สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๑๕๓ โรงเรียน สถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการประกอบไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อีกทั้งการติดต่อระหว่าง สถานศึกษาในเขตพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้กำหนดไว้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพัน บ้านเกิด โดยได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความตระหนักรู้จักท้องถิ่นของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงจัดทำ องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.สภาพทั่วไปของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน ๒.ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๓.สภาพเศรษฐกิจ ๔.สาธารณูปโภค ๕.แหล่งท่องเที่ยว ๖.แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๗.หน่วยงาน รัฐ/เอกชน และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.ชนชาติ/ชาติพันธุ์ ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕.ประเพณี/พิธีกรรม/ งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ท้องถิ่น คณะกรรมการจัดทำ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่อง องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไว้ณ โอกาสนี้และหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเอง ตามบริบทของสถานศึกษา ผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทนำ ค ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ๒ ศิลปวัฒนธรรม ๔ ภาษา/วรรณกรรม ๑๐ ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ๑๙ ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๓๑ ศาสนาและความเชื่อ ๓๙ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๕๐ ภาคผนวก 56
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 ระบุไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่ง ปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้ง ส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถใน การประกอบอาชีพ รู้จักตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภารกิจในการจัดการศึกษา นอกจากต้องจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ยังต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพของ ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตจริงของตนเองในท้องถิ่น เรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ สังคมการดำรงชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนให้มีความรัก ความผูกพัน และ มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตในสังคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุม พื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าไม้ และเป็นเขตชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวมีระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร การจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีโรงเรียนที่อยู่ใน ความรับผิดชอบจำนวน 153 โรงเรียน การคมนาคมซับซ้อน และการติดต่อระหว่างสถานศึกษาเป็นไปด้วย ความยากลำบาก เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการ ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน นักเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อศึกษาต่อและประกอบอาชีพ คนวัยทำงานมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเมืองใหญ่ เนื่องจากแรงดึง (Pull force) ในด้านค่าตอบแทน ความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ จึงได้ เล็งเห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเพณีทางสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจในตนเอง ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สามารถแสวงหาบทบาทใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาหรือ แก้ปัญหา ช่วยสร้างพลังผลักดันให้ชุมชนขับเคลื่อนไปในทางที่ดีสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมในปัจจุบัน โดยหลักสูตรท้องถิ่น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรัก ความหวงแหน และภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอน สามารถนําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก เกิดสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้จักท้องถิ่น ของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด เพื่อสำรวจ รวบรวมและจัดทำ ข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ชนชาติ/ชาติพันธุ์ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งสภาพ ปัญหาในชุมชน เพื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สถานศึกษาสามารถนำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไปจัด ประสบการณ์ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเองตามบริบทของสถานศึกษา โดยครอบคลุม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดทำองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์นี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ในด้านความหลากหลาย ของชาติพันธุ์ จำนวน 15 ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว และ เวียงแหง โดยได้รวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์จากการสำรวจชุมชนของโรงเรียนต่างๆ ในสำนักงานเขต พื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 และตัวแทนครูจากทุกโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 153 โรงเรียน ได้สังเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นหนังสือองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยโรงเรียนสามารถเลือก คัดสรร ในการนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน และการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ต่อไป คณะผู้จัดทำ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑ อิ้วเมี่ยน 0 กลอง เป็นเครื่องดนตรี ที่ใช้ประกอบ พิธีกรรมต่าง ๆ ในชนเผ่า ภาษา เมี่ยน เรียก โหย๋ อิ้วเมี่ยน ชนเผ่าเมี่ยน เป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงในเขต ภาคเหนือของประเทศหรือทั่วพื้นที่ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ แต่คน พื้นเมืองส่วนใหญ่จะรู้จัก เมี่ยน ในชื่อที่เรียกกันว่า เผ่าเย้า ซึ่งคน เมี่ยน จะไม่ค่อยชื่นชอบในชื่อเรียก เย้า สักเท่าไหร่เนื่องจากคน เมี่ยนให้ ความหมายของคำว่า เย้า หมายถึง “ ความป่าเถื่อน” คนเมี่ยนจะ เรียกตนเองอย่างสุภาพว่า อิ้วเมี่ยน ชาวเมี่ยน มีการเล่าขานว่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศจีนและ มีการอพยพโยกย้าย ของชาวเมี่ยนลงมาทางใต้ของจีน ประมาณ ศตวรรษที่ 15 -16 เข้าสู่เวียดนาม ผ่านลาว และเข้ามาทางตอนเหนือ ของประเทศไทย เข้ามาอยู่ในประเทศไทยในราว 100 ปีเศษที่ผ่านมา ทั้งหมด 12 สกุลด้วยกันและได้กระจายทั่วพื้นที่ในประเทศไทยจนถึง ปัจจุบัน ชาวเมี่ยนในบริเวณเขตบริการของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ ทั้ง ๕ อำเภอซึ่งประกอบด้วย อำเภอเวียงแหง อำเภอเชียงดาว อำเภอไชยปราการ อำเภอฝาง และ อำเภอแม่อาย แต่ที่มีชาวเมี่ยนอาศัยอยู่ มีเพียง ๓ อำเภอ อำเภอ ไชยปราการ อำเภอฝาง และอำเภอแม่อาย แหล่งที่มาของรูป Facebook : Jatenipat JKboy Ketpradit
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒ การลงพืน้ทีส่ ารวจขอ้มูล การแต่งกายชาวเมีย่น สภาพทัว่ ไปของชุมชนในอดตี 1.ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ที่ตั้งของชาติพันธุ์เมี่ยนใน สพป.ชม.3 กระจายตามพื้นที่ดังนี้ - อำเภอฝาง ได้แก่ บ้านปางควาย หมู่ ๖ ตำบลแม่งอน - อำเภอแม่อาย ได้แก่ บ้านเมืองงามใต้ย่อมบ้านสบงาม หมู่ ๑๓ ตำบลท่าตอน - อำเภอไชยปราการ ได้แก่ บ้านท่า หมู่ที่ ๒ ตำบลปงตำ การตั้งถิ่นฐาน ชาวเมี่ยน มีการเล่าขานว่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศจีนและมีการอพยพโยกย้าย ของชาว เมี่ยนลงมาทางใต้ของจีน ประมาณศตวรรษที่ 15 -16 เข้าสู่เวียดนาม ผ่านลาว และเข้ามาทาง ตอนเหนือของประเทศไทย เข้ามาอยู่ในประเทศไทยในราว 100 ปีเศษที่ผ่านมาทั้งหมด 12 สกุล ด้วยกันและได้กระจายทั่วพื้นที่ในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ชาวเมี่ยนมีการเดินทางตั้งหลักถิ่นฐานไปในที่ต่าง ๆ ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่เขต ๓ โดยชาวเมี่ยนในอำเภอฝาง หมู่บ้านปางควาย ตำบลแม่งอน ได้อพยพมาจาก ประเทศจีน ผ่านประเทศลาว ข้ามแม่น้ำโขงมา ผ่าน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขึ้นไปยังเขตชายแดน ไทยพม่า ตรงกันข้ามบ้านหลวงปัจจุบัน และเคยอยู่บ้านหลวงอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาแยกย้ายกัน ลงมาที่หย่อมบ้านห้วยขาน บ้านหนอง และบ้านแม่งอนน้อย มีส่วนหนึ่งได้อพยพกลับไปจังหวัด เชียงราย ได้แก่ บ้านห้วยชมพู บ้านผาลั้ง ห้วยแม่ซ้าย อ.แม่จัน จะสังเกตได้จากชาวเมี่ยน กลุ่ม เชียงราย เชียงใหม่ มีลักษณะการโพกหัวที่เป็นเหลี่ยมแหลม ส่วนชาวเมี่ยนกลุ่มพะเยา น่าน โพกหัวกลม กลุ่มชาวเมี่ยน เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านหนอง บ้านห้วยขานและบ้านแม่งอนน้อย (บ้านถ้ำ) เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ - ๒๕๑๓ กลุ่มชาวเมี่ยนบ้านแม่งอนน้อยย้ายถิ่นฐานลงมา พื้นที่ราบบ้านปางควายก่อนชาวเมี่ยนกลุ่มห้วยขานและบ้านหนอง กลุ่มชาวเมี่ยนบ้านแม่งอน น้อยส่วนใหญ่อาศัยอยู่บ้านหล่ายห้วย เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ - ๒๕๑๕ หน่วยงานรัฐบาล มีนโยบายให้กลุ่มชาวเมี่ยนบ้านห้วยขานและบ้านหนอง ย้ายลงมาอยู่รวมกับกลุ่มแม่งอนเป็น หมู่บ้านเดียวกันทั้งหมด ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓ ชาวเมี่ยนในอำเภอแม่อาย บ้านเมืองงามใต้ย่อมบ้านสบงาม หมู่ ๑๓ ตำบลท่าตอน เป็นย่อมบ้านเล็ก ๆ ที่โยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานตามครอบครัวและตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการเกษตรหา เลี้ยงตนเอง ชาวเมี่ยนในอำเภอแม่อาย บ้านเมืองงามใต้ย่อมบ้านสบงาม ทั้งหมดย้ายถิ่นฐานลง มาจาก บ้านห้วยชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ส่วนชาวเมี่ยน บ้านท่า ตำบลปงตำ อำเภอไชยปราการ มีการโยกย้ายถิ่นฐานมาเพียงหลักคา เดียวเนื่องจากเป็นการย้ายถิ่นฐานตามคู่สมรส
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔ บรรยากาศงานแตง่ ชาวเมีย่น การแลกเปลีย่นวฒันธรรมของชาวเมีย่น การแต่งกายของผูช้ายเมีย่น 2.ศิลปวัฒนธรรม การแต่งกาย - ชาย ชาวเมี่ยนชายจะสวมเสื้อตัวสั้นหลวม คอกลม ชิ้นหน้าห่ออกไปติดกระดุมลูกตุ้มเงิน 8-10 เม็ด เป็นแถวทางด้านขวา กางเกงขาก๊วย ตัดเย็บผ้าทอมือย้อมครามสีน้ำเงินหรือดำจะมีลายปักและกระเป๋าติดอยู่ ด้านหน้า - หญิง ชาวเมี่ยนหญิง เครื่องแต่งกายประกอบด้วยนุ่งกางเกงขาก๊วย เป็นผ้าสีดำปักลวดลายด้านหน้า ผ้าคาดเอว ผ้าโผกศีรษะ เสื้อคลุมแขนยาว ด้านหลังเป็นผ้าตรงชิ้นเดียว ด้านหน้าเป็นผ้า 2 ชิ้น มีไหมพรมสี แดงเป็นพวงที่สาบเสื้อ อาหาร ชาวเมี่ยนนิยมกินข้าวเจ้า (ข้าวสวย) ใส่ถ้วยพร้อมตะเกียบ ส่วนกับข้าวนิยมกินอาหารที่ปรุงสุกแล้ว ส่วนมากมีรสเค็มด้วยเกลือ อาหารส่วนมากของเมี่ยนมาจากการหามาโดยตนเองเป็นส่วนใหญ่ เช่น มาจาก การเพาะปลูก หรือหามาจากธรรมชาติตามป่าเขา อาทิเช่น แตงกวาดอยมีลักษณะลูกใหญ่ นำมาต้ม ยำ ตำ วิธีการประกอบอาหารมีหลากหลายวิธี ต้ม ยำ นึ่ง ปิ้ง ย่าง อาหารที่เป็นเมนูหลักที่ทำบ่อยเมื่อมีพิธีกรรมคือ ต้มไก่ใส่ฟักใส่วุ้นเส้น การห่อ/มัดขนมจากข้าว และข้าวปุก ศิลปวัฒนธรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕ 1. แหล่งอาหารที่ผลิตเอง แหล่งอาหารที่ผลิตเอง ส่วนมากเป็นอาหารมาจากการเพาะปลูก มักจะเป็นอาหารหลัก ข้าวและผัก ชนิดต่าง ๆ โดยจะปลูกผสมลงในไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ทานตะวัน งาดำ งาขาว พริก มะเขือ มะเขือเทศ น้ำเต้า ฟักทอง ถั่วชนิดต่าง ๆ ผักกาด กระเทียม เผือก มันเทศ ขิง ข่า หอม แตงกวาต่าง ๆ ฯลฯ 2. แหล่งอาหารที่ได้จากธรรมชาติ ส่วนมากจะเป็นอาหารที่มาจากป่า สามารถหาได้ทุกฤดูกาลและตลอดปี แต่ละฤดูกาลชนิด และ ประเภทของอาหารก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับธรรมชาติและพื้นที่แต่ละที่ด้วย อาหาร จากธรรมชาติส่วนใหญ่มักจะเป็น เช่น เห็ดชนิดต่าง ๆ หน่อไม้ หวาย ปลีกล้วยป่า ผักขม ชะอม ลูกต๋าว กระท้อน มะเขือพวง ลูกก่อ ผักหวาน ฯลฯ อาหารประเภทโปรตีนได้แก่ หมูป่า ไก่ป่า อี่เก้ง นก กระต่าย แลน กระรอก เม่น ลิ้น ฯลฯ อาหารที่ได้จากแหล่งน้ำ ได้แก่ ปลาชิดต่าง ๆ ปู หอย กุ้ง เต่า ผักกูด ผักบุ้ง กบ เขียด ลูกอ๊อด ฯลฯ 3. แหล่งอาหารจากภายในชุมชน ปัจจุบันในแต่ละหมู่บ้านส่วนใหญ่มีถนนตัดผ่าน การคมนาคมระหว่างชุมชนสะดวกสบาย วัฒนธรรม การบริโภคใหม่ ๆ เข้ามา มีการค้าขายระหว่างหมู่บ้านมากขึ้น