The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสกลนคร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dee31.design, 2021-09-07 14:15:16

แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมบริเวณเมืองเก่าสกลนคร

โครงการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสกลนคร

Keywords: โบราณวัตถุและโบราณสถานสกลนคร,สถาปัตยกรรมและศิลปะภาคอีสาน,แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมสกลนคร,เมืองเก่าสกลนคร

ขอ้ มลู บรรณานกุ รม
โครงการจัดทาแผนแมบ่ ทและผังแมบ่ ทการอนรุ กั ษ์และพัฒนาบรเิ วณเมืองเกา่ สกลนคร
แผ นแม่บท และผ งั แมบ่ ท การอน ุรกั ษแ์ ละพฒั นาบรเิ ว ณเมอื งเก่าสก ลนคร



ผู้จดั ท�ำ สำ� นกั งานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมจังหวดั สกลนคร
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม
1915 ถนนศนู ย์ราชการ ตำ� บลธาตเุ ชิงชุม อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดสกลนคร 47000
โทรศพั ท์ 0 4271 3432 โทรสำ� ร 0 4271 3432
ผู้ศกึ ษา บรษิ ัท เทสโก้ จำ� กดั
21/11-14 ซอยสขุ ุมวทิ 18 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์ 0 2258 1340 โทรส�ำร 0 2258 1313
การอา้ งองิ ส�ำนกั งานทรัพยำ� กรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมจังหวดั สกลนคร, 2562
คำ� สบื ค้น แผนท่มี รดกทางวัฒนธรรมเมอื งเก่าสกลนคร
พมิ พเ์ มือ่ มถิ ุนายน 2562
จ�ำนวนพิมพ์ 100 เลม่
จ�ำนวนหน้า 43 หน้�ำ
ผู้พมิ พ์ ห้างหุ้นสว่ นจำ� กดั มนี เซอรว์ สิ ซพั พลำ� ย (สำ� นกั งานใหญ่)
29/97 หมู่ 3 ถนนสวุ นิ ทวงศ์ แขวงลำ� ผกั ชี
เขตหนองจอก กรุงเทพมหำ� นคร 10530
โทรศัพท์ 0 9227 6417, โทรสาร 0 98197 9462









สงวนลขิ สิทธิ์ในประเทศไทย ต�ำม พ.ร.บ. ลิขสทิ ธ์ิ พ.ศ. 2537
โดย สำ� นักง�ำนทรพั ยำ� กรธรรมช�ำตแิ ละส่งิ แวดล้อมจงั หวัดสกลนคร

กระทรวงทรพั ยำ� กรธรรมช�ำตแิ ละสงิ่ แวดล้อม พ.ศ. 2562



ค�ำนำ�

เมืองเก่าสกลนคร เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหน่ึงในประเทศไทย เป็นชุมชนโบราณอันเป็นแหล่งอาศัยของ
มนุษย์มาอย่างต่อเน่ือง ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลขอม
อย่างเต็มที่เมืองหนึ่ง ปรากฏให้เห็นทั้งในรูปแบบการวางผังเมืองที่เป็นแบบเดียวกับอาณาจักรพระนครใน
ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี 15 มีการใช้ระบบชลประทานแบบขุดคูเมือง สร้างแหล่งน้�ำ
ขนาดใหญ่หรือบาราย ควบคู่กับการก่อสร้าง ศาสนสถาน ซึ่งท�ำให้เกิดแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมท่ีมีคุณค่าที่
ส�ำคัญ ได้แก่ พระธาตุเชิงชุม ที่มีความส�ำคัญคู่บ้านคู่เมือง และเป็นศูนย์กลางหลักของชุมชนเมืองสกลนครมา
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิ เป็นท่ี
เคารพนับถือและเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่สร้างข้ึนในเวลาต่อมา
คือ ประตูเมืองสกลนคร ซ่ึงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณทางเข้าเมือง เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจ�ำลอง
หลวงพอ่ พระองค์แสน รูปเหมอื นพระอาจารย์มน่ั ภูรทิ ตั โต และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท�ำใหป้ ระตเู มอื งแห่งน้ี
เป็นเสมือนศูนย์รวมความศักดิ์สิทธิ์ และศูนย์รวมใจของชาวสกลนคร เมืองเก่าสกลนครยังมีย่านอาคารไม้พื้น
ถ่ินเมอื งเกา่ สกลนคร บริเวณถนนสุขเกษม ถนนเปรมปรดี า ถนนใจผาสุก ถนนนมรรคาลยั และถนนเจรญิ เมอื ง
ซ่งึ มีอาคารบ้านเรือนที่มีอายุเก่าแก่ และสร้างดว้ ยไม้จำ� นวนมาก อายตุ ั้งแต่ 50 ปี จนกระทง่ั อายุ 150 ปี อาคาร
บา้ นไม้เหลา่ น้ี แสดงออกถงึ เอกลกั ษณ์ทางสถาปัตยกรรมพ้ืนถิน่ ของเมืองสกลนครไดเ้ ปน็ อยา่ งดี นอกจากนี้ ยงั
มแี หล่งธรรมชาตทิ ีส่ ำ� คญั ได้แก่ หนองหาร ซึง่ เปน็ ทะเลสาบน�ำ้ จดื ขนาดใหญท่ สี่ ดุ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบของเมืองที่เป็นปัจจัยที่ส�ำคัญในการตั้งถิ่นฐานของ
มนุษย์มาตั้งแต่ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์จนถึงปจั จุบัน

ในการด�ำเนินการเพ่ือจัดท�ำแผนแม่บทและผังแม่บท แนวทาง แผนปฏิบัติ และมาตรการต่าง ๆ ใน
การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาบริเวณเมืองเกา่ โดยการมสี ว่ นร่วม มเี ป้าหมายเพ่ือใช้เปน็ กรอบแนวทางในการอนุรักษ์
และพัฒนาของทุกภาคส่วนในพ้ืนท่ี โดยผลจากการมีแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณ
เมืองเก่าสกลนคร และน�ำไปสู่การปฏิบัติในระยะต่อไป โดยมีส่วนให้เมืองเก่าสกลนครได้รับการอนุรักษ์และ
พฒั นาอยา่ งเหมาะสม สามารถด�ำรงคณุ ค่าความเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมที่ส�ำคญั ของชาตไิ ว้ได้ พรอ้ มกับการใช้
ประโยชน์อย่างยัง่ ยนื เพอ่ื คงไว้ซึ่งความสมดลุ ของระบบนเิ วศเมอื ง และประโยชนส์ ุขของประชาชน โดยไดม้ กี าร
ก�ำหนดวิสัยทัศน์จากกระบวนการมีส่วนร่วมร่วมกันว่า “พัฒนาเมืองเก่าสกลนคร สู่เมืองน่าอยู่ อนุรักษ์ฟื้นฟู
มรดกทางวัฒนธรรมให้ย่ังยืน สืบสานอัตลักษณ์วิถีชุมชนชาวสกลอย่างมีส่วนร่วม” แผนแม่บทและผังแม่บท
การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาบรเิ วณเมอื งเกา่ สกลนคร กำ� หนดกรอบในการขบั เคลอ่ื นเปน็ ชว่ งระยะเวลา 20 ปี โดยแบง่
ออกเป็น ระยะสั้น 1-5 ปี ระยะกลาง 6-10 ปี และระยะยาว 11-20 ปี โดยการขับเคลื่อนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์
ประกอบด้วย การสร้างการรับรู้และสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเมืองเก่า การอนุรักษ์และส่งเสริม
คณุ คา่ เมอื งเกา่ เพอื่ เปน็ แหลง่ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ การบรหิ ารจดั การเมอื งและสภาพแวดลอ้ ม การอนรุ กั ษ์
ฟื้นฟู และ สืบสานด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน และการพัฒนากลไกและกระบวนการบริหารจัดการ
เมืองเก่า ซ่ึงการน�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสกลนครไปสู่การปฏิบัติ
จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าสกลนครให้เป็นไปตามแนวทางการพัฒนาที่
ยั่งยืน

สำ� นกั งานทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มจงั หวัดสกลนคร
มถิ นุ ายน 2562



กิตตกิ รรมประกาศ

ตลอดชว่ งระยะเวลาด�ำเนินการศกึ ษาของโครงการ ทค่ี รอบคลมุ การศกึ ษา ค้นควา้ รวบรวม วิเคราะห์
วจิ ัย ทง้ั ดา้ นเอกสารวชิ าการ และด�ำเนนิ การในภาคสนาม คณะผู้ศึกษาใหค้ วามส�ำคัญกบั การใช้กระบวนการมี
ส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ท่ีจะเข้ามาร่วมกันวิเคราะห์และประเมิน คุณลักษณะ คุณค่าท่ีมีความส�ำคัญ
ความมเี อกลกั ษณโ์ ดดเดน่ ของพน้ื ทศ่ี กึ ษา และศกั ยภาพของเมอื งเกา่ เพอ่ื นำ� มาจดั ทำ� แผนทม่ี รดกทางวฒั นธรรม
เมืองเก่าสกลนคร อันเป็นสาระสำ� คัญประกอบการจดั ท�ำแผนแมบ่ ทและผงั แม่บทการอนุรักษแ์ ละพัฒนาบริเวณ
เมอื งเกา่ สกลนครน้ี ตลอดการด�ำเนินงานดงั กล่าว กระบวนการมีส่วนร่วมของทกุ ภาคีที่เกีย่ วขอ้ งมีความสำ� คญั
เป็นอย่างยิ่ง ในการท�ำให้ผลการศึกษารวมทั้งแผนแม่บทและผังแม่บทเป็นไปอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน การก�ำหนดแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเป็นไปตามความต้องการของคนในพ้ืนที่
และการน�ำแผนไปสู่การปฏิบัติสามารถเกิดเป็นรูปธรรม เม่ือมีการบูรณาการกับแผนงานและโครงการ
ของหน่วยงานและองค์กรตา่ ง ๆ กลา่ วโดยรวม คือ แผนแม่บทและผงั แมบ่ ทการอนุรักษแ์ ละพัฒนาบริเวณเมอื ง
เก่าสกลนคร ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในการศึกษา
ท้ังตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชารัฐ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้น�ำศาสนา ผู้ประกอบการ
และผู้ท่เี ขา้ รว่ มกจิ กรรมทุกท่าน
คณะผู้ศึกษา ขอขอบคุณจงั หวัดสกลนคร โดยทา่ นผวู้ ่าราชการจังหวัด และทา่ นรองผูว้ ่าราชการจังหวดั
ท่ีได้ให้เกียรติเป็นประธานการประชุมสัมมนาและการประชุมคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
สกลนครทุกคร้ัง ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นที่มีคุณค่าย่ิง ขอขอบคุณอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และ
พฒั นาเมอื งเก่าสกลนครทกุ ท่าน ทไ่ี ดร้ ่วมก�ำกบั การศกึ ษาทางวิชาการและใหแ้ ง่คดิ มมุ มอง และช่วยกลน่ั กรอง
การศึกษาให้มีความเหมาะสมในการน�ำไปสู่การปฏิบัติ ขอขอบคุณผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมจังหวัดสกลนคร ผู้อ�ำนวยการส่วนส่ิงแวดล้อม และคณะกรรมการตรวจรับฯ งาน พร้อมทั้ง
เจา้ หนา้ ทข่ี องสำ� นกั งาน ฯ ทกุ ทา่ นทไ่ี ดใ้ หโ้ อกาสในการดำ� เนนิ งาน ใหก้ ารสนบั สนนุ ใหก้ ำ� ลงั ใจ ตลอดการดำ� เนนิ
งานในคร้ังนี้ และต้องขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชน ผู้บริหารท้อง
ถ่ิน ผู้นำ� ชุมชน ประชาชน และผเู้ ก่ียวข้องในการบริหารจัดการเมอื งเก่าสกลนครทกุ ทา่ น ท่ีไดเ้ ข้าร่วมและมี
ส่วนร่วมในกิจกรรมการศึกษาจัดท�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสกลนคร
อย่างดีย่งิ โดยมจี ำ� นวนผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทมี่ ากขน้ึ โดยลำ� ดบั การแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ทเี่ ขา้ ถงึ กรอบการ
จดั การเมอื งเกา่ มากข้ึนทุกครั้ง ตลอดจนความมุ่งม่ันและตั้งใจท่ีแสดงผ่านเวทีต่าง ๆ ท�ำให้คณะผู้ศึกษา
มีความม่ันใจว่า
การบริหารจัดการเมืองเก่าสกลนครของชาวเมืองเก่าสกลนคร จะเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาเชิงอนุรักษ์
และการน�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสกลนครไปสู่การปฏิบัติ ด้วยกลไก
การมีสว่ นรว่ มของทุกภาคสว่ นทเ่ี ข้มแข็งนี้ จะเป็นสว่ นสำ� คัญในการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาเมืองเก่าสกลนครให้เป็น
ไปตามแนวทางการพัฒนาท่ียงั่ ยืนต่อไป

บรษิ ทั เทสโก้ จ�ำกดั
มถิ นุ ายน 2562


III

สารบญั

เร่ือง หน้าท่ี

ประวัติศาสตรส์ กลนคร 1
1
พนื้ ทที่ ีเ่ หมาะสมกบั การตั้งถน่ิ ฐานอาศัยอยขู่ องชมุ ชนเมอื งเกา่ มาแต่โบราณ 2
สกลนครสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์
สกลนครสมัยประวัติศาสตร์

พัฒนาการเมืองเกา่ สกลนคร 5
8
การตงั้ ถิน่ ฐานและการขยายเมืองสกลนคร สมยั พระธานี (ค�ำ) พ.ศ. 2381-2419 8
การขยายเมืองสกลนคร สมัยพระยาจันตประเทศธานี (ปิด) พ.ศ. 2420-2427 9
การขยายเมืองสกลนคร สมยั พระยาจันตประเทศธานี (ปิด) พ.ศ. 2430-2466 11
การขยายเมืองสกลนครภายหลังการปฎริ ูปการเมืองการปกครองแบบเทศบาล พ.ศ.2435-2500
การเปลี่ยนแปลงจากเทศบาลเมอื งส่เู ทศบาลเมอื งสกลนคร พ.ศ. 2500-ปัจจุบนั

แหล่งมรดกทางวฒั นธรรมในเมืองสกลนคร 12
17
โบราณสถานทข่ี ้นึ ทะเบียนแล้ว 18
โบราณสถานทย่ี งั ไม่ขนึ้ ทะเบยี น 24
แหล่งโบราณคด/ี ศาสนสถาน 25
แหล่งธรรมชาติในเมอื งเกา่
พืน้ ทส่ี าธารณะในเมืองเก่า

วัฒนธรรม 27
28
ภาษา 29
การแตง่ กาย 31
ศลิ ปะการแสดงและการละเลน่
งานเทศกาล



ประวัติศาสตรส์กลนคร

“แอ่งสกลนคร” เป็นพ้ืนท่ีท่ีเหมาะสมกับการต้ังถิ่นฐานของมนุษย์ จนเกิดการอพยพเข้ามาของผู้คน
หลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ กลายเป็น “เขตสะสมทางวัฒนธรรม” ดังพบร่องรอยหลักฐานการตั้งถ่ินฐานอาศัย
ของมนษุ ยม์ าตง้ั แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ แลว้ รบั เอาอทิ ธพิ ลทางความเชอื่ ศาสนา และวฒั นธรรมสมยั ทวารวดี
เขมร ล้านชา้ ง และรัตนโกสินทร์ มาโดยลำ� ดบั

พืน้ทท่ี ี่เหมาะสมกบั การตงั้ ถิน่ ฐานของชมุ ชนมาแต่โบราณ

บรเิ วณที่ราบสงู และเทอื กเขาภพู าน ลักษณะเปน็ ท่รี าบสูงบนภูเขาและทรี่ าบระหวา่ งหบุ เขา บริเวณ

อ�ำเภอภูพาน อ�ำเภอเต่างอย อ�ำเภอเมืองสกลนคร อ�ำเภอกุดบาก อ�ำเภอวาริชภูมิ และบางส่วนของอ�ำเภอ
ส่องดาว หลักฐานทางโบราณคดีบริเวณน้ี ได้แก่ ภาพเขียนสี ภาพสลักบนผนังหิน และแหล่งตัดหิน เป็นต้น

บรเิ วณทรี่ าบลมุ่ หนองหาร สภาพพน้ื ทสี่ ว่ นใหญเ่ ปน็ ทร่ี าบสลบั ลกู คลน่ื ลอนลาดเขา จากทางทศิ ใตล้ าดเท

ไปทางทิศเหนือ ได้แก่ พื้นท่ีในเขตอ�ำเภอเมืองสกลนคร อ�ำเภอโพนนาแก้ว อ�ำเภอกุสุมาลย์ และอ�ำเภอ
อากาศอำ� นวย แหล่งโบราณคดีในบริเวณนี้ ไดแ้ ก่ แหล่งโบราณคดสี มยั ทวารวดี อายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 14–16
โดยพบใบเสมาหินทรายกระจายอยู่ในพื้นท่ีราบลุ่มริมหนองหารหลายแห่ง ตลอดจนถึงหลักฐานการปรากฏข้ึน
ของเมอื งโบราณสกลนคร ในชว่ งวฒั นธรรมเขมรประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 15–16 รวมทง้ั ศาสนสถานในสมยั เดยี วกนั

สกลนครสมัยก่อนประวตั ิศาสตร์

จากการศกึ ษาธรณวี ทิ ยา แอง่ สกลนครเกดิ ราว“มหายคุ มโี ซโซอิก”
สมัย “ครีเทเซียส” เม่ือประมาณ 120 ล้านปีมาแล้ว นับเป็นยุครงุ่ เรอื ง
ทสี่ ดุ ของสงิ่ มชี วี ติ ดกึ ดำ� บรรพห์ รอื ไดโนเสาร์ ตอ่ มาเมอ่ื ถงึ ปลายสมยั ครเี ทเชยี ส
เมอ่ื ราว 65 ลา้ นปี เกดิ การสญู พนั ธค์ุ รง้ั ใหญ่ ทำ� ใหส้ ง่ิ มชี วี ติ ถงึ รอ้ ยละ94
สญู พนั ธ์ุ รวมถงึ ไดโนเสารด์ ว้ ย สำ� หรบั สกลนครมกี ารพบหลกั ฐานฟอสซลิ ซากบรรพชีวิน (Fossil) ของกระดูก
ของส่ิงมีชีวิตโลกดึกด�ำบรรพ์ ในบริเวณเชิงเขาภูเพ็ก บ้านภูเพ็ก ต�ำบล ไดโนเสารจ์ ำ� นวนมาก พบบริเวณภเู พก็
เทอื กเขาภูพาน
นาหัวบอ่ อ�ำเภอพรรณานคิ ม จงั หวดั สกลนคร แสดงให้เห็นถึงการมอี ยู่ ท่มี า : สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม
ของสงิ่ มชี วี ติ ในจงั หวดั สกลนครเมอื่ ราว 120 ลา้ นปที แ่ี ลว้ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ 5,600 – 1,500 ปีมาแล้ว สมัยเดียวกับแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
จังหวัดอุดรธานี ปรากฏหลักฐานการต้ังถน่ิ ฐานของมนุษย์บริเวณเทอื กเขาภูพาน โดยพบว่าเรื่องการตั้งถ่นิ ฐาน
อยู่ในสภาพแวดล้อมสองแบบคือ กลุ่มอาศัยอยู่ตามพ้ืนที่ป่าเขา ถ้ำ� หรือเพิงผา และกลุ่มอาศัยตามที่ราบลุ่มน้�ำ

แหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในสกลนคร
ส่วนใหญ่กระจายอยู่บริเวณที่ราบในเขตพื้นท่ีอ�ำเภอสว่างแดนดิน
อ�ำเภอพงั โคน อ�ำเภอวานรนวิ าส อำ� เภอวารชิ ภมู ิ อ�ำเภอกสุ มุ าลย์
และอ�ำเภอเมืองสกลนคร เท่าท่ีค้นพบมีประมาณ 50 กว่าแหล่ง
อายุเก่าสุดถึงช่วงสมัยยุค “หินกลางและหินใหม่” เนื่องจากพบ
ภาชนะเครื่องปน้ั ดนิ เผาและโครงกระดกู มนษุ ย์ หลักฐานประเภทเครื่องมือหิน ภาชนะเคร่ืองปั้นดินเผาลายเชือก
สมยั วฒั นธรรมบา้ นเชยี ง จากแหล่งโบราณคดี ทาบ และการเขียนสี รวมไปถึงเครอ่ื งมอื โลหะประเภทสำ� ริด เหลก็
บา้ นดอนธงชัย อ�ำเภอสว่างแดนดนิ และลูกปดั หินสี
ทม่ี า : กองโบราณคดี กรมศิลปากร

1

แหล่งศิลปะถ�้ำบริเวณเทือกเขาภูพานแสดงให้เห็นถึง
วิถีชีวิตและพิธีกรรมของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น
ภาพเขยี นสผี าผกั หวาน บา้ นภตู ะคาม ตำ� บลทา่ ศลิ า อำ� เภอสอ่ งดาว
ภาพสลักถำ�้ ผาลาย ภูผายล บา้ นนาผาง ตำ� บลกกปลาซวิ อ�ำเภอ
ภูพาน ภาพสลักถ้�ำม่วง ภูก่อ บ้านบึงสา ต�ำบลจานเพ็ญ อ�ำเภอ
เตา่ งอย และภาพสลักถำ้� พระดา่ นแรง้ ภูดงสามปี บา้ นหว้ ยหวด ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ผาผักหวาน
ตำ� บลจานเพ็ญ อ�ำเภอเตา่ งอย จังหวัดสกลนคร เป็นตน้ บา้ นภตู ะคาม ต�ำบลท่าศิลา อ�ำเภอส่องดาว
ท่ีมา : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร
สกลนครสมัยประวัตศิ าสตร์

สกลนครยุควัฒนธรรมทวารวดี (ประมาณพุทธศตวรรษท่ี 14–16) เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์
ชมุ ชนตา่ ง ๆ เรมิ่ มกี ารรวมกลมุ่ ขน้ึ เปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่ และมกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายจากชมุ ชนภายนอกอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
มีการพัฒนาเข้าสู่สังคมท่ีเป็นชุมชนเมือง มีความเจริญซับซ้อนมากข้ึน เห็นได้จากการขุดคูน้�ำคันดินล้อมรอบ
ชุมชน โดยเฉพาะการรับเอาอิทธิพลของพุทธศาสนาในวัฒนธรรมทวารวดีเข้ามา ดังปรากฏสถานที่ประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา ใบเสมาหิน พระพุทธรูป เป็นต้น โดยวัฒนธรรมทวารวดีมีพ้ืนฐานมาจากวัฒนธรรม
ทางพระพุทธศาสนาจากอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในแถบภาคกลาง ก่อนกระจายตัวมายังภาคอสี าน

ใบเสมาหินทราย ศิลปะทวารวดี หลักฐานทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดี คือ ใบเสมาหินทราย
วัดกลางศรีเชียงใหม่ บ้านท่าวัด พบทั้งแบบแกะสลักกลีบบัวที่ฐาน แบบแกะสลักรูป สถูปเจดีย์ และ
ต�ำบลเหล่าปอแดง อ�ำเภอเมืองสกลนคร หมอ้ นำ้� ปูรณฆฏะก่ึงกลางใบ เชน่ ใบเสมาหนิ วดั พระธาตเุ ชงิ ชุม หรอื
ทีม่ า : สถาบันภาษา ศลิ ปะและวัฒนธรรม เนนิ ใบเสมาหนิ ทรายกลมุ่ ใหญท่ ส่ี ดุ ในวดั กลางศรเี ชยี งใหม่ บา้ นทา่ วดั
ตำ� บลเหลา่ ปอแดง อำ� เภอเมอื งสกลนคร ลกั ษณะของการปกั ใบเสมา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร เป็นคู่ซ้อนกัน ล้อมรอบ 8 ทิศ จ�ำนวน 8 คู่ อีกทั้งพบพระพุทธรูป
หินทรายปางสมาธิ ศิลปะทวารวดี ปัจจุบันประดิษฐานไว้ที่
วัดมหาพรหมโพธริ าช บา้ นทา่ วดั และภายในคหู าองคพ์ ระธาตเุ ชงิ ชมุ
นอกจากน้ี ยังพบเครื่องประดับประเภทลูกปัดแก้วแบบ
ทวารวดี บรเิ วณรมิ หนองหาร บา้ นหนองปลานอ้ ย ตำ� บลเหลา่ ปอแดง
อ�ำเภอเมอื งสกลนคร ทัง้ นี้ แหลง่ โบราณคดีสมัยทวารวดีในสกลนคร
บางแหง่ พบวา่ ตง้ั ทบั ซอ้ นอยบู่ นแหลง่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรเ์ ดมิ
อาทิ บรเิ วณวดั ดอนกรรม บา้ นพนั นา วดั ศรรี ตั นาราม บา้ นมา้ ตำ� บลพนั นา
วดั ศรธี าตกุ าราม บา้ นธาตทุ อง ตำ� บลธาตทุ อง อำ� เภอสวา่ งแดนดนิ เปน็ ตน้

สะพานหิน หรือ “สะพานขอม” พระพุทธรูปหินทรายปางสมาธิ
ท่มี า : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวัฒนธรรม ศิลปะทวารวดี พบท่ีภายในคูหาองค์
พระธาตเุ ชงิ ชมุ วดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ วรวหิ าร
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร ท่ีมา : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร

2

สกลนครยคุ วฒั นธรรมขอม (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 16–18) เมอ่ื ราวประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 16 -18
อาณาจักรขอมหรืออาณาจักรเขมรโบราณปกครองแบบ “ลัทธิเทวราชา” โดยแผ่ขยายอิทธิพลทางด้านสังคม
การเมอื ง การปกครอง ศลิ ปวฒั นธรรม รวมถงึ ศาสนาพราหมณ–์ ฮนิ ดู และพระพทุ ธศาสนาแบบมหายานของตน
เขา้ สดู่ นิ แดนทเ่ี ปน็ บา้ นเมอื งใกลเ้ คยี ง โดยเรม่ิ จากบรเิ วณอสี านตอนลา่ ง หรอื บรเิ วณ “แอง่ โคราช” ทางดา้ นทศิ ใต้
ของเทือกเขาภูพาน และแพร่กระจายเข้าสู่พื้นที่ “แอ่งสกลนคร” ผ่านทางล�ำน้�ำโขง นับว่าเป็นช่วงเวลา
วัฒนธรรมขอมเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก โดยชุมชนเดิมในสมัยวัฒนธรรมทวารวดีได้รับการพัฒนาข้ึนเป็น
บา้ นเมอื งตามรปู แบบของวฒั นธรรมเขมร ปรากฎหลกั ฐานสำ� คญั คอื ปราสาทหนิ ไดแ้ ก่ ปราสาทในองคพ์ ระธาตุ
เชิงชุม ปราสาทดุม ปราสาทนารายณ์เจงเวง ปราสาทภูเพ็ก อยู่เขตอ�ำเภอพรรณนานิคม และปราสาทหิน
บ้านพันนา นอกจากนี้ ยังพบ “สะพานขอม” ซ่ึงเป็นสะพานขอมโบราณเพียงแห่งเดียวของประเทศไทยที่พบ
ในปจั จบุ ัน

ปราสาทนารายณเ์ จงเวง ปราสาทภูเพ็ก ปราสาทหินบา้ นพนั นา
ท่ีมา : สถาบนั ภาษา ศิลปะและวฒั นธรรม ที่มา : สำ� นกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทม่ี า : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม
มหา วทิ ยาลยั ร าชภัฏสก ลนคร กรมศิลปา กร มหาวทิ ยา ลัยราชภฏั สกลนคร
นอกจากนี้ ยงั ปรากฏหลกั ฐานของการเปน็ เมอื งโบราณทมี่ คี ูนำ้� คันดินรปู สเี่ หลย่ี ม ตามรปู แบบคตินยิ ม
การวางผงั เมอื งในวฒั นธรรมขอมโบราณ ขนาดกวา้ ง 1,350 เมตร ยาวประมาณ 1,500 เมตร ประกอบดว้ ย
แนวก�ำแพงคันดิน 2 ช้ัน ค่ันกลางด้วยคูน้�ำขุดลึกถึงระดับกักเก็บน้�ำ กว้างไม่น้อยกว่า 40 เมตร และบางตอน
ทางดา้ นทศิ ใต้และทิศเหนอื มคี วามกวา้ งถึง 100 เมตร สว่ นมุมด้านทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มชี อ่ งทางน�้ำเชอ่ื ม
ตอ่ กบั หนองหาร ทางด้านทิศตะวันตกมีช่องทางน�้ำเช่ือมต่อกับหนองสนมและห้วยโมง ทางด้านทิศใต้มีช่อง
ทางรับน�้ำจากห้วยนาหลุมที่ไหลจากทิวเขาภูพานเพื่อใช้หล่อเลี้ยงคูเมืองและเพื่อการคมนาคมพร้อม
ปรากฏการสร้างศาสนสถานตง้ั อยใู่ จกลางเมอื ง ไดแ้ ก่ ปราสาทหนิ ในองคพ์ ระธาตเุ ชงิ ชมุ รวมทง้ั มบี าราย (ตระพงั ทอง
หรือสระพังทอง)ส�ำหรับการอุปโภคบริโภคภายในตัวเมืองอีกด้วยและยังปรากฏพบศาสนสถานและระบบ
สาธารณปู โภคอยภู่ ายนอกตวั เมือง

ภาพถ่ายทางอากาศเมอื งสกลนคร เม่ือพุทธศักราช 2498 แสดงคนู ำ้� คนั ดินลอ้ มรอบ
เมอื งสกลนคร ตามรูปแบบคตนิ ยิ มการวางผังเมอื งวฒั นธรรมเขมร พุทธศตวรรษ 16–17
ที่มา : กรมแผนท่ีทหาร

3

สกลนครยคุ วฒั นธรรมล้านชา้ ง (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 19–24) ภายหลงั เม่อื อาณาจักรขอมเส่อื ม
อ�ำนาจลง เมื่อปลายพุทธศตวรรษท่ี 18 อาณาจักรล้านช้างซ่ึงมีศูนย์กลางอยู่ท่ีดงเชียงทองหรือหลวงพระบาง
ได้เจรญิ ขึ้นมาแทน ดว้ ยการขยายดนิ แดนเข้ามาครอบคลมุ ในอาณาบริเวณลุม่ น�้ำโขง โดยเฉพาะราว พ.ศ.2103
สมัยของพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมอื งหลวงพระบางมายงั เวียงจนั ทน์ เปน็ ศนู ยก์ ลางของ
อาณาจกั รล้านช้างแห่งใหม่ พรอ้ มกับโปรดเกลา้ ให้มกี ารทำ� นบุ �ำรงุ พระพทุ ธศาสนา ศิลปกรรม และวัฒนธรรม

สกลนครเป็นจังหวัดหนึ่งท่ีมีหลักฐานปรากฏว่า เป็นดินแดนหน่ึง
ของวฒั นธรรมลา้ นชา้ งและเคยเจรญิ รงุ่ เรอื งในพทุ ธศาสนามากอ่ น ดงั หลกั ฐาน
ส�ำคญั กระจายอยู่หลายพน้ื ทขี่ องสกลนคร ปรากฎจารกึ บา้ นทา่ วัดกลา่ วถึงชือ่
เมืองว่า “เมืองเชียงใหม่หนองหาร” มีการสร้างบ้านแปงเมืองและดัดแปลง
ศาสนสถานตา่ ง ๆ จากวฒั นธรรมของขอมเปน็ แบบ “ศลิ ปะลา้ นชา้ ง” หลายแหง่
เช่น การก่อสร้าง สถาปัตยกรรมทรง “ธาตุเจดีย์” ครอบทับปราสาทหิน
ที่องค์พระธาตุเชิงชุม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนชื่อเรียกปราสาทต่าง ๆ เป็น
พระธาตุ เม่ืออาณาจักรล้านช้างอ่อนแอลงและมีเหตุการณ์ความไม่สงบ วดั พระธาตเุ ชิงชุมวรวิหาร
ท�ำให้อิทธิพลวัฒนธรรมล้านช้างเริ่มเสื่อมลงจากดินแดนภาคอีสานและ ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ
สกลนคร กรมศิลปากร

เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม มีการกวาดต้อนผู้คนเป็น
จำ� นวนมากจากดนิ แดนฝง่ั ซา้ ยเขา้ มายงั ดนิ แดนฝง่ั ขวาของแมน่ ำ้� โขง และตอ่ มาไดร้ บั การยกขนึ้ เปน็ เมอื งหลายเมอื ง
ส่วนบ้านเมืองริมฝั่งหนองหารและรอบนอก ซ่ึงเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมล้านช้างต่างซบเซาลง
และต่อมาสมัยธนบุรี อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ได้รับค�ำสั่งให้พาครอบครัวไพร่พลตัวเล็กมาต้ังบ้านเรือนข้ึนที่
บริเวณบ้านธาตุเชิงชุม พร้อมท�ำหน้าที่เป็น “ข้าพระธาตุ” นอกจากน้ี ยังมีการอพยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานของ
ผู้คนเป็นชมุ ชนยอ่ ยในบรเิ วณใกล้เคยี งอีกหลายต�ำบล
ตั้งแต่ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา “เมืองสกลนคร” มีพัฒนาการขยายตัวสู่ความเป็นเมือง
อย่างต่อเนื่องจนได้รับการรับรองสถานภาพ “เมือง” จากราชส�ำนักสยาม โดยปัจจัยพื้นฐานส�ำคัญมาจาก
จ�ำนวนประชากรท่ีอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานมีมากพอ ส�ำหรับท�ำการผลิตและเป็นแรงงานให้กับบรรดาเจ้าเมือง
กรมการ เม่ือมีผลผลิตและจ�ำนวนก�ำลังพลมากข้ึน จึงท�ำให้ผู้น�ำมีอ�ำนาจต่อรองกับภายนอกทั้งเมืองใหญ่และ
ราชส�ำนักสยาม การเป็นเมอื งสมบรู ณ์ต้องไดก้ ารรบั รองจากสยามใหย้ กสถานะจาก “บ้าน” ขน้ึ มาเปน็ “เมือง”
โดยได้รับการตั้งช่ือเมืองให้ใหม่ และแต่งตั้งราชทินนามของเจ้าเมืองอีกด้วย เม่ือ พ.ศ. 2385 พระบาทสมเด็จ
พระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์อิน ทายาทพระยาประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร
คนแรก เปน็ พระยาประเทศธานใี นตำ� แหนง่ เจา้ เมอื งสกลทวาปี และทรงเปลยี่ นนามเมอื งใหมเ่ ปน็ “เมอื งสกลนคร”
จนถึงสมัยการปฏิรูปการเมืองการปกครองในระบอบเทศาภิบาลใน
สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 5 ในปี พ.ศ. 2435
เมืองสกลนคร ได้รับการเปล่ียนแปลงโดยส่วนกลางส่งพระยาสุริยเดช (กาจ)
มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก และมีพระยาประจันตประเทศธานี
(โง่นค�ำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรก ต่อมาในปี
พ.ศ. 2459 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6
โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเรียกค�ำว่า เมือง เป็น จังหวัด เมืองสกลนครจึงได้
ตง้ั ขน้ึ เปน็ “จังหวดั สกลนคร”จนถึงปัจจุบนั พระยาประจันตประเทศธานี
(โงน่ คำ� พรหมสาขา ณ สกลนคร)
ท่ีมา : วิกิพเี ดีย สารานุกรมเสรี

4

พฒั นาการเมอื งเกา่ สกลนคร

พ้ืนที่บริเวณเมืองเก่าสกลนครและพื้นที่ใกล้เคียงปรากฎร่องรอยและหลักฐานทางประวัติศาสตร์
มาตง้ั แต่สมัยวัฒนธรรมทวารวดี สืบมายังสมยั อาณาจักรขอม และอาณาจกั รลา้ นช้าง เห็นไดว้ ่าเป็นเมืองเกา่ ทม่ี ี
ร่องรอยต่อเนื่องของอดีตมายาวนาน ซึ่งบริเวณพ้ืนท่ีเมืองเก่าสกลนครเริ่มมีการพัฒนาเป็นเมืองข้ึนต้ังแต่สมัย
ตน้ กรงุ รตั นโกสินทร์ สืบเนื่องต่อมาจนปจั จบุ นั

การตัง้ ถนิ่ ฐานและการขยายเมืองสกลนคร สมัยพระธานี (คำ� ) พ.ศ. 2381–2419

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก รชั กาล ท่ี 1 ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ ปุ ฮาดเมอื งกาฬสนิ ธ์ุ
(ไมป่ รากฏนาม) พรอ้ มดว้ ยครอบครวั และไพรพ่ ลตวั เลก็ อพยพมาตง้ั รกั ษา “พระธาตเุ ชงิ ชมุ ” ณ ตำ� บลธาตเุ ชงิ ชมุ
และหมบู่ า้ นอนื่ หลายตำ� บล ตอ่ มาทรงพระราชดำ� รเิ หน็ วา่ ตำ� บลธาตเุ ชงิ ชมุ และตำ� บลอน่ื มผี คู้ นหนาแนน่ พอรวมตง้ั เปน็
เมอื งใหญ่ เพอื่ สะดวกแกก่ ารปกครองไดแ้ ลว้ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กบา้ นธาตเุ ชงิ ชมุ ขนึ้ เปน็ “เมอื งสกลนครทวาป”ี
ในปี พ.ศ.2329 โดยต้ังให้อปุ ฮาดเมืองกาฬสนิ ธุ์เป็น “พระธานี” เจ้าเมอื งสกลนครทวาปคี นแรก

พ.ศ. 2369 ในสมยั ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
รชั กาลท่ี 3 เกิดสงครามกบั เจ้าอนวุ งศ์เวียงจนั ท์ เจ้าเมอื งสกลทวาปไี ม่
ได้ตระเตรียมก�ำลังป้องกันบ้านเมือง เจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต
(สิงห์ สิงหเสนี) เม่ือคร้ังเป็นพระยาราชสุภาวดีแม่ทัพ เห็นว่าเจ้าเมือง
กรมการไม่เอาใจใส่ต่อราชการบ้านเมือง จึงสั่งให้เอาตัวพระธานี
เจา้ เมอื งไปประหารชวี ิตท่ีหนองไชยขาว เม่ือปราบเจา้ อนวุ งศเ์ สรจ็ แล้ว
จึงให้กวาดต้อนครอบครัวร้ีพลจากเมืองสกลนครทวาปี ไปอยู่ท่ีเมือง
กบนิ ทรแ์ ละเมอื งประจนั ตคามเปน็ อนั มาก ยงั คงใหเ้ หลอื รกั ษาพระธาตุ
เชิงชุมแต่พวกเพียศรีคอนชุม ต�ำบลธาตุเชิงชุม ต�ำบลหน่ึง กับ
บ้านหนองเหียน บ้านจานเพ็ญ บ้านอ่อมแก้ว บ้านธาตุเจงเวง
บ้านพราน บ้านนาดี บ้านวังยาง บ้านผ้าขาว และบ้านพรรณา รวม
10 ต�ำบล พอให้เป็น “ข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุม” เท่าน้ัน แล้วส่ังให้
ราชวงศ์เมืองกาฬสินธุ์ (ไม่ปรากฏนามเดิม) มาเป็นผู้รักษาราชการ เจา้ พระยาบดินทร์เดชานชุ ิต
เมืองสกลนครทวาปีไปก่อน ในระหว่างท่ียังไม่โปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดเป็น (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี

เจ้าเมอื ง ปี พ.ศ. 2380 อุปฮาด (ค�ำสาย) ป่วยถึงแก่กรรม

พระยามหาอำ� มาตยฯ์ จงึ มใี บบอกกราบทลู ขอตง้ั ใหร้ าชวงศ์ (คำ� )
มาเป็นเจ้าเมืองสกลนครทวาปีเพราะเจ้าเมืองว่างมานาน
และขอใหท้ า้ วจนั ทร์ (อนิ ทร)์ เปน็ ราชวงศ์ ขอเอาราชบตุ ร (ดา่ ง)
เมืองกาฬสนิ ธ์ุเป็นราชบตุ ร

ตระกูล “วงศ์กาฬสนิ ธ”์ุ
ท่ีมา : สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม

มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

5

พ.ศ. 2381 พ.ศ. 2390 พ.ศ. 2421

บริเวณคุ้มวัดธาตุเชิงชุม และการขยาย ท่ีตั้ง “วัดกลาง” และ “วัดเหนือ” “วดั สะพานคำ� ” สรา้ งโดยเจา้ เมอื งคนท่ี 2
ตัวของชุมชนเป็น “คุ้มกลางธงชัย” สร้างโดยพระธานี (ค�ำ) ปีพ.ศ. 2388 (ปดิ ) เมอ่ื ปี พ.ศ. 2421-2427
ในการตง้ั เมอื งสกลนครยคุ แรก สมยั ของ และปี พ.ศ. 2390 ตามล�ำดับ
เจา้ เมืองพระธานี (คำ� ) พ.ศ. 2381

พ.ศ. 2422 พ.ศ. 2423 พ.ศ. 2431

“วดั แจง้ แสงอรณุ ” สรา้ งโดยอปุ ราช “วัดศรีชมพู” สร้างโดยอุปราชโง่นค�ำ “วดั ศรโี พนเมอื ง” สรา้ งเมอ่ื ปี พ.ศ. 2431
โงน่ คำ� เมอ่ื ปี พ.ศ. 2422 เมื่อปี พ.ศ. 2423

พ.ศ. 2444 พ.ศ. 2446 พ.ศ. 2450

ถนนสายหลกั 5 สายสำ� คญั สรา้ งเมอ่ื ปี “วัดศรีสุมังค์” สร้างเม่ือปี พ.ศ. 2446 การสร้างถนนเพิ่มอีก 3 สาย ในปี
พ.ศ. 2444 พ.ศ. 2450

พัฒนาการของชมุ ชนเมอื งเกา่ สกลนคร
ที่มา : อนุวฒั น์ การถัก

6

พัฒนาการของเมอื งเก่าสกลนคร

ลำ� ดบั เวลาในพัฒนาการของเมอื งเกา่ สกลนคร

7

การตัง้ ถน่ิ ฐานและการขยายเมืองสกลนครในสมยั พระธานี (คำ� ) ระหวา่ งปี พ.ศ. 2381–2419 เริ่มจาก
การขยายตวั ออกจากวัดพระธาตเุ ชงิ ชมุ การต้ังถน่ิ ฐานของชมุ ชนแรกดง้ั เดิมมชี อ่ื วา่ “ค้มุ กลางธงชยั ” เน่ืองจาก
เปน็ ทตี่ ง้ั บา้ นเรอื นของ “พระศรธี งชยั ” และเหลา่ บรรดาขา้ ราชการทยี่ า้ ยมาจากเมอื งกาฬสนิ ธ์ุ ปจั จบุ นั บรเิ วณน้ี
จึงเป็นท่ีต้ังบ้านเรือนของตระกูล “วงศ์กาฬสินธุ์” เป็นจ�ำนวนมาก ต่อมาพระธานี (ค�ำ) เจ้าเมืองสกลนครยังได้
สร้างวัดกลางข้ึนเมื่อปี พ.ศ. 2388 และสร้างวัดเหนือข้ึนอีกในปี พ.ศ. 2890 ท�ำให้ชุมชนเมืองสกลนครเกิด
การขยายตัวเมอื งออกไปทางทิศตะวนั ตกของวดั พระธาตุเชงิ ชุมและคุ้มกลางธงชยั

การขยายเมืองสกลนคร สมัยพระยาประจนั ตประเทศธานี (ปดิ ) พ.ศ. 2420-2427

ภายหลงั ปี พ.ศ.2419 พระยาประเทศธานี (ค�ำ) ได้ถึงแกก่ รรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หวั รชั กาลที่ 5 จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ าชวงศ์ (ปดิ ) เปน็ พระยาประจนั ตประเทศธานี (ปดิ ) เจา้ เมอื งสกลนครคนตอ่ มา
ซึ่งโฮงของเจ้าเมืองสมัยพระยาประจันตประเทศธานี (ปิด) ตั้งอยู่บริเวณคุ้มวัดโพธ์ิชัยในปัจจุบัน ตามบริเวณ
บ้านเรือนญาติสายตระกูลของท่าน มีการขยายเมืองในระยะต่อมา ดังนั้น บริเวณ “โฮงเจ้าเมือง” ของพระยา
ประจันตประเทศธานี (ปิด) จึงเป็นศูนย์กลางส�ำหรับว่าราชการของเจ้าเมือง นอกจากนี้ บริเวณโฮงเจ้าเมืองยัง
ใช้ประกอบพิธีกรรมส�ำคัญ อาทิเช่น งานบุญเดือน 3 ที่ชาวคุ้มมาท�ำพิธีเล้ียงผีบรรพบุรุษของตนเอง ชาวคุ้ม
บรเิ วณโฮงเจา้ เมอื งสว่ นใหญเ่ ปน็ ชาว “ไทญอ้ ” ตอ่ มาระยะหลงั จงึ มชี าวจนี และชาวเวยี ดนามอพยพ (ญวนอพยพ)
เขา้ มาอยอู่ าศยั ปะปนในพน้ื ที่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2421 พระยาประจนั ตประเทศธานี (ปดิ ) ไดส้ รา้ ง “วดั สะพานคำ� ”
ขึ้นท�ำให้ชุมชนขยายตัวออกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดสะพานค�ำทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดพระธาตุเชิงชุม
รวมทั้งอุปราช (โง่นค�ำ) ในสมัยน้ี ยังได้สร้างวัดเพิ่มข้ึนอีก 2 วัด คือ สร้าง “วัดแจ้งแสงอรุณ” ข้ึนเม่ือปี
พ.ศ.2422 กับสร้าง “วดั ศรชี มพ”ู ขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. 2423 จึงทำ� ใหเ้ กิดการขยายตัวเมอื งสกลนครในสมัยเจา้ เมอื ง
พระยาประจนั ตประเทศธานี (ปิด) เปน็ เจา้ เมืองออกไปตามคุ้มวัดดังกลา่ ว

การขยายเมืองสกลนคร สมัยพระยาประจันตประเทศธานี (โงน่ คำ� ) พ.ศ. 2430-2466

เม่ือจากพระยาประจันตประเทศธานี (ปิด)
ถึงแก่กรรมจึงมีโปรดเกล้าฯ ให้พระอุปฮาด (โง่นค�ำ)
ข้ึนเป็น “พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ)
เป็นเจ้าเมืองสกลนครในปี พ.ศ. 2430 ซึ่งเป็นต้น
ตระกูล “พรหมสาขา ณ สกลนคร” เมืองสกลนคร
ในสมัยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ) นับว่า
เป็นช่วงของบ้านเมืองมีการเปล่ียนแปลงท้ังทางด้าน
การเมอื ง การปกครอง เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม
เนอื่ งจากอยใู่ นชว่ งรชั กาลที่ 5 ไดม้ กี ารปฏริ ปู การเมอื ง
การปกครองเปน็ แบบระบอบ “เทศาภบิ าล” ลดอำ� นาจ โฮงเจา้ เมืองสกลนคร ปจั จบุ นั เปน็ ทตี่ ัง้ บา้ นของหลวงวิจารณ์
และบทบาทของเจ้าเมืองแบบอาญาสี่ลง แล้วส่ง อักษร ลูกชายพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ)
ขา้ ราชการจากสว่ นกลาง เขา้ มากำ� กบั และดแู ลหวั เมอื ง ที่มา : สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ต่าง ๆ ในภาคอีสาน อย่างไรก็ตาม การขยายตัวเมอื ง
สกลนครตาม “คมุ้ วดั ” ยังเปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนือ่ ง

8

การสร้างวัดของพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ) เริ่มตั้งแต่สมัยที่ท่านด�ำรงเป็นอุปราชโง่นค�ำ
ในสมัยของพระยาประจันตประเทศธานี (ปิด) เป็นเจ้าเมืองสกลนคร อาทิเช่น สร้าง “วัดแจ้งแสงอรุณ”
ในปี พ.ศ. 2422 และสร้าง “วัดศรชี มพ”ู ในปี พ.ศ. 2423 เปน็ ตน้ และเม่อื ได้รบั โปรดเกลา้ แต่งตงั้ เมืองสกลนคร
ตง้ั แต่ พ.ศ. 2430 เปน็ ต้นมา พระยาประจันตประเทศธานี (โงน่ คำ� ) ยังสรา้ งวดั อีกหลายแหง่ เช่น ปี พ.ศ. 2431
สรา้ งวดั ศรโี พนเมอื ง ในปี พ.ศ. 2446 สรา้ ง “วดั ศรสี มุ งั ค”์ ทางดา้ นทศิ ใตข้ องวดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ ระยะนม้ี ชี าวจนี
จ�ำนวนมากเขา้ มาค้าขายด้วยการเปดิ รา้ นขายสนิ ค้าตา่ ง ๆ บริเวณถนนเจริญเมอื ง รวมทงั้ มชี าวเวียดนามอพยพ
เขา้ มาอาศยั อยใู่ นบรเิ วณคมุ้ วดั ศรสี มุ งั คเ์ พม่ิ มากขน้ึ รวมทงั้ สรา้ งวดั สระแกว้ ทางทศิ ตะวนั ออกของวดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ

การขยายเมอื งสกลนครภายหลังการปฏิรปู การเมืองการปกครองแบบเทศาภบิ าล (พ.ศ. 2435-2500)

ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว รัชกาลท่ี 5 ทรงปฏิรปู
การเมืองการปกครองเป็นแบบ “ระบอบเทศาภิบาล” จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก โดยให้
“ข้าหลวง” และข้าราชการจากส่วนกลางมาก�ำกับดูแลหัวเมือง นับต้ังแต่ปี
พ.ศ. 2433 เป็นต้นมา เมืองสกลนครและหัวเมืองต่าง ๆ ในภาคอีสานจึงมี
“ขา้ หลวง” จากสว่ นกลางมากำ� กบั การปกครองอยปู่ ระจำ� หวั เมอื ง เมอื่ ปพี .ศ. 2435
ได้มีโปรดเกล้าฯ ให้ “พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธ์ิ (จาบ สุวรรณทัต)” มาเป็น
ข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก ทำ� หนา้ ทใ่ี หค้ ำ� แนะน�ำระเบียบแผนในการปกครอง
ใหแ้ กพ่ ระยาประจนั ตประเทศธานี (โงน่ คำ� ) เจา้ เมอื งสกลนคร และนบั จากปี พ.ศ. 2445 พระยาสรุ ยิ เดชวิเศษฤทธ์ิ
เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 ทรงจัดการ (จาบ สวุ รรณทัต)
เปลย่ี นแปลงระเบียบราชการเมืองสกลนครใหม่ ท่ีมา : โครงการหอ้ งสมุด
ดจิ ิทลั วชริ ญาณ

เมอ่ื ปี พ.ศ. 2444 พระยาประจนั ตประเทศ
ธานี (โง่นค�ำ) ได้สร้างถนนสายส�ำคัญขึ้นมา เป็น
ถนนสายหลกั ของเมอื งสกลนคร 5 สาย ประกอบดว้ ย
ถนนเจริญเมือง ถนนเรืองสวัสด์ิ ถนนมรรคาลัย
ถนนใจผาสกุ และถนนกำ� จดั ภยั จากนนั้ ปี พ.ศ. 2450
มีการสร้างถนนภายในเมืองสกลนครเพิ่มเติมขึ้น
อีก 3 สาย คือ ถนนสขุ เกษม ถนนเปรมปรดี า และ
ถนนใสสวา่ ง เมอื งสกลนคร จงึ เรมิ่ ขยายตวั ออกไป
ถนนเจริญเมือง สรา้ งสมัยพระยาประจนั ตประเทศธานี (โง่นค�ำ) ตามถนนสายสำ� คัญท้งั 8 สายดงั กล่าว
ที่มา : สำ� นักหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ
ภายหลังเมื่อปี พ.ศ.2459 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 มี
การเปลย่ี นคำ� วา่ “เมอื ง” มาเปน็ “จงั หวัด” ท่วั ทกุ มณฑลในประเทศไทย เมืองสกลนครรวมท้ังแขวงเมืองตา่ งๆ
จงึ เรยี กรวมกันวา่ “จังหวัดสกลนคร” นบั แตน่ นั้ มา ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 ในสมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2474 โปรดเกล้าให้ “พระตราษบุรีศรีสมุทรเขต” ข้าหลวง
ท่านที่ 7 มาด�ำรงต�ำแหน่งท่ีเมืองสกลนคร และถือว่าเป็นข้าหลวงคนแรกท่ีได้รับการแต่งต้ังแล้วเรียกชื่อ
ตำ� แหนง่ ใหม่วา่ “ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั สกลนคร”

9

ปี พ.ศ. 2475 มีการสร้าง “ศาลากลางเมือง
สกลนคร” หลังแรกในบริเวณสนามมิ่งเมือง มีลักษณะ
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคามุงสังกะสี ซึ่ง
บริเวณสนามม่ิงเมืองมีหน่วยงานราชการของจังหวัด
สกลนครตั้งอยู่โดยรอบ อาทิเช่น ส�ำนักงานป่าไม้จังหวัด
สำ� นกั งานประมงจงั หวดั สถานตี ำ� รวจภธู รเมอื งสกลนคร
สถานอี นามัยอำ� เภอเมอื ง รวมถงึ สถานศกึ ษาต่าง ๆ เชน่
โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล โรงเรียนเชิงชุมราษฎ์นุกูล “โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล” อยู่ทางทิศหนือ
และโรงเรยี นอนบุ าลเมืองสกลนคร เป็นตน้ ของสนามมง่ิ เมอื ง
ทีม่ า : ประสาท ตงศริ ิ

ตลาด “ศรีคูณเมอื ง” ปี พ.ศ. 2477 บริเวณ “ลานคนเมือง” ใน
ทีม่ า : สถาบันภาษา ศิลปะและวฒั นธรรม ปัจจุบัน และย้ายมาขายที่ “ตลาดศรีคูณเมือง”
ส่วนตลาดศรคี ณู เมอื งกอ่ นหนา้ นน้ั เคยเปน็ วดั มากอ่ น
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ชอ่ื วา่ “วดั กลาง”
ปี พ.ศ. 2479 เทศบาลเมอื งสกลนคร จดั ต้งั
ข้ึนเม่ือ วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2479 ตาม
พระราชกฤษฎีกาจัดต้ังเทศบาลเมืองสกลนคร
นายกเทศมนตรคี นแรก คอื ขนุ ถริ มยั สทิ ธกิ าร เขา้ รบั
ต�ำแหนง่ เมอื่ วนั ที่ 15 กนั ยายน พ.ศ. 2480

ชว่ งกอ่ นปี พ.ศ. 2480 ยังสามารถมองเหน็ คเู มืองได้อยา่ งชดั เจนรอบเมอื งสกลนคร และเรอื ชาวบ้านยงั
สามารถแล่นเข้าในคูเมืองได้ เม่ือมีประตูระบายน�้ำ “คันแววพยัคฆ์” ปิดก้ันระหว่างหนองหารกับล�ำน�้ำก�่ำ
สรา้ งข้ึนในปี พ.ศ. 2484 ทำ� ให้ปริมาณน�้ำหนองหารมรี ะดับสูงขึน้ และทว่ มคูเมอื งอยา่ งถาวร อีกทง้ั บรเิ วณรอบ
คูเมืองถกู บกุ รุกจับจองโดยหนว่ ยงานของรฐั และเอกชนทำ� การออกกรรมสทิ ธท์ิ ี่ดนิ ริมหนองหาร
ประมาณวนั ท่ี 17 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ฝรง่ั เศสได้ทงิ้ ระเบดิ ลงในเมืองสกลนคร ท�ำใหม้ ผี ้เู สียชีวติ และ
บาดเจ็บจำ� นวนมาก และในปี พ.ศ.2487 ช่วงเดอื นธนั วาคม ฝรงั่ เศสได้เข้ามาทง้ิ ระเบิดอกี ครั้ง บรเิ วณทศิ ใต้
ถนนเจรญิ เมอื งโดนระเบดิ เสยี หายอยา่ งหนกั รวมไปถึงวดั ศรีชมพู วัดแจ้งแสงอรุณ วดั เหนอื วัดศรีโพนเมอื ง
และบริเวณสแี่ ยกตรงข้ามโรงแรมกติ ติโฮเต็ล

ราวปี พ.ศ.2495 เมื่อสงครามสงบลง มีชาวเวียดนาม
เร่ิมอพยพเข้ามาอาศัยในเมืองสกลนครเป็นจ�ำนวนมาก
เนื่องจากสาเหตุหนีภัยสงครามมา ชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้
ต่างเขา้ มาท�ำการจบั จองท่ีดินว่างอาศยั อยู่ คา้ ขายอาหาร เช่น
ข้าวเปียกเส้น รวมทั้งอาศัยอยู่เป็นชุมชนเรือท�ำประมงหาปลา
ในหนองหาร และประกอบอาชีพการค้าการขายเล็ก ๆ น้อย ๆ
ระยะแรกก่อนหน้านั้น มักอาศัยอยู่บริเวณข้างธนาคารออมสิน
ใกล้กับวัดโพธิ์ชัย โดยปลูกกระท่อมอาศัยอยู่รวมกันประมาณ
20 คน นอกจากมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่แล้วยังมีชาวจีน
เข้ามาอยู่อาศัยเช่นกัน คือ “เฮียเค่ง” เข้ามาเปิดอู่ซ่อมรถใน วถิ ีชวี ิตชุมชนในการหาปลาทีห่ นองหาร
บริเวณ วัดโพธชิ์ ยั ท่มี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ

10

พ.ศ. 2490 เกิดศูนย์การค้าของเมืองสกลนครบริเวณ
ลานโพธิ์ (ลานคนเมืองในปัจจุบัน) ตรงบริเวณส่ีแยกมีศาลา
แปดเหลี่ยมตั้งอยู่กลางถนน ส�ำหรับน่ังพักของประชาชนและ
เป็นหอกระจายข่าว ตลาดสดอยตู่ รงนน้ั บางคนเรียกว่า “ตลาด
แปดเหล่ียม” ต่อมากลายมาเป็น “โรงแรมเจริญเมือง” ของ
เทศบาลและสขุ ศาลา
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล
ปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี 9
มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รชั กาลที่ 9 และ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ กิ ติ พ์ิ ระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนี พระบรมราชชนนีพนั ปหี ลวง ณ ศาลากลางจงั หวัด
พนั ปหี ลวง ทรงเสดจ็ เยือนเมอื งสกลนครคร้งั แรก ณ ศาลากลาง สกลนครหลงั แรก
จังหวดั สกลนครหลัง ณ บริเวณสนามม่งิ เมือง ท่มี า : สุดใจ ศรดี ามา

การเปลยี่ นแปลงจากเทศบาลเมืองสูเ่ ทศบาลนครสกลนคร (พ.ศ. 2500-ปัจจุบัน)

ในปี พ.ศ. 2500 มีการสร้างถนนหลายสายรอบเมืองในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร สาเหตุเน่ืองมาจาก
การย้ายท่ที �ำการเทศบาลเมอื งสกลนคร รวมถึงการขยายตัวเมืองในเขตเทศบาลเมืองสกลนครเพิม่ มากข้ึน เช่น
“ถนนยุวพัฒนา” สร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2500 เส้นทางต่อมาคือ “ถนนประชาราษฎร์” รวมถึง “ถนนคูเมือง”
เพอื่ เพ่มิ เสน้ ทางใหเ้ ดนิ ทางไปยังเทศบาลเมืองสกลนครไดอ้ ย่างสะดวก ต่อมาสรา้ ง “ถนนรฐั พฒั นา” ขนึ้ เพราะ
ชุมชนเมืองของสกลนครขยายตัวมาทางตลาด ต.การค้า และสถานีขนส่งรถโดยสารประจ�ำทางเพ่ิมมากขึ้น
ปี พ.ศ. 2504 มีโรงภาพยนตร์ชื่อว่า “โรงภาพยนตร์สกลเจริญศิลป์” ซ่ึงการมีโรงภาพยนตร์ท�ำให้
กิจการค้าขายยังคงเหมือนเดิม แต่ที่เพ่ิมเข้ามาคือ กิจการการขายและให้เช่า “สามล้อปั่น” ในปี พ.ศ. 2505
มีการย้ายมาศาลากลางจังหวัดในที่ดินของกระทรวงกลาโหมและกรมต�ำรวจ ก่อสร้างตามแบบศาลากลาง
จังหวัดช้ันโทของกรมโยธาเทศบาล เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ช้ัน หลังคาทรงไทยมุงกระเบื้อง
ในปี พ.ศ. 2506 จงึ ไดย้ า้ ยมาสร้างศาลากลางหลงั ใหม่อีกคร้ังในบรเิ วณสนามบิน เกา่ ชาวเมอื งสกลนคร
เรียกกนั ว่า “สนามบินดงบาก” และก�ำหนดใหบ้ ริเวณนี้เปน็ ศนู ย์ราชการสบื เน่อื งจากทด่ี ินบริเวณสนามบินเปน็
ทรัพย์สินของกองทัพอากาศ โดยนายสุพัฒน์ วงษ์วัฒนะ ผู้ว่าราชการขณะนั้นจึงได้พิจารณาหาที่ดินสร้าง
สนามบินแห่งใหม่ที่บริเวณบ้านเชียงเครือ ส่วนอาคารศาลากลางท่ีตั้งอยู่ที่บ้านธาตุนาเวง ได้มอบให้เป็น
โรงเรียนฝึกหัดครูสกลนคร ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ตัวอาคารได้ใช้เป็นตึกสถาบันภาษา
ศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนครในปัจจบุ นั
ปี พ.ศ. 2507 เร่ิมมีรถยนต์โดยสาร สาย สกลนคร-อุดรธานีชื่อว่า “สหอุดร” กลุ่มน้ีเป็นการรวมตัวกัน
ของคนขบั รถโดยสาร สายสกลนคร-อดุ รธานี สภาพเสน้ ทางน้แี ตเ่ ดมิ เปน็ ถนนดนิ แดง (ลูกรัง) ส่วนสถานีจอดรถ
เรมิ่ แรกจอดอยู่บริเวณหนา้ ธนาคารกรุงไทย ถนนเจริญเมอื ง และมคี ิวว่างในบริเวณถนนมรรคลยั สว่ นป๊ัมนำ�้ มนั
คร้ังแรกเป็น “ป๊ัมน้�ำมันแมน่ ุม่ ” ตง้ั อยู่หา่ งออกไปจากควิ วา่ งทางไปอดุ รธานี
ปี พ.ศ. 2516-2518 เกิดเหตุ
ไฟไหม้คร้ังใหญ่ต่อเน่ืองกันถึง 3 คร้ัง
ภายในเขตเทศบาล คร้ังแรกท่ีบริเวณ
โรงภาพยนตร์ “เสียงทิพย์” อยู่สี่แยก
โต้รุ่งศรีนครและธนาคารกรุงไทย
สาขาเจรญิ เมอื ง ครง้ั ทสี่ องบรเิ วณโรงพมิ พ์
ศรีอักษร และคร้ังท่ีสามบริเวณถนนสุข
เกษมในเขตเทศบาล เหตุการณ์ไฟไหม้คร้ังใหญ่ในเทศบาล เมืองสกลนคร เมื่อปี พ.ศ. 2516
ท่ีมา : นายประสาท ตงศริ ิ
11

แหลง่ มรดกทางวฒั นธรรมในเมอื งเกา่ สกลนคร

แผนท่มี รดกทางวัฒนธรรมในเขตพืน้ ทเ่ี มืองเกา่ สกลนคร

12

โบราณสถานที่ขึน้ ทะเบียนแลว้

วดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ วรวหิ าร เปน็ พระอารามหลวง
มีพ้ืนที่ 18 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา ต้ังอยู่บริเวณถนน
เจริญเมืองในย่านเมืองเก่าสกลนคร ได้รับการประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 มีนาคม 2478 เล่ม 99
ตอนที่ 75 เป็นการข้ึนทะเบียนตามพระราชบัญญัติ
โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ศลิ ปวตั ถุ และพพิ ธิ ภัณฑสถาน
แห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระธาตุเชิงชุมท่ีปรากฏอยู่ใน
ปัจจุบันเป็นเจดีย์ที่สร้างครอบปราสาทหินแบบขอม
เอาไว้ภายใน เม่ือศึกษาจากโครงสร้างภายในพบว่า วดั พระธาตเุ ชงิ ชุมปี พ.ศ. 2449
ปราสาทหนิ สรา้ งดว้ ยศลิ าแลงมแี ผนผงั รปู สเ่ี หลย่ี มจัตุรัส ท่ีมา : สถาบันภาษา ศิลปะและวฒั นธรรม
เชน่ เดยี วกบั ปราสาทหนิ ในสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี 16 ภายใน
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร

มขี นาด 3.00 x 3.00 เมตร สูงจากฐานถึงยอดประมาณ
8 เมตร

หอไตรกลางน�้ำ ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
วนั ท่ี 22 มกราคม 2542 เลม่ 116 เปน็ การขน้ึ ทะเบยี นตามพระราชบญั ญตั ิ
โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ศลิ ปวตั ถุ และพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504

หอไตรกลางนำ้� ปี พ.ศ. 2501
ท่มี า : สถาบันภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม

มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
หอไตรกลางน�ำ้ ปี พ.ศ. 2562
ทม่ี า : สพสันต์ เพชรค�ำ

