โครงสร้างของพืช (Plant Structure)

โครงสร้างของพืช
(Plant Structure)

ที่มา : trueplookpanya

คำนำ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนระดับ
ชั้นประถมศึกษาได้ศึกษาส่วนประกอบต่างๆของพืช รู้จักประโยชน์ ของพืช
การทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สามารถช่วยให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้น
ในการเรียน การทำกิจกรรม และการทำแบบทดสอบ ซึ่งสามารถลดสภาวะ
ความเครียดที่เกิดจากการเรียนจากหนังสือธรรมดา และเป็นการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการสอนและการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ฉบับนี้ จะช่วย
สร้างเสริมทักษะการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

ขวัญเรือน สีจันทร์เคน
ผู้จัดทำ

สารบัญ หน้ า

เรื่อง 1
2
โครงสร้างพืช 6
ราก 9
ลำต้น 15
ใบ 21
ดอก 22
ผล
บรรณานุกรม

หัวข้อน่ าสนใจมากๆเลย
ไปเริ่มกันเลย!

1

โครงสร้างพืช

โครงสร้างของพืชประกอบไปด้วย
ราก, ลำต้น, ใบ, ดอก, ผล เป็นต้น

ที่มา : trueplookpanya

2

ราก

ราก คือ อวัยวะที่เป็นส่วนประกอบของพืชที่หงอกออกมาจากเมล็ดก่อน

ส่วนอื่น และเจริญลงสู่ใต้ดิน ไม่มีคลอโรฟิลล์ ไม่มีข้อ ปล้อง ตาและ ใบ ราก
เจริญเติบโตตามแรงดึงดูดของโลกลงสู่ดิน มีขนาดและความยาวแตกต่างกัน

รากของพืชมีหลายชนิด

ที่มา : https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

โครงสร้างของราก

ที่มา : https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

ขนราก (Root hair) คือ ส่วนของรากที่ทำหน้าที่ดูดน้ำและแร่ธาตุ
หมวกราก (Root cap) คือ ส่วนที่ป้ องกันส่วนอื่นของรากไม่ให้ได้รับอันตราย
จากการชอนลงในดิน และยังสร้างเมือกทำให้รากสามารถชอน ลงดินได้ง่ายขึ้น

ระบบการเรียงตัว 3
ของท่อส่งน้ำและอาหารในพืช

ที่มา : https://www.imagineering.co.th/stema--ป4-หน่ วย2/

เนื้อเยื่อไซเล็ม (Xylem) เนื้อเยื่อโฟลเอ็ม (Phloem)

ทำหน้ าที่ ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากดินขึ้นสู่ใบ ทำหน้ าที่ ลำเลียงอาหารที่ สร้างจากใบไปสู่
ส่วนต่าง ๆของพืช

พืชใบเลี้ยงคู่

ไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ (Pitch) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออยู่ตรงส่วนกลางของ
ราก ขณะที่โฟลเอ็มแทรกตัวอยู่ระหว่างไซเล็ม

พืชใบเลี้ยงเดี่ยว

ไซเล็มเรียงตัวคล้ายดวงดาวหลายแฉก (2-5 แฉก) บริเวณกึ่งกลางของ
ราก ส่วนโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่างไซเล็ม

ที่มา : https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/

หน้ าที่ ของราก 4

ดูดและลำเลียงน้ำ และแร่ธาตุ ค้ำจุนส่วนต่างๆของพืชให้ทรงตัวได้

หน้าที่พิเศษของราก ได้แก่




รากสะสมอาหาร รากสังเคราะห์ แสง เช่น ราก รากหายใจ เช่น รากลำพู
กล้วยไม้ (ส่วนที่มีสีเขียว) แสม โกงกาง
เช่น หัวแครอท, หัวไชเท้า, หัว
ผักกาด, กระชาย, มันเทศ

รากค้ำจุน เช่น โกงกาง รากยึดเกาะ เช่น กล้วยไม้ พืชนี่ มหัศจรรย์ จริงๆ
ไทรย้อย เป็นต้น และพริกไทย