ชนิดอาหารจากภายนอกได้เข้ามา เช่น อาหาร ประเภทปรุงรส ได้แก่ น้ำปลา น้ำตาล กะปิ ผงชูรส เกลือ อาหารสำเร็จรูป อาหารต่าง ๆ ผักและเนื้อบางอย่าง ตามแต่ละชุมชนสะดวก การประกอบอาหาร 1. การต้มหุง โดยทั่วไปแล้วเมี่ยนจะหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ในแต่ละบ้านของเมี่ยนจะหุงข้าวครั้งละมาก ๆ หม้อโต ๆ เพราะนอกจากจะรับประทานเฉพาะมื้อแล้ว ยังสามารถห่อไปกินในไร่ และเหลือไว้ให้เด็ก ๆ กินตลอดทั้งวัน ด้วย การหุงข้าวของเมี่ยนนั้นเริ่มด้วยการเอาข้าวใส่หมอล้างน้ำ 1-2 รอบ แล้วนำไปตั้งกับไฟ ไม่นานนักน้ำก็จะ เดือดทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่ง เมื่อตักมาบีบดูพอเห็นว่าสุก แล้วจะรินน้ำข้าวที่เหลือออกพอประมาณ แล้วนำหม้อ ข้าวมาวางบนไฟชั่วครู่ แล้วยกลงมาวางไว้หน้าเตาไฟที่เกลี่ยถ่านร้อน ๆ ออกมาลาดไว้ก่อนนั้น ทั้งนี้เพื่อให้ข้าว สุกดี อาจใช้ไม้คนข้าวบ้าง ก็เป็นอันเสร็จ 2. การปรุงอาหาร อาหารของเมี่ยนมักจะปรุงแบบง่าย ๆ เริ่มจากการตั้งกระทะบนไฟ แล้วใส่น้ำมันหมูพอสมควรตาม ความจำเป็น ตามอาหารแต่ละชนิด เมื่อร้อนได้เต็มที่แล้วก็เติมน้ำลงไป ใส่เกลือ ตั้งไว้พักหนึ่ง 5-10 นาทีใส่ผัก หลังจากสุกก็ยกลงวางไว้บนหิ้งข้างฝา ซึ่งนิยมทำเป็นที่รองเป็นขดกลม ๆ ด้วยฟางข้าวบางทีก็ว่าไว้บนเตา ผักที่ ใช้ปรุงอาหารจะต้องได้การล้างก่อนนำมาลงกระทะ ใช้มือบิดให้ขาดเป็นท่อน ๆ เมี่ยนจะไม่นิยมนำมีดมาหั่น ยกเว้นพืชผักบางชนิด เช่น มะเขือ แตงกวา ฟักทอง มะระ ซึ่งเป็นพืชที่นิยมมาก นำมาหั่นจนฝอย แล้วผัดกับ น้ำมัน เมี่ยนจะนิยมรับประทานอาหารที่สุกแล้วเป็นส่วนมาก ยกเว้นเพียงแต่อาหารประเภทลู่ ซึ่งจะ ประกอบด้วยเลือดสด ๆ ใช้เครื่องเทศต่างประกอบ ชึ่งจะหาได้จากในป่านำมาสับให้ละเอียด แล้วนำลงกวนกับ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖ เนื้อซึ่งสับแล้วในเลือด รอจนกว่าเลือดจับกันเป็นก้อน อาหารลู่นี้จะนิยมทานเฉพาะผู้ชายเมี่ยนวัยกลาง ขึ้นไป เท่านั้น คนหนุ่มและเด็กไม่ค่อยนิยมกินลู่ที่มีเลือดเช่นนี้ เชื่อกันว่าจะสร้างเลือดที่ไม่ดีในร่างกาย อาหารโดยทั่วไปของเมี่ยนมักจะมีรสเค็มเป็นส่วนมากเท่านั้น รสเปรี้ยว หวาน และเผ็ดนั้นมีเป็นส่วน น้อยมาก ถึงแม้ว่าเมี่ยนจะนิยมกินอาหารเผ็ด แต่ก็ไม่นิยมปรุงอาหารให้มีรสเผ็ด ไม่มีการแกงโดยใช้เครื่องแกง แบบพื้นราบ เครื่องปรุงต่าง ๆ นิยมซื้อจากตลาดในพื้นราบ เช่น เกลือ เมี่ยนจะนิยมซื้อเกลือครั้งละมาก ๆ อาจจะเป็นกระสอบ นอกจากซื้อทีเดียวแล้วยังแบ่งปันกันได้ด้วย น้ำปลา น้ำตาลทราย ผงชูรส โดยปกติทั่วไป เมี่ยนยังไม่นิยมใช้น้ำปลาเท่าใดนัก อาหารที่ปรุงให้สุกใช้เกลือเพียงอย่างเดียว พวกนี้ถ้าจะมีก็ใช้เฉพาะทำน้ำจิ้ม เท่านั้น เตาทำอาหาร โดยทั่วไปแล้วอาหารจะได้รับการตระเตรียมในครัว ซึ่งเป็นงานของผู้หญิง เมี่ยนจะมีเตาไฟอยู่ 2 ประเภท คือ เตาไฟแบบก่อด้วยดินเป็นแท่ง ภายในจะว่างมีประตู 2 ด้าน สำหรับใส่ฟืนด้านบนเจาะเป็นที่ตั้ง หม้อซึ่งนิยมทำไว้ 2 ที่ ขนาดใหญ่และอย่างละที่ นอกจากเตาแบบนี้แล้ว บางบ้านอาจจะมีเตาสามขา คือใช้ ก้อนหิน 3 ก้อนวางเป็น 3 มุม หรือใช้สามขาที่ทำด้วยเหล็ก และยังมีเตาไฟสำหรับต้มอาหารเลี้ยงหมู ทำเป็น เตาขนาดใหญ่สำหรับวางกระทะใบใหญ่ มีลักษณะกลม นอกจากต้มอาหารให้หมูแล้ว ยังใช้สำหรับต้มน้ำ เพื่อใช้ในการลวกขนหมูออก หลังจากที่ฆ่าหมู หรือใช้ต้มน้ำเพื่อให้คนป่วยอาบ แล้วใช้นึ่งขนมด้วย (ยั้วเจี๊ยะ ยั้ว ด้าว) ของเมี่ยนนั้นเอง ซึ่งเป็นขนมในงานพิธีกรรม นอกจากพวกนี้แล้ว ยังใช้ต้มกลั่นสุราได้ด้วย เตาอีกเตาหนึ่ง อยู่หน้ายกพื้นสำหรับรับรองแขก (พ่าง) ความจริงลักษณะเป็นกองไฟมากกว่าเตาไฟ แต่บางบ้านใช้เตาสามขา วางครอบกองไฟนี้ด้วย เพื่อใช้ต้มน้ำร้อนหรือน้ำชาสำหรับดื่ม เมี่ยนจะชอบนั่งล้อมรอบกองไฟนี้ แล้ว แลกเปลี่ยนกันสูบบ้องยาน้ำ ตามภาษาของผู้เฒ่าผู้แก่ และเมี่ยนเชื่อกันว่ามีวิญญาณตนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เตาไฟด้วย การรดน้ำลงบนเตาไฟถือเป็นข้อห้ามอย่าง หนึ่งทางจารีตประเพณีของเมี่ยนเลยที เดียว การนั่งหันเท้าไปสู่เตาไฟ และการนั่งผิงไฟโดยหันก้นให้กับเตาไฟ จะกระทำไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้หญิงมีครรภ์ จะต้องไม่เดินผ่านปากเตาไฟในระยะใกล้ ๆ โดยเมี่ยนเชื่อว่า ข้อห้าม เหล่านี้ถ้าได้รับการละเมิด วิญญาณเตาไฟจะทำร้ายผู้อาศัย โดยจะทำให้เกิดมีแบดแผล หรือมีแผลผุพอง มีการเจ็บป่วยเหมือนถูกไฟไหม้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗ อุปกรณ์ในการประกอบอาหาร 1. หม้อข้าว (แชง) ปัจจุบันนิยมใช้หม้ออลูมิเนียมที่ซื้อจากตลาด มีทั้งหม้อข้าวที่มีหูและไม่มีหู ในสมัยก่อนใช้หม้อเหล็ก ลักษณะคล้ายกับบาตรของพระสงฆ์แต่มีหูไว้สำหรับยก ในปัจจุบันบางบ้านเมี่ยนยังคง มีหม้อข้าวชนิดนี้เก็บไว้อยู่เหมือนกัน 2. กระทะ (แชง เบี้ยน) ใช้ในการปรุงอาหารประเภทผัด แกงจะนิยมใช้หม้อ แต่ละบ้านของเมี่ยนนั้น จะมีกระทะหลายใบ 3. ตะหลิว มีใช้กันบ้างแต่ไม่ค่อยนิยม เมี่ยนมักจะใช้ขันที่ตักข้าว หรือใช้ไม้ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพาย เล็ก ๆ ที่ใช้คนข้าวแทนตระหลิวเอา 4. ไม้คนข้าว (ฮ่างเจ้ย) นิยมทำด้วยไม้เนื้ออ่อน หรือไม้ไผ่ที่มีลักษณะคล้ายที่พายเรือ มีขนาดเล็ก การหุงข้าวที่ไม่ใช้ไม้คนข้าว ข้าวจะไม่ระอุดี เพราะเมี่ยนจะหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ 5. ตะเกียบ (เจี่ยว) เมี่ยนนิยมใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร ซึ่งจะเหลาจากไม้ไผ่ จะย้อม ตะเกียบให้เป็นสีแดง เพราะถ้านำมาใช้ในงานพิธีต่าง ๆ จะถือว่าเป็นสิริมงคล เช่น งานแต่งงาน และการย้อมสี ตะเกียบนี้ เพื่อเป็นการรักษาให้ตะเกียบใช้งานได้นานด้วย ตะเกียบจะไม่ขึ้นรา โดยปกติจะเก็บตะเกียบกับไม้ คนข้าวไว้ในกระบอกไม้ไผ่ที่ติดอยู่กับชั้นวางอุปกรณ์ต่าง ๆ การถนอมอาหาร เมี่ยนจะนิยมประเภทเนื้อสัตว์สำหรับรับประทานในระยะเวลายาวโดยเฉพาะการเก็บเนื้อหมูวิธีต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น 1. การแขวนเนื้อหมูไว้ใต้เพดานหิ้งในครัว ปล่อยให้รมควันไฟจนส่วนนอกมีสีดำคล้ายติดเขม่าไฟ จะ สามารถเก็บเนื้อไว้ได้นาน เมื่อจะรับประทานก็แล่เนื้อด้านนอกทิ้ง เนื้อด้านในสภาพจะยังคงเหมือนเดิมอยู่ 2. อ๊อซุย คือเนื้อหมู่ที่นำมาดองจนเปรี้ยว โดยจะเอาเนื้อหมูมาหันเป็นชิ้น ๆ เรียงใส่ในไห และโรย เกลือให้ทั่วจนเต็มไห แล้วปิดปากไหให้แน่น หากปาดเอาหนังหมูมาสับ และเอาข้าวสุกมาใส่จะทำให้เนื้อมี รสชาติเปรี้ยวเร็วขึ้น และสามารถเก็บไว้ได้นาน 3. อ๊อบ้วนซุย เนื้อดอง จะหันเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาข้าวสารแช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง แล้วนำมาตำให้ ละเอียดจนเป็นข้าวผง เอามาคลุกกับเนื้อแล้วใส่น้ำเล็กน้อย จะสามารถเก็บไว้รับประทานได้ยาวนานเป็นปี โดยเอาใส่ไหไว้ 4. อิ๊บอ๊อซุย คือ เอาเนื้อมาทอดให้น้ำมันออก เมื่อสุกแล้วตักมาไว้ให้เย็นก่อน แล้วเอามาใส่ไหปิดให้ มิดชิด 5. หน่อไม้ดอง (แบ่ซุย) ใช้หน่อไม้มาดองกับเกลือ ดองได้ทั้งหน่อหรือที่ซอยแล้วก็ได้ หน่อไม้ 1 ไห ต่อ เกลือ 1/2 กิโลกรัมใส่ไหเติมน้ำแล้วปิดฝา 6. ผัก กาดดอง (ไร่ซุย) จะเอาผักกาดมาหันฝอย แล้วเอาน้ำข้าวร้อน ๆ ใส่ดองไว้ประมาณ 4-5 วัน หรือจนกว่าผักจะเปรี้ยว แต่ถ้าดองมาก ๆ ก็จะใส่น้ำข้าวปนข้าวสุขไปด้วย 7. แคบหมู (อ๊อฟ้าว) เมื่อฆ่าหมู เมี่ยนจะเลาะเอาไขมันที่ติดกับหนังหมูมาทอดในกระทะขนาดใหญ่ เพื่อให้น้ำมันออกจนหมด ก็จะได้แคบหมู การเก็บนั้นจะต้องเก็บรวมกับน้ำมันในไหน้ำมันด้วย อาจจะเพิ่มเนื้อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘ แดงที่ทอดสุกมาเก็บไว้รวมกันก็ได้ เมื่อถึงเวลารับประทานก็จะตักออกมาอุ่นให้น้ำมันออก แล้วนำมาประกอบ อาหารต่อ ข้าวซ้อมมือ ข้าวที่เมี่ยนหุงรับประทานประจำวันเป็นข้าวซ้อมมือ การตำข้าวจะเป็นครกกระเดื่อง เกือบทุกหลังคา เรือนจะมีครกกระเดื่องภายในบ้าน และถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อขวัญเด็ก ขวัญของเด็กทารกในครรภ์มารดา ในช่วงเดือนที่สามและเก้า จะอยู่ที่ครกกระเดื่อง จึงมีข้อพึงสังวรในเรื่องการเอามีดฟันไม้ครกกระเดื่อง โดยปกติเป็นงานของแม่บ้านหรือหญิงสาวในบ้านจะต้องเตรียมข้าวสารสำหรับหุง รับประทาน เมี่ยน จะไม่นิยมตำข้าวไว้รับประทานหลาย ๆ มื้อ จะตำเพื่อหุงเฉพาะมื้อเท่านั้น หลังจากที่เสร็จงานบ้านที่เกี่ยวกับ การเตรียมอาหาร และบริการสมาชิกในครอบครัวแล้ว แม่บ้านหรือหญิงสาวในบ้านก็จะตำข้าวต่อ บางบ้านจะ นิยมตำข้าวในตอนเช้าตรู่ คือ เมื่อก่อไฟตั้งหม้อข้าวแล้ว ผู้หญิงจะตำข้าวและเสียงตำข้าวนี้ก็จะช่วยปลุกให้ผู้อื่น ตื่นด้วย ข้าวซ้อมมือหรือข้าวตำด้วยครกกระเดื่อง จะเป็นที่นิยมเพราะว่ามีวิตามินสูง อร่อย การตำเช่นนี้จะทำ ให้สารอาหารยังคงอยู่ สารอาหารไม่ค่อยถูกขัดออกมาก เมี่ยนจึงชอบตำข้าวด้วยครกกระเดื่องนั่นเอง ชนิดของครกกระเดื่อง ครกกระเดื่องของเมี่ยนจะมี 2 ประเภท คือ ครกกระเดื่องแรงคน เรียกว่า ตาบต๋อย กับ ครกกระเดื่อง แรงน้ำ เรียกว่า อวม ต๋อย ประเภทนี้จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ส่วนมากจะมีเฉพาะในหมู่บ้านที่มีแม่น้ำลำธารเท่านั้น เมี่ยนจะไม่ตำข้าวในช่วงตอนวันมากนัก เพราะถ้าตำข้าวในช่วงตอนกลางวันนั้นจะมีไก่มารบกวน ข้าวที่ตำด้วย ครกกระเดื่องนี้จะมีสีข้าวไม่ขาวจัดเหมือนเอาเข้าไปในโรงสี ข้าว มีรำเมล็ดข้าวที่เปลือกแตกปะปนอยู่ด้วย ต้องเอามาฝัดด้วยกระด้ง ก็จะทำได้รำข้าวสำหรับเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูด้วยตาม ๆ กันไปนั้นเอง แต่ปัจจุบันนี้ใน ชุมชนเมี่ยนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้กันแล้ว เพราะว่ามีโรงสีข้าวข้าว เพราะว่าโรงสีข้าวนี้จะช่วยให้สะดวกสบาย มากขึ้น และยังไม่ต้องใช้แรงงานมากอย่างการตำด้วยครกกระเดื่องนั้นเอง อาหารสำหรับบุคคลในวัยต่างๆ 1. อาหารสำหรับสตรีมีครรภ์และหลังคลอด อาหารสำหรับสตรีมีครรภ์โดยทั่วไปจะไม่มีรูปแบบพิเศษ จะเป็นแค่อาหารธรรมดาที่บริโภค ทั่วไปในชีวิตประจำ เมี่ยนจะให้สตรีมีครรภ์บริโภค เนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ พริก และผักเขียวต่าง ๆ แต่มีข้อห้าม บางอย่างอยู่ คือ เมี่ยนจะห้ามบริโภคสัตว์ป่าต่างๆ และผลไม้ทุกชนิดที่เป็นแฝดติดกัน เมี่ยนจะให้ความสำคัญ กับสตรีมีครรภ์หลังคลอดมาก จะต้องบริโภคข้าวหมากต้มไก่ใส่สมุนไพรเป็นอาหารหลัก จะไม่สามารถ รับประทานอาหารจำพวกมะเขือต่าง ๆ ฟักทอง ยอดฟักทอง แตงกวา ฟักเขียว ปลีกล้วย กล้วยสุก มะละกอ สุก กะหล่ำปลี ฝรั่ง ปลา จำพวกนี้จะรับประทานไม่ได้โดยเด็ดขาดเลย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๙ 2. อาหารสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก อาหารสำคัญสำหรับเด็กแรกเกิดเด็กหรือวัยทารก นมแม่ เด็กทารกจะได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดกับแม่ตลอดเวลา เด็กวัยทารกจะเริ่มได้รับอาหารเสริมที่ไม่ใช่นมแม่ตั้งแต่มีอายุ ประมาณ 3-5 เดือนเป็นต้นไป อาหารเสริมสำหรับเด็กทารก ได้แก่ กล้วยบด ไข่ต้ม ต้มจืด โจ๊กหมู โจ๊กไก่ ข้าว ผสมน้ำครุก หรือน้ำตาล หรือเกลือ ข้าวบดกับกล้วย นอกจากนี้แล้วยังมีข้อห้ามเรื่องอาหารสำหรับเด็กวัยทารก เช่น ห้ามบริโภคเสือ แมวป่า เหยี่ยว และผึ้ง เพราะเชื่อว่าถ้าให้เด็กบริโภคแล้วจะทำให้เด็กเล็กมีอาการชัก 3. อาหารสำหรับผู้สูงอายุหรือคนชรา สำหรับผู้สูงอายุหรือคนชรานั้นจะบริโภคอาหารตามปกติที่มีอยู่ในชีวิต ประจำวัน จะไม่มี รูปแบบอาหารพิเศษเฉพาะกลุ่ม จะเป็นอาหารธรรมดา เช่น ต้มจืดผักต่าง ๆ ต้มเนื้อ เป็นต้น โดยปกติแล้ว ผู้สูงอายุจะไม่บริโภคอาหารที่มีรสจัด ไม่เผ็ดมากเกินไป และควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย นุ่ม ไม่แข็งมาก และใน จารีตประเพณีเมี่ยนนั้นจะให้เกียรติผู้สูงอายุ จะต้องตักอาหารเสิร์ฟให้ผู้สูงอายุก่อนคนอื่น ถ้าจำเป็นต้อง รับประทานก่อน จะต้องตักแบ่งอาหารเก็บไว้ให้ผู้สูงอายุ 4. อาหารสำหรับกลุ่มผู้ป่วย อาหารสำหรับกลุ่มผู้ป่วยนั้นมีหลักเกณฑ์พิจารณาว่า อาหารสำหรับผู้ป่วยควรย่อยง่าย ส่วน ใหญ่จะเป็นอาหารที่มีรสจืด เช่น ต้มผัก ปิ้งเนื้อคลุกเกลือ ไข่ลวกหรือไข่ต้ม ข้าวต้มปรุงรสด้วยเกลือ แกงเนื้อ หมูต้มเปื่อย และจะมีข้อห้ามบางอย่าง เช่น ถ้าเป็นโรคเหน็บชา จะห้ามไม่ให้รับประทานอาหารประเภทดอง ถ้าป่วยเป็นผิวหนังก็จะไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อ ถ้าเป็นหวัดจะไม่รับประทานอาหารประเภทที่มีรส หวาน ถ้าบาดเจ็บเป็นแผลแขนขาหักจะไม่รับประทานอาหารประเภท ไก่ ปลา กบ ปู เป็นต้น เพราะอาหาร เหล่านี้จะทำให้หายช้า 5. อาหารสำหรับในงานโอกาสต่างๆ อาหารสำหรับในงานพิธีหรือเทศกาลต่าง ๆ นั้น จะหรูหรากว่าปกติ การเตรียมอาหารก็จะ เป็นผู้หญิง อาหารที่ใช้ในพิธีกรรมหรืองานเทศกาลจะใช้หมู หรือไก่เป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ทำพิธีกรรมเสร็จ ก็จะนำมาประกอบอาหารใช้เลี้ยงแขก หรือเพื่อนบ้านที่มาร่วมงานนั้นเอง ในเทศกาลนี้อาจจะมีอาหารหลาย อย่างจากข้างนอกก็ได้ เช่น ซื้ออาหารจากตลาดใหญ่ในเมืองมาเป็นเครื่องประกอบด้วย ตามแต่ละบ้านที่พร้อม และมีเงินนั้นเอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๐ สมุดบนัทกึของเทีย่น การเขยีนตวัอกัษรของเมีย่น ภาพการลงพืน้ทีจ่รงิ 3.