อาคารสิมโบราณปี พ.ศ. 2496
ทีม่ า : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม
อาคารสิมโบราณ สร้างในปี พ.ศ. 2370 ครัง้ พระประจนั ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
เป็นเจ้าเมือง ได้สร้างพระอุโบสถหลังเดิมหรือสิมเก่า มีลักษณะเป็น
สิมแบบโถง โครงสร้างเป็นไม้ ก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นกระเบ้ืองไม้
แบบเดิม หนั หน้าไปทางทศิ ใต้ ภายในมีจติ รกรรมเป็นภาพเถาไม้เล้ือย
เป็นแนวรอบอาคาร หน้าบันไดมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปเทพบุตร
และเทพธิดา ดาวประจ�ำยาม มังกร และเถาไม้เลื้อย ภายใน
ประดษิ ฐานพระพุทธรูปหลายองค์ ทั้งที่สรา้ งด้วยไมแ้ ละเปน็ ปูนปนั้

อาคารสิมโบราณปี พ.ศ. 2562
ทม่ี า : สพสันต์ เพชรค�ำ

13

บรเิ วณโดยรอบวดั พระธาตุเชงิ ชุมวรวหิ าร ปี พ.ศ. 2562
14

หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชยี งแสน ขดั สมาธริ าบ กอ่ อฐิ
ถือปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกวา้ ง 2 เมตร สูงจากฐานถงึ พระเมาลี 3.20 เมตร ประทับน่งั บนแทน่ สูง 1.35 เมตร
หนั พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ออก หนั พระปฤศฎางคเ์ ขา้ หาองคห์ ลวงพอ่ พระองคแ์ สนเปน็ พระพทุ ธรปู คบู่ า้ นคเู่ มอื ง
ของชาวสกลนครคมู่ ากบั พระธาตเุ ชงิ ชมุ ประดษิ ฐานเปน็ พระประธานอยู่ภายในพระวิหาร

15

สะพานขอม เป็นสะพานหินโบราณที่ก่อสร้างมาในยุค
วัฒนธรรมขอม ต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกของย่านเมืองเก่า บนเกาะ
กลางถนนทางหลวงแผน่ ดนิ สายสกลนคร-อดุ รธานี ในปี พ.ศ. 2478
กรมศิลปากรได้ข้ึนทะเบียนสะพานขอมเป็นโบราณสถาน และได้
บูรณะข้ึนใหม่ในปี พ.ศ. 2525 เน่ืองจากถูกการก่อสร้างถนน
ท�ำลายได้รับความเสียหาย แต่หลังจากการบูรณะได้มีสภาพ
เปลีย่ นแปลงไปจากเดิมมาก ซ่งึ รูปแบบในปจั จบุ นั เป็นสะพานหิน
ก่อด้วยศิลาแลง มีความกว้าง 4 เมตร ยาว 16 เมตร ซึ่งแต่เดิมมี ภาพถา่ ยสะพานขอมปี พ.ศ. 2449
ความสูงจากพื้น 2-3 เมตร แต่ปจั จุบนั ตนื้ เขินมาก ดา้ นบนสะพาน ทมี่ า : สถาบนั ภาษา ศลิ ปและวฒั นธรรม
เป็นพ้ืนเรียบ ยกขอบศิลาแลงเป็นคันข้ึนมาสองข้าง ส่วนด้านล่าง
มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร

ท่เี ปน็ ฐานสะพาน (ตอมอ่ ) กอ่ ศิลาแลงเปน็ ช่อง 11 ชอ่ ง เพือ่ รบั น้�ำ
หนกั ดา้ นบนและเป็นชอ่ งใหน้ �ำ้ ไหลผ่านได้ การกอ่ แลงในลักษณะ
นี้เกิดขึ้นเนื่องจากช่างเขมรโบราณยังไม่รู้จักการก่อโค้งอย่าง
ตะวันตก ที่สามารถขยายช่องให้มีขนาดใหญ่ได้ จึงใช้วิธีก่อแลง
แบบเหลอ่ื มทีล่ ะนอ้ ยจนบรรจบกันดา้ นบน เปน็ ลักษณะทีพ่ บโดย
ทวั่ ไปในการกอ่ สรา้ งปราสาทหนิ ยคุ เขมรโบราณ (กรมศลิ ปากร, 2540)

ผงั แสดงบรเิ วณสะพานขอมของกรมศิลปากร
ทม่ี า : กรมศลิ ปากร, 2529

16

โบราณสถานที่ยังไมข่ ึน้ ทะเบียน

วัดศรีสะเกษ เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างข้ึนในช่วงตั้งเมือง
สกลนคร ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 3
โดยมบี นั ทกึ วา่ สรา้ งเมื่อปจี อ พ.ศ. 2393 ปรากฏนามผ้สู ร้างคือ
พระศรวี รราช บดิ าพระบรบิ าลศภุ กจิ ตอ่ มามกี ารบรู ณะปฏสิ ังขรณ์
หลายครง้ั เชน่ พระบรบิ าลศภุ กจิ บตุ รพระเสนาภกั ดี ตน้ ตรกลู ศริ ขิ นั ธ์
เป็นผหู้ นงึ่ ทมี่ บี ทบาทในการบูรณะปฏิสังขรณ์
ทมี่ าของชอ่ื วดั อธบิ ายไดด้ งั นค้ี อื คำ� วา่ “ศร”ี หมายถงึ ความโชคดี ศริ มิ งคล “สระ” เปน็ การบอกกลา่ วถงึ
ภูมิหลังดั้งเดิม ซ่ึงเดิมวัดน้ีมีสระประจ�ำวัด ส�ำหรับสรงน้�ำของภิกษุหรือไพร่พลกรมเมือง ค�ำว่า “เกษ” หรือ
“เกศ” หมายถึง หวั หรือศรีษะ เมอ่ื รวมความหมายของค�ำทงั้ หมดหมายถึง วัดทเ่ี จา้ เมอื งกรมการมาท�ำพธิ ีอาบน�้ำ
รดน้�ำมนต์ เพื่อให้เกิดมงคลในวันส�ำคัญ ๆ ทางศาสนา หรือเม่ือเดินทางกลับจากศึกสงคราม ในวัดมีสิมโบราณ
เป็นสิมท่ีผสมผสานศิลปะช่างญวนกับรูปแบบพ้ืนบ้าน รูปทรงเป็นสิมเต้ียตามแบบสิมอีสานท่ัวไป มีขนาดกว้าง
3 ห้อง โดยแบ่งพ้ืนที่เป็น มุขหน้าอาคาร 1 ส่วน ส่วนของฐานสิมใช้อิฐแลศิลาแลงมาก่อ และโบกปูนทับไว้
ฐานยกสูงประมาณ 1 เมตร ท�ำเป็นทรงบัวคว�่ำบัวหงาย หรือภาษาช่างอีสานเรียกว่า “โบกคว่�ำ โบกหงาย”
มีเสน้ กระดกู งู เสน้ คว้ิ ชดั เจน

วัดสะพานคำ� เปน็ วัดเก่าแก่ค่กู บั เมืองสกลนครมาเปน็
ระยะเวลาอันยาวนานต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองสกลนครคนท่ี 2
มีราชทินนามว่าพระยาประจันตประเทศธานีราชวงศ์ (ปิด)
ราชวงศ์เมืองสกลนครเป็นผู้สร้างเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2421
เดิมช่ือ วัดสะพานหิน ต่อมาในปี พ.ศ.2485 ได้เปล่ียนชื่อจาก
วดั สะพานหนิ มาเป็นชือ่ วดั สะพานคำ� ชาวคุ้มนี้มาจากคมุ้ ใกล้
เคยี ง เชน่ คุ้มวดั เหนือ คุ้มวดั ศรสี ะเกษ สภาพพ้ืนทใ่ี นสมยั ก่อน
มีบ้านเรือนตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน ถนนเป็นทางเกวียน ส่วนท่ีตั้งวัด
เป็นท่ีเนินสูงเหมาะแก่การตั้งถ่ินฐาน ราชวงศ์ (ปิด) จึงพาไพร่พล อพยพมาต้ังบ้านเรือน มีบ้านเรือนตั้งอยู่
ห่าง ๆ กันภายในวัดมีสิมโบราณสร้างแบบทรงไทยอสี าน หลงั คามงุ ดว้ ยไมก้ อ่ ดว้ ยหนิ ศลิ าแลงอนั เปน็ ภมู ปิ ญั ญา
ท้องถ่ินท่ีพระสงฆ์และชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างมีอายุเก่าแก่ถึง 100 กว่าปี ลักษณะสิมเป็นทรงเต้ีย
ฐานยกสงู ขน้ึ จากพน้ื ดนิ เลก็ นอ้ ย ผนงั กอ่ ดว้ ยอฐิ และศลิ าแลง
เป็นสิมทึบตันรอบด้าน มีทางเข้าออกเพียงประตูเท่าน้ัน
หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “สมิ มหาอดุ ” คือ ลักษณะเฉพาะของโบสถ์
หรือวิหารขนาดย่อมที่กอ่ เป็นผนงั ทึบ ไม่มหี น้าตา่ ง และ
เจาะชอ่ งประตูด้านหน้าเป็นทางเข้าออกเพียงดา้ นเดียว

สมิ โบราณวัดสะพานคำ� ปี พ.ศ. 2421
ทีม่ า : สถาบันภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม

มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

17

วดั ศรชี มพู สรา้ งครงั้ แรกเมอื่ ปี พ.ศ. 2400 ซงึ่ ทต่ี ง้ั วดั แตก่ อ่ นนนั้ อยู่
ตรงขา้ มกบั พนื้ ทใี่ นปจั จบุ นั หา่ งไปประมาณ 100 เมตร (ดา้ นถนนเปรมปรดี า)
สาเหตทุ ย่ี า้ ยเนอ่ื งจากเหน็ วา่ ทำ� เลเดมิ ไมเ่ หมาะสม เดมิ ชอ่ื วดั ศรธี รรมหายโศก
ตอ่ มาพระยาประจนั ตประเทศธานี (โงน่ คำ� ) เจา้ เมอื งคนที่ 3 จงึ ไดส้ รา้ งวดั
ขน้ึ ใหมใ่ นปมี ะโรง พ.ศ. 2423 และเปลยี่ นนจากชอื่ วดั ศรธี รรมหายโศก มาเปน็
วดั ศรชี มพู โดยบรเิ วณทตี่ ง้ั วดั แตก่ อ่ นเปน็ พนื้ ทร่ี อบนอกของเมอื ง ผคู้ นตง้ั บา้ น
เรอื นหา่ งกนั ยกเวน้ บรเิ วณใกลว้ ดั ลกั ษณะพน้ื ทเ่ี ปน็ หนองนำ�้ ปา่ ไมแ้ ละคเู มอื ง
เดมิ การขยายตวั ของชมุ ชนคมุ้ วดั เรม่ิ หนาแนน่ ขน้ึ เพราะมคี รอบครวั จากคมุ้ วดั
เหนอื ยา้ ยมาอาศยั อยใู่ นบรเิ วณนเี้ พม่ิ เตมิ เสน้ ทางในอดตี ยงั เปน็ ทางเกวยี นทม่ี ี
ขนาดเล็ก

แหลง่ โบราณคด/ี ศาสนสถาน แนวเขตคเู มืองโบราณสกลนคร

คูเมืองโบราณสกลนคร เปน็ รูปสเี่ หลีย่ มจตุรัส มคี ูเมือง 2 ช้นั
ล้อมรอบ เลียบขนานกันไปจดหนองหารหลวง มณฑลโดยรอบ
ปราสาทหิน คูเมืองมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 1,600 x 1,600
ตารางเมตร มีลักษณะเป็นคูน�้ำกว้างประมาณ 10 เมตร ติดกับคูน้�ำ
เป็นคันดินสูงประมาณ 200 เมตร ตามแนวถนนคูเมืองและถนน
รอบเมืองซ่ึงสร้างทับแนวคูเมืองเดิม สภาพคูเมืองในปัจจุบัน
เปลยี่ นสภาพไปเปน็ สถานทขี่ องหนว่ ยงานราชการตา่ ง ๆ ถนน และบา้ นเรอื น
ประชาชน สว่ นทย่ี งั คงปรากฏใหเ้ หน็ ในปจั จบุ นั ไดแ้ ก่ คเู มอื งทางดา้ น
ตะวันออกของสระพังทอง เปน็ แนวต่อเนือ่ งมาจาก คหู มากเสอื่ มุ่งลงสู่
หนองหารคงเหลืออยู่ประมาณ 200 เมตร

เปรียบเทยี บพนื้ ทคี่ เู มอื งในอดตี (พ.ศ. 2497) กับสภาพพนื้ ที่ในปจั จุบันตามแนวประกาศเขตคูเมอื ง

18

สระพังทอง (บาราย) ต้ังอยู่บริเวณทางตอนเหนือของพื้นท่ี
ภายในเขตเมอื งเกา่ สกลนคร เปน็ สระนำ�้ รปู สเี่ หลย่ี มผนื ผา้ ขนาด กวา้ ง 220
ยาว 420 เมตร เอยี งตามแนวเดยี วกนั กบั พระธาตเุ ชงิ ชมุ สระนำ้� มคี วามลกึ
ประมาณ 3.00 เมตร ปจั จุบันเรียกวา่ “สระพงั ทอง” ในอดตี เปน็ แหล่งนำ้�
ที่ใช้บริโภคส�ำหรับชาวเมืองสกลนคร ต่อมาได้พัฒนาเป็นสวนสาธารณะ
สมเด็จพระศรีนครินทร์ สระพังทองเป็นสระน�้ำโบราณที่สร้างในสมัย
วัฒนธรรมขอม หรือท่ีเรียกว่า “บาราย” เป็นลักษณะสระน�้ำที่เกิดจาก
การขดุ ในบรเิ วณใกลก้ บั เทวาลยั เพอื่ ใชเ้ ปน็ บอ่ นำ�้ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ในการประกอบ
พิธีกรรมตามความเช่ือในศาสนาพราหมณ์ฮินดู บริเวณท่ีขุดเป็นบาราย
ทางทิศเหนือของเมืองสันนิษฐานว่าเป็นเส้นทางของน้�ำใต้ดินที่ไหลจาก
ภูพานผ่านวัดพระธาตุเชิงชุมก่อนลงสู่หนองหาร ซ่ึงในสมัยก่อนชาวบ้าน
จะใชน้ ำ�้ บอ่ ทขี่ ดุ ไวใ้ นบรเิ วณวดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ โดยใชก้ ระชตุ กั นำ้� ถา้ กระชุ
ตกลงไปในบอ่ กจ็ ะไปพบกระชนุ นั้ ทสี่ ระพงั ทอง (บาราย) ซง่ึ พนื้ ทบ่ี รเิ วณนี้
ชาวบา้ นเรยี กวา่ “ภนู ำ�้ ลอด” แสดงใหเ้ หน็ วา่ การเลอื กบรเิ วณทสี่ รา้ งบาราย
ได้ถูกก�ำหนดโดยสภาพธรณีวิทยาตามแนวของเส้นทางน้�ำใต้ดิน อันเป็น
ภูมิปัญญาที่วัฒนธรรมเขมรน�ำมาผสานกับคติความเช่ือในการจัดการ
พ้ืนที่

วัดเหนือ ตามหลักฐานท่ีค้นพบในบ้านของหลวงพิจารณ์อักษร ผู้เป็นบุตรของ
พระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครคนที่ 3 บันทึกไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2390
ปีมะแม จ.ศ. 1209 ร.ศ. 66 ราชวงศ์อินทร์ ราชวงศ์เมืองมหาชัยก่องแก้ว เมืองสกลนคร
เปน็ ผู้สร้าง

วดั แจง้ แสงอรณุ สรา้ งโดยอปุ ฮาด (โงน่ คำ� ) ในปเี ถาะ จลุ ศกั ราช 1241 ร.ศ. 98
พ.ศ.2422 โดยตอ่ มาทา่ นไดร้ บั พระราชทานตำ� แหนง่ เปน็ พระยาประจนั ตประเทศธานี
ศรสี กลานรุ กั ษอ์ รรคเดโชชยั อภยั พริ ยิ ากรมพาหุ (โงน่ คำ� ) เจา้ เมอื งคนท่ี 3 เมอื งสกลนคร
ซึ่งท่านเป็นตน้ ตระกูลพรหมสาขาฯ ในปัจจบุ ันชาวบ้านเรยี กว่า วัดแจง้