ที่มา : https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

ชนิดของราก 5

รากแก้ว (Tap root)

เป็นรากที่งอกออกมาจากเมล็ด โคนของรากแก้ว
จะมีขนาดใหญ่แล้วค่อยๆ เรียวไปจนถึงปลายราก

พบในใบเลี้ยงคู่

รากแขนง (Lateral Root)

เป็นรากที่แตกออกมาจากรากแก้ว จะเจริญ
เติบโตขนานไปกับพื้นดิน และสามารถแตก

แขนงไปได้เรื่อยๆ

รากฝอย (Fibrous root)

เป็นรากเล็กๆที่ มีลักษณะและขนาดโตสม่ำเสมอ
กัน จะงอกออกมาเป็นกระจุก ไม่เรียวลงที่ปลาย

อย่างรากแก้ว

พบในใบเลี้ยงเดี่ยว

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-
hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

จบเรื่องรากแล้ว
ไปต่อเรื่องลำต้นกัน!

ลำต้น 6

ลำต้น คือ เป็นอวัยวะพืชที่เจริญต่อจากราก โดยทั่ วไปเจริญอยู่เหนือพื้น
ดิน ตรงข้ามทิศทางของโลกมีขนาด รูปร่าง และลักษณะแตกต่างกันไป

ลำต้นอยู่เหนือดิน ยกตัวอย่างเช่น




มะม่วง มะละกอ มะนาว


ลำต้นอยู่ใต้ดิน

ขิง ข่า ขมิ้น

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

ส่วนประกอบของลำต้น 7

ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ

ข้อ (Node)

เป็นส่วนของลำต้นบริเวณที่มีกิ่ง ใบ ตา
ดอก และหนามที่งอกออกมาแทนกิ่งหรือใบ

ปล้อง (Internode)

เป็นส่วนของลำต้นที่ อยู่ระหว่างข้อแต่ละข้อ

ตา (Apical Bud)

เป็นส่วนประกอบสำคัญของลำต้น ทำให้
เกิดกิ่ง ใบ และดอก

การจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อ

พืชใบเลี้ยงคู่ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว

จะเรียงกันเป็นวง เป็น ไซเล็มและโฟลเอ็ม
อยู่รวมกันอย่างกระ
ระเบียบมากกว่าใบเลี้ยงคู่
โดยไซเล็มอยู่ด้านใน และ จัดกระจายทั่ วทั้ ง
ลำต้น
โฟลเอ็มอยู่ด้านนอก

ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33759

หน้ าที่ ของลำต้น 8

เป็นแกนช่วยพยุงอวัยวะต่างๆ เป็นทางลำเลียงน้ำ อาหารและแร่ธาตุ

หน้าที่พิเศษของลำต้น ได้แก่

ลำต้นก็มีหน้ าที่
พิเศษเหมือนกัน

กับรากนะ

ลำต้นเปลี่ยนไปเป็นมือพัน เพื่อช่วยพยุง
ค้ำจุนลำต้น เช่น บวบ ตำลึง น้ำเต้า เป็นต้น

ลำต้นสะสมอาหาร ลำต้นสังเคราะห์ แสง เช่น ลำต้นขยายพันธุ์ เช่น โหระพา
เช่น ขิง ข่า ขมิ้น เผือก
มันฝรั่ง กระบองเพชร พญาไร้ใบ ผักบุ้ง พลูด่าง โกสน ลีลาวดี

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

ใบ 9

ใบ คือ เป็นอวัยวะส่วนที่เจริญมาจาก “ตา” ตรงข้อของลำต้นหรือกิ่ง

ใบส่วนใหญ่จะมีสารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิลล์ ใบมีรูปร่างและขนาดแตก
ต่างกันไปตามชนิดของพืช ยกตัวอย่างเช่น

ส่วนประกอบของใบ

นอกจากนี้ใบของพืชยังมีลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างกันอีก ได้แก่