ภาษา/วรรณกรรม คำว่า " เย้า" ไม่มีในภาษาของเผ่า " เมี่ยน" เนื่องจากเป็นคำเรียกที่กำหนดโดยทางราชการ ซึ่งไม่เคยมี ใครทราบที่มาอย่างแน่ชัด คำว่า " เมี่ยน" แปลว่า " คน" หรือ " มนุษย์" ภาษาเมี่ยนจัดอยู่ในกลุ่มภาษา จีน- ธิ เบต ด้วยเหตุนี้ชาวเมี่ยนระดับอาวุโสจึงมักจะพูดภาษาจีนกลางได้ อ่านและเขียนภาษาจีนได้ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งผู้ที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ จะอ่านและเขียนตัวอักษรจีนได้อย่างวิจิตรไม่แพ้ชาวจีนที่มีการศึกษา หากกล่าวถึงภาษาพูดของเมี่ยนแล้ว จะเป็นคำโดด สามารถผันวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง ๕ ระดับเสียง เวลาทำ พิธีกรรมก็จะใช้ภาษาจีนโบราณ แต่อ่านออกเสียงเป็นภาษาเมี่ยน ปัจจุบันนี้มีบางส่วนใช้อักษรโรมัน หรือ ภาษาไทย เนื่องจากอิทธิพลของมิชชั่นนารีที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวเขา - ภาษาที่มีตัวเขียน ชาวอิ้วเมี่ยนได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาว่านับตั้งแต่สมัยก่อตั้งชุมชนอิ้วเมี่ยนครั้งแรกที่ภูเขาหุ้ยจี้ ซาน เมืองหูหนาน บริเวณภาคกลางของประเทศจีน บรรพบุรุษของชาวอิ้วเมี่ยนได้ประดิษฐ์อักษรเขียนเป็น ของตนเองแต่เป็นเพราะไฟสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคสมัยนั้นได้ทำลายล้างตำราและองค์ความรู้ดั้งเดิม มากมาย ประกอบกับชาวอิ้วเมี่ยนต้องสาละวนกับการอพยพหนีภัยสงครามลงมาทางใต้ จึงไม่มีโอกาสถ่ายทอด ความรู้แก่คนรุ่นหลังได้อีก อย่างไรก็ตาม การมีตัวอักษรเขียนโบราณของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกัน มาในลักษณะตำนาน โดยปราศจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ แต่เป็นที่แน่ชัดว่า ในยุคหลังที่ ชาวอิ้วเมี่ยนได้อพยพมาอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน พวกเขาได้สร้างตัวอักษรเขียนของตนเอง โดยดัดแปลง จากตัวอักษรจีนในภาษาฮั่น เพื่อนำมาใช้เป็นภาษาเขียนใหม่ของตัวเองที่มีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือ มีรูปแบบ การเขียนแบบ “ถู้สูจื้อ” (ตัวหนังสือสามัญของท้องถิ่น) ของชาวอิ้วเมี่ยน และรูปเขียนตัวหนังสือฮั่นในอักษรฮั่น ซึ่งเป็นตัวเดียวกัน แต่ในอักษรเมี่ยนจะเขียนคนละอย่างกัน แต่อักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ก็มีจำนวนไม่มากเพียง พอที่จะใช้เขียนข้อความให้สมบูรณ์ได้ จึงต้องใช้ปนกับตัวหนังสือฮั่น สำหรับหลักการออกเสียง คือ ถ้าเป็น คำศัพท์ในภาษาเมี่ยนจะอ่านเป็นสำเนียงชาวอิ้วเมี่ยน แต่ในบางคำศัพท์นั้น ถ้าเป็นคำศัพท์ที่ใช้ตัวหนังสือ เขียนตัวเดียวกันในภาษาฮั่นจะอ่านเป็นสำเนียงภาษาย่อยชนิดหนึ่งของภาษาถิ่นกวางตุ้ง ภาษาเขียนดังกล่าว ถูกใช้ในหนังสือคัมภีร์ทางศาสนา หนังสือคัดเพลง หนังสือลำดับญาติวงศ์ต่าง ๆ ของชาวอิ้วเมี่ยน ภาษา/วรรณกรรม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๑ ชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นเก่าให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ลูกชายเรียนภาษาจีนเป็นอย่างมาก เพราะ ตัวอักษรเมี่ยนเป็นตัวอักษรจีนโบราณที่ใช้บันทึกตำราทางศาสนา และพิธีกรรมต่าง ๆ ลูกชายจึงจำเป็นต้องรู้ หนังสือเพื่อเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว โดยเรียนการอ่านและเขียนจากบิดา หรือ ครูภาษาจีนประจำหมู่บ้าน หรือคนในหมู่บ้านเปิดสอน ส่วนลูกสาวไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนภาษาจีน แม้กระทั่ง ในบริบทของยุคสงครามเย็นที่การเรียนการสอนภาษาจีนถูกรัฐบาลไทยเพ่งเล็งว่าอาจมีส่วนสัมพันธ์กับ การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนก็ยังให้ส่งเสริมการสอนภาษาจีนแก่ลูกหลานอย่างไม่ ลดละ แม้จะประสบความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ชาวบ้านได้แอบสร้างโรงเรียนสอนภาษาจีนที่มีการเรียน การสอนทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยสร้างเป็นกระต๊อบในบริเวณป่าลึกที่หลบเข้าไปในลำห้วยกลาง หมู่บ้าน เพื่อทางราชการจะไม่สามารถเห็นได้ การที่ชาวอิ้วเมี่ยนใช้ตัวอักษรเขียนภาษาจีนกวางตุ้งมาดัดแปลงเป็นภาษาของตนเองทำให้มีการจด บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมและสืบทอดประวัติศาสตร์ของตนเองให้ลูกหลานได้ยาวนานอีกทั้งยังกลายเป็น ทุนทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่งในการค้าขายเพราะว่าสามารถใช้ตัวหนังสือในการจดบันทึกรายละเอียดของ ลูกค้าและการคิดคำนวณในระบบบัญชี ที่มากไปกว่านั้น คือ ระบบความคิดและอุดมการณ์เกี่ยวกับการดำเนิน ชีวิตและการค้าของชาวจีนกวางตุ้งยังถูกซึมซัมพร้อม ๆ กับการยืมตัวหนังสือเขียนของจีนกวางตุ้งด้วย กล่าวคือ วัฒนธรรมความเชื่อที่ได้รับจากชาวจีนกวางตุ้งและระบบจักรวาลวิทยาของอิ้วเมี่ยน ทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนต้อง ขยันขันแข็งทำมาหากินเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แสวงหาความร่ำรวยเพื่อความสุขและชื่อเสียงบารมีสำหรับ ตนเองในโลกนี้ อีกทั้งยังเป็นการสะสมผลบุญสำหรับชีวิตภายหลังจากการตายแล้ว โดยมีเงินเป็นปัจจัยหลักใน การที่จะบรรลุถึงสิ่งเหล่านี้ความรู้ทางภาษาจีนจึงเป็นหนึ่งในทุนทางสังคมที่สำคัญที่ส่งเสริมให้ชาวอิ้วเมี่ยน สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดได้เป็นอย่างดี ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพค้าขายใน เมืองในขณะที่บางส่วนสามารถใช้ความรู้ทางภาษาจีนในการประกอบอาชีพเป็นล่ามภาษาจีนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มของครอบครัวที่เป็นลูกครึ่งจีน-อิ้วเมี่ยน อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายว่า ชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นใหม่ในประเทศไทยที่รู้ตัวภาษาเขียนของอิ้วเมี่ยนมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้อาวุโส โดยเฉพาะหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ยังคงสามารถอ่านภาษาเขียนนี้ได้ ภาพที่ ๑ ภาษาอิ๊วเมี่ยนแบบอักษรจีนซึ่งยังใช้กันอยู่ ที่มา : https://bit.ly/3I4LtON
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๒ ภาพที่ ๒ ภาษาที่ใช้เทียบตัวอักษรอิ๊วเมี่ยนแบบใหม่ซึ่งนิยมใช้กันในปัจจุบัน ที่มา : https://bit.ly/3lDZbQN ภาษาพูด ภาษาพูดของชาวอิ้วเมี่ยนมีทั้งหมด 4 ภาษา คือ ภาษาเมี่ยน ภาษาเหมียว (ม้ง) ภาษาจ้าง (ต้ง) และ ภาษาจีนแมนดาริน โดยภายใต้กลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนยังประกอบด้วยสี่กลุ่มภาษาย่อยอีก คือ เมี่ยน มัน บะเยา มิน และเยามิน ซึ่งในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ย่อยที่รัฐบาลจีนรวมไว้ภายใต้ชนชาติเย้านั้น กลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนกับ ภาษามันเป็นสองกลุ่มหลักในสี่กลุ่มภาษาย่อย โดยประกอบด้วยประชากรประมาณร้อยละ 80 – 85 ของทั้งสี่ กลุ่มย่อยที่พูดภาษาเมี่ยน โดยในประเทศไทยนั้นพบกลุ่มที่พูดภาษาเมี่ยนเป็นหลัก ซึ่งเรียกตนเองว่าเมี่ยนหรือ อิ้วเมี่ยน ส่วนกลุ่มที่พูดภาษามันเป็นกลุ่มที่รู้จักกันในชื่อมันและแลนแตนในประเทศลาวและเวียดนาม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๓ - วรรณกรรมพื้นบ้าน นิทานของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน : เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนจำแนกประเภทของนิทานพื้นบ้าน อิ้วเมี่ยนตามสาระเนื้อเรื่องของนิทานได้ ดังต่อไปนี้ ประเภทนิทานสุภาษิต (Fable) นิทานประเภทนี้มีเนื้อเรื่องที่มุ่งสอนถึงผลของการประพฤติดีประพฤติ ชั่ว เช่น ความอดทน ความยึดมั่นในจารีตประเพณี ความกตัญญู ความฉลาด ความเพียร ฯลฯ นิทานประเภท นี้ เช่น เรื่อง “เฝยเจี๊ยะวุ่ยเวิ่น” เป็นเรื่องธิดาคนที่ 4 ของหยุดต่ายฮู่ง ผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล ลงมาแต่งงาน กับมนุษย์เพื่อช่วยเหลือคนที่ประพฤติดี หรือ เรื่อง “เป่อกาย” เป็นลูกสะใภ้ที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อผัวแม่ผัว ตามจารีตประเพณี จนได้รับความดีตอบแทน ฯลฯ 1.) ประเภทนิทานนิเทศ (Legend) เนื้อเรื่องของนิทานประเภทนี้มุ่งตอบปัญหาหรือชี้แจงถึงสาเหตุ ที่มาของเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เรื่องซานหล่อก่อ หรือเจี๋ยบยุ้งซุ้ยอิ๋ม เป็นนิทานที่แสดงกำเนิดของมนุษย์บนดอย และบนพื้นราบ 2.) ประเภทนิทานนิยาย (Fairly Tales) เป็นนิทานที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้าบนสวรรค์ หรือเทพมนุษย์ เช่น เรื่อง อู่กง ชี้กง เป็นเรื่องของเทวดาที่ตัดหัวให้น้ำบนโลกมนุษย์ หรือเรื่อง เสี่ย ซู่ง จุ้ย เป็นเรื่องของยักษ์เจ็ดปากกินคน ฯลฯ 3.) ประเภทนิทานตำนาน หรือนิยายปรัมปรา (Myth) เป็นนิทานเหลือเชื่อที่แสดงถึงตำนานของ การเกิดสิ่งต่าง ๆ เช่น ตำนานการเกิดโลกมนุษย์ หรือนิทานตำนานการเกิดเผ่าพันธุ์ของเอิ้วมี่ยน ในเรื่อง เกีย เซียน ป๊อก หรือตำนานน้ำท่วมโลก 4.) ประเภทนิทานตลกขบขัน (Jest) เมี่ยนมีนิทานตลกขบขันหลายเรื่อง บางเรื่องมีความตลกขบขัน ในแง่ของการแสดงไหวพริบที่หักมุมของตัวละคร บางเรื่องตลกขบขันในแง่ของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย กับหญิง หรือตลกขบขันในแง่ที่ตัวละครมีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา ดังจะเห็นได้จากนิทานตลก เรื่อง แก้ง ซ่ำ โจ้ เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ออกลูกเป็นแก่ง ซ่ำ โจ้ แต่กลางคืนแปลงกายเป็นชายหนุ่มไปเที่ยวสาว และมี ความสามารถผิดมนุษย์ธรรมดาสามัญ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๔ ตัวอย่างนิทานพื้นบ้านของอิ้วเมี่ยน นิทานท้องถิ่น เรื่อง “ยักษ์” มีครอบครัวหนึ่งถูกยักษ์ฆ่ากินจนเกือบหมด เหลือยายคนหนึ่งแก่มากแล้ว ยักษ์ตนนี้ไม่กินยาย คนนี้ เพราะต้องการมานอนด้วย ยักษ์ตนนี้จะมาก็ต่อเมื่อตกกลางคืนเท่านั้น และมาทุกคืน พอรุ่งเช้าก็ออกไปหากิน ตามปกติของมัน ยายคนนี้พอยักษ์ไปแล้วตนเองก็ออกมาทำไร่ตามปกติด้วยน้ำตานองหน้า และพร่ำบ่นให้ดิน ฟ้าช่วยนางด้วยเป็นเช่นนี้ประจำ วันหนึ่งใบไม้ไผ่รู้สึกสงสารนาง จึงถามว่า เป็นอะไรถึงได้ร้องไห้ทุกวันและ ขอให้ดินฟ้าช่วยนั้นเรื่องอะไร ยายคนนี้จึงเล่าถึงความอัดอั้นตันใจให้ฟัง ใบไม้ไผ่จึงบอกให้ยายกลับไปถึงบ้าน และรีบทำงานบ้านให้เสร็จและเข้านอนแต่หัวค่ำ และให้เอาบันไดออกด้วย นอกจากนั้นใบไม้ไผ่จะช่วย พอยาย ได้ยินเช่นนั้นจึงกลับไปบ้านและทำตามใบไม้ไผ่สั่งทุกอย่าง พอตกกลางคืน ยักษ์ก็มาถึง และตะโกนให้เปิดประตู แต่ก็ไม่มีใครเปิด จนยักษ์โมโหจึงตะโกนว่าจะพัง เข้าแล้วนะ แม้ว่าข่มขู่อย่างไรก็ไม่มีใครมาเปิด ยักษ์จึงจะพังประตูหมายเข้าไปกิน แต่พอเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ จึงเข้าไปควานหาที่นอน จนควานเจองูกัดที่มือ แต่ยักษ์ไม่รู้ว่าเป็นงูจึงคิดจะจุดไฟเพื่อเอามาส่องดูว่า ตัวอะไร กัดตนกันแน่ พอไปถึงเตาไฟไส้เดือนก็ดิ้น ขี้เถ้าเลยเข้าตาของยักษ์ ยักษ์มองไม่เห็นจึงโมโห เลยจะไปตักน้ำมา ล้างตาและดับไฟให้หมดเลย พอไปถึงโอ่งน้ำจะตักน้ำก็โดนปูหนีบมือ ยักษ์โมโหมากว่า เมื่อตนเดินไปถึง ตรงไหนก็มีอันต้องเจ็บตัวทั้งนั้น จึงคิดได้ว่าประเพณีเมี่ยนนั้นเวลาทำพิธีจะมีน้ำวางอยู่บนโต๊ะด้วย จึงเดินไป หา พอไปถึงโต๊ะก็เจอหมีตบเอาจนเซถลาไปเหยียบถูกใบไม้ไผ่ ใบไม้ไผ่จึงดึงขาของยักษ์ให้ล้มลง พอยักษ์ล้มลง ก็โดนเสือกัดจนตาย แต่ก็ตะโกนถามยายว่า จะให้ทำยักษ์แหลกละเอียดหรือทำหยาบ ยายจึงตะโกนกลับมาว่า ให้ทำแหลกเลย เสือกับหมีจึงช่วยกันกัดกินยักษ์จนหมด ยายคนนี้จึงลงจากบ้านมาเพื่อขอบคุณใบไม้ไผ่ แล้ว ทั้งหมดก็หายไป ตั้งแต่นั้นมายายคนนี้จึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โดยไม่มีใครมารบกวนอีกเลย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๕ นิทานปรัมปรา เรื่อง “ฟ่ามแป๊ะแอ้งต้อย” มีนักเรียนสองคนซึ่งเป็นเพื่อนที่รักกัน คนหนึ่งชื่อ ฟ่ามแป๊ะ และอีกคนหนึ่งขื่อ แอ้งต้อย ต่างก็เรียน หนังสือที่เดียวกัน คบกันด้วยความสนิทสนมมาก แอ้งต้อยนั้นเป็นหญิงที่ปลอมตัวเป็นชาย แต่ฟ่ามแป๊ะไม่รู้ว่า เพื่อนของตนเป็นผู้หญิง แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องบอกก็ไม่เชื่ออยู่ดีเมื่อถูกเพื่อน ๆ รบเร้ามากเข้า จึงอยากจะพิสูจน์ ว่า เพื่อนของตนเป็นผู้หญิงหรือไม่ จึงบอกให้แอ้งต้อยลองฉี่ดูว่า ใครฉี่ได้ไกลกว่ากัน แอ้งต้อยยอมให้เพื่อนของ ตนพิสูจน์เพราะตนนั้นหลงรักฟ่ามแป๊ะ จึงนำไส้ปากกาซึ่งมีรูแล้วฉี่ใส่ ปรากฏว่า แอ้งต้อยปัสสาวะได้ไกลกว่า ฟ่ามแป๊ะเสียอีก แต่ฟ่ามแป๊ะยังไม่เชื่อจึงขอให้พิสูจน์อีกว่า เพื่อนตนนั้นเป็นชายจริง ตามธรรมชาติแล้วหาก หญิงนอนบนใบบอน ใบบอนจะเหี่ยวเร็วกว่า ดังนั้น ฟ่ามแป๊ะจึงขอให้แอ้งต้อยลงนอนบนใบบอนบ้าง แต่แอ้ง ต้อยรู้อยู่ก่อนแล้วจึงเตรียมใบบอนไว้หลายใบ จึงเปลี่ยนบ่อย ๆ แล้วฟ่ามแป๊ะมาดูอีกครั้ง พบว่า ใบบอนยังไม่ เหี่ยวเลย