งานวจิ ยั ในชน้ั เรียน
เร่ือง ผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึก
ทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนเชยี งคาวทิ ยาคม
ผูว้ จิ ยั
ร่งุ รัตน์ พลนรตั น์
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563
โรงเรียนเชยี งคาวทิ ยาคม
สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาพะเยา
ชื่องานวจิ ัย ผลการพัฒนาทักษะการอา่ นออกเสียง โดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี ง
นทิ านรกั ษาโรค สาหรับนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนเชยี งคาวิทยาคม
ช่อื ผวู้ ิจัย นางสาวรงุ่ รัตน์ พลนรตั น์
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มจี ุดประสงคเ์ พือ่ หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง
นทิ านรกั ษาโรค และเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใชแ้ บบ
ฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน 43 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจันครั้งนี้
ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 5
แบบฝึก และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางด้านการอ่านออกเสียง ก่อนเรียน – หลังเรียน สถิติที่ใช้
ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ได้แก่ ค่าเฉลีย่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ค่ารอ้ ยละ ผลวิจบั พบว่า
1. ผลการประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นออกเสียงนิทานรักษาโรค สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าประสิทธิภาพรายชุด (E1/E2) เล่มท่ี 1 แบบฝึกทักษะการอ่านออก
เสียง นิทานรักษาโรค ร ล ลักปิดลักเปิด เท่ากับ 82.25/90.33 เล่มท่ี 2 นิทานรักษาโรค ควบกล้า
เป็นพิษ เท่ากับ 85.81/86.40 เล่มที่ 3 นิทานรักษาโรค จ เจือจาง เท่ากับ 86.33/89.77 เล่มท่ี 4
นิทานรักษาโรค ซ ศ ษ ส อักเสบ เท่ากับ 89.39/90.51 และเล่มที่ 5 นิทานรักษาโรค ถ ท บกพร่อง
เท่ากบั 84.50/92.84 ตามลาดบั และประสิทธิภาพของแบบฝึกแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี งนิทาน
รักษาโรค สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม โดยภาพรวมมี
ประสิทธภิ าพ E1/E2 เทา่ กับ 85.87/88.26 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์ที่กาหนด 80/80
2. การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 คะแนน
เฉลี่ยทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทยจากการทดสอบก่อนเรยี น เฉลี่ยเทา่ กบั 22.53 คิดเปน็ รอ้ ย
ละ 56.34 ทดสอบหลงั เรียน เฉลยี่ เทา่ กับ 35.30 คดิ เปน็ ร้อยละ 88.26 แสดงให้เห็นว่านักเรยี น
มคี วามกา้ วหนา้ ในทกั ษะการการอ่านออกเสียงในภาษาไทยสูงขึ้น
บทท่ี 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
และเสริมสร้างบคุ ลิกภาพของคนในชาตใิ ห้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมอื ในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง
ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดาเนินชีวิต
ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์
จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และ
สร้างสรรค์ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ตลอดจนนาไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสื่อแสดงภูมิ
ปญั ญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรยี ภาพเป็นสมบตั ิลา้ คา่ ควรแก่การเรยี นรู้ อนุรักษ์
และสบื สานใหค้ งอยคู่ ชู่ าติไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 37)
ด้วยความสาคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้
กาหนดให้ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร
การเรียนรูอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและเพอื่ นาไปใชใ้ นชีวติ จริง (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 37)
ดังน้ัน เด็กไทยทุกคนควรเรียนรู้และใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องทุกโอกาส ซึ่งการเรียนการ
สอนภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่าน
และการฟงั เป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขยี นเป็นทักษะ
ของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้อง
เรียนเพ่ือการสื่อสาร ให้สามารถรบั รขู้ ้อมูลขา่ วสารได้อย่างพินิจพเิ คราะห์ สามารถนาความรู้ ความคิด
มาเลือกใช้เรียบเรียงคามาใช้ตามหลักภาษาได้ถูกต้องตรงตามความหมาย กาลเทศะและใช้ภาษาได้
อย่างมปี ระสิทธิภาพ ( วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์. 2549 : 80)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็น
กาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็น
พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยดึ มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ
และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 4)
ธรรมชาติของภาษาไทยเป็นเรื่องทักษะ จะแยกเนอ้ื หาสาระของทักษะแต่ละช้นั ปีโดยเด็ดขาด
ไม่ได้ จาเป็นจะต้องมีกระบวนการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้ต่อเน่ืองกันไป เนื้อหา เช่น การอ่านและการ
เขียนสะกดคา การอ่านจับใจความ การเลือกใช้คาให้ตรงตามความหมาย การเขียนแสดงความรูส้ ึก
ความคิดประสบการณ์ ความต้องการ จินตนาการ การนาความรู้จากการอ่านไปใช้ในการตัดสินใจ
การแก้ปัญหาและการดาเนินชีวิต จาเป็นต้องสอนทุกช้ันในเรื่องของทักษะภาษา และแต่ละช้ันจะมี
เน้ือหาในการฝกึ ทักษะท่ีเพ่ิมความซับซ้อนและยากมากข้ึน เช่น จานวนคาเพ่ิมมากขึน้ ประโยคที่ใช้
ยาวและซบั ซ้อนขนึ้ เรอื่ งที่นามาอ่านยาวขนึ้ (กรมวิชาการ. 2560 : 22)
ทักษะการอ่านภาษาไทยเป็นทักษะที่สาคัญอย่างยิ่ง เน่ืองจากภาษาไทยเป็นวิชาพื้นฐานของ
การเรียนในทุกวิชา นักเรียนจาเป็นต้องอ่านให้ถูกต้อง จากการเรียนการสอน ของนักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1 พบปัญหาการอ่านออกเสียง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ดังน้ี ร, ล,
คา ควบกล้า, จ, ซ, ศ, ษ, ส , ถ และ ท ทางผู้วิจัยจึงพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงเพื่อ
แก้ปัญหาดังกล่าว
จุดประสงค์การวจิ ัย
1. เพ่ือหาประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับนกั เรยี น
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นเชียงคาวิทยาคม
2. เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกการ
อ่านออกเสยี ง นทิ านรักษาโรค โรค สาหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเชียงคา
วทิ ยาคม หอ้ ง 1/1, 1/4, 1/7, 1/10 และ 1/11 จานวน 200 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน
43 คน
ตัวแปรทศ่ี กึ ษา
ในการวิจัยในครั้งน้ี ตัวแปรทศ่ี กึ ษาประกอบด้วย
ตวั แปรอสิ ระ คือ แบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสยี ง นิทานรกั ษาโรค จานวน 5 แบบฝึก
ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรคและ
ทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง
นิทานรกั ษาโรค
ระยะเวลาในการดาเนนิ การ
ระหว่างวนั ท่ี 1 พฤศจิกายน 2563 – 20 กุมภาพนั ธ์ 2564
ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ บั
1. นักเรียนมีความสามารถในการอ่านออกเสียงไดด้ ขี ึน้
2. นกั เรยี นทกั ษะการอ่านออกเสยี งได้มากขนึ้
3. มแี บบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี งทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่าน
ออกเสียง และคาพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีผู้รายงานสร้างขึ้น
เพือ่ ใช้ โดยแกป้ ญั หาด้านการอ่านออกเสยี งของนักเรียน ดังน้ี
เล่มท่ี 1 โรค ร ล ลักปดิ ลักเปดิ
เล่มที่ 2 โรค ควบกล้าเปน็ พษิ
เล่มท่ี 3 โรค จ เจอื จาง
เลม่ ท่ี 4 โรค ซ ศ ษ ส อกั เสบ
เลม่ ที่ 5 โรค ถ ท บกพรอ่ ง
2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค หมายถึง แบบฝึก
ทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่มี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (E1/E2)
80 (E1) ตัวแรก หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ได้จากการหาค่าร้อย
ละของคะแนนรวมเฉลยี่ ของนักเรียนทุกคนที่ไดจ้ ากการประเมินระหวา่ งเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ
การเรยี นรู้
80 (E2) ตัวหลงั หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ได้จากการหาค่าร้อยละของ
คะแนนรวมเฉล่ียของนักเรียนทุกคนที่ได้ จากการทาแบบทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ
เรยี นรู้
3. นกั เรียน หมายถึง นักเรยี นช้ันชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นเชียงคาวิทยาคม สานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563
4. แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง เรื่อง การอ่านที่ผู้วิจัยสร้าง
ขน้ึ เพ่อื ทดสอบทกั ษะการอ่านออกเสียงนักเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียน
5. ผลการทดสอบการทดสอบทักษะการอา่ นออกเสียง หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการ
เรียนภาษาไทยของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยวัดจากคะแนนการทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง ทีผ่ ู้วิจัยสร้าง
ขึ้น
กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ตวั แปรตาม
- ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะ
ตวั แปรต้น การอา่ นออกเสยี ง นทิ านรักษา
- แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านออกเสยี ง โรค
นทิ านรกั ษาโรค จานวน 5 แบบฝกึ - ทักษะการอ่านออกเสยี งของ
นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โดย
ใชแ้ บบฝกึ ทักษะการอ่านออก
เสียง นิทานรักษาโรค
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง
การดาเนินการวิจัย เร่ือง ผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการ
อ่านออกเสยี ง นทิ านรักษาโรค สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนเชียงคาวทิ ยาคม เพ่ือหา
ประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี ง นิทานรกั ษาโรค และเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออก
เสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ี
เกยี่ วข้อง ดังตอ่ ไปนี้
1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
2. การเรียนการสอนภาษาไทย
2.1 แนวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
2.2 หลกั การเลอื กกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาไทย
2.3 สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย
3. การอ่าน
3.1 ความหมายของการอ่าน
3.2 ความสาคญั ของการอ่าน
3.3 การอา่ นแจกลกู สะกดคา
4. แบบฝกึ ทกั ษะ
4.1 ความหมายและความสาคัญของแบบฝกึ ทกั ษะ
4.2 ลกั ษณะของแบบฝึกทักษะทด่ี ี
4.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ
4.4 หลักการสร้างแบบฝึกทกั ษะ
4.5 ส่วนประกอบของแบบฝกึ ทกั ษะ
4.6 รูปแบบการสรา้ งแบบฝึกทักษะ
4.7 ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ
4.8 แนวคิดหลักการท่ีเก่ียวข้องกบั แบบฝึกทักษะ
5 . ปรัชญาในการจดั เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
6. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเรียนรู้
7. งานวิจัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
และเสริมสรา้ งบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทยเป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสารเพ่ือสร้าง
ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธรุ ะ การงาน และดารงชีวติ ร่วมกัน
ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก
แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และ
สร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ตลอดจนนาไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสื่อแสดงภูมิ
ปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรยี ภาพ เปน็ สมบตั ิล้าค่าควรแก่การเรียนรู้
อนรุ กั ษ์ และสบื สานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
เรียนรอู้ ะไรในภาษาไทย
ภาษาไทยเปน็ ทักษะทตี่ ้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใชภ้ าษาเพ่ือการสื่อสาร
การเรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนาไปใช้ในชีวิตจรงิ
การอา่ น การอา่ นออกเสยี งคา ประโยค การอ่านบทร้อยแกว้ คาประพันธ์ชนดิ ต่างๆ
การอ่านในใจเพ่ือสร้างความเข้าใจและการคดิ วเิ คราะห์ สังเคราะหค์ วามรู้จากสง่ิ ที่อา่ น เพือ่ นาไปปรับ
ใช้ในชวี ิตประจาวัน
การเขียน การเขียนสะกดคาตามอักขรวิธี การเขียนส่ือสารโดยใช้ถ้อยคาและรูปแบบต่าง
ๆ ของการเขียน ซ่ึงรวมถึงการเขียนเรยี งความ ย่อความ รายงานชนดิ ตา่ ง ๆ การเขียนตามจินตนาการ
วเิ คราะห์วิจารณ์และเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์
การฟัง การดู และการพูด การฟงั และดูอย่างมวี ิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น
ความรสู้ ึก พูดลาดับเร่ืองราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเปน็ ผลการพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและ
ไม่เปน็ ทางการและการพดู เพือ่ โนม้ นา้ วใจ
หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง
เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแตง่ บทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ
ในภาษาไทย
วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณ คดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล
แนวความคดิ คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทาความเข้าใจบทเห่ บท
ร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านท่ีเป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด
ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิด
ความซาบซง้ึ และภมู ิใจในบรรพบรุ ษุ ท่ไี ด้สั่งสมสบื ทอดมาจนถงึ ปจั จุบัน
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคดิ เพอื่ นาไปใช้ตดั สินใจ แกป้ ัญหา
ในการดาเนนิ ชีวติ และมนี สิ ยั รกั การอ่าน
สาระที่ 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขยี นสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียน
เรอื่ งราวในรูปแบบต่างๆ เขยี นรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษา
คน้ คว้าอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ
ความรู้สกึ ในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสร้างสรรค์
สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น
คุณคา่ และนามาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจรงิ
2. การเรียนการสอนภาษาไทย
2.1 แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
อัมพร อังศรีพวง (อ้างในวิมลรตั น์ สุนทรโรจน์. 2549 : 94-95) ได้ให้แนวการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทยไว้ดังนี้
1. ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึก
ทกั ษะแต่ละอย่างใหแ้ ม่นยาแล้วจึงฝกึ ทักษะทั้ง 5 ให้สัมพนั ธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิด
สรา้ งสรรค์
2. ฝึกทักษะทางภาษาซ้า ๆ และบ่อย ๆ จนเกิดความชานาญ และหม่ัน
ฝึกฝนทบทวนอยูเ่ สมอ ครผู ู้สอนต้องส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นฝกึ ทกั ษะเปน็ รายบคุ คลอย่างท่ัวถึง
3. ฝึกให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรู้จัก
วฒั นธรรมทางภาษา
4. สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนนาความรู้ และทักษะทไ่ี ด้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้
เปน็ เคร่อื งมอื สือ่ สารในชวี ิตประจาวัน และใช้เป็นพ้นื ฐานในการเรียนกลุ่มประสบการณอ์ นื่ ๆ
5. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและ
ตระหนักในความสาคัญของภาษาไทย ท้ังในส่วนที่จาเป็นต้องใช้เพื่อการส่ือสาร และในด้านการ
อนรุ กั ษม์ รดกทางวัฒนธรรมทส่ี าคญั ของชาติ
6. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิด
ความจรรโลงใจ โดยใช้ธรรมชาติ บทร้อยแก้ว และร้อยกรองที่เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นมาเป็นส่ือ
การเรยี นการสอน
7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพ่ือ
ประโยชนใ์ นการดารงชีวิต
8. สอดแทรกคุณธรรมต่างๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความ
อดทน ความรับผดิ ชอบ
9. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต จดจา และจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เพ่ือ
เสริมสร้างประสบการณ์ทางภาษา ได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็น
ประโยชน์
10. นาภาษาท่ีใช้ในสังคมแวดล้อมมาเป็นส่ือประกอบการเรียนการสอน
เพื่อให้สัมพนั ธ์กบั การเรยี นและสามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้จรงิ ในชีวติ ประจาวัน
11. ให้แบบอย่างท่ีดีแก่นักเรียน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาและการ
สอ่ื สารของครูผสู้ อน
12. วัดและประเมินผล โดยคานึงถึงวัย ระดับช้ันและพัฒนาการทางภาษา
ของนกั เรยี น
13. ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียน
พัฒนาให้ดียิ่งขน้ึ ตามลาดับ
14. ศึกษา ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่าง
สมา่ เสมอและต่อเนือ่ ง
15. จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนาน
น่าสนใจ โดยใช้โปรแกรม เพลง รูปแบบการสอนอื่นๆ และส่ือการสอนท่ีหลากหลาย เพื่อให้นักเรียน
เกดิ ความรักในการเรียนภาษาไทย
16. จัดทาหนังสือท่ีเหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมากๆ หรือส่งเสริมการอ่าน
หนงั สอื ในห้องสมุด เพื่อใหน้ กั เรียนมคี วามรู้กว้างขวางขึน้
2.2 หลักในการเลอื กกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากมาย เราสามารถจัดได้ทุกระยะของการเรียนการ
สอนต้ังแต่ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ข้ันสอน ขั้นสรุป และขั้นประเมินผล ครูเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้
เหมาะสมกับบทเรียน โดยยดึ หลักดงั น้ี
1. เลือกให้เหมาะสมกบั จดุ ประสงคข์ องบทเรียน
2. เลือกใหเ้ หมาะสมกบั ผูเ้ รยี น เช่น ความยุ่งยาก ระดับความรู้
3. เลือกโดยพิจารณาความสามารถของผสู้ อนด้วย เช่น ครูทร่ี ้องเพลงไม่เก่ง
ก็จะใช้เคร่ืองบนั ทกึ เสียงแทน
4. เลือกโดยพิจารณาสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน เช่น ถ้าห้องเรียน
แคบ การจัดให้เล่นเกมแข่งขันก็อาจจะเกิดเสียงดังไปรบกวนห้องอ่ืน และการเคลื่อนไหวก็ไม่สะดวก
ครใู ช้กจิ กรรมอน่ื แทน หรือพานักเรียนไปสนามหญ้าแทน
5. เลอื กกจิ กรรมใหค้ วามสนุกสนาน ปฏิบัตงิ ่าย ไมซ่ บั ซ้อน และยืดหยนุ่ ได้
6. เลือกกิจกรรมทใี่ ห้แนวคิดริเรมิ่ สร้างสรรค์และทกุ คนมีส่วนร่วม
วรรณี โสมประยูร (2550 : 193-194) ได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษาควรคานึงถึงจุดประสงค์
ความพร้อมของผเู้ รียนควรให้ผู้เรียนมีพัฒนาการท้ัง 4 ทกั ษะ คอื ฟัง พูด อ่าน เขียน และมีการฝึกฝน
ทางภาษา มีการบูรณาการสอนกับวิชาอื่นๆ ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรม
การเรียนการสอนมากท่ีสุดเน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควร
ใช้การสอนหลาย ๆ วิธี นอกจากน้ีครูควรสอดแทรกคุณธรรม และให้รู้จักการทางานร่วมกับคนอื่นได้
อย่างมีประสทิ ธิภาพ การเรียนการสอนนอกจากจะมคี วามสาคัญในตวั มันเองแล้วยังเป็นปัจจัยสาคัญ
ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนวิชาอ่ืน ๆ ได้อีก ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาไทยจึงไม่น่าจากัดอยู่
เฉพาะในช่ัวโมงภาษาไทยเทา่ นนั้ ซง่ึ การสอนภาษาไทยควรยึดหลกั ดงั นี้
ด้านตัวผู้สอน ควรสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน ผู้สอนควรเป็น
แบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาในการทากิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรอื่ งใกล้ตัวผู้เรียนและสอน
ให้สัมพันธ์กับวิชาอื่นๆ นอกจากนี้แล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพื่อผู้เรียนจะได้ทราบ
ความก้าวหน้าทางการเรียนของตัวเอง ด้านผู้เรียน ควรมีความพร้อมในการเรยี นมีการศึกษาค้นคว้า
ด้วยตนเอง และมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ด้านส่ือการเรียนการสอน ควรมีการใช้ส่ือการเรียนการสอน
เพอ่ื ให้ผู้เรียนรูค้ า
2.3 ส่ือการเรยี นการสอนภาษาไทย
ส่ือการเรียนการสอนภาษาไทยมีความสาคัญต่อการเรียนการสอนมาก เพราะส่ือ
เป็นตัวกลางท่ีจะช่วยให้การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนให้เข้าใจตรงกัน และนักเรียนก็สามารถทา
ความเข้าใจกับบทเรียนได้ง่ายขึ้น ทาให้นักเรียนมีความสนใจบทเรียนมากกว่าการสอนท่ีมีแต่ครู
อธิบายเพียงอย่างเดียว สื่อการเรียนการสอนจะช่วยนาความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอน
และนาความสาเร็จมาสูว่ ตั ถุประสงค์ทีต่ ง้ั ไว้
ส่ือการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ และกิจกรรมต่างๆ ที่
ครูผู้สอนใช้ถ่ายทอดความรู้และประมวลประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุ
ตามจดุ ประสงคท์ ตี่ ง้ั ไว้ พอจาแนกส่ือการสอนออกเปน็ 3 ประเภทดังน้ี
1. ส่ือประเภทวัสดุ(Materials) หรือบางทีเรียกว่าสื่อประเภทเบา
(Software) หมายถงึ ส่ือทเี่ กบ็ ความรอู้ ย่ใู นตัวเอง ซ่ึงจาแนกย่อยออกเปน็ 2 ลักษณะ คือ
ก. สื่อประเภทท่ีสามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่
จาเปน็ ตอ้ งอาศยั อปุ กรณอ์ นื่ ชว่ ย เช่น แผนที่ ลูกโลก รปู ภาพ หุ่นจาลอง ฯลฯ
ข. วัสดุท่ีไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตัวเองจาเป็นต้องอาศัย
อปุ กรณอ์ ่นื ชว่ ย เช่น แผน่ เสียง ฟลิ ม์ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ
2. สื่อประเภทอุปกรณ์หรือเคร่ืองมือ(Equipment) หมายถึง ส่วนท่ีเป็น
ตัวกลางหรือตัวผ่านทาให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้
ยนิ เช่น เครื่องฉายแผ่นภาพโปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เครอ่ื งรบั โทรทัศน์ เคร่ือง
เลน่ แผน่ เสียง เป็นตน้
3. ส่ือประเภทเทคนคิ หรอื วิธกี าร (Techniques or methods) หมายถงึ
สื่อท่ีมีลักษณะเป็นแนวคิดหรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถนาสื่อวัสดุและ
อุปกรณ์มาช่วยในการสอนได้ เช่น เกมและสถานการณ์จาลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เป็น
ตน้ ส่ือการเรยี นการสอนภาษาไทยมีหลายชนดิ ซงึ่ จะขอกลา่ ว ดังน้ี
เกมต่าง ๆ การเล่นเป็นสิ่งท่ีเด็ก ๆ ชอบเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว ผู้สอน
สามารถพลกิ แพลงการเลน่ แบบตา่ ง ๆ ของเดก็ มาใชเ้ สริมทักษะทางภาษาของเดก็ ได้มากมาย เชน่ การ
เล่นเกมกระซิบฝึกทักษะการฟัง การเล่นทักทายฝึกทักษะการพูด นอกจากนี้ยังมีเกมอีกมากมายท่ี
ผู้สอนจะประยุกต์ให้เหมาะสมกับเน้ือหาที่จะสอน เกมต่าง ๆ สามารถใช้ได้ทุกข้ันตอนของการสอน
ไม่ว่าจะเป็นขั้นนาเข้าสู่บทเรียน ข้ันสอน ข้ันสรุปบทเรียน การเล่นเกมในแต่ละคร้ังผู้สอนควรบอก
จดุ มุง่ หมายให้ผ้เู รียนทราบแน่ชัดวา่ ฝึกทักษะใด กาหนดกติกา และเวลาในการเลน่ ใหแ้ น่นอน การเล่น
เกมท้ังท่ีไม่ต้องใชว้ ัสดุอุปกรณ์และต้องใช้ เกมท่ีต้องใช้วัสดุอปุ กรณ์ ผู้สอนต้องเตรยี มไว้ล่วงหน้า หรือ
ให้ผู้เรียนเตรียม และเก็บให้อยใู่ นสภาพเรียบรอ้ ยเม่ือเลน่ เสร็จ ตัวอย่างเกมต่าง ๆ เช่น เกมบิงโก แข่ง
เครื่องบนิ ตกปลา ต่อบตั รคา จ่ายตลาด เกมกระซิบ เรียงคา ยสี่ บิ คาถาม ฯลฯ
บัตรคา เป็นส่ือการเรียนการสอนท่ีใช้ฝึกทักษะด้านการอ่านและการเขียน
ได้ดีเป็นสื่อที่ผู้สอนนิยมใช้กันมากเพราะใช้ประกอบการเรียนการสอนได้หลายลักษณะ เช่น สอนคัด
ลายมอื สอนคาใหม่ สอนคายาก สอนอา่ นออกเสยี ง สอนอา่ นในใจ เลน่ เกมเสรมิ ทกั ษะต่าง ๆ
ปริศนาคาทาย เป็นการเล่นของคนไทยมาแต่โบราณนิยมเล่นกันในหมู่เด็ก
และผู้ใหญ่ การทายปัญหานนั้ ฝกึ ทักษะหลายด้าน ทั้งการฟัง การพูด การคดิ ไหวพริบในการแก้ปัญหา
จินตนาการ การแสดงออกทางภาษา ปริศนาคาทาย มีการจัดหมวดหมู่ไว้หลายหมวดหมู่ เช่น
ประเภทสัตว์ ของใช้ พืช เปน็ ตน้
เทปบันทึกเสียง เป็นส่ือการเรียนการสอนที่โรงเรยี นจัดหามาไว้ให้ครูผู้สอน
เพราะใช้งา่ ย เคลอื่ นย้ายได้สะดวก ราคาไมแ่ พง ครใู ชเ้ ทปบันทึกเสยี งประกอบการสอนภาษาไทย โดย
ใชส้ อนอา่ นทานองเสนาะ สมั ภาษณ์ บนั ทกึ ขา่ ว นทิ าน เป็นต้น
แผ่นป้ายสาลี เหมาะสาหรับใช้เป็นส่ือการสอนในระดับชั้นเด็กเล็ก ช้ัน
ประถมศึกษา แต่ก็อาจนาไปใช้ในระดับช้ันมัธยมหรืออุดมศึกษาก็ได้ แผ่นป้ายสาลีสามารถใช้ติดบัตร
คา บัตรภาพหรือรูปภาพได้ แต่เราต้องยอมรับว่าบัตรคา หรือบัตรภาพที่ติดบนป้ายสาลีนั้น อาจจะไม่
มั่นคง อาจร่วงหล่นได้
สไลด์ประกอบเสียง นามาใช้ง่ายและสามารถนามาเรียนแบบเอกัตบุคคล
หรือประกอบการเรียนการสอนเป็นกลุ่ม สไลด์ประกอบเสียงชุดใดที่จัดทาอย่างดีก็จะให้คุณค่าต่อ
กระบวนการเรียนรู้อย่างมาก
กระเป๋าผนัง เป็นแผ่นไม้บาง ๆ ท่ีเป็นรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ขนาดเท่ากับแผ่น
ปา้ ยผ้าสาลีใช้กระดาษแข็งทาเป็นรอ่ งหรือกระเป๋าขนาดใหญพ่ อทีจ่ ะเสียบบัตรคาได้ วิธีใช้กระเป๋าผนัง
ก็จะใชค้ ล้ายกับแผน่ ป้ายผนงั สาลี คือ ใชก้ ับบตั รคา บตั รขอ้ ความ บัตรภาพ
สถานการณ์จาลอง เปรียบเหมือนนามธรรมของชีวิตจริง หรือการทาให้
สภาพแวดล้อมหรือกระบวนการของชีวิตจริงให้ง่ายขน้ึ โดยทั่วไปสถานการณ์จาลองจะเป็นการแสดง
บทบาทท่เี ก่ยี วข้องกบั บุคคลหรอื สงิ่ แวดลอ้ มทส่ี มมตุ ิขนึ้ เชน่ อาชพี ต่าง ๆ ความเปน็ อยู่ ฯลฯ
3. การอา่ น
การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่สาคัญและจาเป็นมากในการดารงชีวิตของมนุษ ย์ใน
ชีวติ ประจาวันตอ้ งอาศัยการอา่ นจึงจะสามารถเขา้ ใจและสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.1 ความหมายของการอา่ น
นิรันดร์ สุขปรีดี (2550 : 1) ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านคือ การเข้าใจ
ความหมายของตัวละคร หรือสัญลักษณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถในการแปลความ การตีความ
การขยายความ การจบั ใจความสาคัญและการสรปุ ความ
เรวดี อาษานาม (2550 : 77-78) ได้ให้ความหมายของการอ่าน ดังน้ี การอ่าน
หมายถึง กระบวนการในการแบ่งความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ท่ีมีการจดบันทึกอย่างมี
เหตุผลและเข้าใจความหมายของส่ิงท่ีอ่าน ตลอดจนการพิจารณาเลือกความหมายท่ีดีท่ีสุดข้ึนไปใช้
เป็นประโยชน์ด้วย จะเห็นได้ว่าการอ่านไม่ใช่การรับเอาความคิดจากหนังสือที่อ่านเฉย ๆ ผู้อ่านไม่ใช่
ผรู้ ับแต่เป็นผู้กระทา สรปุ ได้วา่ เป็นผู้ใช้ความคิดไตรต่ รองเรอื่ งราวท่ีตนเองอ่านเสียก่อน แล้วจึงรับเอา
ใจความของเรื่องที่ตนอ่านไปเก็บไว้หรือนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป ดังน้ันหัวใจของการอ่านจึงอยู่
ทกี่ ารเขา้ ใจความหมายของคา
การอ่านในโรงเรียนประถมท่ีปรากฏก็คือการท่ีครูให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านประโยค
หรือข้อความนาแล้วให้คนอื่น ๆ อ่านตาม ผู้อ่านนาตั้งใจอ่านให้เสียงดังได้ยินทั่วทั้งช้ันเพื่อเพื่อนจะ
อ่านตามได้ถกู ผอู้ ่านตามมหี นา้ ทอี่ ่านอยา่ งเดียว ตาอาจจะมองสิ่งต่าง รอบตวั หูฟังเพื่อนคุย ฯลฯ อา่ น
แล้วจาไม่ได้และไม่รู้ความหมายของข้อความที่อ่าน ถ้าวิเคราะห์ตามความหมายข้างต้นแล้ว ลักษณะ
แบบน้ียังไมเ่ รียกว่าอ่านได้อย่างสมบรู ณ์
การที่คนเราจะอ่านหนังสือได้เร็วหรือช้าน้ัน องค์ประกอบอย่างหนึ่งของการอ่านคือ
การเคลอ่ื นไหวสายตาในการอ่านและความเขา้ ใจความหมายอย่างถ่องแท้ ในการอ่านจะต้องมีการฝึก
อยูเ่ สมอและถูกตอ้ งตามวิธกี ารด้วย
ความเข้าใจความหมายของการอ่านมีความหมายต่าง ๆ กัน เม่ือเอ่ยถึงการอ่านต้อง
มคี วามเข้าใจมาเก่ียวข้องคือ เข้าใจในถ้อยคาท่อี ่าน เชน่ ถา้ มีเด็กเห็นคาว่า กา แลว้ เปล่งเสียงว่ากา ก็
เข้าใจว่าเป็นการอ่าน เช่นนี้เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจ กา ท่ีเปล่งเสียงออกมา
นั้น หมายถึง นกชนิดหนึ่งท่ีมีสีดา ร้อง กา กา กา หรืออาจหมายถึง กาท่ีใช้ในการต้มน้า หรืออาจไม่
เขา้ ใจท้งั สองความหมายก็ได้ เม่อื เป็นเช่นนี้ จึงยงั ไม่เรยี กว่าการอา่ น แต่เป็นเพียงการเปลง่ เสยี งเทา่ นั้น
ดังนั้นส่ิงท่ีนักเรียนควรเข้าใจกับความหมายของการอ่าน ถ้าเป็นการอ่านที่ต้องเข้าใจความหมายของ
คา ซ่ึงจะทาใหน้ ักเรยี นสามารถอ่านเรื่องและสรปุ เร่ืองใหถ้ ูกต้อง
ประทีป วาทิกทินกร (2552 : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือ การรับรู้
ข้อความในข้อเขียนของตนเอง และของผู้อ่ืน รวมทั้งการรับรู้เคร่ืองหมายส่ือสารต่างๆ เช่น
เคร่อื งหมายจราจร และเครือ่ งหมายทีแ่ สดงในแผนภมู ิต่าง ๆ
สุนันทา ม่ันเศรษฐวิทย์ (2553 : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็น