วดั ศรีโพนเมอื ง ตามประวัตวิ ัดว่าไดส้ ร้างขึน้ เมอื่ วนั ท่ี 8 เมษายน
พ.ศ. 2431 โดยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ) เจ้าเมืองสกลนคร
คนที่ 3 พรอ้ มด้วยอุปฮาด ราชวงศ์ เจ้ากรมการเมอื งสกลนคร และชาวคมุ้
ตำ� บลสะพานชว่ ยกนั สรา้ งเปน็ วดั ขนึ้ และใชช้ อ่ื วดั วา่ “วดั กลั ญาณมติ รโพน”
เมอื ง ช่อื ของวดั ได้เพิม่ คำ� ว่า “ศรี” ขึน้ มาเม่อื ไรไม่ปรากฏ ในความหมาย
ของชอื่ วดั ทต่ี งั้ ขน้ึ มาคำ� วา่ “กลั ปญ์ าณมติ ” นำ� หนา้ โพนเมอื ง หมายความวา่
หมบู่ า้ นราษฎรใกลเ้ คยี งเปน็ ลกู หลานของอปุ ฮาด และมมี ติ รไมตรที ด่ี กี บั พระยาประจนั ตประเทศธานี (โง่นค�ำ) จงึ ใช้
ค�ำวา่ กลั ป์ญาณมิต น�ำหน้าคำ� ว่า โพนเมอื ง หมายถึง ทด่ี ินวดั ซ่งึ แตเ่ ดมิ เปน็ ทเ่ี นนิ สูงเนื่องจากเป็นคันดินคเู มอื ง
โบราณเดมิ

19

วดั ศรสี ุมังค์ สรา้ งเมอื่ ปีเถาะ จุลศักราช 1265 ร.ศ. 122 พ.ศ.2446
ชุมชนคุ้มวัดศรีสุมังค์ในเร่ิมแรกมีบ้านเรือนต้ังอยู่ห่าง ๆ กันประมาณ 30-40
ครัวเรอื น หนาแน่นบรเิ วณทางทิศตะวนั ออกของวดั ชาวบ้านคุ้มน้ีมีชาวลาว
ที่อพยพมาพร้อมกับอุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ รวมกับชาวบ้านท่ีย้ายมาจากคุ้ม
วัดสะพานค�ำ วัดเหนือ วัดแจ้ง เป็นต้น

วัดโพธ์ิชัย ตามประวัติไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง
แตท่ เ่ี ปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ในการสรา้ งบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ คอื พระบรุ บี รริ กั ษ์ (คล)ี่
ในสมัยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นค�ำ) ก่อนรื้อสร้างใหม่เม่ือ
ประมาณ พ.ศ. 2497

ศาลเจ้าพ่อมเหสักข์ (ศาลหลักเมือง) เดิมมีช่ือว่า
ศาลเจ้าปูโต่งมเหศักด์ิหลักเมือง เม่ือปี พ.ศ. 2543 ไดเ้ ปลย่ี นช่ือ
มาเปน็ “ศาลเจา้ พอ่ มเหศกั ด”ิ์ ปเู่ จา้ โตง่ เปน็ ศาลเจา้ ทต่ี ง้ั เรยี งราย
ในคเู มอื ง ในคหู มากเสอ่ื และโนนหลกั เมอื ง คอื ศาลเจา้ พอ่ มเหศกั ด์ิ
ปัจจบุ นั ขณะน้ี เจ้าปโู ต่งเปน็ อปุ ฮาดเมอื งสารพันวนั ทองของสอง
ฝั่งแม่น้�ำโขง โดยพระอุปฮาดโต่งถูกส่งมาเพื่อปกป้องคุ้มครอง
ชาวเมืองหนองหารหลวง และมารักษาพระธาตุเชิงชุมเมือง
หนองหารหลวงสมัยนั้น กําหนดการจัดเลี้ยงบวงสรวงศาลเจ้า
ปูโต่งมเหศักดิ์หลักเมืองคือ เดือน 6 ข้ึน 3 ค่�ำของทุกปี

อาคารสำ� คญั และอาคารที่มคี ณุ คา่

เรือนจ�ำเก่า ตั้งอยู่ถนนเรืองสวัสดิ์ เป็นผลจากการ
จัดระบบศาลยุติธรรมใหม่ในการปกครองแบบมณฑล
เทศาภิบาลซึ่งเมืองสกลนครได้ก่อสร้างศาลยุติธรรมในปี
พ.ศ. 2454 รปู แบบของอาคารศาลยตุ ธิ รรมทกี่ อ่ สรา้ งครง้ั แรกนนั้
เปน็ อาคารไม้ 2 หลงั ๆ ละ 5 หอ้ ง กวา้ ง 3 วา ยาว 6 วา 1 ศอก
มีมุขหน้า พื้นฝามุงกระดาน นอกจากนี้ ยังมีอาคารประกอบ
อ่ืน ๆ เช่น ที่พักแพ่ง ท่ีพักศุภมาตรา ที่พักสมุห์บัญชี ท่ีพัก
แพทย์ เรือนเก็บพัสดุ เป็นต้น ส�ำหรับการก่อสร้างเรือนจ�ำได้
กอ่ สรา้ งในปี พ.ศ. 2450 โดยสรา้ งเปน็ เรอื นไมข้ นาดกวา้ ง 5 วา ภาพอาคารศาลเมอื งสกลนครหลงั เกา่ บรเิ วณใกลก้ บั
ยาว 10 วา พ้ืนฝาไม้กระดานหลังคามุงกระเบ้ืองไม้ มีรั้วไม้ สนามมง่ิ เมอื ง
โดยรอบมณฑล และไดก้ อ่ สรา้ งเพม่ิ เตมิ อกี ครง้ั ในปี พ.ศ. 2455 ที่มา: สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร,
โดยกอ่ สร้างหลายอาคาร เช่น ทท่ี ำ� การพระธ�ำมรงคแ์ ละทพี่ ัก
โรงครัว โรงเล้ียง บ่อน�้ำ ยุ้งข้าว โรงฟอกเสื้อ โรงพยาบาล
ปอ้ มปนื เปน็ ตน้ อาคารเรอื นนอนไม้ เปน็ เรอื นนอนไมส้ กั 2 ชน้ั
สรา้ งเมอ่ื พ.ศ.2454ทม่ี คี วามโดดเดน่ ดา้ นรปู ทรงสถาปตั ยกรรม
หลงั คาจวั่ ผสมปน้ั หยา บนั ไดขน้ึ -ลงดา้ นหนา้ ซงึ่ ยงั มคี วามสมบรู ณ์
และมีเอกลกั ษณ์ทางสถาปัตยกรรม

20

อาคารทป่ี ระทับในศนู ยว์ จิ ัยและพฒั นาประมงน�ำ้ จดื สถานที่
แห่งน้ีเป็นสถานที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี 9 และสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรม
วงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จแปรพระราชฐานประทับแรมเม่ือครั้งท่ี
เสด็จเยือนสกลนครเป็นคร้ังแรก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
จึงถือว่าเป็นอาคารท่ีมีความส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาวเมือง
สกลนคร รูปแบบอาคารเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น โดยมีชั้นล่างโล่ง ช้ันบน
ผนังเป็นไม้ตีซ้อนเกล็ด หลังคาเรือนใหญ่เป็นทรงปั้นหยา มีจั่วเป็นมุข
ดา้ นหนา้ ย่นื ออกมา รูปทรงโดยรวมแลว้ คอ่ นขา้ งเรยี บง่าย ปัจจุบันดา้ น
ลา่ งจดั แสดงพระราชกรณยี กจิ สว่ นพระองค์
คุม้ ตระกลู วงศก์ าฬสินธ์ุ ตัง้ อย่ภู ายในชุมชนวดั ธาตุ
เชิงชุม คุ้มตระกูลวงศ์กาฬสินธุ์มีความส�ำคัญทาง
ประวัติศาสตร์เมืองสกลนคร เนื่องจากเป็นตระกูลเก่าแก่มา
ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของการตั้งเมืองสกลนคร โดยการตั้ง
ถิ่นฐานในย่านเมืองเก่ามีชุมชน “คุ้มวัดพระธาตุเชิงชุม” ซ่ึง
เป็นชุมชนเก่าแก่ท่ีคอยดูแลพระธาตุเชิงชุมอยู่ก่อนการตั้ง
คมุ้ เจา้ เมอื งคนท่ี 1 (คำ� ) ผคู้ นสว่ นใหญใ่ นคมุ้ นเี้ ปน็ กลมุ่ ชาวญอ้
ท่ีอพยพมาจากเมืองมหาชัยกองแก้วจากฝั่งซ้ายแม่น�้ำโขง
รวมถึงมีผู้คนจากกาฬสินธุ์ท่ีอพยพมาเม่ือคราวที่อุปฮาด
เมืองกาฬสินธุ์มารักษาการท่ีเมืองสกลนคร ชุมชนน้ีต้ังอยู่
พ้ืนท่ีใกล้กับวัดพระธาตุเชิงชุม มีผังชุมชนเป็นลักษณะกลุ่ม
เครือญาติหลาย ๆ กลุ่มรวมเป็นคุ้ม โดยลักษณะเป็นบ้าน
หลายหลงั ปลกู อยบู่ รเิ วณเดียวกัน โดยไมม่ รี วั้ สามารถเดนิ ไป
มาหาสู่กันได้อย่างสะดวก ผู้คนในคุ้มนอกจากนับถือศาสนา
พทุ ธแลว้ ยงั นบั ถอื ศาลปตู่ า ซง่ึ ปจั จบุ นั ยงั คง มี “โฮงบรรพชน”
ตั้งอยู่กลางคุ้มและมีการเซ่นไหว้ทุกปี โดยโฮงบรรพชนเป็น
ของตระกลู “วงศก์ าฬสนิ ธ”์ุ ซงึ่ เปน็ ตระกลู เกา่ แกแ่ ละมบี ทบาท
ส�ำคัญในเมืองสกลนครมาจนปัจจุบัน ส�ำหรับองค์ประกอบ
ของเมืองสกลนครก่อนการสร้างบ้านแปงเมืองในสมัยเจ้า
เมอื งคนที่ 1 น้นั ตามบนั ทกึ พงศาวดารเมืองสกลนครพบว่า มเี พียงวดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ ชุมชนวดั พระธาตุเชงิ ชมุ
และวดั โพธ์ิชยั เท่านัน้ ซึง่ วัดโพธ์ิชัยเป็นวัดเก่าแก่ทมี่ แี ตเ่ ดิมและไม่พบบนั ทึกว่าสร้างข้ึนในปีใด

21

ท่ีต้ังคุ้มกลางธงชัย

การปลูกเรือนแบบกลุม่ เครอื ญาตกิ บั ท่ีต้งั โฮงบรรพชนตระกลู วงศก์ าฬสินธ์ุ
กลุ่มเรือนไม้ดั้งเดิม กระจายตัวอยู่ท่ัวไปในบริเวณย่านเมืองเก่า โดยมีจ�ำนวนหนาแน่นบริเวณ
ถนนเจรญิ เมืองและ คุ้มวัดพระธาตุเชงิ ชุม เฮือนหรอื เรอื นอสี านแบ่งออกเปน็

เฮือนอีสาน ประเภทเฮือนช่ัวคราว เป็นเฮือนท่ีใช้เฉพาะบางฤดูกาล หรือใช้อยู่อาศัยเพียงระยะเวลา
หนึง่ อาจเป็นชว่ งที่รอระหวา่ งก่อสร้างเฮอื นท่ีอย่อู าศยั เป็นตน้

เฮือนอสี าน ประเภทเฮือนก่ึงถาวร หรอื ทีเ่ รยี กวา่ เฮอื นเหยา้ หรือ ย้าว หรือ เย่า หมายถึง กระท่อม
หรือเฮือนขนาดเล็กไม่แข็งแรงมากนัก เป็นเรือนเคร่ืองผูก หรือผสมกับเรือนเคร่ืองสับ การเลือกวัสดุท่ีใช้ใน
การกอ่ สร้างไมพ่ ิถีพถิ นั มากนัก
เฮือนอีสานประเภทเฮือนถาวร เฮือนพักอาศัยประเภทน้ีเป็นเรือนเคร่ืองสับ มีความพิถีพิถันใน
การกอ่ สรา้ ง และในการคดั เลอื กวสั ดุ สามารถแบง่ รปู แบบออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื เฮอื นเกย เฮอื นแฝด เฮอื นโขง่

เฮือนเกย เฮอื นแฝด เฮอื นโข่ง
22

รูปแบบทางสถาปตั ยกรรมของอาคารพืน้ ถน่ิ ในยา่ นเมืองเก่าสกลนครแบ่งออกได้เปน็ 3 กลุม่ ไดแ้ ก่
เรอื นเด่ียวแบบด้ังเดิม เปน็ เรอื นพักอาศยั พน้ื ถิ่นด้ังเดิม ภูมภิ าคอีสาน ลกั ษณะเปน็ เรอื นไมย้ กใต้ถนุ สูง
เรือนเด่ียวแบบอิทธิพลภายนอก เรือนกลุ่มน้ีเป็นเรือนพักอาศัยเดี่ยว สร้างด้วยไม้ เริ่มมีการสร้างขึ้น
ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา โดยได้รับอิทธิพลเรือนคหบดีจากเมืองหลวง เจ้าของเรือนเป็นกลุ่มคนที่มี
ฐานะดี
เรอื นแถว คอื เรอื นไมส้ รา้ งตดิ กนั เปน็ แถว โดยสว่ นมากใชเ้ ปน็ เรอื นคา้ ขายกง่ึ พกั อาศยั สรา้ งตดิ แนวถนน
ดา้ นหนา้ เรอื นทำ� ประตบู านเฟย้ี มเทา่ ความกวา้ งเรอื น ใชส้ ำ� หรบั การคา้ ขาย แบง่ ออกเปน็ 2 รปู แบบ คอื เรอื นแถว
ช้ันเดียวและเรอื นแถวสองชั้น

23

แผนทอี่ าคารทมี่ คี ณุ คา่ ในเมอื งเกา่ สกลนคร
24

ยา่ นถนนเจรญิ เมอื ง
ยา่ นถนนใจผาสกุ
ยา่ นถนนเรอื งสวสั ด์ิ

ยา่ นถนนเปรมปรดี า ยา่ นถนนมรรคาลยั
25

แหล่งธรรมชาตใิ นเมอื งเกา่

หนองหาร เป็นแหล่งน้�ำธรรมชาติท่ีใหญ่ที่สุดในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะเป็นทะเลสาบน้�ำจืดท่ีอยู่ใน
ลุ่มน�้ำโขง ได้รับน�้ำจากพ้ืนท่ีโดยรอบและห้วยนาแก ห้วยน�้ำพุง
ห้วยเดียก ห้วยม่วง หนองหาร เป็นต้นน�้ำของล�ำน้�ำก�่ำไหลลงสู่
แม่น�้ำโขงที่อ�ำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สภาพพื้นที่โดย
รอบค่อนข้างราบเรียบเป็นลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อย ความลาด
ชันประมาณรอ้ ยละ 1-4 มเี นอ้ื ท่ปี ระมาณ 77,000 ไร่ สูงจาก
น�้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 158 เมตร วางตัวอยู่แนวเหนือ-ใต้ แนวยาวที่สุดประมาณ 17 กิโลเมตร
แนวกวา้ งทส่ี ดุ ประมาณ 8 กโิ ลเมตร มนี ้ำ� ตลอดปี ระดบั นำ�้ ลกึ ประมาณ 2-10 เมตร

ขอบเขตพ้นื ท่ีหนองหาร ปี พ.ศ. 2562

26

พืน้ทส่ี าธารณะในเขตเมอื งเกา่

สนามม่ิงเมือง เกิดข้ึนมาในช่วงหลังการ
เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบบอาญาส่ีเป็นระบบ
มณฑลเทศาภิบาลในชว่ งปี พ.ศ. 2435 ใช้เปน็ ที่ต้งั ของ
ศาลาว่าการเมืองหลังแรก หลังจากการเปล่ียนแปลง
การปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภบิ าล เปน็ พน้ื ที่ใหม่
อีกแห่งหน่ึงท่ีเกิดข้ึนพร้อมกับศาลาว่าการเมืองคือ
“สนามม่ิงเมือง” มีลักษณะเป็นสนามเปิดโล่ง เพื่อใช้
เปน็ พน้ื ทป่ี ระกอบกจิ กรรมของเมอื งและของหนว่ ยงาน การใช้พื้นท่ีบริเวณสนามม่ิงเมืองหน้าศาลาว่าการเมือง
สกลนคร
ราชการต่าง ๆ เชน่ การชุมนุม สวนสนาม จัดงานรนื่ เรงิ ที่มา : สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม
ต่าง ๆ มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร,

