ประวัติศาสตร์กาแฟไทย
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) นี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา ระเบียบวิธีการและหลัก
ฐานทางประวัติศาสตร์ SO 3109-62 โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของกาแฟ
ในประเทศไทยทั้งนี้ในหนังสือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ e-book เล่มนี้มีเนื้อหาประกอบด้วย
ประวัติกาแฟในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟสายพันธ์โรบัส
ต้าและอาราบิก้าว่ามีผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมไทยอย่างไร
ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการศึกษาและจัดทำ e-book ขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่า
สนใจ ทั้งนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่กรุณาตรวจให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขให้ข้อเสนอ
แนะตลอดการทำงาน หวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ
ท่านหากมีข้อเสนอแนะประการใดผู้จัดทำขอรับไว้ด้วยความขอบ พระ คุณยิ่ง
ผู้จัดทำ
นางสาว พัชรา ก่าคำ รหัสนักศึกษา 63161633
สารบัญ
คำนำ ก
บ ท คั ด ย่ อ 1
2
ประวัติศาสตร์กาแฟในสมัยอยุธยาสมัยอยุธยา 3
4
ประวัติศาสตร์กาแฟในสมัยรัตนโกสินทร์ 5-6
7
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 8
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเก
ล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 9
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 10-11
สมัยพระบาทสมเด็จจุลจอมเก
ล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 12
-ร้านกาแฟตุงฮูสโตร 13
14
-กาแฟสายพันธ์โรบัสต้า
15
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 16-17
-Red Cross Tea Room ดื่มกาแฟช่วยชาติ
18
-กาแฟนรสิงห์ 19
สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9
-กาแฟสายพันธ์อาราบิก้า ปี พ.ศ.2493
-โครงการปลูกกาแฟอาราบิก้าแทนฝิ่นในภาคเหนือ ( รัชกาลที่ 9) พ.ศ. 2512
สรุป
บรรณานุกรม
1
ประวัติศาสตร์กาแฟในสมัยอยุธยา - สมัยรัตนโกสินทร์
(พ.ศ.2352 - พ.ศ.2512)
บทคัดย่อ
กาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนีย (Abyssinia) และอาราเบีย (Arabia) ถูกค้นพบ
ในศตวรรษที่ 6 ราวปี ค.ศ. 575 ในประเทศอาระเบีย (Arabia) พบในเมืองคัพฟา (Kaffa) ซึ่ง
เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเอธิโอเปีย(Ethiopia)กาแฟจึงได้ชื่อเรียกตามจังหวัดนี้ จนกระทั้งมา
ถึงศตวรรษที่ 9 มีเรื่องราวที่เล่าต่อกันจนเป็นตำนานอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในตำนานที่โด่งดังคือ
“ตำนานแพะเต้นรำ” ซึ่งมีคนเลี้ยงแพะชาวอาราเบีย ชื่อ คาลดี (Kaldi) นำแพะออกไปเลี้ยงแพะ
ตัวนั้นก็ได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไป แล้วเกิดความคึกคะนองจนผิดปกติคนเลี้ยงเเพะจึงนำ
เรื่องไปเล่าให้ชาวมุสลิมท่านหนึ่งฟังท่านมุสลิมคนนั้นจึงให้คนเลี้ยงแพะไปเก็บผลมากะเทาะ
เปลือกเอาเมล็ดไปคั่ว และก็ต้มในน้ำร้อนดื่มซึ่งเมื่อได้ดื่มแล้วเห็นได้ว่ามีความกระปรี้ กระเปร่า
จากนั้นจึงนำไปเล่าให้กับผู้อื่นได้ฟังต่อไปชาวอาราเบียจึงได้รู้จักต้นกาแฟมากขึ้น ทำ ให้กาแฟ
แพร่หลายเพิ่มขึ้นในยุโรป และเอเชีย
ปัจจุบันกาแฟถือเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลกผู้คนนิยมบริโภค
ในชีวิตประจำวันส่วนในประเทศไทยเรานั้นกาแฟเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่มี