ลาดับข้ันที่เก่ียวข้องกับการทาความเข้าใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ข้อความและเร่ืองราว
ของสารที่ผูอ้ ื่นสามารถบอกความหมายได้
วรรณี โสมประยูร (2554 : 121) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็น
กระบวนการทางสมองท่ีใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือส่ิงพิมพ์อื่นๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคา
หรือสัญลักษณ์โดยแปลออกเป็นความหมายท่ีใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้
เข้าใจตรงกนั และผ้อู า่ นสามารถนาความหมายนน้ั ๆ ไปใชป้ ระโยชน์ได้
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2555 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านคือความเข้าใจใน
สญั ลักษณ์ เครือ่ งหมาย รูปภาพ ตวั อกั ษร คาและขอ้ ความท่พี มิ พห์ รือเขียนขนึ้ มา
ราชบัณฑิตยสถาน (2556 : 1) ได้ใหค้ วามหมายของการอา่ นไว้ว่า หมายถึง การอ่าน
ตามตัวหนังสือ การออกเสียงตามตัวหนังสือ การดูหรอื เข้าใจความจากหนังสือ สังเกตหรือพิจารณาดู
เพ่ือให้เขา้ ใจ การคิด การนับ
ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2557 : 3) ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือ การบรโิ ภคคา
ทถ่ี ูกเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลกั ษณ์ โดยมีกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทีเ่ รม่ิ จาก “แสง”
ท่ีถูกสะท้อนมาจากตัวหนังสือ ผ่านเลนส์นัยน์ตาและประสาทตา เข้าสู่เซลสมองไปเป็นความคิด
(Idea) ความรับรู้ (Perception) และความจา ทั้งระยะสน้ั และระยะยาว
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 95-96) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายส่วน
ดังนี้
- ส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ลาดับข้ันที่
เก่ียวข้องกับการทาความเข้าใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ข้อความและเร่ืองราวข่าวสารที่
ผอู้ ่านสามารถบอกความหมายได้
- ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านจะต้อง
เข้าใจหลักจิตวิทยาพัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละวัย จัดสื่อการสอนให้สอดคล้องกับความ
ตอ้ งการและความสนใจของเดก็
- ส่วนที่เก่ียวขอ้ งกับภาษาศาสตร์ หมายถงึ การสอนอา่ นจะต้องเข้าใจเสียง
ฐานท่ีเกิดเสียงของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษา เพ่ือนาหลักการ
เหล่าน้ันมาสอนอา่ นและเขา้ ใจความหมายได้ถกู ต้อง
- ส่วนที่เก่ียวข้องกับจิตวิทยาทางการศึกษา หมายถึง การนาหลักจิตวิทยา
มาใช้ทางการศึกษา เช่น ความพร้อมของการอ่าน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎีท่ี
เกย่ี วข้อง เพือ่ ใช้เปน็ พ้นื ฐานในการพิจารณาการจดั กจิ กรรมการอ่าน
- ส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จักเลือกวิธีสอนอ่านที่
เหมาะสมกับวัย และระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียน ท้ังนี้ให้เป็นไปตามข้ันพัฒนาการ
เพ่ือใหน้ ักเรียนประสบความสาเร็จในการอ่าน
- ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับจิตวิทยาด้านการจาและการลืม หมายถึง การท่ีผู้อ่าน
สามารถจาเรอ่ื งและเก็บไวใ้ นสมอง ถ้ามโี อกาสเลา่ ให้ผูอ้ ่ืนฟงั ก็สามารถเล่าไดถ้ ูกตอ้ ง แต่การที่ผอู้ ่านจะ
จาข้อความท่ีอ่านได้ก็จะต้องเข้าใจความหมายของคา รู้หน้าที่ของคา อีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะ
สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ ออกจากกันได้ อีกประการหน่ึงการท่ีผู้อ่านจะจาเร่ืองได้มากหรือน้อย
น้นั ยังขึน้ อยกู่ ับความสนใจของผอู้ า่ นทีม่ ีตอ่ เรื่องนั้นอกี ดว้ ย
จากความหมาย การอ่าน ข้างต้นจึงสรุปความหมายของการอ่าน ได้ว่า
การเข้าใจความหมายของคา ประโยค ข้อความ และเร่ืองท่ีอ่าน และเรื่องท่ีอ่านมีความสาคัญต่อ
ประเทศชาติและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า ผู้ท่ีอ่านมากนอกจากได้รับความรู้อย่างกวางขว้างแล้ว ยัง
ทาให้ผ่อนคลายความเครียด ซงึ่ เป็นประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการอา่ น
3.2 ความสาคญั ของการอา่ น
วรรณี โสมประยรู (2554 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสาคัญของการอา่ นหนังสือ
มผี ลต่อผู้อ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อ่านแล้วได้ “อรรถ” ประการที่สอง อ่านแล้วได้ “รส”
ถ้าผู้อ่านสานึกอยู่ตลอดเวลาถึงผลสาคัญของสองประการน้ี ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มท่ีจาก
หนังสือตรงตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเสมอ การอ่านมีความสาคัญต่อทุกคนทุกเพศทุกวัยและทุก
สาขาอาชพี ซึ่งพอสรปุ ได้ดังนี้
3.2.1 การอ่านเป็นเครื่องมือที่สาคัญย่ิงในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ
ผู้เรียนจาเป็นต้องอาศัยทักษะการอ่านทาความเข้าใจเนื้อหาสาระของวิชาการต่างๆ เพ่ือให้ตนเอง
ไดร้ ับความรู้และประสบการณต์ ามที่ตอ้ งการ
3.2.2 ในชีวิตประจาวันโดยท่ัวไป คนเราต้องอาศัยการอ่านติดต่อส่ือสาร
เพื่อทาความเข้าใจกับบุคคลอื่นร่วมไปกับทักษะการฟัง การพูด การเขียน ทั้งในด้านภารกิจส่วนตัว
และการประกอบอาชีพการงานต่างๆ ในสังคม
3.2.3 การอ่านสามารถช่วยให้บุคคลสามารถนาความรู้และประสบการณ์
จากส่ิงท่ีอ่านไปปรับปรุง และพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจการงานที่ตัวเองกระทาอยู่ให้เจริญก้าวหน้าและ
ประสบความสาเร็จได้ในทส่ี ดุ
3.2.4 การอ่านสามารถสนองความต้องการพ้ืนฐานของบุคคลในด้านต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี เช่น ช่วยให้ความมั่นคงปลอดภัย ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้เป็นที่ยอมรับ
ของสงั คม ช่วยให้มเี กยี รติยศและชอ่ื เสยี ง ฯลฯ
3.2.5 การอ่านทั้งหลายจะส่งเส ริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และ
ประสบการณ์เพิ่มข้ึนอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ทาให้เป็นผู้รอบรู้ เกิดความมั่นใจในการพูดปราศรัย
การบรรยายหรอื อภปิ รายปญั หาตา่ งๆ นับว่าเป็นการเพ่ิมบคุ ลกิ ภาพและความน่าเชอ่ื ถือให้แก่ตัวเอง
3.2.6 การอ่านหนังสือหรือส่ิงพิมพ์หลายชนิดนั บว่าเป็นกิจกรรม
นันทนาการที่น่าสนใจมาก เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร นวนิยาย การ์ตูน ฯลฯ เป็นการ
ช่วยให้บคุ คลร้จู กั ใช้เวลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ และเกิดความเพลดิ เพลนิ สนกุ สนานไดเ้ ปน็ อย่างดี
3.2.7 การอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ ในอดีต เช่น อ่านศิลาจารึก ประวัติศาสตร์
เอกสารสาคัญ วรรณคดี ฯลฯ จะช่วยให้อนุชนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทย
เอาไว้และสามารถพัฒนาใหเ้ จรญิ รงุ่ เรืองตอ่ ไปได้
ความสาคัญของการอ่านน้ันเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญย่ิงในการแสวงหาความรู้
การเรียนรู้ และพฒั นาสตปิ ัญญาของคนในสงั คม พฒั นาไปสู่สิ่งที่ดีทส่ี ดุ ในชีวติ องค์ประกอบในการอ่าน
อาจจะสรุปไดด้ ังนี้
1. องคป์ ระกอบทางด้านรา่ งกาย
1.1 สายตา
1.2 ปาก
1.3 หู
2. องค์ประกอบทางด้านจิตใจ
2.1 ความตอ้ งการ
2.2 ความสนใจ
2.3 ความศรัทธา
3. องค์ประกอบทางด้านสตปิ ัญญา
3.1 ความสามารถในการรับรู้
3.2 ความสามารถในการนาประสบการณ์เดมิ ไปใช้
3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกตอ้ ง
3.4 ความสามารถในการเรยี น
4. องค์ประกอบทางประสบการณพ์ นื้ ฐาน
5. องคป์ ระกอบทางวุฒิภาวะ อารมณ์ แรงจูงใจและบุคลิกภาพ
6. องค์ประกอบทางสิง่ แวดล้อม
มีผใู้ ห้ความสาคญั ของการอ่านไว้หลายท่าน ดงั น้ี
สุนันทา ม่ันเศรษฐวิทย์ (2553 : 2) ได้อธิบายความสาคัญของการอ่านว่าการอ่าน
เป็นเครื่องมือสาคัญในการแสวงหาความรู้ การรู้และใช้วิธีอ่านทีถ่ ูกต้อง จึงเป็นส่งิ จาเป็นสาหรับผ้อู ่าน
ทุกคน การรู้จักฝึกฝนอ่านอย่างสม่าเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านมีพ้ืนฐานในการอ่านที่ดี ทั้งจะช่วยให้เกิด
ความชานาญและความรู้กว้างขวางด้วย ดังน้ันการท่ีนักเรียนจะเป็นผู้อ่านท่ีดีจึงข้ึนอยู่กับ
สภาพแวดล้อมท่ีครูเป็นผู้จัดเตรียมให้ อีกทั้งยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่าน เพ่ือเป็ น
แรงจูงใจท่ชี ว่ ยให้นักเรยี นได้อ่านอย่างสม่าเสมอ
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2555 : 2) ได้อธิบายความสาคัญของการอ่านว่า การอ่านมี
ความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอัน
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้ทุกเร่ือง ซึ่งมีอยู่ในทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยากรู้
ขอ้ มูลขา่ วสารตา่ ง ๆ
ความสาคัญของการอ่านเป็นส่วนท่ีช่วยให้เกิดการเรียนรู้และเป็นเคร่ืองมือในการ
แสวงหาความรู้ โดยต้องใช้การฝกึ ฝนอยา่ งสมา่ เสมอเพือ่ ใหเ้ กิดความชานาญและทักษะ
3.3 การอา่ นแจกลกู สะกดคา
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 97-99) ได้อธบิ ายความหมายของการแจกลกู
มคี วามหมาย 2 นัย คือ
นัยแรก หมายถึง การแจกลูกในมาตราตัวสะกดแม่ ก กา กง กน กม เกย
เกอว กก กด และกบ การแจกลูกจะเริ่มต้นการสอนให้จา และออกเสียงพยัญชนะและสระให้ได้ก่อน
จากนั้นจะเร่ิมแจกลูกในมาตราแม่ ก กา จะใช้การสะกดคาไปทีละคาไล่ไปตามลาดับของสระ แล้วจึง
อ่านโดยไม่สะกดคา จึงเรียกว่าแจกลูกสะกดคา แล้วอ่านคาในมาตราตัวสะกดทุกมาตราจนคล่อง
จากนั้นจะอ่านเปน็ เรอื่ งเพื่อประยกุ ต์หลักการอ่านนาไปสู่การอา่ นคาที่เปน็ เรื่องอยา่ งหลากหลาย
นัยสอง หมายถึง การเทียบเสียง เป็นการแจกลูกวิธีหน่ึง เมื่อนักเรียนอ่าน
คาได้แล้ว ให้นารูปคามาแจกลูกโดยการเปล่ียนพยัญชนะต้นหรือพยัญชนะท้าย เช่น บ้าน สูตรของคา
คอื ให้เปล่ียนพยญั ชนะต้น เช่น ก้าน ปา้ น ร้าน ลา้ น คา้ น เป็นตน้ หลักการเทยี บเสยี ง มีดงั น้ี
1. อา่ นสระเสียงยาวกอ่ นสระเสยี งสั้น
2. นาคาท่ีมคี วามหมายมาสอนก่อน
3. เปล่ียนพยญั ชนะทีเ่ ป็นพยัญชนะตน้ และพยัญชนะเสียงท้าย
4. นาคาท่ีอา่ นมาจดั ทาแผนภมู กิ ารอ่าน เชน่
กา มา พา ลา ยา คา้ ม้า ชา้
ล้า นา้ บ้าน กา้ น ปา้ น รา้ น คา้ น
วิธีอ่านจะไมส่ ะกดคาให้อา่ นเป็นคาตามสูตรของคา เชน่ อา่ น กา
สูตรของคา คอื -า นาพยัญชนะมาเตมิ และอ่านเป็นคา เชน่ ยา ทา หา นา ตา อา
การสอนแบบการแจกลูกสาหรับนักเรยี นแรกอา่ น มหี ลกั การสอนดงั นี้
1. เริ่มจากสระทงี่ ่ายที่สุดคือ สระ -า
2. ใช้แผนผงั ความคิดแจกลูก โดยเลือกคาทีม่ ีความหมายกอ่ น
3. ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาและทาความเข้าใจความหมาย
4. นาคาจากแผนผังความคดิ มาแตง่ ประโยค
5. อา่ นประโยคทแี่ ต่ง
6. เขียนประโยคทแ่ี ตง่
สรุป การแจกลูก ในรูปแบบเช่นน้ี สามารถที่จะแจกต่อไปได้อีก เช่น แจก
สระ เ- แ- โ- ไ- ใ- เ-า ฯลฯ และนามาแต่งประโยคโดยการบูรณาการกับคาที่ประสมกับสระอ่ืน
ซึ่งจะช่วยให้นักเรยี นเกดิ การเรยี นรู้ และสามารถนาไปแตง่ ประโยคที่ยากและซบั ซ้อนข้ึนได้ เพราะเป็น
การเรียนจากเรื่องท่ีง่ายไปสู่เร่ืองที่ยากและยังได้ให้ความหมายของการสะกดคา ดังน้ี การสะกดคา
หมายถึง การอ่านโดยนาเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคาอ่าน การ
อ่านสะกดมาประสมเป็นคาอ่าน การอ่านสะกดคาจะต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคาพร้อมกับการอ่าน
การสอนอ่านสะกดคาพร้อมกับการเขียน ครูต้องให้อ่านสะกดคาแล้วเขียนคาไปพร้อมกัน การสอน
สะกดคาโดยการนาคาท่ีมีความหมายมาสอนก่อน เม่ือสะกดคาจนจาได้แล้วจึงแจกคา เพราะการ
สะกดคาจะเป็นเคร่ืองมือการอ่านคาใหม่โดยเริ่มจากคาง่ายๆ แล้วบอกทิศทางการออกเสียงแล้วแจก
คาโดยเปลี่ยนพยญั ชนะต้น
เรวดี อาษานาม (2547 : 83 - 84) ได้อธิบายถึงการอ่านสาหรับเด็กที่ยังไม่เรียน
หนังสือ ให้สามารถอ่านและถ่ายทอดความรู้สึกนกึ คิดหรือคาพูดออกมาเป็นตัวหนังสือ นับต้ังแต่เร่ิมมี
การสอนหนังสือไทยจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวถึง การอ่านแบบแจกลูกสะกดคา ดังนี้ คือการสอนทถี่ ือว่า
คาประกอบด้วยรูปและเสียงของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ฯลฯ เวลาสอนอ่านแทนที่จะ
อ่านเป็นคา ๆ มีความหมายเลยท่ีเดียว ก็ต้องไล่พยัญชนะสระ ฯลฯ ให้ออกเสียงได้ถูกต้องเป็นคา ๆ
อีกทีหนึ่ง เป็นการช่วยให้อ่านคาได้ เพราะผู้อ่านรู้จัก พยัญชนะ สระ ตัวสะกด แล้วช่วยพาไป เช่น
จาน นักเรียนสะกดคาว่า จอ -า - จา - จา - นอ – จาน หรือ จ -า - น – จาน บ้าน
นักเรียนสะกดคาว่า บ -า - บา , บา - น – บาน หรือ บาน - ้ - บ้าน
วิธีนี้ช่วยให้เด็กรู้จักหลักเกณฑ์ของการเรียงลาดับตัวอักษรภายในคาหน่ึงๆ เพื่อจะได้ออกเสียงได้
ชัดเจน และเขยี นคานัน้ ไดถ้ กู ตอ้ ง
กรมวิชาการ (2560 : 133 - 134) ได้อธิบายการอ่านแจกลูกและการสะกดคาเป็น
กระบวนการข้ันพ้ืนฐานของการนาเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยกุ ต์และตวั สะกด มาประสมเสียงกัน
ทาให้ออกเสยี งคาต่างๆ ที่มีความหมายในภาษาไทย การแจกลูกและสะกดคาบางครั้งรวมเรียกว่าการ
แจกลูกสะกดคาจะดาเนินไปด้วยกันอย่างประสมกลมกลืน เพื่อให้นักเรียนได้หลักเกณฑ์ทางภาษาทั้ง
การอ่านและการเขียนไปพร้อมกัน และยังได้กล่าวถึงความสาคัญของการแจกลูกสะกดคา เป็นเรื่องท่ี
จาเป็นมากสาหรับผู้เร่ิมเรียน หากครูไม่ได้สอนการแจกลูกสะกดคาแก่นักเรียนในระยะเร่ิมเรียนการ
อ่าน นักเรียนจะขาดหลักเกณฑ์การประสมคา ทาให้เม่ืออ่านหนังสือมากข้ึนจะสับสน อ่านหนังสือไม่
ออก เขียนหนังสือผิดซึ่งเป็นปัญหามากของเด็กนักเรียนไทยในปัจจุบัน ผลจากการอ่านไม่ออกเขียน
ไมไ่ ด้ ยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ การเรยี นวชิ าอนื่ ๆ ด้วย
การอ่านเป็นสิ่งที่มีความสาคัญต่อทุกคนท่ีจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้อ งนาไปใช้ใน
ชีวิตประจาวัน สมควร น้อยเสนา (2549 : 21 - 22) ได้สรุปความสาคัญของการอ่าน ดังน้ี
ความสาคัญของการอ่านจะเป็นส่ิงท่ีช่วยมนุษย์ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขนั้น มี 4
ประการ คือ
1. ชว่ ยในการเรยี นรู้
2. เสรมิ สรา้ งประสบการณ์ใหม่ๆ
3. ช่วยใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลิน
4. องคป์ ระกอบพนื้ ฐาน
ผู้อ่านจะประสบความสาเร็จทางการอ่านมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ วุฒิภาวะ อายุ เพศ
ประสบการณ์ สมรรถวสิ ัย ความบกพรอ่ งทางรา่ งกาย และการจูงใจ
4. แบบฝกึ ทักษะ
4.1 ความหมายและความสาคัญของแบบฝกึ ทักษะ
สวุ ิทย์ มลู คา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรปุ ความสาคัญของ