ลานคนเมอื ง (ลานโพธ์ิ) ต้ังอยบู่ ริเวณสี่แยก
ถนนเจรญิ เมอื งตดั กับถนนใจผาสกุ มีพน้ื ท่ี 1 ไร่ โดย
ประมาณ (รวมพื้นท่ีอาคารสถานธนานุบาล) พื้นที่
ลานคนเมืองในปัจจุบัน มีประวัติปรากฏแรกเร่ิมใน
สมยั เจ้าเมืองสกลนครคนที่ 3 โดยปรากฏหลักฐานให้
เห็นเป็นแผนผังเขียนเป็นลายเส้น คือ โฮงเจ้าเมือง
ของเจา้ คณุ จนั ต์ พระยาประจนั ตประเทศธานี (โงน่ คำ� )
พ.ศ. 2430-2466 มีอาณาเขตกว้างขวางพอสมควร
อยู่ตดิ กบั ถนนก�ำจัดภัย ถนนใจผาสกุ ถนนเจริญเมอื ง
ทางทศิ เหนอื และถนนสขุ เกษมทางดา้ นทศิ ตะวนั ออก เปน็ ทด่ี นิ ของเจา้ คณุ จนั ต์ โฮงเจา้ คณุ จนั ต์ เชอ่ื วา่ อยบู่ รเิ วณ
ใกล้กันกับวัดศรีบุญเรือง (วัดแป้น) ช่วงประมาณ พ.ศ. 2490 ตอนน้ันความเจริญของเมืองสกลนครอยู่บริเวณ
ลานโพธแ์ิ ละตรงบรเิ วณสแ่ี ยกจะมศี าลาแปดเหลย่ี มตงั้ อยกู่ ลางถนนไวเ้ ปน็ ทพี่ กั ของประชาชนและเปน็ หอกระจายขา่ ว
มตี ลาดสดอยบู่ ริเวณนัน้ บางคนจะเรียกวา่ ตลาดแปดเหลยี่ ม ตอ่ จากตลาดไดก้ ลายมาเปน็ โรงแรมของเทศบาล
มีสุขาภิบาล และสขุ ศาลา ในช่วง พ.ศ. 2497 ถนนใจผาสกุ บรเิ วณตง้ั แตบ่ รเิ วณลานโพธิ์ ได้เกดิ ไฟไหมบ้ ริเวณ
น้ันไดร้ ับความเสียหายท้งั หมด

27

ลานรวมใจไทสกล (ประตูเมืองสกลนคร) ต้ังอยู่ถนนนิตโย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 เส้นทาง
อดุ รธาน-ี สกลนคร) ปจั จบุ นั ใชเ้ ปน็ สถานทพี่ กั ผอ่ นออกกำ� ลงั กายของชาวสกลนคร ทเ่ี รยี กวา่ ลานรวมใจไทยสกล
ซึ่งสามารถชมสะพานขอมและชมประตูเมืองสกลนคร และยังมีลานกว้างไวท้ ำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของชาวสกลนคร

ประตเู มอื งสกลนคร มชี อ่ื เรยี กวา่ ประตมิ ากรรมหนองหารหลวง
ประตูเมืองแห่งนี้ต้ังเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณทางเข้าเมืองสกลนคร
สดุ ทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 22 อยใู่ กลก้ บั สะพานขอม บรเิ วณดา้ นบน
ของประตสู รา้ งเปน็ ประตมิ ากรรมปนู ปน้ั รปู ปราสาทผง้ึ 3 หลงั ภายใน
ปราสาทผง้ึ องคก์ ลางประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู จำ� ลองหลวงพอ่ องคแ์ สน
พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร ส่วนปราสาทผึง้ องคซ์ ้าย
ประดษิ ฐานรปู เหมอื น พระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั โต และปราสาทผง้ึ องคข์ วา
ประดษิ ฐานรปู เหมอื นพระอาจารยฝ์ น้ั อาจาโร พระเกจอิ าจารยช์ อ่ื ดงั
ของเมืองสกลนคร ท�ำให้ประตูเมืองแห่งน้ีเป็นเสมือนศูนย์รวมความ
ศักดิส์ ิทธิ์และศนู ยร์ วมใจของชาวสกลนคร

สนามมง่ิ เมอื ง ลานรวมใจไทสกล

28

วัฒนธรรม

ภาษา

ภาษาถ่นิ ในสกลนครมหี ลายภาษาด้วยท่ีประกอบด้วยหลายกลมุ่ ชาติพนั ธใุ์ นท้องถ่นิ แบ่งได้ 6 กลุม่ คอื
ลาว ผูไ้ ท ญอ้ โส้ กะเลิง และโยย้
ภาษาลาว เป็นภาษาของกลมุ่ ชาติพันธุไ์ ทลาวท่ีมจี �ำนวนมากทสี่ ุดในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของไทย
ภาษาลาวนิยมใช้มากท่ีสุดในสกลนคร มีส�ำเนียงพูดสูง ๆ ต่�ำ ๆ ค�ำท่ีมีเสียงวรรณยุกต์สามัญ-วรรณยุกต์โทใน
ภาษากลางมกั ออกเป็นเสียงวรรณยกุ ต์โท-และสามัญในภาษาถิ่น เชน่ คำ� ว่า คน-งาม ในภาษาลาวออกเสยี งว่า
ค่น-ง่าม คำ� วา่ พอ่ -แม่ ในภาษาลาวออกเสยี งเปน็ พอ-แม เปน็ ตน้
ภาษาภูไท เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไท มีจ�ำนวนรองลงมาจากกลุ่มไทลาว ชาวภูไทในสกลนคร
สว่ นใหญอาศยั อยใู่ นแถบอำ� เภอวารชิ ภมู ิ พรรณนานคิ ม เจรญิ ศลิ ป์ สอ่ งดาว พงั โคน คำ� ตากลา้ บา้ นมว่ ง เตา่ งอย
นคิ มนำ�้ อนู และโคกสสี พุ รรณ ภาษาภไู ทมภี าษาพดู และเสยี งวรรณยกุ ตใ์ กลเ้ คยี งกบั ภาษากลาง มกั ทอดเสยี งยาว
และตดั เสยี งสงู ขน้ึ ในพยางคท์ า้ ย เชน่ คำ� วา่ ไม่ ออกเสยี งวา่ มิ หรอื มไิ ด้
ภาษาญ้อ เปน็ ภาษาของกลมุ่ ชาติพันธ์ุไทญอ้ พบมากในเขตอำ� เภอเมืองสกลนคร มกั พดู สำ� เนียงคลา้ ย
ภาษาไทยกลางมากทส่ี ดุ เวลาพดู มเี สยี งไพเราะ และเอกลกั ษณ์ คอื คำ� วา่ “ละเบอ๋ ” ซง่ึ เปน็ สรอ้ ยประกอบคำ� ทา้ ย
เพอื่ เนน้ ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจทำ� นองเดยี วกบั คำ� วา่ จรงิ ๆ นะ
ภาษากะเลิง เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทกะเลิงอาศัยอยู่ในบริเวณรอบพื้นท่ีริมหนองหารในเขต
อ�ำเภอเมืองสกลนคร และบางส่วนอาศัยอยู่พ้ืนท่ีราบสูงบนเทือกเขาภูพานในเขตอ�ำเภอกุดบาก อ�ำเภอ
นิคมนำ�้ อนู มีภาษาพดู ใกลเ้ คียงกับภาษาลาวและภาษาญ้อ เพียงแต่มีสำ� เนียงพดู สั้นกว่า
ภาษาโส้ เป็นภาษาของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ไทโส้ อาศัยอยู่ในบรเิ วณอำ� เภอกุสมุ าลย์และบางสว่ นอาศัยอยู่ใน
เขตอ�ำเภอส่องดาว ไทโส้มีภาษาพูดจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร มีเฉพาะภาษาพูด ไม่มีตัวอักษรใช้ ดังน้ัน
การส่ือสารด้วยภาษาเขียนจึงต้องยืมอักษรลาวหรือไทยกลางในการสื่อความหมาย ลักษณะเด่นของภาษาโส้
คือ การออกเสียงควบกล้�ำตัว ร,ล ชัดเจนมาก พยางค์หน้าของค�ำมักมีเสียง/อะ/อัง/หรืออัน/ออกเสียงสั้นๆ
และเบา เช่น ค�ำว่า จะปวก (เหย่ือ) ค�ำท่ีมีเสียงคล้ายตัว แอล สะกดในภาษาอังกฤษสระ/เอีย/มักลากเสียงยาว
เปน็ /เอยี -อา เปน็ ตน้
ภาษาโย้ย เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโย้ย อาศัยอยู่แถบอ�ำเภออากาศอ�ำนวย วานรนิวาส และ
สวา่ งแดนดนิ มสี �ำเนียงพดู ทอดเสียงยาวและออกเสียงหนกั ทกุ พยางค์ เอกลกั ษณ์ทางภาษาโย้ย คอื มคี �ำสร้อย
คำ� วา่ ฮอ่ ทา้ ยประโยคคำ� ถามเสมอทำ� นองเดยี วกบั คำ� วา่ หรอื ,หรอื ไม่ เชน่ คำ� วา่ กนิ๋ -เขา๋ -แลว่ -ฮอ่ (กนิ ขา้ วหรอื ยงั )
มา่ -แล่ว-ฮ่อ (มาแลว้ หรอื ยัง) เปน็ ตน้

29

การแต่งกายของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ

กลุ่มชาติพันธุ์ในสกลนครมีลักษณะรูปแบบการแต่งกายที่มีความแตกต่างกัน อาจมีความคล้ายคลึงกัน
อยู่บ้าง นอกจากน้ี ยังนิยมการตกแต่งเคร่ืองประดับ เช่น ประค�ำหมากตุ้ม ก�ำไลเงิน กระจอนหูเพชร กระจอน
ดูดอก กระจอนหูพวงระฆัง กระจอนหูพวงหมากดาว ซ่ึงล้วนแล้วเป็นของมีราคา ส่วนเครื่องประดับท่ีท�ำด้วย
ทองค�ำ ชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าน�ำมาใส่ เนื่องจากมีราคาและเกินหน้าของชนชั้นเจ้านายผู้ปกครอง ท�ำให้คน
สามญั ธรรมดาในสมัยก่อน มกั มีขอ้ จำ� กดั เรือ่ งของการแตง่ กาย

การแต่งกายของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์

กลุ่มชาตพิ นั ธุภ์ ไู ท กลมุ่ ชาติพนั ธไ์ุ ทญอ้ กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ไทกะเลงิ

กล่มุ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโส้ กลมุ่ ชาติพันธุไ์ ทลาว กลุ่มชาตพิ ันธุ์ไทโยย้

ทมี่ า : สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร

30

ศลิ ปะการแสดงและการละเล่น

การแข่งเรือ งานแขง่ เรอื นับเป็นงานส�ำคญั ประจ�ำปขี องชาวเมอื งสกลนครปฏิบัตสิ บื ทอดมาแต่โบราณ
ปรากฏหลกั ฐานในสมยั เจา้ คณุ พระยาประจนั ตประเทศธานี (โงน่ คำ� พรหมสาขา ณ สกลนคร) เจา้ เมอื งสกลนคร
(พุทธศักราช 2429 - 2466) ว่าในอดีตนั้นเจ้าเมือง กรมการเมืองสกลนครมีเรือแข่งอย่างน้อยคนละหน่ึงล�ำ
ครัน้ ถึงคราวแข่งเรือในปีน�ำ้ มาก จึงจดั สนามแข่งเรือขน้ึ ทรี่ มิ คสู ระพังทองดา้ นทิศใต้

การเล่นหมอล�ำ-หมอแคน การเล่นหมอล�ำในสกลนครมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่มักเป็นที่
นยิ มในกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทลาวเปน็ สว่ นใหญ่ นยิ มแสดงในงานฉลองสมโภชตา่ ง ๆ แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื หมอลำ� กลอน
และหมอลำ� หมู่
การเล่นเสง็ กลอง นิยมเล่นในเทศกาลบุญเดอื น 6 หรือ
บุญบั้งไฟ สมัยก่อนนิยมแข่งขันเส็งกลองระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ
กลองทน่ี ำ� มาแขง่ เปน็ กลองขนาดใหญแ่ ละยาว หมุ้ ดว้ ยหนงั ทง้ั 2 หนา้
หนา้ หนงึ่ แคบอกี หนา้ หนง่ึ กวา้ ง เวลาตใี ชต้ เี ฉพาะหนา้ กวา้ งเทา่ นน้ั
กลองชนดิ นช้ี าวบา้ นเรยี กวา่ “กลองกงิ่ ” การแขง่ ขนั ชาวบา้ นเรยี กวา่
“เสง็ ” จึงเปน็ ชอื่ เรียกอีกชือ่ วา่ “กลองเสง็ ” การแขง่ ขนั คราวหนึ่ง
แขง่ ไดท้ ลี ะ 2 คณะ ใชก้ ลองคณะละ 2 ใบ แลว้ ลงมอื ทำ� การแข่งขัน
โดยคัดเลือกเอากลองท่เี สียงดังที่สุดเป็นกลองทช่ี นะ
การเลน่ กลองเลง เปน็ การเลน่ พน้ื บา้ นชองกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโยย้ อำ� เภออากาศอำ� นวย ใชเ้ ลน่ ในงานบญุ
มหาชาติหรือบญุ ผเหวด ประกอบดว้ ยกลองเลง (กลองสองหน้า) 2 ใบ หรอื มากกวา่ น้ีกไ็ ด้กลองกิ่ง 2 ใบ ผา่ งฮาด
1 ใบ ฉง่ิ 1 คู่ ฉาบ 1 คู่ และอาจมแี คน กระจบั ป่ี และฆอ้ งโหมง่ ดว้ ยวธิ กี ารเลน่ กลองเลงมกี ารใช้ ผหู้ ามกลองเลง
สองคนหันหน้าเข้าหากัน ตีหน้ากลองด้วยมือขวาคนละด้านพร้อม ๆ กันเป็นจังหวะเนิบ ๆ ช้าๆ ไปเร่ือย ๆ
ไม่เรว็ และมลี ีลาของผูต้ ีโดยคนใดคนหนง่ึ ต้องถอยกอ่ นแล้วจึงสลับกันถอยเป็นจังหวะ

31

การฟอ้ นภไู ท (ผไู้ ทย) การฟอ้ นภไู ท มคี วาม
มงุ่ หมายหลายอยา่ ง เชน่ เปน็ การสบื สานศลิ ปะทม่ี มี า
แตโ่ บราณ เพอ่ื แสดงถงึ ความสมคั รสมานสามคั คขี อง
ชาวภูไทเพ่ือการร�ำถวายสังเวยผีบ้านผีเมืองท่ี
ตนนบั ถอื และปจั จบุ นั การฟอ้ นภไู ทเปน็ การแสดงที่
นยิ มกนั มากในงานตา่ ง ๆ เพอื่ ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ ใจ
จำ� นวนผฟู้ อ้ นมมี ากนอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั สถานที่ สว่ นเครอ่ื ง
ดนตรที ใ่ี ชบ้ รรเลงเพลงประกอบ ไดแ้ ก่ กลองกง่ิ กลอง
ตุ้ม ผ่างฮาด แคน ฆ้องโหม่ง บรรเลงเป็นท�ำนอง
ภูไทน้อยและภูไทใหญ่ ส่วนท่าฟ้อนภูไท มีผู้คิด
ปรบั ปรงุ กนั มามากมาย หลายทา่ แลว้ แตเ่ หน็ วา่ สวยงาม เชน่ ทา่ บวั ตมู ทา่ บวั บาน ทา่ มว้ นขา้ ง ทา่ มโนราหท์ ่ากา
เต้นกอ้ น ทา่ เสืออกเหลา่ ท่าหนมุ านถวายแหวน และทา่ สดี าเลาะหาด เป็นตน้

การเล่นร�ำมวยโบราณ การเล่นร�ำมวยโบราณ
สกลนครได้รับการรังสรรค์โดยคุณตาจ�ำลอง นวลมณี
และคุณตาอาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร จากการ
รวบรวมรูปแบบท่าทางของการปราบมวยโบราณของ
ส�ำนักต่างๆ โดยเฉพาะท่าทางการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์
กุลา (ไทใหญ่) ที่เคยเข้ามาค้าขายในเมืองสกลนคร และท่ี
ส�ำคัญคือ การต่อสู้หรือเรียกว่า “การปราบมวย” ไม่นิยม
ใชก้ ำ� ปน้ั เพยี งแตใ่ ช้ “ฝา่ มอื ” ในการปดั ปอ้ งเทา่ นนั้
การเล่นร�ำหางนกยูงบนหัวเรือ การเล่นร�ำหางนกยูงบนหัวเรือ
นบั เปน็ การแสดงทข่ี น้ึ ชอ่ื อยา่ งหนง่ึ ของชาวสกลนคร นยิ มเลน่ ในการแขง่ เรอื
ช่วงเดือน 11 เป็นการแสดงท่ีประยุกต์ท่าร�ำจากการเล่นมวยโบราณของ
คุณตาจ�ำลอง นวลมณี และรูปแบบท่าทางของนกยูงร�ำแพน อุปกรณ์
ประกอบการแสดงหลัก คือ หางนกยูง ดนตรีประกอบการแสดงใช้อย่าง
เดียวกบั กับการเล่นมวยโบราณ

