สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๑๕๓ โรงเรียน สถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการประกอบไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อีกทั้งการติดต่อระหว่าง สถานศึกษาในเขตพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้กำหนดไว้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพัน บ้านเกิด โดยได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความตระหนักรู้จักท้องถิ่นของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงจัดทำ องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.สภาพทั่วไปของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน ๒.ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๓.สภาพเศรษฐกิจ ๔.สาธารณูปโภค ๕.แหล่งท่องเที่ยว ๖.แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๗.หน่วยงาน รัฐ/เอกชน และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.ชนชาติ/ชาติพันธุ์ ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕.ประเพณี/พิธีกรรม/ งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ท้องถิ่น คณะกรรมการจัดทำ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่อง องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไว้ณ โอกาสนี้และหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเอง ตามบริบทของสถานศึกษา ผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทนำ ค ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป 2 ศิลปวัฒนธรรม ๕ ภาษา/วรรณกรรม 1๒ ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ๑๕ ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๒๕ ศาสนาและความเชื่อ ๓๐ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๓๒ บรรณานุกรม ๓๖ ภาคผนวก ๓๗
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 ระบุไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่ง ปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้ง ส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถใน การประกอบอาชีพ รู้จักตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภารกิจในการจัดการศึกษา นอกจากต้องจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ยังต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพของ ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตจริงของตนเองในท้องถิ่น เรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ สังคมการดำรงชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนให้มีความรัก ความผูกพัน และ มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตในสังคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุม พื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าไม้ และเป็นเขตชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวมีระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร การจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีโรงเรียนที่อยู่ใน ความรับผิดชอบจำนวน 153 โรงเรียน การคมนาคมซับซ้อน และการติดต่อระหว่างสถานศึกษาเป็นไปด้วย ความยากลำบาก เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการ ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน นักเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อศึกษาต่อและประกอบอาชีพ คนวัยทำงานมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเมืองใหญ่ เนื่องจากแรงดึง (Pull force) ในด้านค่าตอบแทน ความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ จึงได้ เล็งเห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเพณีทางสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจในตนเอง ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สามารถแสวงหาบทบาทใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาหรือ แก้ปัญหา ช่วยสร้างพลังผลักดันให้ชุมชนขับเคลื่อนไปในทางที่ดีสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมในปัจจุบัน โดยหลักสูตรท้องถิ่น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรัก ความหวงแหน และภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอน สามารถนําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก เกิดสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้จักท้องถิ่น ของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด เพื่อสำรวจ รวบรวมและจัดทำ ข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ชนชาติ/ชาติพันธุ์ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งสภาพ ปัญหาในชุมชน เพื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สถานศึกษาสามารถนำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไปจัด ประสบการณ์ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเองตามบริบทของสถานศึกษา โดยครอบคลุม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดทำองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์นี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ในด้านความหลากหลาย ของชาติพันธุ์ จำนวน 15 ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว และ เวียงแหง โดยได้รวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์จากการสำรวจชุมชนของโรงเรียนต่างๆ ในสำนักงานเขต พื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 และตัวแทนครูจากทุกโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 153 โรงเรียน ได้สังเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นหนังสือองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยโรงเรียนสามารถเลือก คัดสรร ในการนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน และการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ต่อไป คณะผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑ 0 ดาราอั้ง (ปะหล่อง) ชนเผ่าดาราอั้ง (ปะหล่อง) เป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย กระจัดกระจายอยู่บริเวณรัฐฉาน รัฐคะฉิ่น สหภาพพม่า และมณฑลยูนนาน ประเทศจีน แต่ด้วยภัย สงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศพม่า ช่วงปี 2511 -2527 ชาวดาราอั้งจำนวนมากจึงต้องลัดเลาะมาตามน้ำสาละวิน ลัด เลาะจากเชียงตอง เมืองปั่น ในเขตเชียงตุงมายังฝั่งประเทศไทยเพื่อมา พึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรด เกล้าฯ ให้อาศัยบริเวณบ้านนอแล บ้านห้วยเลี้ยม บ้านแคะนุ ซึ่งเป็น หมู่บ้านใกล้กับพื้นที่รับผิดชอบของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอ ฝาง และ ส่วนหนึ่งจัดให้อยู่ บ้านปางแดง บ้านแม่จร บ้านห้วยโป่ง อำเภอ เชียงดาว บ้านห้วยหวาย บ้านห้วยทรายขาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และบ้านสันต้นปุย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในส่วนของเรือนที่อยู่อาศัย ชาวดาราอั้งนิยมสร้างเรือนด้วยเสาไม้ ฟากและฝาเป็นไม้ไผ่สับ เป็นเรือนยกพื้นสูง ขึ้นอยู่กับความลาดชันบน ไหล่เขา และหลังคามุงด้วยหญ้าคา ดำรงชีพด้วยการทำเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ ชาวดาราอั้งมีภาษาพูดเป็นของตนเอง คือ ภาษาดาราอั้ง จัด อยู่ในกลุ่มภาษาปะหล่อง – วะ แต่โดยทั่วไปแล้วชาวดาราอั้งสามารถ พูดภาษาไทใหญ่ได้ เนื่องจากถิ่นฐานเดิมอยู่ใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ กับกลุ่มไทใหญ่ ชาวดาราอั้งมีชีวิตที่ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ด้วย เพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความเชื่อเรื่องผีอันเป็น ความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษ สตรีชาวดาราอั้งนิยมสวมเสื้อแขนกระบอก ผ่าหน้า เอวลอย สีสันสดใส ส่วนมากนิยมสีดำ น้ำเงิน เขียว และม่วง ในส่วนของ สาบเสื้อเย็บด้วยผ้าสีแดง ตกแต่งด้วยเลื่อมและลูกปัดหลากสี นุ่งซิ่น ลายขวางสีแดงสลับลายริ้วขาวเส้นเล็ก ๆ ผืนยาวกรอมเท้า เคียนหัว ด้วยผ้าพื้นสีขาว และที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น คือ การสวมเอวด้วยวง หวาย บางคนก็ใช้โลหะสีเงินหรือทองตัดเป็นแถบยาวตอกลาย แล้ว ขด เป็นวง สวมใส่ปนกัน เรียกว่า “หน่องว่อง” สำหรับบุรุษชาวดารา อั้ง นิยมสวมเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงสะดอหรือกางเกงเซี่ยมสีน้ำ เงิน เคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาว และที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น คือ การ แกะฟันและฝังด้วยทองคำหรืออัญมณี ถือดาบ สะพายย่าม สูบกล้อง ยาสูบ (เนื้อหาโดย : ฐาปนีย์ เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/1252)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒ ภาพบรรยากาศโดยทั่วไป หมู่บ้านนอแล 1.ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 จัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครอบคลุม ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาว และอำเภอเวียงแหง ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สังคม และภาษา ที่ใช้ในการสื่อสาร ชาติพันธุ์ดาราอั้งที่อาศัยและกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ทั้ง ๕ อำเภอ ในเขตบริการของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต ๓ ซึ่งสถานศึกษาที่มีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง รวมทั้งสิ้น 69 โรงเรียน ประกอบด้วยอำเภอแม่อาย จำนวน 20 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านเพียงหลวง 1 (บ้านท่าตอน) โรงเรียนบ้านห้วยศาลา โรงเรียนบ้านหลวง (แม่อาย) โรงเรียนบ้านสันต้นหมื้อ โรงเรียนบ้านป่าก๊อ โรงเรียน บ้านป่าแดง โรงเรียนบ้านสันปอธง โรงเรียนบ้านคาย โรงเรียนบ้านหนองขี้นกยาง โรงเรียนบ้านฮ่างต่ำ โรงเรียนศึกษานารีอนุสรณ์ 1 โรงเรียนประพันธ์- อารีย์ หงส์สกุล โรงเรียนบ้านสันป่าเหียว โรงเรียนบ้านปาง ต้นเดื่อ โรงเรียนบ้านดอนชัย โรงเรียนบ้านโป่งไฮ โรงเรียนบ้านสันป่าข่า โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ฮ่าง โรงเรียน บ้านห้วยป่าซาง และโรงเรียนบ้านแม่สาว นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง ในเขตอำเภอฝาง มีจำนวน 30 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านป่าบง (ฝาง) โรงเรียนบ้านโป่งน้ำร้อน โรงเรียนบ้านแม่ใจ โรงเรียนบ้นสันทรายคลองน้อย โรงเรียนบ้านขอบด้ง โรงเรียนบ้านลาน โรงเรียนบ้านหัวนา โรงเรียนบ้านเวียงหวาย โรงเรียนบ้านหนองขวาง โรงเรียนบ้านม่อนปิ่น โรงเรียนบ้านห้วยหมากเลี่ยม โรงเรียนบ้านม่วงชุม โรงเรียนบ้านเด่นใหม่ โรงเรียนบ้านสันต้นเปา โรงเรียนบ้าน แม่ข่า โรงเรียนบ้านแม่คะ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ โรงเรียนบ้านทุ่งหลุก โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 โรงเรียนบ้านห้วยห้อม โรงเรียนบ้านต้นส้าน โรงเรียนชุมชนบ้านแม่สูนหลวง โรงเรียนบ้านหนองยาว โรงเรียน บ้านปางสัก โรงเรียนบ้านแม่สูนน้อย โรงเรียนบ้านสันป่าแดง โรงเรียนวัดศรีบุญเรือง โรงเรียนบ้านห้วยงูกลาง โรงเรียนวัดนันทาราม และโรงเรียนบ้านสันต้นดู่ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป เพจม่อนปิ่น : https://www.facebook.com/monpin3d
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓ นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง ในเขตอำเภอไชยปราการ มีจำนวน 7 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนวัด บ้านท่า โรงเรียนบ้านปงวิทยาสรรค์ โรงเรียนบ้านใหม่หนองบัว โรงเรียนวัดป่าแดง โรงเรียนบ้านแม่ขิ โรงเรียน บ้านถ้ำตับเตา และโรงเรียนชุมชนวัดศรีดงเย็น นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง ในเขตอำเภอเชียงดาว มีจำนวน 14 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้าน ทุ่งหลุก โรงเรียนบ้านเชียงดาว โรงเรียนบ้านปางแดง โรงเรียนบ้านแม่ป๋าม โรงเรียนบ้านออน โรงเรียนบ้าน ปางเฟือง โรงเรียนมิตรมวลชนเชียงใหม่ โรงเรียนบ้านหนองบัว โรงเรียนบ้านแม่นะ โรงเรียนบ้านสบคาบ โรงเรียนวัดปางมะโอ โรงเรียนวัดจอมคีรี โรงเรียนบ้านแม่อ้อใน และโรงเรียนบ้านป่าบง (เชียงดาว) นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง ในเขตอำเภอเปียงหลวง มีจำนวน 1 โรงเรียน ได้แก่ บ้านเปียงหลวง สำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เชียงใหม่ (2563) ระบุไว้ว่า ดาราอั้ง หรือที่ ชาวไทใหญ่เรียก “ปะหล่อง” เป็นชนเผ่าที่มีที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยสูง กระจัดกระจายอยู่บริเวณรัฐฉาน รัฐ คะฉิ่น สหภาพพม่า และมณฑลยูนนาน ประเทศจีน แต่ด้วยภัยสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนใน ประเทศพม่า ช่วงปี พ.ศ. 2511 – 2527 ชาวดาราอั้งจำนวนมากต้องข้ามน้ำสาละวินลัดเลาะจากเชียงตอง เมืองปั่น ในเขตเชียงตุง มายังฝั่งประเทศไทย มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ บรรพบุรุษของชนเผ่าดาราอั้งใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่เคร่งครัด ควบคู่ไปกับการนับถือผีในดินแดนแห่งนี้มาเป็นระยะเวลาหลายชั่วอายุคน แต่ด้วยภัยสงครามและการละเมิด สิทธิมนุษยชนในประเทศพม่า ทำให้ชาวดาราอั้งจำนวนมากต้องข้ามน้ำสาละวินลัดเลาะมายังฝั่งประเทศไทย แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ห่างไกลจากถิ่นฐานบ้านเกิดสักเพียงไหน แต่ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีไว้ได้ อย่างเคร่งครัด สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ วัฒนธรรมการแต่งกาย เอกลักษณ์ที่เผ่าพันธุ์ดาราอั้งภาคภูมิใจ (อภิชาต ภัทรธรรม, 2557, น. 80) สวัสดีดอทคอม (2558) ระบุไว้ว่า ดาราอั้งแปลว่า เผ่าที่ชอบอาศัยอยู่บนภูเขา ในปัจจุบันดาราอั้ง ทั่วโลกมีอยู่ 3 กลุ่ม คือ (1) ดาราอั้ง “ว่อง”หรือที่รู้จักกันทั่วไปดาราอั้งดำ ซึ่งกลุ่มนี้แต่งกายคล้ายกับลาหู่ แชแล (2) ดาราอั้ง “เหร่ง” หรือดาราอั้งแดง และ (3) ดาราอั้ง “ลุ่ย” หรือดาราอั้งขาว โดยชนเผ่าดาราอั้ง ทั้ง 3 กลุ่มกระจ่ายกันอยู่ในประเทศพม่า (บริเวณน้ำสังข์ เชียงตุง และเมืองกึ่ง) ประเทศจีน และประเทศไทย โดยชนเผ่าดาราอั้งที่อยู่ในประเทศไทยล้วนแต่เป็นดาราอั้งเหร่งหรือแดงทั้งสิ้น จุดสังเกตที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็น ดาราอั้งกลุ่มใดสามารถดูจากการแต่งกายของผู้หญิงตรงผ้าถุง ศูนย์ประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชาวไทยภูเขา (2558) ระบุไว้ว่า ชนเผ่าดาราอั้ง หรือปะหล่อง เป็นชนเผ่าที่ได้อพยพมาจากประเทศสหภาพเมียนมาร์ เข้ามายังประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 โดย เรียกกลุ่มตัวเองว่า “ดาระอัง” (Da - ang, Ra – ang, Ta - ang) คำว่า“ปะหล่อง” เป็นภาษาไทใหญ่ซึ่งใช้ เรียกชนเผ่ากลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังมีคำเรียกที่แตกต่างกันออกไปอีก อาทิ ชาวพม่าเรียกปะหล่องว่า “ปะลวง” (Palaung) และชาวไทใหญ่บางกลุ่มใช้คำว่า“คุณลอย” (Kunloi) ซึ่งมีความหมายว่า “คนดอย” หรือ “คนภูเขา” แทนคำว่าปะหล่องจากเอกสารทางประวัติศาสตร์หลายฉบับกล่าวถึงชาวดาราอั้งว่า เป็น พลเมืองหรือชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของนครรัฐแสนหวี เป็น 1 ใน 9 นครรัฐของอาณาจักร ไตมาว ซึ่งเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ของชนชาติไต ในปี พ.ศ. 1200 โดยศูนย์กลางของอาณาจักรตั้งอยู่บริเวณ เมืองแสนหวี ในรัฐฉานของประเทศพม่า ในขณะนั้น ชนเผ่าประหล่องมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในโกสัมพีซึ่งก็เป็นข้อมูล ที่ตรงกัน เพราะคำว่าโกสัมพีเป็นการเรียกนครรัฐแสนหวี และจากการสำรวจพบว่า ประหล่องมีถิ่นที่อยู่อาศัย กันอย่างหนาแน่น บริเวณเทือกเขาในรัฐฉาน แถบเมืองตองแปง น้ำซัน สีป้อ เมืองมิต และทางตอนใต้ของรัฐ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔ ฉาน คือ เมืองเชียงตุง นอกจากนี้ยังพบว่า ปะหล่องกระจัดกระจายกันอยู่ทางตอนใต้ของรัฐคะฉิ่น และภาค ตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนานในประเทศจีนอีกด้วย ในราวปี พ.ศ. 2511 ชนเผ่าดาราอั้งหรือปะหล่องบางกลุ่มได้เริ่มอพยพเข้ามาในประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ. 