แบบฝึกทักษะว่าแบบฝึกทักษะมีความสาคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการท่ีจะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะ
ใหก้ ับผู้เรียนได้เกิดการเรยี นรูแ้ ละเข้าใจได้เร็วขน้ึ ชดั เจนขึ้น กว้างขวางข้ึนทาให้การสอนของครูและ
การเรียนของนกั เรยี นประสบผลสาเรจ็ อยา่ งมีประสิทธิภาพ
ไพทูลย์ มูลดี (2546 : 48) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะ คือชุดฝึกการ
เรียนรู้ท่ีครูสร้างข้ึนให้นักเรยี นได้ทบทวนเน้ือหาที่เรยี นรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่วย
เพ่ิมทักษะความชานาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ท้ังยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอน
ให้กับครู อีกท้ังพัฒนาความสามารถของผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นความก้าวหน้าจาก
ผลการเรยี นรขู้ องตนเองได้
คมขา แสนกล้า (2547 : 32) ได้สรุปความสาคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกทักษะเป็น
ส่วนสาคัญในการเรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่าง ๆ
หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็อาจจะลืมเลือนความรู้ท่ีเรียนไปได้ ซ่ึงอาจส่งผลให้นักเรียนไม่มี
ประสทิ ธภิ าพเท่าทีค่ วร
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งาน
กิจกรรมหรือประสบการณ์ท่ีครูจัดให้นักเรียนได้ฝึกหัดกระทา เพื่อทบทวนฝึกฝนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ
ที่ไดเ้ รยี นไปแล้วให้เกดิ ความจา จนสามารถปฏิบัติได้ดว้ ยความชานาญ และใหผ้ ู้เรียนสามารถนาไปใช้
ในชีวติ ประจาวันได้
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความสาคัญของแบบฝึก
ได้ว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัด หรือชุดฝึกท่ีครูจัดให้นักเรียน เพ่ือให้มีทกั ษะเพิ่มข้ึนหลังจากท่ีได้เรียนรู้
เรือ่ งน้ัน ๆ มาบ้างแลว้ โดยแบบฝึกต้องมที ิศทางตรงตามจดุ ประสงค์ ประกอบกจิ กรรมที่นา่ สนใจและ
สนกุ สนาน
อกนิษฐ์ กรไกร (2549 : 18) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก-
ทักษะหมายถึง สื่อท่ีสร้างข้ึนเพื่อเสรมิ สร้างทักษะใหแ้ ก่นกั เรียน มีลักษณะเปน็ แบบฝึกหัดท่ีมีกจิ กรรม
ให้นักเรียนทาโดยมีการทบทวนส่ิงท่ีเรียนผ่านมาแล้วจากบทเรียน ให้เกิดความเข้าใจและเป็นการฝึก
ทักษะ และแกไ้ ขในจุดบกพร่องเพื่อให้นกั เรยี นได้มคี วามสามารถและศักยภาพย่งิ ขนึ้ เขา้ ใจบทเรียนดีขึ้น
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 90) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม
หรือประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพ่ือทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วนามาปรับ
ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสาคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า
แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างข้ึนให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนรู้มาแล้วเพ่ือ
สร้างความเข้าใจ และช่วยเพ่ิมทักษะความชานาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทาให้ครูทราบ
ความเขา้ ใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรยี น ฝึกให้เด็กมีความเชอ่ื มั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้
ทงั้ ยงั มปี ระโยชนช์ ่วยลดภาระการสอนของครู และยงั ช่วยพฒั นาตามความแตกต่าง
4.2 ลกั ษณะของแบบฝึกทกั ษะท่ีดี
แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สาคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบ
ฝึกให้มีประสิทธิภาพจึงจาเป็นจะต้องศึกษาองคป์ ระกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ใหเ้ หมาะสม
กับระดบั ความสามารถของนกั เรยี น
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ได้สรุปลักษณะของ
แบบฝึกท่ีดีควรคานึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความ
สอดคล้องกบั เนอื้ หา รูปแบบนา่ สนใจ และคาสงั่ ชัดเจน และได้สรปุ ลกั ษณะของแบบฝกึ ไว้ดังนี้
1. ใชห้ ลักจิตวทิ ยา
2. สานวนภาษาไทย
3. ให้ความหมายต่อชีวติ
4. คดิ ได้เรว็ และสนุก
5. ปลุกความน่าสนใจ
6. เหมาะสมกบั วัยและความสามารถ
7. อาจศกึ ษาได้ดว้ ยตนเอง
และได้แนะนาใหผ้ สู้ รา้ งแบบฝึกใหย้ ดึ ลกั ษณะของแบบฝึกไว้ดงั นี้
1. แบบฝกึ หดั ท่ดี คี วรมีความชดั เจนทง้ั คาส่งั และวธิ ีทาคาสง่ั หรือตัวอยา่ งวธิ ี
ทาทใ่ี ชไ้ มค่ วรยาวเกินไป เพราะจะทาใหเ้ ข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผใู้ ช้ท้ังนี้เพื่อให้
นักเรยี นสามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้ถา้ ต้องการ
2. แบบฝกึ หัดท่ดี คี วรมีความหมายต่อผเู้ รยี นและตรงตามจดุ มุ่งหมาย
ของการฝึกลงทนุ น้อยใช้ไดน้ านๆ และทันสมัยอยเู่ สมอ
3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้
ของผูเ้ รียน
4. แบบฝึกหดั ทด่ี คี วรแยกฝกึ เปน็ เร่ืองๆ แตล่ ะเรือ่ งไมค่ วรยาวเกนิ ไปแต่ควร
มีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบ่ือหน่ายในการทา และเพื่อฝึก
ทักษะใดทกั ษะหนงึ่ จนเกดิ ความชานาญ
5. แบบฝึกหัดท่ีดีควรมีทั้งแบบกาหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คา ข้อความ
หรือรูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นส่ิงที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่า
แบบฝึกหัดที่สร้างขน้ึ จะได้กอ่ ให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผใู้ ช้ ซึ่งตรงกบั หลักการเรียนรู้ได้เร็ว
ในการกระทาท่ีก่อให้เกดิ ความพึงพอใจ
6. แบบฝึกหัดท่ีดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จัก
คน้ คว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อยๆ หรือท่ีตนเองเคยใชจ้ ะทาให้นักเรียนสนใจเร่ืองนั้นๆ มากยิ่งขึ้นและ
จะรู้จักความรู้ในชีวิตประจาวันอย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าส่ิงท่ีเขาได้ฝึกฝนน้ันมี
ความหมายตอ่ เขาตลอดไป
7. แบบฝึกหัดท่ดี ีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผเู้ รียนแตล่ ะคน
จะมีความแตกต่างกันหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและ
ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนน้ั การทาแบบฝึกหัดแตล่ ะเรื่อง ควรจัดทาให้มากพอและมีทกุ ระดบั ตั้งแต่ง่าย
ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพ่ือว่าท้ังเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทาได้ตาม
ความสามารถ ทง้ั นี้เพ่ือให้เด็กทกุ คนประสบความสาเรจ็ ในการทาแบบฝึกหัด
8. แบบฝกึ หดั ที่ดีควรสามารถเรา้ ความสนใจของนักเรียนได้ตง้ั แต่หนา้ ปกไป
จนถึงหนา้ สดุ ท้าย
9. แบบฝกึ หดั ทด่ี ีควรไดร้ บั การปรบั ปรุงไปคู่กับหนงั สือแบบเรยี นอยู่เสมอ
และควรใชไ้ ดด้ ีท้ังในและนอกบทเรียน
10. แบบฝกึ หัดที่ดีควรเป็นแบบทสี่ ามารถประเมิน และจาแนกความเจรญิ
งอกงามของเด็กได้ดว้ ย
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ได้เสนอลักษณะท่ีดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่
เรียงลาดับจากงา่ ยไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรปู แบบนา่ สนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลัก
จิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และ ระดับช้ันของ
นักเรียน มีคาส่ัง คาช้ีแจงสั้น ชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ มีการจัดกิจกรรม การฝึกที่เร้า
ความสนใจ และแบบฝกึ นัน้ ควรทันสมยั อยู่เสมอ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดี คือ ควรมี
ความหลากหลายรูปแบบ เพ่ือไม่ให้เกิดความเบ่ือหน่าย และต้องมีลักษณะที่เร้า ย่ัวยุ จูงใจ ได้ให้คิด
พิจารณา ได้ศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจ
เหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี นตรงกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ มีเน้ือหาพอเหมาะ
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและ
แบบฝึกทกั ษะทีด่ ีไว้ว่า ดงั น้ี
1. จุดประสงค์
1.1 จุดประสงค์ชดั เจน
1.2 สอดคลอ้ งกบั การพฒั นาทกั ษะตามสาระการเรียนรู้ และ
กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้
2. เนื้อหา
2.1 ถูกตอ้ งตามหลักวชิ า
2.2 ใชภ้ าษาเหมาะสม
2.3 มีคาอธิบายและคาสงั่ ท่ีชัดเจน ง่ายตอ่ การปฏบิ ตั ิตาม
2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นาผู้เรียนสู่การสรุปความคิด
รวบยอดและหลกั การสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2.5 เป็นไปตามลาดับข้ันตอนการเรียนรสู้ อดคลอ้ งกบั วิธกี ารเรียนรู้
และความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
2.6 มีคาถามและกิจกรรมท่ีท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการ
เรียนรู้ของ ธรรมชาติวิชา
2.7 มีกลยุทธ์การนาเสนอและการต้ังคาถามที่ชัดเจน น่าสนใจ
ปฏบิ ตั ิไดส้ ามารถใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเพ่ือปรบั ปรุงการเรียนได้อยา่ งต่อเน่ือง
ผู้วิจัยพอสรุปลักษณะของแบบฝึกท่ีดีได้ว่า แบบฝกึ ทด่ี ีและมีประสิทธภิ าพ ชว่ ยทาให้นักเรียน
ประสบความสาเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกท่ีดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยท่ีสาคัญของครู
ทาให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทาให้ผูเ้ รยี นพัฒนาความสามารถของตนเพ่ือความมั่นใจในการเรียนได้
เป็นอย่างดี ดังนั้นครยู ังจาเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธกี าร ขั้นตอนในการฝึกทักษะต่าง ๆ มปี ระสิทธภิ าพ
ท่ีสุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างเต็มท่ีและแบบฝึกท่ีดีน้ันจะต้องคานึงถึง
องค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตามเน้ือหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และ
สภาพปญั หาของผเู้ รยี น
4.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ
ไพทูลย์ มูลดี (2556 : 52) ได้อธิบายประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดังน้ี คือ แบบฝึกมี
ความสาคัญ และจาเป็นต่อการเรยี นทกั ษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผ้เู รียนเข้าใจในบทเรียนได้ดี
ข้นึ สามารถจดจาเนอ้ื หาในบทเรยี นและคาศัพทต์ ่างๆ ไดค้ งทน ทาให้เกิดความสนกุ สนานในขณะเรยี น
ทราบความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนาแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นามาวัดผล
การเรยี นหลงั จากท่เี รียนแลว้ ตลอดจนสามารถทราบขอ้ บกพร่องของนักเรียนและนาไปปรับปรุงแก้ไข
ได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลทาให้ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก และยังให้นักเรียนนา
ภาษาไปใชส้ อ่ื สารไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพด้วย
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า
แบบฝึกช่วยในการฝึกหรือเสริมทักษะทางภาษา การใช้ภาษาของนกั เรียนสามารถนามาฝึกซ้าทบทวน
บทเรียน และผู้เรียนสามารถนาไปทบทวนด้วยตนเอง จดจาเน้ือหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน
ภาษาไทย แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอนอย่างหนึ่งซ่ึงสามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรียนหรือ
ประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรียนได้เป็นอย่างดี ทาให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของผู้เรียน
เฉพาะจดุ ได้ นกั เรยี นทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง ครปู ระหยัดเวลา ค่าใช้จา่ ยและลดภาระได้มาก
ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ไดอ้ ธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ
แบบฝึกทักษะเป็นส่ือการเรียนรู้ ท่ีมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการ
เรยี นรู้ในหนว่ ยการเรยี นรแู้ ละสามารถเรยี นรไู้ ด้ โดยสรุปไดด้ ังนี้
1. เป็นสื่อการเรียนรู้ เพ่ือพฒั นาการเรียนร้ใู ห้แกผ่ เู้ รยี น
2. ผู้เรียนมีสื่อสาหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การคิดวิเคราะห์ และ
การเขียน
3. เปน็ ส่อื การเรยี นร้สู าหรบั การแกป้ ัญหาในการเรยี นร้ขู องผู้เรียน
4. พัฒนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตดิ ้านต่างๆ ของผเู้ รยี น
จากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกท่ีดีและมีประสิทธิภาพช่วยทาให้
นักเรยี นประสบผลสาเร็จ ในการฝกึ ทักษะไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
สวุ ิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสรฐิ (2550 : 53 - 54) ไดส้ รปุ ประโยชน์
ของแบบฝกึ ทกั ษะไดด้ ังนี้
1. ทาให้เข้าใจบทเรียนดีข้ึน เพราะเป็นเคร่ืองอานวยประโยชน์ในการ
เรยี นรู้
2. ทาให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนทม่ี ตี อ่ บทเรยี น
3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมน่ั และสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้
4. ฝึกให้เด็กทางานตามลาพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับ
มอบหมาย
5. ชว่ ยลดภาระครู
6. ชว่ ยใหเ้ ด็กฝึกฝนไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี
7. ช่วยพฒั นาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าว
นน้ั ได้แก่
8.1 ฝึกทันทหี ลงั จากทีเ่ ดก็ ไดเ้ รยี นรู้ในเรอ่ื งน้ันๆ
8.2 ฝึกซ้าหลายๆครั้ง
8.3 เน้นเฉพาะในเรอื่ งทผี่ ิด
9. เปน็ เครือ่ งมือวัดผลการเรียนหลงั จากจบบทเรยี นในแต่ละครงั้
10. ใช้เปน็ แนวทางเพอ่ื ทบทวนด้วยตนเอง
11. ชว่ ยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปญั หาต่างๆของเดก็ ไดช้ ดั เจน
12. ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยแรงงานและเวลาของครู
พอสรุปได้ว่าแบบฝึกมีความสาคัญ และจาเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีข้ึน สามารถจดจาเนื้อหาในบทเรียนและคาศัพท์ต่างๆ ได้
คงทน ทาให้เกดิ ความสนุกสนาน ในขณะเรียนทราบความก้าวหนา้ ของตนเอง และครูมองเห็นจดุ เด่น
หรือปัญหาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนาแบบฝึกทักษะมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเอง
ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนาไปปรับปรุงได้ทันท่วงที ซ่ึงจะมีผลทาให้ครู
ประหยดั เวลา ประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย
4.4 หลกั การสรา้ งแบบฝึกทักษะ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 45) ได้สรปุ หลักการสร้างแบบฝึกทกั ษะดังน้ี
