูแลเอาใจใส่คน
ลูกเสือมัคคุเทศก์จึงต้องอยู่กับปัญหาและการแก้ปัญหาตลอดเวลา ในการแก้ไขปัญหาของลูกเสือมัคคุเทศก์จะต้อง
อาศยั องคป์ ระกอบ 3 ประการ ได้แก่
              1) ผู้ตดั สนิ ใจ (ลูกเสอื มคั คุเทศก์)
              2) ตัวแปรควบคุมได้ (ปัญหาท่อี าจทำการควบคุมไวไ้ ด้ลว่ งหน้า)
              3) ตวั แปรทค่ี วบคุมไม่ได้ (ปัญหาที่เกิดขึน้ เฉพาะหนา้ ควบคุมไดย้ าก)
      กลา่ วคือ
      1. ผู้ตัดสินใจหรือลูกเสือมัคคุเทศก์จะเป็นผู้ที่จะผจญกับการแก้ไขปัญหา ภาระหน้าที่ที่สำคัญที่สุดใน
การปฏิบัติงานของลูกเสือมัคคุเทศก์คือความสามารถที่จะปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย
การตัดสินใจแก้ไขปัญหานั้นเป็นหน้าที่หลักของลูกเสือมัคคุเทศก์ๆต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ ที่สำคัญตัวลูกเสือ
มัคคุเทศก์เองจะต้องไม่เป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง โดยลูกเสือมัคคุเทศก์ควรมีการตรวจสอบ มีการเตรียมงานให้พร้อมไว้
ล่วงหน้าก่อนปฏบิ ตั งิ านเพ่ือป้องกนั ไม่ให้เกดิ ปัญหา
      2.ตวั แปรควบคมุ ได้ คือ ตัวแปรท่ีลูกเสอื มคั คเุ ทศกส์ ามารถควบคุม และปฏบิ ตั หิ น้าทขี่ องตนได้ เช่น
             2.1 พาหนะเดินทาง ควรยืนยันวันเวลาออกเดินทาง เลือกพาหนะที่มีความพร้อม เลือกพนักงาน
ขับรถทีร่ งู้ านมมี นุษยส์ ัมพันธ์
             2.2 เส้นทางเดนิ ทาง ควรตรวจสอบเส้นทางเดนิ ทางใหเ้ ข้าใจชดั เจนโดยร่มตัดสินใจกับคนขับรถ
             2.3 กำหนดการเดินทางและข้อมูลนักท่องเที่ยว ศึกษาและหาข้อมูล เตรียมความพร้อมในการให้
ข้อมลู ซักซอ้ มการพูดของตน
             2.4 สถานที่พักควรตรวจสอบยืนยันการจอง การวางเงินมัดจำ เตรียมใบเสร็จมัดจำ ยืนยันจำนวน
หอ้ งทจ่ี ะใช้ แจง้ เวลาเข้าถงึ ลว่ งหนา้
             2.5 อาหาร ต้องยืนยันการจอง รายการอาหารกับทางร้าน สถานที่ตั้งของร้าน การจัดที่นั่งให้
นกั ท่องเทย่ี ว
44
             2.6 เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการหรือนักท่องเที่ยว ศึกษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการ เพื่อการ
บริการอย่างรู้ใจและประทบั ใจ ฯลฯ
      3. ตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ คือตัวแปรที่ลูกเสือมัคคุเทศก์ไม่สามารถควบคุมไว้ก่อนล่วงหน้าได้ ตัวแปรนี้จะมี
อิทธิพลต่อความสำเร็จของงานได้มาก การควบคุมป้องกันแก้ไขปัญหากับตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้นี้จะต้องอาศัย
ประสบการณ์ของลูกเสือมัคคุเทศก์เป็นสำคัญ ลูกเสือมัคคุเทศก์ท่ีเคยผ่านการแก้ไขปัญหามามากจะเห็นช่องทางแก้ไข
อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างตัวแปรที่อาจควบคุมไม่ได้ เช่น อาจมีฝนตก หมอกลงจัดทำให้การเดินทาง