จึงทำให้ฟ่ามแป๊ะเชื่อสนิทใจแล้วว่า เพื่อนของตนต้องเป็นชาย เมื่อเรียนจบแล้วต่างคนต่างก็กลับบ้านของตน ฟ่ามแป๊ะไปส่งแอ้งต้อยกลับบ้านในสมัยนั้นต้องเดิทาง ไกลจึงจะถึงบ้าน ในระหว่างทางนั้น แอ้งต้อยได้พูดคำเปรียบเทียบ เมื่อพบนกคู่หนึ่งก็พูดว่า “ฟ่ามแป๊ะ เรานี้ เปรียบก็คล้ายนกคู่นั้นนะ”แต่ว่าฟ่ามแป๊ะไม่เข้าใจเลยไม่ว่าแอ้งต้อยจะพูดคำอ้อมค้อมเปรียบเทียบอย่างไรก็ ตาม เมื่อส่งถึงบ้านของเพื่อนแล้วก็เดินทางกลับบ้านของตนเองและทำมาหากินตามประสาคนสมัยนั้น เมื่อนาน เข้าฟ่ามแป๊ะอยากจะไปเยี่ยมเพื่อนของตนเพราะคิดถึงเพื่อน ก็เดินทางไปหาเพื่อน เมื่อไปถึงบ้านเพื่อนก็ไม่พบ เพื่อนเพราะพบแต่หญิงสาวสวยคนหนึ่งเท่านั้น จึงถามว่า เพื่อนคนที่ชื่อแอ้งต้อยนั้นไปไหนเสียแล้ว หญิงสาว คนนั้นจึงบอกว่า ตนนี้แหละเป็นแอ้งต้อย แต่ฟ่ามแป๊ะไม่เชื่อคำพูดของหญิงสาว ดังนั้นหญิงสาวจึงนำตำรา เรียนที่เรียนในสมัยก่อนมาให้ดู ฟ่ามแป๊ะจึงเชื่อเพราะจำลายมือของแอ้งต้อยได้ จึงเกิดหลงรักแอ้งต้อยขึ้นมา ทันที จึงเอ่นปากบอกความในใจให้แอ้งต้อยรู้ แต่สายไปแล้วเพราะพ่อแม่ของแอ้งต้อยนั้นได้รับหมั้นกับชายคน อื่นให้แอ้งต้อยและกำลังจะแต่งงานกันแล้ว ทำให้ฟ่ามแป๊ะเกิดความเสียใจมากจึงขอลากลับทันที แต่ก่อนกลับ นั้น แอ้งต้อยได้เขียนจดหมายบอกความจริงว่า ก่อนนั้นตนรักและได้พูดคำเปรียบเทียบ แต่ฟ่ามแป๊ะไม่ยอม เข้าใจเลย เมื่อไปถึงบ้านฟ่ามแป๊ะจึงกลืนจดหมายฉบับนั้นลงคอและสำลักตายด้วยความตรอมใจแล้ว ญาตินำศพ ของฟ่ามแป๊ะไปฝังไว้ทางที่ขบวนของเจ้าสาวจะผ่าน เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลงถึงเวลาที่จะส่งตัวเจ้าสาวไป บ้านเจ้าบ่าวนั้น แอ้งต้อยได้ขอไปเยี่ยมศพของฟ่ามแป๊ะ และแอ้งต้อยนั้นได้กล่าวต่อที่ฝังศพนั้นว่า ฟ่ามแป๊ะ หากว่าเรามีบุญวาสนาต่อกันแล้ว ขอให้จงเปิดโลงศพให้เข้าไปด้วยคน เป็นจริงดังที่แอ้งต้อยกล่าว นางจึงโดด หายไปในหลุมศพนั้น พอฝ่ายเจ้าบ่าวรอนานจึงไปตามดูและไม่พบเจ้าสาวของตน จึงนำเสียมมาขุดหลุมก็ไม่ พบอะไร เห็นแต่ผีเสื้อคู่เดียวที่บินขึ้นบนท้องฟ้าไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๖ สำนวน - สุภาษิตของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนได้ประมวลสุภาษิต คำสอน คำพังเพยที่สำคัญของชาวอิ้วเมี่ยน ดังต่อไปนี้ สุภาษิต 1.) บทกวีต้องแต่งให้ผู้ที่ซึ้งในบทกวีฟัง 2.) ตัวหนังสือหนึ่งตัว มีค่าราวกับทองคำ 3.) ความเมตตาธรรมและสัจจะมีค่าหนึ่งราวทองคำ 4.) ผลสำเร็จของชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร 5.) ในป่ามีต้นไม้ขึ้นเหยียดตรง แต่โลกนี้ไร้คนซื่อตรงจริง 6.) เลี้ยงลูกชายไม่อบรมสั่งสอน สู้เลี้ยงลาดีกว่า 7.) เลี้ยงลูกสาวไม่อบรมสั่งสอน สู้เลี้ยงหมูไม่ได้ 8.) ความดีทำยาก เพราะกำลังไม่พอ 9.) ความชั่วทำง่ายแถมยังมีกำลังเหลือเฟือ 10.) น้ำใสสะอาดเกินไปย่อมไม่มีปลาอยู่อาศัย 11.) คนที่เคร่งครัดเกินไปกลับไร้ปัญญา 12.) เมื่อโชคชะตาลิขิตอะไรไว้ก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน 13.) บุญคุณดุจน้ำทิพย์ที่ไหลหลั่งจากฟากฟ้า 14.) เคียดแค้นคนเป็นได้ แต่อย่าเคียดแค้นคนตาย 15.) ผมขาวมักงอกไปตามวัยของคนอย่างไม่รู้ตัว 16.) เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์จึงมีคนมากราบไหว้ 17.) มีลูกกตัญญูพ่อแม่หมดทุกข์ไร้กังวล 18.) สายตาของสวรรค์นั้นกว้างขวาง 19.) มีลูกจนไม่นานไม่มีลูกรวยไม่นาน 20.) น้ำใสเพราะดินมากั้นคุ้มเอาไว้ 21.) คนหนึ่งเล่าเรื่องเท็จร้อยคนเล่าเรื่องเท็จก็กลายเป็นจริง 22.) พบสิ่งดีพบช้าพบสิ่งเลวร้ายราวถูกน้ำแกงลวก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๗ คำสอน 1.) เพื่อให้รู้แจ้งเห็นแจ้งมองปัจจุบันต้องมองอดีต 2.) ไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน 3.) คนโง่ยอมคนไม่เป็น 4.) ชีวิตทุกคนขึ้นอยู่กับดวง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนแม้แต่น้อย 5.) ความรู้สึกของคนที่มีต่อกันเปราะบางดังกระดาษ 6.) เมื่อกระหายน้ำ น้ำเพียงหยดเดียวก็ทำให้กระชุ่มกระชวยได้ 7.) มีไร่นา แต่ไม่ทำนา ยุ้งข้าวก็ว่างเปล่า 8.) หากเข้าใจอดีตและปัจจุบันไม่ถ่องแท้ เหมือนม้าวัวที่ไร้กำลัง 9.) อยู่บ้านเชื่อฟังบิดา แต่งงานเชื่อฟังสามี 10.) คนโง่กลัวภรรยา กุลสตรีเคารพสามี 11.) ถ้าให้ทำดี ทำได้ไม่เต็มที่ ก็ขออย่าทำชั่วจนเกินไป 12.) แม้นยากจนยังรู้สึกเป็นอิสระ 13.) บุญคุณพ่อแม่ที่มีต่อเรา ในที่สุดก็มิได้เฝ้าตอบแทน 14.) ถ้ารู้จักพอก็จะเพียงพอตลอดไป 15.) การยอมคนถือเป็นความหลักแหลม 16.) ครอบครัวที่ร่ำรวย ลูกหลานทนลำบากไม่ได้ 17.) พ่อลูกรักใคร่กัน ทรัพย์สินในครอบครัวไม่หดหาย 18.) ถึงเวลาอดทนต้องอดทน ถึงเวลาอดกลั้นต้องอดกลั้น 19.) ผู้ชายมากมายบาดเจ็บเพราะเหล้า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๘ คำพังเพย 1.) การจะรู้เขารู้เราก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา 2.) เมื่อเจอคนรู้ใจ จึงมีการดื่มเหล้าเกิดขึ้น 3.) เพื่อนมีอยู่มากมาย แต่เพื่อนที่รู้ใจมีไม่มาก 4.) อยู่บ้านต้อนรับแขกไม่เป็น ออกนอกบ้านถึงรู้ว่าไร้คนอุปถัมภ์ 5.) ไม่มีใครไม่ถูกนินทาลับหลังและไม่มีใครไม่นินทาคนอื่น 6.) มีเงินพูดอะไรก็เป็นจริง ไม่มีเงินพูดอะไรก็ไร้น้ำหนัก 7.) ในป่าย่อมมีต้นไม้พันปี แต่โลกของเราน้อยนักจักพบคนอายุร้อยปี 8.) ฝนมีดกลัวมีดไม่คม แต่เมื่อมีดคมแล้วกลัวบาดมือ 9.) ตอนเด็กเป็นพี่น้องกัน โตเป็นผู้ใหญ่กลายเป็นคนละครอบครัว 10.) เรื่องดีปิดเงียบไม่ถูกเผยแพร่ เรื่องร้ายถูกเล่าลือไปทั่วทิศ 11.) วันนี้มีเหล้า วันนี้เมา พรุ่งนี้มีทุกข์ พรุ่งนี้ค่อยกลัดกลุ้ม 12.) ดอกโบตั๋นงดงามมีไว้ให้คนเชยชมเท่านั้น 13.) คนเราเหมือนนกร่วมป่าเดียวกัน เมื่ออันตรายมาถึงต่างคนต่างบิน 14.) แม่น้ำเหลืองยังมีวันใสสะอาด ทำไมคนเราจะมีโชคดีไม่ได้ 15.) คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร 16.) เย็บปักดอกไม้ แม้นสวยงาม แต่ไร้กลิ่นหอม 17.) ชาติหนึ่งผ่านไปเร็วราวกับม้ากระโดดข้ามช่องว่าง 18.) คนเราซุบซิบนินทากัน สวรรค์ได้ยินราวเสียงฟ้าผ่า 19.) มีแต่จับผิดจุดด้อยผู้อื่น ทำไมไม่สำรวจจุดด้อยของตัวเองบ้าง 20.) มีดคมบาดแผลติดสนิทง่าย คำด่าทำคนเจ็บใจ ความแค้นไม่มีวันคลาย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๙ การปักผา้ของหญงิชาวเมีย่น ปราชญ ์ชาวบ้าน การท าขนมของชาวเมีย่น 4.ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาในการสร้างบ้านเรือน ในหมู่บ้านเมี่ยนจะเอากระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งทำเป็นท่อหรือรางน้ำเพื่อรองน้ำจากลำธารมาใช้ภายใน หมู่บ้านได้ ชาว เมี่ยนปลูกบ้านคร่อมดิน ใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้าน บ้านมีลักษณะรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุงหลังคา ด้วย หญ้าคา หรือใบหวาย ฝาบ้านทำจากไม้เนื้ออ่อนที่ผ่าด้วยขวานและลิ่มถากให้เรียบกั้นฝาในแนวตั้ง บางหลังใช้ ไม้ไผ่ หรือฟางข้าวผสมดิน โคลนก่อเป็นกำแพงเป็นฝาผนัง ถ้ามีสมาชิกหลายคนจะแบ่งเป็นห้อง ๆ หน้าบ้านมี ประตูเรียกว่า ประตูผี ประตูนี้จะ เปิดใช้เมื่อส่งตัวบุตรสาวออกไปแต่งงาน หรือนำลูกสะใภ้เข้าบ้าน และใช้ เวลายกศพออกจากบ้าน ตรงกับประตูหน้า จะมีหิ้งผีติดข้างฝาเรียกว่า “เมี้ยนป้าย” เป็นที่สิงสถิตของผีบรรพ บุรุษ บางบ้านมีหิ้งผีอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “เมี้ยน เตี่ย หลง” ภูมิปัญญาการปักผ้า ชาวเมี่ยนหรือ ที่รู้จักในชื่อของเย้า มีความโดดเด่นทางด้านงานศิลปหัตถกรรม มีฝีมือด้านการปักผ้าที่ งดงามจนเลื่องชื่อ ชาวเผ่าเมี่ยนกับศิลปะการปักผ้านั้น มีความผูกพันเชื่อมโยงกับตำนานกำเนิดของชาวเมี่ยนที่ บรรพบุรุษได้เล่าสืบทอดต่อกันมา ตำนานกำเนิดชาวเมี่ยน มีเรื่องราวดังนี้ เมื่อหลายพันปีก่อนมีเทวดา มาจุติ ในโลกมนุษย์เป็น สุนัขมังกรชื่อว่า ผันตาหูในเวลานั้นบ้านเมืองเกิดกบฏ ผันตาหูได้เข้าอาสาช่วยปราบกบฏให้ พระราชาจนสำเร็จ และได้แต่งงานกับพระธิดาของพระราชา เมื่อถึงวันแต่งงานผันตาหูได้สั่งให้ทอผ้าขึ้นผืน หนึ่ง ปักลวดลายงดงามด้วยด้ายหลากสีสัน 7 สีเมื่อผันตาหูใช้ผ้าผืนนี้ห่มคลุมร่างกายก็กลายร่างจากสุนัขมา เป็น มนุษย์และได้ครองคู่กับเจ้าหญิงและช่วยกันสร้างเผ่าพันธุ์เมี่ยนนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ตำนานนี้จึงได้ ถูก ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานชาวเมี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น ลักษณะการใช้ลวดลายและสีสันบนเครื่องแต่งกายเสมือนเป็น การสืบตํานานผ้าที่ใช้ในการปกปิดร่างกายของผันตาหูผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์เมี่ยน จึงเป็นที่มาของลักษณะ เครื่อง แต่งกายประจำเผ่าของชาวเผ่าเมี่ยน ทั้งผ้าคาดเอว ผ้าโพกศีรษะ และกางเกงที่ปักลวดลายด้วยด้าย หลากสีสัน ถึง 7 สี ปัจจุบันผู้หญิงชาวเมี่ยนยังคงสืบทอดศิลปะการปักผ้าลวดลายแบบโบราณดั้งเดิมที่สืบทอดต่อมา จาก ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๐ บรรพบุรุษ เสื้อผ้าผู้ชายชาวเมี่ยนจะมีการปักลวดลายที่บริเวณชายเสื้อและชายผ้าคาดเอวเพียงเล็กน้อย ตรง กับ เสื้อผ้าผู้หญิงที่จะมีการปักลวดลายแพรวพราวงดงาม โดยเฉพาะกางเกงของหญิงชาวเมี่ยนเป็นที่เลื่องลือ กันอย่างยิ่งถึงลวดลายที่ปักอย่างประณีตละเอียดงดงาม กล่าวกันว่ากางเกงของหญิงชาวเมี่ยน แต่ละตัวนั้น ต้องใช้เวลาในการปักนานไม่น้อยกว่า 1 เดือนถึง 1 ปีเลยทีเดียว เอกลักษณ์ลวดลายบนผืนผ้าชนเผ่าเมี่ยน ศิลปะการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าของชาวเมี่ยนที่ เลื่องลือเป็นที่รู้จักและยอมรับในความงดงาม คืองาน ปัก ซึ่งลวดลายงานปักแต่ละลายที่ปรากฏบนผืนผ้าของ ชนเผ่าเมี่ยนนั้น แทบทุกผืนยังคงเป็นลวดลายโบราณ เอกลักษณ์ดั้งเดิมที่สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยโบราณกาล ที่มักมีความเกี่ยวข้องและผูกพันกับ ตํานานรวมถึงความเชื่อที่สอดแทรกอยู่ในประเพณี วัฒนธรรมประจำชนเผ่าที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ สมัยบรรพบุรุษ ภาพที่ ๓ ลวดลายผ้าปักของชาวอิ้วเมี่ยน ที่มา : โรงเรียนโชติคุณะเกษมบ้านเมืองงาม ลวดลายผ้าปักของชาวเมี่ยนนี้เกิดจากการใช้สติปัญญาในการวางแผนการรบ ด้วยการจำลองเมืองไว้ ใน ลวดลายกางเกง หากถึงเวลาที่ต้องออกไปรบก็จะให้ทหารดูเรื่องราวแผนการรบในกางเกง ในกางเกงหนึ่ง ตัว นั้นจะมีเรื่องราวของลายรอบเมือง กําแพงเมือง ทหารองครักษ์เป็นต้น ปัจจุบันงานผ้าปักได้ผสมผสาน กลมกลืนเข้ากับลวดลายที่มาจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบตัว ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมี่ยน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน พืชพรรณต่างๆ สัตว์ป่า น้อยใหญ่ การใช้สีในลวดลายปักก็ยังคง ยึดถือการใช้สีเส้นด้ายที่ไม่น้อยกว่า 7 สี ได้แก่สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง สีดำ และสีขาว ผ้าปัก บางผืนอาจพบลวดลายมากกว่า 10 ลวดลายรวมกันอยู่ในผืนเดียว และ ต้องใช้เวลาในการสร้างสรรค์งานปัก แต่ละผืนเนิ่นนานเป็นปีกว่าจะแล้วเสร็จ ลักษณะลวดลายที่เกิดขึ้นบนผืน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๑ ผ้าสะท้อนถึงตัวตนของชนเผ่าเมี่ยน ที่ชัดเจน ในปัจจุบันมีการประยุกต์สร้างสรรค์ลวดลายใหม่ๆ ขึ้นมาแต่ ยังคงช่วยกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาล้ำค่าของชนเผ่าที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต สำหรับกรรมวิธีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายนั้นชาวอิ้วเมี่ยนในสมัยก่อนทอผ้าด้วยใยกัญชา แต่เมื่อกัญชากลายเป็นพืชที่ผิดกฎหมายในเวลาต่อมา จึงเลิกทอผ้าและนิยมซื้อผ้าทอซึ่งเป็นผ้าดิบจาก ชาวไทลื้อมาย้อมสีและปักลายเอง เพราะผ้าทอของชาวไทลื้อเหมาะสมแก่การนำมาปักผ้าแบบอิ้วเมี่ยน อีกทั้งยังเป็นการประหยัดเวลาและแรงงานไปทำกิจกรรมอื่นที่ให้ผลประโยชน์มากกว่า ทั้งนี้ การซื้อผ้าทอจาก ไทลื้อเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นแม่ของเธอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ชาวอิ้วเมี่ยนบนดอยจะนำฝิ่นไปแลกซื้อผ้า ทอ ด้าย และอุปกรณ์ตัดเย็บอื่น ๆ จากกองคาราวานพ่อค้าชาวจีนฮ่อที่เดินทางมาเร่ขายสินค้าในหมู่บ้าน หรือนาน ๆ ครั้งก็จะลงจากดอยไปหาซื้อผ้าทอที่ตลาด ช่างย้อมผ้าจะย้อมผ้าด้วยสีเดียวเป็นสีดำปนกับสีแดง โดยเริ่มจากการซื้อผ้าดิบสีขาว (บางครั้งก็ซื้อ ผ้าดิบสีดำมาย้อมสีแดงเลย) นำมาผสมกับน้ำปูนขาว แช่ผ้าทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตอนเช้านำผ้าไปต้มและกรอง ด้วยน้ำขี้เถ้า จากนั้นนำผ้าไปตากให้แห้ง เมื่อย้อมสีดำเสร็จแล้วก็ย้อมด้วยสีแดงต่อไป โดยใช้ไม้ไผ่และเปลือก ไม้มะดู่มาให้สีแดง โดยนำเปลือกไม้เหล่านี้มาต้มกับแป้งข้าวเหนียว เพื่อให้สีแดงที่สกัดจากต้นมะดู่สามารถย้อม ติดผ้า และแช่ผ้าทิ้งไว้ จากนั้นจึงนำผ้าที่ย้อมมาต้มและกรองด้วยน้ำขี้เถ้าและน้ำปูนใส โดยย้อมสีไปเรื่อย ๆ จน ครบ 5 ครั้งเพื่อให้ได้สีที่สวย ติดทนนาน ผ้าที่ย้อมจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากสีดำสนิทกลายเป็นสีดำปนสีแดง