2527 ได้พบชาวดาราอั้ง จำนวนประมาณ 2,000 คน อพยพมารวมกันที่ชายแดนไทย – สหภาพ เมียนมาร์บริเวณดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ท้องที่บ้านนอแล ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ รับผิดชอบของโครงการหลวงดอยอ่างขาง สถานการณ์ครั้งนั้นนำความลำบากใจมาสู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใน พื้นที่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มผู้อพยพในครั้งนี้เป็นชาวดาราอั้งจากดอยลาย อยู่ระหว่างเมืองเชียงตอง กับ เมืองปั่น เขตเชียงตุง ฉะนั้นบุคคลเหล่านี้จึงถือเป็นบุคคลอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สาเหตุของการอพยพ สืบต่อเนื่องมาจากสถานการณ์ในประเทศสหภาพเมียนมาร์ที่ได้รับคืนอิสรภาพจากรัฐบาลประเทศอังกฤษ ส่งผลทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่ว เกิดความขัดแย้งและสู้รบกันระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่รวมตัวกัน จัดตั้งองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติกับทหารรัฐบาลพม่าที่ดำเนินการอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่ง สงครามได้ส่งผลต่อชาวดาราอั้งทั้งทางตรงและทางอ้อม ชาวดาราอั้งจึงมีการรวมตัวกันเป็นองค์กร ชื่อองค์กร ปลดปล่อยรัฐปะหล่อง (Palaung State Liberation Organization: PSLO) มีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน องค์กรดังกล่าวเป็นพันธมิตรอยู่ในแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ เป็นองค์กรหลักที่รวมองค์กรต่อสู้ เพื่อสิทธิในการปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยทั้งหมดเข้าด้วยกัน ในแต่ละครั้งที่เกิด การสู้รบระหว่างองค์กร ปลดปล่อยรัฐปะหล่องกับทหารรัฐบาลชาวบ้านได้ประสบกับความเดือดร้อนมาก ต้องสูญเสียทั้งชีวิตและ ทรัพย์สิน นอกจากนี้ในพื้นที่ที่ชาวดาราอั้งอาศัยอยู่ยังเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวปฏิบัติงานมวลชนพรรคอมมิวนิสต์ พม่าทหารฝ่ายรัฐบาลจึงเข้ามาปฏิบัติการโจมตีเพื่อสกัดกั้นความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นายคำ เหียง (จองตาล) ผู้นำการอพยพเล่าว่าเมื่อทหารของขบวนการกู้ชาติไทใหญ่มาตั้งกองทัพใกล้หมู่บ้าน ทหาร คอมมิวนิสต์ก็มาบังคับให้ส่งเสบียงอาหาร เป็นเหตุให้ฝ่ายรัฐบาลส่งกำลังเข้าปราบปรามชาวบ้านถูกฆ่าตายเป็น จำนวนมากโดยถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุน ทหารกู้ชาติและคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ยังเอาสัตว์เลี้ยงไปฆ่ากิน ยึดของมีค่า เผายุ้งข้าว ข่มขืนผู้หญิง และบังคับผู้ชายให้ไปเป็นลูกหาบขนอาวุธ เสบียงอาหาร บางคนถูก สอบสวน ทุบตีอย่างทารุณ เพื่อบังคับให้บอกฐานที่ตั้งของทหารกู้ชาติไทใหญ่และทหารคอมมิวนิสต์ เมื่อ ชาวบ้านต้องเผชิญกับความลำบากนานัปการจึงพากันอพยพหลบหนีมาอยู่รวมกันที่ชายแดนไทย – พม่า บริเวณดอยอ่างขางดังกล่าว ซึ่งต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอที่บ้านขอบด้ง ใน พื้นที่โครงการหลวงดอยอ่างขาง ชาวดาราอั้งคนหนึ่งจึงได้นำความกราบบังคมทูลขออนุญาตอาศัยอยู่ใน ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้พระองค์ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดที่อยู่อาศัยให้กับชาวดาราอั้งในฐานะผู้อพยพที่บ้าน นอแลจนถึงปัจจุบัน ช่วงที่หมู่บ้านและดาราอั้งประสบปัญหาความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากพื้นที่นั้นอยู่ใกล้เขต อิทธิพลของขุนส่าทำให้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างกองทัพไทใหญ่ของขุนส่ากับกองกำลัง ว้าแดงอันเนื่องมาจากผลประโยชน์จากการค้าฝิ่นอยู่เนือง ๆ ประกอบกับการขาดแคลนพื้นที่ทำมาหากินและ ภาวะอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ชาวดาราอั้งบางกลุ่มพากันอพยพโยกย้ายหาที่อยู่ใหม่ และกระจายกันไปตั้ง บ้านเรือนอยู่หลายพื้นที่ จากการสอบถามชาวดาราอั้งที่อพยพแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตามที่ต่าง ๆ แต่ ยังมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่ พอประมาณได้ว่าในปัจจุบันหมู่บ้านชาวดาราอั้งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านนอแล บ้าน ห้วยเลี่ยม บ้านแคะนุ ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้กับพื้นที่รับผิดชอบของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง บ้าน ปางแดง บ้านแม่จร บ้านห้วยโป่ง อำเภอเชียงดาว บ้านห้วยหวาย บ้านห้วยทรายขาว อำเภอแม่อาย จังหวัด เชียงใหม่ (สำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เชียงใหม่, 2563)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕ การทอผ้าดาราอัง้ศิลปวัฒนธรรม การทอผ้าดาราอัง้ 2.ศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรม "ดาราอั้ง” มีความโดดเด่นที่ชุดประจำของชนเผ่า จะประดับตกแต่งร่างกายเสื้อผ้าด้วยเครื่องประดับ เงินที่หลากหลาย อย่างมีอัตลักษณ์ ถึง ๖ ชนิด ได้แก่ ห่วงคอ ห่วงเอว กำไลข้อมือ แผ่นประดับหน้าอก พวง ระย้าประดับเสื้อ และกระดุมเงินที่เงางาม อัตลักษณ์การแต่งกายนี้สื่อถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ แสดง ความเป็นตัวตนของชนเผ่าดาราอั้ง นอกจากจะใช้ตกแต่งร่างกายให้สวยงาม ยังมีคุณค่าทางจิตใจ ความเชื่อ และเป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลาน ทั้งยังบ่งบอกถึงตำแหน่ง สถานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้าของ ได้อีกด้วย ผู้หญิง สวมเสื้อสีดำ น้ำเงิน หรือเขียว เอวลอย ผ่าหน้า แขนกระบอก ตกแต่งด้วยแถบผ้าสีแดงประดับ เสื้อผ้าด้วยลูกปัดหลากสี ผ้าซิ่นสีแดงสลับลายริ้วขาวเล็ก ๆ ขวาง ลำตัว ยาวกรอมเท้า โพกศีรษะด้วยผ้าผืนยาว ปัจจุบันนิยมใช้ผ้าขนหนู ลักษณะที่โดดเด่น คือการสวมเอวด้วยวงหวาย บางคนก็ใช้โลหะสีเงินตัดเป็นแถบยาว ตอกลาย แล้วขดเป็นวง สวมใส่ปนกัน เรียกว่า "หน่องว่อง" ปัจจุบันพบเพียงนุ่งกางเกงสะดอสีน้ำเงิน สวม ศิลปวัฒนธรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖ เสื้อเชิ้ตสีขาว หรือสีสดใส โพกศรีษะด้วยผ้าขาว ลักษณะที่โดดเด่น ได้แก่การแกะฟัน และฝังด้วยทองหรือ พลอยสีต่าง ๆ การแต่งกาย การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง : การแต่งกายของชนเผ่าพื้นเมืองดาราอั้งนั้น มีความโดดเด่นไม่แพ้ชนเผ่าพื้นเมืองอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บน ภูเขาที่หนาว และสูงชัน สีสันและลวดลายการแต่งจะเน้นอยู่ 3 สีเป็นหลัก ประกอบไปด้วย 1) สีแดง หมายถึงหรือแทนสัญลักษณ์ ซี-แง (พระอาทิตย์) และ มา-อา-ฆราย (มังกร) เป็นบิดา 2) สีขาว หมายถึงหรือแทนสัญญาลักษณ์ คูน-นา-ฆา (นางพญานาค) นา-บอห (ความบริสุทธิ์) และ หนาง ลอย งึอน เป็นมารดา 3) สีดำ หมายถึงหรือแทนสัญญาลักษณ์ อาว-บอห (มีมลทิน) การตัดขาดจาก เมิง-ฆาง-ราว (สรวง สวรรค์) ลักษณะการแต่งกายที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดถึงเอกลักษณ์ของเผ่า คือ กางเกงของชาวดาราอั้งเรียกว่า “กางเกงเซียม” ทำจากผ้าฝ้ายสีดำหรือน้ำเงิน ลักษณะคล้ายกับกางเกงเล หรือกางเกงไทใหญ่ โดยเวลาสวมใส่ จะทบให้กระชับกับลำตัว แล้วใช้เชือกหรือเข็มขัดรัดให้แน่น ผู้ชายดาราอั้ง จะสวมกางเกงเซียม ทั้งใน ชีวิตประจำวันและเมื่อมีงานฉลองต่าง ๆ ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นชายจะชอบรัดเข็มขัดโดยปล่อยชายเข็มขัดให้ห้อยลง มาเป็นแฟชั่นฮิตมากในชุมชน ทั้งนี้การตกแต่งร่างกายซึ่งเป็นที่นิยมกันทั้งในกลุ่มหญิงและชาย ทั้งยังเป็นเครื่อง แสดงฐานะของชาวดาราอั้งอีกอย่างหนึ่ง คือ การเลี่ยมฟันด้วยโลหะคล้ายทองทั้งปาก และประดับด้วยพลอย หลากสีซึ่งเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่ครั้งอยู่ในประเทศสหภาพเมียนมาร์ แม้ในประเทศไทยปัจจุบันก็ยังคงมีความ นิยมเช่นนี้ปรากฏให้เห็นอยู่ โดยมีผู้สันนิษฐานว่าแต่เดิมหน่องว่องของปะหล่องทำด้วยเงินแท้ ๆ และเป็นเครื่อง แสดงฐานะของผู้สวมใส่ด้วย ต่อมาเมื่อต้องเผชิญกับภาวะสงครามและการอพยพโยกย้าย ทำให้ถูกปล้นและ แย่งชิงอยู่เนื่อง ๆ จนในที่สุดจึงไม่เหลือหน่องว่องที่เป็นเงินแท้ ๆ ให้เห็นในชุมชนดาราอั้งที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ ปัจจุบันลักษณะการแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถหาลักษณะที่บ่งบอกเอกลักษณ์ได้ ทั้งเด็กหนุ่ม และชายชราล้วนแต่งกายแบบคนพื้นราบมีเพียงผู้เฒ่าบางคนเท่านั้นที่ยังคงสูบยาด้อยกล้องยาสูบขนาด ประมาณ 1 ฟุต ทำจากไม้แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นปะหล่องที่แตกต่างจากชนเผ่าอื่น ๆ ใน ประเทศไทย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗ การแต่งกายผู้หญิง เครื่องแต่งกายของผู้หญิง ประกอบไปด้วยเสื้อผ่าหน้า แขนกระบอก เอวลอย สีพื้นสดใส ส่วนใหญ่มัก เป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน สีเขียวใบไม้ตกแต่งสาบเสื้อด้านหน้าด้วยแถบผ้าสีแดง สวมผ้าซิ่นที่ทอขึ้นเอง สีแดงสลับลาย ริ้วขาวเล็ก ๆ ขวางลำตัวความยาวจรดเท้า โพกศีรษะด้วยผ้าผืนยาว ส่วนใหญ่นิยมใช้ผ้าขนหนูซึ่งซื้อมาจาก ตลาดพื้นราบ ผ้าโพกศีรษะของผู้หญิงจะโพกโดยใช้ผ้าพาดไว้ใต้มวยผมด้านหลังแล้วทบมาซ้อนกันด้านหน้า ลักษณะที่โดดเด่น คือ การสวมที่เอวด้วยวงหวาย ลงรัก แกะลายหรือใช้เส้นหวายเล็ก ๆ ย้อมสีถักเป็นลาย บางคนก็ใช้โลหะสีเงินลักษณะเหมือนแผ่นสังกะสีน้ำมาตัดเป็นแถบยาวตอกลายและขดเป็นวง สวมใส่ปนกัน วงสวมเอวเหล่านี้ชาวดาราอั้งเรียกว่า “หน่องว่อง” ทั้งนี้หญิงชาวดาราอั้งทั้งเด็ก สาว คนชราจะสวมหน่องว่อง ตลอดเวลาด้วยความเชื่อว่า คือ สัญลักษณ์นของการเป็นลูกหลานนางฟ้า สืบเนื่อง มาจากตำนานที่เล่าสืบต่อ กันมาถึงนางฟ้าที่ ชื่อ “หรอยเงิน” ได้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่โชคร้ายไปติดแร้วดักสัตว์ของชาวมูเซอ ทำให้ไม่ สามารถเดินทางกลับสวรรค์ได้ต้องอยู่ในโลกมนุษย์หลายกลุ่มชาวดาราอั้งเชื่อว่าพวกตนเป็นลูกหลานกลุ่มหนึ่ง ของนางหรอยเงิน ฉะนั้น จึงต้องสวม “หน่องว่อง” ซึ่งเปรียบเสมือนแร้วดักสัตว์ไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อระลึกถึง นางฟ้าหรอยเงินตลอดเวลา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘ การแต่งกายผู้ชาย เครื่องแต่งกายของชายชาวดาราอั้งค่อนข้างเรียบง่ายกว่าเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเสื้อผู้ชายจะเป็น เสื้อแขนยาว ผ่าหน้าคล้ายกับเสื้อไทใหญ่ ทำจากผ้าฝ้ายสีน้ำเงินหรือสีดำ ความยาวพอดีกับเอว ผ้าโพกศีรษะ ของผู้ชายจะเริ่มโพกโดยใช้ชายผ้าด้านหนึ่งวางไว้บนศีรษะแล้วขมวดผ้าส่วนที่เหลือจนรอบ โดยทั่วไปจะพบ ผู้ชายสวมใส่เสื้อดาราอั้งน้อยมาก ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ต้อง ทำงานกลางแจ้งจึงไม่สะดวกที่จะสวมเสื้อดาราอั้ง ชายหนุ่มดาราอั้งจึงนิยมที่จะสวมเสื้อเชิ้ตมากกว่า โดยใน เวลาที่ต้องทำงานจะสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม แต่หากมีงานรื่นเริงจะสวมเสื้อเชิ้ตหลากสีแทน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๙ อาหารพื้นเมืองประจำเผ่าดาราอั้ง 1. กาเอ๊าะ โขลกพริก กระเทียม หอมแดง เกลือ กะปิ ให้ละเอียดตั้งน้ำให้เดือด ใส่เครื่องที่โขลก คนให้เข้ากัน ล้างตะไคร้ให้สะอาดและทุบจากนั้นใส่ในน้ำเดือด รอจนสุกปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า ผงปรุง ชิมรสตามชอบ เดือด อีกครั้ง ใส่หมูหรือเนื้อตามใจชอบและคนให้เข้ากันรอจนสุกและตักใส่ชาม รับประทานกับข้าวเหนียวหรือข้าว สวย 2. แกงข้าวคั่ว เครื่องพริกแกงมีพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ เมล็ดผักชี กะปิ ขมิ้น โขลกเครื่องแกงให้ ละเอียด นำไปผัดน้ำมันจนมีกลิ่นหอม นำไก่หรือหมูลงไปผัด ใส่ใบมะกรูด เติมน้ำ ตั้งหม้อสักพัก ใส่ผักที่เตรียม ไว้ (ผักกูด มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว) พอผักสุก ปรุงรสให้อร่อย ตามด้วยข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๐ 3. ข้าวค้วยปลา เนื้อปลาสับ หั่นผักทั้งหมดที่เตรียมไว้ตำพริกแดงกับกระเทียม นำปลาสับกับพริกที่ตำไว้ไปคั่วใน หม้อใส่น้ำปลาร้าลงไปคั่วจนหอมเติมน้ำลงไปรอจนน้ำเดือด ใส่ผักทั้งหมดที่เตรียมไว้พอผักยุบ ปรุงรสให้ กลมกล่อมพอดี 4. น้ำพริกถั่วเน่า คือ การนำพริกสดมาเผาให้พอสุกจากนั้นนำมาตำพร้อมใส่เครื่องปรุงตามด้วยถั่วเน่าลงไป ตำ คลุกเคล้าให้เข้ากันและสามารถรับประทานคู่กับผักต้มสุกชนิดต่าง ๆ ตามความชอบ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๑ อาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง อาหารการกินไม่แตกต่างจากชาวบ้านไทยพื้นบ้านทั่วไป ซึ่งทานข้าวเจ้า ผัก น้ำพริก แกงพื้นถิ่น หรือ อาหารที่ได้จากป่า ปกติชาวดาราอั้งไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารประจำวันส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของผัก และถั่ว ซึ่งนับว่ามีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่ากับการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารดาราอั้งเป็นอาหารง่ายๆ ที่หาได้ตามป่า ตามเขา หรือตามรั้วบ้าน ที่มา : ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่บ้านห้วยหมากเหลี่ยม ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ลุงเงิน บากน้อย อยู่บ้านเลขที่ 118 หมู่ที่ 9 ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๒ วรรณกรรม การใชภ้าษาในการสือ่สาร ภาษาเขียน 3.ภาษา/วรรณกรรม ภาษาพูด ชาวดาราอั้งมีภาษาพูดเป็นของตนเอง จัดอยู่ในกลุ่มภาษาปะหล่อง - วะ แต่โดยทั่วไปชาวดาราอั้ง สามารถพูดภาษาฉานและไทใหญ่ ในการติดต่อกับคนต่างเผ่าได้นอกจากนี้ภาษาปะหล่องยังปรากฏ การหยิบยืมคำมาจากภาษาต่าง ๆ มากมาย ทั้งภาษาพม่า ภาษาคะฉิ่น ภาษาฉาน และภาษาลีซอในการติดต่อ กับคนต่างเผ่า โดยปะหล่องจะใช้ภาษาไทใหญ่ หรือภาษาฉานเป็นหลัก สำหรับในปัจจุบัน ปะหล่องในประเทศ ไทยส่วนใหญ่เด็ก ๆ และผู้ชายวัยกลางคนมักพูดภาษาไทยเหนือได้บ้าง ส่วนการสื่อภาษากับผู้หญิงต้องอาศัย ล่าม เนื่องจากผู้หญิงฟังภาษาไทยเข้าใจแต่ไม่กล้าโต้ตอบด้วยภาษาไทย ภาษาพูดอย่างง่าย ๆ สวัสดี ภาษาดาราอั้ง ก่ะม่ายต้างหาวจ่า ขอบคุณ ภาษาดาราอั้ง ค่วยเหร้อดีแม่ ขอโทษ ภาษาดาราอั้ง กันเด้า ลาก่อน ภาษาดาราอั้ง แค่นี้เอ้าดีห้าวแห่ สบายดีไหม ภาษาดาราอั้ง แม่ดีเขย กินข้าว ภาษาดาราอั้ง ห่มบ่ม น้ำ ภาษาดาราอั้ง เอิ่ม ห้องน้ำ ภาษาดาราอั้ง ฮ่องน่ำ อาหารรสชาติดี ภาษาดาราอั้ง สะไง ภาษา/วรรณกรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๓ ภาษาเขียน ชาวดาราอั้งไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง ภาษาเขียนที่ใช้ในการสื่อสารมักจะเขียนตามภาษาท้องถิ่น ที่ตนเองอาศัยอยู่ เช่น ๑. ภาษาพื้นเมืองในภาคเหนือ (ตั๋วเมือง) ๒. ภาษาไทใหญ่ ๓. ภาษาพม่าหรือเมียนมาร์ จากการสอบถามผู้รู้และปราชญ์ชาวบ้าน (เจ้าอาวาสวัดห้วยหมากเลี่ยม, การสื่อสารส่วนบุคคล, กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖), (พ่อมหาวงศ์, การสื่อสารส่วนบุคคล, กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ได้ให้ข้อมูลตรงกันว่าภาษาเขียนที่ใช้ใน ชาติพันธุ์ดาราอั้งส่วนใหญ่ ใช้ตัวเขียนเป็นภาษาพื้นเมืองในภาคเหนือ (ตั๋วเมือง) ซึ่งมีพยัญชนะและสระเป็น ภาษาพื้นเมืองในภาคเหนือแต่เวลาอ่านหรือเขียนออกมาเป็นภาษาดาราอั้ง ซึ่งภาษาที่เขียนนั้นได้รับการศึกษา หรือการถ่ายทอดมาจากวัดจากการบวชเป็นสามเณร ส่วนภาษาไทใหญ่ หรือภาษาพม่านั้นจะได้รับอิทธิพลจาก การศึกษาจากโรงเรียนในท้องถิ่นที่ตนเองอาศัยนั่นเอง วรรณกรรม เนื่องจากชาติพันธุ์ดาราอั้งไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง การถ่ายทอดวรรณกรรมต่าง ๆ จึงไม่มีเหลือ เพียงเรื่องเล่าหรือตำนานที่เล่ากันมาน้อยมาก ๑.ตำนาน “หรอยเรียก” ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาของกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น ตำนานนางฟ้า “หรอยเรียก” ที่กล่าวถึงนางฟ้าที่ชื่อ “หรอยเงิน” ได้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่โชคร้ายไปติดกับ แร้วดักสัตว์ของชาวลาหู่ ทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับสวรรค์ได้ต้องอยู่ในโลกมนุษย์ ชาวดาราอั้งจึงเชื่อว่า พวกตนเป็นลูกหลานกลุ่มหนึ่งของนางหรอยเงิน ฉะนั้นจึงต้องสวม “หน่องว่อง” ไว้ที่เอวในกลุ่มผู้หญิงของกลุ่ม ชาติพันธุ์ดาราอั้ง ซึ่งเปรียบเสมือนแร้วดักสัตว์ไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อระลึกถึงนางฟ้าหรอยเงินตลอดเวลา (การสื่อสารส่วนบุคคล, กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ๒.ตำนาน “หนาง ลอย งึน” จากการเล่าขานของบรรพบุรุษชาวดาราอั้งที่สืบทอดกันมานั้น ว่าชาว ดาราอั้งมีบรรพบุรุษ (ผู้ให้กำเนิด) เป็นบุตรกษัตริย์แห่งพระอาทิตย์กับพญามังกร และมีธิดาอยู่ 7 องค์ คือนาง กินรีที่ถูกบ่วงแร้วของนายพราน (เจ้าชายที่เป็นมนุษย์) ได้จับตัว “หนาง ลอย งึน” (นางกินรี)ไว้ และอาศัยอยู่ บนโลกของมนุษย์เดิมทีนั้น “หนาง ลอย งึน” เป็นธิดาองค์เล็กในบรรดาธิดา 7 องค์ของพระอาทิตย์กับ พญามังกรที่เป็นเจ้าผู้ครองนครซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์กับโลกของมนุษย์ (เมิง ฆาง หราว) ต้นตำนาน มี อยู่ว่า มีนางกินรี 7 นาง ที่ชอบมาเล่นน้ำกันในป่าหิมพานต์ พอเล่นน้ำเสร็จ นางทั้งเจ็ดก็จะเหาะกลับไปยังนคร อย่างนี้อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าชายที่อาศัยอยู่กับท่านฤๅษีเพื่อที่จะฝึกวิชาอาคม และฝึกฝนจน สำเร็จในทุก ๆ วิชาแล้ว จึงควรแก่การที่จะเสด็จกลับบ้านเมืองของตน โดยท่านฤๅษีได้กำชับว่าระหว่างเดินทาง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๔ กลับบ้านเมืองนั้น ให้เดินทางไปยังทางทิศตะวันออกเท่านั้น จะได้พบเจอสิ่งที่มีค่าโดยที่ไม่ได้คาดหมาย ระหว่างเดินทางกลับบ้านเมืองนั้น เจ้าชายก็ได้ใช้วิชาอาคมที่ท่านฤๅษีได้สั่งสอนมา ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ ต่าง ๆ เพื่อที่ประทังชีวิตในแต่ละวัน และวิธีการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ร้ายและสิ่งที่มีฤทธิ์อำนาจ ที่มนุษย์ไม่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในป่าหิมพานต์ มาจนวันหนึ่งเจ้าชายได้ไปล่าสัตว์ใกล้กับน้ำตกแห่งหนึ่ง จึงได้ ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อระหว่างเล่นน้ำกันของเหล่านางกินรีทั้งเจ็ด เจ้าชายจึงแอบเก็บปีกของกินรีนางหนึ่งไว้ แล้วหาต้นหวายมาทำเป็นบ่วงแร้วเพื่อที่จะใช้จับกินรี หลังจากนั้นก็ตะโกนส่งเสียงดัง นางกินรีทั้งเจ็ดนางนั้น ตกใจมากจึงรีบสวมใส่อาภรณ์ แล้วรีบเหาะกลับไปยังนคร และด้วยความตกใจนี้เองโดยที่ไม่ทันสังเกตว่าได้ทิ้ง น้องคนสุดท้องที่ยังหาปีกของตนเองไม่เจอไว้คนเดียว จึงถูกเจ้าชายจับตัวโดยใช้เส้นหวายมัดที่เอวของนางไว้ หลังจากนั้นเจ้าชายก็ได้นำพา “หนาง ลอย งึน” กลับบ้านเมืองของตนไปด้วย ระหว่างทางกลับบ้านเมืองนั้น เจ้าชายก็ได้หาผลไม้และเครื่องนุ่งห่มให้กับนางจนมาถึงพระนคร จากนั้นจึงได้อภิเษกสมรสกับ “หนาง ลอย งึน” และด้วยความที่คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตน “หนาง ลอย งึน” จึงได้นำ เพชร พลอย ทับทิม เงิน ทอง ฯลฯ ที่เจ้าชายหามาให้ นำมาเป็นเครื่องประดับและอาภรณ์ที่สวมใส่ (ซึ่งชุดและเครื่องประดับทุกชิ้นของหญิง ดาราอั้งนั้นจะมีความหมายด้วยกันทุกชิ้น) จากนั้นนางก็ร่ายรำ จนเป็นการรำ “หนาง ลอย งึน” ต่อมาจนถึง ปัจจุบัน ส่วนกษัตริย์แห่งพระอาทิตย์กับพญามังกรนั้นเมื่อทราบข่าวจากพี่น้องของนางที่ไปเล่นน้ำด้วยกันแล้ว จึงได้ตัดสินใจให้นางอาศัยอยู่บนโลกของมนุษย์ เพราะนางได้ถูกมนุษย์จับต้องแล้ว ไม่สามารถกลับมายังนคร ของตนเองได้ ต่อมาจากนั้น“หนาง ลอย งึน” จึงให้กำเนิดบุตรหลาน และให้เรียกตนเองว่าดาราอั้ง พร้อมทั้ง ให้เลือกหุบเขาสูง(นอนจา)เป็นที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดและระลึกถึงบรรพบุรุษที่อยู่บนสรวงสวรรค์ จนเป็นตำนานเล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๕ ภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ภูมปัญญาดา้นเครือ่งมอืจบั สตัว์ ปราชญ ์ชาวบ้าน:นางทวย ละวัน 4.ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ด้านภูมิปัญญา ชาวดาราอั้งหรือชนเผ่าดาราอั้ง เป็นชาวเขาชนเผ่าหนึ่งที่มีที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยสูง มีภูมิปัญญามาจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เพื่อใช้แก้ปัญญาและพัฒนาวิถีชีวิตให้ สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจัดการและการปรับตัวในการดำเนินวิถีชีวิต มีลักษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้าน เช่น ด้านการจัดการน้ำ ด้านการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านศาสนา และประเพณี และ ด้านอาหาร ภูมิปัญญา 1. ภูมิปัญญาด้านหัตถกรรม หัตถกรรมผ้าทอย้อมสีธรรมชาติ ผ้าทอมือลวดลายแบบชาวเขา ย้อมด้วยสีธรรมชาติ โดยชนเผ่าดาราอั้ง ชุมชนบ้านห้วยหมากเลี่ยม เผ่าดาราอั้ง เป็นชนเผ่าที่อพยพมาจากประเทศพม่า มีเอกลักษณ์คือการแต่งกายของผู้หญิง มีการสวมใส่ ผ้าถุง สีแดงสด และสวมหวงหวายคาดเอวที่เรียกว่า “หน่องว่อง” ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลานอน ด้วยเชื่อว่าเป็น สัญลักษณ์การเป็นลูกหลานของนางฟ้าร้อยเงิน อีกทั้งจะช่วยป้องกันสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ เข้าตัว ผ้าทอมือนั้นจะ มีรูปแบบและลวดลายสันสัน แตกต่างกันไปตามความชำนาญของผู้ทอแต่ละคน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หาซื้อ ได้เฉพาะบนดอยอ่างขาง มีกระบวนการวิธีย้อมสีธรรมชาติทำให้ได้สีเข้มอ่อนต่างกัน ผ้าทอมือจะนำมาถักเย็บ เป็นผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ เสื้อ เพื่อสวมใส่ลดทอนความหนาว โดยใช้เวลากว่า 3 วันจึงจะทอผ้าเสร็จแต่ละผืน ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๖ ด้านเครื่องทอผ้า (เด้า) มีทุกบ้านเพื่อไว้ทอผ้า กระเป๋า ผ้าซิ่น การทอผ้าของดาราอั้งเริ่มจากนำด้ายมาย้อมสี แล้วนำมาตากแห้งแล้วม้วนด้ายเป็นกลุ่ม จากนั้นก็จะ นำมาขึ้นเครื่องทอผ้าที่เรียกว่า “กี่เอว” ซึ่งปลายด้านหนึ่งของด้ายจะนำไปผูกติดกับไม้ อีกด้านหนึ่งผูกกับเอว ของผู้ทอ และมีไม้แท่งยาวประมาณ 1 เมตรสอดคั่นด้ายไว้เป็น ระยะๆ ภาพ กี่เอว อุปกรณ์สำคัญในการทอผ้าของชาวดาราอั้ง น้ำหนักเบา สะดวกในการย้ายที่ ภาพ ส่วนประกอบของเด้า ได้แก่ ไม้คู่ ไม่ไผ่ผั๊วเล้า(มีด) ฮาราขิ่น(ที่กรอด้าย) เก่อะ(ข้างมีด) ภาพ หนังสัตว์ไว้สำหรับคาดเอว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๗ งานเย็บปักถักร้อย เป็นงานของผู้หญิงโดยเฉพาะ จะทำใช้เองแล้วนำมาใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ นำมาทอเองแล้วจาก เครื่องทอผ้า (เด้า) แล้วนำมาทำเป็นกระเป๋าย่าม ผ้าซิ่น และผ้าโพกหัว และเย็บด้วยมือเท่านั้น ชาวดาราอั้งใช้ เวลากับการประดิษฐ์ตกแต่งเสื้อเพื่อสวมใส่ไปงานบุญแสดงให้เห็นถึงการสอนให้เด็กรู้จักมีความคิดสร้างสรรค์ 2. ภูมิปัญญาด้านเครื่องมือจับสัตว์และสิ่งของเครื่องใช้ ชาวดาราอั้งหรือชนเผ่าดาราอั้งมีเครื่องมือจับสัตว์ที่จัดทำขึ้นด้วยภูมิปัญญาของตนเองซึ่งเครื่องมือ ส่วนใหญ่จะทำมาจากไม้ไผ่ และไม้ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่ อาทิ เครื่องมือจับปลา (ภาษาดาราอั้ง : แปะกา ) อุปกรณ์ยิงนก (ภาษาดารางอาง: อาโกง) ที่ดักหนู (ภาษาดารางอาง: สดิง) ที่จับปลาไหล สุ่มไก่(ภาษา ดาราอั้ง : ตะกาสะปรึอเอียน) เครื่องมือจับปลา (ภาษาดาราอั้ง :แปะกา) เครื่องมือจับปลาไหล (ภาษาดาราอั้ง :แปะกา) ที่ดักหนู (ภาษาดารางอาง: สดิง) เครื่องมือจับนก/ไก่ (ภาษาดารางอาง: อาโกง)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๘ สุ่มไก่ (ภาษาดาราอั้ง: ตะกาสะปรึอเอียน) ตาแหลว ทำจากไม้ไผ่หรือหวายสานขัดกัน ใช้สำหรับติดไว้เพื่อกันภูตผี ตามความเชื่อที่ว่าถ้าบ้านใดทำตาแหลว เพื่อแขวนไว้กันภูตผีหรือสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายคนในบ้านและให้อยู่เย็นเป็นสุข ก๊อกเป่ ใช้สำหรับตวงข้าวสารทำจากไม้ไผ่ในสมัยก่อนจะใช้ไม้ไผ่จักสานคิดค้นขึ้นมาในการใช้ตวงปริมาณของ ข้าวสารหรืออื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๙ โล่ง (กระด้ง) ใช้สำหรับผัดข้าว ทำจากไม้ไผ่ เนื่องจากในสมัยก่อนจะตำข้าวเปลือก หลังจากตำแล้วจะใช้กระด้งผัด แกลบออก เพื่อให้เหลือเมล็ดข้าวสาร และยังเป็นภาชนะใส่ของแห้งอีกด้วย เตาไฟ ใช้ในการติดไฟหุงต้มอาหาร ในสมัยก่อนจะใช้ฟืนเป็นวัสดุหลักในการติดไฟ เพื่อหุงข้าวลำทำกับข้าว ป้อมใส่ปลา ทำจากไม้ไผ่ เป็นที่สำหรับใส่ปลาในขณะออกจับปลา หรือทอดแห
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๐ 3. ภูมิปัญญาด้านสมุนไพร (ยารักษาโรค) ยารักษาโรคของชาวดาราอั้งหรือชนเผ่าดาราอั้งมักจะเป็นสมุนไพรจากในป่าหรือสมุนไพรตามพื้นบ้าน เพื่อใช้ในการรักษาอาการการเจ็บป่วยทั่วไป อาทิ ผักแปม มะระขี้นก ผักโมโรเฮยะ สาบเสือ เป็นต้น ผักแปม (ภาษาดาราอั้งเรียก คุงแคม) มีสรรพคุณ ช่วยลดอาการร้อนใน วิธีใช้ใช้หนามของต้นคุงแคมปักที่บริเวณสะโพกหรือบั้นท้ายประมาณ 2-3 นาทีจากนั้นดึงออกจะ ช่วยลดอการร้อนในได้ มะระขี้นก ( ภาษาดาราอั้งเรียก มะหน่วยขม ) มีรสขมจัด สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เจริญอาหาร ผลมะระอ่อน ใช้รับประทานเป็นยาเจริญอาหารโดยการต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ถ้าผลสุกสีเหลือง ห้ามรับประทาน เพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยพบว่า มะระขี้นกมีสาร ชาแรนติน ช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ ผักโมโรเฮยะ (ภาษาดาราอั้งเรียก ใบเนี้ยะ) มีสรรพคุณ ช่วยในการลดไข้ ลดอาการปวดเมื่อย วิธีใช้นำใบมา 7 ใบ ห่อด้วยผ้าจากนั้นขยี้ให้ละเอียดนำมาผสมกับยาหม่องจากนั้นนำมาพอกหรือพัน ไว้ที่บริเวณนิ้วโป้ง เพื่อช่วยลดไข้ ลดอาการปวดเมื่อย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๑ สาบเสือ (ภาษาดารางอางเรียก ชุมเชียม) มีสรรพคุณ ช่วยสมานแผล ห้ามเลือด แก้ปวดท้อง