1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้ส่ิงเร้าและการตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียง
กนั จะสรา้ งความพอใจใหก้ ับผเู้ รยี น
2. การฝึก คือ การให้นักเรียนได้ทาซ้า ๆ เพ่ือช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจ
ทแี่ ม่นยา
3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทางานของตนด้วยการเฉลย
คาตอบจะช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นทราบขอ้ บกพรอ่ งเพ่ือปรบั ปรงุ แกไ้ ขและเปน็ การสร้างความพอใจแกผ่ ้เู รียน
4. การจูงใจ คือ การสร้างแบบฝึกเรียงลาดับ จากแบบฝึกง่ายและส้ันไปสู่
แบบฝกึ เรอ่ื งทยี่ ากและยาวขึ้น ควรมีภาพประกอบและมีหลายรส หลายรปู แบบ
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้สรุปหลักในการ
สร้างแบบฝึกว่าต้องมีการกาหนดเง่ือนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลาดับขั้นตอนของทุก
หนว่ ยการเรยี นได้ ถ้านกั เรยี นได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนกจ็ ะทาให้นักเรยี นประสบความสาเร็จ
มากขึน้
4.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทกั ษะ
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 61 - 62) ได้กาหนด
สว่ นประกอบของแบบฝกึ ทักษะไดด้ งั น้ี
1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสาคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้เพื่อ
อะไรและมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม
ประกอบดว้ ย
- ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึก
ทั้งหมดก่ีชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่นๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการ
ประเมนิ
- ส่ิงท่ีครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือ
นกั เรียนเตรยี มตวั ใหพ้ ร้อมลว่ งหน้ากอ่ นเรียน
- จุดประสงคใ์ นการใชแ้ บบฝกึ
- ข้ันตอนในการใช้ บอกข้อตามลาดับการใช้ และอาจเขียนใน
รูปแบบของแนวการสอนหรือแผนการสอนจะชดั เจนยง่ิ ขึน้
- เฉลยแบบฝึกในแตล่ ะชุด
2. แบบฝึก เป็นส่ือท่ีสร้างขึ้นเพ่ือให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพื่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ท่ี
ถาวรควรมีองค์ประกอบ ดงั น้ี
- ชื่อชดุ ฝึกในแต่ละชุดย่อย
- จดุ ประสงค์
- คาสง่ั
- ตวั อยา่ ง
- ชดุ ฝกึ
- ภาพประกอบ
- ขอ้ ทดสอบก่อนและหลังเรยี น
- แบบประเมนิ บันทึกผลการใช้
4.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึกทกั ษะ
สุวิทย์ มูลคา และสนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2550 : 62 - 64) ไดเ้ สนอแนะรูปแบบ
การสร้างแบบฝึก โดยอธิบายว่าการสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นสิ่งสาคัญในการท่ีจะจูงใจให้ผู้เรียนได้
ทดลองปฏิบัติแบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจาเจน่าเบื่อหน่าย
ไม่ท้าทายให้อยากรู้อยากลองจึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนาไป
ประยุกต์ใช้ ปรับเปลย่ี นรปู แบบอ่ืนๆ กแ็ ล้วแต่เทคนคิ ของแต่ละคน ซึ่งจะเรียงลาดับจากง่ายไปหายาก
ดงั นี้
1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่
เครื่องหมายถูกหรือผิดตามดุลยพนิ จิ ของผู้เรียน
2. แบบจบั คู่ เป็นแบบฝกึ ที่ประกอบด้วยตัวคาถามหรอื ตวั ปัญหา ซึ่งเปน็ ตัว
ยืนไว้ในสดมภ์ซ้ายมือ โดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคาตอบท่ีกาหนดไว้ในสดมภ์ขวามือ
มาจับคู่กบั คาถามให้สอดคลอ้ งกัน โดยใชห้ มายเลขหรอื รหสั คาตอบไปวางไว้ทวี่ ่างหน้าข้อความหรอื จะ
ใช้การโยงเสน้ ก็ได้
3. แบบเติมคาหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่จะเว้น
ช่องว่างไว้ให้ผู้เรียนเติมคาหรือข้อความท่ีขาดหายไป ซ่ึงคาหรือข้อความที่นามาเติมอาจให้เติมอย่าง
อสิ ระหรือกาหนดตัวเลอื กให้เตมิ ก็ได้
4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือ
ส่วนท่ีเป็นคาถาม ซ่ึงจะต้องเป็นประโยคคาถามท่ีสมบูรณ์ ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนท่ี 2 เป็นตัวเลือก
คอื คาตอบซึ่งอาจจะมี 3-5 ตวั เลือกก็ได้ ตัวเลอื กทั้งหมดจะมีตัวเลือกท่ีถูกท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วน
ที่เหลือเป็นตัวลวง
5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกท่ีตัวคาถาม ผู้เรียนต้องเขียน
บรรยายตอบอย่างเสรีตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จากัดคาตอบ แต่กาจัดคาตอบ แต่จากัดใน
เร่ืองเวลา อาจใชค้ าถามในรปู ท่วั ๆ ไป หรือเป็นคาสั่งใหเ้ ขยี นเร่อื งราวตา่ ง ๆ กไ็ ด้
4.7 ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 65) ได้เสนอแนะการสร้าง
แบบฝึกว่า ข้ันตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทอ่ืนๆ
ซึ่งมีรายละเอยี ดดังนี้
1. วเิ คราะหป์ ญั หาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน เช่น
- ปัญหาท่เี กดิ ขน้ึ ในขณะทาการสอน
- ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนกั เรียน
- ผลจากการสงั เกตพฤตกิ รรมทีไ่ ม่พึงประสงค์
- ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
2. ศึกษารายละเอียดในหลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เน้ือหา จุดประสงค์และ
กิจกรรม
3. พจิ ารณาแนวทางแก้ปญั หาที่เกดิ ขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และ
เลือกเนื้อหาในส่วนที่จะสร้างแบบฝึกนัน้ วา่ จะทาเรื่องใดบา้ ง กาหนดเป็นโครงเร่อื งไว้
4. ศกึ ษารปู แบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตัวอยา่ ง
5. ออกแบบชดุ ฝกึ แต่ละชุดใหม้ ีรปู แบบทีห่ ลากหลายนา่ สนใจ
6. ลงมอื สรา้ งแบบฝึกในแตล่ ะชดุ พร้อมทั้งข้อทดสอบกอ่ นและหลังเรียนให้
สอดคล้องกบั เนือ้ หาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
7. ส่งใหผ้ ู้เชย่ี วชาญตรวจสอบ
8. นาไปทดลองใช้ แล้วบนั ทกึ ผลเพอ่ื นามาปรบั ปรงุ แกไ้ ขส่วนท่ีบกพร่อง
9. ปรับปรุงจนมปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ีต่ ง้ั ไว้
10. นาไปใชจ้ ริงและเผยแพร่ต่อไป
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ
ดังน้ี
1. ศึกษาเนือ้ หาสาระสาหรับการจัดทาแบบฝึกหัด แบบฝกึ ทักษะ
2. วเิ คราะห์เนือ้ หาสาระโดยละเอยี ดเพ่อื กาหนดจดุ ประสงค์ในการจัดทา
3. ออกแบบการจัดทาแบบฝกึ หดั แบบฝึกทกั ษะตามจุดประสงค์
4. สร้างแบบฝกึ หดั และแบบฝกึ ทักษะและสว่ นประกอบอน่ื ๆ เชน่
4.1 แบบทดสอบก่อนฝกึ
4.2 บตั รคาสง่ั
4.3 ขนั้ ตอนกจิ กรรมท่ีผ้เู รยี นตอ้ งปฏบิ ตั ิ
4.4 แบบทดสอบหลงั ฝกึ
5. นาแบบฝึกหดั แบบฝกึ ทักษะไปใชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
6. ปรับปรุงพฒั นาใหส้ มบูรณ์
4.8 แนวคิดหลกั การท่เี กีย่ วข้องกับแบบฝกึ ทกั ษะ
อกนิษฐ์ กรไกร (2549 : 17) ได้ดาเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ ยดึ หลักให้นักเรียน
ไดเ้ รยี นรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ในความคาดหวัง ต้องการให้เดก็ ที่ใช้แบบฝกึ ทกั ษะ
มีพฤติกรรม ดังน้ี
1. Active Responding ให้ นั ก เรีย น มี ส่ ว น ร่วม ใน ก ารเรีย น อ ย่ าง
กระฉับกระเฉง ไม่ว่าจะเป็นคิดในใจหรอื แสดงออกมาด้วยการพูดหรอื เขียน นักเรียนอาจเขียนรปู ภาพ
เตมิ คาแต่งประโยคหรอื หาคาตอบในใจ
2. Minimal Error ในการเรยี นแตล่ ะครง้ั เราหวังวา่ นักเรยี นจะตอบคาถาม
ได้ถูกต้องเสมอ แต่ในกรณีที่นักเรียนตอบคาถามผิด นักเรียนควรมีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งท่ีเขา
ทาผิดเพอื่ ไปส่คู าตอบทถ่ี ูกต้องตอ่ ไป
3. Knowledge of Results เมื่อนักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รับ
เสริมแรง ถ้านักเรียนตอบผิดเขาควรได้รับการชี้แจง และให้โอกาสท่ีจะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับ
ประสบการณ์ที่เป็นความสาเร็จสาหรับมนุษย์แล้ว เพียงได้รู้ว่าทาอะไรสาเร็จก็ถือเป็นการเสริมแรงใน
ตวั เอง
4. Small Step การเรยี นจะตอ้ งเปิดโอกาสให้นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้ไปทลี ะน้อย
ด้วยตนเอง โดยใหค้ วามรูต้ ามลาดบั ขนั้ และเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นใคร่ครวญตามซง่ึ จะเป็นผลดตี อ่ การ
เรยี นรู้ของเด็กอย่างมากแม้ทเี่ รยี นออ่ นก็จะสามารถเรียนได้
สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้อธิบายแนวคิด
และหลักการสร้างแบบฝึกว่า การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควร
ละเลยเพราะการเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ต้องข้ึนอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมท่ีตอบสนอง
นานาประการ โดยอาศัยกระบวนการท่ีเหมาะสมและเปน็ วิธีท่ีดที ี่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ จาก
ข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ทาการค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สาหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนท่ีมี
ความสมั พันธ์กนั ดงั น้ี
1. ทฤษฎีการลองถูกลองผดิ ของธอรน์ ไดค์ ซงึ่ ไดส้ รุปเปน็ กฎเกณฑ์
การเรยี นรู้ 3 ประการ คอื
1.1 กฎความพร้อม หมายถงึ การเรยี นรู้จะเกดิ ขึน้ เมอ่ื บุคคลพรอ้ ม
ทีจ่ ะกระทา
1.2 กฎผลท่ีได้รับ หมายถึง การเรียนรทู้ ี่เกิดข้ึนเพราะบคุ คล
กระทาซ้าง่าย
1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทากิจกรรมต่างๆ
นัน้ ผู้ฝึกจะต้องควบคมุ และจัดสภาพการให้สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกาหนด
ลักษณะพฤติกรรมที่แสดงออก ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกาหนดกิจกรรมตลอดจนคาส่ังต่างๆ
ใบแบบฝึก ให้ผู้ฝึกได้แสดงพฤติกรรมสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคท์ ีผ่ ู้สร้างต้องการ
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซ่ึงมีความเช่ือว่า สามารถควบคุม
บุคคลให้ทาตามความประสงค์หรือแนวทางที่กาหนดโดยไม่ต้องคานึงถึงความรู้สึกทางด้ านจิตใจของ
บุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทา
โดยมีการเสรมิ แรงเป็นตัวการ เป็นบุคคลตอบสนองการเร้าของสิง่ เร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม
สง่ิ เรา้ นัน้ จะรกั ษาระดับหรอื เพ่มิ การตอบสนองใหเ้ ข้มขน้ึ
3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลาดับขั้น และผู้เรียน
จะต้องเรียนรู้เนื้อหาท่ีง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึก จึงควรคานึงถึงการฝึกตามลาดับจากง่ายไปหา
ยาก
4. แนวคิดของบลูม ซ่ึงกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความ
แตกตา่ งกันผเู้ รยี นสามารถเรียนรเู้ น้อื หาในหนว่ ยยอ่ ยตา่ งๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกนั
5. ปรัชญาในการจดั เรียนการสอนทเี่ น้นผูเ้ รยี นเป็นสาคัญ
วัฒนาพร ระงับทุกข์ ( 2550 : 10-12 ) ไดร้ วบรวมปรัชญาในการจดั การเรียนการสอนท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นสาคญั ดังน้ี
1. ปรัชญาพิพัฒนนิยม ( Progressivism ) มองว่าการศึกษาจะต้องพัฒนาผู้เรียน
ทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม อาชีพ และสติปัญญา ส่ิงท่ีเรียนควรเป็นประโยชน์สัมพันธ์
สอดคล้องกับชีวิตประจาวันและสังคมของผู้เรียนให้มากที่สุด รวมทั้งส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ท้ังในและนอกห้องเรียน และส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนได้รจู้ ักตนเองและสังคม เพ่ือผู้เรียนจะได้ปรับตัวให้เข้า
กบั สังคมไดอ้ ย่างมีความสุข ไมว่ ่าสงั คมจะเปล่ยี นไปอย่างใดกต็ าม ผู้เรียนจะต้องรู้จักแก้ปัญหาได้
2. ปรัชญาปฏริ ปู นิยม ( Reconstructionism ) จดุ มุ่งหมายหลักของการศึกษาใน
แนวทางนี้คือการศึกษาจะต้องเป็นไปเพื่อการปรับปรุง พัฒนา และสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีและ
เหมาะสมกว่าเดิม ปรัชญากลุ่มน้ีแตกต่างไปจากปรัชญาพิพัฒนนิยมอยู่มาก ตรงท่ีจะเห็นประโยชน์ท่ี
เกิดขึ้นกับตัวเองน้อยลง แต่เห็นประโยชน์ของสังคมมากข้ึน เด็กจะได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักใน
คุณค่าของสงั คมเรียนรู้วิธีการทางานร่วมกันเพ่ือเป้าหมายในการแกป้ ัญหาของสังคมในอนาคต ผูเ้ รียน
จะได้รับการฝึกฝนให้รู้จักเทคนิคและวิธีการต่างๆ ที่จะทาความเข้าใจและแก้ปัญหาของสังคม ใน
แนวทางของประชาธิปไตย
3. ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ( Existentialism ) ปรัชญาการศึกษานี้ เห็นว่าใน
สภาวะของโลกปัจจุบันมีสรรพสิ่งหรือทางเลือกมากมายเกินความสามารถท่ีมนุษย์เราจะเรียนรู้ จะ
ศึกษา และจะมีประสบการณ์ได้ท่ัวถึง ฉะน้ันมนุษย์เราควรจะมีสิทธิหรือโอกาสท่ีจะเลือกเรียนหรือ
ศึกษาสรรพสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเองมากกว่าท่ีจะให้ใครมาป้อนหรือมอบให้กระบวนการเรียนการ
สอนยึดหลักให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรู้จักตนเอง โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นโดยใช้คาถามนาไปสู้เป้าหมายท่ี
ผูเ้ รยี นแตล่ ะบคุ คลต้องการ ซง่ึ เป็นการจัดการศกึ ษาทเี่ น้นผ้เู รียนมคี วามรบั ผดิ ชอบในหน้าท่ีของตน
4. ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสนา (Buddhistisc Philosophy of
Education) เป็นปรชั ญาทอ่ี าศยั หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาในการอธิบายเร่ืองของชีวิตโลก
และ ปรากฏการณ์ต่างๆโดยเชื่อวา่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมปี ัญหา ไม่มีตัวตน และไม่มอี ะไรท่ียั่งยืนโดยไม่
เปล่ียน ทั้งยังเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาตามแรงกรรม ซึ่งรวมทั้งกรรมดีและกรรมช่ัว ( Innately good
and bad ) กรรมและการกระทาของมนุษย์เกิดข้ึนจากตัณหาหรือกิเลสซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์
มีศักยภาพท่ีจะสามารถขจัดกิเลสและควบคุมพฤติกรรมของตนให้เป็นไปในแนวทางที่ดี จุดมุ่งหมาย
ของการเรยี นการสอน จะมุง่ ใหผ้ เู้ รยี นเป็นผ้กู ระทาเองเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
แนวคิดในการจดั การเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั
แนวคิดหลักหรือแบบซิปปา (CIPPA MODEL)
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนสาคญั ท่ีกาลังไดร้ ับความสนใจก็คือการจัดการเรียนการสอน
โดยยึดผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลางแบบซิปปา CIPPA หรือแบบประสาน 5 แนวคดิ หลกั ท่ีพัฒนาโดย รศ. ดร.