ท่องเท่ียวไม่สะดวกหรอื ปัญหาจากอบุ ัตเิ หตุปัญหาจากเคร่ืองบนิ Delay เปน็ ต้น
คณุ สมบตั ขิ องลูกเสือมัคคุเทศก์ทีจ่ ำเป็นในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ มดี งั นี้
        1 มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่ทุกขณะว่ากำลังทำอะไรอยู่ สามารถควบคุมอารมณ์ ไม่ตื่นตระหนกแก้ปัญหาได้
อยา่ งไมว่ วู่ าม
        2. มคี วามคดิ ที่เป็นระบบ ลำดบั ชน้ั ในการแก้ปญั หา มีความเปน็ ไปได้
        3 มีลักษณะรอบรู้ในปญั หา มีความลึกซึ้งเข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหา ไม่มองปัญหาอย่างผิวเผินและสามารถ
หาทางออกในการแกไ้ ขปัญหาได้ในหลาย ๆ แนวทาง
        4. เปน็ ผู้ตอ้ งการความสำเร็จ มกี ำลังใจทจ่ี ะเผชิญกบั ปัญหาอยา่ งถงึ ทส่ี ุด
        5. มีความเขา้ อกเข้าใจ มองโลกในแงด่ ี เข้าใจทุกฝ่ายทีเ่ ก่ยี วข้อง
การแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าอาศัยหลักการดังนี้
        1. ระบุปัญหา เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ให้ทำความกระจ่างว่าปัญหานั้นคืออะไร ปัญหาบางอย่างมีการพัวพันจน
แยกไม่ออกวา่ อะไรเป็นอะไร เนอ่ื งจากลูกเสือมัคคุเทศก์ยังไม่รจู้ ักแยกแยะปญั หาท่แี ท้จรงิ ออกมาใหเ้ ด่นชัด หากลูกเสือ
มัคคเุ ทศกไ์ มท่ ราบจดุ ทเี่ ป็นตน้ เหตุก็ไมส่ ามารถแกไ้ ขปัญหาได้ เพราะไม่ทราบวา่ จะแก้ตรงไหน การไมท่ ราบสาเหตุที่แน่
ชัดจะทำใหก้ ารแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ถ้าเป็นเร่ืองใหญโ่ ตต้องใช้เงินจำนวนมากในการแก้ไข สุดท้ายก็
จะสูญเสียเงินไปโดยแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ขั้นตอนระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอนแรก และเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการแก้ไข
ปญั หา
        2. รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (องค์ประกอบของปัญหา) เมื่อทราบตัวปัญหาอย่างแน่ชัดแล้ว
ขั้นตอนต่อไปก็ต้องรวบรวมสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาให้ได้มาก ๆ และตรงความเป็นจริงที่สุด
เมื่อได้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวปัญหามามาก ตัวปัญหาก็จะเด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม ปัญหาหาไหนเป็นปัญหาหลกั ที่ควร
แกไ้ ขก่อน ปัญหาไหนเป็นปญั หารอง ตอ้ งแยกให้ออก
        3. วิเคราะห์ปัญหา เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การทราบต้นเหตุและรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดแจ้งทำให้
มองเห็นชอ่ งทางในการแกไ้ ขปญั หา วิธแี ก้ไขปญั หาอาจมีได้หลายวิธี ลูกเสือมัคคเุ ทศก์ควรนำวิธีตา่ ง ๆ มาวิเคราะห์ข้อดี
ขอ้ เสีย และหาหนทางที่เปน็ ไปไดแ้ ลว้ จงึ ตดั สินใจเลอื กวธิ ีท่ดี ีท่ีสุดเรียงลำดบั ไว้
