หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เหตุการณแ์ ละ
การเปล่ยี นแปลงสาคญั ของระบอบการ
ปกครองไทย
ภายหลัง การปฏิรูปการปกครองและการปฏิรูป
การศึกษาในรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้มีกระแสความคิดที่จะให้
ประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงการปกครอง จากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครองท่ีมีรัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมาย สูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีรัฐสภาเป็น
สถาบันหลักที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากข้ึน
เป็น ลาดับ จนกระทั่งได้มีคณะนายทหารชุดกบฏ ร.ศ.130 ซึ่งมี
ความคิดท่ีปฏิบัติการให้บรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว แต่ไม่ทันลง
มือกระทาการกถ็ กู จบั ไดเ้ สยี ก่อนเมอื่ พ.ศ.2454 ในตน้ รชั กาลท่ี 6
อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องให้มีการเปล่ียนแปลงการปกครองก็
ยังคงมีออกมาเป็นระยะๆ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ยังไม่ผลต่อ
การเปลยี่ นแปลงใดๆ มากนกั
นอกจากการปรับตัวของรัฐบาลทางด้านการเมืองการ
ปกครองให้ทันสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิมเท่าน้ัน แต่ก็ยังไม่ได้มีการ
ประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
แต่ประการใด จนกระทั่งในสมัยรัชกาลท่ี 7 ได้มีคณะผู้ก่อการ
ภายใต้การนาของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งได้ก่อการ
เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสาเร็จใน พ .ศ. 2475
ดังน้ันการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จึง
เป็นการเปล่ียนแปลงทางการเมืองที่สาคัญของประวัติศาสตร์ชาติ
ไทยสภาพการณ์โดยทั่วไปของบ้านเมืองก่อนเกิดการเปล่ียนแปลง
การปกครอง
1.สภาพการณท์ างสังคม
สงั คมไทยกาลังอย่ใู นชว่ งเวลาของการ
เปลย่ี นแปลงเข้าสคู่ วามทนั สมยั ตามแบบตะวนั ตกในทกุ ๆ
ด้าน อนั เป็นผลสบื เน่ืองมาจากการปฏริ ปู แผน่ ดินเข้าสู่
ความทันสมัยในรชั กาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453) ความจริง
แล้วสังคมไทยเรม่ิ ปรบั ตวั ให้เข้ากับกระแสวัฒนธรรม
ตะวันตกมาตั้งแตส่ มัยรัชกาลท่ี 4 ภายหลงั ได้ทา
สนธิสัญญาบาวรงิ กับองั กฤษใน พ.ศ.2398 และกับประเทศ
อ่นื ๆในภาคพ้ืนยุโรปอกี หลายประเทศ และทรงเปดิ รับรบั
ประเพณแี ละวัฒนธรรมของตะวันตก เชน่ การจ้าง
ชาวตะวนั ตกใหเ้ ป็นครูสอนภาษาอังกฤษแกพ่ ระราชโอรส
และพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวงั การใหข้ ้าราชการ
สวมเส้ือเข้าเฝา้ การอนญุ าตให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้า
พรอ้ มกบั ขนุ นางขา้ ราชการไทยในงาน
พระบรมราชาภิเษก เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลท่ี 5 ได้ทรงดาเนินพระบรมราโชบาย
ปลดปล่อยไพร่ให้เป็นอิสระและทรงประกาศเลิกทาสให้เป็นไทย
แก่ตนเอง พร้อมกันน้ันยังทรงปฏิรูปการศึกษาตามแบบตะวันตก
เพื่อให้คนไทยทกุ คนได้รับการศึกษาถึงขั้นอ่านออกเขียนได้และคิด
เลขเป็น ไม่วา่ จะเป็นเจ้านาย บตุ รหลานขุนนาง หรือราษฎรสามัญ
ชนที่พ้นจากความเป็นไพร่หรือทาส ถ้าบุคคลใดมีสติปัญญาเฉลียว
ฉลาดก็จะมีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศตะวันตกโดย
พระบรมราชานุเคราะหจ์ ากผลการปฏิรูปการศึกษา ทาให้คนไทย
บางกลุ่มท่ีได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก เริ่มรับ เร่ิมรับเอา
กระแสความคิดเกยี่ วกับการเมอื งสมัยใหม่
ท่ียึดถือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครอง
ประเทศมาจากตะวันตก และ มีความปรารถนาท่ีจะเห็นการ
เปล่ียนแปลงการปกคราองเกดิ ข้ึนใน
ประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากคากราบบังคมทูลถวายถึงความ
คิดเห็นในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะเจ้านายและ
ข้าราชการใน พ.ศ.2427 (ร.ศ.103) หรือการเรียกร้องให้มีการ
ปกครองในระบบรฐั สภาของ “เทียนวรรณ” (ต.ว.ส. วัณณาโภ) ใน
หน้าหนังสือพิมพใ์ นสมัยรชั กาลท่ี 5 เป็นตน้ และกระแสความคิดน้ี
ก็ดาเนินสืบเน่ืองมาโดยตลอดในหมู่ผู้นาสมัยใหม่ท่ีได้รับการศึกษา
จากประเทศตะวันตก และจากผู้ที่ได้รับการศึกษาตามแบบ
ตะวนั ตก
อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ก ลุ่ ม ผู้ น า ส มั ย ใ ห ม่ บ า ง ส่ ว น ท่ี ไ ด้ รั บ
ผลประโยชน์จากระบบราชการสมัยใหม่ที่ตนเองเข้าไปมีหน้าที่
รับผิดชอบอยู่ ก็ถูกระบบราชการดูดกลืนจนปฏิเสธที่จะยอมรับ
การเปล่ียนแปลงทางการเมืองสมยั ใหมใ่ นระยะเวลาอันใกล้ เพราะ
มีความเห็นว่าประชาชนชาวไทยยังขาดความพร้อมที่จะรับการ
เปลี่ยนแปลง สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปประเทศเข้าสู่ความ
ทันสมัย สังคมไทยก็เร่ิมก้าวเข้าสู่ความมีเสรีในการแสดงความ
คดิ เหน็ มากข้ึน โดยเร่ิมเปิดโอกาสสื่อมวลชนเสนอความคิดเห็นต่อ
สาธารณชนได้ค่อนข้างเสรี ดังน้ันจึงปรากฏว่าส่ือมวลชนต่างๆ
เช่น น.ส.พ.สยามประเภท, ตุลวิภาคพจนกิจ, ศิริพจนภาค, จีนโน
สยามวารศัพท์ ซ่ึงตีพิมพ์จาหน่ายในรัชกาลท่ี 5 น.ส.พ. บางกอก
การเมือง ซ่ึงพิมพ์จาหน่ายในสมัยรัชกาลท่ี 6 และ น.ส.พ.สยาม
รีวิว ซ่ึงพิมพ์จาหน่ายในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้เรียกร้องและช้ีนาให้มี
การเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ระบบรัฐสภา โดยมี
รัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศอย่างต่อเน่ือง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปลดปล่อยไพร่และทาสให้
เป็นอิสระในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ผ่านพ้นไปได้เพียง 20 ปีเศษ
ดังน้ันสภาพสังคมส่วนใหญ่ในสมัยรัชกาลท่ี 7 ก่อนที่จะเกิดการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
วัฒนธรรมในระบบเจ้าขุนมูลนาย นอกจากนี้คนส่วนน้อยยังคงมี
ฐานะ สิทธิ ผลประโยชนต์ ่างๆ เหนือคนไทยส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่
มักมีความเห็นคล้อยตามความคิดท่ีส่วนน้อยซ่ึงเป็นชนช้ันนาของ
สังคมไทยช้ีนา ถ้าจะมีความขัดแย้งในสังคมก็มักจะเป็นความ
ขัดแยง้ ในทางความคิด และความขัดแย้งในเชิงผลประโยชน์ในหมู่
ชนชั้นนาของสังคมท่ีได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก
มากกว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชนช้ันผู้นาของสังคมไทยกับ
ราษฎรท่ัวไป
2.สภาพการณ์ทางเศรษฐกจิ
ในสมัยรัชกาลท่ี 4 ได้เริ่มมีการส่งข้าวออกไปขายยังต่างประเทศ
มากข้ึน เพราะระบบการค้าท่ีเปล่ียนแปลงไปและความต้องการ
ของตลาดโลก ชาวนาจึงหันมาปลูกข้าวเพ่ือส่งออกมาข้ึน ทาให้มี
การปลูกพืชอ่ืนๆ น้อยลง ผลผลิตที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนก็
ลดลงด้วยบางที่ก็เลิกผลิตไปเลย เพราะแรงงานส่วนใหญ่จะ
นาไปใช้ในการผลิตข้าวแทนสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเห็นว่า
ถึงแม้รายได้ของแผ่นดินจะเพิ่มพูนมากข้ึนอันเป็นผลมาจากระบบ
เศรษฐกิจเปล่ยี นไป แตก่ ารทร่ี ะบบการคลังของแผ่นดินยงั ไม่รัดกุม
พอ ทาให้เกิดการรั่วไหลได้ง่าย จังทรงจัดการปฏิรูปการคลังโดย
จัดต้ังหอรัษฎากรพิพัฒน์ข้ึน เพ่ือการปรับปรุงและการจัดระบบ
ภาษีให้ทันสมัยใน พ.ศ.2416 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
งบประมาณ พ.ศ.2434 เริ่มโครงการปฏิรูปเงินตราใหม่ พ.ศ.2442
จัดการส่งเสริมการเกษตรและการผลิตเพื่อการส่งออกให้มากข้ึน
ปรับปรุงการคมนาคมให้ทันสมัยโดยการสร้างทางรถไฟ ตัดถนน
สายต่างๆ ขุดคลอง เพื่อให้เกิดความสะดวกในการคมนาคม การ
ขนสง่ สินค้าและผลผลิต ซง่ึ ผลการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่
5 ทาให้รายได้ของประเทศเพิม่ มากขึ้น 15 ล้านบาท
ใน พ.ศ.2435 เปน็ 46 ลา้ นบาทใน พ.ศ.2447 โดยไมไ่ ด้
เพ่มิ อตั ราภาษแี ละชนดิ ของภาษีข้ึนอย่างใด ทาใหเ้ งนิ กองคลงั ของ
ประเทศ ซ่ึงเคยมีอยปู่ ระมาณ 7,500,000 บาท ใน พ.ศ.2437
เพิม่ เปน็ 32,000,000 บาทใน พ.ศ.2444
สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468) ได้มีการส่งเสรมิ
ธรุ กจิ ดา้ นอตุ สาหกรรมปนู ซเี มนต์ กจิ การไฟฟ้า มกี ารจดั ตั้งบรษิ ัท
พาณิชยน์ าวสี ยาม สง่ เสริมดา้ นชลประทานและการบารงุ พนั ธ์ุขา้ ว
จดั ตง้ั ธนาคารออมสิน สรา้ งทางรถไฟเพิม่ เติมจากเดิม ทง้ั น้ีเพ่อื
หวงั ผลทางเศรษฐกิจท่ีเจริญก้าวหน้ายิ่งขน้ึ แตเ่ นื่องจากได้อทุ กภยั
ใน พ.ศ.2460 และเกิดฝนแลง้ ใน พ.ศ. 2462 ทาให้การผลติ ข้าว
อันเปน็ ทม่ี าของรายไดห้ ลักของประเทศประสบความเสยี หาย
อยา่ งหนกั สง่ ผลกระทบตอ่ ภาวะการคลังของประเทศอย่างไม่มี
ทางหลีกเลยี่ ง ทาใหง้ บประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับมาโดย
ตลอดระหวา่ ง พ.ศ.2465-2468
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2475) พระองค์ได้ทรง
แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มพระสติกาลังความสามารถ โดยทรง
เสียสละด้วยการตัดทอนรายจ่ายในราชสานัก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่
หน่วยราชการต่างๆ โดยโปรดให้ลดเงินงบประมาณรายจ่ายส่วน
พระองค์ จากเดิมปีละ 9 ล้านบาท เหลือปีละ 6 ล้านปี พ.ศ.2469
และมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรใหม่หลายอย่าง ทาให้
งบประมาณรายรับรายจ่ายเกิดความสมดุล พ.ศ.2472-2474
เศรษฐกิจโลกเริ่มตกต่าอันเป็นผลเน่ืองมาจากสงครามโลกครั้งท่ี 1
จึงส่งผลกระทบต่อประเทศโดยตรง ทาให้งบประมาณรายจ่ายสูง
กว่ารายรับเป็นจานวนมาก รัชกาลที่ 7 ได้ทรงดาเนินนโยบายตัด
ทอนรายจา่ ยอยา่ งเขม้ งวดท่สี ดุ
รวมท้ังปลดข้าราชการออกจากตาแหน่งเป็นจานวน
มากเพ่ือการประหยัด ตลอดจนจัดการยุบมณฑลต่างๆท่ัวประเทศ
งดจ่ายเบี้ยเล้ียงและเบ้ียกันดารแก่ข้าราชการ ประกาศให้เงินตรา
ของไทยออกจากมาตรฐานทองคา และกาหนดค่าเงินตราตามเงิน
ปอนด์สเตอร์ลิง รวมท้ังการประกาศเพ่ิมภาษีราษฎรโดยเฉพาะ
ข้าราชการซ่ึงจะต้องเสียภาษีที่เรียกว่า ภาษเงินเดือน แต่ถึงแม้ว่า
จะทรงดาเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการประหยัดและ
ตัดทอนรายจ่ายต่างๆ รวมท้ังการเพ่ิมภาษีบางอย่างแล้ว แต่
สถานการณ์ทางเศรษฐกจิ ก็ยังไม่ไดเปลย่ี นแปลงในทางท่ีดขี ้ึน
3.สภาพการณ์ทางการเมอื ง
สภาพการณ์ทางการเมืองและการปกครองของไทยกาลัง
อยู่ในระยะปรับตัวเขา้ สูแ่ บบแผนการปกครองของตะวันตก เห็น
ไดจ้ ากพระบรมราโชบายของพระมหากษัตรยิ ์ไทยทุกพระองค์
ภายหลังที่ไทยได้มีการติดตอ่ กับประเทศตะวนั ตกอย่างกว้างขวาง
นับตัง้ แตส่ มยั รัชกาลท่ี 4-7สมัยรชั กาลที่ 4 ยงั ไม่ได้ทรงดาเนนิ
นโยบายปรบั ปรงุ การปกครองให้เปน็ แบบตะวันตก แตก่ ท็ รงมีแนว
พระราชดาริโนม้ เอียงไปในทางเสรนี ยิ ม เช่น ประกาศให้เจา้ นาย
และขา้ ราชการเลอื กต้งั ตาแหน่งมหาราชครปู โุ รหติ และตาแหน่ง
พระมหาราชครมู หิธร อันเป็นตาแหน่งตลุ าการทว่ี า่ งลง แทนทีจ่ ะ
ทรงแต่งตั้งผู้พิพากษาตามพระราชอานาจของพระองค์ และ
เปล่ียนแปลงวิธถี วายน้าพิพฒั นส์ ัตยา ดว้ ยการทพ่ี ระองคท์ รงเสวย
นา้ พพิ ฒั น์สตั ยาร่วมกบั ขนุ นางข้าราชการและทรงปฏิญาณความ
ซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อขุนนางข้าราชการทงั้ ปวงดว้ ย
สมัยรชั กาลที่ 5 ทรงปฏิรปู การเมืองการปกครองคร้ัง
ใหญ่ เพื่อให้การปกครองของไทยได้เจรญิ ก้าวหน้าทดั เทยี มกับชาติ
ตะวันตก โดยจดั ต้งั สภาทปี่ รึกษาราชการแผน่ ดิน (Council of
State) และสภาท่ีปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) ใน
พ.ศ.2417 เพอื่ ถวายคาปรึกษาเกย่ี วกับการบรหิ ารราชการแผ่นดิน
และในเรอ่ื งตา่ งๆ ท่พี ระองคข์ องคาปรึกษาไป นอกจากนพี้ ระองค์
ยงั ทรงปฏิรปู การปกครองท่ีสาคัญคอื การจดั ตั้งกระทรวงแบบใหม่
จานวน 12 กระทรวงขึ้นแทนจตุสดมภ์ในส่วนกลางและจดั ระบบ