หลักฐานที่แน่ชัด แต่มีหลักฐานว่าในสมัยอยุธยามีกาแฟเข้ามาแล้ว ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากศึกษา
เรื่องประวัติศาสตร์กาแฟไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา -สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2352 - พ.ศ.2512)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของกาแฟในประเทศไทย และร้านกาแฟที่เป็น
รูปแบบคาเฟ่แห่งแรกของไทยเกิดขึ้นในสมัยใด
2
ประวัติศาสตร์กาแฟในสมัยอยุธยา
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 2228)
อ้างอิงจากหนังสือ สัพพะวัจนะภาษาไทย ของปาเลอกัว ฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2397 บันทึกไว้ว่า
กาเเฟเริ่มปลูกในประเทศไทยตั้งเเต่สมัยอยุธยาประมาณปี พ.ศ.2228 เเล้ว เนื่องจากมีการติดต่อ
ค้าขายกับชาวต่างชาติเเต่ความนิยมยังไม่มีเพราะว่ารสชาติที่ขมทำให้คนทั่วไปคิดว่าเป็นยา เดิมมีเพียง
เฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่รู้จักกาแฟเป็นอย่างดีและนิยมดื่มกาแฟที่มาจากอาหรับกาแฟยังเป็นเครื่อง ดื่ม
ที่ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองดังในบันทึกของคณะราชทูตเปอร์เซียที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราชว่า "เมื่อเราเข้าไปในพระราชวัง หลังจากพวกเราดื่มน้ำชากาแฟกันแล้วคนใช้ก็นำอาหารมาตั้ง"
สันนิษฐานว่าคนไทยเรียกาแฟตามชื่อเครื่องดื่มของแขกมัวร์ที่นิยมดื่มกันเรียกว่า “kahweh-คะเว่ห์” จึง
เรียกทับศัพท์ตามนั้น แต่เมื่อออกเสียงด้วยสำเนียงแบบไทยๆจึงเพี้ยนเป็นกาแฟในที่สุดและในจดหมาย
เหตุลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่ง เศส ที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาใน สมัยสมเด็จพระนารายณ์บันทึกถึง
กาแฟว่าแขกมัวร์ในประเทศสยามดื่มกาแฟ ซึ่งมาจากเมืองอาหรับและชาวปอรตุเกศนั้นดื่มโกโก้ส่งมา
จากมนิลาเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งนำมาจากอินเดียภาคตะวันออกในเขตคุ้มครองของสเปญ
อีกทอดหนึ่ง” เชื่อว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาอาจมีคนไทยได้ทดลองดื่มกาแฟบ้างแล้วแต่คงไม่เป็นที่นิยม
มากนักคงดื่มมากกันในหมู่แขกมัวร์หรือก็คือชาวมุสลิมจากเปอร์เซีย (แถบประเทศอิหร่านในปัจจุบัน)
ส่วนเครื่องดื่มของคนไทยสมัยนั้นที่นิยม คือน้ำเปล่าหรือน้ำบริสุทธิ์อบให้หอมน้ำชาอย่างจีนเหล้าทั้งที่
เป็นเหล้าองุ่น และเหล้าพื้นบ้านที่หมักจากข้าว
3
ประวัติศาสตร์กาแฟในสมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์มีราชวงศ์จักรีทั้งสิ้น 10 ราชวงศ์ แต่ในการศึกษาประวัติศาสตร์
กาแฟในสมัยรัตนโกสินทร์จะเริ่มศึกษาตั้งแต่ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภา
ลัย ราชกาลที่ 2 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2352 ถึง ปี พ.ศ. 2512 วันที่เริ่มต้นทำโครงการ
หลวงปลูกกาแฟแทนฝิ่นในภาคเหนือของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล
อดุลยเดชมหาราชบรมมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีรายละเอียดดังนี้
4
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ 2 ปี พ.ศ. 2352
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็น“ยุคทองของวรรณคดี
ไทย”พระองค์ทรงเป็นกวีเอกได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเล่ม ซึ่งหนึ่งในพระ
ราชนิ พนธ์ปรากฏหลักฐานของข้าวแฝ่ (กาแฟ) อยู่ใน บทพระราชนิพนธ์ “อิเหนา” โดย
มีใจความดังนี้
