สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๖ เจริญรุ่งเรือง มีเรื่องต้องเดือดร้อนไม่จบสิ้น การประกอบพิธีศพของชาวอ่าข่ามีลำดับขั้นตอนและรายละเอียด ของพิธี หากกระทำผิดขั้นตอนเล็กน้อยก็จะต้องเริ่มต้นทำพิธีใหม่ทั้งหมด การประกอบพิธีศพของชาวอ่าข่าจะแตกต่างกันออกไประหว่างผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้สูงอายุกับเด็ก ผู้เสียชีวิตที่แต่งงานกับคนโสด ผู้เสียชีวิตปกติ กับผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ กล่าวคือ ผู้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ จะต้องทำพิธีให้กลายเป็นผู้เสียชีวิตแบบธรรมชาติก่อนแล้วจึงทำพิธีอื่นๆ ตามปกติ ผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุผิด ธรรมชาติ ได้แก่ 1) จมน้ำตาย 2) ถูกยิงตาย3) ถูกสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือหรือเสือดาวกัดกิน และ5) ฆ่าตัวตาย (และอาจมีสาเหตุอื่นๆอีกที่เป็นการตายแบบผิดปกติ) เหล่านี้ จะไม่มีทางที่จะได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดน แห่งบรรพบุรุษ จนกว่าจะได้ผ่านการทำพิธีให้บริสุทธิ์ ซึ่งหากไม่ได้มีการทำพิธีใดๆ แล้ว ดวงวิญญาณของผู้ที่ เสียชีวิตแบบผิดธรรมชาตินั้น จะกลายเป็น“ซาซิ” (Xavxir) หมายถึงวิญญาณร้ายเร่ร่อน ผู้ที่จ้องจะแก้แค้น ทำ ร้ายมนุษย์ (วิไลลักษณ์ เยอเบาะ มปป., ออนไลน์) ส่วนวิญญาณพวกที่ไม่สามารถ เดินทางกลับไปยังดินแดน ของบรรพบุรุษได้ จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เรียกว่า“แหนะ” (Naevq) โดยเฉพาะ สำหรับทารกที่เกิดมาแล้วตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีตั้งชื่อ จะต้องรีบนำศพไปฝังทันที การฝังศพทำแบบ ง่ายๆ ผู้ที่นำศพไปฝังมี 2 คน คือ พ่อของเด็กทารกที่ตายและผู้อาวุโสผู้ชายในหมู่บ้าน เมื่อฝ่ายผู้เป็นพ่อรู้ว่าเด็ก ที่เกิดมาตายแล้ว จะนำไปฝังที่ป่าที่จัดไว้โดยเฉพาะ จะไม่นำไปฝังรวมกับป่าช้าที่เป็นส่วนรวมของหมู่บ้าน โดย มีความเชื่อว่าเป็นสิ่งไม่ดี จะมีวิญญาณมาหลอกหลอนรังควานคนในหมู่บ้าน ดังนั้นเมื่อมีการตายในกรณีนี้ จะ รีบนำไปฝังโดยไม่มีการประกอบพิธีกรรมใดๆ โดยทั่วไปการประกอบพิธีศพชาวอ่าข่าจะใช้เวลาประมาณ 3 - 5 วัน แต่หากผู้เสียชีวิตเป็นผู้มีฐานะดี จะเก็บไว้นานหลายวัน ในการทำพิธีศพ จะมีการฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นสังเวย เช่น ควาย ม้า จากนั้นนำเนื้อมาปรุง อาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมพิธีศพ การฆ่าสัตว์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีศพของชาวอ่าข่า ถือว่าเป็นการให้และขอ พรกับบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่า บรรพบุรุษจะบันดาลพรให้กลับคืนมามากกว่าเดิม เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านอ่าข่า คนในหมู่บ้านจะหยุดงานทุกคนเพื่อมาช่วยงานศพจนกว่าจะทำพิธีฝังศพ เสร็จ ส่วนเรื่องการทำพิธีขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ตาย และความต้องการของญาติผู้ตายที่จะเก็บศพไว้จำนวนกี่วัน โดยปกติทั่วไปมักจะเก็บศพไว้ 3 - 7 วัน เมื่อมีผู้เสียชีวิตในสังคมวัฒนธรรมชาวอ่าข่าจะมีการนับหรือท่อง “จึ” (รายนามบรรพบุรุษ) เพื่อบอกกล่าวบรรพบุรุษว่า ผู้ที่เสียชีวิตจะกลับมาอยู่ร่วมภพกับบรรพบุรุษแล้ว หากไม่ สามารถที่จะนับ “จึ” ผู้เสียชีวิตจะไม่สามารถกลับไปหาบรรพบุรุษของตนเองได้ ดังนั้นเอง “จึ” ในทัศนะของ ชาวอ่าข่า จึงเปรียบเสมือนถนนเส้นหนึ่งที่จะนำพาผู้เสียชีวิตจากโลกปัจจุบันไปสู่ภพของบรรพบุรุษของตนเอง เมื่อมีการนับ “ จึ ” ของผู้ที่เสียชีวิตถูกต้องแล้วนั้น บรรพบุรุษจะรับทราบถึงการเดินทางมาของลูกหลาน และ สามารถมารับลูกหลานของตนไปอยู่ด้วยกันได้ (อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๗ ๕.๒ การเจ็บป่วย การเจ็บป่วย ความหมายในภาษาอาข่า หมายถึง โรค สิ่งไม่ดี สิ่งที่ผิด หรืออาเพศ (ถ่องผ่อง ยอเจาะ – ถ่องผ่อง = ไม่ดี ผิด อาเพศ ยอเจาะ = โรค) เป็นอาการผิดปกติ ผิดธรรมชาติของร่างกาย (อุไรวรรณ 2542, น. 44) ผู้รู้ชาวอาข่าอธิบายว่า ชาวอาข่าสั่งสมความรู้ที่ยาวนานนับแต่สมัยบรรพบุรุษ ในการดูแลตนเอง เพื่อ ไม่ให้เจ็บป่วย ทั้งโดยการสังเกตจากการกินอาหารว่าสิ่งใดที่กินได้ หรือเป็นพิษต่อร่างกาย เช่น การนำข้าวสาร ใส่ลงในหม้อแกง หากข้าวเปลี่ยนสีผิดปกติ แสดงว่าอาหารมีพิษ และในเรื่ององค์ความรู้ในการรักษาอาการ เจ็บป่วยด้วยสมุนไพร ซึ่งจะรักษาควบคู่ไปกับการท่องสวดคาถาและพิธีกรรมต่างๆ ในทัศนะของชาวอาข่า ความเจ็บป่วยมีทั้งที่รักษาได้ และที่รักษาไม่ได้ การเจ็บป่วยที่รักษาได้ คือมีอาการของการเจ็บป่วยที่มองเห็นได้ จากภายนอก รู้สาเหตุแน่นอน เช่น การบาดเจ็บ เป็นไข้ เป็นหวัด ปวดหัว ปวดท้อง ส่วนการเจ็บป่วยที่รักษา ไม่ได้ เกิดจากโรคที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกหรือโรคที่ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นnหาสาเหตุของ การเจ็บป่วยไม่ได้ หรือโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์ สาเหตุของความเจ็บป่วย - เกิดจากขวัญ ชาติพันธุ์อาข่ามีความเชื่อว่า มนุษย์มีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน คือ ร่างกายและขวัญ คนเราแต่ละคนจะมีขวัญอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ชาวอาข่าเชื่อว่าคนเรามีหลายขวัญ ขวัญมีความอ่อนไหวง่าย มักชอบออกจาก ร่างกายแล้วไปเที่ยวในที่ต่างๆ เช่น การฝัน และตื่นเมื่อขวัญกลับเข้าร่าง บางครั้ง ขวัญที่ออกจากร่างอาจจะกลับเข้าร่างไม่ครบ อาจถูกผีจับขวัญบางส่วนไว้ ทำให้ เกิดการเจ็บป่วยได้ และอาจถึงตายได้ หากขวัญออกจากร่างกายทั้งหมด จึงมีพิธี เรียกขวัญเพื่อรักษาความเจ็บป่วยและผูกข้อมือผู้ป่วย ซึ่งการรักษาจะมีการ ประกอบพิธี หากยังไม่หายต้องทำอีกหลายครั้ง - การเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำผิดผีการเจ็บป่วยในกรณีนี้ เชื่อกันว่า ผู้ป่วยอาจ กระทำให้ผีไม่พอใจ เลยทำให้ผู้ป่วยมีอันเป็นไปต่างๆ ทั้งทางกาย เช่น ปวดหัว ตัว ร้อน มีดบาด เป็นต้น และทางใจ เช่น ทานอาหารไม่ได้ หงุดหงิด นอนไม่หลับ จิตใจไม่แจ่มใส ฯลฯ โดยหาสาเหตุการเจ็บป่วยไม่ได้ การรักษาทำโดยการเรียก ขวัญผู้ป่วยและทั้งครอบครัว - การเจ็บป่วยจากเชื้อโรค เช่น ปวดท้อง เป็นไข้ ปวดหัว จะรักษาภายในครอบครัว หรือโดยหมอยาภายในหมู่บ้าน - การเจ็บป่วยเพราะมีเคราะห์หรือดวงไม่ดีหากพบว่าสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย บ่อยๆ - การเจ็บป่วยที่เกิดจากกรรมพันธุ์เช่น ลมบ้าหมู บ้า ลูกพิการ ลูกแฝด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๘ - การเจ็บป่วยที่เชื่อว่าเกิดจากการกินอาหารผิด พืช ผัก เนื้อสัตว์ หรืออาหารบาง ชนิด ชาวอาข่าเชื่อว่าหากกินเข้าไปอาจทำให้เสียสติ ท้องเสีย อาเจียน เสียชีวิตได้ - การเจ็บป่วยเพราะถูกคุณไสย กรณีนี้ ผู้ที่ทำการรักษาได้มีเพียงหมอคาถาเท่านั้น ผู้อาวุโสในครอบครัวจะเป็นผู้วินิจฉัยโรคและทำการรักษาเบื้องต้น กรณีเกิดการเจ็บป่วยขึ้นกับสมาชิก ในครอบครัว หากอาการไม่ดีขึ้น จะขอให้คนทรงหรือ “ญี้ผ่า” หรือหมอสวด “พิมะ” เป็นผู้วินิจฉัยหาสาเหตุการ เจ็บป่วยผ่านการประกอบพิธีกรรมการเข้าทรง สำหรับ “ญี้ผ่า” นั้น เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตำแหน่งนี้มีการ สืบทอดโดยผ่านการเรียน หรือถูกกำหนดมาให้เป็น ซึ่งไม่ว่าจะสืบทอดในลักษณะใดก็ตาม “ญี้ผ่า” จะต้องเรียน บทสวด คาถา และวิธีการทำสมาธิเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย การวินิจฉัยหาสาเหตุการเจ็บป่วยนั้น “ญี้ผ่า” จะทำพิธีเข้าทรงในเวลากลางคืน หลังจากรับประทาน อาหารเย็นญาติพี่น้องคนไข้จะจัดเครื่องเซ่นไหว้ โดยมีไข่ต้ม เหล้า ข้าว พร้อมของใช้ของผู้ป่วยหนึ่งชิ้น การ ประกอบพิธีจะมีการท่องบทสวดเรื่อยๆ เพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย ญาติพี่น้องจะนั่งฟังและจดจำไว้ เมื่อรู้ สาเหตุของการเจ็บป่วย “ญี้ผ่า”จะหยุดสวด และญาติพี่น้องจะนำผู้ป่วยไปรักษากับหมอผีหรือหมอสมุนไพร ต่อไป การรักษาการเจ็บป่วยโดย “พิมะ” นั้น รู้สาเหตุแล้วว่าเกิดจากการกระทำของผีตนใดจากการหาสาเหตุ โดย ”ญี้ผ่า” จึงมาให้“พิมะ” รักษา หากรักษาไม่หาย “พิมะ” จะวินิจฉัยให้อีกครั้งว่าสาเหตุการเจ็บป่วยเกิด จากผีตนนั้นจริงหรือไม่ โดยญาติผู้ป่วยจัดเตรียมเครื่องเซ่น ซึ่งประกอบด้วย ข้าว และไข่ไก่ นำไปให้ “พิมะ” ตอนเช้าหรือตอนเย็นเท่านั้น แล้วบอกจุดประสงค์ซึ่ง “พิมะ” จะทำการเสี่ยงทายด้วยข้าวสารพร้อม กับท่องบทสวด หากผลการเสี่ยงทายด้วยข้าวไม่เป็นที่พอใจ “พิมะ” จะทำการเสี่ยงทายจากไข่อีกครั้ง แต่การ เสี่ยงทายโดยปกติทั่วไป “พิมะ” จะใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้นยกเว้นกรณีที่ผลการเสี่ยงทายออกมาไม่ชัดเจน จึงจะใช้ทั้ง 2 วิธี วิธีการหาสาเหตุของการเจ็บป่วยของ “พิมะ” อาจใช้ข้อมูลในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย เพื่อ ช่วยให้การหาสาเหตุของการเจ็บป่วยแม่นยำมากขึ้น หากการป่วยไม่ได้เกิดจากการกระทำของผี “พิมะ” จะ บอกญาติของผู้ป่วยให้นำไปรักษากับหมอยาสมุนไพร แต่หากมาจากการกระทำของผี จะมีการทำพิธีรักษาตาม ความหนักเบาของอาการ เช่น อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย จะทำการเรียกขวัญ ถ้าอาการป่วยค่อนข้างหนัก จะฆ่า สัตว์ เช่น หมู ไก่ หรือสุนัข ชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่“พิมะ” กำหนดเพื่อทำพิธีเรียกขวัญ สัตว์ที่ถูกฆ่าและใช้ในพิธี จะนำมาทำอาหารเลี้ยง “พิมะ” และผู้อาวุโสที่มาในพิธีกรรม และผูกข้อมือให้กับผู้ป่วย ในกรณีที่มีอาการป่วย หนักมาก จะทำพิธีให้ทั้งครอบครัว หากยังไม่หาย “พิมะ” จะแนะนำให้ไปรักษาด้วยวิธีอื่นๆ การรักษาความเจ็บป่วยด้วยการแพทย์พื้นบ้าน ชาวอาข่าในอดีต ทั้งผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้จักยาสมุนไพรที่ใช้รักษาการเจ็บป่วยพื้นฐานเพราะ ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนรู้ผ่านประสบการณ์โดยตรงจากการนำมาใช้ใน ชีวิตประจำวัน สมุนไพรที่ใช้มีทั้งส่วนที่ได้จากสัตว์ เช่น เขาสัตว์ เขี้ยวหมูป่า ขาไก่ป่า หนังช้าง หนังเสือ อวัยวะ ภายใน เช่น ถุงน้ำดี สมุนไพรที่จากพืช เช่น ราก เปลือก ใบ เมล็ด เป็นต้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๙ หมอสมุนไพรชาวอาข่า เป็นผู้ที่รู้ตัวยาและตำรับยา รู้วิธีการใช้ยาสมุนไพรรักษาการเจ็บป่วยเป็นอย่าง ดีมากกว่าบุคคลทั่ว ๆ ไป ซึ่งต้องมีวิธีการถ่ายทอดและขั้นตอนในการเรียนรู้ต่างๆ หมอยาบางคนจะเก็บตัวยา สมุนไพรที่ดีจริงๆ ของตนเองไว้ ไม่ถ่ายทอดให้กับใครแม้แต่คนในตระกูลหรือลูกหลานของตน การรักษาผู้ป่วย โดยหมอยาสมุนไพรนั้น ผู้ป่วยต้องมาขอรักษาเองที่บ้านหมอยาหรือมาเชิญให้ไปรักษา มีการซักอาการผู้ป่วย อย่างละเอียด ก่อนทำการรักษา และหากรักษาไม่หาย หมอจะแนะนำให้ไปรักษากับหมอยาคนอื่นๆ หรือรักษา โดยใช้ยาสมุนไพรแล้วยังไม่หาย จะแนะนำให้ไปรักษากับหมอที่เข้าทรง การรักษาโรคของชาติพันธุ์อาข่าในปัจจุบัน ยังมีลักษณะการผสมผสานระหว่างความรู้ดั้งเดิมและ การแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนการดูแลสุขภาพและการรักษาโรคของคนอาข่ารุ่นใหม่ นั้น เป็นลักษณะการแพทย์แผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในหมู่บ้านชาวอาข่าหลายแห่ง พ่อแม่ยังคงผสมผสาน การรักษาโรคและการเจ็บป่วยด้วยวิถีดั้งเดิมและการแพทย์แผนปัจจุบัน ] การรักษาหมอพื้นบ้าน ๕.