การปกครองหัวเมอื งตา่ งๆในรูปมณฑลเทศาภบิ าลในภูมภิ าค โดย
เริ่มตงั้ แต่ พ.ศ.2435 เปน็ ตน้ มา นอกจากนี้พระองค์ทรงริเรมิ่
ทดลองการจดั การปกครองทอ้ งถน่ิ ในรปู สขุ าภบิ าล จดั ต้งั รัฐ
มนตรสี ภา เพื่อทาหนา้ ที่ตามกฎหมาย ใน พ.ศ.2437 ตาม
แบบอย่างตะวนั ตก
สมัยรัชกาลท่ี 6 ทรงริเรม่ิ ทดลองการปกครองแบบ
ประชาธปิ ไตยโดยการจัดตง้ั ดุสติ ธานี เมอื งประชาธิปไตยข้นึ ใน
บรเิ วณพระราชวงั ดสุ ิต พ.ศ.2461 เพอื่ ทดลองฝกึ ฝนใหบ้ รรดา
ข้าราชการได้ทดลองปกครองตนเองในนครดุสิตธานี เหมือนกบั
การจดรปู แบบการปกครองท้องถ่นิ ที่เรยี กว่า “เทศบาล”
นอกจากนยี้ งั ทรงจดั ต้งั กระทรวงข้ึนมาใหมจ่ ากทีม่ ีอยเู่ ดิม และยบุ
เลกิ กระทรวงบางกระทรวงเพ่อื ให้มคี วามทันสมัยมากข้ึน โดยทรง
จัดตั้งมณฑลเพิ่มข้นึ และทรงปรบั ปรงุ การบริหารงานของมณฑล
ดว้ ยการยบุ รวมมณฑลเป็นหนว่ ยราชการทีเ่ ก่ยี วกบั การปกครอง
เรยี กวา่ มณฑลภาค เพ่ือให้การปกครองแบบมณฑลเทศาภบิ าลมี
ความคล่องตัวมากขนึ้
สมยั รชั กาลที่ 6 ทรงรเิ รม่ิ ทดลองการปกครองแบบ
ประชาธปิ ไตยโดยการจัดตง้ั ดสุ ิตธานี เมอื งประชาธิปไตยขนึ้ ใน
บรเิ วณพระราชวงั ดุสิต พ.ศ.2461 เพ่อื ทดลองฝึกฝนให้บรรดา
ขา้ ราชการได้ทดลองปกครองตนเองในนครดุสติ ธานี เหมอื นกบั
การจดรปู แบบการปกครองท้องถิน่ ทเ่ี รียกว่า “เทศบาล”
นอกจากนยี้ งั ทรงจดั ตง้ั กระทรวงขึน้ มาใหมจ่ ากท่มี อี ยู่เดมิ และยุบ
เลิกกระทรวงบางกระทรวงเพือ่ ใหม้ คี วามทันสมัยมากข้ึน โดยทรง
จดั ต้งั มณฑลเพ่มิ ข้นึ และทรงปรับปรงุ การบริหารงานของมณฑล
ดว้ ยการยบุ รวมมณฑลเป็นหนว่ ยราชการทเ่ี กี่ยวกบั การปกครอง
เรียกว่า มณฑลภาค เพอ่ื ให้การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลมี
ความคล่องตัวมากข้ึน
สมยั รัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468-2475) ทรงเล็งเหน็ ความจาเปน็ ที่
จะตอ้ งเปลีย่ นแปลงการปกครองใหท้ นั สมยั และตอ้ งเตรียมการให้
พร้อมเพ่ิมมิใหเ้ กดิ ความผิพลาดได้ โดยพระองคไ์ ด้ทรงจัดตงั้
อภิรฐั มนตรสี ภา เพ่อื เปน็ ทีป่ รกึ ษาราชการแผน่ ดิน พ.ศ.2468
และทรงมอบหมายใหอ้ ภริ ัฐมนตรสี ภาวางระเบียบสาหรบั จดั ตงั้
สภากรรมการองคนตรี เพ่อื เปน็ สภาท่ปี รึกษาส่วนพระองค์อีกดว้ ย
นอกจากนี้ทรงมอบหมายให้อภิรฐั มนตรีวางรูปแบบการ
ปกครองท้องถิ่นในรูปเทศบาล ด้วยการแก้ไขปรับปรุงสุขาภิบาลท่ี
มีอยใู่ ห้เป็นเทศบาล แต่ไม่มีโอกาสได้ประกาศใช้ เพราะได้เกิดการ
เปล่ียนแปลงการปกครองข้ึนก่อน นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาศรีวิศาลวาจาและนายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ซึ่งเป็นท่ี
ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญ ตาม
กระแสพระราชดาริใน พ.ศ.2474 มีสาระสาคัญดังน้ี อานาจนิติ
บัญญัติจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อม โดยมี
สมาชิก 2 ประเภท คือ มาจากการเลือกตั้งและการแต่งต้ัง ส่วนผู้
ทม่ี ีสทิ ธ์ิสมัครเลือกตั้งจะต้องมีอายุไม่ตา่ กว่า30 ปี มีพื้นฐานความรู้
อ่านออกเขียนได้ ส่วนอานาจบริหารให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือก
นายกรัฐมนตรี แตเ่ นอื่ งจากอภริ ัฐมนตรมี ีความเห็นประชาชนยังไม่
พร้อม ดังนั้นการประกาศใช้รัฐธรรมนูญควรระงับไว้ชั่วคราว
จนกระทั่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อนจึงมิได้มี
การประกาศใช้แตอ่ ย่างใด
สาเหตกุ ารเปลีย่ นแปลงการ
ปกครองใน พ.ศ. 2475
1. ความเสื่อมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การท่ีคณะ
นายทหารหนุ่มภายใต้การนาของ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์
(เหล็ง ศรีจันทร์) ได้วางแผนยึดอานาจการปกครอง เพื่อ
เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบท่ีจากัด พระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ให้
อยู่ในฐานะประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ เม่ือ
พ.ศ.2454 แตไ่ มป่ ระสบความสาเร็จเพราะถูกจับกุมก่อนลงมือ
ปฏิบตั งิ าน
แสดงให้เห็นถึงความเส่ือมของระบอบนี้อย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกันในสมัยรัชกาลท่ี 6 ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน
อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ท่ีไม่ดุล
กับรายรับ ทาให้มีการกล่าวโจมตีรัฐบาลว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
เกินไป ครั้งต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 7 พระองค์ก็ถูกโจมตีว่า
ทรงตกอยู่ใต้อิทธิพลของอภิรัฐมนตรีสภา ซ่ึงเป็นสภาท่ี
ปรึกษาที่ประกอบด้วยสมาชิกท่ีเป็นพระบรมวงศานุวงศ์
ช้ันสูง และบรรดาพระราชวงศ์ก็มีบทบาทในการบริหาร
บ้านเมืองมากเกินไป ควรจะให้บุคคลอื่นท่ีมีความสามารถ
เข้ามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองด้วย ปรากฎการณ์
ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อระบอบการ
ปกครองที่มีพระ มหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งนับวันจะ
มีปฏกิ ริ ยิ าตอ่ ตา้ นมากขน้ึ
2. การได้รับการศึกษาตามแนวความคิดตะวันตกของ
บ ร ร ด า ช น ชั้ น น า ใ น สั ง ค ม ไ ท ย อิ ท ธิ พ ล จ า ก ก า ร ป ฏิ รู ป
การศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทาให้คนไทยส่วนหน่ึงท่ีไป
ศกึ ษายงั ประเทศตะวันตก ไดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวคดิ ทางการเมอื ง
สมัยใหม่ และนากลับมาเผยแพร่ในประเทศไทย ทาให้คน
ไทยบางส่วนที่ไม่ได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศรับอิทธิพล
แนวความคิดดัง กล่าวด้วย อิทธิพลของปฏิรูปการศึกษาได้
ส่งผลกระตุน้ ให้เกิดความคิดในการเปล่ียนแลปงการปกครอง
มากข้ึน นับตั้งแต่คณะเจ้านายและข้าราชการเสนอคากราบ
บังคมทูลให้เปล่ียนแปลงการ ปกครองใน พ.ศ.2427
นักหนังสือพิมพ์อย่าง เทียนวรรณ (ต.ว.ส.วัณณาโภ) ก.ศ.ร.
