สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๑๕๓ โรงเรียน สถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการประกอบไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อีกทั้งการติดต่อระหว่าง สถานศึกษาในเขตพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้กำหนดไว้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพัน บ้านเกิด โดยได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความตระหนักรู้จักท้องถิ่นของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงจัดทำ องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.สภาพทั่วไปของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน ๒.ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๓.สภาพเศรษฐกิจ ๔.สาธารณูปโภค ๕.แหล่งท่องเที่ยว ๖.แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๗.หน่วยงาน รัฐ/เอกชน และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.ชนชาติ/ชาติพันธุ์ ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕.ประเพณี/พิธีกรรม/ งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ท้องถิ่น คณะกรรมการจัดทำ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่อง องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไว้ณ โอกาสนี้และหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเอง ตามบริบทของสถานศึกษา ผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทนำ ค ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ๒ ศิลปวัฒนธรรม ๔ ภาษา/วรรณกรรม ๑๐ ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ๑๓ ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๑๔ ศาสนาและความเชื่อ ๒๐ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๒๔ บรรณานุกรม 33 ภาคผนวก ๓4
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 ระบุไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่ง ปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้ง ส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถใน การประกอบอาชีพ รู้จักตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภารกิจในการจัดการศึกษา นอกจากต้องจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ยังต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพของ ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตจริงของตนเองในท้องถิ่น เรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ สังคมการดำรงชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนให้มีความรัก ความผูกพัน และ มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตในสังคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุม พื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าไม้ และเป็นเขตชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวมีระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร การจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีโรงเรียนที่อยู่ใน ความรับผิดชอบจำนวน 153 โรงเรียน การคมนาคมซับซ้อน และการติดต่อระหว่างสถานศึกษาเป็นไปด้วย ความยากลำบาก เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการ ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน นักเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อศึกษาต่อและประกอบอาชีพ คนวัยทำงานมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเมืองใหญ่ เนื่องจากแรงดึง (Pull force) ในด้านค่าตอบแทน ความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ จึงได้ เล็งเห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเพณีทางสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจในตนเอง ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สามารถแสวงหาบทบาทใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาหรือ แก้ปัญหา ช่วยสร้างพลังผลักดันให้ชุมชนขับเคลื่อนไปในทางที่ดีสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมในปัจจุบัน โดยหลักสูตรท้องถิ่น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรัก ความหวงแหน และภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอน สามารถนําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก เกิดสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้จักท้องถิ่น ของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด เพื่อสำรวจ รวบรวมและจัดทำ ข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ชนชาติ/ชาติพันธุ์ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งสภาพ ปัญหาในชุมชน เพื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สถานศึกษาสามารถนำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไปจัด ประสบการณ์ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเองตามบริบทของสถานศึกษา โดยครอบคลุม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดทำองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์นี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ในด้านความหลากหลาย ของชาติพันธุ์ จำนวน 15 ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว และ เวียงแหง โดยได้รวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์จากการสำรวจชุมชนของโรงเรียนต่างๆ ในสำนักงานเขต พื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 และตัวแทนครูจากทุกโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 153 โรงเรียน ได้สังเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นหนังสือองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยโรงเรียนสามารถเลือก คัดสรร ในการนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน และการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ต่อไป คณะผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑ 0 ชนเผ่าพม่าหรือชาวพม่าเป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยใน ประเทศไทย ชาวพม่าในไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1 กลุ่มแรงงานมีฝีมือ 2. กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือ 3. กลุ่มผู้อพยพหนีความขัดแย้งกลุ่มพม่าที่เข้า มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ เขตเชียงใหม่เขต 3 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานไร้ ฝีมือจึงเป็นกลุ่มที่เข้ามารับจ้างใช้แรงงานในการทำสวน ให้กับนายจ้าง ที่เป็นคนไทย เช่น สวนส้ม สวนหอม สวนลิ้นจี่ สวนมะม่วง พนักงาน ในร้านอาหาร เป็นต้น มีแรงงานพม่าส่วนหนึ่งที่ย้ายมาเป็นครอบครัว มีเด็กใน วัยเรียนเข้ามาด้วยโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุตรหลานได้รับการศึกษา และการบัตรสัญชาติไทย เพื่อความเจริญก้าวหน้าของบุตรหลาน แรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่จะพักอยู่ตามบ้านพักคนงานของนายจ้า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒ ชายแดนไทย พม่า ชาวพม่า ชายแดนไทย พม่า 1. ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ชนเผ่าพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อาศัย และกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ 5 อำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ อำภอฝาง ได้แก่ - หมู่ที่ 6 บ้านสันทรายคองน้อย ตำบลเวียง - หมู่ที่ 15 บ้านทุ่งหลุก ตำบลแม่งอน - หมู่ที่ 5 บ้านหลวง ตำบลแม่งอน - หมู่ที่ 6 บ้านต้นส้าน ตำบลแม่สูน อำเภอเชียงดาว ได้แก่ - หมู่ที่ 2 ถนนเชียงใหม่ - ฝาง บ้านปางเฟือง ตำบลปิงโค้ง - หมู่ที่ 3 บ้านหนองบัว ตำบลเมืองคอง - หมู่ที่ 3 บ้านบ้านใหม่ ตำบลเมืองงาย - หมู่ที่ 11 บ้านแม่แมะ ตำบลแม่นะ อำเภอแม่อายได้แก่ - หมู่ 3 ตำบลท่าตอน อำเภอไชยปราการได้แก่ - หมู่ที่ 2 บ้านท่า ตำบลปงตำ - หมู่ที่ 5 บ้านต้นโชค ตำบลหนองบัว - หมู่ที่ 10 บ้านใหม่หนองบัว ตำบลหนองบัว - หมู่ที่ 3 บ้านป่างิ้ว ตำบลแม่ทะลบ - หมู่ที่ 3 บ้านศรีดงเย็น ตำบลศรีดงเย็น อำเภอเวียงแหงได้แก่ - หมู่ที่ 1 บ้านเปียงหลวง ตำบลเปียงหลวง - หมู่ 4 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓ การตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าพม่า ส่วนใหญ่ได้อพยพมาจากรัฐฉาน เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่มีอาณาเขต ติดต่อกับรัฐฉานของพม่า มีชายแดนติดกับพม่าใน ๕ อำเภอ คือ อำเภอเวียงแหง อำเภอเชียงดาว อำเภอไชยปราการ อำเภอฝาง และอำเภอแม่อาย ระยะทาง ๒๗๗ กิโลเมตร ซึ่งอำเภอเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นเขต พื้นที่ บริการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 การตั้งรกรากของชนเผ่าพม่าที่อพยพมาจะไม่เป็นหลักแหล่งขึ้นอยู่กับงานที่นายหน้าจัดหาให้ จึงทำให้ มีการย้ายที่พักและบุตรหลานที่เรียนตามโรงเรียนต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔ การแต่งกายผู้หญิง การแต่งกายผู้ชาย ขนมจีนพม่า 2. ศิลปวัฒนธรรม ๒.1 การแต่งกาย ผู้ชาย นิยมนุ่งลองจี (Longi) มีลักษณะคล้ายโสร่ง ส่วนใหญ่เป็นลายสก็อต ยาวตั้งแต่เอว หรือ ข้อเท้า สวมคู่กับเอ่งจี หรือไต้โป่ง คือเสื้อคลุมคอกลม แขนยาวอีกทีหนึ่ง หากต้องแต่งกายอย่างเป็นทางการ นิยมสวมกาวน์บาวน์ (Gaung Baung) หรือผ้าพันรอบ ศีรษะ แต่ปัจจุบันทำเป็นหมวกสำเร็จรูปเพื่อ ความสะดวกในการใช้มาก ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้า หรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู ผู้หญิง นิยมนุ่งผ้าถุงหรือ ผ้าซิ่น ยาวถึงข้อเท้า สวมเสื้อคอกลมแขนกระบอกยาวเป็นผ้าลูกไม้ หลากหลายสี หากต้องเข้าร่วมงานฉลองงาน สำคัญต่างๆ นิยมใส่เครื่องประดับผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่า เช่น ทับทิม นิล และหยก โลนจีสโสร่งยาวถึงข้อเท้าสวมใส่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย การแต่งกายแบบดั้งเดิมซึ่งสวมใส่โดย ผู้ชาย และ ทะเมียน ซึ่งสวมใส่โดยผู้หญิงก่อนยุคอาณานิคม ทะเมียน ในช่วงก่อนอาณานิคม มีรูปแบบลักษณะ เป็นชุดยาว เรียกว่า เยตีนา จะเห็นได้ในยุคปัจจุบันเฉพาะเป็นเครื่องแต่งกายในงานแต่งงานหรือชุดเต้นรำ ในทำนองเดียวกันก่อนยุคอาณานิคม ปาโซ เป็นเพียงการสวมใส่โดยทั่วไปในระหว่างการแสดงบนเวทีรวมถึง การเต้นรำและการแสดง อะเญน ผ้าทออะเชะรูปแบบลวดลายพื้นเมืองของพม่าที่เรียกว่า อะเชะ ลายลอนคลื่นที่ สลับซับซ้อนแถบแนวนอนที่ประดับประดาด้วยการออกแบบคล้ายลายอาหรับ อะเชะ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ลูน ติย ซึ่งแปลว่า "กระสวยเส้นพุ่งนับร้อย"ต้องใช้เวลามาก มีราคาแพงและซับซ้อนในการทอผ้ารูปแบบนี้ ซึ่งต้อง ใช้กระสวยในเครื่องทอผ้าจำนวนมากซึ่งแต่ละอันจะให้สีที่แตกต่างกัน ศิลปวัฒนธรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕ กองบอง สวมใส่สำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการ การออกแบบกองบองของชาวพม่า สมัยใหม่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 1900 และเรียกว่า มอนเจะตะเร เป็นกองบองทำจากผ้าที่มีโครงหวายและ สามารถสวมใส่ได้เช่นสวมหมวก ๒.2 อาหาร ก๋วยเตี๋ยวฉาน (Shan-style Noodles) เมนูเส้นที่คล้ายกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา เสิร์ฟมาในชามหรือจานแบนๆ มีน้ำซุปรสเผ็ดที่ได้จากการเคี่ยว ไก่หรือหมู ราดมาพอขลุกขลิก ตัวเส้นเหนียวนุ่มน่าทาน กินคู่กับผักดอง บอกเลยว่าอร่อยเข้ากันสุดๆ เป็น อาหารเมนูง่ายๆ อิ่มท้องได้นาน ราคาถูก หาทานง่าย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖ โมฮิงกา (Mohinga) ขนมจีนพม่าคล้ายกับขนมจีนน้ำยากะทิบ้านเรา แต่ของเขาจะใช้เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ราดน้ำซุปที่ทำ จากปลา สมุนไพร และหอมแดง รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ส่วนเครื่องเคียงก็ยังคล้ายกับขนมจีนบ้านเราก็คือจะ มีหัวปลีหั่นฝอยให้ความกรุบกรอบ ท็อปปิ้งด้วยไข่ต้ม ผักทอด หรือถั่วทอดแบบแผ่น และก็เพิ่มรสชาติด้วย มะนาวหรือพริกป่น ปรุงได้ตามใจชอบ ตามจริงแล้วเมนูนี้จัดเป็นอาหารเช้าของคนพม่า แต่ก็หาทานได้ตลอด ทั้งวันตามร้านข้างทางทั่วไป เลอะเพ็ตโตะ (Laphet Thoke) หรือ ยำใบชาหมัก (Tea Leaf Salad) ยำใบชาหมัก เป็นเมนูทานเล่นประจำชาติ รสชาติจะแตกต่างจากสลัดทั่วไปคือจะออกเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ และก็มีความขมนิดๆ จากใบชาหมัก พร้อมด้วยส่วนผสมอื่นๆ อย่าง กะหล่ำปลีหั่นฝอย มะเขือเทศ ถั่วลิสง และถั่วลันเตา เพิ่มรสชาติให้เปรี้ยวเผ็ดด้วยน้ำมะขามเปียก พริกป่น น้ำปลา และกระเทียมสับ เมนูนี้เป็นได้ทั้ง ของว่าง อาหารเรียกน้ำย่อย หรือจะทานเป็นกับข้าวในมื้ออาหารก็ได้ หาทานได้ทั่วไปตามข้างทางหรือใน ร้านอาหาร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗ ของว่างในร้านน้ำชา (Tea Shop Meal) ถ้าเป็นร้านน้ำชาของคนพม่าพื้นเมือง ก็จะมีอาหารพม่าเมนูต่างๆ เช่น Htamin thoke เป็นเมนูข้าว ยำชนิดหนึ่ง รวมถึงของทอด เช่น ซาโมซ่า, E Kyar Kway แป้งทอดคล้ายปาท่องโก๋ ฯลฯ ส่วนร้านน้ำชาที่ เจ้าของเป็นชาวอินเดียหรือมุสลิม ก็มักจะเสิร์ฟของว่างเป็น โรตีทอด หรือแป้งนาน และร้านน้ำชาที่เจ้าของ เป็นคนจีน ก็จะมีติ่มซำหรือซาลาเปา ถ้าได้ไปเที่ยวพม่าและอยากหาของกินเล่นยามบ่ายก็แวะร้านน้ำชา ทั่วไปได้เลย แกงกะหรี่พม่า (Curry) แกงกะหรี่พม่า ด้วยรสชาติที่คล้ายกับแกงกะหรี่บ้านเรา และยังหาทานง่าย มีให้เลือกมากมาย ทั้งแกง กะหรี่หมู ปลา กุ้ง เนื้อ รวมถึงแกงกะหรี่แกะ โดยจะเสิร์ฟพร้อมข้าว สลัด ผักทอด น้ำซุป ผักสด และสมุนไพร ถาดใหญ่ กินแก้เลี่ยนได้ไม่อั้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘ น่านจี้โตะ (Nan Gyi Thoke) น่านจี้โตะ หรือเรียกว่า สปาเก็ตตี้พม่า โดยจะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นกลมหนาๆ ราดหน้าด้วยแกงไก่ รสชาติเข้มข้น โรยผักชี ทานคู่กับของทอด ไข่ต้ม และน้ำซุปที่สามารถขอเพิ่มได้ตลอด เป็นอาหารพื้นเมือง ของมัณฑะเลย์ที่หาทานได้ตลอดทั้งวัน เต้าหู้ทอดพม่า (Burmese Tofu) เต้าหู้ทอดสไตล์พม่า เป็นเต้าหู้ที่ทำจากถั่วชิกพี นำไปทอดจนสีเหลืองสวย กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟ พร้อมกับน้ำจิ้มมะขามเปรี้ยวๆ หรือราดน้ำยำรสเผ็ด รวมถึงมีแบบที่เสิร์ฟมาเป็นท็อปปิ้งของก๋วยเตี๋ยวรสเผ็ด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๙ สารพัดของทอด (Deep-fried Stuff) อาหารพม่า เมนูทอดๆ เป็นที่นิยมในชาวพม่าไม่แพ้บ้านเราเลยค่ะ โดยเมนูยอดนิยมก็มีหลากหลาย หาทานได้ง่ายตามร้านสตรีทฟู้ดข้างทาง หรือไม่ก็ในร้านน้ำชา ซึ่งของทอดที่นิยมกันก็มีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะ เป็น กะหรี่ปั๊บ เปาะเปี๊ยะทอด ข้าวโพดทอด หรือจะเป็นอาหารคาว ของหวาน ขนมปัง และก๋วยเตี๋ยว ที่โปะ หน้าด้วยของทอด ก็มีให้เลือกทานกันอย่างจุใจ หมงหลงเหย่โป่ง (Mont Lone Yay Paw) เมนูนี้เป็นขนมโบราณของพม่าที่คล้ายกับขนมต้มบ้านเรา โดยจะใช้แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า ผสม เข้ากับน้ำและเกลือ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ห่อไส้ด้วยน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลอ้อย นำลงไปต้มในน้ำเดือดจนสุก และลอยขึ้นมา โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด เป็นขนมประจำเทศกาลปีใหม่ของพม่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๐ ภาษาแม่ทีม่ตีวัเขยีน ศิราจารึก มยะเซดี วรรณคดีราชาธิราช 3. ภาษา / วรรณกรรม ๓.1 ภาษาพม่า อักษรพม่า เป็นอักษรในตระกูลอักษรพราหมี ใช้ในประเทศพม่าสำหรับการเขียนภาษาพม่า ในสมัย โบราณ การเขียนอักษรพม่าจะกระทำโดยการจารลงในใบลาน ตัวอักษรพม่าจึงมีลักษณะโค้งกลมเพื่อหลบร่อง ใบลาน อักษรพม่าเขียนจากซ้ายไปขวาเหมือนอักษรไทย และอักษรภาษาอื่น ๆ ในตระกูลอักษรพราหฺมีอักษร พม่าประกอบด้วยพยัญชนะและสระ โดยมีพยัญชนะ 33 ตัว ตั้งแต่ က (กะ) ถึง အ (อะ) ซึ่งเสียงของ พยัญชนะจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยสระที่เขียนเหนือ, ใต้, หรือข้าง ๆ พยัญชนะ เหมือนกับอักษรภาษาอื่น ใน ตระกูลอักษรพราหมี ภาษาแม่ที่มีตัวเขียน อ้างอิงโรงเรียนเพียงหลวง ๑ (บ้านท่าตอน). (2566). ข้อมูลด้านชาติพันธุ์พม่า. หน้า 88 ภาษา/วรรณกรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๑ ๓.2 วรรณกรรม หากว่าจะสืบหากำเนิดของงานเขียนทางวรรณกรรมของพม่า ก็จะพบได้จากศิลาจารึก อันที่จริง ศิลา จารึกจัดได้ว่าเป็นรากฐานอันสำคัญของวรรณกรรมพม่าเลยทีเดียว หากจะพิจารณาศิลาจารึกที่เป็นต้นเค้า ก็ ควรต้องคำนึงถึงยุคพุกาม ซึ่งรุ่งเรื่องด้วยศิลาจารึก และในบรรดาศิลาจารึกพม่าทั้งหลาย คงต้องให้ความสำคัญ ต่อ “จารึกมยะเซดี” (ซึ่งถือว่าเป็นงานร้อยแก้วชิ้นแรกสุดของวรรณกรรมพม่า จารึกชิ้นนี้เจ้าชายผู้มีพระนาม ว่าราชกุมาร พระโอรสของพระเจ้าจันสิตตาได้ทำขึ้นในศักราช ๔๗๔ (ค.ศ ๑๑๑๒)ในขณะที่พระราชบิดากำลัง ทรงพระประชวรอยู่ จารึกเป็นข้อความแบบร้อยแก้ว มีเนื้อหากล่าวถึงเรื่องการหล่อถวายพระพุทธรูปทองคำ องค์หนึ่ง และการถวายข้าทาสและที่ดินจำนวนมาก ในจารึกหลักนี้ไม่ได้เขียนไว้เป็นภาษาพม่าเพียงภาษาเดียว เท่านั้น หากยังพบว่าได้มีการจารึกอีก ๓ ด้านด้วยภาษาพยู ภาษาบาลีและภาษามอญด้วยเหตุนี้จึงแน่ชัดว่าใน สมัยนั้นนอกจากจะมีการใช้ภาษาพม่าแล้ว ยังมีการใช้ภาษาอื่นๆ คือ ภาษาพยู ภาษาบาลี และภาษามอญ ด้วย ในแง่วรรณกรรม จารึกมยะเซดี ถือเป็นงานประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุด (อรนุช–วิรัช นิยมธรรม)[1] วรรณคดียุคพุกาม ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา เป็นยุคที่มีหลัก ฐานปรากฏมากที่สุดเป็นยุด ความรุ่งเรืองเฟื้องฟู ทาง ศาสนาและวรรณกรรม เนื้อหาเกี่ยวกับการบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ ต่างๆลักษณะการประพันธ์โดยมาก เป็นร้อยแก้ว จุดประสงค์ในการจารึก : เป็นหลักฐานประกาศกิตติกรรมด้านการทำบุญบริจาคทาน และปัน อานิสงส์แก่ ผู้ที่ได้อ่าน ศิราจารึก มยะเซดี ที่มาของภาพ http://kauthotaw.blogspot.com/2016/10/blog-post_42.html วรรณคดียุคปินยะ แม้ว่ายุคปินยะจะมีช่วงเวลาสั้นๆแค่เพียงประมาณ ๖๖ ปี แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองทางวรรณกรรม ใน ยุคนี้ มีรูปแบบงานประพันธ์รูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้น เป็นอันมาก และมีลักษณะการประพันธ์และการใช้ ภาษาที่ ซับซ้อน สละสลวยกว่าสมัยพุกาม ทั้งยังนิยมเลือกใช้คำที่ยืมมาจากภาษาบาลและ สันสกฤตในการประพันธ์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๒ วรรณคดียุคอังวะ ตั้งแต่สมัยพุกาม – ตามปรากฏในหลักฐานทาง โบราณคด เช่นศิลาจารึก บันทึกโบราณ ภาษาที่ใช้ เป็นภาษาที่ไพเราะ อ่อนโยน เหมาะแกการ ขับกล่อมบรรเลง วรรณคดียุคตองอู วรรณคดีในยุคนี้มีความเคลื่อนไหวค่อนข้าง ชัดเจน และโดดเด่นนักประพันธ์ส่วนใหญ่เป็นนักประพันธ์ รุ่นใหม่ ราชาธิราช กล่าวถึงพงศาวดารมอญ และตำนานการ สร้างเมืองหงสาวดีของชาวมอญ นอกจากจะเป็น พงศาวดารมอญฉบับเก่าแก่สดแล้ว ยังเป็นต้นเค้าทางวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของพม่าอีกด้วย ลักษณะภาษาที่ใช้ในการประพันธ์ ราชาธิราช นั้นเป็น ประโยคสั้นๆ กระชับและกระจ่างชัด คล้ายคลึงกับ การ ใช้ภาษาในการเขียนตำราประวัติศาสตร์สมัยใหม่ วรรณคดีราชาธิราช แหล่งที่มา http://mylibrarymmo.blogspot.com/2013/12/blogpost_2897.html เนื้อหาทางวรรณกรรมโดยมากเกี่ยวข้องผูกพันอยู่กับ การศึกสงคราม งานประพันธ์โดยมากจึงเป็นไปใน ลักษณะทำนองปลุกใจ และมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับ เรื่องรักใคร่เป็นจำนวนมาก วรรณคดียุคคองบอง ในสมัยนี้ มีคำประพันธ์ชนิดใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย เช่นรวมทั้ง นิยายด้วยที่เกิดขึ้นในยุคนี้ (ระบบบริหาร ยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสาราคาม)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๓ ไม้แป้ งทานาคา อุปกรณ์แป้ งทานาคา แป้ งทานาคา 4. ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน แป้งทานาคา ทำจากไม้เนื้อแข็ง เนื้อสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อจะใช้จะนำไปฝนเป็นผง แล้วผสม น้ำพอกไว้บนใบหน้าจนแห้ง และเป็นการบำรุงผิวพรรรณให้กระจ่างใส ไร้สิว อุปกรณ์และ วิธีการใช้แป้งทานาคา ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๔ ปอยส่างลอง ประเพณีวันสงกรานต ์ พระเจดีย์ชเวดากอง 5. ประเพณี / พิธีกรรม / งานเทศกาล ๕.1 ประเพณีพิธีกรรม สังคมเมียนมาหรือพม่าที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นสังคมที่แทบหยุดกาลเวลา และหยุดความเปลี่ยนแปลง ไว้ได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพราะพม่าปิดประเทศมานานกว่า 3 ทศวรรษ ในช่วงเวลาดังกล่าว สังคมพม่าอยู่ได้ ด้วยการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น เน้นความเป็นอยู่แบบพึ่งพาตนเอง สิ่งจำเป็นจึงมี เพียงแค่ปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ในด้านความบันเทิง ทางการพม่าจะคอยควบคุมให้อยู่ในกรอบของจารีตประเพณี พม่าไม่มีสถาน บันเทิงแบบสมัยใหม่ ไม่มีภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าฉายมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ค่อยมีการเสนอข่าว อาชญากรรม ซึ่งอาจเป็นเพราะขัดกับค่านิยมพม่าที่มักเลือกรับข่าวสารเฉพาะเรื่องที่เป็นมงคล ด้วยเหตุนี้ชาว พม่าจึงพึ่งพาความบันเทิงแบบท้องถิ่น อาทิ ละคร ดนตรี มวย มายากล และภาพยนตร์พม่า สิ่งบันเทิงเหล่านี้ หาชมได้ในช่วงวันงานประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ก็คืองานฉลองพระเจดีย์ นอกเหนือจากงานฉลอง พระเจดีย์ที่จัดต่างเวลากันในแต่ละท้องถิ่นแล้ว ชาวพม่าส่วนใหญ่จะนิยมแสวงหาความสุขกับการประกอบบุญ กิริยาทางศาสนา หากเป็นชาวพุทธก็มักต้องหมั่นเข้าวัดทำบุญ ออกเดินทางแสวงบุญ นอกจากนี้พม่ายังมีงาน ประเพณีเพื่อสร้างกุศลที่อาจให้ความบันเทิงควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ งานฉลองสงกรานต์ งานวัดรดน้ำต้นโพธิ์ งานจุดประทีป และงานทอดกฐิน เป็นต้น งานประเพณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีสิบสองเดือน ที่ยัง พบเห็นได้ในแทบทุกท้องถิ่น บางวันถือเป็นวันหยุดราชการอีกด้วย - การเกิด ประเพณีรับขวัญเด็กเเรกเกิดของชาวพม่า บ้านที่มีเด็กเเรกเกิดจะมีการนำเทียน (เทียน นำมาใช้ใน การเชิญเเขกไปร่วมงานเเทนการ์ดเชิญ) มาเชิญชาวบ้านให้ไปร่วมงาน โดยประเพณีนี้ผู้ที่ได้รับเชิญก็จะนำ เครื่องใช้ของเด็ก เช่น แป้ง สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือเครื่องใช้อื่นๆไปเป็นของรับขวัญเด็ก ประเพณี นี้จะทำการรับขวัญเด็กเเรกเกิดภายใน 7 วันหลังจากคลอด เเละเเม่ของเด็กก็จะมีพิธีการล้างมือให้หมอตำเเยที่ ทำคลอด พ่อ เเม่ และญาติผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการขอบคุณ หลังจากเสร็จพิธีก็จะมีการเชิญรับประทานอาหาร ร่วมกัน ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๕ - การตาย ชาวพม่ามักพูดถึงความตายว่า คนเรานั้นเกิดมาเพียงเพื่อตาย และความตายคือที่สุดของเส้นทางชีวิต อีกทั้งมองว่าการไปทำบุญที่วัด ๑๐ ครั้งยังไม่เท่าไปงานศพเพียงครั้งเดียว เพราะจากงานศพนั้นเราได้ครบทั้ง ทาน ศีลและภาวนา โดยเฉพาะกับญาติมิตรผู้สูงอายุจะได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และหากมีการตาย เกิดขึ้นเพื่อนบ้านมักต้องช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจ ดังมีคำกล่าวสะท้อนความเอื้ออาทรที่มีต่อผู้ตายและญาติผู้ สูญเสียไว้ว่า เพื่อนบ้านดีศพย่อมงาม พม่าจำแนกการตายเป็น ๒ แบบ ได้แก่ ตายปกติและตายโหง ตายปกติคือตายเพราะความชราหรือ โรคภัยทั่วไป (พม่าเรียกว่าโรค ๙๖) ส่วนตายโหงคือตายเพราะอุบัติภัยหรือฆาตกรรม รวมถึงตายเพราะโรค ระบาดสัตว์ร้ายขบ งูพิษกัด ถูกประหาร หรือคลอดลูกตาย การตายเช่นนี้จะไม่มีการนำศพกลับเข้าหมู่บ้าน ดัง อาจเห็นโลงศพตั้งไว้ริมทางก็มีและจะไม่นิยมตั้งศพนั้นข้ามคืน คือมักฝังหรือเผากันในวันตายทันที คำว่า “ศพ” พม่าจะใช้ว่า อสุภะ และเรียกงานศพว่า อสุภะบแว อสุภะเป็นคำบาลีแปลว่า “ไม่งาม” ภาษาพม่าจะใช้ว่า มะต่า ในความหมายที่เหมือนกัน หรือจะใช้ว่า อะลอง ซึ่งเป็นคำพื้นๆ ก็ได้ในการตั้งศพและวันเผา นิยมตั้งศพ ทำพิธีได้๑ วัน ๓ วัน หรือ ๕ วัน คือ จะถือเอาจำนวนวันเลขคี่นับจากวันตาย อาทิหากตายในวันที่ ๑๐ ก็จะ เผาได้ในวันที่ ๑๐ วันที่ ๑๓ หรือวันที่ ๑๕ ในวันตายจะมีการนิมนต์พระ ๑ รูป เพื่อถวายอาหารอุทิศแก่ผู้ตาย แต่ถ้าตายในช่วงบ่ายหรือกลางคืนก็จะนิมนต์พระมาในวันถัดไป ในช่วงเวลาตั้งศพนั้น มักต้องเปิดประตูบ้านทิ้ง ไว้ทั้งวันทั้งคืน เพราะเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายจะยังคงวนเวียนเข้าออกบ้านของตัวก่อนนำศพลงโลงมักอาบน้ าศพ จะสวมเสื้อให้ผู้ตายโดยกลับหน้าไปด้านหลัง แล้วผูกนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้าสองข้างไว้ด้วยกัน ในอดีตมีการ สอดเงินไว้ในปากผู้ตาย เรียก ค่าเรือข้ามฟาก หรือ กะโด๊ะคะ และมีการพันศพด้วยผ้าขาวโดยเว้นไว้เฉพาะ ใบหน้า ส่วนในช่วงตั้งศพจะวางหม้อน้ำดินเผาและจุดไฟไว้ที่ปลายเท้าของผู้ตาย แล้ววางอาหารไว้ข้างโลงโดย จะเปลี่ยนอาหารให้ใหม่ตามเวลาอาหารปกติในวันเผาหรือฝังศพ ตอนที่แห่ศพออกจากบ้าน จะเทน้ำและโยน หม้อน้ำดินเผาให้แตกตรงที่หน้าประตูบ้าน และล้างบ้านตรงที่วางศพด้วย ในวันเคลื่อนศพนี้จะนิมนต์พระมา เช่นกันโดยพระจะสวดสรณคุณ อาจที่บ้านหรือที่ป่าช้า การแห่ส่งศพพม่าจะใช่ว่า อสุภะ-โป๊ะ การฌาปนกิจ จะ ใช้ว่า อสุภะ-ชะส่วนการพิจารณาศพ ใช้คำว่า อสุภะชุ่สาเหตุที่ล้างพื้นเรือนนั้น อาจมีที่มาจากนิทาน เรื่องมีว่า พระราชาองค์หนึ่ง เมื่อมเหสีแสนรักของพระองค์สิ้นชีวิต พระองค์กลับไม่ยอมนำศพไปเผา ยังคงเก็บศพมเหสี ไว้ในวัง พระฤๅษีร้อนใจจึงเข้าเฝ้า แล้วใช้อิทธิฤทธิ์เชิญวิญญาณมเหสีมาพบ มเหสีทูลพระราชาว่าตนไปเกิดใหม่ แล้วเป็นแมงขี้วัว และอยู่กินกับสามีใหม่อย่างมีสุข ทั้งนางไม่ปรารถนาชายใดเป็นคู่ครองอีก พอพระราชาได้ยิน เช่นนั้น เลยเตะโลงมเหสีไล่ไปพ้นวัง แล้วสั่งให้รื้อหิ้งตั้งศพแล้วล้างพื้นเสียในการแห่ศพออกจากเรือนจะเอา ด้านเท้าผู้ตายออก หากเป็นบ้านนอก มักนิยมใช้รถม้าขนศพไป หากเป็นในเมืองจะใช้รถยนต์ส่งศพ เรียกว่า นิพพานยาน พม่าเรียกป่าช้าว่า ตีงชาย หรืออาจเรียก สุสาน ป่าช้ามักจะอยู่นอกเมือง หรือห่างจากหมู่บ้าน ปกติการแห่ศพจะต้องหันหัวขบวนมุ่งไปนอกหมู่บ้าน ห้ามมุ่งไปทางทิศที่ตั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านของ ผู้ตายหรือไม่ก็ตาม อีกทั้ง ห้ามรีรอหรือหยุดขบวนแห่ที่หน้าบ้านผู้อื่นเป็นอันขาดก่อนนำศพลง หลุม จะมี การโยกโลงไปมาหน้าหลัง ๓ ครั้ง เพื่อบอกอำลาโลก แล้วญาติมิตรจะช่วยกันโยนก้อนดินลงปิดหลุมเป็น การขอขมา ท้ายสุดญาติคนหนึ่งจะนำดินหน้าหลุมกลับบ้านเพื่อทำบุญ ๗ วัน ดินนั้นแทนที่สิงวิญญาณของ ผู้ตายเพื่อพากลับบ้านมาฟังธรรม หากผู้ตายเป็นข้าราชการหรือพนักงาน หน่วยงานจะเขียนจดหมายเพื่อบอก ผู้ตายทำนองว่า ท่านหมดภาระหน้าที่ในหน่วยงานนั้นแล้ว และมีอิสระที่จะไปไหนได้ตามปรารถนา แล้วมอบ จดหมายนั้นเผาไปพร้อมกับผู้ตายด้วย เมื่อครบ ๗ วัน จะนิมนต์พระจำนวนคี่ อาจเป็น ๕ รูปหรือ ๗ รูป มาทำบุญที่บ้านเพื่อบอกหนทางให้ ผู้ตายไปสู่สุคติเรียกวันนี้ว่า วันทำบุญเจ็ดวัน โดยจะเชิญญาติมิตรมาร่วมงาน โดยไม่นิยมกล่าวคำเสียใจ แต่อาจ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๖ พูดปลอบใจด้วยคติธรรมส่วนสัปเหร่อนั้น พม่าเรียกว่า อสุภราชา หรือ มักเรียกสั้นลงว่า สุภราชา คำว่า สัปเหร่อในภาษาไทยก็น่าจะเพี้ยนมาจากคำนี้ อสุภ แปลว่า “ไม่งาม” หมายถึง “ซากศพ” อสุภราชาจึง หมายถึง “เจ้าแห่งอสุภะ” ที่พำนักของสัปเหร่อจะอยู่ไม่ห่างจากป่าช้านัก สัปเหร่อมีหน้าที่เผาศพ ฝังศพ และ ทำโลงศพ แต่ไม่รับทำพวงหรีด ซึ่งคนทำอาชีพนี้มีต่างหากในสมัยสังคมนิยมนั้น เป็นยุคของการยึดกิจการ เอกชนมาเป็นของรัฐ อาชีพสัปเหร่อในเมืองใหญ่ๆก็ถูกกระทบเช่นกัน โดยรัฐบาลได้ยึดงานสัปเหร่อในด้านการ เผาและฝังมาเป็นงานรัฐกิจ หรือ ปยีตู่ป่าย คงไว้เฉพาะการต่อโลงเท่านั้นที่สัปเหร่อยังทำได้ต่อไป ส่วนสัปเหร่อ ตามชนบทนั้นไม่โดนกระทบในเมืองย่างกุ้งมีสุสาน ๒ แห่ง ได้แก่ เหย่เว ที่เขตอุกกะลาปะเหนือ และ เถ่งปิ่ง ที่ หมู่บ้านชเวตะกอ ในเขตหล่ายตายา สุสานเถ่งปิ่งนั้นเป็นสุสานใหม่ที่ย้ายมาจากสุสานจั่งตอ ในเขตเมือง เดิม เรียกว่าสุสานชเวตะกอ แต่ชาวบ้านคัดค้านไม่ยอมให้ใช้ชื่อหมู่บ้านเป็นชื่อสุสาน จึงเปลี่ยนเป็นเถ่งปิ่ง สำหรับที่ เหย่เวนั้นเป็นสุสานรวมทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ฮินดูหรือ อิสลาม ส่วนที่เมืองมัณฑะเลนั้น คือ จ่านีกั่ง สุสานนี้ตั้งอยู่ทางด้านเหนือบนเส้นทางไปยังเมืองโมโกะ ที่สุสานจะมีบริการโลงเย็นสำหรับเก็บศพรอ วันเผาหรือฝังคนพม่าเวลามาเมืองไทย มักสะดุดใจเกี่ยวกับเรื่องงานศพของไทยอย่างการตั้งศพในวัด พม่าถือ ว่ามีแต่ศพระดับเจ้าอาวาสเท่านั้นที่ตั้งในวัดได้และรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเขตวัดเป็นที่ตั้งศพและมีเมรุส่วนการ เก็บอัฐิของผู้ตายไว้ในเจดีย์นั้น พม่าไม่ถือเป็นธรรมเนียม แม้พม่าจะเคยมีเจดีย์อนุสรณ์สำหรับเจ้านายก็ตาม แต่ปัจจุบันเจดีย์ถือเป็นที่บรรจุพระธาตุเท่านั้น ชาวพม่าที่ไม่คุ้นเคยกับประเพณีไทย พอเห็นเจดีย์บรรจุอัฐิคน ทั่วไป อาจเผลอสักการะเพราะคิดว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ - การบวช หลังเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว ก็ถึงเวลาที่ผู้คนในอุษาคเนย์เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ณ ช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งดินแดนจะเต็มไปด้วยเครื่องไหว้บรรพบุรุษ – ภูติผีเพื่อเป็นการตอบแทนที่ได้มอบผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ ให้ทั้งปี แต่หลังจากการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์ ผีที่นับถือ ได้เพิ่มสถานะให้เป็นเทพ และท้ายสุด พุทธ ศาสนาก็ได้เข้ามาฝังรากในอุษาคเนย์ ผี - พราหมณ์ – พุทธ จึงรวมกันจนเต็มไปด้วยตำนานเหนือจินตนาการ มากมายและกลายเป็นสังคมที่ไร้เขตเดนไปทั่วทั้งอุษาคเนย์ “ปอยส่างลอง” คือหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมของชาวอาเซียนที่ชัดเจน เพราะเมื่อเสร็จสิ้นจากการเลี้ยงชีพ ชาวอาเซียนก็ต่างพร้อมอุทิศตนให้กับศาสนา และ 2 – 3 เดือนต่อจากนี้ ครอบครัวชาวพม่า – ชาวไทยใน ภาคเหนือ ต่างยินดีมอบลูกชายของตนเพื่อค้ำจุนศาสนาให้สืบไป ถือเป็นโชคดีที่มหัศจรรย์อาเซียนได้มีโอกาส เดินทางไปในงานบวชลูกแก้วทั้ง 2 แห่ง โดยจุดเริ่มต้นนั้นเริ่มที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่าที่ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นฐานที่มั่นสำคัญของรามัญ ประเทศนี้ แม้ไม่ถูกโปรโมทให้เป็นเทศกาลยิ่งใหญ่ แต่นี้คือประเพณีปกติที่ทุกชุมชนได้ทำสืบต่อกันมา โดย รายละเอียดบางส่วนนั้นยึดตามความตำนานของพระพุทธเจ้า ที่ออกผนวชเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชาย นี่จึงเป็น สาเหตุที่ว่า เหตุใดเหล่า (ว่าที่) เณรน้อยทั้งหลาย จึงต้องแต่งองค์ให้งดงาม ขี่ม้าหรือไม่ก็ช้างในขวบนแห่ตาม ฐานะของแม่งาน จนทำให้ประเพณีบวชลูกแก้วนั้นโด่งดังอย่างเช่นทุกวันนี้ นอกจากนี้ประเพณีการบวช ของชาวพม่ายังแบ่งตามเดือน ได้แก่ เดือนสาม เรียกว่า เดือนนะโหย่ง (พ.ค. - มิ.ย.) เป็นเดือนเริ่มการเพาะปลูก ฝนเริ่มตก อากาศเริ่ม คลายร้อน ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มแตกยอด โรงเรียนต่างเริ่มเทอมใหม่หลังจากปิดภาคฤดูร้อน เดือนนะโหย่งจึง นับเป็นเดือนเริ่มชีวิตใหม่ ในสมัยที่ยังมีกษัตริย์ปกครองเคยจัดพิธีแรกนาขวัญในเดือนนี้ พม่าเรียกพิธีนี้ว่า “งานมงคลไถนา” ส่วนในทางศาสนาเคยเป็นเดือนสอบท่องหนังสือพุทธธรรม สำหรับพระเณร กล่าวว่ามีมา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๗ ตั้งแต่สมัยของพระเจ้าตาหลุ่นมีงตะยาแห่งอังวะยุคหลัง ในอดีตจะสอบเฉพาะท่องหนังสือด้วยปากเปล่า แต่ปัจจุบันมีทั้งการสอบเขียนและสอบท่อง และได้ย้ายไปจัดในเดือนดะกูซึ่งเป็นเดือนแรกของปี เดือนสี่ เรียกว่า เดือนหว่าโส่ (มิ.ย. - ก.ค.) ถือเป็นเดือนสำคัญทางพุทธศาสนาด้วยเป็นเดือน เข้าพรรษา พม่ากำหนดให้วันเพ็ญเดือนหว่าโส่เป็นวันธรรมจักร เพื่อน้อมรำลึกวันประสูติ วันออกบวช และวัน ปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันนี้ชาวพุทธพม่าจะเข้าวัดทำบุญและนมัสการพุทธเจดีย์กันอย่าง เนืองแน่น และถัดจากวันธรรมจักรคือ วันแรม 1 ค่ำของเดือนหว่าโส่ จะเป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มจำพรรษาใน เดือนนี้ สาวๆ พม่าในหมู่บ้านมักจะจับกลุ่มออกหาดอกไม้นานาชนิด เรียกรวมๆ ว่า ดอกเข้าพรรษา ซึ่งขึ้นอยู่ ตามชายป่าใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำมาบูชาพุทธเจดีย์ นอกจากนี้ยังมีการถวายจีวรและเทียนที่วัด กิจกรรมสำคัญ อีกอย่างหนึ่งในเดือนหว่าโส่ คือ งานบวชพระ ด้วยถือว่าวันเพ็ญเดือนหว่าโส่ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงบวช ให้แก่เบญจวัคคี ในอดีตพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ การบวชพระและเณรสำหรับผู้สอบผ่านพุทธ ธรรมตามที่จัดสอบกันในเดือนนะโหย่ง เนื่องจากฤดูฝนจะเริ่มในเดือนหว่าโส่ เดือนนี้จึงเป็นเดือนเริ่มลงนาปลูก ข้าวด้วย เล่ากันว่าชาวนาจะลงแขกปักดำข้าวในนา พร้อมกับขับเพลงกันก้องท้องทุ่งนา (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม, 2551:84) - การสู่ขวัญ การสู่ขวัญเป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและวัย อวัยวะในร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น รูปธรรมซึ่งสามารถมองด้วยตาเปล่าเห็น และส่วนที่ 2 ส่วนที่เป็นนามธรรม เรียกว่า “ขวัญ” เนื่องจากมี ความเชื่อที่ว่าคนเราจะประสบความมสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับขวัญของคนๆนั้น ซึ่งความเชื่อในสังคมพม่าทั่วไปคือ นัต ที่หมายถึงผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือพวกสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถคุ้มครองมนุษย์ได้ แต่ไม่รวมพระพุทธเจ้าและ พระอรหันต์ ที่สําคัญก็คือ นัตของพม่าจะต้องเป็นวิญญาณที่เกิดจากคนตายโหง กึ่งเทพกึ่งผี อยู่ระหว่างเทพและผี สูงศักดิ์ กว่าผีทั่วไปสักหน่อย แต่ไม่เทียบชั้นเท่าเทวดา ผู้ที่เป็นสาวกของนัตจึงต้องใช้ศัพท์แสงและปฏิบัติตนต่อนัด ประดุจกษัตริย์ เทียบได้กับผีเจ้าพ่อเจ้าแม่ของไทย ที่มีฐานันดรสูงส่งกว่าผีธรรมดาสามัญ - การแต่งงาน ในพิธีแต่งงานแบบพม่าจะให้พราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีโดยจะจัดให้คู่บ่าวสาวนั่งเคียงข้างกัน เมื่อ พราหมณ์เป่าแตรสังข์ถือเป็นการเริ่มพิธีสมรส หลังจากนั้นพราหมณ์จะทําการประกบฝ่ามือคู่บ่าวสาวด้วยผ้า ขาวและจุ่มลงในถ้วยเงิน จากนั้นพราหมณ์จะสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตและยกมือบ่าวสาวออกจากถ้วยเงิน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๘ เมื่อพราหมณ์เป่าแตรสังข์อีกครั้งจะถือว่าเป็นการจบพิธีสมรสอย่างเป็นทางการสังคมเมียนมาหรือพม่าที่ผ่าน มา นับได้ว่าเป็นสังคมที่แทบหยุดกาลเวลา และหยุดความเปลี่ยนแปลงไว้ได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพราะพม่าปิด ประเทศมานานกว่า 3 ทศวรรษ ในช่วงเวลาดังกล่าว สังคมพม่าอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เน้นความเป็นอยู่แบบพึ่งพาตนเอง สิ่งจำเป็นจึงมีเพียงแค่ปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค - ประเพณีวันสงกรานต์ เดือนเมษายนเป็นช่วงหน้าร้อน หรือเรียกว่าเดือนตะคู เป็นเดือนที่ตะวันยามเที่ยงอยู่ตรงศรีษะมาก ที่สุด ในช่วงนี้น้ำในแม่น้ำลำคลองเริ่มจะแห้ง จริงตามคำกล่าวของพม่าที่ว่า ตะคูน้ำลง กะโส่งน้ำแล้ง (กะโส่ง เริ่มราวกลางเดือนพฤษภาคม) ในปีพ.