“บ้างตั้งเครื่องบูชาระย้าแก้ว เป็นถ่องแถวสดสีไม่มีหมอง
คลังสมบัติจัดขันน้ำพานรอง กระโถนทองเหลืองตั้งเป็นแถวทิว
กรมท่าต้มน้ำชาเร็วรวด น้ำตาลกรวดลูกกาแฝ่แก้หิว
ใส่ถ้วยอย่างใหม่ลายริ้วริ้ว มีหูหิ้วลายทองรองจาน”
จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 2 น้ำชา(อย่างจีน) ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอยู่
ส่วนกาแฟก็เริ่มมีบทบาทเข้ามาเป็นเครื่องดื่มอีกชนิดในสังคมชนชั้นสูง โดยเฉพาะการ
ใส่ถ้วย“อย่างใหม่”นี้สะท้อนถึงถ้วยและจานรองกาแฟแบบตะวันตกที่เข้าสู่สยามแล้ว
5
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ.2367
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 คนไทยโดยเฉพาะขุนนาง
และชนชั้นสูงเริ่มดื่มข้าวแฝ่ (กาแฟ) โดยหลักฐานที่หมอบรัดเลย์ มิชชันารีชาวอเมริกัน
เข้ามายังสยามกล่าวถึงเรื่องกาแฟไว้ โดยภายหลังจากหมอบรัดเลย์ปลูกฝีสำเร็จ จนได้
รับความดีความชอบจาก รัชกาลที่ 3 พระราชทานเงินให้หมอบรัดเลย์3 ชั่งราว145 ดอล
ลาร์หมอบรัดเลย์เดินทางไปรับเงินพระราชทานที่บ้านของพระคลัง ซึ่งน่าจะเป็นสมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เจ้าพระยาพระคลังในสมัยรัชกาลที่ 3
และได้ดื่มกาแฟในบ้านของขุนนางผู้ใหญ่แห่งตระกูลบุนนาค ดังที่หมอบรัดเลย์บันทึก
ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงซาบซึ้งพระราชหฤทัยในการทำงานบริการประชาชนของข้าพเจ้า แต่
แทบไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นในรูปอื่นนอกเหนือจากเป็นวาจาเท่านั้นพระคลังส่งคนรับ
ใช้มาพาข้าพเจ้าไปที่บ้าน เพื่อรับพระราชทานเงินหลวงนั้นข้าพเจ้าทำตามและได้รับการ
ต้อนรับอย่างให้เกียรติเป็นพิเศษมีของกิน คือกาแฟอย่างดีซึ่งขณะนั้นเป็นเครื่องดื่มอัน
หายากในสยาม ตระเตรียมไว้โดยเฉพาะสำหรับข้าพเจ้า พวกผู้ดีและเจ้าขุนมูลนายบาง
คนกำลังเริ่มกินกาแฟเลียนแบบชาวต่างชาติ พระคลังรู้ว่าข้าพเจ้าชินต่อการกินกาแฟทุก
วันจึงจัดหามาไว้ให้”
6
จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ชี้ชัดว่า กาแฟในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นของหายาก จึงสันนิษฐาน
ได้ว่ากาแฟในสมัยนั้นคงมีราคาสูง และยังไม่เป็นที่นิยมโดยทั่วไปพระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าฯท่านเป็นนักการค้า ตอนยังไม่ครองราชย์เป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ท่านก็ได้รับผิด
ชอบคุมกรมท่า การพระคลัง ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 2 ในยุคนั้นฝรั่งอังกฤษเริ่มเข้ามาแล้ว ได้
อินเดียได้ปีนังมาตั้งสถานีการค้าที่สิงคโปร์และกำลังจ้องเขม็งดินแดนพม่ารัชกาลที่ 3 ท่าน
ทรงทำการค้ามีเรือสำเภาจึงรู้เท่าทันเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกเป็นอย่าง
ดีในยุคนั้นตรงกับยุคที่ยุโรปกำลังคลั่งกาแฟกัน ตลาดกาแฟขยายตัวลงมาถึงชนชั้นกลาง
ประชาชนธรรมดาดื่มกินสังสรรค์สนทนาพวกดัทช์ฮอลแลนด์ ได้ชวาเป็นอาณานิคมระ ดม
ขยายพื้นที่ปลูกและใช้มาตรการเข้มงวดกับคนพื้นเมือง จนเกิดการแอบเอาขี้ชะมดมาล้าง
กินดังที่ได้เล่ามาแล้วราคากาแฟสูงมาก รัชกาลที่ 3 ท่านเป็นพ่อค้าติดต่อค้าขายกับต่าง
ประเทศเช่นประเทศอังกฤษและประเทศเนเธอรแลนด์ หลักฐานมีอยู่ชัดเจนในประชุมหมาย
รับสั่ง รัช กาลที่ 3 ในปีพ.ศ.2385 พระองค์ทรงมีรับสั่งรับสั่งให้เพาะต้นกาแฟจำนวน
5,000 ต้นนำไปปลูกในพื้นที่สวนหลวงนอกเขตพระนคร แต่ว่าไม่เพียงพอจึงมีหมายรับสั่ง
ให้ข้าราช การทหารและพลเรือน ทั้งวังหลวงวังหน้าเร่งทำบัญชีหางว่าวมา จะได้จ่ายเม็ด