กุหลาบ (ตรุษ ตฤษณานนท์) ได้เรียกร้องให้ปกครอง
บ้านเมอื งในระบบรฐั สภา
เพ่ือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และยังได้กล่าว
วิพากษ์วิจารณ์สังคม กระทบกระเทียบชนช้ันสูงท่ีทาตัว
ฟุ้งเฟ้อ ซึ่งตัวเทียนวรรณเองก็ได้กราบบังคมทูลถวายโครง
ร่างระบบการปกครองที่เป็น ประชาธิปไตยแด่รัชกาลที่ 5
ต่อมาในรัชกาลท่ี 6 กลุ่มกบฏ ร.ศ.130 ที่วางแผนยดึ อานาจ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นบุคคลที่ได้รับการศึกษา
แบบตะวันตกแต่ไม่เคยไปศึกษาในต่างประเทศ แต่คณะ
ผู้ก่อการเปล่ียนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 เป็นคณะ
บุคคลท่ีส่วนใหญ่ผา่ นการศึกษามาจากประเทศตะวนั ตกแทบ
ท้ังส้ิน แสดงให้เห็นถึงอัทธิพลของความคิดในโลกตะวันตกท่ี
มีต่อชนช้ันผู้นาของไทยเป็น อย่างย่ิง เม่ืองคนเลห่านี้เห็น
ความสาคัญของระบอบประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริย์
เปน็ ประมุข การเปลี่ยนแปลงกรปกครองจงึ เกดิ ข้นึ
3. ค ว า ม เ ค ล่ื อ น ไ ห ว ข อ ง บ ร ร ด า ส่ื อ ม ว ล ช น
ส่ือมวลชนมีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการ
ปกครองแบบใหม่และ ปฏิเธระบบการปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น น.ส.พ.ตุลวิภาคพจนกิจ
(พ.ศ.2443-2449) น.ส.พ.ศิริพจนภาค (พ.ศ.2451) น.ส.พ.
จีนโนสยามวารศัพท์ (พ.ศ.2446-2450) น.ส.พ.บางกอก
การเมือง (พ.ศ.2464) น.ส.พ.สยามรีวิว (พ.ศ.2430) น.ส.พ.
ไทยใหม่ (พ.ศ.2474) ต่างก็เรียกร้องให้มีการปกครองใน
ระบบรัฐสภาที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการ ปกครอง
ป ร ะ เ ท ศ โ ด ยช้ี ให้ เ ห็น ถึ ง ค ว า ม ดี ง า ม ข อ ง ร ะ บ อ บ
ประชาธิปไตยที่จะเป็นแรงผลักดันให้ประชาชาติมีความ
เจรญิ กา้ วหนา้ มากกวา่ ท่เี ป็นอยู่ ดงั เช่นที่ปรากฎเป็นตัวอยา่ ง
ในหลายๆประเทศท่ีมีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ
กระแสเรียกร้องของส่ือมวลชนในสมัยน้ันได้มีส่วนต่อการ
สนับสนุนให้การดาเนิน ของคณะผู้ก่อการในอันท่ีจะ
เปลยี่ นแปลงการปกครองบรรลุผลสาเร็จได้เหมอื นกัน
4. ความขัดแย้งทางความคิดเก่ียวกับการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตย รัชกาลท่ี 7 ทรงเล็งเห็นความสาคัญ
ของการมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครอง
ประเทศ และทรงเต็มพระทัยท่ีจะสละพระราชอานาจมาอยู่
ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อถึงเวลาท่ี เหมาะสม แต่เม่ือพระองค์
ทรงมีกระแสรับสั่งใหพ้ ระยาศรวี ศิ าลวาจาและนายเรยม์ อนด์
บี.สตีเวนส์ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพ่ือประกาศใช้ พระองค์ได้
ทรงนาเร่ืองน้ีไปปรึกษาอภิรัฐมนตรีสภา แต่อภิรัฐมนตรีสภา
กลับไมเ่ หน็ ดว้ ย โดยอา้ งว่าประชาชนยังขาดความพร้อมและ
เกรงจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ท้ังๆที่รัชกาลที่ 7 ทรงเห็น
ด้วยกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่ออภิรัฐมนตรีสภา
คัด ค้าน พระองค์จึงมีน้าพระทัยเป็นประชาธิปไตยโดยทรง
ฟังเสียงทัดทานจากอภิรัฐมนตรี สภาส่วนใหญ่ ดังนั้น
รัฐธรรมนูญจึงยังไม่มีโอกาสได้รับการประกาศใช้ เป็นผลให้
คณะผู้ก่อการชิงลงมือทาการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน
วนั ที่ 24 มถิ ุนายน 2475 ได้ในที่สุด
5. สถานะการคลังของประเทศและการแก้ปัญหา
การคลังของประเทศเริ่มประสบปัญหามาต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี
6 เพราะการผลิตข้าวประสบความล้มเหลว เน่ืองจากเกิด
ภาวะน้าท่วมและฝนแล้งติดต่อกันใน พ.ศ. 2460 และ
พ.ศ.2462 ซ่ึงก่อให้เกิดผลเสียหายต่อการผลิตข้าวอย่าง
รุนแรง ภายในประเทศก็ขาดแคลนข้าวที่จะใช้ในการบริโภค
และไม่สามารถส่งข้าวไปขายยังต่างประเทศได้ ทาให้รัฐขาด
รายได้เป็นจานวนมาก รัฐบาลจึงต้องจัดสรรเงินงบประมาณ
ช่วยเหลือชาวนา ข้าราชการ และผู้ประสบกับภาวะค่าครอง
ชีพที่สูงขึ้น มีท้ังรายจ่ายอื่นๆ เพ่ิมข้ึนจนเกินงบประมาณ
รายได้ ซ่ึงใน พ.ศ. 2466 งบประมาณขาดดุลถึง 18 ล้าน
บาท นอกจากน้ีรัฐบาลได้นาเอาเงินคงคลังที่เก็บสะสมไว้
ออกมาใข้จ่ายจนหมดสิ้น ในขณะท่ีงบประมาณรายได้ต่า
รัชกาลที่ 6 ทรงแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศ
เพ่ือให้มีเงินเพียงพอกับงบประมาณรายจ่าย ทาให้เกิดเสียง
วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างไม่
ประหยัด ในขณะท่ีเศรษฐกิจของประเทศกาลังคับขนั
ต่อมาสมัยรัชกาลท่ี 7 ทรงดาเนินนโยบายตัดทอนรายจ่าย
ของรัฐบาลลดจานวนข้าราชการในกระทรวงต่างๆให้น้อยลง
และทรงยินยอมตัดทอนงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์ให้
น้อยลง เม่ือ พ.ศ.2469 ทาให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มข้ึนปีละ 3
ล้านบาท แต่เน่ืองจากเศรษฐกิจของโลกเร่ิมตกต่ามาเป็น
ลาดับตั้งแต่ พ.ศ. 2472 ทาให้มีผลกระทบต่อประเทศไทย
อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง รัฐบาลต้องตัดทอนรายจ่ายอย่าง
เข้มงวดท่ีสุด รวมทั้งปลดข้าราชการออกจากตาแหน่งเป็นอัน
มาก จัดการยุบมณฑลต่างๆทั่วประเทศ งดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและ
เบย้ี กันดารของข้าราชการ
รวมทัง้ การประกาศใหเ้ งนิ ตราของไทยออกจากมาตรฐาน
ทองคา
พ.ศ. 2475 รัฐบาลไดป้ ระกาศเพิ่มภาษีราษฎรโดยเฉพาะการ
เกบ็ ภาษเี งินเดอื นจากข้าราชการ แต่มาตรการดังกล่าวมก็ไม่
สามารถจะกอบกู้สถานะการคลงั ของประเทศได้กระเต้ือง ขน้ึ
ได้ จากปัญหาเศรษฐกจิ การคลังทรี่ ฐั บาลไม่สามารถแกไ้ ขให้มี
สภาพเปน็ ปกตไิ ด้ ทาให้คณะผูก้ อ่ การใช้เป็นขอ้ อา้ งในการ
โจมตีประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารงานของ รัฐบาล จนเปน็
เงอ่ื นไขให้คณะผ้กู อ่ การดาเนินการเปลยี่ นแปลงการปกครอง
เปน็ ผลสาเร็จ
การยดึ อานาจการปกครอง
1. วธิ ีการดาเนินงาน
กล่มุ บุคคลซงึ่ เปน็ ผรู้ เิ รมิ่ ความคดิ ที่จะดาเนินการเปลีย่ นแปลง
การปกครองในครงั้ แรกหรือที่เรียกว่า “คณะผ้กู ่อการ นัน้ มี 7
คน ทสี่ าคัญคือ นายปรีดี พนมยงค์ ร.ท.แปลก ขตี ตะวังคะ
ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เปน็ ต้น คณะบคุ คลทัง้ 7 คนไดเ้ ริ่ม
เปิดประชมุ อย่างเปน็ ทางการครงั้ แรกเม่อื วันที่ 5 กุมภาพันธ์
2469 ที่พกั แหง่ หนึง่ ในถนน รู เดอ ซอมเมอรารด์ ณ กรุง
ปารีส การประชุมครัง้ นนั้ ดาเนนิ ต่อเนอ่ื งเปน็ เวลา 5 วนั โดย
ทป่ี ระชุมได้มีมติเปน็ เอกฉันทใ์ ห้นายปรดี ี พนมยงค์ เปน็
ประธานท่ีประชมุ และท่ีประชมุ ตกลงดาเนนิ การจดั ตั้งคณะ
ผกู้ อ่ การข้นึ มา
เพื่อเปน็ ศูนย์รวมในการดาเนินงานตอ่ ไป โดยที่ประชุมไดม้ มี ติ
เปน็ เอกฉนั ท์ใหน้ ายปรดี ี พนมยงค์ เปน็ หัวหนา้ คณะผู้กอ่ การ
จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสมเปน็ หัวหน้าคณะผู้กอ่ การต่อไป
ทป่ี ระชุมได้ตกลงในหลกั การท่จี ะทาการเปลย่ี นแปลงการ
ปกครองประเทศไทย จากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์มา
เป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษตั ริย์ให้อยภู่ ายใต้
กฎหมายหรือทเ่ี รยี กกันวา่ ระบอบประชาธปิ ไตยท่ีมี
พระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ประมุขภายใต้รัฐธรรมนญู
นอกจากน้ี คณะผูก้ ่อการได้กาหนดหลักการในการปกครอง
ประเทศไว้ 6 ประการ
1) รกั ษาความเป็นเอกราชของชาตใิ นทกุ ๆดา้ น เช่น เอกราช
ทางการเมือง ทางเศรษฐกจิ ทางการศาล ฯลฯ ให้มีความ
มน่ั คง
2) รกั ษาความปลอดภัยในประเทศ ให้มีการประทุษรา้ ยต่อ
กันลดน้อยลง
3) บารงุ ความสขุ ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรฐั บาลใหม่
จะหางานให้ราษฎรทาทุกคน โดยจะวางโครงการเศรษฐกจิ
แหง่ ชาตแิ ละไม่ปลอ่ ยใหร้ าษฎรอดอยาก
4) ใหร้ าษฎรมสี ิทธิเสมอภาคทดั เทยี มกนั
5) ให้ราษฎรมเี สรภี าพทไี่ ม่ขัดตอ่ หลกั 4 ประการข้างตน้
6) ให้การศึกษาแก่ราษฎรทุกคนอย่างเต็มท่ี
ภายหลังจากเสร็จการประชุมในคร้ังน้ันแล้ว นายปรีดี
พนมยงค์ ซ่ึงขณะนั้นสาเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎี
บัณฑิตทางกฎหมายแล้ว ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย ทาง
สมาชิกทีอ่ ยุ่ในกรุงปารีสจึงได้เลือกเฟ้นผู้ท่ีสมควรเข้าร่วมเป็น
สมาชิกต่อไป และได้สมาชิกเพิ่มในคณะผู้ก่อการอีก 8 คน ท่ี
สาคัญ คือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ร.อ.สินธุ์
กมลนาวิน เป็นตน้
ภายหลังเม่ือบรรดาสมาชิกของคณะผู้ก่อการท่ีกรุงปารีส
กลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว ก็ได้มีการชักชวนบุคคลท่ีมี
ความเห็นร่วมกันเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะผู้ก่อการอีกเป็น
จานวนมาก จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.2474 จึงได้ พ.อ.พระยา
พหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ดังนั้นสมาชิก
คณะผ้กู ่อการฝ่ายทหารที่สาคัญ ได้แก่ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช
พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม น.ต.หลวงสินธุ์สงครามชัย ฯลฯ
สาหรับสมาชิกคณะผู้ก่อการหัวหน้าฝ่ายพลเรือนที่สาคัญคือ
นายปรีดี พนมยงค์ นายทวี บุญยเกตุ นายควง อภัยวงค์ เป็น
ต้น
คณะผู้ก่อการได้วางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองดาเนินไป
อย่างละมุนละม่อมและหลีกเล่ียงการเสียเลือดเน้ือให้มาก
ท่ีสุด โดยมีแผนจับกุมผู้สาเร็จราชการรักษาพระนคร คือ
สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพนิ ิตเอาไวก้ อ่ น ในขณะท่ี
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวประทับอยทู่ ่ีพระราชวัง
ไกลกังวล หัวหิน นอกจากนี้ ยังมีแผนการจับกุมพระบรม
วงศานุวงศ์องค์อ่ืนๆ รวมท้ังเสนาบดี ปลัดทูลฉลองกระทรวง
ต่างๆ และผู้บังคับบัญชาทหารท่ีสาคัญๆ อีกหลายคนด้วยกัน
เพ่ือเป็นข้อต่อรองให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชทานรัฐธรรมนญู ใหแ้ กป่ วงชนชาวไทย
2. ขั้นตอนการยึดอานาจ
คณะผู้กอ่ การได้เรมิ่ ลงมือปฏบิ ัตงิ านในวนั ท่ี 24 มถิ ุนายน
2475 โดยมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หวั หนา้ คณะ
ผกู้ ่อการ เป็นผนู้ าในการเปล่ยี นแปลงการปกครอง โดยการ
นาคณะนายทหารพร้อมด้วยกาลงั หน่วยทหารท่เี ตรียมการ
เอาไว้ เข้ายึดพระทีน่ ่งั อนันตสมาคมเป็นฐานบญั ชาการ และ
ได้สง่ กาลังทหารเข้ายึดวังบางขุนพรหม พรอ้ มท้งั ไดท้ ลู เชิญ
สมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ เสดจ็ มาประทับยงั
พระทีน่ ่งั อนันตสมาคมเป็นผลสาเร็จ จากการที่คณะผ้กู อ่ การ
ได้พยายามดาเนินการอย่างละมุนละม่อมดงั กล่าว ทาให้
สถานการณต์ า่ งๆ คลคี่ ลายไปในทางที่ดีซ่งึ มีผลตอ่ ชาติ
บ้านเมืองโดยส่วนรวม
สาหรับทางฝ่ายพลเรือนน้ัน สมาชิกคณะผู้ก่อการกลุ่มหนึ่ง
ภายใตก้ ารนาของหลวงโกวทิ อภยั วงศ์ (นายควง อภัยวงศ์) ได้
ออกตระเวนตัดสายโทรศัพท์และโทรเลขท้ังในพระนครและ
ธนบุรี เพ่ือป้องกันมิให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพิ
นิตและผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในกรุงเทพฯ ขณะน้ัน
โทรศัพท์และโทรเลขติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว ซ่ึงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ส่วน
นายปรีดี พนมยงค์ ได้จัดทาใบปลิว คาแถลงการณ์ของคณะ
ผู้ก่อการออกแจกจ่ายประชาชน คณะผู้ก่อการสามารถยึด
อานาจและจับกุมบุคคลสาคัญฝ่ายรัฐบาลไว้ได้โดยเรียบร้อย
และได้ร่วมกันจัดต้ัง คณะราษฎร ขึ้นมาเพื่อทาหน้าท่ี
รับผิดชอบ รวมท้ังออกประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร
เพ่อื ชแ้ี จงท่ตี ้องเขา้ ยดึ อานาจการปกครองใหป้ ระชาชนเข้าใจ
นอกจากน้ีคณะราษฎรไดแ้ ต่งตงั้ ผูร้ กั ษาการพระนครฝ่าย
ทหารขึน้ 3 นาย ได้แก่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.อ.