ศ.1997 พม่ากำหนดเทศกาลสงกรานต์ หรือที่พม่าเรียกว่า ตจั่ง-บแว ในช่วงวันที่ 14-16 เมษายน พม่าเริ่มศักราชใหม่ในเดือนตะคู และฉลองด้วยประเพณีสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเพณีสิบสอง เดือนที่มีสีสันกว่าเทศกาลอื่นๆ สงกรานต์ถือเป็นเทศกาลฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของชาวพม่า ชาวพุทธพม่าถือว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นเวลาเหมาะ สำหรับการสร้างบุญกุศล จึงนิยมเข้าวัด รักษาศีล ฟังธรรม ตลอดจนประกอบกิจทางศาสนา นอกจากนี้ในช่วงเดือนเมษายน ชาวพม่าจะนิยมจัดงานบวชเณรให้ บุตรชาย และจัดงานเจาะหูและบวชชีให้บุตรสาว ดังจะพบเห็นขบวนแห่บวชตามท้องถนนและบนลานเจดีย์ ในช่วงเดือนดังกล่าว ฉะนั้นหลังสงกรานต์ แต่ละวัดจึงเต็มไปด้วยเณรและชีมากเป็นพิเศษ นอกจากสงกรานต์ จะเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างกุศลของชาวพุทธพม่าทั้งประเทศแล้ว สงกรานต์ยังเป็นเทศกาลสำหรับเด็ก หนุ่มสาว และคนรุ่นใหม่ที่จะได้มีโอกาสแสดงออกอย่างอิสระ โดยเฉพาะในการเล่นน้ำ ร้องเพลง เต้นรำ ตลอดจนการแต่งตัวตามรสนิยม ในช่วงสงกรานต์จะมีดอกไม้ประจำ 7 ชนิด เรียกรวมว่า ดอกสงกรานต์ หรือ ตะจั่งปาง ที่พบเห็นได้ ง่ายคือ ดอกคูณ และดอกประดู่ ดอกประดู่บานหลังฝนเปลี่ยนฤดูที่พม่าเรียกว่า “ฝนสงกรานต์” หรือ “ตะจั่งโม” ในช่วงสงกรานต์ชาวบ้านจะนำดอกประดู่มาบูชาและนำมาแซมผม และก่อนฝนสงกรานต์จะตกชะ ลงมาชาวบ้านที่มีหัวการค้าจะคอยจองต้นประดูเพื่อรอตัดดอกขาย ประดู่จึงเป็นดอกไม่แห่งเทศกาลสงกรานต์ ช่วยเติมสีสันให้ชีวิตในช่วงต้นฤดูร้อน ส่วนขนมประจำสงกรานต์ที่พบบ่อย คือ ขนมต้ม พม่าเรียก “ลูกขนม ลอยน้ำ” หรือ ม่งโลงเหย่บ่อ ชาวพม่านิยมทำขนมต้มเพื่อแจกกันในหมู่ญาติมิตร ส่วนคนที่มีเชื้อสายมอญจะทำ ข้าวแช่ ที่เรียกว่า ตะจั่งถะมีง แปลว่า “ข้าวสงกรานต์” การเล่นน้ำสงกรานต์ในพม่ามีระดับความนุ่มนวลมากน้อยต่างกันตามวิสัยสุภาพที่สุดจะใช้ใบหว้าจุ่ม น้ำจากขันเงินแล้วประพรมที่ไหล่ ใบหว้าถือเป็นไม้นามมงคล พม่าเรียกว่า อ่องตะปแหย่ แฝงนัยว่า “สัมฤทธิ์” ชาวพม่านิยมบูชาพระด้วยใบหว้า จากนั้นอาจนำมาประดับบ้าน ร้านค้า และพาหนะ หรือพกติดตัวเป็นมงคล การรดน้ำอีกวิธีหนึ่งที่สุภาพคือการรินรดน้ำที่ไหล่ ส่วนการเล่นน้ำที่เน้นความสนุกสนานนั้น มีทั้งสาดใส่กัน และฉีดด้วยสายยาง ที่ใช้ถุงปาใส่กันก็มี พอพ้นจากวันเล่นน้ำ 3 วัน ก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ ชาวพม่าจะถวายดอกไม้บูชาประทีป สรงน้ำ และขอ พรกับพุทธรูปพุทธเจดีย์ ฟังสวดมงคลสูตรที่โรงธรรมกลางบ้าน และถวายอาหารแด่พระสงฆ์ มีการจัดงาน คารวะครูอาจารย์ สระผมและตัดเล็บให้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งที่บ้านและที่พักคนชรา พร้อมกับมอบเครื่องนุ่งห่มใหม่แด่ ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ อีกทั้งทำงานไว้ชีวิตวัวควาย ปล่อยนก ปล่อยปลา เจดีย์และวัดสำคัญ จะเนื่องแน่นไปด้วย ผู้คนนับแต่เช้าจรดค่ำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๙ ๕.2 งานเทศกาล งานไหว้พุทธเจดีย์ งานไหว้พุทธเจดีย์ในพม่า นิยมจัดกันในเดือนดะส่องโมง (ต.ค. - พ.ย.) อันเป็นเดือนพ้นฤดูฝน หลัง ออกพรรษา และหมดภาระจากการเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่นา ชาวพุทธพม่ามีเจดีย์เป็นที่พึ่งทางใจ การไหว้พระ เจดีย์ในช่วงงานฉลององค์พระ จึงนับเป็นโอกาสอันสำคัญที่ชาวพุทธพม่าให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็น ช่วงเวลาแห่งการทำบุญสร้างกุศลแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความบันเทิง พม่าเรียกเจดีย์ ว่า พยา มีความหมายเทียบได้กับ “พระ” พม่าถือว่าพุทธเจดีย์เป็นองค์แทนพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า เขตเจดีย์ไม่นับเป็นเขตพำนักของสงฆ์หรือชี หากแต่กำหนดไว้เป็นเขตสำหรับปฏิบัติบูชา เพื่อที่ชาวพุทธพม่า ไม่ว่า สงฆ์ ชี โยคี หรือฆราวาสจะมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ และขอพร ส่วนงานไหว้พุทธเจดีย์ พม่า เรียกว่า พยา-บแวด่อ คำว่า พยา หมายถึง พุทธเจดีย์ ดังกล่าวแล้ว บแว หมายถึง งาน ตรงกับคำว่า ปอย ในภาษาคำเมือง ส่วน ด่อ เป็นปัจจัยพิเศษเติมท้ายคำนาม มักใช้กำกับบ่งชี้สิ่งอันควรเทิดทูน อาทิ ประเทศ ชาติ กองทัพ และพระราชวัง เป็นต้น ชาวพม่ามักนิยมไหว้พระเจดีย์กันอยู่เป็นนิจ ชาวพุทธพม่ามักจะต้องมาสักการะพระเจดีย์ชเวดากอง เพื่อเป็นสิริมงคล ชาวบ้านมักหาเวลาว่างมาเที่ยวเจดีย์ บ้างสรงน้ำพระประจำวันที่ตั้งอยู่ตามเชิงเจดีย์ บ้างมา ทำบุญปิดทององค์เจดีย์ บ้างมาขอพรจากองค์พระเจดีย์หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รายรอบบนลานเจดีย์ อาทิ พระสิวลี พระอุปคุต พ่อปู่โพโพจี และผู้วิเศษที่พม่าเรียกว่า ทุตยะเป้าก์ การไปไหว้พระเจดีย์นั้น พม่ามีธรรมเนียมอยู่ว่าทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด เมื่อเข้าในเขตพุทธเจดีย์ จะต้องถอดรองเท้านับแต่เริ่มย่างสู่ทางเข้าเจดีย์นั้น ในประวัติศาสตร์พม่าเคยเกิดกรณีพม่าประท้วง ชาวต่างชาติ เมื่อปี ค.ศ.1918 เนื่องจากชาวต่างชาติไม่ยอมถอดรองเท้าเมื่อเข้าเขตพุทธเจดีย์ ชาวพม่าจึงใช้ เป็นชนวนต่อต้านอังกฤษที่ปกครองพม่าอยู่เวลานั้น โดยวาดการ์ตูน แสดงภาพชาวต่างชาติชายหญิง สวมรองเท้าขึ้นคร่อมหลังชายพม่าที่เดินเท้าเปล่าในเขตลานเจดีย์ การสวมรองเท้าหรือถุงเท้าเข้าเขตเจดีย์จึงถือ เป็นข้อห้ามสำหรับทุกคน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๐ นัตทีส่ถติอยู่เขาโปปา การแสดงของนัตกะด่อหรือร่างทรงนัต ภูเขาโปปา (MOUNT POPA) 6. ศาสนาและความเชื่อ พม่าหรือเมียนมามีความโดดเด่นในเรื่องการศรัทธาพุทธศาสนา มีเจดีย์และศาสนสถานในพุทธศาสนา จำนวนมาก ประชากรกว่า 87 % นับถือพุทธศาสนา แต่ในขณะเดียวกันมีประชากรบางส่วนที่นับถือพลัง เหนือธรรมชาติจำนวน 4.5% คริสต์ศาสนา 4 % อิสลามและฮินดู 1.5% (Steven, 2002:62) ความสำคัญของพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้นับถือเพียงอย่างเดียว แต่พุทธศาสนายังเป็น รากฐานสำคัญของสังคมพม่า โดยมีประวัติย้อนหลังไปถึงสมัยปยูและอาณาจักรพุกาม ในช่วงระยะเวลาจาก อดีตถึงปัจจุบันซึ่งเป็นเวลากว่าพันปี ได้หล่อหลอมให้พระพุทธศาสนาในพม่ามีลักษณะเฉพาะของตนเอง นั่น คือ การมีลักษณะผสมผสานของศาสนาและความเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่ในดินแดนพม่า (นฤมล ธีรวัฒน์ และคณะ. 2551:233) พระพุทธศาสนา ชนชาติมอญเป็นชนกลุ่มแรกในพม่าที่รับนับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทจากทักษิณนิกาย หรือ นิกาย พุทธทางใต้ ของอินเดีย (Steven, 2002:55) เชื่อกันว่าพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศพม่า เมื่อครั้งที่พระเจ้า อโศกมหาราช แห่งอินเดียให้การอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ได้มีการส่งพระสมณทูตไป เผยแพร่พุทธศาสนาในแถบประเทศต่างๆ รวม 9 สาย (ฟื้น ดอกบัว, 2554:182) โดยพม่าอยู่ในส่วนของ สุวรรณภูมิ ชาวพม่ายังเชื่อว่า สุวรรณภูมิ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสะเทิมทางตอนใต้ของพม่า พุทธศาสนาได้ เจริญรุ่งเรืองในพม่าราวพุทธศตวรรษที่ 6 เนื่องจากพบหลักฐานเป็นคำจารึกภาษาบาลี นักประวัติศาสตร์ท่าน หนึ่งชื่อว่า ตารนาถ เชื่อว่าพุทธศาสนาแบบเถรวาทได้เข้าสู่พม่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ประวัติพุทธ ศาสนาพม่า, 2015) พม่าบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติตั้งแต่ปีค.ศ.1974 ปัจจุบันพุทธศาสนาเป็นสถาบัน ที่แข็งแกร่งที่สุดในพม่า สืบเนื่องจากประเพณีปฏิบัติอันยาวนานหลายประการ ประการแรก ความใกล้ชิด ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับสถาบันภิกษุ ซึ่งต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและกัน ประการที่สอง การรักษาความเข้มข้น ศาสนาและความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๑ ขององค์ความรู้และวินัย โดยผ่านการปะทะสังสรรค์กับผู้นำทางศาสนาประเทศอื่นๆในเครือพุทธศาสนาเถร วาท โดยเฉพาะศรีลังกาและไทย และประการที่สาม คือการทุ่มเททรัพยากร สมบัติวัตถุ และงานฝีมืออัน ประณีตบรรจงให้กับภิกษุ ปูชนียสถาน และโลกทางกายภาพของชาวพุทธ (นฤมล ธีรวัฒน์ และคณะ. 2551:234-235) ด้วยลักษณะเด่นของพุทธศาสนาเถรวาทของพม่าที่สามารถเป็นแกนหลักในความหลากหลาย ในขณะเดียวกัน พุทธศาสนาก็มีความลึกซึ้งในหลายระดับทั้งระดับปรัชญา ระดับการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ไปจนถึงพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน ศาสนาพุทธจึงสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นในความหลากหลายให้สังคม พม่าได้และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพร่วมกัน ผู้ปกครองพม่าแต่ละยุคจึงไม่อาจปฏิเสธ ความสำคัญของศาสนาพุทธ ความรู้ในพระไตรปิฎกของชาวบ้านทั่วๆไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ หลักเกณฑ์ทางศีลธรรม และโศลกคำสอนที่เรียกว่า “โต้ว” บางบทที่ชี้แนะทางสายกลาง เช่นโศลกว่าด้วยเรื่อง หน้าที่ศีลธรรมที่เรียกว่า มินกลาโต้ว ในส่วนที่เป็นพระอภิธรรมซึ่งเป็นความรู้ขั้นสูงนั้นมักไม่เป็นที่รู้จักมักคุ้น ของชาวบ้าน แม้แต่ผู้ที่เคยผ่านการบวชเรียนมาแล้วก็ตาม ชาวบ้านทั่วไปจะมีความรู้ความเข้าใจในพุทธศาสนา อยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ 1. ความคิดในเรื่องกรรม และบุญ 2. ศีลและการถือปฏิบัติ 3.ความเชื่อแบบดั้งเดิมใน สังคมพม่า (นฤมล ธีรวัฒน์ และคณะ.2551:246) นอกจากนี้พุทธศาสนาและพระสงฆ์ในพม่ายังมีบทบาททางการเมืองที่สำคัญตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ.1930 ในการเป็นผู้นำต่อต้านอาณานิคมอังกฤษ ต่อมาในปี ค.ศ.1988 พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญ ในการเป็นแกนนำต่อต้านรัฐบาลทหารภายใต้การนำของนายพลเนวิน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญกับ สิทธิเสรีภาพของประชาชนตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 ส่งผลให้เกิดการปะทะกับทหาร มีการนองเลือดและมีผู้เสียชีวิต นับพันคน จนนานาชาติต้องหันมาให้ความสนใจและจับตามองบทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ในพม่ามาก ขึ้น ปัจจุบันพุทธศาสนาและพระสงฆ์ยังคงเป็นผู้นำหลักทางจิตวิญญาณของชาวพม่าทั้งในการดำรงชีวิตและ การเมือง ดังพบได้อยู่เสมอว่าในพม่าพระสงฆ์มักเป็นแกนนำในการต่อต้านรัฐบาล สนับสนุนนักการเมือง ในประเทศ ตลอดจนต่อต้านศาสนิกชนต่างศาสนา “นัต” กับความเชื่อของชาวพม่า พม่าได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาและพุทธเจดีย์ พุทธศาสนิกชนชาวพม่าต่างให้ความเคารพ ในพระสงฆ์ซึ่งถือเป็นเนื้อนาบุญและเป็นที่พึ่งแห่งกุศล แต่ภายใต้ร่มเงาแห่งพุทธศาสนานั้น สังคมพม่ายังคงแฝง ไปด้วยกลิ่นอายความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาผีอยู่ไม่น้อย และที่ปรากฏเป็นภาพเด่นชัดคือ การบูชานัต ดังพบว่า ภายในบ้านของชาวพม่าบางบ้านมีหิ้งบูชานัตตั้งอยู่ใกล้หิ้งพระพุทธรูป หลายบ้านปลูกศาลคล้ายศาลพระภูมิ ไว้ ที่หน้าบ้าน ในขณะที่ริมทางตามต้นไม้ใหญ่ยังมีศาลนัตอยู่ทั่วไป แม้แต่ในเขตลานพระเจดีย์ยังพบว่ามีรูปนัต ปั้น เป็นองค์เทพ เทวี ผู้เฒ่า รูปยักษ์ เห็นชัดว่าชาวพม่าจำนวนไม่น้อยยังคงกราบไหว้บูชานัต ทั้งที่บ้านและที่ สาธารณะ ตลอดจนในเขตพุทธสถาน (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม, 2551:143)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๒ คำว่า “นัต” ปราชญ์ชาวพม่า เชื่อว่าคำนี้น่าจะมาจากคำว่า นาถ ในภาษาบาลี หมายถึง “ผู้เป็นที่พึ่ง” ตาม กล่าวไว้ในตำรานิรุกติศาสตร์เก่าแก่เล่มหนึ่งของพม่า คือ โวหารลีนตฺถทีปนี แต่งโดย มหาเชยสงขยา และใน สารานุกรมพม่า เล่ม 6 ได้นิยามคำว่า นัตไว้ในทำนองเดียวกัน โดยจัดแบ่งนัตไว้ 3 ส่วน คือ วิสุทินัต คือ ผู้ บริสุทธิ์ อันหมายถึง พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ อุปปตฺตินัต คือ เทวดาและพรหมาที่ อยู่บนสรวงสวรรค์ และ สมฺมุตินัต คือ พระราชา พระราชินี ตลอดจนราชบุตรราชธิดา นอกจากนี้ยังกล่าวถึง เทพประจำจักรวาลว่าเป็นนัต เช่น เทพประจำดาวนพเคราะห์ สุริยเทพ จันทราเทพ อัคนีเทพ และวาโยเทพ ดังนั้นนัตตามนัยของคำว่า นาถ นี้ ก็คือ เหล่าเทพเทวาบนชั้นฟ้าตลอดถึงผู้ประเสริฐและผู้ทรงอำนาจบนโลก มนุษย์ ถือเป็นนัตตามโลกทัศน์ในพุทธศาสนา ส่วนพจนานุกรมพม่า ของรัฐบาลเมียนมาร์ กล่าวถึงนัตไว้ 3 นัย ได้แก่ 1. เทพอุปปัติทรงฤทธิ์คุ้มครองมนุษย์ 2.วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของผู้ตายร้าย และ 3. คำขยายสิ่งซึ่งอุบัติขึ้น เอง เช่น นัตสะบา “ข้าวนัต หรือ ข้าวป่า” และ นัตเย-ดวีง “สระนัต หรือ สระรรมชาติ” เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติจึงถือว่าเป็นด้วยอำนาจแห่งนัต ดังนั้นนัตตามคติของชาวพม่าจึงหมายถึง ผู้ทรงฤทธิ์ เป็นได้ทั้ง เทพยดาและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่รวมถึงพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ตลอดจนพระราชา หรือ ราชตระกูล (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม, 2551:143-144) ชาวพม่า เชื่อว่า มนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย ที่เรียกว่า โก่ก่ายะ และ ขวัญ ที่เรียกว่า เละปยา เมื่อ ตายไปขวัญจะกลายเป็นดวงวิญญาณล่องลอยอยู่ในโลก สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้คนทั่วไปได้ หรืออาจเข้าสิง ร่างของผู้อื่นและบังคับให้ผู้นั้นกระทำสิ่งต่างๆ ตามความประสงค์ของดวงวิญญาณ และเมื่อพิจารณาสภาพการ กลายเป็นนัตของคนพม่าแล้วจะเห็นว่าสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องดวงวิญญาณ คือ ธาตุที่ไม่ดับสูญ ในหนังสือ โตงแซะคุนิจ์มีง หรือ นัต 37 ตน เขียนโดย อูโพจา ได้บรรยายเรื่องนัตไว้ว่า “เรื่องการกลายเป็นนัตนั้นจดจำ แลเชื่อกันว่า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนเผ่าพันธุ์ใดกษัตริย์หรือสามัญชน มั่งมีหรือยากไร้ หญิงหรือชาย เด็กหรือ ผู้ใหญ่ หากแต่เป็นผู้ที่คนทั่วไปยกย่อง ยึดเป็นที่พึ่งได้และเป็นผู้ที่มีเมตตา ยามตายก็จากไปอย่างน่าเวทนา เมื่อ ผู้คนทั่วไปรับรู้ จึงบังเกิดความสะเทือนใจ โจษจันกันไปทั่ว วิญญาณของผู้นั้นจึงกลายเป็นนัต” (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม, 2551:145) ชาวพม่าติดต่อกับนัตในหลายรูปแบบ มีทั้งการกราบไหว้ เซ่นสรวง ลงทรง เพื่อขอความคุ้มครอง บน บานศาลกล่าว หรือบัดพลีเมื่อคำขอเป็นผลสัมฤทธิ์ รูปแบบของการเซ่นไหว้นัตในเรือน นัตตามศาล และนัตที่ อยู่รายรอบพระเจดีย์นั้นส่วนใหญ่กระทำคล้ายๆกัน จะแตกต่างกันอยู่บ้างขึ้นอยู่กับนัตแต่ละตน เช่น นัตบาง ตนนิยมมังสวิรัติ กินเฉพาะผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ นัตบางตนชอบอาหารดิบ เช่น ปลาดิบ เนื้อดิบ นัตบางตนชอบ ของมึนเมา ดื่มเหล้าเมามายยามประทับทรง และบางตนชอบบุหรี่ เป็นต้น (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยม ธรรม, 2551:161)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๓ ความเชื่อเกี่ยวกับนัตของชาวพม่าในส่วนที่เกี่ยวกับนัตตามนัยของผีอารักษ์นั้นดูจะเป็นความเชื่อพื้นถิ่นที่ ปรากฏอยู่คู่สังคมพม่ามายาวนานยิ่งกว่าพุทธศาสนา บทบาทของนัตในความเชื่อของพม่าดั้งเดิมมีความสำคัญ ถึงระดับร่วมสร้างบ้านแปงเมืองในพุกามยุคแรกๆ จนได้รับความสำคัญเป็นมิ่งเมือง เป็นไปได้ว่าในยุคของพระ เจ้าอโนรธา การรับพุทธศาสนาจากภายนอกได้ทำให้นัตในคติความเชื่อพื้นถิ่นถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงนัตที่ คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ตามชาวพม่าไม่อาจปฏิเสธอำนาจนัตอย่างสิ้นเชิง สังคมพม่าจึง เป็นสังคมพุทธที่แฝงอยู่ด้วยความเชื่อในนัตระคนกัน (วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม, 2551:168) นัตที่สถิตอยู่เขาโปปา ภูเขาโปปา (Mount Popa)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๔ ซายวาย จีวาย (KYIWAING) ละครนิพตัขิน่ 7. ดนตรี / นาฏศิลป์ / การละเล่นพื้นบ้าน เอกสารที่มีการบันทึกเรื่องราวของดนตรีพม่า คือพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ถังบันทึกว่า ราชสำนักพยู ได้ส่งนักดนตรีและการแสดงไปแสดงในราชสำนักจีนใน ปี ค.ศ.800 (พ.ศ. 1343) ในการแสดง นั้นมีเครื่อง ดนตรีถึง 14 ชนิด ลักษณะของเครื่องดนตรีที่บันทึกสอดคล้องกับลักษณะของเครื่องดนตรีในปัจจุบัน พงศาวดารดังกล่าวระบุชื่อ พิณ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งน่าจะเป็น มิยอง จะเข้ที่มีหัวคล้ายจระเข้จริงๆ ไม่มีเครื่อง ดนตรี อื่นในบันทึกที่แสดงว่าคล้ายกับเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงนอกอาคารอย่างในปัจจุบัน เหตุที่เป็นเช่นนี้มี ความเป็นไปได้ 2 กรณี คือ สมัยนั้นไม่มีเครื่องดนตรีแบบปัจจุบันหรือ ไม่ก็มีแล้วแต่ราชสำนักไม่เห็นสมควรที่ จะส่งไปแสดง (Becker 1967, 1980) เครื่องดนตรีที่มีในอดีตแต่ปัจจุบันแทบไม่มีใครรู้จัก ได้แก่ ตะยอ (ซอมอญ) ซึ่ง ในปัจจุบันถูกแทนที่ ด้วยไวโอลิน แคนที่เรียกว่า ฮยิ่น (Hnayin) ที่ไม่มีใครรู้จัก เครื่อง ดนตรีอีกชนิดหนึ่งที่สูญไปแล้วคือ สันตะยา (Santaya) ที่ปัจจุบันใช้เรียกเปียโน ส่วน มิยอง (Mijaun) ก็ไม่มีใช้ในดนตรีพม่าแล้ว แต่ชาวรามัญในพม่ายังใช้ กันอยู่ (Garfias 1985) ดนตรีของพม่าไม่มีหลักฐานชัดเจนจนกระทั่งปี ค.ศ. 1700 ในสมัยราชวงศ์ Kaunbaun ทางราช สำนักได้ให้การอุปถัมภ์ดนตรีอย่างดี ทำให้ดนตรีเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น ราชสำนัก ให้การอุปถัมภ์ดนตรี 2 ชนิดคือ อันยีน ตีวาย (Anyeintiwain) ดนตรี ประกอบการเต้นรำและ ขับร้องของสตรีในราชสำนัก และ ชเว โตมุยชี ตีวาย (Htwe to mui ci tiwain) ดนตรีพิธีกรรม ในราชสำนัก และดนตรีสำหรับกระบวนแห่ ในสมัยราชวงศ์ Kuanbuan มีหลักฐานแน่นอนว่าศิลปินที่ชื่อ “ เมียวดี มินซี อู สะ ” (Myawa di Minci U Sa) หรือเรียกกันสั้นว่า วุนซีอูสะ (Wunci U Sa) ซึ่ง ถือกำเนิดทางภาคเหนือในปี 1766 มี ความสำคัญมากด้านการรับเอาศิลปะไทยเข้าไว้ แล้วปรับปรุงให้เป็นแบบพม่า โดยการประสมประสานกิจกรรม ดนตรีเข้ากับการทหาร ในการประพันธ์เพลงแบบฉบับ เขาได้รับพระราชานุญาตให้เรียนดนตรีกับครูดนตรีชาว ไทยที่ถูกจับเป็นเชลยอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งศึกษาวรรณคดีและ ละครเรื่องต่าง ๆ เช่น รามเกียรติ์ และอิเหนา ซึ่ง ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๕ เป็นเรื่องราวอันเป็นที่ชื่นชอบของราชสำนักพม่า ทั้งยังได้แต่ง เพลงและดนตรีประกอบการแสดงเพื่อให้ ในราชสำนักอีกด้วย และโดยการเคลื่อนไหว ทางทหารทำให้โชคชะตาของเขาผันผวนอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งทางดี และทางร้าย ตราบจน บั้นปลายของชีวิตจึงได้รับการยกย่องอย่างสมเกียรติจากพระเจ้ามินดอง (Mindon) ใน ปีค.ศ. 1853 (Williamson 1979) ช่วงแรกที่พม่าทั้งประเทศตกเป็นอาณานิคม คือในช่วง ค.ศ.๑๘๘๖ จนต้นศตวรรษที่ ๑๙ วงซายวาย ได้เริ่มซบเซาลง นักดนตรีขาดผู้อุปถัมภ์ การแสดงในงานราชสำนักหมดไป แต่การแสดงกลาง แจ้ง หรือ มเย วาย กลับได้รับความนิยมแทน โดยเฉพาะการแสดงละคร และการเล่นหุ่นชัก ในยุคนั้นเริ่มมีหนังเงียบเข้ามา ฉาย จึงเกิดเพลงบรรเลงแนวใหม่ขึ้นมา เป็นเพลงประกอบหนัง เพลงโฆษณาสินค้าพื้นเมือง อาทิ ผ้าโสร่งเมือง ยอ ร่มเมืองพะสิม และบุหรี่พม่า นอกจากนี้ยังมีการแต่งเพลงพุทธศาสนา พอในยุคที่พม่าต่อต้านเจ้าอาณา นิคม จึงได้มีการเล่นซายวายเป็นเพลงเพื่อการปฏิวัติ หรือ เพลงทางการเมือง ในสมัยนั้นเริ่มมีการผลิต แผ่นเสียง หรือ ดัต-ปยา จึงทำให้เพลงบรรเลงซายวายกระจายไปทั่วประเทศ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดด้าน การบันทึกเสียง ซึ่งบันทึกได้เพียง ๖ นาทีต่อแผ่น เพลงบรรเลงซายวาย จึงต้องสั้นลง ซายวายจึงได้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเล่นกันมา พอถึงยุคสังคมนิยม ซึ่งถือเป็นยุคเทปคลาสเซท ได้เกิดวงดนตรีสมัยใหม่ ที่ใช้เครื่องดนตรีตะวันตกทั้ง วง ซึ่งเรียกว่าตีวาย กีตาร์เป็นเครื่องดนตรียอดนิยม เพลงจำนวนมากจึงเป็นเพลงทำนองฝรั่ง อาทิ เพลงร็อค และเพลงดิสโก อย่างไรก็ตามยังมีการพัฒนาเพลงพื้นบ้านเป็นเพลงแนวลูกทุ่ง เครื่องดนตรีหลักที่ใช้เป็นแมนดา ริน ส่วนซายวายนั้นมักนิยมบรรเลงในเพลงทางศาสนาและเพลงทรงเจ้าเป็นส่วนใหญ่ พอถึงยุคปัจจุบันนี้ ซึ่ง เป็นยุคสมัยของซีดีรอมนั้น ได้มีการลอกทำนองเพลงต่างประเทศกันอย่างมากมาย ขณะเดียวกันเสียงของ ซายวายก็แทบจะเลือนหายไปจากตลาดเพลงยุคใหม่ แม้ซายวายจะเสื่อมความนิยมในหมู่คนยุคใหม่ แต่ก็ยังได้รับการยอมรับในฐานะเป็นดนตรีคลาสสิค ของพม่า เสียงของซายวายยังคงรับฟังได้ในเพลงทางพุทธศาสนา และเพลงปลุกใจ ส่วนวงซายวายนั้น ยังหา ชมได้ในงานแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ การแสดงละคร การแสดงหุ่นชัก งานทางศาสนพิธี งานประเพณี งานรัฐ พิธี และงานทรงเจ้า เป็นต้น ปัจจุบันรัฐบาลพม่าได้ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์วงซายวายเช่นเดียวกับ การแสดงพื้นบ้านอื่นๆ โดยจัดให้มีการประกวดกันทุกปี อีกทั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐจะออกอากาศเพลง บรรเลงซายวายเป็นประจำ (อรนุช นิยมธรรม) ประเภทของเครื่องดนตรี ความแตกต่างของดนตรีในอาคารและภายนอกอาคารของพม่าอยู่ที่ เสียง อันดังตื่นเต้นเร้าใจ กับเสียงอันอ่อนหวานนุ่มนวลนั่นเอง “ดนตรีนอกอาคาร” มีชื่อเรียก กันหลายชื่อ แต่ละชื่อ มักมาจากชนิดของกลองที่ใช้เป็นเครื่องดนตรีหลัก โดยมี วงซายวาย (sainwaing) เป็นวงดนตรีหลัก และ แพร่หลายที่สุด วงดนตรีประกอบด้วยฆ้อง กลอง และปี่เป็นหลัก “วงดนตรีในอาคาร” ใช้เครื่องดนตรีเพียง 2 – 3 ชิ้นเท่านั้น บางคราว ก็มีเพียงนักร้องคนหนึ่ง กับเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเช่น พิณ – ซ็องก๊อก หรือระนาด – ปัตตลา เพียงอย่างเดียว ประกอบกับฉิ่ง หรือกรับ ที่นักร้องเป็นผู้ตี เครื่องดนตรี ดังกล่าวนี้ มีทั้งเครื่องดนตรี เสียงตายตัวและเครื่องดนตรีที่ปรับเสียงได้ ปัจจุบันมีการนำเอา ไวโอลินและเปียโนไปประสมกับดนตรีดั้งเดิม ของพม่ามากขึ้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๖ ซายวาย คำว่า ซายวาย ใช้เรียกทั้งเครื่องดนตรีและวงดนตรี วงดนตรีเป็นดนตรีประกอบการแสดงที่สำคัญของ พม่า ใช้บรรเลงประกอบการแสดงบนเวที ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนใช้บรรเลงในงานเทศกาลและ พิธีการอย่างหลากหลาย เช่น การต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง เครื่องดนตรีในวงซายวาย สามารถปรับเปลี่ยน ไปได้ตามความเหมาะสมกับ สถานการณ์ เครื่องดนตรีหลัก อันได้แก่ ปัตวาย หรือ พาทวาย(Pat – Wain) , มองซาย (Maungzaing), เน่ (Hne), ช็อค ลอน บัต (Chauklon bat) และมีเครื่องประกอบจังหวะอื่น ๆ ภาพซายวาย หรือที่คนไทยเรียกว่าวงปี่พาทย์ของพม่า (MyanmarSaingwaing) ปัตวาย, พาทวาย (Patwaing) คือ กลองวงที่ปรับเสียงเรียงลำดับสูงต่ำตามบันไดเสียงที่เหมาะสมประกอบด้วยกลองสองหน้าขนาด ต่าง ๆ กันจำนวน 21 ลูกแขวนไว้กรอบราว รูปโค้งคล้ายร้านเปิงมางคอกของมอญ กรอบนั้นทำด้วยไม้ แกะสลักลวดลายงดงาม ตัวกลอง ทำด้วยไม้ขึงหนังสองหน้า มีขนาดยาวตั้งแต่ 12 – 40เซนติเมตร ทำให้ เสียงได้มากกว่า 3 ช่วงทบ ตัวคอกที่แขวนกลองสูงประมาณ 1 เมตรประดับกระจกลายทอง ผู้เล่นจะนั่งบน เก้าอี้สูง ภายในคอกมองเห็นแต่ส่วนบนของลำตัวและตีกลองด้วย นิ้วมือแต่ไม่ได้จังหวะแบบกลองทั่วไป หากเป็นทำนองเพลงซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของปัตตวาย (เช่นเดียวกับเปิงมางคอกของมอญและใช้เป็นเครื่อง ดนตรีนำวง) ภาพปัตวาย (Patwaing) จีวาย (Kyiwaing) จีวาย เป็นเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันกับฆ้องวงของไทยเพียงแต่ร้านฆ้องทำด้วยไม้ปิดทองประดับ กระจกเช่นเดียวกับ มองวาย จีวายชุดหนึ่งมี 21 ลูก ใช้บรรเลงทำนองเพลง ฆ้องวงพม่าเรียงลูกฆ้องตาม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๗ แนวนอนเช่นเดียวกับฆ้องไทย แต่ฆ้องมอญเรียงตามแนวนอนและตั้งขึ้นทั้งสองข้างคล้ายตัว U ภาษาท้องถิ่น เรียก จีวาย ว่า จีนอง ก็มี ภาพจีวาย (Kyiwaing) มองซาย (Maung zaing) มองซาย คือ ฆ้องรางชุด เป็นเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วยฆ้องปุ่มขนาดต่างๆ กัน แขวนไว้ รางที่เป็น กรอบไม้ตรง ๆ รูปสี่เหลี่ยมไม่มีการประดับตกแต่งอย่างจีวาย หรือ มองซาย มีลูกฆ้องทั้งสิ้น 18–19 ลูก เรียง กันเป็น 5 แถว ลูกฆ้องของมองซาย มีขนาดใหญ่กว่า จีวาย รางฆ้องจะวางราบกับพื้น ยกเว้นกรอบที่บรรจุฆ้อง ลูกใหญ่ชุดที่เสียงต่ำที่สุดจะวางพิงไว้กับ จีวาย เมื่อออกแสดง มองซายเป็นเครื่องดนตรีที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ใน ราวปี 1920 – 1930 ภาพมองซาย (MuangZaing) หฺเน, เน (Hne) เน เป็นเครื่องดนตรีประเภท Double reed Aerophonesหรือปี่ลิ้นคู่ ทรงกรวยปากผาย มีลำโพง โลหะครอบต่อจากส่วนปลาย เช่นเดียวกับปี่มอญเพียงแต่ปากลำโพงไม่บานกว้างอย่างปี่มอญเครื่องประกอบ จังหวะใน วงซายวาย ที่สำคัญได้แก่ ช็อค ลอน บัต (Shauklonbut) หรือกลองสอง-หน้าที่จัดไว้เป็นชุด ชุดหนึ่งมีกลอง 6 ลูก ใช้ตีเป็นรูปแบบหรือกระสวนจังหวะ ตามทำนองเพลง แต่ละชุดประกอบด้วยกลองทรง ถัง 4 ลูก โดยวางหน้า กลองด้านหนึ่งลงบนพื้น มีกลองคล้ายกับตะโพนไทย เรียกว่า ซาห์กุน (Sahkun) มี กลองใหญ่แขวนบนราว เรียกว่า ปัตมา, พาทมา (Patma) 1 ลูก ทั้งชุดใช้ผู้บรรเลงคนเดียวเครื่องจังหวะอื่นๆ ได้แก่ บีอ็อก (Byauk) เกราะไม้, วาเล็ต ก๊อก (wallet kok)กรับไม้ยาว 150 เซนติเมตร ยักวิน (Yakwin) ฉาบใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๘ ภาพเน (Hne) ซี (Si) ฉิ่ง, มอง (Mong) ฆ้องหุ่ย นอกจากนั้น ยังมีกลองขนาดต่างๆ กัน ที่ตีประกอบบทเพลงเฉพาะ กรณีอีกด้วยซายวายใช้บรรเลงประกอบละคร และการแสดงต่าง ๆ เกือบทุกประเภท รวมทั้งประกอบพิธีกรรม เกี่ยวกับวิญญาณ และพิธีทางพุทธศาสนาด้วย การบรรเลงประกอบละครวงซายวายอาจจะบรรเลงเพลงพิเศษ ขนาดเล็กที่เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือเฉพาะตัวละคร นอกจากนั้น ยังมีเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมทางวิญญาณ ที่เรียกว่า นัตพเว(Nat pwe) ซึ่งมีเพลงทั้งชุดรวม 37 เพลง แต่ละเพลงสำหรับเทพแต่ละองค์ ผีแต่ละตนบท เพลงเหล่านี้เป็นที่เข้าใจและรู้ความหมายกันดีในหมู่ชาวพม่า บทเพลงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมของพม่าก็ คือ นารา ไล กา (Nara lei hka) ที่รวบรวมขึ้นในศตวรรษที่17 ประกอบด้วยเพลงพิธีกรรมทางศาสนา 37 เพลง และเพลงสำหรับดวงวิญญาณพม่า(นัต – Nat) ที่เกี่ยวข้องกัน อีก 37 เพลง วงดนตรีและเครื่องดนตรีอื่น ๆ แม้ว่าวงซายวายจะเป็นวงดนตรีที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของพม่าก็ตาม แต่ยังมีวงอื่นๆ อีก วงดนตรี ดังกล่าวนี้เรียกชื่อตามชนิดของกลองที่นำมาใช้ เพราะกลองแต่ละชนิดจะทำหน้าที่ เฉพาะที่ เหมาะสมกับ กาลเทศะ ได้แก่ วงสีดอ (Si daw) วงบองจี (Bon gyi) วงโอซี่ (O-zi) วงโดบัต(Do-bat) และ วงบยอ (Byaw) เป็นต้น พิณพม่า พิณพม่า ซองก๊อก (SaungGauk) เครื่องดนตรีประเภทนี้จัดอยู่ในประเภทbowed harp ในประเทศ พม่า มี 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ชนิดที่เกิดจากภูมิปัญญาของชนเผ่ามอญ และกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่ทางชายแดน ไทยพม่า ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นชนิดที่พัฒนาไปจนมีความงามวิจิตรพิสดาร เป็นเครื่องดนตรีในราชสำนักพิณ ชนิดแรกเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองมีสายระหว่าง 5 – 7 สายขึ้น สายด้วยลูกบิด เครื่องดนตรีชนิดนี้ชาว กะเหรี่ยงแถบตะนาวศรีในประเทศไทยเรียกว่า นาเด่ย ส่วนกระเหรี่ยงทางแม่ฮ่องสอนชาวปกากะยอ เรียกว่า เตน่า / เตหน่าฮาร์พชนิดเดียวกันนี้ ชาวกะตู้ในลาวตอนใต้ เรียกว่า ตะลือ เครื่องดนตรีชนิดนี้ผู้เขียนเชื่อว่าเป็น ต้นแบบให้เกิด ซองก๊อกในราชสำนักพม่า ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นชนิดที่พัฒนาแล้ว ใช้วิธีขึ้นสายด้วยการผูกเชือก เป็นเงื่อนปมอันชาญฉลาด และมีสายถึง 14 สาย ฮาร์พชนิดนี้แต่เดิมเรียกว่า คอน(Con) แต่ในปัจจุบันเรียกว่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๙ ซองก็อก นักวิชาการบางท่านอ้างว่าพิณชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับฮาร์พ ของชาวเมโสโปโตเมียโบราณ ซึ่งต่อมา ได้มีการนำไปใช้ในราชสำนักกษัตริย์ชาวพุทธแห่งอินเดียโบราณ แต่ก็ขาดหลัก-ฐานสนับสนุน นอกจากนั้น คำ ว่า“วีณา vina” ที่เป็นภาษาสันสกฤตก็ไม่มีใช้ ในภาษาพม่าด้วย ( Grove p.470) มีการพบพิณฮาร์พแบบนี้ เป็นสภาพสลักนูนต่ำที่ศรีเกษตรา (Sri ksetra) ที่พม่าเรียกว่าทายีคิตตยา (Thayei-hkittaya) ซึ่งสร้างขึ้นใน ราวศตวรรษที่ 7 ประมาณ ปี พ.ศ. 1,500 และเป็นภาพวงดนตรีที่อาจเป็นไปได้ว่า เป็นวงดนตรีที่ส่งไป บรรเลงในราชสำนักจีน ที่เมืองฉางอาน ในปี คศ. 801-802 ซึ่งน่าจะเป็นวงประสมระหว่าง “พยู” พม่าตอน เหนือ กับ“ มอญ ” พม่าตอนใต้ก็เป็นได้ วงดนตรีดังกล่าวนี้ใช้พิณฮาร์พที่มีลูกบิดทำด้วยไม้นอกจากนั้น พงศาวดารพม่ายังได้กล่าวถึงพิณฮาร์พที่เมืองพุกาม (Pagan) ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบกลางของประเทศว่า มีวงดนตรี สำหรับเฉลิมฉลอง มีนักดนตรีสตรีบรรเลงพิณฮาร์พ ในราชสำนัก มีภาพสลักที่พระเจดีย์ในเมือง เป็ต-เลียก (Hpet-leik) ทางตะวันตกของประเทศ แสดงให้เห็นว่า รูปพิณฮาร์พที่ปรากฎนั้นเป็นวงโค้งอย่างงดงาม ด้วย ฝีมือช่างมอญทางตอนใต้ อย่างไรก็ตามมีหลักฐานว่ามีอิทธิพลอินเดียเข้ามาสู่เมืองพุกามบ้างแล้ว ในศตวรรษที่ 11-12 พิณพม่าชนิดที่ปรับปรุงอย่างงดงามแล้ว ปรากฏในราชวงศ์พม่าที่เมือง อวา(Ava) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ ของระหว่างปี 1,364 - 1,555 แต่พงศาวดารฉบับม้วนที่เขียนด้วยมือสมัย ราชวงศ์กอน - บอง (Konbauna) ระหว่างปี 1,752 – 1,885 ที่ปรากฏภาพพิณพม่าทรงเพรียว อ่อนช้อย ขึ้น เสียงด้วยปมเชือก และ กล่องเสียงเป็นรูปเรือ มีห่วงเล็กๆอยู่ใต้คันทวนด้วย เป็นไปได้ว่าพิณชนิดนี้ประดิษฐ์ขึ้นโดย “เมียวดีมินคยี อู สะ” (Myo-wadi Min-gyi U Sa) ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1855-1933 โดยเพิ่มสายที่ 14 ซึ่งเป็นสาย สั้นที่สุด เข้าไป ต่อมากระทรวง วัฒนธรรมได้อนุญาตให้เพิ่มสายเข้าไปอีก 2 สาย จนทำให้ซองก๊อกมีสาย ถึง 16 สายในปัจจุบันคันทวนอันอ่อนช้อยของซองก๊อก ทำด้วยรากไม้ทรงโค้งที่พม่าเรียกว่า ก๊อก (gauk) โดยทำมาจากรากของต้น ชา-Sha ( ชื่อพฤกษศาสตร์ Acacea catechu ต้นสีเสียด ) ขัดแต่งจนได้ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.8 เซนติเมตร ตอนปลายทำให้ผายออกเป็นรูปใบโพธิ์ ตามคติพุทธ (แต่ในทาง ปฎิบัติใช้สำหรับแนบหูเพื่อฟังเสียงเวลาตั้งสาย – Kit Young) ตัวกล่องเสียงทำด้วยไม้ ปาด็อก (Padauk ชื่อพฤษศาสตร์ Plerocapusmacrocpusต้นประดู่) ที่มีคุณภาพดี บาง เบา เป็นรูปโค้งคล้ายเรือ ส่วนหัวที่ติด กับคันทวนโค้งขึ้นเล็กน้อย ขัดให้เรียบแล้วทาด้วยน้ำมันพื้นเมือง ส่วนที่ใช้ผูกสายต่อจากกล่องเสียงปิดสนิท ด้วยหนังกวางสดเข้ากับตัวกล่องเสียงอย่างแนบเนียน เผยให้เห็นเพียงส่วนกลางของหนังที่จะใช้ผูกสายเท่านั้น ส่วนห่วงที่อยู่ใต้คันทวนใช้เป็นเครื่องตกแต่ง และอาจใช้ยันไว้จากเข่าเวลาจะขึ้นสาย เนื่องจากต้องใช้แรงมาก หนังกวางที่ปิดหน้าเมื่อแห้งแล้วจะต้องทาทับด้วยแลคเกอร์หลายชั้น แล้วฉาบด้วยของเหลวสีแดงที่เป็น ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองให้สวยงาม ขั้นสุดท้ายจึงทาทับด้วยน้ำมันพิเศษ จากรัฐฉานให้ทั่วทั้งตัว เพื่อ ให้เกิดเงางาม สายของซองก๊อกแต่เดิมทำด้วยไหมดิบฟั่นด้วยมือ ปัจจุบันใช้ไนลอน สายของซองก๊อกจะ ผูกติดกับเชือกที่พัน ไขว้ไว้กับคันทวนด้วยเงื่อนปมพิเศษ สามารถเลื่อนให้ตึงหย่อนเพื่อปรับเสียงของสายได้ด้วยการหมุนหรือเลื่อน ขึ้นลงเพียงเล็กน้อย แต่เดิมในระหว่างที่ทำซองก๊อกจะมีพิธีกรรมเชิญผี (nat)ให้เข้ามาสิงสถิตอยู่ในตัวพิณ เพื่อให้มีเสียงดีเป็นที่นิยมด้วย ปัจจุบันอาจเลิกไปแล้ว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๐ ภาพพิณพม่า นาฏศิลป์พม่า การแสดงของชาวพม่า จะแสดงในงานพิธีการต่างๆ เกี่ยวกับศาสนา และประเพณี นาฏศิลป์ที่เก่าแก่ พม่าได้แก่ ระบวงสวรงเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนการแสดงประเภทโขน ละคร ปรากฏในสมัยพระเจ้ามังระ เมื่อไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า นาฏศิลป์ไทยได้ถูกกวาดต้อนไปด้วย พระเจ้ามังระโปรดให้สอนโขนและ ละครไทยในพม่า เล่นเรื่องรามเกียรติ์และอิเหนา พม่าเรียกว่า อินทรวงศ์ เป็นละครในราชสำนัก นอกจากนี้ยัง มีการเล่นละครนอกเรื่องสังข์ทองและสังข์ศิลป์ชัย พระเจ้ามังระโปรดมากทรงให้รวมพวกละครและปี่พาทย์ไว้ ในราชสำนักและพระราชทานบ้านเรือนให้เรียกว่า “ตำบลโยธาราช” และพวกละครไทยที่แสดงเรียกว่า “โยธ ยาสัตคยี” ต่อเมื่อละครไทยในราชสำนักได้เสื่อมความนิยมลง “ละครนิพัตขิ่น” กลับเฟื่องฟูขึ้นเป็นละครที่ผูก เป็นเรื่อง มีท่าทางและบทเจรจาประกอบ ภายหลังได้เพิ่มบทตลกลงไปด้วย การแต่งกาย ชายใส่เสื้อแขนยาว นุ่งโสร่งหรือกางเกงคลุมเข่า ประดับด้วยเลื่อม ดิ้นคล้ายของไทย ส่วนหญิงใส่เสื้อรัดอก สวมเสื้อแขนยาวไม่มีกระดุม เปิดให้เห็นเสื้อตัวใน ชายเสื้อโค้งงอน นุ่งผ้าถุงกรอมเท้า เกล้ามวยสูงปล่อยชายผมยาวมาด้านขวา ถ้าเป็นตัวเอกจะสวมเครื่องประดับศีรษะ การละเล่นพื้นบ้านของชาวพม่า กระโดดเชือก สถานที่เล่น บริเวณลานกว้างทั่วไป เช่น สนามหญ้าหรือสนามกีฬา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๑ วิธีเล่น 1. ผู้เล่นต้องเป่ายิงฉุบเพื่อเลือกผู้แกว่งเชือก 2 คน 2. เริ่มเล่นโดยให้ผู้แกว่งเชือกจับปลายเชือกคนละข้าง แล้วแกว่งเชือกไปมาในทิศทางเดียวกัน จากนั้น ให้ผู้เล่นอื่น ๆ เข้ามากระโดดระหว่างที่เชือกแกว่ง ซึ่งผู้กระโดดสามารถเข้ามากระโดดพร้อม ๆ กันได้ 2 หรือ 3 คน 3. ผู้กระโดดคนใดสะดุดเชือกถือว่าแพ้ ต้องออกจากการเล่นแล้วเปลี่ยนมาเป็นผู้แกว่งเชือกแทน ภาพกระโดดเชือก การละเล่นตีไก่ สถานที่เล่น บริเวณลานกว้างทั่วไป เช่น สนามหญ้าหรือลานดิน วิธีเล่น 1. ให้ผู้เล่นนั่งย่อง ๆ มือประสานกันไว้ใต้ข้อพับ 2. เมื่อได้ยินสัญญาณเริ่มเล่น ให้ผู้เล่นแต่ละคนกระโดดชนฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ด้านข้างลำตัวชน ผู้เล่น คนใดล้มหรือมือหลุดออกจากกันถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ ภาพการละเล่นตีไก่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๒ บรรณานุกรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๓ บรรณานุกรม กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย https://th.wikipedia.org/wiki/ชาวพม่า#ดนตรี http://tecs4.com/intranet/course/detail-user.php?id=59 https://myanmarcenter.kpru.ac.th/myanmar/index.php/ http://myanmarffjmo.blogspot.com/p/blog-page_58.html อรนุช–วิรัช นิยมธรรม .ศิลาจารึกกับเค้ามูลทางสังคมและวรรณกรรมพม่าในสมัยพุกามอันไพบูลย์ (ออนไลน์) แหล่งที่มา http://www.myanmar.nu.ac.th/lite/index6_11.htm ระบบบริหารยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสาราคาม.วรรคดีพม่า (ออนไลน์) แหล่งที่มา http://kpi.msu.ac.th/upload/ag_tor_ref_byval/ag_1_in_1.2.7_115(2559).pdf(2559 ).pdf วิรัช นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม. (2551). เรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมพม่า. พิษณุโลก: โรง พิมพ์ตระกูล. สิทธิพร เนตรนิยม. (2558). ตะซาวง์ไดง์ จุดไฟตามประทีปในพม่า. ใน พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ลอย กระทง เรือพระราชพิธี วัฒนธรรมน้ำร่วมราม (หน้า 57-63). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับฝ่ายวิชาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. isreeya. (2015). เครื่องดนตรีประจำชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ กร กรฎาคม 2560. จาก https://isreeya.wordpress.com/ ดวงกมล การไทย. (2559). เมียนมา – ศาสนาและความเชื่อ (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ กรกรฎาคม 2560. จาก http://www.sac.or.th/databases/southeastasia/subject.php?c_id=6&sj_id=57 ดวงกมล การไทย. (2559). เมียนมา - ประเพณีพิธีกรรม (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ กรกรฎาคม 2560. จาก http://www.sac.or.th/databases/southeastasia/subject.php?c_id=6&sj_id=58 ดวงกมล การไทย. (2559). เมียนมา - ศิลปะการแสดง(ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ กรกรฎาคม 2560. จาก http://www.sac.or.th/databases/southeastasia/subject.php?c_id=6&sj_id=56 https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๔ ภาคผนวก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๕
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๖
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๗
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๘
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๙
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๐
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๑
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๒
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๓
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๔
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๕