๓ การบวช ชนเผ่าอาข่าไม่มีการบวช ๕.๔ การสู่ขวัญ พิธีเรียกขวัญ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเรียกขวัญ เมื่อประชาชนอาข่าไปในป่าหรือสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วไปสะดุ้ง กลัวและเกิดความไม่สบายขึ้นมา เช่น ตัวร้อน ปวดหัว ฯลฯ เมื่อผู้ประสบเหตุกลับมาถึงบ้านก็บอกสมาชิกใน ครัวครอบให้ประกอบพิธีกรรมนี้ การคัดเลือกฤกษ์ยามในการทำพิธี ต้องไม่ตรงกับวันเกิดและวันตายของ สมาชิกในครอบครัว จึงนับว่าเป็นวันดี แต่ถ้าเป็นวันเกิดของผู้ที่ประสบเหตุสะดุ้งนั้นได้ และถือว่าเป็นฤกษ์ยาม ที่ดีมาก สามารถทำได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ การเรียกขวัญโดยใช้ไข่“ลา คู คู – เออ ลา แย่ มา เด๊า”, การเรียก ขวัญโดย ใช้ไก่“ยา จี ลา คู คู – เออ”, และการเรียกขวัญโดยใช้หมู“อ่าหยะ ลา คู คู – เออ”
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๐ พิธีกรรมเรียกขวัญก็เหมือนกับพิธีกรรมของอ่าข่าอื่นๆ ไม่สามารถหาได้ว่าเกิดขึ้นที่ไหน สมัยใด เป็น พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเรียกขวัญ เมื่อประชาชนอ่าข่าไปในป่าหรือสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วไปสะดุ้งกลัว และเกิด ความไม่สบายขึ้นมา เช่นตัวร้อน ปวดหัว ฯลฯ เมื่อผู้ประสบเหตุสะดุ้งกลัวกลับมาถึงบ้านก็บอกสมาชิกในครัว ครอบมาประกอบพิธีกรรมนี้ การคัดเลือกฤกษ์ยามในการทำพิธี ต้องไม่ตรงกับวันเกิดและวันตายของสมาชิกใน ครอบครัว จึงนับว่าเป็นวันดี แต่ถ้าเป็นวันเกิดของผู้ที่ประสบเหตุสะดุ้งนั้นได้ และถือว่าเป็นฤกษ์ยามที่ดีมาก สามารถทำได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. การเรียกขวัญโดยใช้ไข่ " ลา คู คู - เออ ลา แย่ มา เด๊า" เริ่มพิธีด้วยการไปเรียกผู้อาวุโสในชุมชนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งสามารถเรียกได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มา บ้านผู้ประสบเหตุไม่สบาย เมื่อไปถึงก็ต้มไข่กับข้าวสาร พอไข่สุกก็ไปหาจานอ่าข่า ที่อ่าข่าเรียกว่า ห่อ เวาะ มา 1 ใบ เอาใบตองวางบนจาน และมีเชือก 2-3 เส้นไว้มัดมือ หาสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ไม่สบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนมากนิยมใช้หมวกหรือเสื้อ มาวางบนจาน เอาไข่และข้าวต้มใส่จาน หาไม้ขนข้าว ที่อ่าข่าเรียก ห่อ แช่ ดา ลา มาใส่จาน ให้ผู้ไม่สบายมายืนที่ประตูบ้าน แต่ให้ยืนอยู่ข้างในบ้าน ผู้อาวุโสอยู่ประตูนอกบ้าน ให้ผู้ไม่สบาย กวักมือจานจำนวน 3 ครั้ง พร้อมกับกล่าวว่าขอให้ขวัญของข้าพเจ้ากลับมา ผู้อาวุโสก็ยกจานไปที่ประตูหมู่บ้าน เมื่อไปถึงยกจานลง ใช้ “ ห่อ แช่ ดา ลา ” ตีไข่ให้แตก แกะเปลือกไข่และข้าวต้มซ่อนใต้ใบตอง จำนวน 3 ครั้ง ผู้อาวุโสจึงเดินทางกลับบ้านผู้ไม่สบาย ผู้ไม่สบายได้ยินเสียงผู้อาวุโสเดินกลับมาก็กินข้าวเปล่า 2-3 คำ ผู้อาวุโส เดินทางถึงประตูบ้าน ผู้ที่อยู่กับผู้ไม่สบายก็กล่าว ขวัญกลับมาตั้งนานแล้ว กินข้าวอิ่มแล้วด้วย กลับถึงบ้านมา นั่งใกล้ๆ เตาไฟจำลอง ให้ผู้อาวุโสเอาเชือกมัดมือ ถ้าเป็นผู้ชายต้องมัดทางมือข้างขวา ผู้หญิงมัดซ้าย ตามด้วย ทุกคนในครอบครัว คืนสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ไม่สบายที่เอาไปให้แกะไข่ทั้งลูกให้ผู้ไม่สบายกินเป็นอันเสร็จ พิธีกรรม (ภาพ ห่อ แช่ ดา ลา มาใส่จาน ให้ผู้ไม่สบายมายืนที่ประตูบ้าน) 2. การเรียกขวัญโดย ใช้ไก่ "ยา จี ลา คู คู - เออ" เริ่มทำพิธีกรรมด้วยการไปเรียกผู้อาวุโสในชุมชนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งสามารถเรียกได้ทั้งผู้หญิงและ ผู้ชายมาบ้านผู้ไม่สบาย เมื่อไปถึงบ้านก็ต้มไข่กับข้าวสารให้สุก นำจานห่อ เวาะ รองด้วยในตองมาวาง ใส่ไข่กับ ข้าวต้ม สิ่งของเครื่องใช้อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ไม่สบาย เชือก และไม้ขนข้าว มาใส่จานอ่าข่า ไปจับไก่ตัวผู้หรือ ตัวเมียก็ได้ ( ใช้ไก่ตัวผู้หรือตัวเมีย ขึ้นอยู่กับการทำนายของซา มา ) แต่ต้องไม่มีขนสีขาวและมีอวัยวะครบ จำนวน 1 ตัว ให้ผู้ที่ไม่สบายไปยืนที่ประตูบ้านข้างใน ให้ผู้อาวุโสอยู่ข้างนอก ผู้ไม่สบายกวักมือในจานแล้วบอก ว่าให้ขวัญกลับมา แล้วลูบไก่จากขาขึ้นถึงหัวโดยใช้มือข้างขวา การที่ต้องใช้มือข้างขวาเพราะมือข้างขวาเป็นมือ ข้างที่ถนัดในการกระทำต่างๆ ผู้อาวุโสเดินทางไปที่ประตูหมู่บ้าน ยกจานลง ใช้ไม้ขนข้าวตีไข่ให้แตก เอาไข่กับ ข้าวต้มวางซ่อนในใบตอง จำนวน 3 ครั้ง ตามด้วยถอนขนไก่จากน่อง ต้นปีก และหัว ที่ละจำนวน 3 ครั้ง ให้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๑ วางซ่อนไว้ในใบตอง จึงยกจานกลับมาบ้าน ผู้ไม่สบายได้ยินเสียงผู้อาวุโสก็กินข้าว 2-3 คำ เมื่อเดินทางถึงหน้า ประตูบ้าน ผู้ที่อยู่กับผู้ไม่สบายต้องกล่าวว่าเห็นขวัญกลับมาตั้งนานแล้ว และกินข้าวอิ่มแล้วด้วย กลับมาถึงบ้าน คืนของใช้ของผู้ไม่สบาย มัดมือให้ผู้ไม่สบายตามด้วยสมาชิกในครอบครัวทุกคน แกะไข่ให้ผู้ไม่สบายกินทั้งลูก เอาถ้วยมาตั้งไว้ 1 ใบ ข้างในมีขันน้ำที่ทำมาจากน้ำเต้า เทน้ำใสถ้วยให้เต็ม เอาขันน้ำตักน้ำจากถ้วยมาเทใส่ขา ต้นปีก และหัว ที่ละจำนวน 3 ครั้ง ใช้ไม้ตี่ตูตีใส่หัว เอาไก่ไปเผาถอนขนให้หมด มาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง ตัดน่อง ต้นปีก ตับ เป็นชิ้นโตๆ และเนื้อส่วนหน้าอกอีกจำนวนหนึ่ง เอาเนื้อไก่ทั้งน่อง ต้นปีก และตับใส่ถ้วย เก็บไว้ เอาขันโตกมาตั้งห่อด้วยใบตอง ช่วงนี้ให้มัดมืออีกครั้งสำหรับที่ไม่ได้มัดมือในรอบแรก เอาข้าวบริสุทธิ์ ชาบริสุทธิ์ ( หมายถึงต้มชาเสร็จยังไม่มีใครรินดื่ม ) ยกขึ้นบนขันโตก ให้ผู้ไม่สบายชิมทุกถ้วยที่อยู่บนขันโตก การชิมต้องใช้ตะเกียบแทนการใช้อย่างอื่น (ภาพ การเรียกขวัญโดย ใช้ไก่ "ยา จี ลา คู คู - เออ") 3. การเรียกขวัญโดยใช้หมู " อ่าหยะ ลา คู คู - เออ" ไปเรียกผู้อาวุโสในชุมชนคนใดคนหนึ่ง ส่วนมากการใช้หมูประกอบพิธีนี้ จะไปเรียก อ่าบ้อพี้มา มา ประกอบพิธีให้ เนื่องจากว่าสามารถสวดบทต่างๆ ได้มาก มาถึงบ้านก็ต้มไข่ 1 ฟอง กับข้าวสารให้สุก หาลูก เหล้ามาตั้ง ข้างในลูกเหล้ามีหลอดดูด หาถ้วยมา 1 ใบ ข้างในถ้วยมีขันน้ำที่ทำมาจากน้ำเต้า เทน้ำใส่ถ้วย เอา ขันน้ำตักน้ำจากถ้วยเทใส่ลูกเหล้าอีกที เอากระด้งลงมา เอาถ้วยตั้งข้างในจำนวน 5 ใบ ใบที่ 1 ) ใส่ชาผสมขิง 2 ) เกลือ 3 ) เหล้า ( ดูดมาจากลูกเหล้า ) 4 ) น้ำบริสุทธิ์ ( ปัจจุบันในพิธีกรรมนี้ใช้น้ำจากที่อื่นๆได้ เช่น น้ำประปา เพียงแต่ตักมายังไม่มีคนรินดื่มเป็นอันใช้ประกอบพิธีกรรมได้ 5 ) ข้าวบริสุทธิ์กับไข่ หาข้าวสาร ประมาณ 1 กำมือมาใส่ข้างในตรงกลางกระด้ง เชือก 5-6 เส้น ไม้ขนข้าว และตราชั่งขนาดเล็ก เงิน 2-3 บาท ใส่กระด้ง มีความเชื่อเกี่ยวกับการใส่ตราชั่งนี้ว่า ให้ใช้ตราชั่งชั่งขวัญคืน เงินซื้อขวัญคืน อ่าข่าเรียกการตั้งกระด้ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๒ ครั้งนี้ว่า ยา มา ซา – เออ แช ล้อง ไปจับหมูมา 1 ตัว ใช้ได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ( ขึ้นอยู่กับการทำนายของซามา ) ให้ยกหมูและกระด้งมาที่ประตูบ้าน ให้ผู้ไม่สบายยืนอยู่ประตูบ้านข้างใน ผู้ประกอบพิธีกรรมยืนอยู่ประตูบ้าน นอก ผู้ไม่สบายใช้มือกวักที่กระด้ง เอามือลูบหมูที่ใดก็ได้ จำนวน 3 ครั้ง ยกกระด้งและหมูไปที่ประตูหมูบ้าน ถึงประตูหมูบ้านยกหมูและกระด้งลง ใช้ไม้ขนข้าวตีไข่ให้แตก หยิบข้าวบริสุทธิ์และไข่วางข้างล่างใบตองใน กระด้ง จำนวน 3 ครั้ง ตามด้วยถ้วยที่อยู่ในกระด้งทุกใบ ถอนขนหมูจากขา ลำตัวและหัว ที่ละจำนวน 3 ครั้ง จึงยกกระด้งและหมูกลับบ้าน เมื่อผู้ไม่สบายได้ยินเสียงก็ให้เรียบกินข้าว 2-3 คำกับเกลือ พอกลับเข้ามาถึงบ้าน คนในบ้านคนใดคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ผู้ไม่สบาย กล่าวว่า “ ขวัญได้กลับมาตั้งนานแล้ว ” วางกระด้งและหมูลงที่ เตาไฟจำลองตรงกลางบ้าน เอาขันตักน้ำจากถ้วยเทใส่ขา ลำตัว และหัวหมูที่ละ 3 ครั้ง เขียงหงายข้างจากที่ใช้ ประจำ ยกหมูวางบนเขียง ให้ผู้นำประกอบพิธีกรรมฆ่าหมูโดยใช้มีดแทงคอ พร้อมกับหากะละมังใส่เกลือรอง เลือด ผ่าท้องหมูล้วงแล้วตับออกมา เพื่อดูดวงวาสนาของครอบครัวของผู้ไม่สบาย หนุ่มๆ ที่ไปช่วยงานก็เอาหมู ไปเผา ส่วนผู้อาวุโสก็แกะไข่ให้ผู้ไม่สบายกินข้าวพร้อมกับมัดมือให้ เอาซี่โครงหมูข้างใดข้างหนึ่ง จำนวน 2 ซี่ กับตับไปต้มเป็นชิ้นโตๆ โดยใส่เกลือ ข้าวสาร และขิงลงไปด้วย อ่าข่าเรียกการต้มนี้ว่า ฮึ่ม หม่า ลา ดา ระหว่าง ที่ต้มตับกับซี่โครงยังไม่สุก ก็เอาเนื้อหมูมาทำกับข้าวเป็นหม้อใหญ่ๆ เมื่อทำกับข้าวสุกก็ไปเชิญผู้อาวุโสในชุมชน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาบ้านผู้ประกอบพิธีกรรม ตั้งขันโตกห่อด้วยใบตอง วางถ้วยพริกป่นกับตะเกียบลงขันโตก เอาถ้วยใส่ซี่โครงกับตับที่ต้มกับแกงอื่นๆวางบนขันโตก ยกมาที่นอนของพ่อบ้าน ให้ผู้อาวุโสที่เชิญมาทีหลังมัด มือ พร้อมกับยกถ้วยที่ใส่ซี่โครงกับตับให้ผู้ไม้สบายกิน ผู้ไม่สบายก็ชิมทุกถ้วยที่วางบนขันโตก หลังจากทุกคนใน วงก็เริ่มกินข้าว การกินข้าวต้องใช้ตะเกียบเท่านั้น ด้วยเหตุผลความเชื่อที่ว่าการใช้ตะเกียบมีมารยาทมาก และ ถูกหลักอนามัย การประกอบพิธีกรรมเป็นเสร็จพิธี ๕.๕ การแต่งงาน ในสังคมชาวอ่าข่า ไม่มีพิธีกรรมอย่างเป็นทางการที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่มสาว หากแต่ลักษณะและการประดับตกแต่งหมวกที่ผู้หญิงสวมใส่ จะเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าพวกเธอถึงวัยที่พร้อมมีเพศสัมพันธ์และแต่งงานได้หรือยัง งานวิจัยจำนวนมาก ให้ข้อมูล เหมือนกันว่า เด็กหนุ่มเด็กสาวชาวอ่าข่าจะผ่านประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และอายุใน การแต่งงานก็น้อยเช่นกัน เด็กหนุ่มชาวอ่าข่าอายุ 15-19 ปี สามารถแต่งงานได้ และเด็กหญิงเมื่ออายุ 13 ถือ ว่าอยู่ในวัยแต่งงานได้ สถานที่พบปะกันของหนุ่มสาวคือบริเวณลานหมู่บ้านที่ชื่อ แด ข่อง” (daekhanq) ซึ่ง เป็นสถานที่ที่คนหนุ่มคนสาวไปเต้นรำ ร้องเพลง และพบปะกัน ข้อมูลของนางสาว อำภา วูซือ (2562) ระบุว่า ในอดีตชาวอ่าข่าเกี้ยวพาราสีกันมักใช้บทเพลงเป็นสื่อ เพื่อบอกความในใจของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว บทเพลงที่แสดงออกเป็นภาษาอ่าข่าโบราณไม่มีทำนองไม่มี เครื่องดนตรีประกอบ เป็นการร้องสดแบบโต้ตอบระหว่างหนุ่มสาว มีลักษณะการร้องแบบเอื้อนลูกคอยาวๆ อ่า ข่าเรียกว่า อาชี้กู้ มักจะเกิดขึ้นระหว่างทางขณะเดินไปทำไร่ หรือการลงแรงทำไร่ร่วมกัน ในอดีตหากหนุ่มสาว ตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างมอบของที่เป็นเครื่องประดับให้แก่กันและกัน การแลกเปลี่ยน เครื่องประดับระหว่างหนุ่มสาวถือเป็นคำมั่นสัญญาเปรียบได้กับการหมั้นหมาย (จองไว้ก่อน) และเมื่อหนุ่มสาว คู่ใดมีความรักชอบพอกันจนถึงขั้นตกลงจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ฝ่ายชายจะบอกเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่เป็นผู้ชาย เป็นผู้ไปทาบทามสู่ขอ และสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้ คือ การกำหนดฤกษ์โดยดูจากเดือนเป็นหลัก สามารถจัดพิธี แต่งงานได้ทุกเดือน แต่ที่นิยม คือ ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม เพราะว่าเป็นเวลาที่ว่างเว้นจากการ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๓ งาน และในแต่ละเดือนจะมีวันที่เป็นข้อห้ามแต่งงาน วันที่ห้ามแต่งงานได้แก่ 1. วันเกิดของ พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย ของทั้งสองฝ่าย 2. วันแรกที่ พ่อ แม่ ของทั้งสองฝ่ายแต่งงาน 3. วันตายของสมาชิกในครอบครัว ของทั้งสองฝ่าย การประกอบพิธีแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าจะจัดที่บ้านของฝ่ายชาย ฝ่ายชายเป็นผู้จัดการเรื่อง อาหาร แขก และในงานแต่งงานนั้นญาติของฝ่ายเจ้าสาวจะไม่มาเข้าร่วมพิธีแต่งงาน เพราะชาวอ่าข่าถือธรรม เนียมว่าไม่ควรกินในงานแต่งของครอบครัวตนเอง... เมื่อถึงวันแต่งงานจะมีพิธีการพาเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าว ซึ่ง ชาวอ่าข่าเรียกว่า “ หมีสึเฉ่อหล่ายี้ ” โดยที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะส่งตัวแทนที่เป็นญาติฝ่ายเจ้าบ่าวและเพื่อนเป็นผู้มา รับตัวเจ้าสาว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าสาวจะออกเดินทางมาบ้านเจ้าบ่าว ฝ่ายผู้เป็นแม่จะอบรมสั่งสอนบุตรสาวใน ลักษณะอาการร้องไห้อาลัยอาวรณ์ อ่าข่าเรียกว่า “ช้อเง้วเง้ว” หลังแต่งงานผู้หญิงจะย้ายมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ฝ่ายชายและเป็นคนในสายสกุลวงศ์ของสามี เซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย (ชาติพันธุ์อ่าข่ามีคำพูดที่ว่าลูกสาว ของเราเป็นลูกของคนอื่น ลูกสาวของคนอื่นคือลูกสาวของเรา) สังคมวัฒนธรรมของอ่าข่า มีข้อห้ามคนในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน (ห้ามคนอ่าข่าที่มีสายบรรพบุรุษ เดียวกันแต่งงานกัน) ช่วงที่มีการจัดงานแต่งงาน ห้ามทำพิธีกรรมผิดพลาดเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตคู่ ไม่สมบูรณ์ เช่น อาจมีบุตรไม่ได้หรืออาจส่งผลให้บุตรที่เกิดมาไม่สมบูรณ์ เป็นต้น ห้ามทำถ้วยชามแตกหรือ ทะเลาะวิวาทภายในงานเพราะเชื่อว่าจะทำให้คู่แต่งงานประสบความโชคร้าย หรือหย่าร้างกันได้ เมื่อบุตรชายแต่งงาน พ่อ แม่ จะปลูกเรือนแยกออกมาไว้ภายในบริเวณบ้านของพ่อแม่ ซึ่งอ่าข่าเรียกว่า (ยุ้มญะ) เป็นเรือนสำหรับหลับนอนของบุตรชาย และลูกสะใภ้ ในสังคมอ่าข่าห้ามสามีภรรยาทั้งคู่ที่แต่งงาน ใหม่ๆ มีห้องสำหรับร่วมหลับนอนอยู่บนเรือนหลังใหญ่กับพ่อแม่ แต่ดำรงชีวิตโดยปกติทั่วไปสามารถทำ กิจกรรมร่วมกันได้ เช่น การหุงต้มอาหาร การรับประทานอาหาร การพูดคุย การประกอบพิธีกรรม เป็นต้น ซึ่ง จะกินอยู่กับพ่อแม่ที่เรือนใหญ่ได้ บุตรชายและลูกสะใภ้จะสามารถขึ้นมาหลับนอนบนเรือนใหญ่ของพ่อแม่ได้ก็ ต่อเมื่อมีบุตรแล้ว หรือเมื่อพ่อแม่ของฝ่ายชายคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนได้เสียชีวิตลงแล้ว ส่วนในกรณีที่ ครอบครัวไหนไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรสาว เมื่อบุตรสาวแต่งงานจะนำสามีเข้ามาอยู่ในบ้านฝ่ายหญิง อ่าข่า เรียกว่า (โลเค้อเค้อ) พร้อมกับเปลี่ยนหิ้งผีบรรพบุรุษใหม่ และในกรณีที่เห็นว่าภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้ ผู้ชาย อ่าข่าอาจแต่งงานอีกครั้ง (โดยไม่ได้หย่าขาดจากภรรยาคนแรก) ในปัจจุบันการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์มีความหลากหลายมากขึ้น การจัดพิธีแต่งงานจึงขึ้นอยู่กับความ เชื่อในศาสนาของทั้งสองฝ่าย (อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์) (ภาพ การแต่งงานของอาข่า)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๔ การหย่าร้าง ในสังคมอ่าข่านั้น บรรดาผู้อาวุโสจะพยายามพูดคุยไกล่เกลี่ยในกรณีที่มีคู่ที่ต้องการหย่าร้าง และอาจ ต้องมีการจ่ายค่าชดเชย โดยมีอัตราที่กำหนดตามสถานะเศรษฐกิจของครอบครัว ฝ่ายที่ขอหย่าต้องเป็นผู้จ่าย ในประเทศพม่านั้น ฝ่ายหญิงจะสูญเสียสิทธิทั้งหมดในฐานะสมาชิกของครอบครัวรวมทั้งเรื่องลูก และไม่ สามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตนได้ และภายใน 12 วันภายหลังการหย่า เธอจะต้องแต่งงานใหม่หรือ ออกไปอยู่นอกรั้วหมู่บ้าน เชื่อกันว่า กรณีที่เกิดการตายของหญิงที่หย่าร้างภายในหมู่บ้าน จะทำให้ชุมชนโชค ร้าย หญิงชายที่หย่าร้างกันแล้ว จะถูกห้ามไม่ให้พูดคุยกัน หรือห้ามพูดคุยกับคู่ใหม่ของคนที่เคยเป็นสามีหรือ ภรรยา (Jaafar and Walker 1975: 175-176)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๕ ภาพ พิธีกรรมของกลุ่มอาข่า ภาพ พิธีกรรมของกลุ่มอาข่า ภาพ พิธีกรรมของกลุ่มอาข่า 6.ศาสนาและความเชื่อ งานศึกษาจำนวนมาก ทั้งโดยนักวิชาการต่างประเทศ และในประเทศ ให้ข้อมูลที่เหมือนกันเกี่ยวกับ ความเชื่อของชาวอ่าข่าเกี่ยวกับเทพเจ้า บรรพบุรุษ พลังเหนือธรรมชาติ จิตวิญญาณ ภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ดูอาทิ อุไรวรรณ แสงศร, 2542; คาราเต้, 2546; Kammerer, 1986; Lewis, 1969-70) ข้อมูลที่จัดทำโดยวิไลลักษณ์ เยอเบาะ (มปป., ออนไลน์) โดยอ้างอิงแหล่งที่มาจาก เครือข่ายอ่าข่าลุ่ม น้ำโขงระบุว่า ชาวอ่าข่าเชื่อในเรื่องความเป็นนิรันดร์ของบรรพบุรุษและเชื่อในอำนาจพิทักษ์ของผู้สร้าง และ เทพบรรพชนสูงสุด“อ่าโผ่ว หมี่แยะ” (Aqpoeq Miqyaer) จึงมีพิธีบูชาบรรพบุรุษเป็นจำนวน 9 หรือ 12 ครั้ง ในแต่ละปี เพื่อแสดงความเคารพบรรพบุรุษ หรือที่เรียกกันว่า“อ่าโผ่วล้อ-เออ” (Aqpoeq Lawr-e) ในภาษา อ่าข่า โดยพวกเขาเชื่อว่า เพื่อให้บรรพบุรุษคุ้มครองและให้พรแก่พวกเขา นอกจากนี้ ชาวอ่าข่ายังนับถือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่เป็นระดับเทพและขวัญวิญญาณทั่วไป โดยมีเทพสูงสุดเรียกว่า “อุ่มซ้อง ซองผ่า” (Mqsanr Sanqpaq หมายถึง เทพแห่งท้องฟ้า)และเทพแห่งความศักดิ์สิทธิ์อื่นๆเรียกว่า“ยอซ้อง” (Yawsanr) เช่น“มี้ ซ้อง ซองมา” (Mirsanr sanqma หมายถึง เทพสตรีแห่งผืนดิน)“ฉู่ซ้อง” (Cuqsanr หมายถึงเทพแห่งน้ำ) “คะ ซ้อง” (Karsanr หมายถึง เทพแห่งพืชพันธุ์) และชาวอ่าข่ามีกฏจารีตที่เรียกว่า“ย้อง” (Aqkaq Zanr) ที่ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ประกอบด้วยการมีพิธีกรรมและประเพณีไม่น้อยกว่า 21 พิธีกรรม ที่ครอบคลุมชีวิตตั้งแต่เกิด จนตาย เรียกว่า“แดะย้อง ซี้ย้อง” (Daevq Zanr Xir Zanr) เผ่าอาข่ามีความเชื่อถือเรื่องผี และถือโชคลางมากที่สุด ในบรรดาพวกที่นับถือผี มีความเชื่อเรื่องสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย อาข่าเรียกผีว่า “แหนะ” ภูตผีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของอาข่าอย่างแยกกันไม่ออก ในการ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของอาข่า จะต้องระมัดระวังไม่ให้ผีโกรธ ผีนั้นมีทั้งผีดีและผีร้าย ผีร้ายเชื่อว่าเป็นต้นเหตุแห่ง ความชั่วร้ายทั้งปวง เช่น ความเจ็บป่วย ความขาดแคลน และความอดอยาก ผีร้ายเป็นผีที่โกรธง่ายและชอบทำ ร้ายคน หากผู้ใดทำให้ผีโกรธ ก็จะต้องรีบหาเครื่องเซ่นไหว้มาขอขมาผีทันที ตามที่ผีเรียกร้องต้องการ ไม่มีใคร สามารถขัดขืนเจตนารมณ์ของผีได้ เพราะเชื่อกันว่าการขัดขืนนั้นจะยิ่งทำให้ได้รับความเดือดร้อนหนักขึ้นไปอีก ผีดีจะคอยให้ความช่วยเหลือคุ้มครอง ในบรรดาผีทั้งหลายที่อาข่านับถือ และเชื่อว่า เป็นผีดีที่ให้คุณ ที่สำคัญ นั้น ได้แก่ ศาสนาและความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๖ ผีบรรพบุรุษ “อะพีเปาะเลาะ ” เป็นผีที่อาข่านับถือมากรองลงมาจากเทพเจ้า หรือ“อะผื่อหมิแย” ทุก ครัวเรือนจะสร้างหิ้งผีบรรพบุรุษ ไว้ในห้องนอนของผู้หญิง เป็นกระบอกไม้ไผ่สั้น ๆ ผูกติดกับเสาเอกของบ้าน ใน 1 ปี จะต้องทำการเซ่นสรวง 9 ครั้ง ตามพิธีประจำปี ผีใหญ่ “อะเพออะพี” อาข่าเชื่อว่าเป็นหัวหน้าผีทั้งปวงและเป็นผีตนเดียวที่อยู่บนสรวงสวรรค์ ผีใหญ่ จะคอยสอดส่องดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน และสามารถบันดาลสิ่งต่าง ๆได้ตามที่ขอ อาข่านับถือผีใหญ่ รองลงมาจากผีบรรพบุรุษ นอกจากผีดีทั้งสองที่กล่าวมาแล้ว อาข่ายังเชื่อว่ามีผีดีที่มีความสำคัญรองลงมาอีกมาก และเป็นผีที่ให้ ความคุ้มครองหมู่บ้าน ได้แก่ ผีเสาชิงช้า ผีประตูหมู่บ้าน และผีเรือน เป็นต้น แต่ผีเหล่านี้เป็นผีที่โกรธง่าย ชาวบ้านจึงต้องเซ่นสรวงเอาใจอยู่เสมอ มีผีที่เป็นกลางอยู่หลายชนิด ผีเหล่านี้ปกติไม่ให้คุณและถ้าใคร ไม่ ล่วงเกิน ก็จะไม่ให้โทษ เช่น ผีป่า ผีสัตว์ทั้งหลาย ผีภูเขา ผีไร่ ผีน้ำ ผีทางเดิน ผีสายรุ้ง และผีกระสือ เป็นต้น ใน บรรดาผีดังกล่าวจะมีแต่ผีน้ำ และผีป่า ที่อาข่าเชื่อว่าชอบทำให้คนเจ็บป่วย (ภาพ หิ้งผีบรรพบุรุษของชาวอาข่า) ศาสนาและการเปลี่ยนศาสนา คำว่า ศาสนา ในแง่ของความเชื่อถือ ศรัทธา ในคำสอนของศาสนาหลักๆ เช่น คริสต์ พุทธ อิสลาม นั้น นับเป็นสิ่งใหม่สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม รวมทั้งอ่าข่า สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในอดีตมีการปฏิบัติ ตามความเชื่อในลักษณะที่มีความหลากหลาย ทั้งการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบูชาบรรพบุรุษ การเชื่อในสิ่งเหนือ ธรรมชาติ เทพเจ้า เทวดา นางไม้ ภูติผี และอื่นๆ ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่เข้าใจกันว่าเป็นศาสนาหลักในปัจจุบัน เมื่อมีการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาโดยมิชชั่นนารีทั้งชาวต่างประเทศ และในประเทศ ทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็น กลุ่มที่มีความเชื่อแบบล้าหลัง ดั้งเดิม ที่ต้องได้รับการเปลี่ยนให้ไปนับถือศาสนาหลักที่ผู้เผยแพร่เชื่อว่าดีกว่า มี ความเหมาะสมกับสังคมโลกปัจจุบันมากกว่า ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาหลักในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก เกิดขึ้นภายใต้ บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรวมทั้งบริบทของการแพร่ ขยายอาณานิคมโดยประเทศในแถบยุโรปตะวันตก และบริบทของการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การเข้าไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศต่างๆ เป็นประเด็นที่มีข้อถกเถียงโต้แย้งทั้งในเชิงวิชาการ และ สาธารณะ ในแง่ของผลกระทบทางสังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๗ และการเปลี่ยนศาสนา ข้อโต้แย้งสำคัญประการหนึ่งก็คือ การทำให้การปฏิบัติตามความเชื่อเดิม ประเพณี พิธีกรรมบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลดความสำคัญลง หรือถูก ยกเลิก และสูญหายไป ประเด็นดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่มีการถกเถียงกันในกลุ่มนักวิชาการ และนัก มานุษยวิทยา ตลอดจนตัวแทนองค์กร และผู้นำของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน ข้อมูลในพื้นที่ หมู่บ้าน ชุมชน ชาติพันธุ์หลายแห่ง ที่มีการสะท้อนและนำเสนอทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ และในที่ประชุมต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในเชิงความคิดซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ที่เกิดการ แบ่งแยกจากการนับถือศาสนา และความเชื่อที่ต่างกัน (Morton, 2013, 2016; ชุติมา (หมี่จู) มอแลกู่ สัมภาษณ์15 ก.ย. 2563) ในกลุ่มของเครือข่ายชาติพันธุ์อ่าข่าในประเทศไทย ที่ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นนี้ ได้มีการ หารือแลกเปลี่ยนกับตัวแทนเครือข่ายชาติพันธุ์อ่าข่าในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งนำไปสู่การทำ ข้อตกลง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันของชาวอ่าข่าในภูมิภาคนี้ ในการหาทางลดผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรมที่อาจเกิดขึ้นจากการเผยแพร่ศาสนาในชุมชนชาติพันธุ์อ่าข่า ซึ่งยังคงมีทั้งผู้ที่นับถือความเชื่อแบบ ดั้งเดิม (traditionalists) ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อเป็นการแสดงความเคารพและบูชาบรรพบุรุษ (ancestors’ offerings) และผู้ที่หันไปนับถือศาสนาหลักอื่นๆ ชาวอ่าข่าดั้งเดิม นับถือบรรพบุรุษ แต่ปัจจุบันคนอ่าข่าที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาหลัก เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนแทบไม่เหลือหมู่บ้านอ่าข่าที่ยังคงมีการนับถือบรรพบุรุษแล้ว เรื่องนี้ นายอาทู่ ปอแฉ่ จากสมาคมอ่าข่าจังหวัดเชียงรายให้ข้อมูลว่า ในจำนวนหมู่บ้านอ่าข่ากว่า 200 ชุมชน ในจังหวัดเชียงรายนั้น ยังคงเหลือหมู่บ้านที่นับถือความเชื่ออ่าข่าดั้งเดิม และมีการปฏิบัติตาม “อ่าข่าย้อง” เพียงแค่ 23 ชุมชนเท่านั้น (ในจำนวนนี้ที่ถือว่ายังคงปฏิบัติตามประเพณีวัฒนธรรมอย่างเข้มข้นมีเพียง 18 ชุมชน) (นายอาทู่ ปอแฉ่ สัมภาษณ์ 19 ก.ย. 2563) ชาติพันธุ์อ่าข่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันมีการนับถือศาสนาที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป เช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ สาเหตุที่ชาวอ่าข่าบางส่วนเปลี่ยนการนับถือศาสนาเนื่องจาก วิถีการดําเนินชีวิตได้เปลี่ยนไป ประกอบกับการประกอบพิธีกรรมของอ่าข่ามีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน ทั้งยังมี ค่าใช้จ่ายและงบประมาณจํานวนมาก นอกจากนี้ผู้รู้เรื่องขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมในประเพณีและ วัฒนธรรมต่าง ๆ เริ่มเสียชีวิตไปไม่มีใครสืบทอด แต่ก็ยังมีชาวอ่าข่าบางกลุ่มที่ยังคงนับถือบรรพบุรุษแบบ ดั้งเดิมอยู่บ้าง ยังคงมีความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บรรพบุรุษ ให้ความสำคัญกับวิญญาณบรรพบุรุษ รวมถึงการ ให้ความเคารพต่อสรรพสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น การทำพิธีเซ่นไหว้ให้กับ ผีน้ำ ผีเจ้าที่ ผีเจ้าป่าเจ้า เขา เช่น ที่ดิน ป่า ไร่ ต้นไม้ สัตว์ป่า...(อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๘ ข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามทางวัฒนธรรม ข้อมูลของวิไลลักษณ์ เยอเบาะ (มปป., ออนไลน์) ระบุว่า ชาวอ่าข่ามีข้อห้ามและข้อปฏิบัติเพื่อให้คน ในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขโดยผ่านมิติของกฎจารีตประเพณี วัฒนธรรม ข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติของ ชาวอ่าข่าบางอย่างไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะสมาชิกในชุมชนเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนนอกชุมชนด้วย และในกรณีที่คน ภายนอกทำผิดกฎชุมชน จะต้องรับโทษตามกฎของชุมชนเหมือนกับสมาชิกในชุมชน เช่นเดียวกันตัวอย่างเช่น การไปสัมผัสหรือใช้มีดฟันประตูหมู่บ้าน“ล้องข่อง” (Lanrkanq) ผู้กระทำผิดจะต้องฆ่าหมูเพื่อขอขมาที่ได้ ล่วงเกินเป็นต้น ดังนั้นเมื่อต้องเข้าไปในหมู่บ้านอ่าข่าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จักข้อห้ามและ ข้อปฏิบัติหรือสิ่ง ที่ควรทำและไม่ควรทำดังนี้ 1.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศาสนสถาน ศาสนสถานทุกแห่ง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้ว ห้ามแตะต้องศาสนสถานนั้น จนกว่าจะครบรอบเพื่อทำ พิธีกรรมอีกครั้ง เช่น ประตูหมู่บ้าน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้า ชิงช้า และสถานที่ตีเหล็ก ชาวอ่าข่าเชื่อว่าถ้า สัมผัส หรือจับต้องศาสนสถานในช่วงที่ไม่ได้ทำพิธีกรรม จะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตนเองหรือชุมชนได้ ถ้าผู้ใดผิด กฎทั้งตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ต้องทำพิธีขอขมาที่ล่วงเกินต่อศาสนสถานนั้นๆ ตามกฎระเบียบที่วางไว้ 2.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติภายในบ้าน 2.1 ห้ามเอามีดฟันเสาบ้านเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ครอบครัวประสบแต่ ความโชคร้ายทำอะไรก็ไม่เจริญ เปรียบเสมือนตัดความโชคดีออกจากบ้าน 2.2 การเข้าบ้านของชาวอ่าข่า ต้องเข้าบ้านทางประตูตะวันออก เรียกว่า“บอเลาะ” (Bawvlawv) หรือฝั่ง ผู้ชาย ห้ามแขก(โดยเฉพาะเพศชาย) เดินข้ามเข้าไปฝั่งของผู้หญิง หรือ“ยุ้มมา” (Ymrma) ภายในบ้านอ่าข่า ก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านเด็ดขาด และเมื่อเข้าบ้านทางประตูไหนต้องออกประตูนั้น ห้ามออกทางด้านอื่นเด็ดขาด ถ้าไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวมาเจ้าของบ้านสามารถปรับสินไหมเอาผิดได้ 2.3 ในบ้านหลังใหญ่ผู้หญิงและผู้ชายต้องนอนแยกกันคนละฝั่ง ผู้ชายจะนอนฝั่งที่เรียกว่า “บอเลาะ” (Bawvlawv) ส่วนผู้หญิงจะนอนฝั่ง“ยุ้มมา” (Ymrma) ถ้าบ้านหลังใหญ่มีพ่อกับแม่อาศัยอยู่ ลูก ชายที่แต่งแล้วต้องแยกห้องนอนออกจากบ้านหลังใหญ่โดยสร้างบ้านหลังเล็กเรียกว่า“ยุ้มหญ่า” ไว้ใกล้ ๆ บ้าน หลังใหญ่ที่พ่อแม่อาศัยอยู่เพื่อใช้หลับนอนกับภรรยา เพราะชาวอ่าข่าห้ามมีเพศสัมพันธ์ในบ้านหลังใหญ่ที่พ่อ กับแม่อาศัยอยู่เด็ดขาด ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพ่อแม่ และเชื่อว่าอาจเกิดสิ่งไม่ดีกับสมาชิกในบ้านได้ 3.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติเมื่อมีงานศพ เมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน สมาชิกในหมู่บ้านต้องหยุดกิจกรรมวิถี ชีวิตต่างๆ เช่น ห้ามฆ่าสัตว์ป่าทุกชนิด เพราะเชื่อกันว่าคนตายอาจกลับไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ (สมาชิกชุมชน ทั่วไปห้ามฆ่าสัตว์ป่าเฉพาะช่วงมีงานศพแต่สำหรับครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลของผู้ตายต้องไม่ฆ่าสัตว์ป่าทุกชนิด เป็นเวลาอย่างน้อย5 เดือนหรือ1 ปีระยะเวลาดังกล่าวขึ้นอยู่กับกฎของสายตระกูลนั้นๆเป็นหลัก)ๆ ไม่ทำไร่ทำ สวนไม่ตำข้าวไม่ตัดฟืน (ยกเว้นครอบครัวผู้ตาย) งดการเดินทางออกนอกชุมชน และไม่ประกอบพิธีกรรมที่เป็น มงคลใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีงานศพเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าผู้ตายอาจจะกลับมาเกิดใน ครรภ์ได้ และในวันฝังศพ สมาชิกในหมู่บ้านจะไม่ซักผ้า ไม่ตากผ้า และไม่ตัดผม เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็น การประกอบให้กับคนตาย นอกจากนี้ในงานศพห้ามหญิงตั้งครรภ์เข้าร่วมงาน ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์ของ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๙ ครอบครัวและสายตระกูลของผู้ตายสามารถเข้าร่วมงานได้ แต่ห้ามไปร่วมช่วงทำพิธีสำคัญๆ เช่น ช่วงเซ่นควาย ส่งให้กับผู้ตาย หรือช่วงพิมาสวดส่งวิญญาณเป็นต้น 4.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในงานแต่งงาน ช่วงการจัดงานแต่งงาน ห้ามทำพิธีกรรมผิดพลาดเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตคู่ไม่สมบูรณ์มีบุตรไม่ได้ หรืออาจส่งผลให้บุตรที่เกิดมาไม่สมบูรณ์ เป็นต้น ห้ามทำ ถ้วยชามแตกหรือทะเลาะวิวาทภายในงานเพราะเชื่อว่าจะทำให้คู่แต่งงานประสบความโชคร้ายหรือหย่าร้างกัน ได้ 5.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในวันสำคัญ วันสำคัญของชาวอ่าข่ามี4 วัน ได้แก่ วันพญานาค“หล่อง” (Lanq) (เป็นวันกำเนิดท้องฟ้า) วันพญาปลวก “แซะ” (Xaer) (เป็นวันกำเนิดแผ่นดิน)วันแกะ“ย้อ” (Yawr) (เป็นวันกำเนิดพระอาทิตย์)และวันเสือ “ข่าหล่า” (Khaqlaq) (เป็นวันกำเนิดพระจันทร์) ใน 4 วันนี้ชาวอ่าข่า สามารถเลือกที่จะเป็นวันหยุดของชุมชนได้ 1วันต่อหนึ่งเดือน ซึ่ง“โจ่วมา” (Dzoeqma) จะเป็นผู้กำหนด วันหยุดและแจ้งให้กับสมาชิกชุมชนทราบในวันหยุด นี้ชาวอ่าข่าจะงดทำกิจกรรมทุกอย่าง ส่วนวันสำคัญที่ เหลือ 3 วันนั้นทุกๆ 13 วัน “โจ่วมา” จะกำหนดให้หยุดกิจกรรมบางอย่างในวันสำคัญนั้นๆ เช่น ไม่ตัดฟืน ไม่ทำไร่ ทำสวน ไม่ทำกิจกรรมช่วงกลางคืน เป็นต้น 6.ข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติเกี่ยวกับงู ชาวอ่าข่ามีความเชื่อว่าเมื่อเห็นงูเลื้อยผ่านถนน ระหว่างการเดินทาง ไปประกอบพิธีกรรม หรือกิจกรรมมงคลต่างๆ นอกชุมชน ถือว่าเป็นลางบอกเหตุไม่ดี ต้องยกเลิกกิจกรรมนั้น ทันที รวมทั้งชาวอ่าข่าจะไม่มองงูที่กำลังเลื้อยขึ้นต้นไม้ หรือผสมพันธุ์กันอยู่ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้พบเห็น ประสบความโชคร้ายได้ แต่ในกรณี เห็นงูกำลังลอกคราบ ชาวอ่าข่ากล่าวไว้ว่าให้ถอดเสื้อแล้วนำไปคลุมให้งูได้ ลอกคราบภายใต้เสื้อ กรณีนี้ชาวอ่าข่ามีความเชื่อว่าเสื้อที่ใช้คลุมให้งูลอกคราบจะนำความโชคดีมาให้กับ เจ้าของ นอกจากนี้ถ้าเห็นงูกำลังกลืนกินกบจากทางขากบอยู่ ให้รีบตัดหัวงู เพราะเชื่อว่าจะเป็นของขลัง เมื่อ นำมาพกติดตัวไว้ทำอะไรก็จะเจริญ 7.ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในการครองคู่ ผู้หญิงและผู้ชายชาวอ่าข่าที่แต่งงานแล้วต้องไม่ไปเป็นชู้กับสามี หรือภรรยาของผู้อื่น หากถูกจับได้จะถูกปรับหรือลงโทษอย่างรุนแรง เช่น ทั้งคู่จะถูกจับเปลือยแล้วมัดไว้กลาง เสาหมู่บ้านให้ชาวบ้านถ่มน้ำลายรดหรือเทพริกใส่เป็นต้นและต้องทำพิธีขอขมาให้กับสามีและชุมชน ส่วน ค่าปรับหรือโทษหนักเบาขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละชุมชน ในกรณีของผู้หญิงจะต้องหย่าร้างกับสามี โดยไม่มีสิทธิ์ เรียกร้องสมบัติใดๆ จากสามี และต้องทำพิธีแต่งงานกับชายชู้ทันที หลังจากที่ัทั้งคู่แต่งงานแล้วจะครองคู่หรือ จะหย่าร้างก็สามารถทำได้แล้วแต่ความสมัครใจ โดยค่าใช้จ่ายในการทำพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องฝ่ายชายชู้ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ถ้าทั้งคู่ไม่ปฏิบัติตามกฎของชุมชนจะถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๐ 8.ข้อปฏิบัติต่อเด็ก 8.1 เด็กแรกเกิด เมื่อทำพิธีตั้งชื่อให้เด็กเรียบร้อยแล้ว แม่ของเด็กจะต้องอุ้มเด็กไปรับขวัญ ภายใน 7 วัน กับตายายก่อนเป็นอันดับแรก ตากับยายจะรับขวัญหลานด้วยเกลือ ข้าว และไข่ พร้อมคำอวยพร “ถี่นองา ยาอุ ฮือ ฮื่อ-อิ๊ ”เด (Tiq nanq yauv hee heeq-ir dei) (แปลว่า ขอให้เด็กโตขึ้นทุกวันเท่าไข่หนึ่ง ฟอง) และมีสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในภายภาคหน้า แต่ถ้าตากับยายอยู่คนละหมู่บ้านกับเด็ก ก็จะไปรับขวัญบ้านของญาติฝั่งแม่ที่ใกล้ชิดที่สุด จากนั้นจะไปรับขวัญบ้านญาติคนอื่นๆ ต่อไป และเมื่อเด็กมี อายุครบ 13 วันแม่ต้องอุ้มเด็กพร้อมห่อข้าวไปทำพิธีกรรมที่ไร่ เพื่อไปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางในไร่ให้ทราบ 8.2 ในอดีตชาวอ่าข่าจะมีการต้มไข่ให้กับเด็ก (อายุต่ำกว่า 13 ปี) ที่ติดสอยห้อยตามมาเที่ยว บ้านญาติต่าง ชุมชนกับพ่อแม่ เมื่อถึงเวลากลับผู้ใหญ่ต้องต้มไข่ให้กับเด็ก 2 ฟองโดยฟองที่ 1 ต้องใช้ประกอบ พิธีลากลับที่ประตูหมู่บ้านของหมู่บ้านที่มาเยือน โดยฉีกเนื้อไข่ทิ้งลงตรงรูปไม้แกะสลักหญิงชายที่วางไว้ตรง ประตูหมู่บ้าน ล้องข่อง (Lanrkanq) 3 ครั้ง ส่วนที่เหลือเด็กสามารถรับประทานได้ ส่วนฟองที่ 2 เมื่อเด็กเดิน กลับถึงหมู่บ้านตนเอง เด็กต้องทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำประตูหมู่บ้านของตนเองเช่นกัน โดยปฏิบัติ เหมือนกับฟองแรกที่ผ่านมา (วิไลลักษณ์ เยอเบาะ (มปป., ออนไลน์) นอกจากนี้ มีข้อห้ามทางวัฒนธรรม ที่ระบุในงานศึกษาของ อุไรวรรณ แสงศร (2539) เกี่ยวกับ สถานที่สำคัญของหมู่บ้านและข้อห้ามเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยรวมถึงข้อห้ามในการสร้างบ้านอ่าข่าไว้ดังนี้ ข้อห้ามเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในหมู่บ้าน o ห้ามแตะต้องหรือแสดงอาการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน เช่น ประตูหมู่บ้าน ศาลผี เสา ชิงช้า ไม้ไล่ผี ลานวัฒนธรรม หิ้งผีบรรพบุรุษ ศาลขวัญข้าว o ห้ามตัดไม้หรือเก็บหินในป่าสงวนและป่าช้าของหมู่บ้าน o ห้ามทำไร่หรือฟันไม้ที่ป่าช้าและป่าสงวนของหมู่บ้าน o ห้ามปัสสาวะหรืออุจจาระใกล้ลานวัฒนธรรม ข้อห้ามเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย o ก่อนจะเข้าไปในบ้านอ่าข่าแขกจะต้องถอดรองเท้าไว้ที่เชิงบันไดไม่ควรสวมรองเท้าเข้าไปใน บ้าน o ห้ามเข้าไปในห้องนอนของฝ่ายหญิงก่อนได้รับอนุญาต o ห้ามแตะต้องหิ้งผีบรรพบุรุษและดะกว้าบรรจุพันธุ์ข้าวได้หิ้งผีบรรพบุรุษ o ห้ามใช้มีดไม้ฟันหรือทุบตีบ้านเรือน o เตาไฟในบ้านห้ามใช้มีดฟัน หรือบ้วนน้ำลายลงบนเตาไฟ o ห้ามตักข้าวในไหนึ่งข้าวเอง จะต้องให้เจ้าของบ้านตักให้ ข้อห้ามเกี่ยวกับวันกรรม o วันกรรมคือวันหยุดทำงานประจำรอบ รอบวันของอ่าข่าจะมี 12 วัน (เหมือนรอบวันของไทย ที่มี 7 วัน) ทุกๆ 5 วันจะมีวันหยุดทำงาน 6 วันคือวันเสือกับวันแกะ ซึ่งอ่าข่าเรียกว่าวัน กรรม วันกรรมนี้จะต้องหยุดงานในไร่ทุกอย่าง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๑ ข้อห้ามในการสร้างบ้านอ่าข่า o ห้ามบุคคลต่างสกุลปลูกบ้านระหว่างบ้านสองหลังที่เป็นพี่น้องกัน o วันแกะ “ย้อ” และวันกระต่าย “หล่อง” ห้ามสร้างบ้านเพราะว่าเป็นวันของ “อะพีมี่แหย่” ถือว่าเป็นวันพื้นดิน จะขุดดินฝังเสาบ้านไม่ได้ ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะพบกับความหายนะตลอด และ ยังส่งผลไปถึงลูกหลานด้วย o ห้ามสร้างบ้านในวันที่ตรงกับวันเกิดของสมาชิกในครอบครัว ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ๆ ที่มีคน เกิดครบทุกวัน ให้ถือว่าทุกวันเป็นวันดีหมด สามารถสร้างบ้านได้ทุกวัน o วันตายของสมาชิกในครอบครัว วันนั้นสร้างบ้านไม่ได้ o เมื่อเริ่มลงมือปลูกข้าวไปจนถึงวันปีใหม่ ห้ามปลูกบ้าน จะปลูกบ้านและซ่อมแซมบ้านได้ ระหว่างเดือนธันวาคม – เมษายนเท่านั้น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – พฤศจิกายน จะปลูกบ้าน ไม่ได้ o ถ้ามีชาวบ้านคลอดลูกฝาแฝด ระยะเวลา 1 เดือน ห้ามปลูกบ้าน แต่ออกไปทำไร่ได้ o หมูออกลูกตัวเดียวถือเป็นการผิดผี จะต้องฆ่าหมูตัวนี้ วันฆ่าหมูถือเป็นวันกรรม วันนี้จะปลูก บ้านไม่ได้ o หมูออกลูกในบ้านและสุนัขเข้าไปออกลูกในป่า ถือเป็นการผิดผี ต้องฆ่าทั้งหมูและสุนัข วันฆ่า สัตว์ทั้งสอง ถือเป็นวันกรรมห้ามปลูกบ้าน o วัว ควาย สุนัข แพะ ขึ้นไปบนหลังคาบ้านถือเป็นการผิดผี จะต้องฆ่าสัตว์เหล่านี้ วันฆ่าสัตว์ ถือเป็นวันกรรมห้ามปลูกบ้าน ข้อห้ามบางอย่างเกี่ยวกับการเกษตร o ชาวอ่าข่าก่อนทำไร่จะต้องนำพันธุ์ข้าวไปเข้าพิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำประจำหมู่บ้านก่อน ห้ามทำไร่ใน วันกรรมคือวันเสือและวันแกะ o การปลูกข้าวจะต้องปลูกจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน o การเผาไร่จะต้องเผาจากข้างล่างขึ้นข้างบน ห้ามเผาไร่จากข้างบนลงข้างล่าง ถ้าเห็นไม้จับจอง ที่แล้วห้ามจับจองทับที่คนอื่น o เมื่อเก็บข้าวเข้ายุ้งฉางแล้วห้ามนำออกมาทันที จะต้องรอให้ครบ 7 วันก่อน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๒ ภาพ การแสดงเต้นร า ภาพ เครือ่งดนตรอีาข่า ภาพ การแต่งกายในชุดการแสดง 7.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๗.๑ นาฏศิลป์พื้นบ้าน การเต้นรำของชาวอ่าข่าในอดีตจะเห็นได้ตามลานวัฒนธรรมและโอกาสต่าง ๆ เช่น ช่วงเทศกาลปีใหม่ และประเพณีโล้ชิงช้า เป็นต้น การเต้นรำของชาวอ่าข่าระหว่างชายหญิง จะมีจังหวะเต้นไม่เหมือนกันจังหวะ การเต้นรำของผู้หญิงจะมีมากกว่าผู้ชาย การเต้นรำของชาวอ่าข่าที่เรียกว่า “มิฉ่า” มีชื่อต่างกัน จังหวะเต้นรำ ของผู้ชายมีจังหวะอายี่ซอ อากาซ่อ อาโจ่เลโป มิเน แซโลมะโง โล่กอกอ ระเบซอ ฯลฯ มีทั้งจังหวะเร็วและ จังหวะช้า ส่วนจังหวะการเต้นรำของผู้หญิงนั้นจะมีจังหวะต่าง ๆ ดังนี้ (อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์) 1. ผ่อมีเน่ เต้นเป็นวงกลมเดินหน้าเข้าหากัน 3 จังหวะ แล้วย่อเข่าลงพร้อม ๆ กัน แล้วถอยหลัง ออกมา 3 จังหวะ แล้วเดินหน้าเข้าไปอีก 3 จังหวะ แล้วย่อเข่าลง จะเต้นอยู่อย่างนี้จนจบเพลง 2. ซาลอมอ เป็นการเต้นรำแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ใช้มือกอดแขนกันแล้วกระโดดซัดเท้าไป ข้างหน้าเรื่อย ๆ จนจบเพลง 3. จูงมือกันเป็นวงกลมเดินรอบวงพร้อมกับร้องเพลง 4. ยื่นเท้าซ้ายออกไปข้างหลัง ยืนด้วยเท้าขวา เอาเท้าซ้ายไปเกี่ยวไว้กับเท้าของเพื่อนแล้วตบมือเป็น จังหวะพร้อมกับกระโดดขึ้นลง และร้องเพลงไปด้วย 5. เต้นลาวกระทบไม้ เป็นการเต้นที่เน้นในเรื่องของจังหวะ โดยผู้หญิงจะมีกระบอกไม้ไผ่สำหรับ กระทบไม้แล้วทำให้เกิดเสียงดัง และผู้ชายก็อาจเต้นเป็นวงกลมล้อมรอบผู้หญิงตามจังหวะเสียงกลอง โหม่ง ฉาบ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๓ ๗.๒ ดนตรีพื้นบ้าน สมัยก่อนคนอาข่ามีความเชื่อกันว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างคนขึ้นมา แต่จะสร้างขึ้นมาเพียงเผ่าละ 2-3 คน เท่านั้น ซึ่งช่วงเวลานั้นยังไม่มีประเพณีพิธีกรรม หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ มากนัก เพราะมีคนจำนวนน้อย ต่อมาได้มี เลขาของพระเจ้าได้ชี้แนะแนวทาง และสอนการทำเครื่องดนตรีให้กับชาวอาข่า และเมื่อคนอยู่ด้วยกันก็ได้เกิด ลูกเกิดหลานมากขึ้น ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ จึงได้คิดสร้างเครื่องดนตรีแต่ละชนิด เมื่อเวลาที่ ลูกหลานอยู่ห่างไกลกัน ก็จะใช้เครื่องดนตรีเป็นสื่อเพื่อแสดงความคิดถึงต่อกัน จนทำให้เครื่องดนตรีเป็นที่นิยม และสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เครื่องดนตรีของอาข่ามีดังนี้ เครื่องดนตรีประเภทเป่า ได้แก่ • แคน (หละเจ่) เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมเล่นกันของผู้ชายอาข่า ซึ่งจะเล่นในเวลาที่ว่างหรือช่วงประเพณีต่าง ๆ โดยใช้ บริเวณลานวัฒนธรรมชุมชนเป็นสถานที่เล่น หรือเล่นระหว่างทางไปท่องเที่ยวต่างหมู่บ้าน เพื่อส่งเสียงให้ผู้คน ได้ยิน เครื่องแคนของอาข่ายังไม่พบว่าเกิดขึ้นในช่วงใด หรือมีตำนานกล่าวว่าอย่างไร จากที่ได้สอบถามข้อมูล กับผู้เฒ่าผู้แก่ของอาข่าได้ความว่า เมื่อก่อนชาวอาข่าทำแคนขึ้นมาเอง แต่ไม่สามารถที่จะเล่นได้เพราะไม่รู้ จังหวะ และวิธีการเป่า แต่เนื่องจากคนอาข่าสื่อสารกับผีได้ ซึ่งผีสามารถที่จะเป่าแคนได้ ชาวอาข่าจึงเรียนรู้ จังหวะ และวิธีการเป่าแคนมาจากผี ซึ่งความรู้นั้นจึงตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน คนอาข่าเชื่อกันว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ผี หรือ "แหนะ" ขึ้น มา เช่น ผีแม่น้ำ ผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีเจ้าที่เจ้า ทาง ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนกับคนและจะอยู่ร่วมกันกับคน แต่จะมองเห็นได้ในช่วงที่มีเทศกาลหรือพิธีกรรมต่าง ๆ ชาวอาข่าจะเป่าแคนหลังจากพิธีไล่ผีจนถึงเทศกาลกินข้าวใหม่ ซึ่งจะไม่เป่าในเดือน พฤศจิกายน เพราะว่าใน เดือนนี้ผีจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงไม่กล้าที่จะเป่าแคนในช่วงนี้ เพราะว่าอาย และกลัวว่าผีจะลงโทษ เนื่องจากชาวบ้านเรียนรู้จังหวะ และวิธีการเป่าแคนมาจากผีนั่นเอง • ขลุ่ย (ชิวลิ่ว) ขลุ่ยของอาข่าจะเป็นขลุ่ย 3 รู จะเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมเล่นในหมู่ผู้ชายอาข่า ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีขลุ่ย อยู่แต่คนที่สามารถเป่าได้มีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังเป่ากันอยู่ในระหว่างเดินทางไปทำไร่ทำ สวน เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานแต่เด็ก ๆ และเยาวชนในหมู่บ้านจะไม่นิยมเป่ากันแล้ว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๔ • เป่าใบไม้ (อะปะบอเออ) ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะนิยมเป่าในระหว่างทางไปทำไร่ ทำสวนหรือระหว่างทางไปท่องเที่ยวต่างหมู่บ้าน เขาจะห้ามเป่าในบริเวณหมู่บ้าน เพราะเชื่อกันว่าใบไม้เป็นของดิบใช้ได้ครั้งเดียว และก็ต้องทิ้งไปถ้าเกิดเอามา เป่าในหมู่บ้าน ก็จะไม่ดีถือเป็นลางร้าย • ขลุ่ยต้นข้าว จะนิยมเป่ากันเฉพาะฤดูเกี่ยวข้าวเท่านั้น พวกเด็ก ๆ และหนุ่มสาวในหมู่บ้านจะนิยมเป่ากัน แต่ผู้ใหญ่ ไม่ค่อยนิยมเป่า และกระชับไม่ให้เด็กเป่ากัน เนื่องจากเชื่อกันว่า ถ้าเป่าแล้วจะเป็นลางร้ายทำให้ฝนตกข้าวในไร่ นาเสียหายได้ แต่เด็กมีนิสัยดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นใครทำขึ้นมา เล่นกัน เด็กก็จะเอาไปเล่น การเป่าขลุ่ยต้นข้าวจึงมีมาจนถึงปัจจุบัน • เป่ากระบอกไม้ (บ่อลอบอเออ) มีลักษณะคล้ายกับขลุ่ยต้นข้าว แต่จะทำจากไผ่ลำเล็ก ส่วนมากจะนิยมเป่ากันเป็นกลุ่มหลาย ๆ คน เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน หรือเข้าป่าลึกคนเดียวจะไม่นิยมเป่ากัน เพราะอาข่ามีความเชื่อว่า เมื่อเราเป่า กระบอกไม้นี้ สัตว์ป่า หรือผีสางในป่าจะมาหาเรา และอาจทำร้ายเราได้ อาข่าจึงไม่นิยมเป่ากระบอกไม้ในป่า จึง เป็นความเชื่อและถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมาจนถึงปัจจุบัน • จิ๊งหน่อง (จ๊ะเอว่) การเล่นติ้งหน่องจะใช้วิธีการดีด และจะใช้ลมที่ปาก ช่วยในการทำให้เกิดเสียง ส่วนใหญ่เล่นในเวลา ที่ว่างจากการทำงาน หรือระหว่างทางเดินไปท่องเที่ยวต่างหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านจะเล่นกัน เพื่อเป็นสื่อในการเกี้ยวสาว โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่เป็นคนทำ และสอนวิธีการเล่นให้กับหนุ่ม ๆ ซึ่งพวกเขาจะไม่นิยม เล่นกันต่อหน้าพ่อแม่ เนื่องจากเพลงที่เล่นส่วนใหญ่เป็นเพลงเกี่ยวกับเพลงจีบสาว จึงอาย และไม่กล้าเล่นต่อ หน้าพ่อแม่ • ซึง (ดรื้ม) ซึงของอาข่าจะมี 3 สาย ซึ่งเป็นเครื่องเล่นของผู้ชายและจะเล่นกันในเวลาที่ว่างจากการทำงาน เพื่อ เป็นสื่อการเกี้ยวสาว โดยมีคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเป็นคนทำให้ และจะสอนวิธีการเล่นให้ด้วย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๕ • กลอง (ถ่อง) สมัยก่อนกลองจะสามารถทำขึ้นมาได้เอง แต่คนที่สามารถทำกลองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบารมีสูง เช่น หมอผี ผู้นำศาสนา ช่างตีเหล็ก หรือผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นต้น คนอาข่าจะเชื่อกันว่า ถ้าผู้ชายคนใดมีภรรยาที่กำลัง ตั้งครรภ์อยู่ ห้ามไม่ให้ผู้ชายคนนั้นตีกลอง เพราะเขาถือกันว่า ถ้าหากตีกลองก็เหมือนกับตีลูกของตัวเอง • ฆ้อง (โบวโล) ฆ้องถือเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญมากชนิดหนึ่ง ซึ่งทุกครอบครัวในหมู่บ้านจะต้องมี เพื่อใช้ในการทำ พิธีกรรมหรือประเพณีที่สำคัญๆของหมู่บ้าน ถ้าครอบครัวใดไม่มีฆ้อง ครอบครัวนั้นก็จะเข้าร่วมในประเพณีหรือ พิธีกรรมนั้นไม่ได้ สมัยก่อนฆ้องจะต้องซื้อมาจากเมืองจีน แต่ปัจจุบันในท้องตลาดของบ้านเราก็มีขาย • ฉิ่ง (แจเล้) สมัยก่อนฉิ่งก็ต้องซื้อมาจากเมืองจีนเหมือนกัน เพื่อนำมาใช้ในประเพณีหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่สำคัญ ภายในหมู่บ้าน ***ฆ้อง กลอง ฉิ่ง เครื่องดนตรีทั้งสามชนิดนี้จะต้องเล่นร่วมกันและจะใช้ในพิธีที่สำคัญ ๆ เท่านั้น และพิธีนั้นก็จะต้องเป็นพิธีเกี่ยวกับส่วนรวมด้วยจะนำมาเล่นภายในครอบครัว ไม่ได้ • กระทุ้งไม้ไผ่ (บ่อฉ่องตูเออ) การละเล่นกระทุ้งไม่ไผ่หรือ "บ่อฉ่องตูเออ" เป็นการละเล่นที่ใช้เครื่องดนตรีประกอบด้วย การละเล่น ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง หรือกลุ่มแม่บ้าน และจะมีท่าเต้นประกอบด้วย จะเล่นกันในช่วงเทศกาล ประเพณีที่สำคัญในหมู่บ้าน เช่น ประเพณีโล้ชิงช้า ไล่ผี และเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งจะมีการเต้นเป็นวงกลมตาม จังหวะของกลอง ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ อย่างพร้อมเพรียงกัน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๖ เพลง เพลงอ่าข่าแบบดั้งเดิม ใช้สำหรับร้องในงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ เช่น ประเพณีโล้ชิงช้า ประเพณี ปีใหม่ลูกข่าง หรือในงานศพแบบดั้งเดิม บทเพลงของชาติพันธุ์อ่าข่า ชาวอ่าข่าเรียกว่า “อ่าข่าด่อช้า” เป็นสิ่งที่ บอกเล่าเรื่องราวของชีวิต ความเชื่อ จารีตประเพณี และถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับความรัก บทเพลงแต่ละบทเพลงบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนในแง่มุมต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น บทเพลงจีบสาว การสั่งสอน การสอบถามการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตลอดจนการร้องเพลงแสดงความดีใจ เสียใจ และการร้อง เพลง(สวด) เพื่อส่งดวงวิญญาณไปสู่สวรรค์ (อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์) งานศึกษาของประทัย พิริยะสุรวงศ์ (2017) เรื่อง การสื่อสารบอกเล่าวิถีชีวิตจากอดีตถึงปัจจุบันด้วย บทเพลงร้องของชนเผ่าอ่าข่า จังหวัดเชียงราย สัมภาษณ์นาย อาทู่ ปอแฉ่ ซึ่งให้ข้อมูลว่าบทเพลงร้องของชน เผ่าอ่าข่ามีคู่กับชนเผ่ามานานกว่า 2000 ปี โดยวัฒนธรรมของเพลงร้องมีหลากหลายรูปแบบ แบ่งเป็น ประเภท ได้แก่ 1.เพลงร้องแบบพรรณนาความรู้สึกหรือการอบรมสั่งสอน หรือการบอกเล่าตำนานใน ชนเผ่า ซึ่งเพลงร้องแบบพรรณนา มีมาแต่โบราณยาวนานคู่กับชนเผ่า มักใช้ในโอกาสต่าง ๆ เพื่อพรรณนาตาม บริบทที่ต้องการ การร้องจะมีลักษณะคล้ายเพลงซอทางภาคเหนือของไทย กล่าวคือจะร้องเป็นบทพรรณนา ยาว ๆ บางครั้งใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะเป็นการพรรณนาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้ร้องประสบมา บ้างก็เป็นตำนาน เล่าขานเกี่ยวกับวีรบุรุษในชนเผ่า บ้างเป็นตำนานการเกิดชนเผ่า ไปจนถึงการสั่งสอนในการหาคู่ การศึกษา วัฒนธรรม การดำรงชีวิต การทำมาหากิน ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ 2.เพลงร้องแบบบทสวดในชนเผ่า มักใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ภายในชนเผ่า เช่น การสวดใน พิธีกรรมต่าง ๆ งานศพ งานแต่งงาน งานบุญ การร้องแบบบทสวดจะมีคำร้องเฉพาะ ซึ่งเป็นภาษาโบราณยาก ต่อการเข้าใจเพราะเป็นคำเฉพาะ ผู้ที่จะสวดได้ต้องดำรงตำแหน่ง “หมอสวด” หรือ “พีม๊ะ” (พิมา) เท่านั้น 3.เพลงร้องทั่วไป เป็นเพลงร้องที่นิยมโดยทั่วไปในชนเผ่า ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยชน เผ่าอ่าข่าจะร้องเพลงดังกล่าวใน 3 โอกาส คือ ในลานวัฒนธรรมของชุมชน ในการไปทำไร่ และในงานรื่นเริง ต่าง ๆ ทั้งในและระหว่างหมู่บ้านในชนเผ่าด้วยกัน ทั้งนี้เพลงร้องทั่วไปมีจุดเริ่มต้นจาก “แด ข่อง” (Deh qahq) ซึ่งหมายถึง“ลานวัฒนธรรมของชุมชน” บทเพลงร้องของชนเผ่าอ่าข่า จึงมีที่มาจากลานแด ข่องโดยมีการเต้น และร้องเพลงในลาน โดยบทเพลงร้องที่ใช้ ได้แก่ เพลงเก่าแก่ดั้งเดิมของชนเผ่าอ่าข่าที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่ง โดยมากเป็นเพลงที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชนเผ่า เพลงความรักของหนุ่มสาว ไปจนถึงวิถี ชีวิตประจำวัน อาทิ การปลูกข้าว การทำไร่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๗ งานศึกษาของ (อุไรวรรณ แสงศร, 2531: 35-53) ได้จัดแบ่งบทเพลงชาวอ่าข่าออกเป็น ประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 1.เพลงกล่อมลูก “อ่าชีเชอ” ผู้ร้องส่วนใหญ่เป็นแม่ ซึ่งจะผูกลูกติดหลังไว้เกือบตลอดเวลา แม้แต่เวลาทำงานไร่ เพลงกล่อม เด็กจะแยกออกเป็นเพลงกล่อมเด็กผู้ชาย เพลงกล่อมเด็กผู้หญิง ซึ่งเนื้อร้องจะไม่เหมือนกัน แต่ทำนอง คล้ายคลึงกัน 1.1 เพลงกล่อมลูกชาย จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของผู้ชายคือ ได้ลูกชายพ่อแม่จะดีใจ ลูกชายเป็นลูกของพ่อแม่ ลูกชายจะดีหรือไม่ดีก็เป็นบุญของพ่อแม่ ลูกชายถึงแม้ไม่หล่อก็อยู่กับพ่อแม่ได้ ลูกชายไปล่าสัตว์ได้เนื้อมาก็นำมาเข้าบ้านพ่อแม่ 1.2 เพลงกล่อมลูกสาว เนื้อหาของเพลงบอกเล่าอนาคตของลูกผู้หญิงเมื่อโตขึ้นว่าจะ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดไป ได้ลูกสาวพ่อแม่ก็ดีใจ ลูกผู้หญิงแม้เป็นคนดีก็เป็นบุญของคนอื่น ลูกผู้หญิงแม้เกิดสวยก็ต้องยกให้คนอื่น ลูกผู้หญิงช่วยพ่อแม่ได้ หาผักหาฝืนให้พ่อแม่ได้ แต่ลูกผู้หญิงก็ไม่ได้เป็นลูกของพ่อแม่ตลอดไป ลูกสาวเลี้ยงไว้เพื่อยกให้คนอื่น 2.บทเพลงของเด็ก ๆ เพลงที่เด็ก ๆ ร้องนี้จะเป็นบทเพลงสั้น ๆ ส่วนมากนำมาจากสุภาษิต เนื้อหาส่วนใหญ่ กล่าวถึงการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวอ่าข่า เช่น เด็กรับประทานข้าวบดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คนแก่กินข้าวเม็ดแข็งก็แก่เร็วเกินไป หุงข้าวจนน้ำเดือดแล้วไม่เปิดฝา น้ำก็ไหลลงมาอย่างลำธาร ปั่นเส้นด้ายถ้าไม่เอาเมล็ดฝ้ายออก ก็ปั่นกรอเป็นเส้นด้ายไม่ได้ ถ้าไม่หมั่นกรอเส้นด้าย ก็จะไม่มีผ้าคาดเอว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๘ 3. เพลงเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว “อ่าชีกู้ ” เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มสนใจเพศตรงกันข้าม เด็กสาวจะสนใจตัวเองมากขึ้น ให้ความสำคัญกับ การการแต่งตัว เสื้อผ้าชาวอ่าข่าจะเป็นสีดำล้วน และมีลายปักที่ด้านหลังของเสื้อ ในวัยเด็กลายปักจะมีเพียง เล็กน้อย เมื่อเริ่มเป็นสาวเสื้อจะเพิ่มลายปักมากขึ้น หมวกที่สวมจะประดับด้วยขนไก่ย้อมสี ขนม้า ขนชะนีย้อม สี ลูกปัด ลูกเดือย เต็มไปหมด เพลงที่เด็กสาวร้อง เป็นเพลงบอกกล่าวให้หนุ่ม ๆ รู้ว่าตัวเองเป็นสาวแล้ว จะร้องเวลาเดินไป ทำไร่หรือหาอาหารในป่า เป็นการประกาศให้เด็กหนุ่มทั้งในหมู่บ้านตัวเองและหมู่บ้านอื่นได้รู้ เมื่อสาว ๆ ร้อง เพลงประกาศให้หนุ่ม ๆ รู้ถึงความเป็นสาวของตนเองแล้ว พอถึงเวลากลางคืนก็จะลงไปยังลานวัฒนธรรมเพื่อ รอพบหนุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากประเพณีชาวอ่าข่า ห้ามหนุ่มสาวพูดคุยในเชิงเกี้ยวพาราสีกันบนบ้าน เพราะถือว่า ไม่ให้เกียรติแก่บรรพบุรุษ ดังนั้นกฎของกลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าจึงให้สร้างลานวัฒนธรรมขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ให้ หนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกัน และสถานที่นี้ยังถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาติพันธุ์อ่าข่าจะต้องดำรงรักษาไว้และให้ ชนรุ่นหลังถือปฏิบัติสืบต่อกันไป ลานวัฒนธรรมนี้จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาติพันธุ์อ่าข่าเท่านั้น เมื่อหนุ่ม ๆ สาว ๆ มาเล่นที่ลานวัฒนธรรมแล้วจะมีการร้องเพลง เต้นรำ โต้ตอบกันอย่างสนุกสนาน ดังนั้น ณ ลาน วัฒนธรรมแห่งนี้จึงเกิดบทเพลงต่าง ๆ ขึ้นมากมาย จะมีทั้งเพลงที่ร้องเกี้ยวกันระหว่างหนุ่มสาว บางเพลงยัง แทรกคำสอนหนุ่มสาวไว้อีกด้วย 4.เพลงคำสอนต่าง ๆ เพลงที่ร้องสอนเยาวชนชาติพันธุ์อ่าข่านี้ จะร้องได้ทั้งหญิงและชาย ผู้ร้องอยู่ในวัยกลางคน จะ ร้องเวลาเดินไปไร่ หรือบางครั้งร้องในงานเทศกาลของชุมชน แบ่งออกเป็นเพลงสอนผู้หญิง และเพลงสอน ผู้ชาย ตัวอย่างเช่น เพลงซอลอฮั่อจะละซออยู่ฮู้ เป็นเพลงสอนผู้หญิงมีเนื้อร้องดังนี้ ลูกผู้หญิงตื่นแต่เช้าต้องล้างหน้า ต้มน้ำไว้ให้พ่อแม่ ตำข้าวที่ครกกระเดื่อง ต้มผัก ต้มปลาเป็นอาหาร กินข้าวแล้วออกไปทำไร่ ลงลานวัฒนธรรม เมื่อได้ยินเสียงไก่ขันให้กลับบ้าน เพื่อเตรียมทำงานในวันต่อไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๙ เพลงอึ่มจ่าข่อต้อเอ่อ เป็นเพลงสอนผู้ชายมีเนื้อร้องดังนี้ ลูกผู้ชายต้องล่าสัตว์ได้ ออกไปไร่ตัดต้นไม้ใหญ่ งานใหญ่ในไร่ผู้ชายต้องทำก่อน เมื่อผู้ชายเริ่มต้นได้แล้ว ผู้หญิงก็ทำตามได้ 5. เพลงที่ร้องในพิธีกรรม เพลงในพิธีกรรมนี้ ส่วนมากนิยมร้องเฉพาะคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ร้องได้มี น้อยมาก เพราะในพิธีกรรมจริง ๆ ผู้ที่จะร้องเพลงเหล่านี้จะเป็นผู้อาวุโส แต่ในพิธีโล้ชิงช้าจะมีเพลงของหนุ่ม ๆ สาว ๆ ร้องด้วย เพลงในพิธีโล้ชิงช้า ผู้ชายเป็นคนสร้างชิงช้า ผู้หญิงจะเป็นคนโล้ชิงช้า แม้จะแกว่งไปไกลแค่ไหนก็ไม่กลัว วันนี้เป็นวันดี เป็นวันปีใหม่ของพวกเราแล้ว ผู้ชายต้องไปหาต้นไม้มาทำชิงช้า หาเถาวัลย์มาทำเชือกชิงช้า เสร็จแล้วพวกเรามาโล้ชิงช้า เพลงในพิธีสร้างประตูหมู่บ้าน เมื่อหญิงมีลูกฝาแฝด อยากจะเข้ามาในหมู่บ้าน อย่าให้เธอเข้ามา ควายที่มีลูกฝาแฝดจะเข้ามา อย่าให้มันเข้ามา เสือที่เข้ามาใกล้หมู่บ้าน อย่าให้มันเข้ามา นกอินทรีที่กำลังบินมา อย่าให้บินมาเกาะบนประตู สิ่งที่ดีงามกำลังมายังหมู่บ้าน ให้เข้ามาได้ สิ่งชั่วร้ายที่จะมาถึงให้ขจัดออกไป
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๐ เพลงส่งวิญญาณของคนตายไปหมู่บ้านของบรรพบุรุษ เพื่อให้ดวงวิญญาณไปถึงจุดหมาย ปลายทาง ในบทเพลงนำดวงวิญญาณ จะกล่าวถึงเรื่องราวที่สำคัญของประเพณีพิธีศพของอ่าข่า สุดท้ายจะเป็น การร้องเพลงบอกทางแก่ดวงวิญญาณไปสู่หมู่บ้านของบรรพบุรุษมีเนื้อหาเพลงดังนี้ มีทางสามแพร่ง อย่าไปทางขวา อย่าไปทางซ้าย จงเดินตรงไป ท่านมาถึงต้นไม้ซึ่งมีกิ่ง 3 กิ่ง ท่านมาถึงหมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ท่านมาถึงทุ่งนา 3 แห่ง หมู่บ้านของบรรพบุรุษท่านอยู่ตรงกลาง ท่านมาถึงหมู่บ้านของบรรพบุรุษของท่านแล้ว บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ จะเห็นได้ว่า สังคมชาติพันธุ์อ่าข่าในอดีต เพลงมีบทบาทในการอบรมสั่งสอนและถ่ายทอด วิชาความรู้ ตลอดจนกฎขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติพันธุ์อ่าข่าไปยังคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะว่าชาติพันธุ์อ่าข่าไม่มีตัวหนังสือที่จะบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ส่งต่อไปยังบุตรหลาน (อำภา วูซือ 2562 ออนไลน์) ๗.๓ การละเล่นพื้นบ้าน การละเล่นในงานเทศกาลหรือในพิธีกรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอ่าข่าที่ทำงานหนักเกือบตลอดทั้ง ปี ทำให้หาเวลาพักผ่อนเพื่อความสนุกสนานได้น้อยมาก แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีชาติพันธุ์อ่าข่าก็มีวิธีผ่อน คลายและหาเวลาพักผ่อนให้แก่สมาชิกในชุมชน ผ่านการจัดพิธีกรรมประจำปี และทุกพิธีกรรมที่สำคัญ จะมี ข้อกำหนดทางวัฒนธรรมไว้ว่า ชาวบ้านทุกคนจะต้องหยุดงานในไร่ให้หมด และห้ามออกจากหมู่บ้าน ทุก ๆ คน จะต้องเข้าร่วมพิธีกรรม เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วจะได้ร่วมสนุกสนานกันเต็มที่ เป็นการพักผ่อนจากการทำงานหนัก ในไร่ของคนอ่าข่า และสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชนอีกด้วย พิธีกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ได้แก่ พิธีโล้ชิงช้า พิธีปีใหม่ พิธีปีใหม่ชนไข่แดง พิธีกรรมทั้ง 3 พิธีนี้ ตอนกลางวันจะมีการไหว้บรรพบุรุษ หนุ่มสาวเล่นสะบ้า เล่นลูกข่าง นอกจากนี้ จะมีการรำดาบของผู้ชายอีกด้วย พอถึงเวลากลางคืนชาวบ้านจะมารวมกันที่ลาน วัฒนธรรมของหมู่บ้าน และหนุ่มสาวจะพากันเต้นรำ โดยหญิงสาวจะนำเครื่องให้จังหวะคือกระบอกไม้ไผ่ ส่วน พวกหนุ่ม ๆ จะนำไม้มาวางไว้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมกว้าง ๆ พอได้เวลาประมาณสองทุ่มหรือสามทุ่ม การเต้นรำ เริ่มต้น หญิงสาวจะเต้นรำไปพร้อมกับกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่กับไม้เนื้อแข็งที่วางเป็นกรอบไว้พร้อม ๆ กัน เป็น การให้จังหวะ เสียงของกระบอกไม้ไผ่นี้จะดังไปไกลให้ได้ยินไปยังดอยลูกอื่นด้วย และจะเต้นรำกันตลอดทั้งคืน จนถึงเวลาหกโมงเช้า (อำภา วูซือ, 2562, ออนไลน์)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๑ การละเล่นพื้นบ้านของชาติพันธุ์อ่าข่าส่วนใหญ่ อุปกรณ์ที่ใช้จะทำขึ้นง่าย ๆ หาได้จากสิ่งแวดล้อมใกล้ ๆ หมู่บ้าน การเล่นของเด็กหลาย ๆ อย่างจะใช้ธรรมชาติเป็นเวทีหรือเป็นอุปกรณ์ในการเล่น และจะเป็น การละเล่นที่ง่าย ๆ ในช่วงวัยเด็กการละเล่นพื้นบ้านของอ่าข่าจริง ๆ มีอยู่ไม่กี่อย่าง ทั้งนี้เพราะว่าหาเวลาว่าง ไม่ค่อยมี แม้แต่ในวัยเด็กพออายุประมาณ 7 - 8 ขวบก็จะมีหน้าที่รับผิดชอบ แล้วช่วงที่ว่างและเล่นสนุกสนาน กันได้จริง ๆ ก็เฉพาะเวลามีงานเทศกาลประจำปีหรืองานพิธีกรรมที่สำคัญ ๆ เท่านั้น การละเล่นของเผ่าอาข่าแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ การละเล่นในพิธีกรรม ได้แก่ * ลูกข่าง (ฉ่อง) เป็น การละเล่นของอาข่าที่เล่นในช่วงที่มีพิธีกรรม หรือประเพณีเท่านั้น จะมีปีละครั้ง การละเล่นลูกข่างเป็นการละเล่นที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็นการละเล่นของผู้ชาย โดยเมื่อถึงวันที่ มีพิธีกรรมผู้ชายจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพื่อจะไปตัดไม้เนื้อแข็งมาทำเป็นลูกข่าง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะ เริ่มทำลูกข่างโดยเหลาปลายไม้ให้ปลายแหลมๆ บางคนจะใส่เหล็กตรงปลาย เพื่อให้ลูกข่างหมุนได้นาน จากนั้น ก็จะมาเล่นกัน โดยแบ่งเป็นสองฝ่ายๆละกี่คนก็ได้จากนั้นก็เล่นกัน * โล้ชิงช้า (หล่าเฉ่อบี่เออ) ประเพณีโล้ชิงช้า เป็นประเพณีที่จัดขึ้นช่วงประมาณปลายเดือนสิงหาคม – ต้นเดือน กันยายนของทุกปี หลังจากที่ทำการเพาะปลูกข้าว หรือข้าวโพดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยชิงช้าที่ทำจะมี 3 ลักษณะคือ ชิงช้าใหญ่ที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้น (หล่าเฉ่อ) ชิงช้าหมุน (ก่าลาหล่าเฉ่อ) และชิงช้าขนาดเล็กที่ สร้างไว้หน้าบ้านของแต่ละครอบครัว (เออเลอ) ประเพณีโล้ชิงช้าเป็นประเพณีที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็นโล้เพื่อเร่งผลผลิตต่างๆ ที่เพาะปลูกให้เจริญงอกงาม * การเต้นรำ (บ่อฉ่องตูเออ) จะ เล่นในช่วงที่มีพิธีกรรม หรือประเพณีเท่านั้น โดยทั้งชาย และหญิงจะแต่งกาย ด้วยชุดประจำเผ่าที่งดงาม แล้วมารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้าน หรือที่ๆ มีพื้นที่กว้างขวางโดยจะมีอุปกรณ์ที่ใช้ใน การเต้นรำดังนี้ กลองที่ทำมาจากไม้ หนังวัว-กวาง (ถ่อง) ฆ้อง (โบวโล) ฉิ่ง (แจและ) และกระบอกไม้ (บ่อฉ่อง) สำหรับลักษณะการเต้นก็มีหลายแบบด้วยกัน ดังนี้ * เต้นเป็นวงกลมโดยทุกคนจะเต้นเป็นจังหวะตามเสียงกลอง โดยจะเต้นจากด้านซ้ายไปยังด้านขวาอย่างพร้อม เพรียงกัน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๒ * เต้น แบบราวกระทบไม้ เป็นการเต้นที่เน้นในเนื่องของจังหวะ โดยผู้หญิงจะมีกระบอกไม้ไผ่สำหรับกระทบไม้ แล้วให้ เกิดเสียงดัง และผู้ชายก็อาจเต้นเป็นวงกลมล้อมรอบผู้หญิงก็ได้ สะบ้า(อ๊ะเบอฉ่อเออ) การเล่นสะบ้าจะนิยมเล่นกันในช่วงที่มีงานประเพณี หรืออยู่กรรม เพราะชาวบ้านจะมี เวลาว่างจึงหันมาเล่นสะบ้า การละเล่นสะบ้าเป็นการละเล่นของผู้หญิง โดยจะเก็บผลสะบ้าจากป่ามาแล้วเล่น กัน สะบ้าจะเป็นการเล่นเป็นทีม สามล้อ (ลาหล่อ) การเล่นสามล้อถึงแม้เป็นการละเล่นที่หาต้นกำเนิดไม่ได้ แต่เป็นการละเล่นที่เด็กอาข่า นิยม เล่นกันมาก โดยเมื่อต้องการทำสามล้อก็จะไปหาตัดท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร มา 3 ล้อ จากนั้นก็ตัดไม้มา มัด หรือตอกให้แน่น โดยข้างหน้าจะมีเพียงล้อเดียว และข้างหลังมี 2 ล้อ ทุกอย่างพร้อมแล้วก็สามารถนำมา เล่นได้เลย ส่วนในเรื่องของความเร็ว เด็กๆ จะใช้เปลือกไม้ชนิดหนึ่ง นำเปลือกไม้มาแล้วทุบ หรือตำให้ละเอียด แล้วทาบริเวณล้อ เพราะเปลือกไม้ชนิดนี้จะเหนียว และลื่น ซึ่งจะทำให้สามล้อวิ่งได้เร็ว อีกทั้งยังเอาเปลือกไม้ เหล่านี้มาดองเก็บไว้ในขวดพลาสติก เพื่อเอาไว้ใช้ในคราวต่อๆ ไป อีกทั้งเด็กอาข่าชอบไปกัดเปลือกไม้แล้ว เคี้ยวๆ ให้ละเอียด จากนั้นเอามาแปะที่ล้อ การเล่นสามล้อ (ลาหล่อ) เป็นการละเล่นที่ค่อนข้างอันตราย เหมือนกัน ถ้าเด็กทำ หรือประดิษฐ์สิ่งของไม่แน่น และอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ไม้โกงกาง (หม่อหน่อ) เป็น ของเล่นที่ค่อนข้างหวาดเสียวสำหรับบุคคลที่ยังไม่เคยเล่น เพราะจะต้องจัดทรงให้ ได้ก่อน และก็สูงอีกด้วย สำหรับไม้โกงกางของอาข่ามีความเป็นมา ดังนี้ **นานมาแล้วชาวอาข่าได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับไทยลื้อ ซึ่งอาข่ากับไทยลื้อไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก ไทย ลื้อก็ได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ขึ้น ก็มียิงธนู วิ่ง ฯลฯ แต่ว่าอาข่าก็พ่ายให้กับไทยลื้อเกือบทุก ชนิด ต่อมาอาข่าได้รวมตัวกัน พร้อมประชุมปรึกษาหารือกันว่าทำอย่างไรถึงจะเอาชนะไทยลื้อได้ จึงได้คิดทำไม้ โกงกางขึ้น เพื่อจะเอาชนะไทยลื้อ โดยอาข่าแบ่งทีมสำหรับจะเล่นโกงกางขึ้น พร้อมทำการฝึกฝนอย่างหนักโดย ตัดไม้โกงกาง มาให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๓ พอเวลาดึกอาข่าจะขี่ไม้โกงกางแล้วเข้าไปในหมู่บ้านของไทยลื้อ โดยหยิบขี้แพะไปแล้วไปทิ้งไว้เป็น จุดๆ ในลานหมู่บ้าน รุ่งเช้ามาไทยลื้อก็ออกมามุงดู ขี้แพะ และก็รู้สึกแปลกใจมากที่มีขี้แพะ แต่ไม่มีรอยเท้าของ แพะ พออีกคืนหนึ่งอาข่าก็ได้ขี่ไม้โกงกางแล้วไปยังหมู่บ้านของไทยลื้ออีกที นี้ไปหลอกล่อให้หมาเห่า ชาวบ้าน ของไทยลื้อก็ออกมาดูแต่ก็มองไม่เห็น เพราะไม้โกงกางที่อาข่าขี่ไปนั้นสูงมาก และมืดด้วย อยู่ไปหลายวันชาว ไทยลื้อก็รู้สึกหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น คิดว่าโดนผีหลอก จึงได้ย้ายออกไปจากหมู่บ้านนั้น อาข่า จึงได้หมู่บ้านของไทยลื้อมาครอบครอง และนี่ก็คือที่มาของไม้โกงกางของอาข่า ** ลานวัฒนธรรม /ลานชุมชน (แดข่อง /กาปา) การละเล่นในลานวัฒนธรรมเป็นการละเล่นในเวลาค่ำคืนใต้แสงพระจันทร์ที่สวยงาม โดยหลังจาก กลับมาจากการทำไร่ทำสวนทั้งหนุ่มสาวก็จะเตรียมตัวจะมาที่ลาน วัฒนธรรม (แดข่อง) โดยแต่งกายด้วยชุด ประจำเผ่า เพื่อร้องรำทำเพลง และมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผู้อาวุโสเรื่องประเพณีวัฒนธรรม มาถึงหนุ่มๆ ก็จะ ไปหาฟืนเพื่อมาจุดไฟให้สว่าง จากนั้นก็จะเต้นรำกัน เป็นโอกาสของหนุ่มสาวที่จะเลือกคู่ครองกัน หลังจากร้อง รำทำเพลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสาวก็จะกลับไปยังบ้านของตนเอง เพื่อพักผ่อนเอาแรง เพราะรุ่งเช้าต้องไป ทำไร่ทำสวน การใช้ชีวิตของหนุ่มสาวอาข่าในสมัยนั้นเป็นแบบนี้ เนื่องจากในสมันนั้นการศึกษาไม่ทั่วถึง หนุ่ม สาวอาข่าจึงอ่อนในเรื่องการศึกษา แต่เต็มไปด้วยความฉลาดในเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ชาวอาข่าควร อนุรักษ์ ไว้ให้ลูกหลานสืบทอดต่อๆ กันไป * การแข่งขันสูบยา (ห่อฉี่ห่อถ่าเออ) เป็นการละเล่นของผู้อาวุโสที่สูบยาขื่น (ยาฉุน) โดยเวลาว่างๆ ผู้อาวุโสจะ มารวมตัวกันแล้วสูบยาขื่นให้แดงที่สุด จากนั้นก็มีการทาย ปัญหาเล่น หลังจากทายปัญหาเสร็จแล้ว มาลองสูบ ดูว่าของใครยังดับ ถ้าดับถือว่าคนนั้นแพ้ แต่ถ้าของใครยังไม่ดับก็จะถือว่าชนะ นี่ก็เป็นการละเล่น ของคนแก่ ยามที่ว่างๆ * ปั้นถ้วย (อู่หม่าแตเออ) เด็ก จะขุดดินเหนียวมาแล้ว เอาศอกตำลงตรงกลางดินเหนียว ให้เป็นรู และลักษณะ คล้ายๆ กับถ้วย แล้วเด็กก็จะใส่น้ำลงไป เป็นการเล่นของเด็ก ที่ต้องใช้ในพิธีกรรม คือ จะต้องสวดคาถาเวลาที่ คนแก่เสียชีวิตลง ฉะนั้นถือเป็นการละเล่น ที่มีความสำคัญมากของอาข่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๔ บรรณานุกรม ไทยโพสต์. (2566). “อ่าข่าโฮย้า” ภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพของชาวอ่าข่า ต่อยอดพัฒนาสินค้า-อาหาร พื้นบ้าน-การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (1). สืบค้นจากจาก : https://www.thaipost.net/publicrelations-news/315745/. ปนัดดา บุณยสาระนัย และหมี่ยุ้ม เชอมือ. (2547). อาข่า หลากหลายชีวิตจากขุนเขาสู่เมือง. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มูลนิธิโครงการหลวง. (2555). อาข่า. สืบค้นจากจาก : https://www.royalprojectthailand. com/node/868. ศิริโรจน์ ศิริแพทย์. (2562). “อ่าข่าโฮย้า” ภูมิปัญญาชีวิต ฟื้นมรดกวิถี อยู่ไม่เป็น(โรค). หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. สืบค้นจาก https://www.dailynews.co.th/article/746754 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2563). กลุ่มชาติพันธุ์ : อาข่า. สืบค้นจาก : https://www.sac. or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups/99. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. (2564). เรื่องเล่าจากชุมชน (3) ‘ภูมิปัญญาจากอ่าข่า’. สืบค้นจากจาก : https://web.codi.or.th/20210119-20926/ Morton, M. F. (2013). “If you come often, we are like relatives; if you come rarely, we are like strangers”: Reformations of Akhaness in the Upper Mekong Region” ASEAS – Austrian Journal of South-East Asian Studies. Morton, Micah. (2010). “Negotiating the changing space of Zomia: A Preliminary discussion on the role of Language in Akha identiatarian politics”, Rian Thai: International Journal of Thai studies. Young, Gordon. (1 9 6 2 ) . The Hill Tribes of Northern Thailand (A Socio-Ethnological Report). nd ed. Bangkok: Siam Society, Thailand.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๕ ภาคผนวก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๖
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๗
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๘
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๙
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๐
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๑
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๒
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๓
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๔
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๕
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๖
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๗
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๘