ทิศนา แขมณี สาระสาคัญของหลักการสอนแบบ CIPPA ซ่ึงระบุไว้ว่าในการจัดการเรียนการสอนโดย
ใหผ้ ู้เรียนเป็นศูนยก์ ลาง จะต้องประกอบดว้ ยกจิ กรรมการเรียนรู้ ดังนี้
1. นักเรียนจะต้องมีสว่ นร่วมในการสร้างความรู้ ( Construction )แนวคิดการสรรค์
สร้างความรู้ หมายถึง การสง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รียนสรา้ งความรูต้ ามแนวคิดของ( Constructivism )
2. การมีโอกาสปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้จากผู้อื่น ( Interaction )นักเรียนจะมีโอกาส
พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือความรู้กันภายในกลุ่ม ในห้องเรียนในโรงเรียน หรือในชุมชนท่ี
นักเรียนอยู่ เรียกว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม นอกจากจะได้รับความรู้ ยังมีโอกาสเรียนรู้การอยู่
ดว้ ยกันในสังคมหรือการปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ คือมีโอกาสรับรู้ความรู้สึกจากสิ่งต่าง ๆหรือมีอารมณ์
ร่วมต่อเหตกุ ารณไ์ ด้ด้วยตนเอง
3. นักเรียนจะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ( Physical Praticipation ) นักเรียนได้
มีโอกาสแสดงบทบาทในกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาทรับรู้
ของผเู้ รียนต่นื ตัวกระฉับกระเฉง นกั เรยี นจะไดม้ ีส่วนรว่ มทางรา่ งกายและเกดิ ความพร้อมในการเรยี นรู้
4. นักเรยี นจะต้องได้เรยี นรเู้ ก่ียวกับกระบวนการ ( Process Learning ) นักเรียนได้
มีโอกาสใช้กระบวนการเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ หรือการได้รับความรู้จากการตอบคาถาม การ
อภิปราย การแลกเปล่ียนความรู้จากเพ่ือน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ อัน
เปน็ เครอื่ งมือทีผ่ ูเ้ รียนสามารถนาไปใชไ้ ด้ตลอดชวี ิต
5. นักเรียนจะต้องมีโอกาสนาความรู้ไปใช้ ( application ) นักเรียนมีโอกาสนา
ความรู้ท่ีสร้างข้ึนเองไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์อ่ืน ๆ ที่มีความคล้ายคลึงหรือเก่ียวข้องกัน การ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนนาความรู้ท่ีได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้
(นวลจิตต์ เชาวกีรตพิ งศ์. 2542 : 16-17)
6. การหาประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2558, หน้า 490-492) อธิบายถึงเกณฑ์และการกาหนดเกณฑ์
ประสิทธิภาพของชุดการสอนไว้ดังน้ี เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของ
ชุดการสอนท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นระดับท่ีผู้ผลิตชุดการสอนพึงพอใจหากชุดการสอนมี
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ แสดงว่าชุดการสอนนั้นมคี ุณค่าทีจ่ ะนาไปสอน และคุ้มค่ากับการ
ลงทุนผลิตออกมาเป็นจานวนมาก การกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ ทาโดยการประเมินผลพฤติกรรม
ของผู้เรียน ซึ่งประเมินออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และ
ประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) การประเมินพฤติกรรมต่อเนื่องจะเป็นการกาหนดค่าของ
ประสิทธิภาพ E1 ซ่ึงเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ และประเมินพฤติกรรมข้ันสุดท้ายจะ
กาหนดค่าเป็น E2 คือประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่องเป็นการประเมินผล
พฤติกรรมย่อย หลายพฤติกรรมอย่างต่อเน่ือง เรยี กว่า กระบวนการ(Process) ของผู้เรียนโดยสังเกต
จากรายงานกลุ่ม การรายงานบุคคลหรือจากการปฏิบัติงามตามที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนทา
กิจกรรมอื่นๆ ท่ีครูผู้สอนได้กาหนดไว้ ประเมินพฤติกรรมข้ันสุดท้ายเป็นการประเมินผลลัพธ์
(Product) ของผเู้ รยี นโดยพจิ ารณาจากผลการสอบหลังเรยี น และสอบปลายปีและปลายภาค
ประสิทธิภาพของชุดการสอน จะกาหนดเป็นเกณฑ์ที่ครูผู้สอนคาดว่าผู้เรียนจะเปลี่ยน
พฤติกรรมเป็นท่ีพึงพอใจ โดยกาหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลเฉล่ียคะแนนการทางานและการปฏิบัติ
กิจกรรมของผู้เรียนท้ังหมดต่อเปอร์เซ็นต์ผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด สรุปแล้ว
หมายถึง E1 และ E2 คือประสทิ ธภิ าพของกระบวนการและประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์
วธิ กี ารคานวณหาประสทิ ธิภาพ
ในการหาประสิทธิภาพของชุดการสอนโดยใช้เกณฑ์ E1/E2 เป็นวิธีการท่ีสามารถช้ีวัด
ประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน ได้ท้ังภาพรวมในลักษณะกว้าง และวัดส่วนย่อยเป็นราย
จุดประสงค์ทาให้ได้ผลการวัดที่ชัดเจน นาข้อมูลที่ได้มาเป็นเครื่องตัดสินใจได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการอื่น
มาประกอบให้เกิดการซ้าซ้อนอีกเกณฑ์ที่ใช้คือ E1/E2 อาจเท่ากับ 80/80 หรือ 90/90 หรืออ่ืนๆอีกก็
ได้ แตถ่ ้ากาหนดเกณฑ์ไว้ต่าเกินไปอาจทาใหผ้ ู้ใช้บทเรยี นไม่เช่ือถอื คุณภาพของบทเรียน การหาค่า E1
และ E2 มวี ธิ กี ารคานวณหาค่าร้อยละ โดยใช้สูตรตอ่ ไปนี้
E1 = (∑X/N) X 100
A
โดย E1 คอื ประสิทธิภาพของกระบวนการที่จัดไว้ในชดุ การสอนคดิ เป็นร้อยละจาก
การทาแบบฝึกหดั และหรือประกอบด้วยกจิ กรรมการเรียนระหว่างเรียน
∑X คอื คะแนนจากการทาแบบฝกึ หดั และหรือการประกอบกิจกรรมการเรียน
ระหว่างเรยี น
A คอื คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดและหรือกิจกรรมการเรียน
N คือ จานวนผู้เรยี น
E1 = (∑X/N) X 100
B
โดยที่ E2 คือ ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ (พฤติกรรมทเ่ี ปลี่ยนในตัวผ้เู รยี นหลังการ
เรียนดว้ ยชดุ การเรยี นการสอน) คดิ เป็นอัตราสว่ นจากการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นและหรือประกอบ
กจิ กรรมหลังเรียน
∑F คือ คะแนนรวมของผู้เรยี นจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนและหรือการ
ประกอบกิจกรรมหลงั เรยี น
B คอื คะแนนเตม็ ของการสอบหลังเรยี นและหรือกิจกรรมหลังเรยี น
N คอื จานวนผ้เู รียน
7. งานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง
พนมวัน วรดลย์ (2552 : 36-39) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 87.74/82.11 และมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสงู ขึ้น อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01
ธนภสสรณ์ ก้อนทอง (2553 : 20) ไดศ้ ึกษาเร่ือง การทดลองสอนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะ
การเขียนสะกดคากับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคายากทาให้
นักเรียนเกิดการ เรียนรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงควรได้รับการสง่ เสริมให้ครูผู้สอนได้มกี ารสร้างแบบ
ฝึกโดยวิเคราะหค์ ามากอ่ นว่าคาใดเป็นคายากสาหรับนกั เรียนและใช้แบบฝกึ เข้าช่วยใน การสอนสะกด
คาการสอนเขียนสะกดคาเป็นเรื่องที่เด็กไม่ค่อยชอบเรียน โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาด้าน การเขียนจะ
รู้สึกเบื่อหน่ายและวิตกกังวลทุกคร้ังท่ีจะต้องเรียนเร่ืองการเขียนสะกดคา ดัง นั้นครูจึงต้องหาวิธีและ
รปู แบบท่ีจะทาบทเรียนให้สนุกสนานน่าสนใจ โดยหากิจกรรม แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาประกอบการสอน
อยเู่ สมอ
มาลินี ศรีวรการ (2555:16) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการอ่านภาษาไทยให้คล่องของ
นักศึกษา ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 พบว่า การแก้ปัญหาของนักเรียนที่อ่านออก เสียง ร ล ว ควบ
กล้าให้ได้ดีน้ันต้องใช้ระยะเวลาและการฝึกฝนเพียงเท่าน้ัน และนักเรียนต้องมีความรับผิดชอบในการ
ฝึกทักษะการอา่ นใหพ้ ฒั นาขึน้ กจ็ ะสามารถอ่านออกเสยี งได้
วงศ์เดือน มีทรัพย์ (2557 : 68-72) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบ
ฝกึ ทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 เร่ือง ครั้งหนึ่งยังจาได้ เคร่ืองมือที่ใช้
ในการศึกษาค้นคว้าได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ แบบสอบถามความพึง
พอใจ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 87.09/85.29 ซึ่งสูงกว่า
เกณฑ์ที่ตั้งไว้ แบบฝึกทักษะมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.74 และมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี นอย่างมีนยั ทางสถิติที่ระดับ .05
ประวีณา เอ็นดู (2557 : 71-74) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย
เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ช้ันชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้าน
น้อย จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้
เรอ่ื งการอ่านและการเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ มีประสิทธภิ าพ 86.11/83.33
วเิ ศษ แปวไธสง (2557 : 46-51) ได้ศกึ ษาการพัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้และแบบฝึก
ทกั ษะประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณท์ างภาษา เรื่อง ลูกอ๊อด
หาแม่ ชั้นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสามคั คีคุรรุ าษฎร์บารุง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาบุรีรมั ย์
เขต 4 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรูม้ ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80.85/85.05 ซึ่งสูงกว่า
เกณฑ์ท่ีตั้งไว้ แบบฝึกทักษะมีคุณภาพอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด มีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิระดับ .05
บรรจง จันทร์พันธ์ (2558 : 94-100) ได้พัฒนาแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ
ภาษาไทย เรื่องการสะกดคาไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่ม
ตวั อย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านโพธิ์งาม สานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2546 จานวน 26 คน ผล
การศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เร่ืองการสะกดคาไม่ตรงตาม
มาตราตัวสะกด สาหรบั นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ที่สร้างขน้ึ มปี ระสิทธิภาพเท่ากับ 85.98/82.75
ซง่ึ เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตง้ั ไว้และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.692 ซ่ึงหมายความว่านักเรียนมีความรู้
เพ่ิมข้ึนร้อยละ 60.92 และนักเรียนมีความพอใจต่อแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรอื่ ง
การสะกดคาไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด โดยรวมอยใู่ นระดับ ปานกลาง
จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องของการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและ
การเขียนสะกดคา สรุปได้ว่าการฝึกเสริมทักษะภาษาไทยมีความจาเป็นและความสาคัญอย่างมากใน
การเรียนภาษาไทย ซ่งึ เป็นการเสริมหรอื ฝึกทักษะโดยการทาซา้ ๆ เนน้ ย้า ทบทวน เพื่อใหน้ ักเรียนเกิด
ทักษะการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยน้ัน ต้องคานึงถึงหลักการสร้างแบบฝึกทักษะเพ่ือให้ตรง
กับความต้องการของนักเรียนและเพ่ือให้ตรงกับวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด ดังนั้นแบบฝึกทักษะที่ดีจึงจะ
ทาให้ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธข์ิ องนกั เรียนน้ันสงู ข้ึน
บทที่ 3
วธิ ดี าเนนิ การวิจยั
ผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษา
โรคสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยโดย
เรียงลาดับและข้ันตอนในการวิจยั ไดด้ งั ต่อไปนี้
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการศกึ ษา
3. แบบแผนการทดลอง และข้นั ตอนการทดลอง
4. การสร้างและการหาคุณภาพเคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษา
5. การวิเคราะห์ข้อมลู
6. สถิติทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษาพะเยา จานวน
5 ห้องเรียน มนี ักเรียนทงั้ หมด 200 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยในคร้งั น้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนท่ี
2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาพะเยา
จานวน 43 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยการเลอื กสุม่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั
1. แบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสยี ง นิทานรักษาโรค ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1
จานวน 5 แบบฝกึ
- แบบฝกึ ทักษะการอา่ นออกเสียง เลม่ ที่ 1 โรค ร ล ลกั ปดิ ลักเปิด
- แบบฝึกทกั ษะการอ่านออกเสียง เลม่ ท่ี 2 โรค ควบกล้าเป็นพิษ
- แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสียง เล่มท่ี 3 โรค จ เจอื จาง
- แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง เลม่ ที่ 4 โรค ซ ศ ษ ส อกั เสบ
- แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสยี ง เล่มที่ 5 โรค ถ ท บกพร่อง
2. แบบทดสอบทักษะดา้ นการอา่ นออกเสยี ง ก่อน – หลงั เรียน
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
3.1 แบบแผนการวจิ ยั
การวิจัยครั้งน้ี ได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test
Design เสริมพงศ์ วงศ์กมลาไสย (2548 : 57) โดยมีลักษณะการวจิ ยั ดังตารางที่ 1
ตารางท่ี 1 แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design
กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test
ทดลอง T1 X T2
T1 หมายถงึ การทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test )
X หมายถงึ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ดว้ ยแผนการจัดการเรียนรู้
การอ่านออกเสยี ง โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ
T2 หมายถงึ การทดสอบหลังเรยี น (Post-test)
3.2 ข้นั ตอนการดาเนินการ
การดาเนินการวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การ
พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม
โดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค จานวน 43 คน ใช้เวลาในการดาเนินการ
5 ชวั่ โมง ไมร่ วมเวลาทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น โดยมลี าดบั ขั้นตอนการดาเนนิ การ ดังน้ี
3.2.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) ด้วยแบบทดสอบวัดทักษะ การอ่านออกเสียง
ที่ผ้รู ายงานสรา้ งข้นึ จานวน 5 ชุด กบั นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
3.2.2 ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนได้บนั ทึกคะแนนการทากิจกรรมกลุ่มและการทาแบบฝกึ ทกั ษะไวท้ ุกครั้ง
3.2.3 เม่ือดาเนินการสอนครบทุกแผนแล้วทาการทดสอบทักษะ การอ่านออกเสียง
หลังเรยี น (Post-test) กบั นกั เรียนกลมุ่ ตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบชดุ เดิมกับกอ่ นเรยี น
4. การสร้างและการหาคุณภาพเคร่ืองมอื
ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการสรา้ งเครอ่ื งมือในการศึกษาตามลาดบั ดังน้ี
1. การสร้างแบบฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษา
ปีที่ 1 ผ้วู จิ ัยได้ดาเนินการสรา้ งเครอื่ งมอื ในการวจิ ยั ดังนี้
1.1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรยี นเชียงคาวิทยาคม สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษาพะเยา
1.2 ศึกษาหลักสตู ร คน้ ควา้ ข้อมูล คู่มอื การจดั การเรยี นรู้ หลักสตู รโรงเรียนเชียงคา
วิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เกย่ี วกบั การจัดทาหน่วยการเรยี นรู้
1.3 ศกึ ษาการสร้างแบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสียง นิทานรักษาโรค กลุ่มสาระการ
เรียนรภู้ าษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 จากเอกสารตา่ ง ๆ
1.4 ดาเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 5 แบบฝึก
1.5 นาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสยี ง ไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ
1.6 นาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรคไปทดลองใช้กับนักเรียนที่
ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม จานวน 43
คน เพื่อดูเวลาท่ีใช้ ความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เร้าความสนใจของนักเรียน สอดคล้องกับ
เน้ือหา
1.7 นาแบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสียง นิทานรักษาโรคที่ปรับปรุงแกไ้ ขแล้ว นาไป
ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม
จานวน 43 คน
2. การสร้างแบบทดสอบวัดทักษะด้านการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออก
เสยี ง นทิ านรกั ษาโรค สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ผู้วจิ ยั ได้ดาเนินการสร้างตามลาดับ ดงั น้ี
2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นแบบอิงเกณฑข์ องบญุ ชม ศรสี ะอาด (2555 : 89-90)
2.2 ศึกษาหลักสูตร คู่มือการวัดผลและประเมินผลตามหลักสูตรโรงเรียนเชียงคา
วทิ ยาคม พทุ ธศักราช 2562 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
2.3 กาหนดเนอื้ หาและกาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกบั เน้ือหาสาระ
2.4 สร้างแบบทดสอบวัดทกั ษะดา้ นการอ่านออกเสียง แบบอัตนยั จานวน 5 ชดุ
2.5 นาแบบทดสอบที่สร้างข้ึน เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมกับข้อ (1.6) เพื่อพิจารณา
ความเท่ียงตรงของเน้ือหา ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคล้องระหว่าง
แบบทดสอบกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ โดยมีเกณฑก์ ารให้คะแนน ดงั นี้
ใหค้ ะแนน +1 เม่อื แน่ใจว่า ขอ้ สอบน้นั วัดตรงตามจุดประสงค์
ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจวา่ ข้อสอบน้นั วดั ตรงตามจุดประสงค์
ให้คะแนน -1 เมอื่ แนใ่ จว่า ขอ้ สอบนน้ั วัดไม่ตรงตามจุดประสงค์
5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
การศึกษาครั้งน้ี ผศู้ ึกษาทาการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยวเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี
1. วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉล่ียที่ได้จากการทาแบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
2. วเิ คราะหห์ าประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทักษะ
3. วิเคราะห์หาคะแนนเฉล่ียและร้อยละของคะแนนเฉล่ียที่ได้จากการประเมินการ
ทาแบบฝกึ ทักษะระหวา่ งเรียน
6. สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
6.1 การวิเคราะห์แบบทดสอบวดั ทักษะด้านการอ่านออกเสียง สถติ ิทใี่ ช้ ไดแ้ ก่
6.1.1 รอ้ ยละ (Percentage ) ใชส้ ูตร P ของบุญชม ศรสี ะอาด (2555 : 104)
สตู ร P f 100
N
เมื่อ P แทน รอ้ ยละ
f แทน ความถที่ ี่ต้องการแปลงใหเ้ ปน็ ร้อยละ
N แทน จานวนความถที่ ง้ั หมด
6.1.2 ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใช้สูตรของ บุญชม
ศรีสะอาด (2555 : 105)
สตู ร X X
N
เมอ่ื X แทน คา่ เฉลยี่
X แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกลมุ่
N แทน จานวนนกั เรยี น
6.1.3 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation) โดยใช้สูตร S.D. ของ
บุญชม ศรสี ะอาด (2555 : 106)
สูตร
S.D. N X 2 X 2
NN 1
เมือ่ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x2 แทน คะแนนแตล่ ะตัว
N แทน จานวนคะแนนในกลุ่ม
แทน ผลรวม
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู เรื่อง ผลการพัฒนาทักษะการอา่ นออกเสียง โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการ
อา่ นออกเสียง นิทานรักษาโรค เพอื่ หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการอา่ นออกเสียง นิทานรักษา
โรค และเพือ่ พัฒนาทกั ษะการอา่ นออกเสียง โดยใช้แบบฝกึ การอ่านออกเสยี ง นิทานรกั ษาโรค สาหรับ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
2 ตอน ดงั น้ี
ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ค่าประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสยี ง นทิ านรักษา
โรค สาหรับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นเชียงคาวิทยาคม
ตอนท่ี 2 ผลการพฒั นาทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบ
ฝึกการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค โรค สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเชียงคา
วทิ ยาคม
ตอนที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพรายเล่มของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษา
โรค สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม
หลังจากผู้วิจัยได้นาแบบฝึกการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี 1 ท่ีจัดการเรียนรู้ร่วมกับแบบฝึกจานวน 5 แบบฝึกทักษะ ไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1/1 จานวน 43 คน ได้ประเมินผลหลังจากการจัดกิจกรรมและการใช้แบบฝึกทักษะ แล้วนาผลมา
คานวณหาคา่ ประสทิ ธิภาพแบบฝึกทกั ษะ ตามเกณฑ์ 80/80 ผลปรากฏดงั ตาราง ตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี 1 ตารางหาประสิทธภิ าพรายเล่มของแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านออกเสียง นทิ านรักษา
โรค สาหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นเชยี งคาวิทยาคม
คะแนนการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเรยี นรูร้ ะหว่างเรียน
เล่มที่ 1 เลม่ ท่ี 2 เล่มที่ 3 เล่มท่ี 4 เลม่ ที่ 5
แบบ ึฝกทักษะ (60)
แบบทดสอบ (25)
แบบ ึฝกทักษะ (60)
แบบทดสอบ (20)
แบบ ึฝกทักษะ (50)
แบบทดสอบ (25)
แบบ ึฝกทักษะ (80)
แบบทดสอบ (25)
แบบ ึฝก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (25)
รวม 2,122 971 2,214 743 1,856 965 3,075 973 2,033 998
คา่ เฉลย่ี 47 23 49 17 43 22 72 23 47 23
S.D. 6.52 1.74 7.35 1.42 4.42 1.87 3.82 1.76 6.28 1.71
คะแนนการใชแ้ บบฝึกทักษะการเรยี นรู้ระหว่างเรยี น
เล่มท่ี 1 เล่มท่ี 2 เล่มท่ี 3 เลม่ ที่ 4 เล่มที่ 5
แบบฝึก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (25)
แบบฝึก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (20)
แบบฝึกทักษะ (50)
แบบทดสอบ (25)
แบบฝึกทักษะ (80)
แบบทดสอบ (25)
แบบฝึก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (25)
รอ้ ยละ 82.25 90.33 85.81 86.40 86.33 89.77 89.39 90.51 84.50 92.84
E1/E2 82.25/90.33 85.81/86.40 86.33/89.77 89.39/90.51 84.50/92.84
จากตารางท่ี 1 พบว่า ประสิทธิภาพรายเล่มของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง
นิทานรักษาโรค สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) เล่มท่ี 1 แบบฝึก
ทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ร ล ลักปิดลักเปิด เท่ากับ 82.25/90.33 เล่มท่ี 2 นิทาน
รักษาโรค ควบกล้าเป็นพิษ เท่ากับ 85.81/86.40 เล่มท่ี 3 นิทานรักษาโรค จ เจือจาง เท่ากับ
86.33/89.77 เล่มท่ี 4 นิทานรักษาโรค ซ ศ ษ ส อักเสบ เท่ากับ 89.39/90.51 และเล่มที่ 5 นิทาน
รักษาโรค ถ ท บกพร่อง เท่ากบั 84.50/92.84 ตามลาดบั ซ่งึ สงู กวา่ เกณฑท์ ี่กาหนด คือ 80/80
ตารางที่ 2 ผลการหาประสทิ ธิภาพรวมของแบบฝึกทักษะการอา่ นออกเสยี งนิทานรกั ษาโรค
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นเชยี งคาวิทยาคม จานวน 43 คน
ผลการหาประสิทธภิ าพรวมของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี ง
คะแนนรวมระหวา่ งเรยี นจากการ คะแนนหลังเรียน จากการ
ทาแบบฝึกทกั ษะ เล่มท่ี 1-5 ทดสอบทักษะการอา่ นออกเสยี ง
(310 คะแนน) (20 คะแนน)
รวม 11,447 1,518
ค่าเฉลีย่ 266.21 35.30
รอ้ ยละ 85.87 88.26
E1/E2 85.87/88.26
จากตารางที่ 2 พบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงนิทานรักษาโรค
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม โดยภาพรวมมีประสิทธิภาพ E1/E2
เทา่ กับ 85.87/88.26 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑท์ ่ีกาหนด 80/80
ตอนที่ 2 การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึก
ทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเชียงคา
วทิ ยาคม ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ปรากฎดงั ในตารางท่ี 3 ดงั นี้
หลงั จากผู้วิจัยไดน้ าแบบฝึกแบบฝึกทกั ษะการอ่านออกเสียงนิทานรักษาโรค ไปใช้กับนกั เรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 43 คน และได้ประเมินผลคะแนนก่อนเรียน – หลังเรียน โดย
เปรียบเทยี บผลการพัฒนาทกั ษะการอา่ นออกเสยี ง ผลปรากฏดังตารางต่อไปน้ี
ตารางท่ี 3 ตารางแสดงคะแนนเฉลีย่ และคา่ ร้อยละของคะแนนทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น
ผลการเปรียบเทยี บคะแนนกอ่ นเรียน – หลังเรยี น โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสยี ง นิทานรกั ษา
โรค
คะแนน รอ้ ยละ คะแนน รอ้ ยละ ผลต่าง รอ้ ยละ
ก่อนเรยี น หลังเรียน ความกา้ วหน้า
รวม 969 2,422.5 1518 3,795 549 1,372.50
ค่าเฉล่ีย 22.53 56.34 35.30 88.26 12.77 31.92
จากตารางท่ี 3 พบว่า คะแนนเฉล่ยี ทกั ษะการอา่ นออกเสียงภาษาไทยจากการทดสอบก่อน
เรยี น เฉลย่ี เทา่ กบั 22.53 คิดเป็นร้อยละ 56.34 ทดสอบหลงั เรียน เฉล่ยี เท่ากบั 35.30 คิดเป็น
ร้อยละ 88.26 แสดงให้เหน็ ว่านกั เรยี นมคี วามก้าวหนา้ ในทักษะการอ่านออกเสยี งในภาษาไทยสูงขนึ้
บทท่ี 5
สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
การดาเนินการวิจัย เรื่อง ผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการ
อ่านออกเสียง นิทานรักษาโรคสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม โดยมี
วัตถุประสงค์เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค และเพื่อ
พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค กลุ่มตัวอย่าง
ที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม สานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยาจานวน 43 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบ เจาะจง
(Purposive Sampling)
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1จานวน 5 แบบฝึก และแบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 40 ข้อ โดยการดาเนินการวิจัยในครั้งน้ี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
ได้มาจากการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้วิจัยได้เป็นผู้ดาเนินการเองโดยมี
ขั้นตอนในการดาเนินการดังน้ี ได้นาแบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง ไปทดสอบก่อนเรียน
(Pretest) กันนักเรียน จานวน 43 คนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ
อ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค จานวน 5 แบบฝึก แล้วจึงทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง
(Posttest)ด้วย แบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียงชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียนโดยการสลับ
ขอ้
สรุปผลการศกึ ษา
1. ผลการประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียงนิทานรักษาโรค สาหรับ
นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 มีค่าประสทิ ธภิ าพรายชดุ (E1/E2) ดังน้ี
- แบบฝึกทักษะเล่มที่ 1 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
ร ล ลกั ปิดลักเปิด มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 82.25/90.33
- แบบฝึกทักษะเล่มที่ 2 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
ควบกลา้ เป็นพษิ มปี ระสทิ ธภิ าพ (E1/E2) เทา่ กบั 85.81/86.40
- แบบฝึกทักษะเล่มที่ 3 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
จ เจอื จาง มปี ระสิทธิภาพ (E1/E2) เทา่ กับ 86.33/89.77
- แบบฝึกทักษะเล่มที่ 4 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
ซ ศ ษ ส อกั เสบ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากบั 89.39/90.51
- แบบฝึกทักษะเล่มท่ี 5 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
ถ ท บกพร่อง มปี ระสทิ ธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 84.50/92.84
ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงนิทานรักษาโรค สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม โดยภาพรวมมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ
85.87/88.26 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑท์ ีก่ าหนด 80/80
2. การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คะแนน
เฉล่ียทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทยจากการทดสอบกอ่ นเรียน เฉล่ียเท่ากับ 22.53 คดิ เป็นร้อย
ละ 56.34 ทดสอบหลังเรียน เฉลีย่ เท่ากับ 35.30 คิดเป็นร้อยละ 88.26 แสดงให้เห็นวา่ นักเรียนมี
ความกา้ วหนา้ ในทกั ษะการการอ่านออกเสียงในภาษาไทยสงู ขน้ึ
อภิปรายผล
จากการรายงาน ผลการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1
พบประเด็นสาคญั ท่ีควรนามาอภิปรายผล ดังน้ี
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงนิทานรักษาโรค สาหรับ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม โดยจานวน 5 แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ
E1/E2 เท่ากบั 85.87/88.26 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ทกี่ าหนด 80/80 เนอ่ื งด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ท่ีผู้วิจัยได้ศึกษาวิธีการและขั้นตอนการ
สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ได้ผ่านการตรวจ แนะนา แก้ไขข้อบกพร่อง
และประเมินความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
ก่อนนาไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการทาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง ช่วยให้นักเรียนเข้าใจ
เนื้อหาได้ดีขึ้น จดจาความรู้ได้นานและคงทน รวมท้ังพัฒนาความรู้ทักษะและเจตคติด้านต่าง ๆ ของ
นักเรียนให้ดีย่ิงข้ึน ผู้วิจัยได้สร้าง แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค ตามแนวทางการ
สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปัญหาและความ
ตอ้ งการ วิเคราะหเ์ นื้อหาและทกั ษะท่ีเปน็ ปัญหาออกเป็นเนือ้ หาย่อยแล้วดาเนินการสรา้ งตามหลักการ
สร้างแบบฝึกทักษะท่ีดี ของสุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) กล่าวว่า
แบบฝึกทักษะที่ดีควรคานึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม
ความสอดคล้องกับเนอ้ื หา รูปแบบน่าสนใจ และคาสั่งชัดเจน และ ฐานิยา อมรพลัง (2548: 78) ได้
เสนอลักษณะท่ีดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกท่เี รยี งลาดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบ
น่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้
ภาษาเหมาะสมกับวัย มีการจัดกิจกรรมการฝึกที่เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้นควรทันสมัยอยู่เสมอ
แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบฝึกทักษะท่ีใช้ร่วมกับแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีได้นาเอากิจกรรมต่าง ๆ มาจัด
ให้สอดคล้องกันในแต่ละแผน ซึ่งประกอบด้วยเกม ภาพ เพ่ือถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ในลักษณะท่ีจะ
ส่งเสริมสนับสนนุ ซึ่งกนั และกนั โดยถือว่าสอื่ แต่ละอย่างให้คณุ ค่าแตกต่างกัน จากเหตุผลดังกล่าวแบบ
ฝึกทักษะการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จึงเป็นแบบฝึกทักษะการ
อ่านและการเขียนสะกดคาท่ีมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พนมวัน วรดลย์ (2552 :
36-39) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะ การเขียนสะกดคาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และตรง
กับประวีณา เอ็นดู (2557 : 71-74) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การ
อา่ นและการเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบา้ นน้อย จังหวัด
นครราชสีมา ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ืองการอ่าน
และการเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ 86.11/83.33 เช่นเดียวกับ วงศ์เดือน
มีทรัพย์ (2557 : 68-72) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ครั้งหนึ่งยังจาได้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการศึกษา
ค้นควา้ พบว่า แผนการจดั การเรยี นรู้ มปี ระสิทธิภาพ 87.09/85.29ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ตี ั้งไว้ และตรงกับ
วิเศษ แปวไธสง (2557 : 46-51) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ
ประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง ลูกอ๊อดหาแม่
ช้ันช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสามัคคีคุรุราษฎร์บารุง สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต 4
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.85/85.05 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์
ทตี่ ้ังไว้
ดงั น้ันจึงสรุปได้ว่าการจัดทาแบบฝึกทักษะที่ได้ผ่านการตรวจ แนะนา แก้ไขข้อบกพร่อง
และประเมินความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เช่ียวชาญ ผ่านการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
ก่อนนาไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นไปตาม ปรัชญาในการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
สาคัญ ตามที่ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2550: 10-12) ได้กล่าวถึง ปรัชญาปฏิรูปนิยม ที่มีจุดมุ่งหมาย
หลักของการศึกษาเน้นจะต้องเปน็ ไปเพื่อการปรับปรุง พัฒนา และปรัชญาพิพัฒนนยิ ม ทวี่ ่าการศึกษา
จะต้องพัฒนาผู้เรียนท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม อาชีพ และสติปัญญา จึงทาให้แบบฝึกทักษะการ
อ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียง ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
2. จากการวิจัย พบว่าคะแนนเฉลี่ยทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทยจากการ
ทดสอบก่อนเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 22.53 คิดเป็นร้อยละ 56.34 ทดสอบหลังเรียน เฉล่ียเท่ากับ
35.30 คดิ เป็นร้อยละ 88.26 แสดงให้เห็นวา่ นักเรียนมีความก้าวหน้าในทักษะการการอ่านออกเสยี ง
ในภาษาไทยสงู ข้ึน แสดงใหเ้ ห็นว่า การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝึกการอ่านออกเสียง นิทานรกั ษาโรค
สาหรบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 ทาให้ผลการพฒั นาทักษะด้านการอ่านออกเสยี ง
2.1 แบบฝึกการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ทสี่ ร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้นักเรียนมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการ
เรียนหลังเรียนสูงขึ้น ได้เรียนรู้ทีละน้อยตามขั้นตอนท่ีครูเตรียมการสอนมาแล้ว ทาให้นักเรียนมี
กาลังใจที่จะเรียนรู้เน้ือหาใหม่ต่อไป ดังผลการสรุปงานวิจัยของ บรรจง จันทร์พันธ์ (2558 : 94-