พระยาทรงสรุ เดช พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ โดยใหท้ าหน้าท่ี
เป็นผบู้ รหิ ารราชการแผ่นดิน ขณะที่ยงั ไม่มีรฐั ธรรมนูญเป็น
หลกั ในการบรหิ ารประเทศ
หลงั จากน้นั คณะราษฎรไดม้ หี นังสอื กราบบงั คบั ทลู อนั เชิญ
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่ หัวเสดจ็ กลบั คืนสู่
พระนคร เพอื่ ดารงฐานะเปน็ พระมหากษัตริย์ภายใต้
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรตอ่ ไป ดว้ ยความทพี่ ระองค์ทรง
มนี า้ พระทัยที่เปน็ ประชาธิปไตย และทรงพร้อมทีจ่ ะเสยี สละ
เพอื่ ประชาชนและประเทศชาติ พระองคท์ รงตอบรับคากราบ
บังคับทลู อัญเชิญของคณะราษฎร โดยพระองคท์ รงยินยอมท่ี
จะสละพระราชอานาจของพระองค์ด้วยการพระราชทานรฐั
ธรรมนูญตามท่ีคณะราษฎรได้มเี ป้าหมายเอาไว้ในการ
เปล่ยี นแปลงการปกครอง และได้เสดจ็ พระราชดาเนิน
กลบั คนื สพู่ ระนครเพอื่ พระราชทานรฐั ธรรมนูญใหก้ ับปวง
ชนชาวไทย
การประกาศใช้รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รสยาม
การท่คี ณะราษฎรภายใต้การนาของ พ.อ.พระยาพหลพล
พยุหเสนา ไดท้ าการเปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์มาเป็นระบอบการ ปกครองทีม่ ี
พระมหากษตั รยิ เ์ ป็นประมุขภายใต้รฐั ธรรมนญู เมือ่ วนั ท่ี 24
มิถุนายน 2475 เปน็ ผลสาเรจ็ โดยมติ ้องสญู เสียเลือดเน้ือแต่
ประการใดนั้น เปน็ เพราะพระมหากรุณาธคิ ณุ ของ
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทร่ี งยอมรับ การ
เปลยี่ นแปลงดังกลา่ ว โดยมไิ ด้ทรงตอ่ ต้านเพ่ือคดิ ตอบโต้
คณะราษฎรดว้ ยการใช้กาลังทหารทม่ี ีอยู่แต่ ประการใด และ
ทรงพระราชทานรัฐธรรมนญู ใหก้ ับปวงชนชาวไทยตามท่ี
คณะราษฎรได้เตรยี มร่างเอา ไว้ เพื่อนาข้ึนทลู เกล้าฯ ถวายให้
ทรงลงพระปรมาภไิ ธย นอกจากนพ้ี ระองคก์ ท็ รงมพี ระราช
ประสงคม์ าแต่เดิมแล้ววา่ จะพระราชทานรัฐ ธรรมนญู ใหเ้ ป็น
กฎหมายสงู สุดในการปกครองประเทศแก่ประชาชนอยูแ่ ล้ว
จงึ เป็นการสอดคล้องกบั แผนการของคณะราษฎร ประกอบ
กับพระองคท์ รงเห็นแกค่ วามสงบเรียบรอ้ ยของบ้านเมอื งและ
ความสุขของ ประชาชนเป็นสาคัญ ยงิ่ กวา่ การดารงไวซ้ งึ่ พระ
ราชอานาจของพระองค์
รัฐธรรมนญู ท่ีคณะราษฎรได้นาขึ้นทลู เกลา้ ฯ ถวาย
เพื่อทรงลงพระปรมาภไิ ธยมี 2 ฉบบั คือ
พระราชบญั ญัติธรรมนญู การปกครองแผน่ ดินสยาม
ชั่วคราว พ.ศ.2475 และ รฐั ธรรมนญู แหง่
ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
1.พระราชบัญญตั ิธรรมนญู การปกครองแผ่นดนิ สยาม
ช่วั คราว พ.ศ. 2475
ภายหลังจากทพ่ี ระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยเู่ จ้า
เสดจ็ พระราชดาเนนิ จากพระราชวังไกลกังวล หัวหนิ
กลับคืนสพู่ ระนครแล้ว คณะราษฎรไดน้ า
พระราชบัญญตั ิธรรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยาม
ชัว่ คราว ซ่งึ นายปรดี ี พนมยงค์ และคณะราษฎรบาง
คนไดร้ า่ งเตรียมไว้ข้นึ ทูลเกล้าฯ ถวายเพอื่ ทรงพระ
ปรมาภิไธย พระองค์ได้พระราชทานกลับคนื มาเม่อื
วนั ที่ 27 มิถุนายน 2475
และได้มพี ธิ เี ปดิ สภาผู้แทนราษฎรครง้ั แรกในประเทศ
ไทยเมือ่ วันที่ 28 มิถนุ ายน 2475 ซ่งึ รัฐธรรมนูญนมี้ ชี อื่
เรยี กวา่ “พระราชบญั ญัติธรรมนูญการปกครอง
แผ่นดนิ สยามชว่ั คราว”
รฐั ธรรมนูญชว่ั คราวนก้ี าหนดว่า อานาจสูงสดุ ใน
แผน่ ดินประกอบด้วย อานาจนติ บิ ัญญตั ิ อานาจ
บริหาร และอานาจตลุ าการ ซง่ึ แต่เดิมเป็นของ
พระมหากษัตรยิ ์ จงึ ได้เปลยี่ นเป็นของปวงชนชาวไทย
ตามหลกั การของระบอบประชาธิปไตยเกยี่ วกับการ
ไดม้ าของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรน้ัน ได้กาหนดแบง่
ระยะเวลาออกเปน็ 3 สมยั คือ
1) สมยั ท่ี 1 นบั แต่วันใชร้ ัฐธรรมนูญนีเ้ ป็นต้นไป
จนกวา่ จะถึงเวลาท่สี มาชกิ ในสมัยที่ 2 จะเข้ารับ
ตาแหน่ง ใหค้ ณะราษฎรซึ่งมผี ู้รักษาพระนครฝ่าย
ทหารเป็นผู้ใช้อานาจแทน และจัดต้งั ผแู้ ทนราษฎร
ชวั่ คราวข้ึนเปน็ จานวน 70 นาย เปน็ สมาชิกในสภา
2) สมัยท่ี 2 ภายในเวลา 6 เดอื น หรือจนกว่าจะจัด
ประเทศเป็นปกตเิ รียบรอ้ ย สมาชิกในสภาจะต้องมี
บคุ คล 2 ประเภท ทากิจกรรมรว่ มกนั คือ ประเภทท่ี
หน่ึง ไดแ้ ก่ผ้แู ทนราษฎรซง่ึ ราษฎรไดเ้ ลือกขึ้นมา
จงั หวัดละ 1 นาย ต่อราษฎรจานวน 100,000 คน
ประเภททส่ี อง ผู้เปน็ สมาชกิ อยูใ่ นสมยั ท่ีหนงึ่ มีจานวน
เท่ากับสมาชกิ ประเภทที่หนง่ึ ถ้าจานวนเกินใหเ้ ลอื ก
กนั เองว่าผใู้ ดจะยังเป็นสมาชกิ ต่อไป ถ้าจานวนขาดให้
ผทู้ ่ีมตี วั อย่เู ลอื กบุคคลใดๆเขาแทนจนครบ
3) สมยั ท่ี 3 เม่ือจานวนราษฎรทั่วราชอาณาจกั รได้
สอบไล่วิชาประถมศกึ ษาไดเ้ ปน็ จานวน กว่าครง่ึ และ
อย่างชา้ ตอ้ งไมเ่ กนิ 10 ปี นบั ต้งั แตว่ นั ใช้รัฐธรรมนูญน้ี
สมาชกิ ในสภาผู้แทนราษฎรจะเปน็ ผทู้ ่รี าษฎรได้เลอื ก