“ข้าวแฝ่” ไปเพาะครบตามจำนวนในปีถัดมาและมี สวนกาแฟหลวง ซึ่งอยู่นอกกำแพง
พระราชวังปัจจุบัน คือพื้นที่แถบสนามไชย พระราชวังสราญรมย์ และวัดราชประดิษฐ์ ต่อมา
รัชกาลที่ 3 โปรดฯให้ทำสวนกาแฟ สวนกาแฟหลวง หลังจากเริ่มปลูกในเขตบางกอกและ
ฝั่งธนบุรี ทรงรับสั่งให้ปลูกกาแฟที่จังหวัดจันทบุรีเมื่อปี พ.ศ.2393 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีภูมิ
อากาศและภูมิประเทศเหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟและเหมาะสมสำหรับการเตรียม
การส่งออกเนื่องจากจันทบุรีเป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายกับเกาะกงและอินโดจีนได้สะดวก
เพราะเรือกลไฟขนาด 400 ตัน เข้าไปจอดในแม่น้ำจันทบุรีได้ และกาแฟจากจันทบุรีนั้น
ค่อนข้างมีคุณภาพ ดังที่อังรี มูโอต์ นักสำรวจฝรั่งเศส ซึ่งไปจันทบุรีเมื่อปีพ.ศ.2402 กล่าว
ไว้ในหนังสือ “TRAVELS IN THE CENTRAL PART OF INDO-CHAINA
(SIAM),CAMBODIA AND LAOS” ว่ากาแฟที่จันทบุรีปลูกนั้น (กาแฟจันทบูร) มีรสชาติดี
7
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 ปี พ.ศ.2398
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญา
ทางการค้าระหว่างสยามกับ สหราชอาณาจักร โดย เซอร์จอนห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้
รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ประเทศอังกฤษ เมื่อครั้งที่ เซอร์
จอห์น เบาว์ริง เข้ามาสยามสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ดำรง
ตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง มีสวนข้าวแฝ่ (กาแฟ) ที่บ้านกุฏีจีนริมคลองสานฝั่งธนบุรี
ซึ่งในจดหมายเหตุของเซอร์จอห์นเบาว์ริงราชทูตอังกฤษได้กล่าวถึงกาแฟโดยมีใจความ
ว่า เคยตามเสด็จไปเที่ยวสวนกาแฟของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ปรากฏว่า
มีต้นกาแฟมากมาย และรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาว์ริงได้เก็บกาแฟ
ไปเป็นตัวอย่างจำนวน 3 กระสอบ
8
สมัยพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
สมัยพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเรียก
ของกาแฟ จากคำว่าข้าวแฝ่มาเป็น “กาแฟ” จนถึงปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 5 มีนายทหาร
อิตาเลียนที่เข้ามารับราชการเป็นครูฝึกทหาร ชื่อ ร้อยเอก เจโรลาโม อีมิลิโอ เจรินีได้
รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสารสาสน์พลขันธ์ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “SIAM
AND IT’S PRODUCTIONS, ART & MANUFACTURE” เมื่อปี 2453 ว่ามีการปลูก
กาแฟในเมืองไทยมาราว 60 ปีแล้ว ซึ่งก็ตกราว พ.ศ. 2393 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มี
ร้านกาแฟเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของกาแฟไทยเพราะประชาชนทั่วไปจะได้ดื่ม
กาแฟมากขึ้นโดยร้านกาแฟแห่งแรกในสยามมีชื่อว่า ตุงฮูสโตร
9
1) ร้านกาแฟตุงฮูสโตร ปี พ.ศ. 2413
joo jung. แหล่งภาพถ่าย https://www.facebook.com/pages/กาแฟสดตุงฮู/
เมื่อปี 2413 นายหยิบ หย่นฟู่ ชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ได้ร่วมหุ้นกับ
สหายรักของเขาและเปิดร้านโชห่วยเพื่อนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายคนท้องถิ่น
ชื่อร้าน “ตุงฮู” ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญกรุง เชิงสะพานสีลม ในเวลาดังกล่าว ร้านตุงฮูถือ
เป็นร้านที่มีชื่อเสียง และขายดีเป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่และคนระดับเจ้านายคุณหลวง
และบรรดาเอกอัคราชทูตรวมไปถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศเช่น ผู้จัดการ
บริษัทเชลล์ก็เป็นลูกค้าของร้าน โดยในสมัยนั้นร้านตุงฮูได้สั่งเมล็ดกาแฟจากบราซิลเข้า
มาจำหน่าย โดยส่งมาทางเรือซึ่งเป็นร้านขายเมล็ดกาแฟแห่งแรกในประเทศไทยเป็นสิน
ค้าที่ขายดีมาก
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญของกาแฟ โดยมีร้านกาแฟแห่งแรก
เกิดขึ้นที่ไทยแล้วยังมีกาแฟสายพันธ์ใหม่ที่ได้เข้ามาประเทศไทยนั้นก็คือกาแฟสายพันธ์
โรบัสต้า
10
2) กาแฟสายพันธ์โรบัสต้า ในปี พ.ศ. 2447
http://thegraphicsfairy.com/free-stock-image-coffee-plant/
กาแฟสายพันธ์โรบัสต้าได้เข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาล
ที่ 5 โดยการเข้ามาของกาแฟนั้นมีต้นกำเนิดจากคนไทยผู้ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามคนหนึ่ง ชื่อ
นายดีหมุน ได้มีโอกาสไปแสวงบุญ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และได้นำเมล็ด
พันธุ์กาแฟมาเพาะปลูกที่ ตำบลบ้านโหนด อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ. 2447
กาแฟที่นำมาปรากฏว่าเป็นพันธุ์โรบัสต้า จากนั้นจึงได้มีการขยายพันธุ์และมีการส่งเสริมการ
ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าออกไปอย่างกว้างขวางในภาคใต้ของประเทศไทย โดยส่งเสริมเป็นพืช
ปลูกสลับในสวนยางเป็นรายได้สำรองจากการกรีดยาง ปัจจุบันการปลูกกาแฟในภาคใต้ได้มี
การพัฒนาการอย่างมากมายสามารถปลูกเป็นพืชหลักและทำรายได้ให้เกษตรกรเป็นอย่างดี
พื้นที่ปลูกทั้งสิ้นประมาณ 147,647 ไร่
11
2) กาแฟสายพันธ์โรบัสต้า ในปี พ.ศ. 2447
ที่มาของภาพ www.siamroastery.com
2.1) แหล่งที่ปลูกกาแฟโรบัสต้าสามารถปลูกบนพื้นที่ต่ำได้เพราะสายพันธ์โรบัสต้ามีภูมิคุ้มกัน
ที่แข็งแรง 200 – 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลได้ สำหรับประเทศไทยที่นิยมปลูกกาแฟโรบัส
ต้า เช่น จ.ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี
2.2) ลักษณะเมล็ดกาแฟโรบัสต้า เมล็ดกาแฟหลังการคั่ว จะมีความกลม มีแกนของเมล็ด
กาแฟจะเป็นลักษณะเส้นตรง และสีจะดูสด
2.3) คุณค่าทางสารอาหารกาแฟโรบัสต้ามีปริมาณคาเฟอีนในกาแฟประมาณ 3% ต่อเมล็ด มี
ระดับน้ำตาลต่ำ และมีกรดไขมันดีในเมล็ดกาแฟน้อยกว่าสายพันธ์อาราบิก้า
2.4) รสชาติของกาแฟโรบัสต้า จะมีรสชาติที่เข้ม หนักแน่น และติดรสเปรี้ยวด้วย
12
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6
ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีร้านกาแฟเกิดขึ้นในกรุงเทพเพิ่มอีกสองร้าน คือ ร้านกาแฟ
RED CROSS TEA ROOM ของชาวอเมริกา และร้านกาแฟนรสิงห์ และถือว่าร้านกาแฟ
นรสิงห์เป็นร้านกาแฟแห่งแรกของคนไทยที่คนไทยเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งแต่ละร้านมี
ประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันดังนี้
1) RED CROSS TEA ROOM ดื่มกาแฟช่วยชาติ
เมื่อปี 2460 ระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ นายมีสโคล์ ชาว
อเมริกันที่มาตั้งถิ่นฐานในผืนแผ่นดินไทยได้เช่าพื้นที่เล็กๆบริเวณสี่กั๊กพระยาศรีเพื่อเปิด
คาเฟ่เล็ก ๆ ชื่อว่า RED CROSS TEA ROOM โดยชื่อ RED CROSS มีความหมายโดยตรง
ว่า กาชาด ซึ่งแม้จะใช้ชื่อว่า TEA ROOM แต่ก็ยังมีให้บริการเครื่องดื่มประเภทกาแฟด้วย
โดยลูกค้าประจำจะเป็นเจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี และชาวต่างชาติที่นิยมและหลง
ไหลในกลิ่นและรสชาติของกาแฟและชาโดยผลกำไรจากการขายกาแฟ นายมีสโคลได้ส่ง
ต่อให้สภากาชาดฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อใช้ประโยชน์ต่อ ซึ่งสามารถมองได้ง่าย ๆ ว่าเป็นการ
ดื่มกาแฟช่วยชาติ (สัมพันธมิตร) นับจากนั้นมา ความนิยมของเครื่องดื่มประเภทกาแฟก็
ค่อย ๆ แพร่หลายมากขึ้นทั้งจาก RED CROSS TEA ROOM และจากนักเรียนต่างประเทศ
ที่กลับมาพร้อมกับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ
13
2) กาแฟนรสิงห์
ที่มาของภาพ https://food.mthai.com/food-recommend/141999.html
ร้านกาแฟนรสิงห์ เป็นร้านกาแฟในรูปแบบคาเฟ่แห่งแรกของประเทศไทย สร้าง
ขึ้นในสมัยปลายรัชกาลที่ 6 แต่เดิมตั้งอยู่ภายในรั้วสนามเสือป่า เป็นร้านยอดนิยมของ
บรรดาพ่อค้าชาวต่างชาติและผู้รับราชการเสือป่ารักษาพระองค์เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์
ของกลุ่มคนชั้นสูงในสมัยนั้น มีบริการอาหารคาวหวาน ความอร่อยระดับครัวชาววัง ส่ง
ตรงมาจากครัวบ้าน นรสิงห์ของ พลเรือเอกเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) แต่
แล้วต่อมา ในสมัยต้นรัชกาลที่ 7 ร้านกาแฟนรสิงห์ ได้เลิกกิจการไปซึ่งปัจจุบันเป็น
ทำเนียบรัฐบาล จนกระทั่งทางมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท รื้อฟื้นให้เราได้สัมผัส
กับบรรยากาศสมัย รัชกาลที่ 6 อีกครั้ง และเริ่มเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่1 สิงหาคม
2553 จนถึงปัจจุบัน
14
สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9
ในสมัยรัชกาลที่ 9 มีกาแฟสายพันธ์ใหม่เข้ามาในประเทศไทย คือ กาแฟอาราบิก้า และ
กาแฟได้มีบทบาทนอกเหนือจากเครื่องดื่มซึ่งกาแฟเป็นพืชที่รัชกาลที่ 9 นำมาใช้แก้ไขปัญหาการ
ระบาดของยาเสพติดในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีชื่อโครงการว่าโครงการปลูกกาแฟ
อาราบิก้าแทนฝิ่นในภาคเหนือ
1) กาแฟสายพันธ์อาราบิก้า ปี พ.ศ.2493
กาแฟพันธุ์อะราบิกา (C. Arabica) ได้ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ.
2493 ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธ์ ซึ่งเป็นชาวอิตาลี และกาแฟอาราบิกาแตกต่างจาก
กาแฟสายพันธุ์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคกาแฟ กาแฟอาราบิกาสามารถผสมเกสรได้ การ
ผสมเกสรด้วยตนเองช่วยให้ต้นกาแฟอาราบิกาหลากชนิดเติบโตได้อย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ
โดยมีการกลายพันธุ์น้อยลง ทำให้การผลิตเมล็ดกาแฟมีความสม่ำเสมอมากขึ้น กาแฟอาราบิกามี
คาเฟอีนน้อยกว่า ซึ่งทำให้อ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ ต้นกาแฟอาราบิกาต้องการการดูแลและ
เอาใจใส่เป็นพิเศษเมื่อเทียบกับโรบัสตาซึ่งมีความทนทานต่อโรคสูงและสามารถปรับตัวได้ดีกว่ามาก
15
ที่มาของภาพ www.siamroastery.com
1.1) แหล่งที่ปลูกของกาแฟสายพันธ์อาราบิก้า ต้นกาแฟอาราบิกาที่ปลูกในสภาพอากาศแบบเขตร้อน
และกึ่งเขตร้อนมักชอบแสงแดดที่ไม่จัดเกินไปส่วนใหญ่จะเพาะปลูกบนพื้นที่สูง เหนือระดับน้ำทะเล
มากกว่า 1,000+ เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในประเทศไทยที่นิยมปลูกกาแฟอาราบิก้าจึงเป็นแถบภาค
เหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แม่ฮ่องสอน
1.2) ลักษณะเมล็ดกาแฟอาราบิก้า เมล็ดกาแฟหลังคั่ว จะมีความเรียวเป็นวงรี มีแกนของเมล็ดกาแฟ
จะเป็นลักษณะตัว S สีจะเข้ม
1.3) คุณค่าทางสารอาหาร ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟอาราบิก้าจะมีค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยประมาณ 1.5 %
ต่อเมล็ด แต่มีระดับน้ำตาลค่อนข้างสูงและมีกรดไขมันดีในเมล็ดกาแฟสูง
1.4) รสชาติของกาแฟอาราบิก้า ในด้านรสชาติ กาแฟอาราบิกาถือว่ามีรสชาติเหนือกว่ากาแฟสายพันธุ์
อื่นๆ ไม่มีคู่มือรสชาติที่แน่นอนสำหรับอาราบิกา เนื่องจากมีช่วงรสชาติที่กว้างขวาง (ขึ้นอยู่กับพันธุ์)
กาแฟอาราบิกามีแนวโน้มที่จะมอบรสชาติอันนุ่มนวล และหวานกว่าด้วยกลิ่นของโทนช็อกโกแลตและ
โทนผลไม้หรือผลเบอร์รี่ อาราบิกาคุณภาพสูงมีรสหวาน มีกลิ่นคาราเมลคล้ายช็อกโกแลตและกลิ่นผล
ไม้
1.5) ประโยชน์ของกาแฟอาราบิกา กาแฟอาราบิกามีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ การ
บริโภคกาแฟอาราบิกาในระดับปานกลางอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้
ซึ่งช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ การบริโภคอาราบิกาคุณภาพสูงอาจช่วยลดน้ำหนัก
16
2) โครงการปลูกกาแฟอาราบิก้าแทนฝิ่น
ในภาคเหนือ ( รัชกาลที่ 9) พ.ศ. 2512
นภันต์ เสวิกุล. ช่างภาพตามเด็จ
ในปี พ.ศ.2505 กรมประชาสงเคราะห์ร่วมกับองค์การสหประชาชาติได้ทำการสำรวจ
พื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และตาก พบว่าบนดอยสูงอันเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า
ต่างๆ มีการปลูกฝิ่นเฉลี่ยครอบครัวละ 3 – 4 ไร่ และมีการปลูกสูงขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขพื้นที่ปลูก
ฝิ่นในประเทศไทยมีสูงถึง 10 ล้านไร่ ดังจะเห็นได้ว่าในฤดูหนาวดอกฝิ่นจะบานสะพรั่งไปทั่ว
ทั้งดอยทอดยาวกว้างไกลไปจนสุดสายตา ไม่ว่าจะเป็นดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง เชียงดาว
และดอยคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อของประเทศไทย
กับประเทศเพื่อนบ้าน คือ เมียนมาร์และลาว ในเขตอำเภอ เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้
กลายเป็นทางผ่านสำคัญของการลำเลียงยาเสพติดจากสามเหลี่ยมทองคำ ไปสู่ที่อื่นทั่วโลก
ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณดอยสามหมื่นซึ่งเป็นป่าต้นน้ำนอกจากกลายเป็นภูเขาหัวโล้นและปลูกฝิ่น
เป็นจำนวนมากแล้ว ยังเป็นแหล่งซ่องสุมการผลิตเฮโรอีน จากปัญหาความยากจน ปัญหา
เรื่องการศึกษา การสาธารณสุข ทำให้ชนเผ่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติด้วยการตัดไม้ทำลาย
ป่า ทำไร่เลื่อนลอย และปลูกฝิ่น จนในที่สุดเข้าสู่วงจรเป็นผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เสพยาเสพติดไป
โดยปริยาย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ
บพิตร ทรงตระหนักว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาใหญ่ที่จะส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวงหากไม่
แก้ไข จึงจัดตั้งโครงการหลวง (มูลนิธิโครงการหลวง: Royal Project)
17
https://doichaangcoffee.co.th/about-us/from-earth-to-cup/
ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 มีโครงการปลูกพืชทดแทนและพัฒนาเศรษฐกิจชาวไทย
ภูเขา ไทย/สหประชาชาติ ได้ส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น ซึ่งกาแฟพันธุ์อาราบิกาเป็นพืช
ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นความหวังในการทดแทนฝิ่นและสามารถทำราย ได้แก่
เกษตรกรชาวเขาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากสภาพความเหมาะสมของพื้นที่สูงและความ
ต้องการในตลาดยังมีอยู่มาก การทำโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นในเขตภาคเหนือ ได้
ทดลองปลูกที่บ้านมูเซอห้วยตาดอำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้สายพันธุ์กาแฟ