        4. วางแผนแก้ปญั หา เม่ือเลือกวิธีแก้ปญั หาแล้ว กเ็ ริม่ ตน้ วางแผน กำหนดข้นั ตอน จดั ลำดับความสำคัญของ
ปัญหาในการดำเนินการแก้ไข ซึ่งการวางแผนก็คือการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร และควรคำนึงถึงสิ่งสำคัญ
ตอ่ ไปน้ีดว้ ย
45
          4.1 อะไรควรจะทำ เปา้ หมายคอื อะไร (ปญั หาคืออะไร)
          4.2 ใครเป็นผมู้ ีความสามารถทำได้สำเรจ็ ตามเป้าหมายได้มากท่ีสดุ ใครตัด สินใจแก้ไขปญั หาได้ดที ่สี ุด ซึ่ง
             บางครั้งอาจไม่ใชม่ ัคคุเทศกก์ ็ได้
          4.3 จะทำได้อยา่ งไร กำหนดกระบวนการวธิ กี ารทีจ่ ะปฏบิ ตั ิใหบ้ รรลุเปา้ หมาย (เลอื กวธิ แี ก้ไขปัญหา)
          4.4 จะทำเมื่อไร กำหนดระยะเวลาที่ควรทำใหเ้ สร็จ (ขั้นตอนการแก้ปัญหา) การวางแผนแก้ปัญหา ต้อง
             วางขั้นตอนต่าง ๆ ไว้อย่างรัดกุม และควรต้อมีแผนรองเผื่อไว้ด้วย เช่น ในกรณีที่เกิดความขัดข้องไม่
             สามารถทำตามแผนหลักได้ กใ็ ชแ้ ผนรองแทน เพ่อื ไม่ต้องเสียเวลาคิดแผนใหม่ โดยการวางแผนแก้ไข
             ปญั หา ควรยึดหลักปฏบิ ัติดังน้ี คือ
                  - ใช้เวลาให้น้อยท่สี ุด
                  - ใหส้ ้ินเปลอื งน้อยทส่ี ดุ
                  - อยูใ่ นวิสยั ทีจ่ ะทำได้มากท่ีสุด
                  - ปลอดภัยมากทส่ี ดุ
                  - มผี ลกระทบทจี่ ะตามมานอ้ ยท่สี ดุ
                  - มีความเขา้ ใจอันดี ระหวา่ งผูป้ ระสบปัญหากับผู้แกป้ ญั หาและผเู้ กย่ี วขอ้ ง
        5 ลงมอื ปฏบิ ัตติ ามแผนแต่ละขนั้ ตอนเมอื่ พรอ้ มทุกอยา่ งแล้ว ในการปฏิบัตจิ ะต้องคำนงึ ถึงการตรวจสอบผลที่
ได้วา่ เป็นไปตามแผนหรือไม่ ทง้ั นเ้ี พือ่ การแก้ไขและเปลีย่ นแผนได้ทนั ทถี า้ หากมีความขัดข้องหรอื ยังมปี ญั หาอยู่อีก
อปุ สรรคในการแกไ้ ขปัญหาของงานลกู เสอื มคั คเุ ทศก์ มักเกิดจากสาเหตตุ ่าง ๆ ดงั นี้
        1. ตัดสินใจกอ่ นรูข้ อ้ เท็จจริงของปัญหา ขาดความเขา้ ใจวา่ ปัญหาคืออะไร
        2. ควบคุมอารมณ์ไมไ่ ด้ มีจติ ใจที่ตงึ เครยี ดตืน่ กลัววา่ จะทำไม่สำเรจ็ หรือถกู ตำหนิ
        3. ขาดข้อมลู ทเ่ี ป็นจรงิ ทำงานไม่รอบคอบ ทำให้แกป้ ัญหาไมต่ รงจุด
        4. มสี ภาพลงั เล กลวั ความผดิ พลาดทำใหต้ ัดสินใจไมท่ ันการณ์
        5. ขาดกำลงั ใจในการแก้ปญั หา หรือเหน่อื ยล้าจากการทำงานจนทำใหม้ องไม่เห็นความสำคญั ของปัญหา
        6. ยึดตดิ ในประสบการณ์ท่ผี ่านมา หรือมแี นวทางแก้ไขวธิ ีเดียว ไมเ่ ปิดใจรบั วิธกี ารใหมห่ รือแนวคิดการแก้ไข
ปัญหาของผ้อู ่นื หรอื เพื่อนร่วมงาน
        7. สภาพสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดมาก่อน หรือมีปัจจัยสอดแทรกที่ทำให้ปัญหาแก้ไม่จบหรือ
ลุกลามมากขึน้
                            ------------------------------------------------------