100) ได้พัฒนาแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่องการสะกดคาไม่ตรงตามมาตรา
ตวั สะกดสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอยา่ งที่ใชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า คือ นักเรยี นชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนบา้ นโพธิ์งาม สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาร้อยเอด็ เขต 3 ภาคเรยี นท่ี 2
ปีการศึกษา 2558 จานวน 26 คน ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ
ภาษาไทย เร่ืองการสะกดคาไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 มีค่า
ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.692 ซึง่ หมายความว่านกั เรียนมีความรเู้ พิ่มข้นึ ร้อยละ 60.92 และนกั เรียนมี
ความพอใจต่อแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เร่ืองการสะกดคาไม่ตรงตามมาตรา
ตัวสะกด โดยรวมอยูใ่ นระดบั ปานกลาง
จงึ สรปุ ได้ว่า การใช้แบบฝึกทักษะ ช่วยส่งเสริมทักษะและพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
ผ่านการฝึกฝนเทคนิคและวิธีการต่างๆ สอดคล้องกับปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ที่ว่า มนุษย์จะเรียนรู้
ศึกษาโดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นนาไปสู่เป้าหมายที่ผู้เรียนแต่ละบุคคลต้องการ (วัฒนาพร ระงับทุกข์
,2550) ฉะน้ันการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค เป็นแบบฝึกทักษะท่ีช่วย
ส่งเสริมพัฒนาความสามารถด้านการอ่านออกเสียงและทาให้นักเรียนมีผลการพัฒนาทักษะการอ่าน
ออกสียงหลงั เรยี นสูงข้นึ
2.2 การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้ยึดหลักการสอนตามความต้องการของผู้เรียน ให้
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนตั้งแต่เริ่มฟัง อ่าน พูด และเขียน ตลอดถึงข้ันตรวจผลงานด้วย
ตนเอง นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ใช้ส่ือท่ีเป็นรูปธรรมมากกว่าสิ่งท่ีเป็นนามธรรมและประกอบ
กิจกรรมด้วยตนเอง ทางานร่วมกับเพอ่ื นเปน็ กลุ่มเพ่ือใชใ้ ห้นักเรียนเขา้ ใจการเรียนรู้แบบประสบการณ์
เน้ือหาเหมาะสมกับความสามารถในการรับรูข้ องนกั เรยี นระดับประถมศึกษา ทาให้นักเรียนเกิดความ
เพลิดเพลินสนุกสนาน มีความกระตือรือร้นท่ีจะเรียน เพราะการเรียนการสอนท่ีน่าสนใจ ช่วยให้
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นการสอนสูงข้ึน รวมทั้ง ธนภสสรณ์ ก้อนทอง (2553 : 20) ได้ศึกษาเรอื่ ง การ
ทดลองสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคากับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า แบบฝึก
ทักษะการเขียนสะกดคายากทาให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรได้รับการ
ส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้มีการสร้างแบบ ฝึกโดยวิเคราะห์คามาก่อนว่าคาใดเป็นคายากสาหรับนักเรียน
และใช้แบบฝึกเข้าช่วยใน การสอนสะกดคาการสอนเขียนสะกดคาเป็นเรื่องที่เด็กไม่ค่อยชอบเรียน
โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาด้าน การเขียนจะรู้สึกเบ่ือหน่ายและวติ กกังวลทุกครั้งที่จะต้องเรียนเร่ืองการ
เขียนสะกดคา ดัง น้ันครูจึงต้องหาวิธีและรูปแบบท่ีจะทาบทเรียนให้สนุกสนานน่าสนใจ โดยหา
กิจกรรม แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาประกอบการสอนอยู่เสมอ พร้อมท้ัง มาลินี ศรีวรการ (2555:16) ได้
ศึกษาเร่ือง การพัฒนาการอ่านภาษาไทยให้คล่องของนักศึกษา ช้ันปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 พบว่า
การแก้ปัญหาของนักเรียนท่ีอ่านออก เสียง ร ล ว ควบกล้าให้ได้ดีนั้นต้องใช้ระยะเวลาและการฝึกฝน
เพียงเท่าน้ัน และนักเรียนต้องมีความรับผิดชอบในการฝึกทักษะการอ่านให้พัฒนาข้ึน ก็จะสามารถ
อ่านออกเสียงได้
ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้
1.1 การเลือกเนื้อหาท่ีนามาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่ิงสาคัญควรคานึงถึงความ
เหมาะสมของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเน้ือหาใดทน่ี ักเรียน
สนใจ นกั เรยี นจะเกดิ ความกระตือรือรน้ การเรียนรเู้ พ่ิมมากข้นึ
1.2 ครูผู้สอนภาษาไทยควรนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค
สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นไปใช้ประกอบการสอน เนื่องจากแบบฝึกทักษะนี้ มี
ประสิทธภิ าพสูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 ที่กาหนดไว้
1.3 ในระหว่างการดาเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนท่ีมี
ความสามารถในการเรียนต่า อาจจะไม่เข้าใจหรือเกิดการเรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ครู
ควรใช้เทคนิคเสรมิ แรงกระตนุ้ ให้นักเรียนสนใจ หรอื อธิบายใหเ้ ขา้ ใจชัดเจนอีกครง้ั
2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งตอ่ ไป
2.1 ควรมีการนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง นิทานรักษาโรค สาหรับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นชุดนี้ ไปทดลองใช้กับนักเรียนโรงเรียนอ่ืน เพื่อจะได้ข้อสรุป
ผลการวจิ ยั ที่กว้างขวางมากขึน้
2.2 ควรมีการสร้างแบบฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียง เนื้อหาที่เข้าใจยาก หรือเนื้อหา
ท่ีเป็นปัญหาต่อการเรียนการสอนในกลุ่มทักษะภาษาไทยในแต่ละระดับช้ันที่สูงขึ้น เพื่อนาไปทดลอง
หาประสทิ ธิภาพ
บรรณานกุ รม
กรมวชิ าการ. (2560). คูม่ อื การจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560). กรงุ เทพฯ : องคก์ ารรับส่งสนิ คา้ และพสั ดุภณั ฑ์.
----------. (2546). คูม่ ือแนวการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตาม
หลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). กรมวิชาการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช
2551. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
คมขา แสนกล้า. (2547). การพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการ
เขยี นคาควบกล้า วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
ฉวีลกั ษณ์ บุญกาญจน. (2557). จิตวทิ ยาการอ่าน. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั 21 เซน็ จูรจ่ี ากดั .
ฉววี รรณ คหู าภินนั ท.์ (2555). การอ่านและการส่งเสรมิ การอา่ น. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ :
โสภณการพิมพ.์
ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2558). การทดสอบประสิทธภิ าพส่ือหรือชดุ การสอน. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ
การศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
ฐานิยา อมรพลัง. (2548). การพฒั นาแผนการจดั การเรยี นร้หู ลักภาษาไทย เรอ่ื ง ไตรยางศ์ ดว้ ย
แบบฝกึ เกมและเพลงสาหรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ. (2550). แบบฝึกหดั แบบฝึกทักษะเพอื่ พฒั นาการเรียนรูผ้ ู้เรยี นและการ
จดั ทาผลงานวิชาการของขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา. พิมพค์ ร้ังที่ 2.
กรุงเทพฯ : ธารอกั ษร.
ทองคูณ หนองพร้าว. (2547). การพัฒนาแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู ละบทเรยี นสาเรจ็ รปู
เรอื่ ง จังหวดั ของเรา (บรุ รี มั ย)์ กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย
มหาสารคาม.
นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์. (2542). การจดั การเรยี นการสอนทเี่ น้นผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ. กรงุ เทพฯ :
สานักงานปฏิรูปการศึกษา.
นริ นั ดร์ สขุ ปรดี .ี (2550). การศึกษาอัตราความเรว็ และความเข้าใจในการอา่ นของนักเรียน ช้นั
ประถมศึกษาปีท่ี 4 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
นิลวรรณ อัคติ. (2548). การพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง
การผนั วรรณยกุ ต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศกึ ษาปี ที่ 2. วิทยานพิ นธ์การศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
บรรจง จนั ทร์พนั ธ์. (2558). การพฒั นาแผนการเรยี นรูแ้ ละแบบฝกึ ทักษะภาษาไทย เรอื่ ง การ
เขียนสะกดคาไมต่ รงตามมาตราตวั สะกด ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
บุญชม ศรสี ะอาด. (2555). การวิจัยเบือ้ งต้น. พิมพค์ รั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สวุ ีรยิ าสาสน์ .
ประทีป วาทกิ ทนิ กร. (2552). รอ้ ยกรอง. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
ประวีณา เอ็นดู. (2557). การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย เร่ือง การอ่านและการเขยี น
สะกดคาโดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1. การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ
การศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
เผชญิ กิจระการ และ สมนึก ภทั ยธน.ี (2545). “ดัชนีประสทิ ธผิ ล” วารสารการวัดผลการศึกษา
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. 12 (8) : 30-36 กรกฎาคม.
พนมวนั วรดลย.์ (2552). การสร้างแบบฝึกหัดการเขียนสะกดคา ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปี
ท่ี2. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม.(การประถมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรี
นครินทร์วโิ รฒ ประสานมิตร.
พวงรตั น์ ทวรี ัตน์. (2540). วิธกี ารวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร.์ พิมพค์ ร้ังที่ 7 ฉบับ
ปรับปรงุ ใหม่. กรุงเทพฯ : สานักทดสอบทางการศึกษาและจติ วิทยา มหาวิทยาลัยศรี
นครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร.
พินจิ จนั ทร์ซ้าย. (2546). การสรา้ งหนังสอื และแบบฝึกทักษะประกอบการเรียนกลมุ่ สาระ การ
เรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณภ์ าษา ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 เรื่อง บญุ ผะเหวด
ร้อยเอด็ . วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
ไพบลู ย์ มลู ดี. (2546). การพัฒนาแผนการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาท่ีไมต่ รง
ตามมาตราตวั สะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2.
วิทยานพิ นธก์ ารศึกษามหาบัณฑติ , สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน, บัณฑติ วิทยาลยั ,
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. (2540). ประมวลสาระชุดวชิ าทฤษฏีและแนวปฏบิ ัตใิ นการ
บรหิ ารการศึกษา. พิมพ์คร้ังที่ 2. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
มาลินี ศรวี รการ. (2555). รายงานการวจิ ยั เรือ่ งการพฒั นาการอา่ นภาษาไทยให้คลอ่ งของนกั ศกึ ษา
ช้ันปท่ี ี่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2555. กรุงเทพฯ: วิทยาลยั อาชวี ศึกษา ศาสนบรหิ ารธุรกิจ สานักงาน
คณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2531. พมิ พ์คร้ังท่ี 2.
กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น์.
เรวดี อาษานาม. (2550). พฤตกิ รรมการสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. ภาควิชาหลักสูตรและ
การสอน. มหาสารคาม : สถาบนั ราชภัฏมหาสารคาม.
วงค์เดอื น มีทรัพย์. (2557). การพฒั นาแผนการจัดการเรยี นรแู้ ละแบบฝกึ ทักษะ กลุ่มสาระการ
เรียนร้ภู าษาไทยชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 เร่ือง ครงั้ หน่งึ ยงั จาได.้ การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
วรรณี โสมประยรู . (2550). การสอนภาษาไทย ระดบั ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ .
วรรณภา ไชยวรรณ. (2549). การพัฒนาแผนการอ่านและการเขยี นภาษาไทยเรอ่ื งอักษรควบและ
อกั ษรนาสาหรับนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ. การศกึ ษาค้นคว้า
อิสระการศกึ ษามหาบัณฑิต บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
วัฒนาพร ระงับทุกข.์ (2550). แผนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานชิ .
วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์. (2549). นวตั กรรมตามแนวคิด Backward Design. ภาควชิ าหลักสูตรและ
การสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วิเศษ แปวไธสง. (2547). การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรแู้ ละแบบฝึ กทกั ษะประกอบการเรียน
กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เร่ือง ลกู ออ๊ ดหาแม่ ชัน้
ประถมศึกษาปที ี่ 2. การศึกษาค้นคว้าอิสระการศึกษามหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สมควร นอ้ ยเสนา. (2549). การพัฒนาการอา่ นและการเขียนภาษาไทยสาหรับนักเรียนทมี่ ีปญั หา
การเรยี นรู้โดยใช้แผนผงั ความคิดและแบบฝึกทกั ษะ. การศกึ ษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สมนึก ภัททิยธน.ี (2549). การวัดผลการศกึ ษา. คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั
มหาสารคาม.
สมใจ นาคศรสี ังข์. (2549). การสร้างแบบฝึกการอ่านและเขียนสะกดคาจากแหล่งเรยี นรใู้ นท้องถิน่
ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 4. การศึกษาค้นคว้าอิสระการศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต บัณฑิต
วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2550). สรปุ ผลการประชุมสัมมนาประสานแผนและ
แลกเปล่ียนองค์ความรู้การดาเนินงานพัฒนาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ
: สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน.
สนุ ันทา มน่ั เศรษฐวทิ ย์. (2553). หลกั และวธิ สี อนอ่านภาษาไทย. พมิ พ์คร้งั ท่ี 5. กรงุ เทพฯ :
บรษิ ัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จากดั .
สุวทิ ย์ มลู คา และ สุนันทา สุนทรประเสรฐิ . (2550). ผลงานทางวชิ าการสู่...การเลือ่ นวิทยฐานะ.
กรงุ เทพฯ : อี เค บุคส์.
เสริมพงศ์ วงศก์ มลาไสย. (2548) การพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ภาษาไทย เร่อื ง หลวงตาพลวง
โดยใช้กจิ กรรมกลุ่มแบบจกิ ซอวแ์ ละแผนผงั ความคดิ ชั้นประถมศกึ ษาปี ที่ 5. การศึกษา
คน้ ควา้ อิสระ การศึกษามหาบัณฑติ มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
อกนิษฐ์ กรไกร. (2549). การพัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้ กาพย์ยานี 11 ดว้ ยแบบฝึกทักษะ ช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่เี รียนด้วยกลุ่มร่วมมอื แบบ Co-op Co – op และแบบเดยี่ ว.
วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผู้เชียวชาญตรวจเคร่อื งมอื วิจยั
1. นางราเพย คาแดงดี ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี นเชียงคาวิทยาคม
2. นางรุจริ า แสงศรจี ันทร์ ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนเชียงคาวิทยาคม
3. นายยงยุทธ โขนภเู ขยี ว ครูชานาญการพิเศษ โรงเรยี นเชยี งคาวิทยาคม
ภาคผนวก ข เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้
2. แบบทดสอบทักษะดา้ นการอา่ นออกเสยี ง กอ่ น – หลังเรยี น
3. แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านออกเสยี ง นทิ านรักษาโรค ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1
จานวน 5 แบบฝึก
- แบบฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียง เล่ม 1 โรค ร ล ลกั ปิดลกั เปดิ
- แบบฝกึ ทักษะการอ่านออกเสยี ง เล่ม 2 โรค ควบกลา้ เป็นพษิ
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นออกเสียง เล่ม 3 โรค จ เจือจาง
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นออกเสยี ง เล่ม 4 โรค ซ ศ ษ ส อกั เสบ
- แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสียง เล่ม 5 โรค ถ ท บกพรอ่ ง
ภาคผนวก ค การเก็บรวบรวมข้อมลู
1. คะแนนการใช้แบบฝกึ ทักษะการเรียนร้รู ะหว่างเรยี น
2. ผลการหาประสทิ ธิภาพรวมของแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสียง
3. แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียน – หลังเรียน
4. ค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ
ตารางแสดงคะแนนการใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเรียนรรู้ ะหว่างเรยี น
คะแนนการใช้แบบฝึกทกั ษะการเรยี นรรู้ ะหว่างเรยี น
เล่มที่ 1 เลม่ ท่ี 2 เลม่ ท่ี 3 เลม่ ท่ี 4 เลม่ ที่ 5
นกั เรยี น แบบ ึฝก ัทกษะ (60)
คนที่ แบบทดสอบ (25)
แบบฝึก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (20)
แบบฝึก ัทกษะ (50)
แบบทดสอบ (25)
แบบ ึฝก ัทกษะ (80)
แบบทดสอบ (25)
แบบฝึก ัทกษะ (60)
แบบทดสอบ (25)
1 55 20 57 16 47 21 66 22 58 20
2 57 20 54 17 41 20 68 20 45 20
3 54 20 35 16 42 20 71 20 47 20
4 35 25 55 16 46 20 75 25 55 25
5 55 23 57 16 37 25 74 23 57 23
6 44 24 55 18 44 23 66 24 54 24
7 55 22 55 19 45 24 68 22 35 22
8 57 21 45 16 33 22 77 21 55 24
9 36 20 57 16 42 21 71 22 44 23
10 38 20 54 17 47 20 78 20 55 25
11 45 20 52 16 50 20 80 20 56 23
12 52 25 55 16 33 20 68 25 58 24
13 47 23 56 16 37 25 62 23 47 22
14 55 24 55 18 41 23 77 24 55 24
15 42 22 50 19 42 24 68 22 45 23
16 46 21 45 16 47 22 68 21 47 25
17 47 20 57 16 50 20 72 22 55 20
18 44 20 54 17 33 20 74 20 57 25
19 48 20 54 16 37 25 73 20 54 23
20 47 25 55 16 41 23 71 25 35 24
21 55 23 53 16 36 24 70 23 55 22
22 45 24 55 18 47 22 77 24 44 24
23 52 22 44 19 41 21 68 22 55 23