32

งานเทศกาล

งานนมัสการพระธาตุเชิงชุม จัดข้ึนทุก ๆ ปีระหว่าง
ข้ึน 9 -15 คำ่� เดือนย่ี ชาวสกลนครร่วมกับคณะกรรมการจงั หวดั
จัดงานนมัสการองค์พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระองค์แสน
ประจำ� ปี เพอื่ ถวายความเคารพบชู าตอ่ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธค์ิ เู่ มอื ง รบั ผลบญุ
แห่งอานิสงส์เป็นสิริมงคลต่อบ้านเมืองและตนเองแล้ว ยังเป็น
การน้อมคารวะถวาย ความเคารพต่อพุทธสถานท่ีเป็นมรดก
ทางวฒั นธรรม

งานประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง ภาษาพูดอีสานออก
เสียง "ผา-สาท-เผิ่ง" เป็นงานบุญฮีตเดือนสิบเอ็ดเทศกาลออก
พรรษาจัดงานระหว่างวันขึ้น 12-15 ค่�ำ เดือน 11 ของทุกปี
ตามความเชอ่ื และศรทั ธาวา่ ในวนั ออกพรรษา สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อมาโปรด
เวไนยสัตวใ์ นโลกมนษุ ย์ให้พน้ ทกุ ข์ พุทธศาสนกิ ชนจงึ จัดเคร่อื ง
บูชาถวายการต้อนรับ โดยประดิษฐ์ เป็นรูป “ปราสาทผึ้ง”
ตามความเชื่ออยู่ 2 ประการ ความเชื่อแรกคือประดิษฐ์เป็นปราสาทราชวังท่ีประทับตามฐานานุศักดิ์ของ
พระพุทธเจ้าเดิม คือ พระโอรสของพระมหากษัตริย์ เพ่ือถวายเป็นพุทธบูชา ความเชื่อประการท่ีสอง คือ
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และต้ังความปรารถนาให้บังเกิดผลอานิสงส์ไว้ หากเกิด
ในภพมนุษย์อีกขอให้มีท่ีอยู่อาศัยด้วยใหญ่โต เหมือนกับปราสาทราชมณเฑียร ม่ังมีศรีสุข หรือหากได้เกิด
ในสวรรค์ขอใหม้ ีปราสาทอนั สวยงามอยู่ มีเทวดา นางฟ้า แวดลอ้ มเป็นบรวิ าร

งานชา่ งฝมี ือดงั้ เดิม

ผ้าย้อมคราม “ครามสกล” เป็นผ้าย้อมจากน้�ำคราม
ท่ีผ่านกระบวนการท่ีสลับซับซ้อนและผู้ย้อมต้องมีทักษะด้าน
การย้อมคราม ท่ีเกิดจากการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถ่ินจาก
คนรุ่นก่อนสู่รุ่นปัจจุบัน โดยผ่านการวิจัยแบบท้องถิ่นหรือ
การทดลองผิดทดลองถูกในระดับภูมิปัญญา จนสามารถสั่งสม
ประสบการณแ์ ละถา่ ยทอดสคู่ นรนุ่ หลงั ได้ การยอ้ มผา้ ดว้ ยคราม
จะไดเ้ นอ้ื ผา้ สคี ราม สวยแบบธรรมชาติ และครามไดผ้ า่ นการทดสอบ
จากคนรุ่นก่อนแล้วว่า มีคุณสมบัติป้องกันแสงอัลตร้าไวโอเลต
(UV) ไดเ้ ป็นอย่างดี

33

เอกสารประกอบ

หนงั สือและบทความในหนงั สือ
กระทรวงมหาดไทย. ดํารงราชานุสรณ์. (ม.ป.ท, ม.ป.ป.).
เกรียงไกร ปรญิ ญาพล. (2558). พงศาวดารเมอื งสกลนคร ฉบบั รองอาํ มาตย์โท พระบรบิ าลศภุ กจิ (คําสาย
ศริ ิขันธ์). สกลนคร: สกลนครการพมิ พ์.
เจา้ พระยาทพิ ากรวงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บุนนาค). (2547). พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์รัชกาลที่ 4.
กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั พมิ พต์ น้ ฉบับ.
พมิ พน์ ารา กจิ โชตปิ ระเสรฐิ . (2557). โบราณคดลี มุ่ นำ�้ สงคราม กำ�่ ชตี อนลา่ ง มลู ตอนกลาง. ขอนแกน่ :
บริษทั เพญ็ พรินต้งิ จํากัด.
สพสันต์ เพชรค�ำ และประสาท ตงศิริ. ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียง ท่ีระลึกอายุ 96 ปี คุณตานิล
จงเจรญิ 13 มิถุนายน 2547.
สพสันติ์ เพชรคํา. (2559). ที่ระลึกพิธีเปิดห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อําเภอเมือง
สกลนคร. กรุงเทพฯ: อึ้ง ฟายด์ อาร์ต.
สรุ ตั น์ วรางครตั น์. (2523). ตาํ นานพงศาวดารเมืองสกลนคร: ฉบับอํามาตย์โทพระยาประจนั ตประเทศ ธานี
(โง่นคํา พรหมสาขา ณ สกลนคร). สกลนคร: สกลนครการพิมพ์.
สวุ ทิ ย์ ธรี ศาศวตั , ชอบ ตสี วนโคก และสรุ ตั น์ วรางคร์ ตั น.์ (2530). การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ ในชมุ ชนลมุ่
ลุ่มแม่น�้ำสงครามต้ังแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน รายงานการวิจัย ส�ำนักงานคณะกรรมการสภาวิจัย
แหง่ ชาติ.
อรวรรณ นพดารา (2520). การปรับปรุงการปกครองและความขัดแย้งกับฝรั่งเศสในมณฑลอุดร ระหว่าง
พ.ศ.2436-2453 วทิ ยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร.
_____. (2524). ตำ� นานพงศาวดารเมอื งสกลนคร ฉบบั ประยาประจนั ตประเทศธานี (โงน่ คำ� พรหมสาขา ณ
สกลนคร). สกลนคร: สโมสรไลออ้ น สกลนคร.
_____. (2528). ประวัติศาสตรส์ กลนคร. สกลนคร: โรงพิมพ์สกลนครการพมิ พ์.
_____. (2528). โครงการวจิ ยั เรือ่ ง สภาพหมู่บ้านริมหนองหารสกลนคร. สกลนคร: วิทยาลัยครสู กลนคร.
_____. (2532). ประวัตศิ าสตร์สกลนคร. สกลนคร : สกลนครการพิมพ์.
_____. (2537). ประวตั ศิ าสตรส์ กลนคร สกลนคร : วทิ ยาลัยครูสกลนคร.
_____. (2542). เรอื นพักอาศยั ชาวไทย-เวียดนาม บ้านทา่ แร่ สกลนคร. สกลนคร: สกลนครการพมิ พ.์
ขอ้ มูลอนิ เทอรเ์ นต็
กระทรวงวัฒนธรรม. (2554). วัดศรีชมพู. [ออนไลน์] จาก http://www.m-culture.in.th/album/1760
สบื ค้นเม่อื 10 มกราคม 2561
เกรียงไกร ปริญญาพล. “ท้ายชวี ิตท่านเจ้าคุณจันต์” [ออนไลน]์ . สบื ค้นเมอื่ 21 มกราคม 2559. เขา้ ถึงได้จาก
http:// www.kkppn.com/
โครงการชลประทานน้�ำอนู “พน้ื ทลี่ มุ่ นำ�้ ต่างๆ ในจังหวดั สกลนคร” [ออนไลน์] สบื ค้นเมื่อ 10 มนี าคม 2559
เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.namoon.go.th/water resources2.htm
พระสมุห์วิชัย สุเมโธ. (2556). ประวัติวัดเหนือ. [ออนไลน์] สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2562 เข้าถึงได้จาก
http://phrawichaie.blogspot.com/2013/03/blog-post.html.

34

สำ� นกั งานพฒั นาชมุ ชนจงั หวดั สกลนคร. (2561). ศาลหลกั เมอื ง. [ออนไลน]์ สบื คน้ เมอื่ 10 มกราคม 2561 เขา้ ถงึ
ได้จาก http://www.iotopsakon.com/
ศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ นิ ธร (องคก์ ารมหาชน), “จารกึ วดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ ” [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอื่ 21 มกราคม 2559.
เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.sac.or.th/
______. “ประวตั เิ จา้ ผขู้ า้ ” [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอื่ เมอื่ 21 มกราคม 2559. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www. kkppn.com/
______. “พระวิหารวดั พระธาตเุ ชงิ ชุม วรวิหาร” [ออนไลน์]. สืบคน้ เม่อื 21 มกราคม 2559. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://www.kkppn.com/
______. “พระอโุ บสถหลงั เกา่ ของวดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ วรวหิ าร” [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอื่ อ 21 มกราคม 2559 เขา้ ถงึ
ได้จาก http://www.kkppn.com/
______. “สงิ่ ปลกู สรา้ งรอบบรเิ วณจวนทา่ นเจา้ คณุ จนั ต”์ [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอื่ 21 มกราคม2559. เขา้ ถงึ ได้
จาก http://www.kkppn.com/
______.“ศาลเจ้าปึงเถ่ากง-จึงเถ่าม่า สกลนคร” [ออนไลน์]. สืบคน้ เมื่อ 21 มกราคม 2559 เข้าถึงได้จาก
http://www.kkppn.com/

35

รายชอ่ื คณะดำ� เนนิ การ

โครงการจัดทำ� แผนแมบ่ ทและผังแม่บทการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาบรเิ วณเมืองเก่าสกลนคร

1.คณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าสกลนคร อนุกรรมการทีป่ รึกษา
ประธานอนุกรรมการ
1) เจ้าคณะจงั หวัดสกลนคร รองประธานอนกุ รรมการ
2) ผู้วา่ ราชการจังหวัดสกลนคร อนุกรรมการ
3) รองผ้วู า่ ราชการจงั หวัดสกลนคร อนุกรรมการ
4) ปลัดจังหวัดสกลนคร อนุกรรมการ
5) หวั หนา้ สำ� นกั งานจงั หวัดสกลนคร อนกุ รรมการ
6) โยธาธิการและผังเมอื งจังหวดั สกลนคร อนกุ รรมการ
7) ธนารักษพ์ นื้ ทส่ี กลนคร อนุกรรมการ
8) ผอู้ �ำนวยการส�ำนักศลิ ปากรที่ 10 รอ้ ยเอด็ อนุกรรมการ
9) วัฒนธรรมจงั หวดั สกลนคร อนกุ รรมการ
10) ผ้อู �ำนวยการสำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาจงั หวดั สกลนคร อนุกรรมการ
11) ทอ่ งเท่ียวและกฬี าจังหวัดสกลนคร อนุกรรมการ
12) ผู้อำ� นวยการการทอ่ งเที่ยวแห่งประเทศไทย ส�ำนกั งานนครพนม อนกุ รรมการ
13) นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัดสกลนคร อนกุ รรมการ
14) นายกเทศมนตรีเมอื งสกลนคร อนุกรรมการ
15) นายกองค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลสว่างแดนดนิ อนุกรรมการ
16) ประธานหอการคา้ จังหวดั สกลนคร อนกุ รรมการ
17) ประธานสภาวัฒนธรรมจงั หวดั สกลนคร อนกุ รรมการ
18) หวั หน้าหนว่ ยอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มธรรมชาตแิ ละศิลปกรรม อนุกรรมการ
ทอ้ งถ่ินจงั หวัดสกลนคร อนกุ รรมการ
19) นายสุขสมยั สมพงศ ์ อนกุ รรมการ
20) นายสพสนั ติ์ เพชรคำ� อนุกรรมการ
21) นายจกั รพงศ์ ตงศิร ิ อนุกรรมการและเลขานุการ
22) นายประสาท ตงศิริ อนุกรรมการและผู้ชว่ ยเลขานกุ าร
23) นายทวพี งศ์ นวานชุ
24) ผู้อำ� นวยการสำ� นักงานทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิง่ แวดลอ้ มจงั หวดั สกลนคร
25) ผอู้ ำ� นวยการสว่ นสง่ิ แวดล้อม ส�ำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ
และส่งิ แวดล้อมจงั หวัดสกลนคร

36

2.คณะกรรมการตรวจรบั พสั ดใุ นงานจา้ งที่ปรกึ ษา

1) นายเจริญชัย ศริ ิคุณ ประธานกรรมการ
นกั วิชาการสิง่ แวดลอ้ มชำ� นาญการพเิ ศษ
2) นายชศู ิลป์ โฮมวงศ์ กรรมการ
นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำ� นาญการ
3) นายวรี ะพนั ธ์ ชมภูหลวง กรรมการ
นกั วิเคราะหน์ โยบายและแผนช�ำนาญการ
4) นายยงยุทธ สำ� รองพันธ ์ กรรมการ
เจ้าพนกั งานป่าไม้ชำ� นาญงาน
5) นางสาวมลฤดี วงษร์ ตั นะ กรรมการและเลขานุการ
นักวชิ าการสิง่ แวดล้อม


3.ด�ำเนินการศกึ ษาโดย บริษทั เทสโก้ จำ� กดั

21/11-14 ซอยสขุ ุมวทิ 18 ถนนสุขุมวทิ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรงุ เทพ 10110
โทรศัพท์ 0 2258 1320 โทรสาร 0 2258 1313

รายชื่อคณะผศู้ ึกษา

1) ดร.พิเศษ เสนาวงษ์ ผู้จัดการโครงการ/ผู้เชยี่ วชาญดา้ นบริหารจดั การสิ่งแวดล้อมและเมอื ง
2) ผศ.ดร.สกั รนิ ทร์ แซ่ภู่ ผู้เชย่ี วชาญด้านผังเมอื ง
3) ดร.สพสนั ต์ เพชรคำ� ผเู้ ชย่ี วชาญด้านสงั คมวิทยา
4) ผศ.ชวลิต ขาวเขยี ว ผ้เู ชี่ยวชาญด้านอนุรกั ษ์โบราณสถาน
5) ผศ.ดร.ธราวฒุ ิ บุญเหลอื ผเู้ ชีย่ วชาญดา้ นสถาปัตยกรรม
6) ผศ.ดร.อนวุ ฒั น์ การถกั ผู้เชีย่ วชาญดา้ นภูมสิ ถาปตั ยกรรม
7) นายทรงยศ อยู่สขุ ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นสารสนเทศภมู ิศาสตร์และรีโมทเซน็ ซง่ิ
8) รศ.เลิศวทิ ย์ รงั สริ ักษ ์ ผเู้ ชย่ี วชาญด้านกฎหมาย
9) นางสาวร�ำไพพรรณ แกว้ สุริยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาและส่งเสรมิ การท่องเท่ียว
10) ดร.สธุ นา บญุ เหลือ ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นเศรษฐศาสตร์
11) นางสาวอรนุช ศลิ ปม์ ณีพนั ธ ์ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นการมีสว่ นร่วมและประชาสมั พนั ธ์

บคุ ลากรสนบั สนุน

1) นายเผา่ พงศ์ นิติเกษตรสุนทร นกั วิชาการด้านประวตั ิศาสตร/์ ผูป้ ระสานงาน
2) นายไพรชั มามเี กต ุ นักวชิ าการด้านพฒั นาชมุ ชนและการมีส่วนรว่ ม
3) นางสาวนันจิรา จรเดช นกั วชิ าการดา้ นสงั คม
4) นางสาวอารสิ า สาดิษฐ์ นักวิชาการด้านสง่ิ แวดล้อมและเมอื ง
5) นางสมฤดี แจง้ ประจักษ์ นักวชิ าการดา้ นพฒั นาและส่งเสรมิ การท่องเท่ยี ว
6) นายเชษฐา ปญั ญารฐั กจิ นกั วชิ าการด้านสารสนเทศภูมิศาสตร์
7) นายกติ ตนิ นท์ ภกั ด ี นกั วชิ าการดา้ นสารสนเทศภมู ศิ าสตร์

37

วดัพระธาตเุชิงชมุวรวหิาร


Click to View FlipBook Version