ต้ังขนึ้ เองท้ังสนิ้ ส่วนสมาชิกประเภทที่สองเป็นอนั
สน้ิ สุดลง ผ้แู ทนราษฎรชัว่ คราวจานวน 70 นาย
ซ่ึงผรู้ กั ษาการพระนครฝา่ ยทหารจะเปน็ ผู้จดั ตงั้ ข้นึ ใน
ระยะแรกนั้น ประกอบดว้ ยสมาชกิ คณะราษฎร
ข้าราชการชัน้ ผใู้ หญ่ ผูป้ ระกอบอาชพี สาขาต่างๆ ซง่ึ มี
ความปรารถนาจะชว่ ยบ้านเมือง และกลุ่มกบฏ
ร.ศ.130 บางคน ซงึ่ สมาชิกทง้ั 70 คน ภายหลงั จากการ
ไดร้ บั การแตง่ ต้งั แลว้ 6 เดอื น กจ็ ะมีฐานะเป็น
สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรประเภทที่ 2 ตามที่ระบไุ วใ้ น
รัฐธรรมนูญฉบบั ชว่ั คราว
2. รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ.2475
ภายหลังท่พี ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั ได้ทรงลง
พระปรมาภิไธยในรฐั ธรรมนูญปกครองแผน่ ดินสยาม
ชวั่ คราวแลว้ สภาผูแ้ ทนราษฎรได้แต่งตง้ั อนกุ รรมการ ขึ้น
คณะหนง่ึ เพ่อื ร่างรฐั ธรรมนูญฉบับถาวรเพ่ือใช้เป็นหลักใน
การปกครองประเทศสบื ไป ในท่ีสดุ สภาผู้แทนราษฎรได้
พจิ ารณาแกไ้ ขรา่ งรัฐธรรมนญู ครง้ั สุดท้ายในวนั ท่ี 16
พฤศจกิ ายน 2475 และสภาผแู้ ทนราษฎรได้ลงมติรับรอง
ใหใ้ ชเ้ มื่อวนั ที่ 29 พฤศจกิ ายน 2475 โดยพระบาทสมเด็จ
พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ไดท้ รงลงพระปรมาภิไธยใน
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรสยามเมอ่ื วันที่ 10
ธันวาคม 2475 หลังจากนนั้ ได้ทรงมพี ระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯแตง่ ตัง้ พระยามโนปกรณ์นิติ ธาดา เป็น
นายกรัฐมนตรีตอ่ ไป
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักร
สยาม 2475 มีสาระสาคญั พอ
สรุปได้ดงั นี้
1.อานาจนิติบญั ญตั ิ กาหนดให้มสี ภาผูแ้ ทนราษฎร
ประกอบดว้ ยสมาชิกซง่ึ ราษฎรเป็นผูเ้ ลอื กตง้ั แตม่ บี ทเฉพาะ
กาลกาหนดไวว้ ่า ถ้าราษฎรผ้มู สี ทิ ธอิ อกเสียงเลอื กตั้งสมาชิก
ผ้แู ทนราษฎรตามบทบญั ญัติแหง่ รฐั ธรรมนญู น้ี ยังมีการศกึ ษา
ไมจ่ บช้ันประถมศึกษามากกว่าคร่ึงหนง่ึ ของจานวนทัง้ หมด
และอยา่ งช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันใชพ้ ระราชบัญญัติ
ธรรมนญู การปกครองแผ่นดินสยามช่วั คราว พ.ศ.2475
2.อานาจบริหาร พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ต้ังคณะรฐั มนตรขี ้นึ
คณะหนึง่ ประกอบดว้ ยนายกรัฐมนตรี 1 นาย และรัฐมนตรีอีก
อย่างนอ้ ย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย และในการแต่งตง้ั
นายกรฐั มนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผ้ลู งนามรบั
สนองพระบรมราชโองการ กล่าวโดยสรปุ ในภาพรวมของ
รัฐธรรมนญู ท้งั 2 ฉบบั ได้ก่อใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ ง
ทางการเมืองการปกครองและสังคมไทยดังนคี้ ือ
2.1 อานาจการปกครองของแผ่นดนิ ซง่ึ แตเ่ ดิมเคยเปน็ ของ
พระมหากษัตริยก์ ต็ กเปน็ ของปวงชนชาวไทยตาม
บทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษตั ริย์ทรงดารงฐานะ
เป็นประมขุ ของประเทศภายใตร้ ัฐธรรมนูญ พระองคจ์ ะทรงใช้
อานาจอธิปไตยท้ัง 3 ทาง คอื อานาจนติ บิ ญั ญัติผา่ นทางสภา
ผู้แทนราษฎร อานาจบรหิ ารผ่านทางคณะรัฐมนตรี อานาจ
ตุลาการผ่านทางผู้พพิ ากษา (ศาล)
2.2 ประชาชนจะได้รับสิทธิในทางการเมือง โดยการเลือก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปทาหน้าที่ควบคุมการบริหารงาน
ของรัฐบาล ออกกฎหมายและเป็นปากเสียงแทนราษฎร
2.3 ประชาชนมสี ทิ ธเิ สรีภาพในทางการเมอื งมากข้ึน สามารถ
แสดงความคิดเหน็ วิพากษ์วิจารณใ์ นเรอ่ื งต่างๆได้ ภายใต้
บทบญั ญตั ิของกฎหมาย และคนทุกคนมคี วามเสมอภาคภายใต้
กฎหมายฉบบั เดียวกนั
2.4 ในระยะแรกของการใช้รฐั ธรรมนูญ อานาจบริหารประเทศ
จะตอ้ งตกอยภู่ ายใตก้ ารช้ีนาของคณะราษฎร ซง่ึ ถอื ว่าเหน็
ตวั แทนของราษฎรท้ังมวลในการเปลย่ี นแปลงการปกครอง
จนกวา่ สถานการณจ์ ะเข้าสคู่ วามสงบเรียบรอ้ ย ประชาชนจึงจะมี
สทิ ธใิ นอานาจอธิปไตยอย่างเต็มท่ี
ผลกระทบท่ีเกดิ ขึน้ จากการเปลี่ยนแหลงการ
ปกครอง พ.ศ. 2475
1.ผลกระทบทางดา้ นการเมอื ง
การเปล่ียนแปลงสง่ ผลกระทบตอ่ สถานภาพของสถาบัน
พระมหากษัตรยิ ์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการสน้ิ สดุ พระราช
อานาจในระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ ถงึ แม้ว่าพระบาทสมเดจ็
พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัวจะทางยอมรับการเปลย่ี นแปลง และทรง
ยนิ ยอมพระราชทานรัฐธรรมนญู ให้กับปวงชนชาวไทยแลว้ กต็ าม
แต่พระองค์กท็ รงเปน็ หว่ งวา่ ประชาชนจะมไิ ด้รบั อานาจการ
ปกครองทพ่ี ระองค์ทรงพระราชทานใหโ้ ดยผา่ นทางคณะราษฎร
อยา่ งแท้จรงิ พระองคจ์ ึงทรงใชค้ วามพยายามทจี่ ะขอให้ราษฎรได้