1. ขอบใบ 2. ผิวใบ 3. สีของใบ
พืชบางชนิดมีขอบใบเรียบ พืชบางชนิดมีผิวใบเรียบเป็นมัน
บางชนิดมีผิวใบด้านหรือขรุขระ พืชส่วนใหญ่จะมีใบสีเขียว แต่บาง
บางชนิดมีขอบใยหยัก ชนิดมีใบสีอื่น เช่น แดง ส้ม เหลือง

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

4. เส้นใบ 10
เส้นใบของพืชมีการเรียงตัวใน 2 ลักษณะ ได้แก่

1) เรียงตัวแบบร่างแห เช่น ใบมะม่วง ตำลึง 2) เรียงตัวแบบขนาน เช่น ใบกล้วย หญ้า อ้อย
อัญชัน ชมพู่ เป็นต้น มะพร้าว ข้าว เป็นต้น

ชนิดของใบ

ใบเดี่ยว

มีแผ่นใบแผ่นเดียวบนก้าน

ใบประกอบ

มีแผ่นใบมากกว่า 1 ใบบนก้าน
เรียกว่า ใบย่อย

ใบประกอบยังจำแนกย่อย ได้ดังนี้

1) ใบประกอบแบบฝ่ ามือ 2) ใบประกอบแบบขนนก
เป็นใบประกอบที่ มีใบย่อยแต่ละใบแยกออก
เป็นใบประกอบที่ ใบย่อยแต่ละใบแยกออก
จากจุดเดียวกันที่ ส่วนของโคนก้านใบ จากก้านสองข้างของแกนกลางคล้ายขนนก
เช่น มะขามเทศยางพารา
เช่น ใบกุหลาบ

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

รูปร่างของใบ 11

หน้ าที่ ของใบ

1. สร้างอาหารด้วยการสังเคราะห์ แสง (Photosynthesis)

ใบทำหน้าที่สังเคราะห์ แสง โดยมี “คลอโรฟิลล์” ในใบพืชที่มีหน้าที่รับพลังงานแสง
และใบของพืชจะดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้ นจะนำไปสังเคราะห์ แสงและสร้าง
อาหาร ซึ่งสารอาหารที่ได้คือ น้ำตาลกลูโคส เป็นสารอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต โดยจะ
นำไปเก็บสะสมในรูปของแป้ งตามส่วนต่างๆของพืช

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

หน้ าที่ ของใบ 12

แผนผังกระบวนการสร้างอาหารของพืช

2. คายน้ำ (Transpiration)

กระบวนการที่พืชทำการเปิดปากใบ และส่วนอื่นๆ ตามช่วงเวลา เพื่อที่จะทำการ
คายน้ำ ในส่วนที่คายน้ำออกมามากที่สุดนั้ นจะพบบริเวณ “ปากใบ” ของพืช ซึ่งพืชจะ
กำจัดน้ำออกมาในรูปแบบของไอน้ำ และขับออกจากส่วนอื่นๆ เป็นต้น การคายน้ำก็เพื่อ
ช่วยในการลดอุณหภูมิที่ ใบ

เกิดในช่วงเวลากลางวัน ด้านท้องใบ ด้านที่ หันเข้าหาแสงอาทิตย์
สภาพอากาศที่ มีความชื้นอยู่น้ อย ด้านหลังใบ เรียกว่า “ด้านท้องใบ”

พืชบกมักจะพบ “ปากใบ”ที่บริเวณ ส่วนอีกด้านเรียกว่า “ด้าน
ด้านหลังใบมากกว่าด้านท้องใบ หลังใบ”

กรณีที่พืชมีการคายน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้พืชชนิดนั้ นมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าเดิม

ที่มา : https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

ปากใบ 13

ปากใบ คือ รูที่อยู่ระหว่างเซลล์คุมที่

ควบคุมการปิด-เปิดของปากใบ ปากใบจะ
เป็นทางผ่านเข้าออกของ แก๊ส และ น้ำ
(การคายน้ำ)

เซลล์คุม (guard cell) เป็นเซลล์เอพิเดอร์มิสที่มีคลอโรพลาสต์ (ปกติเซลล์เอพิเดอร์
มิสไม่มีคลอโรพลาสต์) เซลล์มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว 2 เมล็ดประกบกัน ผนังด้านในของเซลล์
หนากว่าด้านนอก และมีรูตรงกลางระหว่างเซลล์คุม 2 เซลล์ เรียกว่า ปากใบ (stomata)

กระบวนการคายน้ำ

เมื่อมีน้ำในใบมาก เซลล์คุมจะเต่ง
ไอน้ำจะสามารถออกจากใบได้

เมื่อมีน้ำในใบน้อย เซลล์คุมจะแฟบ
ไอน้ำจะไม่สามารถออกจากใบได้

ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33803

3. การหายใจ (Respiration)

กระบวนการให้พลังงานจากกลูโคส โดยกลูโคสจะรวมกันทางเคมีกับออกซิเจนที่
พืชได้นำเข้ามาผ่านใบได้ คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ และการปล่อยพลังงานออกมา

เกิดในช่วงเวลากลางคืน

Energy

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

14

หน้าที่พิเศษของใบ ได้แก่

สะสมอาหาร เช่น ใบว่านหางจระเข้ ช่วยในการผสมเกสร เช่นใบดอก ขยายพันธุ์ เช่น เช่น ใบคว่ำตาย
กลีบของกระเที
ยม ของหน้าวัว ใบดอกของเฟื่องฟ้ า หงายเป็น ใบเศรษฐีพันล้าน

ดักและจับแมลง ลดการคายน้ำของใบ เช่น ยึดและพยุงลำต้น เช่น
ใบกระบองเพชรจะเปลี่ยนเป็น ใบตำลึง ใบมะระ
เช่น ใบหม้อข้าวหม้อ
แกงลิง
ใบกาบหอยแครง หนามแหลม

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

จบในส่วนของราก
ลำต้น และใบไปแล้ว
อย่าลืมทบทวนความ

รู้กันด้วยน้ า

รับทราบค่า

ดอก 15

ดอก คืออวัยวะสืบพันธุ์ของพืช ทำหน้าที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ที่เกิด

มาจากตาชนิดตาดอกที่อยู่ตรงบริเวณปลายยอด ปลายกิ่ง บริเวณลำต้นตาม
แต่ชนิดของพืช ดอกประกอบด้วยส่วนต่างๆ

ส่วนประกอบของใบ

ประกอบด้วยส่วนต่างๆ 4 ส่วน แต่ละส่วนจะเรียงเป็นชั้นเป็นวง
ตามลำดับจากนอกสุดเข้าสู่ด้านใน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และ
เกสรเพศเมีย ดังนี้

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

16

กลีบเลี้ยง (sepal)



- อยู่ชั้นนอกสุดเรียงกันเป็นวง
มักมีสีเขียว

- ทำหน้าที่ป้ องกันอันตรายต่างๆ
ขณะที่ ดอกยังตูมอยู่
- ช่วยในการสังเคราะห์ ด้วยแสง

กลีบดอก (petal)

- อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยง
- มีสีสวยงาม และมีกลิ่นหอม
มักมีขนาดใหญ่กว่ากลีบเลี้ยง
- ช่วยล่อแมลงมาผสมเกสร

เกสรเพศผู้ (stamen)



- อยู่ถัดจากกลีบดอก
- ประกอบด้วย ก้านชูอับเรณู อับ
เรณู ในอับเรณูจะมีละอองเรณูอยู่
เป็นจำนวนมาก
- อับเรณูทำหน้าที่สร้างละอองเรณู
ภายในละอองเรณูมีเซลล์ สืบพันธุ์
เพศผู้

เกสรเพศเมีย (pistil)

- อยู่ชั้นในสุด
- ประกอบด้วย ยอดเกสรเพศเมีย
มีน้ำเหนียวๆ เพื่อดักจับละออง
เรณู, ก้านยอดเกสรเพศเมีย เป็น
ทางผ่านของละอองเรณูที่ งอกลง
ไปเพื่อให้สเปิร์มนิวเคลียสผสมกับ
ไข่, รังไข่, ออวุล และเซลล์ไข่

ที่มา : https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea

ประเภทของดอก 17

1. ดอกครบส่วนหรือดอกสมบูรณ์ (complete flower)