วิธีใช้: รักษาแผลสด (นำใบมาขยี้ใช้พอกบริเวณที่มีบาดแผลหรือแผลสด จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น) รักษาอาการปวดท้อง (นำใบสด10-15ใบคั้นเอาน้ำต้มกับน้ำสะอาดประมาณ 2 ลิตรดื่ม เช้า-เย็นจะช่วยแก้ อาการปวดท้องได้) 4. ภูมิปัญญาด้านการถนอมอาหาร การถนอมอาหาร ดอกงิ้ว (ภาษาดาราอั้งเรียก บองเนว) วิธีการถนอม นำดอกงิ้ว มาตากแดดสังเกตสีของผักกาดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลเมื่อจับดูจะ มีความแห้งกรอบ เก็บไว้ในถุงให้พ้นที่เปียกชื้นจะสามารถอยู่ได้ถึง 6 เดือน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๒ การถนอมอาหาร หัวไชเท้า ภาษาดาราอั้งเรียก ไลดู่วเดา วิธีการถนอม นำหัวไชเท้ามาหั่นเป็นชิ้น ๆ จากนั้นมาผึ่งแดดจนหัวไชเท้าเริ่มหดตัวและแห้งดีเป็นอัน ใช้ได้ วิธีการรับประทาน แช่น้ำให้พองตัวจากนำไปคั่วหรือผัดกับหมูสับได้ การถนอมอาหาร ผักกาด ภาษาดาราอั้งเรียก ดอเซียมลาย วิธีการถนอม นำผักกาดมามัดรวมเป็นกำ จากนั้นต้มให้พอสุก นำมาตากแดดสังเกตสีของผักกาดจะ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลเป็นอันใช้ได้ สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานเป็นปี วิธีรับประทาน นำผักกาดมาแช่น้ำ จากนั้นนำไปผัด ต้มหรือแกงได้ตามชอบ 5. ภูมิปัญญาด้านการจัดการน้ำ ชาวดาราอั้งยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด มีประเพณีพื้นบ้านที่เกี่ยวพันกับพุทธศาสนา อย่างแน่นแฟ้นโดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง มีพิธีกรรมหนึ่งที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานและน่าชื่นชม คือ ประเพณีสืบชะตาน้ำหรือเรียกให้เข้าใจง่ายว่าเป็นการทำความสะอาดแหล่งน้ำ ถือเป็นกุศโลบายหนึ่งในการ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๓ รักษาป่าและต้นน้ำลำธาร ชาวเขาเผ่านี้มีวิถีชีวิตอย่างพอเพียงปราศจากอบายมุข หาเลี้ยงชีพด้วยการทำ การเกษตรแบบผสมผสาน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ดินและน้ำ 6. ภูมิปัญญาด้านการรักษาอาการเจ็บป่วย ในหมู่บ้านจะมี“สล่า” ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วยแบบพื้นบ้าน โดยการทำพิธีเซ่น สรวงบูชา การใช้ยาสมุนไพร การทำนายทายทักเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นผู้ตั้งชื่อเด็กเกิดใหม่เพื่อความเป็น มงคล และทำหน้าที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังเป่ามนต์คาถาเพื่อให้ได้ผลทางการป้องกันตัว หรือทำเสน่ห์มหา นิยมด้วย ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่น 1. นางทวย ละวัน อยู่บ้านเลขที่ 007 หมู่ที่ 9 ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ความเชี่ยวชาญ มีความรู้ประสบการณ์และความชำนาญ เรื่องการทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้ากระเป๋าผ้าทอ ดาราอั้งลักษณะการถ่ายทอด มีการฝึกหัดให้กับลูกหลานและบุคคลที่สนใจที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเย็บผ้า ตัดผ้า ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่สนใจเพื่อสร้างเป็นอาชีพ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๔ 2. นายเล ละวัน อยู่บ้านเลขที่ 007 หมู่ที่ 9 ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ความเชี่ยวชาญ มีความรู้ประสบการณ์และความชำนาญ เรื่องหมอเป่า เช่น เป่างูสวัด เป่าซาง ฯลฯ รวมทั้งยังมีความรู้ประสบการณ์ และความชำนาญด้านหมอสมุนไพรสำหรับยังรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ใน ชุมชน ลักษณะการถ่ายทอด มีการฝึกหัดให้กับลูกหลานและบุคคลที่สนใจที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับหมอเป่า หมอสมุนไพร 3. นางสุข จองแสง อยู่บ้านเลขที่ 039/3 หมู่ที่ 9 ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ความเชี่ยวชาญ มีความรู้ประสบการณ์และความชำนาญด้านเครื่องจักสาน เช่น การทำไม้กวาดจาก ดอกหญ้า การสานตะกร้า เป็นต้น ลักษณะการถ่ายทอด มีการฝึกหัดให้กับเยาวชนในหมู่บ้านและบุคคลที่ต้องการเรียนรู้ขั้นตอนการ จักสานและการทำไม้กวาดดอกหญ้า ให้คำแนะนำปรึกษาทุกขั้นตอนในการจักสานและการทำไม้กวาด ดอกหญ้า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๕ การมดั สายสญิจนเ์พือ่เรยีกขวญั ประเพณีแต่งงาน ปัจจัยส าหรับถวายให้กับวิญญาณของผู้ตาย 5.ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล การเกิด การเจ็บป่วย และการตาย การเกิดของชาวดาราอั้งในปัจจุบันจะทำการคลอดและเกิดที่โรงพยาบาล และหากเด็กมีสุขภาพดี สมบูรณ์ ก็จะไม่มีพิธีกรรมหรือแนวปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเด็กแรกเกิดนั้นเกิดอาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่ได้ ในหมู่บ้านจะมี “สล่า” ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วยแบบพื้นบ้าน โดยการทำพิธีเซ่นสรวง บูชา การปัดน้ำมนต์ น้ำส้มป่อย การใช้ยาสมุนไพร การทำนายทายทักเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เป็นผู้รักษาปัดเป่า ให้หายและทำให้อาการดีขึ้นได้ และถือว่าเป็นวิธีการสู่ขวัญอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ปลุกเสกเครื่องราง ของขลังเป่ามนต์คาถาเพื่อให้ได้ผลทางการป้องกันตัว หรือทำเสน่ห์มหานิยมด้วย ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๖ การตั้งชื่อให้เด็กแรกเกิดนั้นในสมัยก่อนสล่าในหมู่บ้านจะเป็นผู้ตั้งชื่อให้ แต่ในปัจจุบันบิดามารดา สามารถตั้งชื่อให้เองได้ โดยมีหลักการในความเชื่อดังนี้ วันอาทิตย์ ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “อ” หรือ “ล” เช่น แอ ออน อ่อน เอย เอ้ย อิ่ง อิง, แลง เลิน หลู่ ลืน หลับ เลย วันจันทร์ ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “ก” เช่น เก่ง กร กี้ กิ่ง ก่ำ แก้ว แก้ม กุล วันอังคาร ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “จ” เช่น เจน จ่าม จิ่ง จอย จัน เจ้ย วันพุธ ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “ล” เช่น แลง เลิน หลู่ ลืน หลับ เลย วันพฤหัสบดี ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “ท” หรือ “ม” เช่น ทอน ทุน เทย ทวย, มิ่ง มอง มัน มิน หมิ้น วันศุกร์ ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “ส” เช่น ส่วย แสง สร้อย สมินทา สิน วันเสาร์ ควรมีชื่อขึ้นต้นด้วย “ต” หรือ “น” เช่น ตาล ตอง ต่าย ตุ่น ต่าง, นาง นวล น้ำอิง นวย นอย น้อย และหากตั้งชื่อเด็กแล้วเด็กคนนั้นไม่สบายหรือเจ็บป่วยบ่อย ๆ บิดามารดาจะพาเด็กไปหาสล่าใน หมู่บ้านเพื่อดูความมงคลและจะต้องมีการเปลี่ยนชื่อ การเรียนชื่อนั้นผู้ชายจะมีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “อา” ซึ่ง คล้ายกับ “อ้าย” ในภาษาเหนือ แต่ผู้หญิงนั้นไม่มีคำนำหน้าเหมือนผู้ชาย การเจ็บป่วย ดังที่กล่าวมาข้างต้น ในปัจจุบันหากชาวดาราอั้งมีอาการป่วยก็จะไปโรงพยาบาลแต่ถ้า หากรักษาด้วยยาแล้วไม่หายชาวบ้านก็จะพาผู้ป่วยไปหาสล่าเพื่อจับชีพจรดูว่ามีผีหรือสิ่งลี้ลับตามรังควานหรือ ทำให้ตนเองป่วยหรือไม่ และจะทำการปัดน้ำมนต์ น้ำส้มป่อย เพื่อทำการไล่สิ่งร้ายออกจากผู้ป่วย ซึ่งการปฏิบัติ เช่นนี้เกิดขึ้นกับชาวดาราอั้งในทุกช่วงวัยและยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน การมัดสายสิญจน์เพื่อเรียกขวัญ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๗ พิธีกรรมที่ชาวดาราอั้งปฏิบัติต่อคนตายนั้นเหมือนกับการจัดงานฌาปนกิจศพเหมือนคนทั่วไป แต่จะมี ความพิธีรีตองที่เกิดขึ้นกับร่างของผู้เสียชีวิตมากกว่า เช่น เมื่อมีผู้เสียชีวิต ญาติ ๆ จะพากันอาบน้ำให้ร่างและ แต่งตัวแต่งหน้าให้ใหม่ในวันที่เสียชีวิต และวันเผาก็จะทำการอาบน้ำแต่งตัวให้ร่างอีกครั้งหนึ่งก่อนทำการ ฌาปนกิจและจะมีการเปิดฝาโลงเพื่อให้เหล่าญาติ ๆ โยนเหรียญเข้าไปในโลงเพราะชาวดาราอั้งเชื่อว่าหลังจาก ตายแล้วจะมีเงินมีทองใช้ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากการปฏิบัติกับร่างผู้เสียชีวิตในสมัยก่อน กล่าวคือ สัปเหร่อจะเป็นผู้นำเหรียญใส่ไว้ในปากผู้ตาย แต่ภายหลังมาก็มีความเชื่อที่ว่าจะทำให้ผู้ตายหายใจ หรือกลืนลำบาก จึงหันมาทำการโยนเหรียญใส่โลงแทน และหลังจากการฌาปนกิจแล้วก็จะมีการตานข้าวของ เครื่องใช้ให้กับวัดเพื่อทำบุญให้กับผู้ล่วงลับและการซื้อบ้านหรือที่อยู่เล็ก ๆ เพื่อถวายวัด เพราะชาวดาราอั้งมี ความเชื่อว่าหากตายไปวิญญาณก็จะได้ไปอยู่ในวัดกับพระอย่างสงบ ภาพสิ่งของและปัจจัยที่ญาติ ๆ จะถวายให้วัดเพื่อเป็นการทำบุญและเป็นที่อยู่ของวิญญาณผู้ตาย