ดาเนินการปกครองประเทศดว้ ยหลักการแหง่ ประชาธิปไตยอยา่ ง
แท้จรงิ แตพ่ ระองคก์ ็มิไดร้ บั การสนองตอบจากรฐั บาลของ
คณะราษฎรแต่ประการใด จนกระทั่งภายหลงั พระองค์ตอ้ งทรง
ประกาศสละราชสมบตั ใิ น พ.ศ.2477
นอกจากนี้ การเปลยี่ นแปลงการปกครอง 2475 ยังก่อให้เกดิ ความ
ขัดแยง้ ทางการเมืองระหวา่ งกลมุ่ ผลประโยชน์ต่างๆ ทม่ี ีสว่ นรว่ มใน
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมือ่ วันท่ี 24 มถิ ุนายน 2475 ทงั้ น้ี
เปน็ เพราะยังมีผู้เห็นว่าการทีค่ ณะราษฎรยดึ อานาจการปกครองมา
จากพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว เพ่ือเปล่ียนแปลงการ
ปกครองทมี่ พี ระมหากษัตรยเ์ิ ป็นประมุขภายใต้รฐั ธรรมนูญนัน้ ยงั
มไิ ด้เป็นไปตามคาแถลงทีใ่ ห้ไวก้ ับประชาชน
หลงั จากนั้นก็มกี ารจับกมุ และกวาดลา้ งผู้ตอ้ งสงสยั ว่าจะรว่ มมือกับ
คณะกูบ้ า้ น กู้เมืองจนดูเหมอื นว่าประเทศไทยมิไดป้ กครองใน
ระบอบประชาธิปไตยในระยะนนั้ อย่างแท้จรงิ ซงึ่ ตอ่ มาก็กลายเปน็
ความขดั แย้งสืบต่อกนั มาในยุคหลัง
ปญั หาการเมืองดงั กล่าว ไดก้ ลายเป็นเง่ือนไขที่ทาใหส้ ถาบนั ทาง
การเมอื งในยคุ หลังๆ ไมค่ ่อยประสบความสาเรจ็ เท่าที่ควร เพราะ
การพฒั นาการทางการเมืองมิได้เปน็ ไปตามครรลองของระบอบ
ประชาธิปไตย และเป็นการสรา้ งธรรมเนยี มการปกครองที่ไม่
ถกู ตอ้ งให้กับนักการเมอื งและนักการทหารในยุคหลงั ตอ่ ๆมา ซ่งึ ทา
ให้ระบอบประชาธิปไตยตอ้ งประสบกับความลม้ เหลวเพราะการใช้
กาลงั บีบบังคับอยู่เปน็ ประจาถึงปัจจุบนั
2.ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นับได้ว่า
เปน็ การเปล่ยี นแปลงทางการเมอื งท่สี าคัญของไทย แต่ถา้
พิจารณาถงึ ผลกระทบอันเกดิ จากการเปลี่ยนแปลงแลว้
ผลกระทบทางการเมอื งจะมีมากกวา่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ทงั้ น้ีเปน็ เพราะความพยายามทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งทาง
เศรษฐกิจ ทีค่ ณะราษฎรไดม้ อบหมายใหน้ ายปรีดี พนมยงค์
เปน็ คนรา่ งเคา้ โครงการเศรษฐกจิ เพอื่ นาเสนอนั้น มไิ ด้รบั การ
ยอมรบั จากคณะราษฎรส่วนใหญ่ ดังนั้นระบบเศรษฐกจิ
ภายหลังการเปลยี่ นแปลงการปกครอง จึงยงั คงเป็นแบบทุน
นยิ มเช่นเดมิ และโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ ยังคงเน้นทก่ี าร
เกษตรกรรมมากวา่ อตุ สาหกรรม ซึ่งตา่ งจากประเทศตะวนั ตก
สว่ นใหญ่ท่มี ีการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย ไดพ้ ฒั นา
ไปสคู่ วามเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว
อย่างไรกต็ าม ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจก็พอจะมอี ยู่บา้ ง
ถึงแมจ้ ะไม่เดน่ ชดั เท่ากับผลกระทบทางการเมอื งก็ตาม จาก
การทค่ี ณะราษฎรผ้เู ปลย่ี นแปลงการปกครองตกลงกนั ได้แต่
เพียงวา่ จะเลกิ ลม้ ระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ แต่ไม่
สามารถจะตกลงอะไรได้มากกว่าน้นั กลุ่มผลประโยชน์ทาง
การเมืองและเศรษฐกจิ จงึ ต้องตอ่ สกู้ ันตอ่ ไป เพือ่ บบี บังคบั ให้
ระบบเศรษฐกจิ และการเมืองเปน็ ไปตามทีต่ นต้องการ
นอกจากนีก้ ลุ่มผลประโยชนท์ ่คี รอบครองที่ดินและทุนอันเป็น
ปจั จยั การผลิตท่สี าคญั ก็รวมตวั กนั ตอ่ ตา้ นกระแสความคิดท่ี
จะเปลี่ยนแปลงกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี ินและเงินทนุ จากของบุคคลเปน็
ระบบสหกรณ์
3.ผลกระทบทางด้านสังคม
ภายหลงั การเปลยี่ นแปลงการปกครอง สงั คมไทย
ได้รับผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงพอสมควร คือ ประชาชน
เริ่มได้รับเสรีภาพและมีสทิ ธิตา่ งๆ ตลอดจนความเสมอภาค
ภายใตบ้ ทบญั ญัติแห่งรฐั ธรรมนูญ และไดร้ ับสทิ ธิในการ
ปกครองตนเอง ในขณะทบี่ รรดาเจ้าขนุ มลู นาย ขนุ นาง ซ่ึงมี
อานาจภายใตร้ ะบอบการปกครองดั้งเดิมได้สญู เสยี อานาจ
และสิทธปิ ระโยชน์ตา่ งๆ ท่เี คยมมี าก่อน โดยที่คณะราษฎรได้
เข้าไปมีบทบาทแทนบรรดาเจา้ นายและขุนนางในระบบเก่า
เหลา่ นน้ั
เนอื่ งจากทคี่ ณะราษฎรมนี โยบายสง่ เสรมิ การศึกษาของ
ราษฎรอยา่ งเต็มที่ ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎรขอ้ ที่
6 ดังน้ัน รฐั บาลจงึ ได้โอนโรงเรียนประชาบาลทต่ี ั้งอย่ใู นเขต
เทศบาลท่รี ฐั บาลไดจ้ ัดต้งั ขึ้นใหเ้ ทศบาลเหลา่ น้นั รับไปจดั
การศึกษาเอง เทา่ ท่เี ทศบาลเหล่านั้นจะสามารถรบั โอนไป
จากกระทรวงธรรมการได้ ทาใหป้ ระชาชนในท้องถน่ิ ตา่ งๆ มี
ส่วนร่วมในการทานบุ ารงุ การศึกษาของบุตรหลานของตนเอง
นอกจากนนั้ รัฐบาลไดก้ ระจายอานาจการปกครองไปสทู่ ้องถ่นิ
ดว้ ยการจดั ตั้งเทศบาลตาบล เทศบาลเมอื ง และเทศบาลนคร
มีสภาเทศบาลคอยควบคมุ กจิ การบริหารของเทศบาลเฉพาะ
ท้องถนิ่ นน้ั ๆ โดยมีเทศมนตรีเปน็ ผบู้ ริหารตามหนา้ ที่