คือ ดอกที่มีกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ครบทั้ ง 4 ชั้น
ได้แก่ ชบา ต้อยติ่ง มะเขือ กุหลาบ บัว ผักบุ้ง

2. ดอกไม่ครบส่วนหรือดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower)

คือ ดอกที่มีส่วนประกอบไม่ครบทั้ ง 4 ชั้น ได้แก่ มะละกอ ตำลึง หน้าวัว
ฟักทอง แตงกวา ข้าวโพด มะพร้าว

ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33805

ประเภทของดอก 18

3. ดอกสมบูรณ์ เพศ (perfect flower)

คือ ดอกที่มีทั้ งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น กุหลาบ
มะม่วง บัว ผักบุ้ง ต้อยติ่ง มะเขือ ถั่ว ชบา

4. ดอกไม่สมบูรณ์ เพศ (imperfect flower)

คือ ดอกที่มีแต่เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มะละกอ
ตำลึง ฟักทอง ข้าวโพด มะยม มะพร้าว แตงกวา หน้าวัว

ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33805

19

การปฏิสนธิ (Fertilization)

กระบวนการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (ละอองเรณู) ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
(ไข่อ่อน) เมื่อเกิดการถ่ายละอองเรณู ละอองเรณูจะตกอยู่ที่บริเวณ stigma ซึ่งจะ
มีสารกึ่งเหลวคอยดักจับเรณูไว้ เมื่อมีสภาพที่เหมาะสม ละอองเรณูจะงอกและมี

การเจริญของท่อเรณูเพื่อเข้าไปผสมกับเซลไข่ (egg cell)

ที่มา : https://ngthai.com/science/15525/flowersfertilization/

ผล 20

ผลคือ รังไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ (fertilization) แล้วเจริญเติบโตเต็มที่ อาจ

มีบางส่วนของดอกเจริญมาด้วย เช่น ฐานรองดอก กลีบเลี้ยง ภายในมีเมล็ด
หรือไม่มีก็ได้ สำหรับผลที่เกิดจากรังไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ และไม่มีเมล็ด

เรียกว่า ผลลม (parthenocarpic fruit)

โครงสร้างของผล

โครงสร้างของผลส่วนมากประกอบด้วย ผนังผล (pericarp) และเมล็ด (seed)
ผนังผล คือส่วนที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากรังไข่ มี 3 ชั้น ได้แก่ ผนังผลชั้นนอก

ผนังผลชั้นกลาง ผนังผลชั้นใน

ผนังชั้นใน (Endocarp) มีทั้งอ่อนนุ่ มเช่น ส้ม และมีลักษณะแข็งเช่น มะม่วง มะพร้าว
ผนังชั้นกลาง (Mesocarp) ผนังชั้นนี้มักนุ่ ม เช่น มะม่วง มะละกอ ผลบางชนิดมีผนังชั้นกลางเป็น

เส้นใยเหนียว เช่น มะพร้าว ตาล จาก

ผนังชั้นนอก (Exocarp) ชั้นผิวนอกสุดของผล ชั้นนี้ในผลบางชนิดมีผิวชั้นนอกบางหรืออ่อน

เช่น ผลองุ่น ชมพู่ มะม่วง ผลบางชนิดผิวชั้นนอกแข็งและเหนียว เช่นมะพร้าว ฟักทอง

เมล็ด (Seed) คือ ออวุลที่ได้รับการปฏิสนธิและเจริญเติบโตเต็มที่ ประกอบด้วย เปลือก

เมล็ด มี 2 ชั้น คือ ชั้นนอก และชั้นใน เอนโดสเปิร์ม และเอ็มบริโอ

ที่มา : https://www.dnp.go.th/botany/bfc/fruit.html

21

ประเภทของผล

ผลเดี่ยว (Simple Fruit)

คือ ผลที่เกิดมาจากรังไข่อันเดียวในดอกเดียวกัน ดอกอาจเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ
ก็ได้ โดยลักษณะของดอกเดี่ยวที่จะกลายเป็นผลเดี่ยวนั้ น จะต้องเป็นดอก 1 ดอก และ

มีรังไข่ 1 อัน เช่น ผลส้ม มะเขือ ฟักทอง แอปเปิ้ล

ผลกลุ่ม (Aggregate Fruit)

คือ ผลที่เกิดจากรังไข่หลายรังไข่หรือกลุ่มของรังไข่ ในดอกเดียวกันของดอกเดี่ยว
รังไข่แต่ละอันก็จะกลายเปนผลย่อยหนึ่งผล เช่น ผลน้อยหน่ า สตรอเบอรีเป็นต้น

ผลรวม (Multiple Fruit)

คือ ผลที่เกิดจากรังไข่ของดอกแต่ละดอกของ ดอกช่อซึ่งเชื่อมรวมกันแน่ น รังไข่เหล่านี้จะ
กลายเป็นผลย่อย ๆ เชื่อมรวมกันจนคล้ายเป็นผลเดี่ยวโดยลักษณะของดอกที่จะกลายเป็น

ผลรวมนั้ น จะเป็นดอกช่อที่มีรังไข่ของดอกย่อย แต่ละดอกมาเชื่อมรวมกัน ได้แก่ ผล
สับปะรด ขนุน สาเก ยอ หม่อน มะเดื่อ เป็นต้น

ที่มา : https://sites.google.com/site/flowerreproduction2016/kar-keid-phl-laea-meld/chnid-khxng-phl

22

บรรณานุกรม

ทรูปลูกปัญญา. (2564). การดำรงชีวิตของพืช: การลำเลียงน้ำและอาหารของพืช. สืบค้น 10
พฤษภาคม 2565, จาก https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33803

ทรูปลูกปัญญา. (2561). การดำรงชีวิตของพืช: การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของพืช.
สืบค้น 7 พฤษภาคม 2565, จาก
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33805

ทรูปลูกปัญญา. (2564). สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต: ลำต้น. สืบค้น 10 พฤษภาคม
2565, จาก https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/33759

ไทยจ็อบอีดูเคชั่น. (2555). วิทยาศาสตร์ชีวภาพ: โครงสร้างพืช. สืบค้น 8 พฤษภาคม 2565,
จาก https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). (2561). การเกิดผลและเมล็ด :
โครงสร้างของผลและเมล็ด. สืบค้น 8 พฤษภาคม 2565, จาก
https://ngthai.com/science/15618/germination/

บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). (2564). การลำเลียงสารของพืช.
สืบค้น 8 พฤษภาคม 2565, จาก https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-
system/

บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). (2561). การสืบพันธุ์ของพืชดอก :
การปฏิสนธิของพืชดอก. สืบค้น 8 พฤษภาคม 2565, จาก
https://ngthai.com/science/15525/flowersfertilization/

มิตราภรณ์ วัชโรทัย. (2555). การสืบพันธุ์ของพืชดอก: การเกิดผลและเมล็ด. สืบค้น 9
พฤษภาคม 2565,
จาก https://www.dnp.go.th/botany/bfc/fruit.html

มิตราภรณ์ วัชโรทัย. (2555). พฤกษศาสตร์สำหรับเยาวชน: ผล. สืบค้น 9 พฤษภาคม 2565,
จาก https://www.dnp.go.th/botany/BFc/leaf.html

สถาบันพัฒนาหลีกสูตรวิทยาศาสตร์แบบ STEM และ Technology. (2561).
สะเต็มศึ กษา (วิทยาศาสตร์) ป.4 หน่ วย 2 เรื่อง หน้ าที่ของราก ลำต้น ใบ และดอกของดอกพืช.
สืบค้น 8 พฤษภาคม 2565,
จาก https://www.thaiedujobs.com/lessons/elementary/science/content/4

อารมย์ สร้อยเพชร. (2560). หน่ วยที่ 1 พืชใกล้ตัวเรา. สืบค้น 7 พฤษภาคม 2565,
จาก https://sites.google.com/site/hxngreiynkhruxarmy/p-4-hnwy-thi-1-phuch-kil-taw-rea