พิธีแต่งงาน พิธีแต่งงานของชาติพันธุ์ดาราอั้งนั้นในสมัยก่อนไม่นิยมแต่งงานกับคนต่างชาติพันธุ์ แต่ในปัจจุบันมี การเปิดกว้างทางความคิดและแนวทางปฏิบัติมากขึ้นดังนั้นชาติพันธุ์ดาราอั้งสามารถเข้าพิธีแต่งงานกับผู้ใดก็ได้ และเนื่องจากชาติพันธุ์ดาราอั้งนั้นมีความศรัทธาและยึดมั่นในศาสนา เชื่อเรื่องบาปบุญ ดังนั้นหนุ่มสาวมักจะ พบกันในช่วงเทศกาลหรือพิธีทำบุญ พิธีแต่งงานจะมีการเลี้ยงผีเรือนผีปู่ ย่า ตา ยาย ในวันมัดมือและหลัง จากนั้น ก็จะพากันไปทำบุญที่วัดตามพิธีกรรมทางศาสนา โดยการสู่ขอนั้นฝ่ายชายจะเป็นผู้พาบิดาและมารดา ของตนไปสู่ขอฝ่ายหญิง และหากบิดามารดาฝ่ายหญิงตอบตกลงก็ถือว่าสามารถแต่งงานกันได้ โดยมีแนวปฏิบัติ ที่ว่าหากฝ่ายชายย้ายมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง ฝ่ายชายต้องเสียค่าสินสอดในการขอฝ่ายหญิงน้อยกว่าการสู่ขอฝ่าย หญิงแล้วพาฝ่ายหญิงไปอยู่กับฝ่ายชาย นอกจากนี้การจัดงานแต่งงานของชาวดาราอั้งนั้นในปัจจุบันนิยมแต่ง กันที่บ้านแบบเรียบง่าย โดยการจัดงานแต่งงานนั้นจะเริ่มในตอนเย็นและตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง หลังจากเสร็จ สิ้นพิธีแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ใช้ชีวิตคู่เหมือนชาวดาราอั้งปกติทั่วไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๘ ประเพณี เทศกาล และงานบุญต่าง ๆ ชาวดาราอั้งมีความเชื่อเรื่องวิญญาณ ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นชาวดาราอั้งจึงได้ชื่อว่า เป็นกลุ่มที่ยึดถือคติธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด วิถีชีวิตชาวบ้านอยู่กันอย่างสุขธรรม ปราศจากอบายมุข มีประเพณีพื้นบ้านที่เกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น และทุกหมู่บ้านจะมีวัดเป็น ศูนย์กลาง ประเพณีทำบุญ ชาวบ้านจะพากันไปทำบุญตักบาตรที่วัด และเฉลิมฉลองเมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันอาสาหบูชา วันวิสาขบูชา วันปีใหม่ และวันสงกรานต์ โดยมีงานบุญตาม เดือน ดังนี้ เดือนมกราคม มีการทำบุญช่วงปีใหม่ เพื่อรับสิ่งมงคล และทำบุญในวันที่ฤกษ์ดี โดยพ่อเฒ่าแม่เฒ่าในหมู่บ้านจะรู้วันดี กันเอง ไม่มีตำราบ่งบอกเป็นหลักฐาน เดือนกุมภาพันธ์ มีวันพระ และมีการทำพิธี “กุงวึ่น” หรือ “ประเพณีเผาฟืน” ของชาวดาราอั้ง โดยจะมีการนำไม้ของแต่ ละบ้านมาก่อกันเป็นรูปเจดีย์ที่บริเวณวัด และทำการจุดไฟเพื่อให้อากาศอบอุ่น มีการเล่นดนตรี ตีกลอง ดาราอั้ง โดยพิธีนี้จะจัดหรือไม่จัดขึ้นอยู่กับทางประเทศพม่า เดือนมีนาคม ช่วงเดือนนี้ผู้คนในหมู่บ้านมักจะออกไปวัดเพื่อทำบุญในวัดต่าง ๆ ใกล้ - ไกล ตามศรัทธา เดือนเมษายน วันสงกรานต์จะมีพิธีรดน้ำดำหัวเหมือนที่อื่นทั่วไป แต่จะมีการทำขนมแป้งนึ่ง ขนมไส้เพื่อไปถวายวัดอีก ด้วย หรือ “ข้าวไป๊” เดือนพฤษภาคม เดือนนี้จะเป็นเดือนที่เปิดให้ทำการ “บวชลูกแก้ว” โดยการบวชลูกแก้วนั้นสามารถทำได้ในเดือนนี้ เท่านั้น หลังจากนี้หากมีการบวชจะเป็นการบวชเณร ซึ่งผู้ที่จะบวชลูกแก้วได้นั้นต้องบวชเณรมาก่อนไม่ น้อยกว่า 3 ปี หรือ 7 ปี ตามประเพณีของวัด และรอเพื่อทำการบวชลูกแก้วในเดือนพฤษภาคม เดือนมิถุนายน ในเดือนนี้ไม่มีงานบุญ แต่ผู้คนมักจะเปิดฟังธรรมะอยู่บ้าน เพื่อฟังธรรมให้มีสุข เดือนกรกฎาคม ในเดือนนี้จะมีงานบุญเข้าพรรษา โดยจะมีการการเริ่มปิดหมู่บ้าน กล่าวคือ ชายหญิง ไม่สามารถ แต่งงานหรือมีอะไรเชิงชู้สาวได้ โดยผู้รู้ว่าวันใดคือวันปิดหมู่บ้าน คือ “ตาเจ้าเมือง” หรือ “ดาบูเมิง” นอกจากนี้คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านมักจะนอนนอนวัด 7 วันหลังเข้าพรรษาเพื่อรับบุญ เดือนสิงหาคม ไม่มีงานบุญใดๆ แต่มีการอยู่บ้านฟังธรรม การจัดงานแต่งงานที่บ้านแบบเรียบง่ายของชาวดาราอั้ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๙ เดือนกันยายน ในเดือนนี้เป็นเดือนของการออกพรรษาซึ่งจะมีการเปิดหมู่บ้านโดยผู้กำหนดให้เปิดคือตาเจ้าเมืองนั่นเอง เดือนตุลาคม เดือนนี้ชาวบ้านมักจะออกไปทำบุญตามปกติ และพระส่วนมากสามารถออกเดินทางหรือออกบริเวณวัด เพื่อไปแสวงบุญได้ เดือนพฤศจิกายน ไม่มีงานบุญใดๆ แต่มีการอยู่บ้านฟังธรรม เดือนธันวาคม มีการทำบุญส่งท้ายปีเก่าเพื่อความเป็นศิริมงคล โดยชาวบ้านก็จะทำข้าวไป๊ไปถวายวัดและฟังธรรม นอกจากนี้แต่งละเดือนก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามภาษาดาราอั้ง และการนับเดือนของชาว ดาราอั้งนั้นช้ากว่าปฏิทินสากลทั่วไป 1 เดือน ดังนี้ เดือนที่ ชื่อเรียก เดือนตามปฏิทินสากล 1 มะเกียดไลฮ์ ธันวาคม 2 เลินกั่ม มกราคม 3 เลินสาม กุมภาพันธ์ 4 เลินสี่ มีนาคม 5 เลินห้า เมษายน 6 เลินหก พฤษภาคม 7 เลินเจ็ด มิถุนายน 8 เลินแปด กรกฎาคม 9 เลินเก้า สิงหาคม 10 เลินสิบ กันยายน 11 เลินสิบเอ็ด ตุลาคม 12 เลินสิบสอง พฤศจิกายน พ่อแม่ชาวดาราอั้งยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวพุทธโดยทั่วไป คือ การสนับสนุนให้ลูกชาย บวชเณรเพื่อเล่าเรียนธรรมะ และบวชพระ เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บิดามารดา โดยช่วงอายุการบวชเณร ของชาวดาราอั้งนั้นจะสามารถบวชได้ทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ หรือวัยชรา ข้อมูลงานบุญในเดือนต่าง ๆ จากเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์บ้านห้วยหมากเลี่ยม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๐ เครือ่งเซน่ ไหว้ การท าบุญตักบาตรวันส าคัญ ท าบุญวันส าคัญ 6.ศาสนาและความเชื่อ การนับถือผี ชาวดาราอั้งหรือปะหล่อง มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณควบคู่ไปกับการนับถือพระพุทธศาสนา โดยมี ความเชื่อว่าวิญญาณทั่วไป จะเรียกว่า “กานำ” เป็นวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ภูเขา แม่น้ำ เป็นต้น การเซ่นสรวงบูชาผี หรือวิญญาณจะทำควบคู่ไปกับพิธีกรรมทางศาสนาพุทธอยู่เสมอ และทุกพิธี จะมีหัวหน้าพิธีกรรม เรียกว่า “ดาจาน” เป็นผู้ประกอบพิธีในหมู่บ้านของชาวดาราอั้งจะมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สำคัญที่สุดของหมู่บ้าน คือ “ศาลผีเจ้าที่” หรือ “สุเมิง” ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของผีหรือวิญญาณที่คอยคุมครอง หมู่บ้าน โดยบริเวณศาลจะอยู่เหนือหมู่บ้านก่อสร้างอย่างปราณีต มีรั้วล้อมรอบสะอาด ดาราอั้งมีความเชื่อเรื่องวิญญาณควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธ โดยเชื่อว่าวิญญาณจะมี 3 ระดับ ด้วยกัน คือ 1. กา-เปรา คือ เป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ 2. กา-นำ คือ เป็นวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ลม ฯลฯ 3. กา-ฌา คือ เป็นวิญญาณ เช่น สวน ไร่ ข้าว ฯลฯ ผู้นำพิธี/ผู้ประกอบพิธีของกลุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้ง : 1. ดา-ซารา-ซีนัม หมอสมุนไพร และหมอจับเส้น 2. ดา-ซารา-บูห หมอเปาคาถาหรือปัดรังควาน ฯลฯ 3. ดา-ฌาน ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ศาสนาและความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๑ ศาสนา ชาวดาราอั้งหรือปะหล่อง นับถือศาสนาพุทธ เป็นกลุ่มที่ยึดถือ คติธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างเคร่งครัด วิถีชีวิตชาวบ้านอยู่กันอย่างสุขธรรม ปราศจากอบายมุข มีประเพณีพื้นบ้านที่เกี่ยวพันกับ พระพุทธศาสนา อย่างแน่นแฟ้นทุกหมู่บ้านจะมีวัดเป็นศูนย์กลาง หากหมู่บ้านใดไม่มีวัดสามารถไปทำบุญที่วัด ใกล้หมู่บ้านได้ และทุกหลังคาเรือนจะมีหิ้งพระเพื่อเคารพบูชา เมื่อถึงวันพระหรือเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา ต่าง ๆ เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ ชาวบ้าน จะพากันไปใส่บาตร และทำบุญที่วัดถือศีล นอกจากมีการทำบุญด้วยข้าว อาหาร ดอกไม้ใส่ขันดอกแล้วยังมี การฟ้อนรำ ร้องเพลงบรรเลงฆ้อง กลอง ฉิ่ง ฉาบ ทั้งที่วัด และลานหมู่บ้านมีการสนับสนุนให้ลูกชายบวชเณร เพื่อเล่าเรียนธรรมะ และบวชพระเพื่อแผ่อานิสงฆ์ ให้แก่บิดามารดาอีกด้วยพ่อแม่ชาวดาราอั้งยึดถือธรรมเนียม ปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวพุทธโดยทั่วไป คือ การสนับสนุนให้ลูกชายบวชเณรเพื่อเล่าเรียนธรรมะ และบวชพระ เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บิดามารดา ทุกหลังคาเรือนจะมีหิ้งพระบูชาเป็นที่เคารพสักการะ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๒ ร านางร้อยเงิน การร าดาบ การร าวงหนุ่มสาว 7.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีของชนเผ่าพื้นเมืองดาราอั้งนั้น จะประกอบไปด้วย 1. ดีง ลักษณะคล้าย ๆ พิณสามสาย 2. ดีง-โฆว ลักษณะคล้าย ๆ พิณ จะมีสายแล้วแต่ผู้ดีด (ปัจจุบันหาผู้เล่นยากมาก) 3. วอ ปี่ (มีหัวเป็นน้ำเต้าเล็ก) 4. ฆรึง กลอง ฆรึง-โต่ง กลองยาว ฆรึง-มัง-คุง กลองสั้น แต่เสียงจะทุ้มมากกว่ากลองยาว 5. ฆู โม่ง ฆ้อง มา-ฌามจะใหญ่เสียงจะทุ้มกังวานมากกว่า ฆู โม่ง 6. แชห ฉาบ 7. ซา-กวัน ใช้ปากเปาบังคับเสียง และใช้มือดีดเพื่อบังคับจังหวะ วอ (ปี ปาย ดี โบง วอ) “วอ” มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ชายเป็นผู้บรรเลงเท่านั้น ในอดีตใช้เป่าเพื่อจีบสาว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะ ไม่ค่อยชอบหากฝ่ายชายไม่มีเครื่องดนตรีชนิดนี้ เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ในการเป่า วอในงานพิธีต่าง ๆ หรือ งานรื่นเริง โดยเฉพาะในเวลาที่บ่าวจะไปจีบสาว ฝ่ายชายจะเป็นผู้คิดทำนองและตัว โน้ตของตนเองขึ้นมา ทำให้ฝ่ายหญิงจดจำได้ว่าใครเป็นผู้เป่า นอกจากนี้ “วอ” ยังเป็นเครื่องดนตรีที่มีความ แตกต่างจากเครื่องดนตรีชนิดอื่น ตรงที่ใช้น้ำเต้าเป็นตัวเป่าลม เพราะมาจากธรรมชาติ มีความแข็งแรงทนทาน และส่วนปลายของน้ำเต้ามีรูปร่างเรียวและเล็ก สามารถนำเข้าปากเพื่อเป่าได้อย่างถนัด และตรงส่วนหัวก็ใหญ่ พอที่จะเจาะรู เพื่อใส่ไม้ไผ่ได้ นอกจากนั้นยังมีรูปทรงที่สวยงามอีกด้วย ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๓ ดึง (ปี ปาย ดี โบง ดึง) เป็นเครื่องดนตรีสำหรับผู้ชายเท่านั้น ใช้สำหรับจีบสาวเหมือนวอ แต่จะมีเอกลักษณ์คล้ายกับกีตาร์ ปัจจุบัน ไม่มีโน้ตตายตัว ผู้เล่นจะเป็นผู้กำหนดโน้ตหรือท่วงทำนองเอง ดังนั้นผู้ชายดาราอั้งแต่ละคน จึงมี เอกลักษณ์เฉพาะตัว เล่นเพลงและทำนองไม่เหมือนกัน นอกจากใช้บรรเลงเพลงเพื่อจีบสาวแล้ว ดึงยังใช้ ประโยชน์ได้อีกหลายอย่าง เช่น เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นในเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของชนเผ่า ตลอดจนสามารถ นำไปเป็นของฝากได้อีกด้วย พิณปะหล่อง (ดิ่ง) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย มีระบบเสียง ลักษณะการบรรเลง และบทเพลงของชาวดาราอั้ง ซึ่งลักษณะเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด มีลักษณะคล้ายพิณ ๓ สาย มีส่วนประกอบ ๔ ส่วน คือ ๑.ตัวดิ่ง ประกอบด้วย หัวดิ่ง คอดิ่ง และลำตัว (กล่องเสียง) ๒.หย่อง (วัสดุรองสาย) ๓.ไม้ดีด ๔.สายดิ่ง มีการตั้งเสียงตามลักษณะของบทเพลง ซึ่งบทเพลงของดาราอั้งพบว่ามี ๒ ลักษณะคือ ๑. เพลงที่มีโครงสร้างชัดเจน เป็นเพลงที่มีร้องประกอบ มีองค์ประกอบ ๓ ส่วนคือ ส่วนนำ ส่วน ทำนองหลัก และส่วนจบ โดยส่วนทำนองหลักถือเป็นส่วนสำคัญที่บ่งบอกถึงชื่อของเพลงนั้น ๒. เพลงที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น เป็นเพลงที่ไม่มีการร้องประกอบ เพลงมีโครงสร้างไม่ชัดเจน ซึ่งบ่งบอก ถึงชื่อของเพลงนั้น ใช้บรรเลงประกอบการรำนางร้อยเงินเพื่อให้เข้ากับจังหวะและท่ารำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๔ ซะกวัน เป็นเครื่องดนตรีที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ เพื่อคลายความเหงาในช่วงเวลาที่ออกไปทำงานนอกบ้าน เช่น ไป เลี้ยงควาย ทำไร่ ไปหาของในป่า เป็นต้น และใช้จีบสาว อีกทั้งสามารถใช้บรรเลงในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น วัน พระ วันขึ้นปีใหม่ ได้อีกด้วย วิธีการเล่นนั้นไม่ยาก ใช้ปากเป็นเหมือนลำโพง และใช้มือดีด นาฏศิลป์ ชนเผ่าพื้นเมืองดาราอั้งนั้น มีศิลปะการแสดงทั้งร้อง รำ ทำเพลง หลัก ๆ ด้วยกันดังนี้ ๑. ฆา-หนาง-ลอย-งึอน เป็นการฟ้อนรำ ตามจังหวะดนตรีที่บรรเลง โดยที่ไม่มีท่าที่ตายตัว ๒. ฆา-มา-ปัวะ เป็นการฟ้อนรำโดยการประยุกต์จะท่าทางต่างของการสู้รบ โดยมีดาบ หรือกระบอง เป็นอุปกรณ์การฟ้อนรำ ๓. ฆา-มา-โต เป็นการแสดงที่ประยุกต์จากการประลองผีกับมังกร ๔. เฌิง เป็นการประยุกต์จากท่าต่าง ๆ ของกังฟู ผู้ชายส่วนใหญ่จะใช้เพื่อประลองความสามารถกัน ๕. การร้องเพลง ทำนองต่าง ๆ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงเกี้ยวพาราสี เพลงเวลาไปไร่ และเพลงตาม เทศกาลและโอกาสต่าง ๆ 6.รำนางร้อยเงินหรือการรำของนางกินรี (ฆา มาชีม): เป็นการเต้นตามจังหวะของเครื่องดนตรี เน้นจังหวะ โดยการใช้เท้าและมือ จะแสดงช่วงที่มีเทศกาลงานสำคัญ เช่น เข้าพรรษา – ออกพรรษา วันสงกรานต์ หรือ งานอื่น ๆ ของชนเผ่าดาราอั้ง โดยผู้รำจะมีเทคนิคในการรำเฉพาะตัวบุคคล หากอยากรู้ว่าผู้รำคนนี้ได้รับการ ถ่ายทอดมาจากอาจารย์ท่านใด ก็ให้สังเกตดูที่ท่ารำแต่ละท่าซึ่งจะเป็นท่าเฉพาะของอาจารย์ท่านนั้น ๆ การละเล่นพื้นบ้าน/วิถีชีวิตด้านการละเล่น การรำวงหนุ่มสาว (ฆา กา โฌม ดี บยา) เป็นการเล่นเพื่อสร้างความเพลิดเพลินโดยหนุ่มสาวปะหล่องจะมารำวงร่วมกัน เพื่อความสนุกสนาน และผ่อนคลายจากการทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีในกลุ่มชุมชนเผ่าอีกด้วย ชาวดาราอั้งมีข้อห้ามในการรำวง โดยห้ามผู้ชายล่วงเกินผู้หญิง หากมีการล่วงเกินกันเกิดขึ้นถือว่าผิดผีต้องไป ขอขมาผี โดยให้หมอผีเป็นผู้ทำพิธีหากไม่ทำจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๕ รำนางร้อยเงินหรือการรำของนางกินรี (ฆา มาชีม) เป็นการเต้นตามจังหวะของเครื่องดนตรี เน้นจังหวะโดยการใช้เท้าและมือจะแสดงช่วงที่มีเทศกาล สำคัญ เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา วันสงกรานต์ หรืองานอื่นๆ ของชาวดาราอั้ง โดยผู้รำจะมีเทคนิคในการรำ เฉพาะตัวบุคคล หากอยากรู้ว่าผู้รำคนนี้ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ท่านใด ก็ให้สังเกตดูที่ท่ารำแต่ละท่า ซึ่งจะเป็นท่าเฉพาะของอาจารย์ท่านนั้น ๆ การรำดาบ (ปี ปาย ดี ฆา มา ปัวะ) ตามตำนานบอกเล่าของชาวดาราอั้ง ไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือชายล้วนแล้วแต่มีความสามารถในการใช้ ดาบ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญที่ใช้ในการสู้รบนอกเหนือจากธนู กระบอง และอาวุธอื่น ๆ โดยดาบที่ใช้ในการรำต้อง เก็บไว้เป็นอย่างดี ผู้หญิงและเด็กไม่ควรจับ เนื่องจากดาบทุกเล่มจะมีครูบาอาจารย์อยู่ ดังนั้น ก่อนที่จะรำ จะต้องมีการไหว้ครูก่อนทุกครั้ง จนถึงยุคที่ไม่มีการทำสงครามแล้ว การใช้ดาบจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้ที่ เก่งกาจในการใช้ดาบเป็นอาวุธได้นำมาประยุกต์กลายเป็นการรำดาบแทน เพื่อให้ลูกหลานได้เห็นถึง ความสำคัญและการใช้ดาบเป็นอาวุธในอดีตและเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของการใช้ดาบเป็นอาวุธในอดีตให้ชาว ดาราอั้งได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน การรำกระบอง (ปี ปาย ดี ฆา ตา รัง) กระบองเป็นอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้อีกชนิดหนึ่งของชาวดาราอั้ง และจากการที่ชาวดาราอั้งมักอาศัยอยู่ บริเวณผาสูงชัน จึงจำเป็นต้องใช้กระบอกในการป้องกันตน และใช้ในการเดินทางจากช่องแคบระหว่างหน้าผา หรือภูเขาสูงชัน เป็นต้น ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาประยุกต์ให้กลายเป็นการรำกระบองแทน เพื่อให้ลูกหลาน ของชาวดาราอั้งได้เห็นถึงความสำคัญของกระบอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๖ บรรณานุกรม ศูนย์ประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชาวไทยภูเขา. (2558). ชนเผ่าในประเทศไทยดาราอั้ง (ปะหล่อง)。 สืบค้นจาก http://www.contothailand.org/independentfile/INDEX.ASP, 24 มีนาคม 2558. สวัสดีดอทคอม. (2558). ชนเผ่าดาราอั้ง หรือปะหล่อง. สืบค้นจาก http://www.Sawadee.co.th/ thailand/hilltribes/daraang.html, 26 มีนาคม 2558. สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2563). ดาราอั้ง. สืบค้นจาก https://art- culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/1252 อภิชาต ภัทรธรรม. (2558, 3 มิถุนายน). ชนเผ่าดาราอั้ง หรือปะหล่อง. วารสารการจัดการป่าไม้, 8(16), 80-89.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๗ ภาคผนวก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๘
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๙
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๐
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๑
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๒
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๓
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๔
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๕