อาราบิก้า ซึ่งเป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย
เดชที่มุ่งส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูก
ฝิ่น โดยมีเป้าประสงค์คือช่วยเหลือให้ชาวเขามีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
18
สรุป
กาแฟจัดเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก มีต้นกำเนิดที่ประเทศ
เอธิโอเปีย (Ethiopia) เป็นพืชพื้นเมืองของชาวอาราเบีย (Arabia) ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 6
ทำให้กาแฟแพร่หลายเพิ่มขึ้น ในยุโรป และเอเชีย ส่วนในประเทศไทยกาแฟได้เข้ามาตั้งแต่เมื่อ
ไหร่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีหลักฐานว่าในสมัยอยุธยามีกาแฟเข้ามาในสยามแล้ว โดยมี
การเริ่มปลูกกาแฟใน พ.ศ.2228 ซึ่งเป็นเครื่องดื่มของแขกมัวร์ กาแฟในสมัยอยุธยามีเพียง
เฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่รู้จักกาแฟ กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เเต่
ความนิยมยังไม่มีเพราะว่ารสชาติที่ขมทำให้คนทั่วไปคิดว่าเป็นยาและกาแฟเริ่ม เป็นที่รู้จักแพร่
หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 3 มีการส่งเสริมการปลูกกาแฟ และติดต่อค้าขายกับ
ต่างประเทศ โดยในสมัยรัชกาลที่ 2 ถึง รัชกาลที่ 4 เรียกกาแฟว่า ข้าวแฝ่ และภายหลังรัชกาล
ที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นกาแฟจนถึงปัจจุบัน โดยกาแฟในประเทศไทยมีสองสายพันธ์ซึ่งสาย
พันธ์แรกที่ได้เข้ามาในประเทศไทย คือ กาแฟสายพันธ์โรบัสต้านิยมปลูกในภาคใต้ เข้ามาใน
สมัยรัชกาลที่ 5 และต่อมาในสมัยราชกาลที่ 9 กาแฟสายพันธ์อาราบิก้าได้เข้ามา และมี
บทบาทเป็นพืชที่ใช้ปลูกแทนฝิ่นในภาคเหนือ โดยในปี พ.ศ. 2516 มีโครงการปลูกพืชทดแทน
และพัฒนาเศรษฐกิจชาวไทยภูเขา ไทย/สหประชาชาติ ได้ส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น ซึ่งเป็น
โครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่มุ่งส่งเสริมการ
ปลูกกาแฟแก่ชาวเขาเพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น
19
บรรณานุกรม
สถาบันชาและกาแฟมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เรื่อง ประวัติกาแฟ.
จรีเมธ อังกสิทธิ์ (2022) . หน่วยงานศูนย์วิจัยและฝึกบรมที่สูง.
MGR Online เผยแพร่ 5 ก.ค. 2547.
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) .
ศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟบนที่สูง คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง การปลูกและผลิตกาแฟ
อาราบิก้าบนที่สูง .
ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2552 . คเณศ กังวานสุรไกร (2565).
นิตยสารืสารคดี ฉบับที่ 327 พ.ค. 2555 เรื่อง ประวิติกาแฟ .
หนังสือ สัพพะวัจนะภาษาไทย ของปาเลอกัว ฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2397 เรื่องกาแฟในสมัยอยุธยา .
บทพระราชนิพนธ์ “อิเหนา” สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย.
พระสารสาสน์พลขันธ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “Siam and it’s Productions, Art Manufacture” เมื่อ
ปี2453 ว่ามีการปลูกกาแฟในเมืองไทย.
นภันต์ เสวิกุล ช่างภาพตามเด็จแหล่งภาพถ่าย https://today.line.me/th/v2/article/ayJqE8 .
ภาพร้านกาแฟนรสิงห์ แหล่งภาพ https://food.mthai.com/foodrecommend/141999.html .
ภาพร้านกาแฟตุงฮูสโตร joo jung แหล่งภาพhttps://www.facebook.com/pages/กาแฟสดตุงฮู.
ภาพความแตกต่างกาแฟโรบัสต้ากับอาราบิก้า ที่มาของภาพ www.siamroastery.com .