เรื่อ ๆ จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาด และตากให้แห้ง ม้วนผ้าและห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อนำไปปัก ผ้าต่อไป ภายหลังจากย้อมผ้าเสร็จสิ้นแล้ว กรรมวิธีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายที่สำคัญที่สุดของชาวอิ้วเมี่ยน คือ การปักผ้า โดยหญิงชาวอิ้วเมี่ยนขึ้นชื่อว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถในการปักผ้าเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเธอ จะต้องสาละวนกับภารกิจในชีวิตประจำวันที่เป็นงานหนัก ทั้งงานในบ้านและไร่นาก็ตาม แต่ก็ยังสรรหาเวลา ว่างเท่าที่พอจะมีในแต่ละวันมารวมกลุ่มกันปักผ้า ช่วงเวลานี้ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโสที่เป็นผู้หญิง มักจะ สอนลูกสาวหรือหลานสาวให้สามารถปักผ้าได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย โดยเริ่มสอนจากการปักลายพื้นฐานที่ง่าย ตามที่ผู้ใหญ่แสดงลายผ้าตัวอย่างให้ดูเพื่อให้ปักตามนั้น พร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำระหว่างที่เด็กหญิงปักผ้า ทั้งนี้ การอบรมสั่งสอนให้ผู้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชี่ยวชาญในการปักผ้าเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของกุลสตรีที่ดีและพวกเธอจะต้องปักชุดแต่งงานของตนเองและแม่ ในยามที่ต้อง เข้าสู่พิธีแต่งงานอีกด้วย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๒ ภาพที่ ๔ การปักผ้าของชาวอิ้วเมี่ยนปักจากด้านหลังเพื่อใช้ลายด้านหน้า ที่มา : ต้องลักษณ์ ปันผสม ชาวอิ้วเมี่ยนจะจับผ้าและเข็มแตกต่างกับเผ่าอื่น ๆ กล่าวคือ ปักผ้าจากด้านหลังผ้าขึ้นมายังด้านหน้า ของผ้า ดังนั้น จึงต้องจับผ้าให้ด้านหน้าคว่ำลง เมื่อปักเสร็จแต่ละแถวแล้วก็ม้วนและใช้ผ้าห่อไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อ ป้องกันสิ่งสกปรก ทั้งนี้ สำหรับการปักลายเสื้อผ้าเพื่อใช้ทำเป็นเครื่องแต่งกายและของใช้ตามจารีตประเพณี นั้น ชาวอิ้วเมี่ยนมีวิธีการปักลายผ้า 4 แบบ ได้แก่ การปักลายเส้น (กิ่ว กิ่ว) การปักลายขัด (โฉ่งเกียม) การปัก ลายแบบกากบาท (โฉ่งทิว) และการปักไขว้ (โฉ่ง ดับ ยับ) เวลาปักลายจะต้องจดจำชื่อและวิธีการปักลายไป พร้อม ๆ กัน หากเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงจะนิยมปักลายดอกไม้และลายเลื่อยที่เป็นซี่ แต่เสื้อผ้าของผู้ชายจะไม่ ค่อยมีลายปัก หากมีก็จะมีลวดลายเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นลายนกหรือต้นไม้ ในอดีตสมัยที่การคมนาคม และการค้าขายยังไปไม่ถึงบนดอย ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่นิยมใช้สีปักลายเพียง 5 สีเท่านั้น คือ สีแดง เหลือง น้ำ เงิน เขียว และสีขาว ทว่านับตั้งแต่ช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปักลายผ้าเพิ่มมากขึ้น และใช้สี ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๓ ภาพที่ ๕ ลายผ้าที่ชาวเมี่ยนปักมือลวดลายหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ที่มา : โรงเรียนโชติคุณะเกษมบ้านเมืองงาม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๔ ภูมิปัญญาการรักษาโรคของชาวเมี่ยน ชาวเมี่ยนมีการรักษาโรคได้หลายแบบขึ้นอยู่กับอาการที่ปรากฎว่ามากหรือน้อย เป็นอาการ ทางร่างกายหรือ ทางจิตใจ วิธีการรักษามีหลายแบบ เช่น การดึงหรือบีบบริเวณที่ปวด รักษาด้วยสมุนไพร และ รักษาด้วยการเลี้ยงผี หรือหากมีอาการเจ็บป่วยมากก็จะอาศัยการรักษาแบบสมัยใหม่ด้วยการไปโรงพยาบาล และสิ่งหนึ่งที่เมี่ยนนิยมใช้ ควบคู่กับการรักษาพยาบาล คือ การทำพิธีกรรม การรักษาโรคด้วยการดึงบีบหรือ ขูดตามร่างกาย เป็นวิธีการรักษาของชาวเมี่ยนที่รักษาเพื่ออาการปวดเมื่อยอ่อนเพลียของร่างกาย วิธีการรักษา จะแบ่งเป็นหลายแบบ คือ 1. นิบซา คือ ใช้ด้านหลังของนิ้วชี้และนิ้วกลางจุ่มน้ำหนีบเนื้อแล้วดึงหลาย ๆ ครั้ง บริเวณหน้าอกและ ไหล่ทั้ง 2 ข้างซ้ายขวา ซึ่งอกแต่ละข้างจะมีจุดที่ต้องดึงราว 3-7 จุด เมื่อนิบซาเสร็จเนื้อจะ แดง ห้อเลือดผู้ที่ได้รับการ รักษาจะสดชื่นขึ้น เพราะเลือดลมจะเดินสะดวกขึ้น แต่ถ้าในกรณีที่คนอ้วนมีเนื้อ มากไม่สามารถนิบซาได้ จึงใช้วิธี กวาซา คือ ใช้เหรียญขูดบริเวณจุดนิบซาสําหรับการนิบซา ครั้งต่อไปก็จะดึง เนื้อที่จุดเดิม ภาพที่ ๖ การรักษาแบบกวาซา ที่มา : http://bit.ly/3K8ExT5
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๕ 2. เก๊าะซา รักษาอาการปวดเฉพาะจุด โดยใช้ใบมีดโกนกรีดผิวให้เลือดไหลซิบ ๆ แล้วเผากระดาษจนมีควัน แล้วใส่กระดาษนี้ลงไปในขวดปากกว้างแล้วครอบลงไป ตรงรอยกรีดรอจนควันหมดจึงเอาออก เลือดบริเวณนั้น จึงเปลี่ยนสี ภาพที่ ๗ การรักษาแบบเก๊าะซา ที่มา : https://bit.ly/3ImXa4u 3. ไกว้ติตาน คือ รักษาอาการไข้เล็กน้อยและปวดหลัง โดยนําหัวขิงไปทุบแล้วชุบน้ำมันหมูทาบริเวณหลัง ผู้ป่วยทีละน้อย จากนั้นก็ใช้ชามปากกว้างครอบลงไปแล้วขูดแผ่นหลังลงมาเป็นแนวยาวถ้ามีพิษไข้ผิวแผ่นหลัง จะเป็นสีเลือดออกคล้ำ 4. ปู่งซา คือ ใช้วิธีการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วโดยจะใช้เชือกยาวประมาณ 1 เมตร ขั้นตอนแรก คือ ค่อย ๆ ลูบ ไล้เลือด จากลําตัวขึ้นมาแล้วมัดที่ต้นแขน แล้วค่อย ๆ ไล่พันลงมายังต้นแขนแล้วใช้เชือกอีกเส้นหนึ่งเล็กลง หน่อยแล้วพันทีละนิ้ว พอถึงปลายนิ้วเลือดที่โดนบีบรัดจนสุดจะออกเป็นแดงดำ จากนั้นก็นำเข็มมาทิ่มลงไปที่ นิ้วเลือดก็จะไหลเป็นสีออกดำ จากนั้นก็ไล่ทำเช่นนี้ทีละนิ้วแล้วก็ไล่ไปทำทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าทุกนิ้ว พอปล่อย เลือดเสร็จผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้น เพราะได้ปล่อยเลือดเสียทิ้งไปแล้ว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๖ ภูมิปัญญาการทำเครื่องประดับของชาวเขาเผ่าอิ้วเมี่ยน (เย้า) ภาพที่ ๘ การประดับตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับเงิน ที่มา : https://bit.ly/3XzhTGT ในอดีตชาวอิ้วเมี่ยนหรือเผ่าเย้าจะให้ความสำคัญกับการประดับตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับเงิน เพราะเชื่อว่า เป็นสิ่งของมงคลเป็นเครื่องแสดงถึงฐานะทางสังคม มีความสำคัญในการดำรงชีวิตในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต ชาวอิ้วเมี่ยนจะสวมใส่เครื่องประดับของชนเผ่าเฉพาะในวันสำคัญ หรือวันที่ มีพิธีการต่างๆ และสามารถใช้เป็นสินสอด เพื่อขอผู้หญิงแต่งงานโดยกล่าวว่ากำไลข้อมือเงินเป็นสินสอดสำคัญ หากชายบ้านไหนไม่มีเก็บไว้จะไม่สามารถขอเจ้าสาวได้ ดังนั้นเครื่องประดับเงินจึงมีความสำคัญกับชาวอิ้วเมี่ยน ในทุกครัวเรือน จึงจำ เป็นต้องเก็บสะสมเครื่องประดับเงินไว้เป็นทรัพย์สิน ในตระกูลของตน อิ้วเมี่ยนหรือเย้า เมื่อว่างเว้นจากฤดูเก็บเกี่ยว บรรพบุรุษจะทำเครื่องประดับเงินเพื่อใช้งานภายในครอบครัว เครื่องประดับส่วน ใหญ่นิยมทำ เป็นสร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน และต่างหู เป็นการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาของชาวเขาเผ่า อิ้วเมี่ยนให้คงอยู่ได้ ในปัจจุบันเริ่มจากการทำเพื่อนำมาใช้กันเองภายในครัวเรือนเพื่อประดับตกแต่ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในยามเคลื่อนไหวร่างกายเครื่องประดับเงินก็จะสั่นไหวพร้อมเสียงของ เครื่องเงิน แต่ละชิ้นที่กระทบกันพร้อมกับส่องแสงประกายระยิบระยับ แสดงออกถึงความสุขและความ ภาคภูมิใจในสินทรัพย์ที่กำลังสวมใส่ ชาวเขาเผ่าอิ้วเมี่ยนไม่นิยมซื้อหาเครื่องประดับเพื่อมาสวมใส่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๗ ภาพที่ ๙ ชาวเผ่าอิ้วเมี่ยนกับเครื่องประดับเงิน ที่มา : https://bit.ly/3lCo1AO ชาวเผ่าอิ้วเมี่ยนจึงจำ เป็นต้องเรียนรู้วิธีการทำ เครื่องประดับเงิน ที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ รูปแบบของเครื่องประดับเงินและลวดลายที่ตอกสลักลงบนเครื่องเงินแต่ละแบบแต่ละลาย ล้วนเป็นเอกลักษณ์ ของชาว อิ้วเมี่ยนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เช่น ลายดอกไม้ ลายสี่เหลี่ยมกระดูกงู ลายดอกส้มโอ ลายปู้สี่ เป็นต้น นายมงคลใช้เทคนิคการสลักดุนเพื่อสร้างเส้นลายให้มีความคมชัด เส้นพลิ้วไหว และนำ มา เพิ่มลูกเล่นด้วยการต่อลวดลายเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มมิติชิ้นงานให้สวยงามด้วยเครื่องมือที่สร้างสรรค์ ขึ้นเองเพื่อใช้ในการ สร้างลวดลายทรงเรขาคณิตสำ หรับเป็นตัวเชื่อมลวดลายอื่นๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ความสำคัญของเครื่องเงินที่มีต่อชาวเมี่ยนว่า สมัยก่อนที่ยังไม่มีเงิน หรือธนบัตรใช้เหมือนปัจจุบัน ชาวเมี่ยนจะ ใช้เครื่องเงินแทน เครื่องเงินจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และเป็นการบ่งบอกฐานะหรือศักยภาพของแต่ละ ครอบครัวในชุมชน นอกจากนี้เครื่องเงินของชาวอิ้วเมี่ยน ยังบอกเล่าถึงเรื่องราววิถีชีวิต ความศรัทธาและความเชื่อที่ สะท้อนผ่านลวดลายการแกะสลักบนเครื่องประดับเงิน โดยเฉพาะกำไลเงินข้อแขนคู่หนึ่งที่ชาวเมี่ยนเรียกว่า “สะเฝียนเจี้ยม” หรือ กำไลหมั้นกำไลหมั้นหมายคู่รักของหนุ่มเมี่ยนที่จะมอบให้กับคนรักก่อนแต่งงานหรือใน วันแต่งงานเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีการหมั้นหมายแล้ว หรือมีเจ้าของแล้ว “สะเฝียนเจี้ยม” นอกจากจะถูกสลักลวดลายเพื่อให้กำไลคู่ดูสวยงามแล้ว หากแต่ยังแฝงด้วยความหมายที่เป็นมงคลในการครอง เรือนให้กับคู่สามีภรรยาด้วย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๘ ภาพที่ ๑๐ “สะเฝียนเจี้ยม” ที่มา : https://bit.ly/3lCo1AO “เงินแท้” นำ เนื้อเงินบริสุทธิ์ 98% มาใช้ทำ เครื่องประดับทุกชิ้นเพราะเนื้อเงินคุณภาพดีจะมี ความแข็งแกร่งทนทาน มีความแวววาวสวยงาม ไม่ลอกแต่อาจมีสีคล้ำ หรือดำ ขึ้นเนื่องจากการสัมผัสกับ อากาศหรือน้ำ แต่สามารถนำ มาล้างทำ ความสะอาดให้เหมือนใหม่ได้ รูปแบบเครื่องประดับเงินจะมี ความเล็กละเอียด ลวดลายส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากการพบเห็นธรรมชาติรอบตัว เช่น ลายไข่ปลา ลายดอกไม้ลายช้าง ทั้งกำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า สร้อยคอ และเครื่องประดับตกแต่งบนเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ผลงานเครื่องประดับเงินของชาวเมี่ยนมีความโดดเด่นที่การอนุรักษ์การทำ แบบโบราณ ทุกขั้นตอนด้วยมือ เอาไว้ บรรจงสร้างสรรค์ชิ้นงานทีละชิ้นแล้วนำ มาร้อยต่อกันเป็นกลุ่มตามเอกลักษณ์ เครื่องประดับดั้งเดิมของชาวอิ้วเมี่ยนที่นำ เครื่องเงินมาประดับเข้ากับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น ติต๋านโหย่ว (บะฟินแฮ่ง) เครื่องประดับสตรีที่ออกเรือนแล้วพ่อแม่จะให้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ลืมครอบครัว เป็นต้น ภูมิปัญญาในการถนอมอาหาร ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมถนอมอาหารประเภทเนื้อและผักไว้สำหรับรับประทานในระยะยาว โดยเฉพาะ การเก็บเนื้อหมู วิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิมมีหลายหลาย ดังได้กล่าวข้างต้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๙ ภูมิปัญญาทางการแพทย์ ในอดีตเมื่อชาวอิ้วเมี่ยนเจ็บป่วยจะรักษาด้วยการแพทย์พื้นบ้าน โดยประกอบด้วยกลุ่มหมอพื้นบ้าน หลายประเภท ได้แก่ 1.) กลุ่มที่รักษาทางกาย ใช้การบีบนวด จับเส้น (นิบซา) ไล่ลม (ทุยจย๋าว) 2.) กลุ่มที่เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการรักษาทางจิตวิญญาณ ได้แก่ คนทรง หมอคาถา และ อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรม 3.) หมอสมุนไพร “เดียไซ” ชำนาญด้านพฤกษศาสตร์ และการใช้สมุนไพรในการรักษาผู้ป่วย หมอสมุนไพรจะมีสองประเภท คือ ประเภทที่ถ่ายทอดตามตระกูล เช่น จากย่าสู่แม่ จากแม่สู่หลาน ในส่วนนี้มีการถ่ายทอดวิชาโดยไม่ต้อง ทำพิธีเพียงแต่ผู้ถ่ายทอดจะให้พรแก่ลูกหลานที่จะเป็นผู้สืบทอดจะให้พรแก่ลูกหลานที่จะเป็นผู้สืบทอดเพื่อที่ว่า เวลาไปเก็บยาสมุนไพรแล้วจะมีความศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “เจย๋ง” ประเภทที่ไปขอเรียนมา (เปี๊ยด) โดยศึกษาจากหมอยาที่มีชื่อเสียงโดยผู้ขอเรียนต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์ สำหรับประกอบพิธีกรรมด้วย คือ ไก่ 1 ตัว สิเจียน (จำนวนเงินที่ใส่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการเรียกร้องของหมอ ยาแต่ละคน) กระดาษกงเต็ก (เจ้ยก๋อง) และเหล้า ประเภทนี้เมื่อทำพิธีและร่ำเรียนวิชาแล้ว จะมีครู หรือ “เดีย เมี้ยน” คอยช่วยเหลือในเวลาเก็บยารักษาผู้ป่วยให้มีความศักดิ์สิทธิ์ 4.) ซิบเมี้ยนเมี่ยน รักษาทางด้านจิตใจ และจิตวิญญาณ “ซิบเมี้ยนเมี่ยน” จะเป็นผู้ที่มี ความสามารถติดต่อกับเทพหรือวิญญาณได้ ทั้งสามโลก คือ โลกมนุษย์ โลกบาดาล และบนสวรรค์ 5.) คนทรง คือ คนที่สามารถติดต่อเทพหรือวิญญาณได้ จะมีทั้งผู้หญิงและชาย โดยจะทำ หน้าที่เข้าทรงเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วยที่เชื่อว่า เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธ์หรือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า “โบ้วกว๋าตอน” 6.) หมอคาถา จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ โดยทั่วไปจะรักษาอาการที่เกิดจากการตกใจสุดขีด (จุ เฮ้ย) เฉพาะในเด็กเท่านั้น วิธีการรักษาเรียกว่า “เซียวกิง” ถ้าเป็นผู้ใหญ่การรักษาเรียกว่า “เซียวเฮ้ย” นอกจากนี้แล้ว การใช้คาถาในการรักษาโรคจะเกี่ยวกับสมุนไพรด้วย 7.) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค กลุ่มนี้ถือว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ในการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น “แป้งหงาย” “ฝาวทอย” โดยอาศัยประสบการณ์และการสังเกตเป็นหลัก ปัจจุบัน ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการแพทย์สมัยใหม่ โดยเข้ารับบริการการรักษา ตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ส่วนการรักษากับหมอพื้นบ้านก็ยังคงมีอยู่บ้าง แต่มักจะเป็นกรณีของการเจ็บป่วยที่ ไม่ร้ายแรงมาก อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสในชุมชนก็ยังคงถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสมุนไพรจากรุ่นสู่รุ่น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๐ ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่น ตารางที่ ๑ ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นบ้านปางควาย ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่ รูป รายละเอียด 1 นายสันติ วีระนคกุล ภูมิปัญญา หมอผีทำพิธีต่างๆในหมู่บ้าน 2 นายเทวรัตน์ พานพิศุทธิ์ ภูมิปัญญา หมอผีทำพิธีต่างๆในหมู่บ้าน 3 นางหมวงฟิน แซ่พ่าน ภูมิปัญญา การปักผ้าเมี่ยน 4 นางวิไล ประเสริฐสุด ภูมิปัญญา การปักผ้าเมี่ยน ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นบ้านเมืองงามใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ๑ นายใจ้ลิ่น แซ่พ่าน ภูมิปัญญา หมอผีทำพิธีต่างๆในหมู่บ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๑ พิธกรรมสู่ขวัญ การไหว/้พธิกีรรมทางความเชือ่ การแต่งงาน 5.ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ตารางที่ ๒ ปฎิทินประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล เดือน ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล มกราคม ประกอบพิธีเลี้ยงผีต่างๆที่ได้ดูแลครอบครัวรวมถึงไร่ นาตลอดทั้งปี เช่น พิธีเลี้ยงผีปู่ย่าตา ยาย เลี้ยงผีป่าผีเขา เป็นต้น กุมภาพันธ์ ตรุษจีน และการถือกรรมหลังตรุษจีนประมาณ 10 วันและยาวไปตลอดปี สิงหาคม สารทจีนตามความเชื่อของชาวจีน "กงเต็ก" ถือเป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่าง "คนเป็น" และ "คนตาย" เริ่มจากความหมายของคำๆ นี้ มาจากการรวมกันของ 2 คำ คือ • กง แปลว่า การกระทำ • เต็ก แปลว่า คุณธรรม แปลรวมได้ว่า การกระทำที่มีคุณธรรม ซึ่งหมายถึง การแสดงความกตัญญูของลูกหลาน ผ่านพิธีอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ การเผากระดาษกงเต็กนั้น ถือเป็นพิธีการอุทิศ ส่วนกุศลและส่งดวงวิญญาณให้เดินทางไปยังสวรรค์ และอีกนัยหนึ่งคือ เชื่อว่าเป็นการ ส่งข้าวของ เงินทอง และเครื่องใช้ต่างๆ ผ่านเปลวไฟ เพื่อส่งของต่างๆ ไปให้บรรพบุรุษ ผู้อยู่อีกภพหนี่งได้ใช้ซึ่งการเผาสิ่งของต่างๆ ตามความเชื่อนี้ เป็นวัฒนธรรมของคนจีน ที่สืบทอดกันมากว่า 1,400 ปีมาแล้ว ในยุคแรกๆ มีเพียงการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง โคมไฟ ห้องน้ำ ม้า นก และหีบเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ต่อมาก็เริ่มใส่ไอเดีย ต่างๆ ลงไปในกระดาษกงเต็ก มากขึ้นตามยุคสมัย เช่น บ้าน เฟอร์นิเจอร์เครื่องเสียง รถยนต์ มือถือสมาร์ทโฟน หน้ากากอนามัย หรือแม้กระทั่ง "กงเต็กวัคซีนโควิด" ก็มีให้ เห็นกันแล้ว อ้างอิงข้อมูล (นางต้องลักษณ์ ปันผสม, การสื่อสารส่วนบุคคล, กุมภาพันธ์ 2566) ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๒ การแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน การเลือกคู่ครอง (หล่อเอ๊าโกว่) ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมที่จะแต่งงานกับคนในกลุ่ม (Endogamy) ชายและ หญิงที่ใช้แซ่เดียวกัน แต่อยู่คนละกลุ่มเครือญาติย่อย สามารถแต่งงานกันได้ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 26 การสู่ขอ (โท้นิ่นแซง) : เมื่อหนุ่มตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสาวใดแล้ว ฝ่ายชายจะต้องหาใครไปสืบ ถามเพื่อขอทราบวัน เดือน ปีเกิดของฝ่ายหญิง ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงยินยอมบอกก็แสดงว่า พวกเขายอมยก ให้ หลังจากนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายชายก็จะนำเอาวัน เดือน ปี เกิด ของหนุ่มสาวคู่นั้นไปให้หมอผีผู้อาวุโสตรวจดูก่อนว่า ทั้งคู่มีดวงสมพงศ์กันหรือไม่ ถ้าดวงไม่สมพงศ์กัน ฝ่ายชายจะไม่มาสู่ขอ พร้อมแจ้งหมายเหตุให้ฝ่ายหญิง ทราบ แต่ถ้าทั้งคู่ยืนยันที่จะอยู่ร่วมกันก็อาจทำการสู่ขอและหมั้นหมายได้ แต่ไม่ให้ผู้หญิงเข้ามานับถือผีเดียวกับ ฝ่ายชาย โดยในพิธีแต่งงานจะต้องบอกผีบรรพบุรุษว่า ฝ่ายชายจะรับฝ่ายหญิงเป็นน้องสาว และไม่อาจทำพิธี ดื่มเหล้า ภาพที่ ๑๑ กำไลเงินที่เถ้าแก่ใช้สู่ขอหญิงสาวชาวเมี่ยนให้ฝ่ายชาย ที่มาภาพ https://bit.ly/3lCo1AO พิธีแต่งงานใหญ่ (ต่ม ชิ่ง จา) : พิธีนี้เป็นพิธีใหญ่ซึ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง คนที่จัดพิธีใหญ่นี้ส่วนมาก จะเป็นผู้ที่มีฐานะดี จะใช้เวลาในการทำพิธี 3 คืน 3 วัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเตรียมงานกันเป็นปี คือ ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ไว้ให้พอกับการเลี้ยงแขก (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) พิธีแต่งงานเล็ก (ชิ่งจาตอน): พิธีต่างๆ จะเป็นการกินเลี้ยงฉลองอย่างเดียวไม่มีพิธีกรรมอะไรมาก จะใช้เวลาทำพิธีเพียงวันเดียว เจ้าสาวไม่ต้องสวมผ้าคลุมศีรษะที่มีน้ำหนักมาก และพิธีเล็กนี้ไม่ต้องสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายมาก จุดสำคัญของการแต่งงานของเมี่ยน คือ ตามที่เจ้าบ่าวตกลงสัญญาจ่ายค่าตัวเจ้าสาวกับพ่อแม่ ของเจ้าสาวไว้ เพื่อเป็นการทดแทนที่ได้เลี้ยงดูเจ้าสาวมา และฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องบอกวิญญาณบรรพบุรุษของ ตนเองยอมรับ และช่วยคุ้มครองเจ้าสาวด้วย ประการสุดท้ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องดื่มเหล้าที่ทำพิธี แล้วร่วมแก้วเดียวกัน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๓ ภาพที่ ๑๒ เจ้าบ่าวชาวไทยและเจ้าสาวชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือศาสนาคริสต์โดยจัดพิธีแต่งงานทั้งแบบ คริสต์ และแบบอิ้วเมี่ยนดั้งเดิม (แต่ไม่มิพิธีกรรมไหว้ผี) ที่มาภาพ : นส.สิริวรณ โชติชัยชุติมา (2560) ภาพที่ ๑๓ ขบวนแห่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ที่มาภาพ : นส.สิริวรณ โชติชัยชุติมา (2560) ภาพที่ ๑๔: ซ้าย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยกน้ำชาไปแสดงความเคารพต่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย ภาพที่๑๕ ขวา:ญาติผู้น้องของเจ้าสาวทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว(สามารถเป็นได้ทั้งญาติทางฝ่ายพ่อและฝ่าย แม่)คนหนึ่งทำหน้าที่ถือผ้าขาวใช้จูงเจ้าสาวอีกคนช่วยกางร่มให้ ที่มาภาพ : นส.สิริวรณ โชติชัยชุติมา (2560)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๔ พิธีกรรมการหย่าร้าง กระบวนการหย่าร้างแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือผี คือ หากเป็น ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนที่มีลูกและต้องการจะหย่ากับสามีนั้น ตามจารีตประเพณีก็อนุญาตให้เธอแยกกันอยู่กับสามีได้ แต่ไม่สามารถหย่ากับผีทางฝ่ายสามีได้ และเมื่อผู้หญิงเสียชีวิต ญาติฝ่ายสามีเดิมต้องนำศพกลับไปทำพิธี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ต้องกลายไปเป็นผีฝ่ายสามีส่วนลูกก็ต้องนับถือผีฝั่งสามี ไม่ว่าจะแยกกันอยู่หรือไม่ก็ ตาม ทั้งนี้ หากสามีเป็นฝ่ายไม่พอใจภรรยาก็ขอแยกกันอยู่ได้ แต่หย่ากันไม่ได้ สำหรับกรณีที่ไม่มีลูกด้วยกัน ผู้หญิงสามารถหย่ากับผีฝ่ายสามี แต่ไม่สามารถกลับไปอยู่ในบ้านเดิมกับพ่อแม่ของตนเอง โดยพ่อกับแม่ สามารถทำได้เพียงปลูกบ้านให้ลูกสาวอยู่ข้างๆ บ้านเดิมเท่านั้น เพราะชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า หากผู้หญิงที่หย่าร้าง กลับไปอยู่กับพ่อแม่ก็จะนำพาโชคร้ายมาให้ และเธอจะมีสถานะเป็นคนที่ไม่ได้นับถือผีเลย ซึ่งจะดำรงชีวิตได้ อย่างยากลำบากมากในสังคมจารีตแบบดั้งเดิม (แต่ในกรณีที่ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนไม่ได้แต่งงานกับคนเผ่าเดียวกัน เมื่อหย่าแล้วก็สามารถกลับมาอยู่กับพ่อแม่ได้) (สัมภาษณ์, นายเลาเถา คิริพานกุล,วันที่ 28 ธันวาคม 2561) การตายและการทำศพของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน งานศพ การทำพิธีศพของชาวอิ้วเมี่ยนจะใช้วิธีการฝังหรือเผาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของญาติผู้ตาย และสภาพพื้นที่ของแต่ละหมู่บ้าน สิ่งที่สำคัญ คือ ความสะดวกในการฝังหรือเผาศพหรือกระดูกของผู้อาวุโส ที่ฝังไว้จะต้องไม่ถูกรบกวนจากผู้อื่น ในปัจจุบัน ชาวอิวเมี่ยนนิยมใช้การเผาศพเป็นหลัก ประเพณีเลี้ยงผีของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน พิธีส่งผีป่า เรียกว่า พิธีฝูงเยี่ยนฟิวเมี้ยน หมายถึง การส่งผีป่า พิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมของเมี่ยนที่มีมา แต่ดั้งเดิมแล้ว และได้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมี่ยนเชื่อว่าพิธีกรรมนี้เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่ช่วยในการที่คน ๆ หนึ่งไปทำผิดต่อผีป่าหรือลบหลู่โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเมื่อผีป่าเกิดความโกรธจึงทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา และ จะไม่สามารถรักษาได้ โดยทั่วไปจึงต้องทำพิธีเพื่อขอขมา (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) พิธีซิบตะปูงเมี่ยน เป็นวันที่ชุมชนในหมู่บ้านร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเซ่นไหว้ผีบ้านผีเมือง มีทั้งวิญญาณที่ดี และวิญญาณที่ร้าย ซึ่งต้องแบ่งแยกเครื่องเซ่น และสถานที่ ปกติมักทำกันเพียงปีละ 1 ครั้ง โดยสถานที่ ประกอบพิธีกรรมจะทำในป่าที่ชุมชนได้คัดเลือกสถานที่ที่มีความเหมาะสมไว้ ส่วนมากนิยมใช้สถานที่บริเวณที่ มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และเป็นพื้นที่หวงห้ามผู้คนเข้าไปตัดไม้เด็ดขาด เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากฝ่าฝืน จะเป็นภัยพิบัติแก่ผู้กระทำได้ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 78) ประเพณีอื่นๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ประเพณีการบวช (กว๋าตัง) คำว่า "กว๋า ตัง" ในภาษาเมี่ยนมีความหมายว่า แขวนตะเกียง ซึ่งเป็น การทำบุญเพื่อให้เกิดความสว่างขึ้น และชาวอิ้วเมี่ยนเองก็จะถือว่าผู้ที่ผ่านพิธีนี้แล้ว จะมีตะเกียง 3 ดวง พิธีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า เป็นพิธีที่ทำเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ถือเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง ทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ และเป็นผู้สืบสกุล (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๕ ภาพที่ ๑๖ ประเพณีการบวช (กว๋าตัง) ที่มาภาพ ต้องลักษณ์ ปันผสม (2565) พิธีกว๋าตัง หมายถึง พิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง เป็นพิธีที่สำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นการสืบทอดตระกูล และเป็นการทำบุญให้บรรพบุรุษด้วย ในการประกอบพิธีกว๋าตังนี้ จะต้องนำภาพเทพพระเจ้าทั้งหมดมาแขวน เพื่อเป็นสักขีพยานว่าบุคคลเหล่านี้ว่าได้ทำบุญแล้ว และจะได้ขึ้นสวรรค์เมื่อเสียชีวิตไป (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) พิธีเรียกขวัญ การเรียกขวัญก็เป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่เมี่ยนให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด ในระยะ 1 ปีของเมี่ยนนั้นแต่ละคนต้องทำการเรียกขวัญอย่างน้อย 1 ครั้ง บางคนนั้นอาจจะเรียกขวัญปีละ 2-3 ครั้ง ก็มี เนื่องจากคนคนนั้นเกิดอาการป่วยเกิดขึ้น หรือทำเมื่อตกใจเห็นอะไรที่ไม่ดี จะต้องเดินทางไกล จากบ้านไป นาน ชนเผ่าเมี่ยนจึงทำการเรียกขวัญ เพื่อที่ให้ขวัญกับมาอยู่กับตัว เมี่ยนเชื่อว่าการเรียกขวัญนั้นจะช่วยขจัด ความทุกข์ทรมานได้ และเมื่อทำแล้ว วิญญาณบรรพบุรุษก็จะมาคุ้มครอง และดูแลผู้เรียกขวัญ เมื่อเรียกขวัญ เสร็จก็จะทำให้คนที่สู่ขวัญนั้นสบายใจขึ้น (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๖ เทศกาลสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ประเพณีเจี๋ยเจียบเฝย หรือ เชียดหาเจียบเฝย (วันสาร์ทจีน) ตรงกับวันที่ 14 – 15 เดือน 7 ของ จีน โดยวัน “เชียดหาเจียบเฝย” ของอิ้วเมี่ยนจะมี 2 วัน คือ วันที่ 14 หรือเรียกว่า "เจียบเฝย" และวันที่ 15 เรียกว่า "เจียบหือ" ก่อนถึงเชียดหาเจียบเฝย 1 วัน คือวันที่ 13 หรือที่เรียกกันว่า "เจียบฟาม" ชาวบ้านจะ เตรียมของใช้สำหรับทำพิธี เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง และหาฟืนมามาเก็บไว้มากๆ เพราะว่าในวันทำพิธีนี้ ห้ามไปทำไร่และเก็บฟืน ส่วนคนที่ไปนอนค้างคืนไนไร่ก็จะทยอยกันเดินทางกลับบ้านในวันนี้ นอกจากนี้ยังทำ ขนมที่เรียกกันว่า "เจียบเฝยยั้ว" วันที่ 14 หรือ เจียบเฝย เชื่อกันว่าเป็นวันของคน ชาวบ้านจะไม่ไปไร่เข้าป่าล่า สัตว์ ไม่ทำงานใดๆ วันนี้จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพราะเป็นที่เทพเจ้า เทพธิดา วิญญาณบรรพบุรุษเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ มีการทำบุญกันทุกบ้านเรือน มีการขออภัยโทษแก่ดวง วิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระ ลูกหลานจะต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เผากระดาษเงิน กระดาษทองส่งไปให้ วิญญาณบรรพบุรุษได้ใช้จ่าย วันที่ 15 วิญญาณบรรพบุรุษจะได้คุ้มครองดูแลลูกหลาน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ (เจี๋ย เซียง เหฮียง) เนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนใช้วิธีนับวัน เดือน ปี แบบจีน ดังนั้น วันฉลองปีใหม่จึงเริ่มพร้อมกันกับชาวจีน คือ วันตรุษจีน ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “เจี๋ยฮยั๋ง” พิธีฉลองปีใหม่ของ เมี่ยนจะจัดเป็นประจำทุกๆ ปี หลังจากปีเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับชนเผ่ากลุ่มอื่นๆ ทั่วไป ทั้งนี้ ก่อนที่จะถึงพิธี เจี๋ยงฮยั๋ง นี้ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือน จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัว และของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว จะมีกฎข้อห้ามหลายอย่าง ที่ชาวอิ้วเมี่ยนยึดถือและปฏิบัติกันต่อๆ กันมา โดยมูลนิธิกระจกเงา (2552) ได้อธิบายถึงข้อพึงปฏิบัติและ ข้อห้ามปฏิบัติในช่วงวันขึ้นปีใหม่ ดังต่อไปนี้ สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนวันปีใหม่ 1.) อาหารสัตว์เช่น หยวกกล้วย หญ้าสำหรับเลี้ยงหมูเลี้ยงวัวและอื่น ๆ เพราะอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า ถ้าไป หาอาหารสัตว์ในวันขึ้นปีใหม่นี้ เมื่อถึงเวลาทำไร่ จะมีวัชพืชขึ้นมาก ทำให้ผลผลิตไม่ดีหรือไม่พอกิน 2.) ฟืน สำหรับหุงต้ม เมี่ยนเชื่อว่าถ้าไปตัดฟืนในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้ในตัวบ้านมีแมลงบุ้งมาก 3) ขนม (ฌั้ว) ใช้สำหรับไหว้พรรพบุรุษ และใช้กินในวันขึ้นปีใหม่ ขนมที่ทำมีข้าวปุก (ฌั้ว จซง) และ ข้าวต้มมัดดำ (ฌั้วเจี๊ยะ, ฌั้วจฉิว) 4) เนื้อ สัตว์ส่วนมากจะฆ่ากันวันที่ 30 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า มีทั้งหมู และไก่ เพราะเมื่อถึงวัน ขึ้นปีใหม่ชาวอิ้วเมี่ยนจะไม่ฆ่าสัตว์ มีความเชื่อว่า ถ้าฆ่าสัตว์ในวันขึ้นปีใหม่นี้แล้ว จะทำให้การเลี้ยงสัตว์ไม่ดี และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ แก่สัตว์ได้ 5) เตรียมไข่ เพื่อจะมาย้อมเป็นสีแดง สำหรับย้อมให้เด็ก และญาติพี่น้องที่มาเที่ยวในวันขึ้นปีใหม่ ซึ่ง ถือว่าเป็นสิริมงคล และเป็นสิ่งที่ดีงาม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๗ ภาพที่ ๑๗ ไข่ย้อมสีแดง ที่มาภาพ http://bit.ly/40Yottd 6) ของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้าเครื่องประดับ และอื่น ๆ จะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนวันขึ้นปีใหม่ เพราะในวันขึ้นปีใหม่ เมี่ยนห้ามใช้เงิน ถ้าใช้เงินในวันนี้เชื่อว่า เวลามีเงินแล้ว จะไม่สามารถเก็บได้ ต้องจับจ่าย ออกไปจะยากจน และไม่สามารถหาเงินทองได้ 7) ประทัด ใช้จุดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นการแสดงความยินดีที่ปีเก่าได้ผ่านไป ด้วยดี และต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะถึง ข้อห้ามพึงปฏิบัติในช่วงวันขึ้นปีใหม่ 1) ไม่ใช้เงิน เพราะเชื่อว่า ถ้าใช้เงินจะไม่สามารถเก็บเงินอยู่ได้ 2) ไม่ฆ่าสัตว์ เพราะเชื่อว่า จะทำให้เลี้ยงสัตว์ไม่เจริญ 3) ไม่ทำไร่ เพราะเชื่อว่า จะทำให้ปลูกพืชไม่งอกงาม 4) ไม่เก็บฟืนและหาอาหารสัตว์ เพราะมีความเชื่อว่า วันพักผ่อนก็ควรจะพักผ่อน เพราะเมื่อทำอะไร แล้ว จะทำนั้นไม่เจริญงอกงาม เมื่อเลือกใช้ฟืนจะเลือกที่มีลักษณะสวยงาม โดยมีความเชื่อว่า ลูกหลานจะได้ สวยงามตามไปด้วย 5) ไม่กินอาหารประเภทผัก เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าทำไร่ หญ้าจะขึ้นรก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๘ ภาพที่ ๑๘ ประเพณีวันปีใหม่ ที่มาภาพ http://bit.ly/3Kk4jnA
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๙ การกราบไหว้บรรพบุรุษ การบวชของผูช้ายเมีย่น พธิกีรรมและความเชือ่ 6.ศาสนาและความเชื่อ ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าและการเข้าถึงของสังคมที่มีความหลากหลาย ชาวเมี่ยนจึงไม่ใช่เพียงนับถือ ผีและบรรพบุรุษเท่านั้นแต่ชาวเมี่ยนยังนับถือศาสนาสากลอย่างคนพื้นเมืองทั่วไป การนับถือผี ชาวเมี่ยนส่วนใหญ่จะนับถือเทพยดา วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณทั่วไป ทุกบ้านจะมีหิ้งบูชา เป็น ที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ และมีความเชื่อในเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจน การนับวันเดือนปี สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน โชคลางและการทำนาย พิธีกรรมที่สำคัญ จะมีพิธีกรรม การตั้งครรภ์ พิธีกรรมการเกิด การสู่ขวัญ การบวช การแต่งงาน พิธีงานศพ ขึ้นปีใหม่ และวันกรรม วันเจี๋ย เจียบ เฝย (สาร์ทจีน) พิธีซิบตะปูงเมี้ยน เมี่ยนได้เริ่มนำเอาลัทธิเต๋ามาเป็นแนวทางในการปฎิบัติเมื่อครั้งอพยพ ทางเรือในช่วงคริสศตวรรษที่ 13 ความเชื่อของเมี่ยนจึงผสมผสานกันระหว่างความเชื่อเรื่องเทพ และวิญญาณ ชึ่งมีความคิดพื้นฐานในการยอมรับเรื่องอำนาจของเทพ เจ้าป่าเจ้าเขาหรือสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นหลัก ชาว เมี่ยนเชื่อว่า ในชีวิตคนจะมีขวัญ (เวิ่น) ซ่อนอยู่ในสวนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งมีทั้งหมด 11 แห่ง คือที่ เส้นผม, ศีรษะ, ตา, หู, จมูก, ปาก, คอ, ขา, แขน, อก, ท้อง, และเท้าเมื่อเสียชีวิตไปขวัญ จะเปลี่ยนเป็นวิญญาณหรือผี (เมี้ยน) และจะสิงสถิตยอยู่ในธรรมชาติ เช่น ในภูเขา แม่น้ำ หรือทั่วไป ซึ่งปกติอำนาจของวิญญาณหรือของ เหนือธรรมชาติ ในโลกจะมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ แต่ถ้าไปทำให้ผีโกรธแล้วผี จะทำให้เกิดความทุกข์ ทรมานและมีความเสียหายได้ เมี่ยนมีทัศนคติว่าความมั่นคง และความปลอดภัยของมนุษย์ทั้ง ขณะดำรงชีวิต อยู่และหลังจากตายไปแล้วล้วนจะขึ้นอยู่กับวิญญาณหรือภูตผีเพราะเมี่ยน เชื่อว่ามนุษย์อยู่ในความคุ้ม ครอง ของวิญญาณหรือภูตผี การสร้างความสัมพันธหรือติดต่อกับวิญญาณภูตผีกระทำได้โดยผ่านพิธีกรรมเท่านั้น ความเชื่อของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติกับ บรรพบุรุษ และความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋าเมื่อครั้งอพยพทางเรือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดย ชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชื่อว่า ความมั่นคงและความปลอดภัยของมนุษย์ ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อตายไปแล้ว ล้วนขึ้นอยู่กับเทพเจ้า มนุษย์อยู่ในความคุ้มครองของเทพเจ้า และต้องไม่กระทำการใด ๆ ที่ขัดแย้งกับอำนาจ ของเทพเจ้า แต่ถ้าได้กระทำการใด ๆ ขัดแย้งไปก็สามารถประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไขได้ ซึ่งการติดต่อกับเทพ เจ้าผ่านการประกอบพิธีกรรม เป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า นอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังมี ศาสนาและความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๐ ความเชื่อว่า ทุกสิ่งรอบตัวมีวิญญาณสิงสถิตอารักขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แม่น้ำลำธาร แต่วิญญาณเหล่านี้มี ทั้งวิญญาณที่ดีและไม่ดี สามารถบันดาลทั้งคุณและโทษต่อชีวิตของมนุษย์ได้ จึงต้องทำพิธีกรรมบูชาหรือขอ ขมาต่อวิญญาณเหล่านี้เช่นเดียวกัน วิญญาณที่ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม อันได้แก่ วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณพระเจ้าผินหวาง (เปี้ยนฮู่ง) : ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือวิญญาณของบรรพ บุรุษที่ตายไปแล้วเพียง 4 รุ่นเท่านั้น โดยเชื่อว่า วิญญาณบรรพบุรุษจะสิงสถิตบนสวรรค์และคอยปกป้อง ลูกหลานของตน รวมทั้งเป็นตัวแทนผู้ติดต่อระหว่างคนที่มีชีวิตอยู่กับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังนับถือเปี้ยนฮู่งซึ่ง ชาวอิ้วเมี่ยนถือว่า เป็นผู้ให้กำเนิดชนเผ่าของตนด้วย การเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้ ท่านช่วยคุ้มครองดูแลลูกหลาน และช่วยดูแลเรื่องการทำมาหากิน แต่ถ้าหากที่ฝังศพหรือกระดูกของบรรพ บุรุษถูกรบกวนหรือขาดการเซ่นไหวก็จะทำให้ลูกหลานเจ็บป่วยด้วยเช่นกัน ดังนั้น บ้านของชาวอิ้วเมี่ยนทุก บ้านจึงมีการตั้งหิ้งบูชา (เมี้ยนป้าย) ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ โดยเมื่อปู่และพ่อตายไป ลูกหลาน จะต้องทำบุญเพื่อให้วิญญาณบริสุทธิ์ ปีละครั้งเป็นเวลา 3 ปี แล้วจึงเชิญวิญญาณท่านมาสิงสถิตได้ ในแต่ละปี ชาว อิ้วเมี่ยนจะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (ซิบ อง ไถ เมี้ยน) ตามเทศกาลต่าง ๆ อย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง และ แต่ละครอบครัวจะเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษตัวเองเพื่อเรียกขวัญตัวเอง (โจ่ว เวิ่น) อย่างน้อยปีละครั้ง เมื่อมี การประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ เช่น งานศพและงานแต่งงาน ก็จะเชิญวิญญาณบรรพบุรุษของตนและเปี้ยนฮู่ง มาสิงสถิตย์ที่บ้าน จนกระทั่งเสร็จพิธีจึงจะเชิญกลับ นอกจากนี้ เมื่อประสบกับความทุกข์ยากหรือเจ็บป่วย ชาวอิ้วเมี่ยนก็จะประกอบพิธีเซ่นไหว้ให้บรรพบุรุษมาช่วย เทพยดา : ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า เทพที่มีระดับสูงและมีอำนาจมาก มีประมาณ 80 กว่าองค์ แต่เทพองค์ ที่ชาว อิ้วเมี่ยนนับถือมากที่สุด คือ “หยุด ต๋าย ฮู่ง” ซึ่งเป็นประมุขของเทพเจ้าที่สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด และทำหน้าที่คอยดูแลมนุษย์โลกที่ทำพิธีร้องเรียนและขอความเป็นธรรมจากเทพดา ในกรณีที่วิญญาณบรรพ บุรุษไม่สามารถช่วยเหลือลูกหลานได้ นอกจากนี้ยังนับถือเทพเจ้า (ต้ม ต้อง เมี้ยน) ซึ่งปรากฏอยู่ในเทวภาพทั้ง 18 เป็นเทพที่มีอิทธิฤทธิ์มาก เทพที่ชาวอิ้วเมี่ยนให้ความนับถือสูงสุด คือ “เล่งสี่ เล่งปู๊ โต้ต๊ะ” ซึ่งรวมเรียกว่า “ฟ่ามชิง” โดยชาวอิ้วเมี่ยนจะเชิญเทพเจ้ามาเลี้ยงเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เทพเจ้าที่อิ้วเมี่ยนจำลองมากราบไหว้นั้น มีทั้งแกะสลักจากไม้ หรือหิน และเป็น รูปภาพที่วาดโดยช่างจีน แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะพบแค่รูปเทวภาพที่มีประมาณ 24 รูป ใน 1 ชุด ถูกเก็บไว้ อย่างดีในห่อผ้าหรือกรุ ซึ่งเรียกว่า เมี้ยนคับ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๑ ภาพที่ ๑๙ เทพที่ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือ ที่มา : https://bit.ly/3Efe8j1 เทพทั่วไป : ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า ทุกหนทุกแห่งมีเทพหรือเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ ฯลฯ สิงสถิต แต่มีทั้งดี และร้าย เทพที่ดีจะสิงสถิตอยู่บนสวรรค์ ส่วนวิญญาณที่ชั่วร้ายมักจะอยู่ตามต้นไม้และมักจะทำอันตรายผู้อื่น จึงมีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเทพและวิญญาณเหล่านี้ โดยเฉพาะการทำพิธีเลี้ยงเทพเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อ ขอบคุณที่ได้ดูแลรักษาพืชไร่ สัตว์เลี้ยง ตลอดจนทุกคนในหมู่บ้าน โดยการจัดพิธีเลี้ยงวิญญาณนี้จะทำพร้อมกัน ทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีการประกอบพิธีกรรมไล่วิญญาณชั่วร้าย (จุ้น ฮ๋าว) อีกด้วย นอกจากชาวอิ้วเมี่ยนจะมีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงสถิตในสถานที่ต่าง ๆ อาทิเช่น ป่า ภูเขา หนองน้ำ แม่น้ำ จอมปลวก นรก และสวรรค์ ฯลฯ พวกเขายังมีความเชื่อเรื่องโชคลางและการทำนาย ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม รวมทั้งความเชื่อเรื่องขวัญ โดยมีความเชื่อต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ขวัญ : ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่าในร่างกายของคนเรามีขวัญ (ว่น) อยู่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่ ตา หู ปาก คอ แขน หน้าอก ท้อง ขา ข้างหัวด้านซ้าย ข้างหัวด้านขวา เท้า และมือ แต่ขวัญของเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ นั้นยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่กับตัวเด็กตลอดไปหรือไม่ จึงเรียกว่า “เปี้ยง” เมื่อขวัญแห่งใดแห่งหนึ่งตกใจหรืออกจากร่างไป จะทำให้เจ้าของร่างกายเจ็บป่วยขึ้น ดังนั้น การเรียกขวัญของ อิ้วเมี่ยนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๒ ความเชื่อในเรื่องโชคลางและการทำนาย : ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า ถ้าเจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ตามที่ตนเชื่อและ นับถือ เช่น มีงูเข้าบ้าน เก้งพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้านกระรอกโดดผ่านหน้า และต้นไม้ล้มขวางทาง นกถ่าย อุจจาระใส่ ฯลฯ จะเป็นลางไม่ดี หรือลางบอกเหตุล่วงหน้า ซึ่งเรียกว่า “เป๋นไกว๋” ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำ ของวิญญาณที่ไม่ดี ถ้าหากเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ นี้จะต้องมีการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อให้สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ผ่านพ้นไป และต้องอยู่กรรม หรือ “เก่” 3 วัน นอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีความเชื่อในเรื่องการทำนาย โดยดู จากกระดูกไก่จึงจะดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย ถ้าหากผลการทำนายออกมาไม่ดีก็จะงดการทำกิจกรรมนั้น ๆ ความเชื่อในเรื่องของวันดี และการหาฤกษ์ยาม : ในวิถีชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยนอาจพูดได้ว่า กิจกรรมทุก อย่างที่สำคัญจะต้องเกี่ยวข้องกับฤกษ์ยามเกือบจะทุกกิจกรรม เพราะเรื่องของพิธีกรรมเป็นสิ่งสำคัญและเป็น เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันดังนั้นจึงจะต้องมีการเลือกวันดีวันมงคลก่อน ชาวอิ้วเมี่ยนจึง จะกล้าทำกิจกรรมที่สำคัญต่าง ๆ แต่หากไม่เชื่อก็จะทำให้เกิดผลเสียตามมาภายหลัง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ลดน้อยลงไปมาก เพราะ หลายชุมชนได้อพยพลงมาอยู่ในพื้นที่ราบหรือในเมืองทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมากนัก นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่หันไปนับถือศาสนาอื่น ๆ โดยนาง จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา (แซ่ตั้ง) ชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก เมื่อประมาณ 50 กว่าปีก่อน โดย นับถือตามมารดาที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนจากการชักชวนของคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาและเรียน พูดภาษาอิ้วเมี่ยนในอำเภอเชียงคำ จ.พะเยา ได้กล่าวว่าชาวอิ้วเมี่ยนที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม เป็นกลุ่มที่เลิกนับถือผี รวมทั้งเลิกความเชื่อที่ว่า ชาวอิ้วเมี่ยนทั้งหมดล้วนสืบเชื้อสายมาจากเปี้ยนฮู่งในส่วนของ กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธดังเช่นครอบครัวฝ่ายสามีก็ได้ผสมผสานความเชื่อเรื่องผีกับศาสนาพุทธได้อย่างไม่ ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ไม่ได้ยึดถือความเชื่อเรื่องผีหรือเปี้ยนฮู่งมากเท่ากับกลุ่มที่นับถือผี แต่ยังคงนับถือผีบรรพ บุรุษและประกอบพิธีกรรมการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษตามโอกาสสำคัญต่าง ๆ ในขณะที่กลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือ ผียังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับเปี้ยนฮู่งอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม แม้ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น แต่หมอผีของหมู่บ้านก็ยืนยันว่า แม้ว่าผู้คนในหมู่บ้านมีความเชื่อที่แตกต่างกันก็ยังคงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยชาวอิ้วเมี่ยนกลุ่มที่ นับถือศาสนาอื่นก็ยังมาช่วยงานพิธีทำบุญเลี้ยงผีในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านศาสนาและ ความเชื่อข้างต้นได้ส่งผลทำให้กลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือศาสนาคริสต์เลิกยึดถือความเชื่อดั้งเดิมในเรื่อง ผีบรรพบุรุษ แต่ยังคงเชื่อว่าผีทั่วไปมีอยู่จริง ในฐานะที่เป็นปิศาจรับใช้ซาตานตามคำสอนทางศาสนาเท่านั้น ดังนั้น พวกเขาจึงล้มเลิกการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เมื่อญาติผู้ใหญ่ใน ครอบครัวเสียชีวิต ชาวอิ้วเมี่ยนที่เป็นคริสต์ก็จะไม่ประกอบพิธีทางศาสนาใด ๆ แต่จะนำดอกไม้ไปทำความ เคารพที่หลุมศพเท่านั้น อีกทั้งยังเลิกเชื่อถือในเรื่องโชคชะตา คำทำนาย และขวัญ ดังเช่นบรรพบุรุษที่นับถือผี มาก่อน โดยนางจุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา ในฐานะที่เป็นชาวอิ้วเมี่ยนบ้านห้วยเฟืองที่นับถือศาสนาคริสต์ กล่าว ว่า แม้ตนจะไม่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ แต่ก็มิได้ก้าวล่วงความเชื่อของกลุ่มคนที่นับถือผีในชุมชน เพราะมอง ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล และยินดีจะให้ความช่วยเหลือหรือเข้าร่วมในพิธีทางศาสนาของเพื่อนบ้าน อาทิเช่น กรณีที่คนรู้จักในหมู่บ้านจัดงานทำบุญเลี้ยงผีบรรพบุรุษหรือทำพิธีเรียกขวัญให้คนในบ้านที่เจ็บป่วย และขอให้ เธอช่วยอธิษฐานกับพระเจ้าของศาสนาคริสต์ด้วย เธอก็ยินดีจะอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย หรือหากกรณีเพื่อน บ้านจัดงานศพ เธอก็ยินดีไปช่วยเตรียมอาหารจัดเลี้ยงในงาน แต่ไม่สะดวกใจที่จะร่วมรับประทานอาหารที่ใช้ เซ่นไหว้ผี เพราะศาสนาคริสต์สอนว่า ไม่ควรรับประทานอาหารที่เอาไปไหว้รูปเคารพหรือผีต่าง ๆ แต่กระนั้น เนื่องจากศาสนาคริสต์ไม่ได้บัญญัติว่าเรื่องนี้เป็นข้อห้ามปฏิบัติโดยเด็ดขาด เพราะสอนว่าการรับประทานของ ชาวคริสต์จะต้องไม่กระทบต่อผู้ที่ต่างศาสนา ต่างความเชื่อ ดังนั้น หากมิสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็จำเป็นต้อง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๓ รับประทานอาหารเซ่นไหว้ผีเหล่านั้น แต่ก่อนรับประทาน เธอจะอธิษฐานกับพระเจ้าขอให้ชำระล้างอาหาร เหล่านี้ให้บริสุทธิ์เสียก่อน กรณีของชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนที่รับเอาอิทธิพลของศาสนาพุทธนั้น กลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นแรก ๆ ที่หันมา รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นสามีของเธอที่อายุประมาณ 50 – 60 ปีขึ้นไป เพราะ สมัยก่อนเด็ก ๆ ชนเผ่าบนดอยมีฐานะยากจนไม่มีทุนศึกษาเล่าเรียนต่อ จึงนิยมไปบวชเรียนที่วัด อย่างไรก็ตาม แม้จะบวชเรียนเป็นพระหรือเณร แต่เด็กชายอิ้วเมี่ยนเหล่านี้ก็มิได้เลิกนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิมของ ครอบครัว เช่นเดียวกับกรณีของสามีของเธอที่ครอบครัวยังคงประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษแบบดั้งเดิม และเมื่อมารดาของสามีเสียชีวิต เขาก็ยังคงจัดพิธีศพแบบดั้งเดิม แต่สามียังคงมีความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมทาง พุทธศาสนา เมื่อบริษัทที่ทำงานจัดพิธีกรรมพุทธ สามีของเธอก็สามารถช่วยดำเนินการได้ ทว่าสามีไม่ใคร่จะ ทำกิจกรรมทางศาสนาพุทธในกิจวัตรประจำวันเท่าใดนัก อิ้วเมี่ยนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานและเรียนหนังสือในเมืองมากขึ้น พวกเขามักจะนิยมเข้าวัดทำกิจกรรมทาง ศาสนาพุทธร่วมกับเพื่อนชาวไทยพุทธในเมือง แต่เมื่อกลับบ้านบนดอยก็ยินยอมให้พ่อแม่ทำพิธีสะเดาะ เคราะห์หรือเซ่นไหวผี ส่วนชาวอิ้วเมี่ยนที่ไปอาศัยอยู่ในพื้นราบก็รับความเชื่อบางส่วนของคนเมืองพื้นราบ เพราะมองว่ามีความใกล้เคียงกับความเชื่อของเมี่ยน เช่น ถ้าคนในครอบครัวไม่สบายก็จะพาไปหาหมอหรือร่าง ทรงที่เป็นคนเมือง แม้ว่าในปัจจุบัน ชาวอิ้วเมี่ยนที่หันไปรับอิทธิพลจากศาสนาและความเชื่ออื่นบางส่วนยัง มิได้ล้มเลิกความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษโดยสิ้นเชิง แต่ในระยะยาว คำสอนจากศาสนาอื่นที่ชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นใหม่ ได้รับการถ่ายทอดจากระบบการศึกษาส่วนกลางและการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จะค่อย ๆ มีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ต่อชีวิตและสังคมของชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นใหม่ ในทิศทางที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับโลกทัศน์ ของคนรุ่นเก่าที่นับถือผี อาทิเช่น กรณีของคำสอนเกี่ยวกับเรื่องบาปบุญ ซึ่งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์มีการ บัญญัติเกี่ยวกับศีลและธรรมอย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้าม คนเฒ่าคนแก่ชาวอิ้วเมี่ยนรุ่นเก่าที่นับถือผีไม่ค่อย จะสอนลูกหลานว่าการกระทำใดเป็นบาป บางกรณีพบว่า เมื่อบุตรหลานกระทำผิดกฏหมาย ผู้ใหญ่ใน ครอบครัวก็จะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าสัตว์เพื่อทำพิธีบนบานสานกล่าวขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองบุตรหลาน มิให้ ตำรวจจับไปได้ เป็นต้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๔ ความเชื่อเรื่องของ “ไข่ต้มย้อมสีแดง” ชาวเมี่ยน ชนชาติเชื้อสายจีนเดิมแถบแม่น้ำแยงซีที่อาศัยอยู่มากในแถบจังหวัดทางภาคเหนือ โดยมี ความเชื่อว่า "ไข่ต้มย้อมสีแดง เป็นการอวยพรปีใหม่ให้มีโชคลาภ สุขภาพแข็งแรง ชีวิตเจริญรุ่งเรือง" และ การมอบไข่ต้มย้อมสีแดงให้กับแขกผู้มาเยือน ถือเป็นการอวยพรในงานเฉลิมฉลองตรุษจีนและปีใหม่ของชาว เมี่ยน เพราะเชื่อว่า ไข่ต้มสีแดง หมายถึง ความโชคดี สิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดกับชีวิต ภาพที่ ๒๐ ไข่ต้มย้อมสีแดงอวยพรปีใหม่ ที่มา : https://bit.ly/3KeJCJE
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๕ ข้อห้ามทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวอิ้วเมี่ยน ดังต่อไปนี้ ข้อห้ามระหว่างคนกับธรรมชาติ 1.) เมื่อเห็นรุ้งกินน้ำ ห้ามปัสสาวะหันหน้าไปทางนั้น และห้ามดื่มน้ำที่ต้นน้ำที่เกิดจากรุ้งกินน้ำ 2.) การทำพิธีซิบตะปูงเมี้ยน ห้ามผู้หญิงเข้าไปในพิธี และห้ามรับประทานอาหารในพิธีด้วย 3.) ไม้ที่เหลือจากการทำสะพานต่ออายุ (จ่าเจี้ยว), ทำโลง, เผาศพ ห้ามนำมาทำเป็นฟืน 4.) ห้ามใช้เถาวัลย์ เดี๋ยงซุยในการเผาศพ 5.) ไม้ที่ใช้ทำกระท่อม ต้องแบก ห้ามลาก 6.) การไปค้างแรมในป่า การจุดไฟครั้งแรกต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง 7.) วันกรรมเสือ กรรมลม ห้ามคนนอกเข้าหมู่บ้านและในบ้าน 8.) ฉางข้าวหรือยุ้งข้าว หากล้มก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญข้าว ไม้ที่เคยสร้างคอกหมู, เล้าไก่ หรือฉางข้าว ไม่นิยม นำเข้าบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย 9.) ไม้ที่ใช้สร้างฉางข้าวแล้ว ห้ามเอามาใช้สร้างบ้าน 10.) ไม้ที่ใช้สร้างบ้านแล้วสามารถเอามาสร้างอย่างอื่นได้ 11.) การไปฟันไร่ครั้งแรก (จ๊ะเหลียง) ห้ามร้องเพลง, พูดคำหยาบ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ ข้อห้ามระหว่างคนกับคน 1.) ผู้ที่เคยผ่านพิธีกว๋าตัง, โต่วไซ และวิบเมี้ยนเมี่ยน (ผู้ประกอบพิธีกรรม) ห้ามลอดราวผ้าผู้หญิง และเสื้อผ้า ของผู้หญิงห้ามแขวนสูงกว่าศรีษะ เพราะจะทำให้ไม่สบาย 2.) คนที่จะเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ต้องเป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว หรือสาปแช่งคน 3.) หิ้งบูชา ต้องตั้งอยู่สูงกว่าคน ในกรณีบ้าน 2 ชั้น ต้องทำห้องครัวแยกสำหรับไว้บูชาหิ้ง 4.) ผู้ที่ทำพิธีกว๋าตัง ช่วงทำพิธีต้องถือพรหมจรรย์ ห้ามยุ่งเกี่ยวหรือมีเพศสัมพันธ์กัน เพราะในงานพิธีจะมีการ ปล่อยคาถาไว้ที่หิ้งบูชาและที่ประตูใหญ่ หากคนที่เข้ามาในบ้านที่ทำพิธี และไม่ได้ถือปฏิบัติตามข้อห้ามนี้ จะ ถูกคาถาจนถึงขั้นเสียชีวิต และช่วงรับประทานอาหารจะมีคนที่คอยเสิร์ฟอาหารให้ เมื่ออิ่มแล้วต้องคว่ำถ้วย ห้ามพูดคุยกับผู้หญิง 5.) อิ้วเมี่ยนไม่นิยมรับประทานเนื้อสุนัข เพราะถือว่าเป็นบรรพบุรุษ 6.) อิ้วเมี่ยนไม่นิยมรับประทานเต่าที่มีกระดอง 12 ชิ้น จะรับประทานเฉพาะที่มีกระดอง 13 ชิ้น 7.) ลูกสะใภ้ต้องให้เกียรติพ่อสามี และผู้ชายทุกคนในบ้านหรือญาติที่เป็นชายที่มีอายุมากกว่าสามี เวลานั่ง ต้องนั่งต่ำกว่าผู้ชาย ห้ามนั่งเก้าอี้ในระดับเดียวกับผู้ชาย และห้ามนั่งรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน 8.) ชายห้ามรับประทานเปี๊ยะปู่งแจ (ไก่ตัวแรกที่ผู้หญิงรับประทานหลังคลอดลูก) 9.) เมื่อสตรีอยู่เดือนและยังไม่ได้ทำพิธีทิมเมี่ยนคู้ ห้ามบุคคลภายนอกเข้าบ้าน 10.) สัตว์ประกอบพิธีกรรม เมื่อนำมาประกอบเป็นอาหารนั้น ก่อนรับประทาน จะต้องเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ ลงมารับประทานก่อน 11.) คนเตรียมพิธีโจ๋วด้าง ก่อนรับประทานอาหารต้องล้างมือ และของที่ใช้สำหรับงานพิธีจะต้องห้ามแตะต้อง ห้ามดม และชิม 12.) ซุ่ยติ (คนเป่าปี่) ต้องเป็นคนมีครอบครัว และคู่สมรสยังอยู่ด้วยกัน ไม่นิยมเชิญคนเป่าปี่ที่ไม่มีคู่ไปเล่นใน งานสมรส เพราะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล