รายงาน เรื่อง ทำสุภาษิตสอนหญิง โดย นางสาวเมธาวีดอนสี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๒ เลฃที่ ๗ เสนอ คุณครูพิสมัย สืบเลย รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท๒๑๐๒ ภาคเรียนที่๒ ปีการศึกษา ๒๕๖ โรงเรียนสีชมพูศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น
คำนำ รายงานเรื่อง การศึกษาวรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน ท๓ ๒๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มีภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๗ มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคำสอนจากวรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง คณะผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำ รายงาน เนื่องมาจากเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และมีความใกล้ตัว รวมทั้งแสดงให้เห็น ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพ สังคม โดยมีขอบข่ายเนื้อหาดังนี้ ประวัติความเป็นมาของวรรณคดีคำสอนสุภาษิตสอน หญิง เนื้อ เรื่องวรรณคดีคำสอนสุภาษิตสอนหญิง หลักในการวิเคราะห์วรรณคดี ทั้งนี้คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้า และ รวบรวมข้อมูลจากเอกสารสุภาษิตสอนหญิง ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานวิจัย วิทยานิพนธ์แบทความโดยอาศัย กระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชื่อมโยง จนสำเร็จเป็นรายงานฉบับนี้คณะผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าการจัดทำรายงานฉบับนี้ จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา วรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง
สารบัญ หน้า เรื่อง คำนำ - สารบัญ - -ความหมายของวรรณคดี 1 - ความหมายของสุภาษิต 4 -ที่มาของวรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง 11 -ประวัติความเป็นมา 13 -เนื้อเรื่องของวรรณคดี 24 - ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ 26 - เนื้อเรื่องอย่ 28 -หลักการวิเคราะห์วรรณคดี 30 - คุณค่าด้านวรรณศิลป์ 33 - คุณค่าด้านสังคม 34
บทนํา วรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง ผู้แต่งคือสุนทรภู่ (ภู่) ซึ่งที่มาของวรรณคดีเรื่องนี้คือผู้แต่งได้แต่งไว้โดยมี จุดมุ่งหมาย ๒ ประการ ๑. แต่งเพื่อหารายได้เมื่อตัวเองลำบาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสุภาษิตสอนสตรีในการประพฤติและ การปฏิบัติตน วรรณคดีเรื่องนี้เป็นวรรณคดีประเภทคำสอนซึ่งเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจ โดย เนื้อหาส่วนใหญ่สอนเรื่องการวางตัวในสังคม เสังคม เช่น เช่น จเนื้อหาของวรรณคดี เนื้อหาของ วรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเป็นการกล่าหลักในการปฏิบัติตนของผู้หญิง ทั้งในเรื่อง การวางตัว กิริยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลือกคู่ครอง การดูแลบ้านเรือน โดยทำให้ทราบเรื่องความประพฤติและ ปฏิบัติตัวของผู้หญิงในสมัยก่อน และยังทำให้ทราบถึงความแตกต่างของหญิงและชาย คือ ผู้หญิงได้รับการสั่งสอน เกี่ยวกับงานบ้านงานเรือน ส่วนผู้ชายนั้นเป็นผู้ทำหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวหรือที่เรียกกันว่า "ช้างเท้าหน้า" การแบ่ง หน้าที่เช่นนี้ จึงทำให้ผู้หญิงมอบความเป็นใหญ่ให้ผู้ชาย ผู้หญิงจึงควรปฏิบัติต่อผู้ชายตามคำสอนในสุภาษิตสอนหญิง แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาพสังคมมี การเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ปัจจุบันสุภาษิตสอนหญิงยังคงหลงเหลืออยู่หรือจางหายไป ซึ่งเป็นคำถามที่คณะผู้จัดทำ มีความสนใจหลังจากที่ได้ศึกษาวรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง โดยมีประเด็นศึกษาหลักๆดังนี้ ประวัติความ เป็นมาของวรรณคดีคำสอนสุภาษิตสอนหญิงเนื้อเรื่องวรรณคดีคำสอนสุภาษิตสอนหญิง และหลักในการวิเคราะห์ วรรณคดี ซึ่งสามารถติดตามได้จากรายงานฉบับนี้
1 ความหมายของวรรณคดี ๑.๑ ความหมายของวรรณคดีคำสอน มูลนิธิสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน (๒๕๕๕ ออนไลน์) วรรณคดีคำสอน คือ วรรณคดีที่แต่งขึ้นเพื่อให้เป็น ข้อคิด คติเตือนใจ เนื้อหามักจะพูดถึงการวางตัวในสังคม ส่วนใหญ่แต่งเป็นร้อยกรอง เนื้อหาประกอบด้วยคำแนะนำใน ด้านต่างๆ เช่น สอนผู้หญิง ก็สอนให้มีความอ่อนโยนอ่อนหวาน ซื่อสัตย์ต่อสามี คอยปรนนิบัติสามีให้มีความสุข ขยันหมั่นเพียรในการทำงานบ้านงานเรือน ถ้าเป็นคำสอนสำหรับชนชั้นสูง ก็จะสอนให้มีความยุติธรรม ไม่ดื่มสุรา ไม่ รังแกผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า รักษาวาจาสัตย์ ถ้าเป็นคำสอนคนทั่วไป ก็จะสอนให้มีวาจาสุภาพ ให้คิดก่อนพูด ไม่ดูถูก ผู้ที่ อ่อนแอกว่า มีความอดทน มีความขยันหมั่นเพียร สอนเรื่องการเลือกคู่ มีทั้งในภาคเหนือ เช่น คำสอนพญามัง ราย โคลง เจ้าวิทูรสอนโลก ภาคใต้ เช่น ลักษณะเมียเจ็ดสถาน สุภาษิตสอนหญิงคำกาพย์ และภาคอีสาน เช่น พญาคำกองสอน ไพร่ อินทิญาณสอนลูก ท้าวคำสอน www.saranukromthai.or.th (๖ มิถุนายน ๒๕๕๕) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สาทิด แทนบุญ (๒๕๕๘: ออนไลน์) วรรณคดีคำสอนของสุนทรภู่ สวัสดิรักษา เนื้อหาเป็นคำสอนเกี่ยวกับการ ปฏิบัติตน พร้อมระบุประโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติตนตามจะได้รับ หรือผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามอาจมีอันตราย เรื่องที่สอน ได้แก่ การ รักษาสุขภาพอนามัย การวางตัวในสังคม ฯลฯ วรรณคดีคำสอนของสุนทรภู่ เช่น สุภาษิตสอนหญิง มีเนื้อหา เกี่ยวกับ การสอนผู้หญิงตามค่านิยมของสังคมไทย มีทั้งข้อห้าม และข้อปฏิบัติ ทั้งในเรื่องของกิริยามารยาท การ แต่งกาย การ เลือกคู่ครอง การดูแลงานบ้านงานเรือน บทบาทของวรรณคดีคำสอน คือ เพื่ออบรมสั่งสอนคนใน สังคม ในวรรณคดีคำ สอนของสุนทรภู่ ได้แสดงถึงการมองโลกอย่างเข้าใจว่า ชีวิตจะต้องเกี่ยวข้องกับคนในสังคม จึงควรมีข้อควรปฏิบัติ และ ไม่ควรปฏิบัติ เพื่อใช้ ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข วรรณคดีคำสอนนั้นส่งผลต่อวิถี ชีวิตของคนในสังคมไทย http://digital_collect.lib.buu.ac.th/
2 (๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โสภา คชรัตน์ (๒๕๕๐: ออนไลน์) วรรณกรรมคำสอน เป็นวรรณกรรมที่ให้คติสอนใจแก่ผู้อ่านในการดำรงชีวิต ให้มี ความสุขและเป็นที่พึงพอใจของบุคคลในสังคม คำสอนมักเกิดจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ใช้สอนลูกหลาน เพื่อ สร้างค่านิยมพื้นฐานในการใช้ชีวิตในสังคม โดยมีการปลูกฝังตั้งแต่สมัยก่อน จึงทำให้มีวรรณกรรมคำสอนเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย เช่น สุภาษิตพระร่วง เป็นวรรณกรรมคำสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิต มีคำสอนที่สามารถใช้ เป็น แบบแผนในการดำเนินชีวิต ใช้ภายาที่บุคคลทุกระดับสามารถเข้าใจได้ สุภาษิตสอนหญิง เนื้อหากล่าวถึงเรื่อง การ ประพฤติ และคำแนะนำของผู้หญิงโดยตรง สวัสดิรักษา เนื้อหากล่าวถึงการปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ เน้น การดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเน้นศีลธรรม วรรณกรรมคำสอนนั้น ให้ทั้งประโยชน์และคุณค่า และยังมีเนื้อหาที่ สมบูรณ์ สามารถสอนได้ทุกเพศทุกวัย http://thesis.swu.ac.th/ ( พฤษภาคม ๒๕๕๐) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาพบว่า วรรณกรรมคำสอน คือ วรรณคดีที่แต่งขึ้นเพื่อให้เป็นข้อคิดคติเตือนใจ เป็นคำสอนทั่วๆไป เพื่อสร้างค่านิยมพื้นฐานในการใช้ชีวิตในสังคม โดยมีการปลูกฝังตั้งแต่สมัยก่อน จึงมีวรรณกรรมคำสอนต่างๆมาย มาย เพื่อใช้เป็นคำสอนเพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องไม่ผิดแบบแผน ซึ่งในวรรณกรรมคำสอนมักจะมีการสอดแทรก สุภาษิตไว้ ในเนื้อเรื่องอีกด้วย
3 ความหมายของสุภาษิต เบญจวรรณ สาสุข (๒๕๕๙: ออนไลน์) สุภาษิต หมายถึง ถ้อยค้าหรือข้อความ ที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านาน มี ความหมายในทางบวก มักเป็นคำตักเตือนสั่งสอน มี ๒ ประเภทคือ ๓.สุภาษิตที่เข้าใจได้ทันที ไม่จำเป็นต้องแปลความ มักมีความหมายเป็นข้อคิดคติเตือนใจ เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๒.สุภาษิตที่ต้องมีการแปลความ หรือตีความหมายของสุภาษิตนั้นๆก่อน ถึงจะสามารถเข้าใจได้ เช่น ถ่มน้ำลายรด ฟ้า https://sites.google.com/ (๑ มีนาคม ๒๕๕๙) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ proverbthai.com (๒๕๕๗ ออนไลน์) ความแตกต่างระหว่าง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพยนั้น ยากที่จะ แยก ออกจากกัน เพราะสำนวน สุภาษิตและคำพังเพยนั้น มีความคล้ายกันมาก แต่จริงๆแล้วยังมีความแตกต่างกัน ๓. สำนวน คือ คำพูดที่กะทัดรัด มักจะมีความหมายโดยนัย เป็นการอุปมา ต้องมีการตีความ ปากเสีย ๒. คำพังเพย คือ ถ้อยคำที่เปรียบเทียบเหตุการณ์ ที่พบเห็นได้จากคนในสมัยก่อน ไม่เน้นการสั่งสอนแต่มักเสียดสี ประชดประชัน เช่น งมเข็มในมหาสมุทร ๓. สุภาษิต คือ คำกล่าวที่เป็นคติสอนใจ จึงมีลักษณะเดียวกับสำนวน และคำพังเพย แต่มีจุดประสงค์เพื่อสั่งสอน ตักเตือน ไม่เสียดสีเหมือนกับคำพังเพย แต่แสดงหลักความจริง และยังรวมถึง สัจธรรม คำสั่งสอนทางศาสนาด้วย เช่น
4 ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน https://proverbthai.com/ (๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สุภาษิตพาเพลิน (๒๕๖๐: ออนไลน์) สุภาษิตไทย หรือภาษิต คือ คำที่ใช้เพื่อ กล่าวตักเตือน สั่งสอน แนะ ด้วย หลักความจริง มักมีความคล้องจองสืบทอดมาตั้งแต่สมัยก่อน แต่ละชุมชน แต่ละอาชีพ ก็มีสุภาษิตคล้ายกันบ้าง แตกต่างบ้าง เพราะ วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตแตกต่างกัน ตัวอย่างสุภาษิตเช่น จงเอาเยี่ยงกา แต่อย่าเอา อย่างกา หมายความว่า ควรเอาแบบอย่างในสิ่งที่ดีเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ควรทำตาม สุภาษิตไทย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. คำสุภาษิตประเภทที่พูด อ่านหรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ๒. คำสุภาษิตประเภทที่พูด อ่านหรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องแปลความก่อน http://meawmeaw54.blogspot.com/ (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สุภาษิต หรือสุภาษิตไทย คือ ถ้อยคำหรือข้อความที่เป็นคำกล่าวตักเตือน ข้อคติคำสอนในการดำเนินชีวิต มีมา ตั้งแต่สมัยโบราณ แต่มีความหมายที่เป็นความหมายที่ดี เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หมายถึง เราทำสิ่งใดดีก็จะดี ถ้า เรา ทำในสิ่งที่ไม่ดีผลไม่ดีก็จะตามมา ยกตัวอย่างเช่น วรรณคดีสุภาษิตสอนหญิง ซึ่งเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อใช้ สุภาษิต ในการสอนผู้หญิงให้ปฏิบัติตนในสังคมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
5 ที่มาของวรรณคดีคำสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิง ประวัติผู้แต่ง Twinkl พระสุนทรโวหาร (นามเดิม "ภู) หรือที่เรารู้จักกันทั่วไปว่า "สุนทรภู่" เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ที่บริเวณใกล้ "พระราชวังหลัง" หรือบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยในปัจจุบัน ตรงกับรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้าน กร่า อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองอื่น ในวัยเด็ก สุนทรภู่อาศัยอยู่ในพระราชวังหลังกับ มารดา และมี โอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ ในสำนักพระภิกษุที่มีชื่อเสียง สำนักชีปะขาว (ปัจจุบันคือวัด ศรีสุดาราม) และได้ เข้ารับราชการเป็นอาลักษณ์ราชสำนัก (หรือผู้ทำหน้าที่ทางหนังสือในราชสำนัก) ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรี "สุนทรภู่" ไม่ใช่ชื่อจริง แต่เป็นนามแฝงที่ เกิดจากการนำคำว่า "สุนทร" ในชื่อ บรรดาศักดิ์ “ขุนสุนทรโวหาร” ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย มารวมกับชื่อจริงว่า "ภู่" สุนทรภู่มีใจรักด้านกาพย์กลอนและเป็นกวีที่มีความชำนาญทางการ ประพันธ์เป็นอย่างยิ่ง โดยอาจเป็นผลมาจาก ประสบการณ์ในวัยเด็กที่มีโอกาสได้ซึมซับความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรม และศิลปะการแสดงต่าง ๆ ในพระราชวังหลัง สุนทรภู่หมั่นเพิ่มพูนประสบการณ์ในการประพันธ์ด้วยการรับจ้าง แต่งเพลงและบทกลอนมากมายที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวและคารมที่คมคาย สุนทรภู่จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกวี และ มีชื่อเสียงมากขึ้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สุนทรภูได้ เลื่อนตำแหน่งเป็น “พระสุนทรโวหาร” เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่าย พระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ขณะที่อายุ ๖๐ ปี และเนื่องจาก สุนทรภู่มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่จึงได้รับสมญานามว่า "กวีสี่แผ่นดิน" https://www.twinkl.co.th/teachine-wiki/sunthr-phu
6 เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ กระปุกดอทคอม สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำปีมะเมีย จุลศักราช ๑๔๘ เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดาชื่อไม่ปรากฏ ทราบเพียงว่ามารดามีเชื้อสายผู้ดีและ ทำหน้าที่เป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ส่วนบิดานั้นบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัด ระยอง เมื่อสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมี ความรู้ดีแล้ว มารดานำไปฝากเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับ ราชการ ไม่ก้าวหน้านัก เพราะติดนิสัยรักกาพย์กลอนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงเป็นที่โปรดปรานให้เป็น "ขุน สุนทรโวหาร (ภู่) เรียกกันสั้นๆ ว่า "สุนทรภู่" ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร” และถึงแก่กรรมเมื่อปีเถาะพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี https://info.muslimthaipost.com/article/19354 เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย (๒๕๕๖ ออนไลน์) สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของ ท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตามสันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง บิดา มารดาเลิก ร้างกันตั้งแต่สุนทรภู่เกิดบิดาออกไปบวชที่วัดป่า ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดากลับเข้า ไปอยู่ในพระราชวังหลัง และ ได้ถวายตัวเป็นนามนมของพระธิดาในกรมฯ ในปฐมวัยสุนทรภู่ได้ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กใน พระราชวังหลัง และได้อาศัยอยู่กับมารดา สุนทรภูได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและ ที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักการแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครู สอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามใน คลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว ๒๐ ปี ในระยะนี้ได้ลอบรักกับหญิงสาวชาว วังชื่อ "จันทร์" จึงต้องเวรจำทั้งชายหญิง เมื่อกรมพระราชวังหลังทิวงคตจึง พ้นโทษ ต่อมาจึงได้แม่จันทร์เป็นภรรยา แต่ อยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหงคงจะเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุรา อยู่เป็นนิตย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ได้ข้ารับ ราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโว หารเป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด ระยะนี้สุนทร
7 ภู่ได้หญิงชาวบางกอกน้อยที่ชื่อ นิ่ม เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง ต่อมา ในราว พ.ศ.๒๓๖๔ สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมา สุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษเพราะ ความสามารถในทางกลอนเป็นที่พอพระราช หฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมัยรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องเสพสุรา และ เรื่องอื่นๆ จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ต่อมาสุนทรภู่ออกบวช ที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และ เดินทางไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ และได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ จนพระองค์ประชวร สิ้นพระชนม์สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ ๑๐ พรรษา สุนทรภู่ออกมา ตกระกำลำบาก อยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง ๒ พรรษาก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้า ฟ้ากรม ขุนอิศเรศรังสรรค์ ณ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้อุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร ตำแหน่ง เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวัง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ และรับราชการต่อมาได้ ๔ ปี ก็ถึงแก่มรณกรรม ใน พ.ศ.๒๓tes รวมอายุได้ ๗๐ ปี https://www.m-culture.go.th/nongkhai/ewt_news.php?nid=265&filename=index (๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาประวัติของสุนทรภู่ได้พบว่า สุนทรภู่เกิดเดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำปีมะเมีย จุลศักราช ๑๔๘ เวลา ประมาณ ๔.๐๐ น. ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๓ ที่บริเวณใกล้ “พระราชวังหลัง” หรือ บริเวณ สถานีรถไฟบางกอกน้อยในปัจจุบัน ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล ที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมีความรู้ดีแล้ว มารดานำไปฝาก เป็น ข้าในกรมพระราชวังหลัง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับราชการไม่ก้าวหน้านัก เพราะติด นิสัยรัก กาพย์กลอนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงเป็นที่โปรดปรานให้เป็น “ขุนสุนทรโวหาร” (ภู่) เรียกกันสั้นๆ ว่า "สุนทรภู่" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น " พระสุนทรโวหาร" และถึงแก่กรรมเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี ซึ่งในรายงานฉบับนี้จะกล่าวถึงหนึ่งในวรรณคดีที่กวีสุนทรภู่เป็นผู้แต่งขึ้น คือ วรรณคดีสุภาษิตสอน หญิง
8 ๒.๒ ประวัติความเป็นมา นางสาวกุลปรียา มากวัฒนสุข สุภาษิตสอนหญิงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุ ภาพ ทรงให้ความเห็นไว้ว่า"สุนทรภู่เห็นจะแต่งเมื่อราว พ.ศ.๒๓๘๐ จน พ.ศ. ๒๓๘๓ ในเวลาเมื่อสึกกลับออกมาเป็น คฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะห์ตามสำนวนดูเหมือนวรรณคดีเรื่องนี้สุนทรภู่จะแต่งขาย กล่าว ความเป็นสุภาษิตสำหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุดฯ ได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคำสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้ำไปถ้อยคำ ในต้นฉบับ ก็วิปลาสคลาดเคลื่อนต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดีน่าอ่านเหมือนกัน”กล่าวโดยสรุป คือ นักวิชาการ ปัจจุบันก็มีความเห็นตรงกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า สุภาษิตสอนหญิงนั้นสุนทร ภู่เป็นผู้แต่ง โดยมีจุดมุ่งหมาย ๒ ประการ คือ ๓. แต่งเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองเมื่อครั้งตกยาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสุภาษิตสอนใจให้สตรีสมัยนั้นในเรื่องของการประพฤติและปฏิบัติตน สุภาษิตสอนสตรีของสุนทรภู่ จัดเป็นวรรณคดีคำสอนที่แพร่ หลายมากมักจะเรียกกันว่า สุภาษิตสอนหญิง ใน สมัยก่อนมี การเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้าขาวสะอาด ซึ่งถ้าเปรอะเปื้อนสิ่งใดแม้แต่น้อยก็เกิดเป็นจุดตำหนิเสียแล้ว ดังนั้นคนสมัยก่อน จึงจำเป็นต้องหาวิธีหรือหาแนวทางป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิดตำหนิบนผ้าขาว ก่อให้เกิดสภาษิ ตสอนหญิงขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันแก้ไขตำหนิต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีสุภาษิตสามารถจำแนกได้เป็น ๒ ประเภท ได้แก่๒.๒ ประวัติความเป็นมา นางสาวกุลปรียา มากวัฒนสุข สุภาษิตสอนหญิงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุ ภาพ ทรงให้ความเห็นไว้ว่า"สุนทรภู่เห็นจะแต่งเมื่อราว พ.ศ.๒๓๘๐ จน พ.ศ. ๒๓๘๓ ในเวลาเมื่อสึกกลับออกมาเป็น คฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะห์ตามสำนวนดูเหมือนวรรณคดีเรื่องนี้สุนทรภู่จะแต่งขาย กล่าว ความเป็นสุภาษิตสำหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุดฯ
9 ได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคำสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้ำไปถ้อยคำ ในต้นฉบับ ก็วิปลาสคลาดเคลื่อนต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดีน่าอ่านเหมือนกัน”กล่าวโดยสรุป คือ นักวิชาการ ปัจจุบันก็มีความเห็นตรงกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า สุภาษิตสอนหญิงนั้นสุนทร ภู่เป็นผู้แต่ง โดยมีจุดมุ่งหมาย ๒ ประการ คือ ๓. แต่งเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองเมื่อครั้งตกยาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสุภาษิตสอนใจให้สตรีสมัยนั้นในเรื่องของการประพฤติและปฏิบัติตน สุภาษิตสอนสตรีของสุนทรภู่ จัดเป็นวรรณคดีคำสอนที่แพร่ หลายมากมักจะเรียกกันว่า สุภาษิตสอนหญิง ใน สมัยก่อนมี การเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้าขาวสะอาด ซึ่งถ้าเปรอะเปื้อนสิ่งใดแม้แต่น้อยก็เกิดเป็นจุดตำหนิเสียแล้ว ดังนั้นคนสมัยก่อน จึงจำเป็นต้องหาวิธีหรือหาแนวทางป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิดตำหนิบนผ้าขาว ก่อให้เกิดสภาษิ ตสอนหญิงขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันแก้ไขตำหนิต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีสุภาษิตสามารถจำแนกได้เป็น ๒ ประเภท ได้แก่๑. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่นทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น ๒. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของค้าเหล่านั้น สุภาษิตสอนหญิง เป็นที่รวมแห่งคติในการครองตัวของ หญิง ตามวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม เป็นที่ยกย่องแพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน แต่ส่วนมากยังคงถือปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลงาน กวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์ โดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นเมื่อใด เนื้อหาเป็นการสอนสตรี ในด้านต่าง ๆ เช่น การวางตัว การเจรจา การเลือกคู่ เป็นต้น https://sites.google.com/site/suphasitlady/thi-ma-khxng-re เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
10 ธนัชพร ทีมค้า (๒๕๖๒:ออนไลน์) สุภาษิตสอนหญิงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุ ภาพทรงให้ความเห็นไว้ว่า"สุนทรภู่เห็นจะแต่งเมื่อราว พ.ศ.๒๕๔๐ จน พ.ศ. ๒๕๔๓ ในเวลาเมื่อสึกกลับออกมาเป็น คฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะห์ตามสำนวนดูเหมือนวรรณคดีเรื่องนี้สุนทรภู่จะแต่งขาย กล่าว ความเป็นสุภาษิตสำหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด โดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุด ฯ ได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคำสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้ำไป ถ้อยคำใน ต้นฉบับก็วิปลาสคลาดเคลื่อนต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดีน่าอ่านเหมือนกัน" https://toeywaranya.blogspot.com (๒๒ เมษายน ๒๕๖๒) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เกร็ดความรู้.net สุภาษิตสอนหญิง นับได้ว่าเป็นบทประพันธ์ขึ้นเอกของสุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร กวีเอก ของไทยและของโลก ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๒๑๙ - พ.ศ. ๒๓๙๘ หรือในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชการที่ ๔ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์บทประพันธ์เรื่องสุภาษิตสอนหญิงนั้นไม่ปรากฏปีที่ประพันธ์อย่างชัดเจน มีเนื้อหาที่เป็นการ สอนผู้หญิง ในด้านต่างๆ เพื่อการเป็นกุลสตรี ที่ดี เช่น การวางตัวที่เหมาะสม การพูดเจรจา การเลือกคู่ครอง เป็น ต้น มีทันสมัยและ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย มีความไพเราะมาก สัมผัสนอกสัมผัสในงดงามตามแบบฉบับของสุนทรภู่ ผู้มี ความสามารถทางด้าน โคลงฉันท์กาพย์กลอนและภาษาไทยในชั้นครู ไม่มีใครสามารถเทียบได้ www.เกร็ดความรู้.net เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โดยสรุป สุภาษิตสอนหญิงเป็นบทประพันธ์ขึ้นเอกของสุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร กวีเอกของไทยและของ โลก เป็นสุภาษิตสำหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุดฯได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย สุภาษิตสอนหญิง เป็นที่รวมแห่งคดีในการครองตัวของหญิงตามวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม เป็นที่ยก ย่อง แพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน แต่ส่วนมากยังคงถือปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประโดย ไม่ ปรากฏแน่ชัดว่าประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นเมื่อใด โดยเนื้อหาของสุภาษิต
11 เนื้อเรื่องของวรรณคดี ๓.๑ ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๔ ประการ ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สุภัชฌาน์ ศรีเอี่ยม/ จันทร์ฤดี ภาคตอน (๒๕๖๓ ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพของ ผู้เรียนในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่กำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปลี่ยนแปลงของ โลก ยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องเน้น และปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนทุกคนเพื่อช่วย ให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาในองค์รวมทั้งด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความ มั่นคงสงบสุขใน สังคม ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก http://www.human.lpru.ac.th (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๖๓) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๒) และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ ๒) (พ.ศ.๒๕๔๕ ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง ลักษณะที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน อันเป็น คุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสำนึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี ความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก (กลุ่มส่งเสริมการเรียนการสอนและประเมินผล สำนักวิชาการ และ มาตรฐานการศึกษา, ๒๕๔๘ ๒) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ 4 ประการ ได้แก่ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่าง พอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ http://www.bic.moe.go.th
12 เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ คุณครูอิทธิวิธี สินศิริ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๔ ประการ หมายถึง คุณภาพของผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ที่กำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปลี่ยนแปลง ของโลกยุคปัจจุบันซึ่งทำให้มี ความ จำเป็นต้องเน้นและ ปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนทุกคนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนา ในองค์ รวมทั้งด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและ ความมั่นคง สงบสุขในสังคม http://kruitti.com/khun.php จากการศึกษาลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ สามารถสรุปได้ดังนี้คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพ ของผู้เรียนในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสำนึก อันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการ จึงทำให้มีความ จำเป็นต้องเน้นและปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทุกคนเกิดการพัฒนาในองค์ รวมทั้ง ด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคมได้ อย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลกซึ่งในการพัฒนาตัวผู้เรียนในปัจจุบันให้มีศักยภาพมาก ยิ่งขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีการกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการขึ้น ที่มาของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๔ ประการ
13 (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๒) และที่ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ ออนไลน์) สำหรับการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นับเป็น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ที่มี ความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล โลก ยึดมั่นในการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ พื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญบน พื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ โดยมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพ ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิด กับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมี คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่า ของ ตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต ซึ่งในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตาม มาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4 ประการ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ทั้ง 4 ข้อนี้ ได้แก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ชื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่ อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการ ทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๔. มีจิตสาธารณะ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๓) http://www.bic.moe.go.th เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ บุญรอด ชาติยานนท์ (๒๕๖๑:ออนไลน์) การจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรแกนกลางที่กำหนดคุณลักษณะของผู้เรียน สถานศึกษาต้องนำกรอบแนวคิดไปจัดการเรียนการ สอน
14 ให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะขั้น พื้นฐาน ประกอบอาชีพได้ตามควรแก่วัยตามความสามารถและความถนัดของตน ทำคุณประโยชน์แก่สังคมและ ประเทศชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดคุณลักษณะที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมี คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้อันเป็นสากล และมี ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต มีสุขภาพกายและสุขภาพจิต ที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย มี ความรักชาติมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถี ชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งดี งามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่ง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ มีกรอบการพัฒนาผู้เรียนในด้านคุณธรรมจริยธรรมให้มี คุณลักษณะที่สังคมและชาติต้องการ สามารถอยู่ใน สังคมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ได้กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการคือ ๑) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒) ชื่อสัตย์สุจริต ๓) มีวินัย ๔) ใฝ่ เรียนรู้ ๕) อยู่อย่างพอเพียง ๖) มุ่งมั่นใน การทำงาน ๗) รักความเป็นไทย ๔) มีจิตสาธารณะ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑ : ๖-๘) https://www.tci-thaijo.org (กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ นางสาวจิตตินันท์ ดีหลาย (๒๕๖๑:ออนไลน์) ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ ๒๑โดยมุ่ง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ ทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ ต้องการให้เกิด ขึ้นกับผู้เรียนอันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการ ในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสำนึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
15 ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการ ได้แก่ ๑.รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ชื่อสัตย์สุจริต ๓.มีวินัย ๔.ใฝ่เรียนรู้ ๕.อยู่อย่างพอเพียง ๖.มุ่งมั่นในการทำงาน ๗.รัก ความ เป็นไทย ๔.มีจิตสาธารณะ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความ เป็นพลเมืองพลโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และ ทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต https://mis.krirk.ac.th/librarytext/ED/2561/F_Jittinun_Deelal.pdf (๒๕๖๑) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาความหมายของลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถสรุปได้ดังนี้ การจัดการศึกษาตามหลักสูตร แกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรแกนกลาง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่มีความ สมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกยึดมั่นในการปกครอง ตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็น ต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเมื่อ จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตัวเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิตและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคมได้อย่างมีความสุขซึ่งในการพัฒนา ผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๓ ได้ กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ 4 ประการ ได้แก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ชื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่ เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง 5. มุ่งมั่น ในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๔. มีจิตสาธารณะ ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งของ รายงานนี้ได้มีการวิเคราะห์คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ ๘ ประการที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิง
16 ๖. วิเคราะห์เนื้อเรื่องวรรณคดีที่สอดคล้องกับลักษณะอันพึงประสงค์ ๔ ประการ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตัวอย่างบทประพันธ์ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน อันเป็นมิ่งโมลี ทวีป จํานงเบียรบบบาทพระศาสดา (บทไหว้ครู หน้าที่ ๑) จากบทประพันธ์เป็นการการประนมมือเป็นรูปดอกบัวตูมขึ้นเหนือศีรษะ การตั้งใจกราบไหว้ นอบน้อมต่อพระ ศาสดา การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการเคารพนบนอบต่อพระศาสดา และการ มีความเชื่อ ความศรัทธาต่อศาสนาตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4 ประการในเรื่องของการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์๒. ชื่อสัตย์ ตัวอย่างบทประพันธ์ จงชื่อสัตย์สุจริตจิตถนอม จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ อย่าคิดร้ายแยกย้ายทําแปลกปลอม
17 มโนน้อมเสน่หาต่อสามี (บทที่ ๑๘ หน้าที่ ๑๓) จากบทประพันธ์เป็นการสอนผู้หญิงว่าหากมีคู่ให้คอยดูแลเอาใจใส่ และซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนเอง อย่าคิดร้ายหรือคิด นอกใจต่อสามี ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สอนถึงการใช้ชีวิตคู่กันอย่างชื่อสัตย์และคอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันตาม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของความซื่อสัตย์ เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร จงชื่อต่อภัสดาสวามี จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดชัย (บทที่ ๑๘ หน้าที่ ๑๒) จากบทประพันธ์เป็นการสอนว่า ให้เอาความจริงซื่อสัตย์ตั้งเป็นปฏิญาณคือคำมั่นสัญญาด้วยใจบริสุทธิ์แม้จะยาก แค่ไหน ก็ไม่เป็นไรให้ชื่อสัตย์ต่อสามีไปจนตาย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สอนให้ซื่อสัตย์ไปตลอดตามคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของความซื่อสัตย์ ๓. มีวินัย ตัวอย่างบทประพันธ์ ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ
18 เป็นตำรับแบบฉบับไปยึดยาว ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปจีนทำ จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี เก็บประกอบเอาแต่ขอบในเรื่องความ จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ ไว้เป็นแบบสอบตนทับราศี กันบัดสีคำค่อนคนนินทา จากบทประพันธ์เป็นการสอนสตรีให้มีวินัยประพฤติตนตามสุภาษิตสอนหญิงฉบับนี้ ข้อไหนไม่ดีไม่ควรทำ ทำแต่ เรื่องที่ ดีๆ ให้คอยทำตามที่สอน ไม่ใช่ฟังเพราะว่าไพเราะ ให้วิเคราะห์ให้ดีแล้วทำเป็นตามที่สอนจะได้ไม่ถูกผู้อื่น นินทา ซึ่งเป็น คุณลักษณะที่สอนให้มีวินัยทำตามที่สอนตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการ มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ตัวอย่างบทประพันธ์ รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา
19 จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย อย่าเอาอย่างหญิงโกงที่โฉงเฉง การวิชาหาประดับสำหรับร่าง (บทที่ ๑๐ หน้าที่ ๒๖) จากบทประพันธ์สอนในเรื่องของการขวนขวายหาวิชาความรู้ใส่ตน ให้รู้จักใช้ปัญญาปกครองคน หากเป็นเจ้านายที่ โง่เง่าไม่มีปัญญา เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่ จะทำให้ไม่มีบ่าวไพร่หรือลูกน้องคนใดอยากที่จะเคารพยำเกรงได้ ซึ่งเป็น คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการแสวงหาความรู้ใส่ตน ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ตัวอย่างบทประพันธ์ อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ
20 (บทที่ ๗ หน้าที่ ๕) จากบทประพันธ์สอนในเรื่องการประหยัดอดออม การเก็บเงินให้เพิ่มพูนมากขึ้น ไม่ใช้จ่ายสิ้นเปลือง ต้องใช้จ่ายซื้อ แต่ ข้าวของที่จำเป็น สิ่งใดไม่ควรซื้อก็ไม่ควรซื้อ ให้รู้จักระมัดระวัง ไม่ประมาทในการใช้เงินมีน้อยก็ใช้น้อย อย่าใช้จ่าย เกิน ตัว เพราะจะทำให้ยากจนได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มี เหตุผล และรอบคอบ ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการอยู่อย่างพอเพียง๖.มุ่งมั่นในการทำงาน อย่าเกียจคร้านการสตรีจงนิยม จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่เป็นผล ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ลบอก อย่าซุกซนคบเพื่อนไหล่เขื่อนแข เขม้นจะมักรักงานการของตน (บทที่ 4 หน้าที่ 4)
21 จากบทประพันธ์เป็นการสอนว่าหากไม่เกียจคร้านการงาน เก็บออมไม่ยากจน ถ้าทำสิ่งใดให้ทำตลอดอย่าง สม่ำเสมอ ให้ รักในการงานของตนเอง อย่ามัวเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สอนให้ไม่เกียจคร้านการ งาน ตั้งใจทำงาน ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการมุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ตัวอย่างบทประพันธ์ ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา (บทที่ ๑ หน้าที่ ๓) จากบทประพันธ์สอนในเรื่องของการเกิดเป็นผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีในตนเองควรจะปฏิบัติตนให้สมกับความเป็น กุล สตรี ต้องไม่ใจง่าย ให้รักนวลสงวนตัว รู้จักบำรุงรักษาร่างกายของตน ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่าง ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อเป็นการรักษาศักดิ์ศรีและมิให้ผู้อื่นมานินทาได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการปฏิบัติ ตนตาม ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการรักความเป็น ไทย 4. จิตสาธารณะ ตัวอย่างบทประพันธ์
22 จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว ให้พ้นคาวข่าวชั่วเข้ามั่วสุม ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ จากบทประพันธ์สอนให้สตรีคิดให้ดีเสียก่อนจะทำอะไรให้เหมาะสม หากทำตัวไม่เหมาะสมก็จะส่งผลเสียต่อตนเอง และ ครอบครัวเดือดร้อนไปด้วยจึงควรนึกถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สอนให้มีจิต สาธารณะตาม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการมีจิตสาธารณะนอกเหนือจากคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ ๘ ประการที่ปรากฏอยู่ในสุภาษิตสอนหญิงแล้วยังคงมีคุณค่าด้านเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีอีก ด้วย ดังนั้นเราจึง จำเป็นที่จะต้องทราบหลักการวิเคราะห์เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหาของวรรณคดี เฉพาะเมื่อมีงานเทศกาลเท่านั้น ในเวลาปกติต้องให้ความสำคัญกับกิจการงานเรือน หมั่นหาวิชาความรู้ประดับตน เพราะเมื่อต้องคุมบ่าวไพร่ในเรือนเจ้านายต้องเก่งกว่าบ่าวให้เกรงกลัวที่จะทำชั่ว อย่าใช้เงินเกินฐานะ ไม่ไปทำตัว แข่งกับ ชาววัง ถ้าใช้เงินหรือแต่งตัวตามเขาจะเดือดร้อน https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta id=265 เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ธนัชพร ทิมคำ (๒๕๖๒:ออนไลน์) สุภาษิตสอนหญิงเป็นการแต่งไปเรื่อยและเท่าที่ใจกวีอยากจะแต่ง ไม่ได้วาง โครง เรื่องไว้ก่อนแต่ง แต่ก็คงใจความสำคัญ นั่นคือทุกบทกลอนจะกล่าวสอนสตรีเพศ ตักเตือนอีกทั้งยกตัวอย่างให้เห็น อย่างเป็นรูปธรรมในตอนต้นเป็นบทประณามพจน์ หรือเรียกง่าย ๆ คือ บทไหว้ครู
23 https://toeywaranya.blogspot.com/2019/04/blog-post_20.html?m=1 (๒๒ เมษายน ๒๕๖๒) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ KWANNIE (๒๕๖๔ ออนไลน์) ในสมัยก่อนมีการเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้าขาวสะอาด ซึ่งถ้าเปรอะเปื้อนสิ่งใด แม้แต่ น้อย ก็เกิดเป็นจุดตำหนิเสียแล้ว และตำหนิที่ว่านี้ก็เกิดได้โดยง่ายนัก ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงจำเป็นต้องหาทาง ป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิดตำหนิในผ้าขาว และหาทางแก้ไขในกรณีที่ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงได้มีสุภาษิต หรือสุภาษิตสอน หญิง เกิดขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันแก้ไขตำหนิต่างๆได้เป็นอย่างดี สุภาษิต ได้แก่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่า จะเป็น ทำนองสำนวนโวหาร หรือคำพังเพย แต่มีเนื้อความหรือความหมายที่ดี เป็นคำตักเตือนสั่งสอน และสะกิด ใจให้ระลึกถึง อยู่เสมอ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ๑. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ ต้องแปล ความหมาย ตีความหมายเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๒. คำสุภาษิตประเภทที่พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคำเหล่านั้น เช่น ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย สุภาษิตสอนหญิง เป็นที่รวม แห่ง คดีในการครองตัวของหญิงตามวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม เป็นที่ยกย่องแพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน ส่วนมากคง ถือปฏิบัติ ทุกวันนี้ จะมีเลิกถอนตามคตินิยมอย่างใหม่บ้างเพียงบ้างประการ เช่นการกราบเท้าสามีเมื่อเข้านอน หรือการ รับประทานอาหารหลังสามีเป็นต้น https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/22702 (๖ สิงหาคม ๒๕๖๔) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
24 หลักในการวิเคราะห์วรรณคดี ๔.๑ การวิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านเนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดใน เหตุการณ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตัวละคร การวิเคราะห์จึงต้องวิเคราะห์ จาก องค์ประกอบเหล่านี้ว่าครบถ้วน สมจริง มีเหตุผล อย่างไร มีคุณค่ามากกว่าความสนุกสนานหรือไม่ และยัง ต้องมีความ ไพเราะของบทประพันธ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบเนื้อหาจะมุ่งวิเคราะห์ไปที่ประโยชน์และคุณค่า http://134.236.227.13 (๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมเกียรติ ครูดำ คำแหง (๒๕๕๔ ออนไลน์) คุณค่าด้านเนื้อหา แนวคิดและค่านิยมจากวรรณกรรม แนวคิดที่ ปรากฏในวรรณกรรม หมายถึง ความคิดสำคัญของเรื่องที่ให้ประโยชน์ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น แนวคิด เกี่ยวกับ ความเชื่อ เรื่องบุญกรรม ความรักชาติ ความกตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์ www.gotoknow.org (๘ มิถุนายน ๒๕๕๔) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ บุญกว้าง ศรีสุทโธ (๒๕๖๓ ออนไลน์) การพิจารณาคุณค่าด้านเนื้อหา มีแนวทางในการพิจารณาดังต่อไปนี้ ๑. รูปแบบ พิจารณาว่างานประพันธ์นั้นใช้คำประพันธ์ชนิดใด ลักษณะการแต่งถูกต้องตามลักษณะฉันทลักษณ์ หรือไม่ ผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ได้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือไม่
25 ๒. สาระ พิจารณาสาระที่ผู้แต่งต้องการสื่อมายังผู้อ่านว่าเป็นเรื่องอะไร ๓. โครงเรื่อง พิจารณาว่าผู้แต่งมีวิธีการวางโครงเรื่องอย่างไร การลำดับความเป็นไปตามลำดับขั้นตอนหรือมีวิธีการ วาง ลำดับเรื่องน่าสนใจ ๘. ตัวละคร พิจารณาว่าตัวละครในเรื่องมีลักษณะนิสัย บุคลิกภาพและบทบาทในเรื่องสมจริง ๕. จากและบรรยากาศ ผู้แต่งบรรยายฉากและบรรยากาศได้เหมาะสม ถูกต้อง ชัดเจน เห็นภาพและสอดคล้องกับ เรื่อง ได้ดี https://sites.google.com (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
26 การวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ภัทรวรรธน์ ปิจจวงค์ (๒๕๕๑: ออนไลน์) คุณค่าด้านวรรณศิลป์ วรรณคดีที่ได้รับยกย่องต้องมีการประพันธ์ที่ดี เยี่ยม การใช้คำต้องเหมาะสมถูกต้องตรงความหมาย เหมาะกับเนื้อเรื่องมีเสียงเสนาะ เป็นไปตามฉันทลักษณ์ สามารถ ทำให้ผู้อ่านจินตนาการตามเนื้อเรื่องได้ และต้องเข้าใจสำนวนโวหารและภาพพจน์ ดังนี้ ๑. การใช้โวหาร บรรยายโวหาร เป็นการเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ที่มีเวลาสถานที่ ซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันพรรณนา โวหาร เป็นการให้รายละเอียดของเรื่องราว เทศนาโวหาร คือโวหารที่มุ่งในการสั่งสอน โน้มน้าวจิตใจผู้อ่านให้ คล้อยตาม สาธกโวหาร คือ การยกตัวอย่างประกอบ อุปมาโวหาร คือ โวหารเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น ๒. การใช้ภาพพจน์ เป็นการพลิกแพลงภาษาให้แปลกออกไปกว่าที่เป็นอยู่ปกติ ทำให้เกิดการกระทบความรู้สึกและ อารมณ์ต่างกับภาษาที่ใช้อย่างตรงไปตรงมา ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ อติพจน์ บุคคลวัต สัทพจน์ ση. การเล่นเสียง คือการเลือกสรรคำที่มีเสียงสัมผัสกัน ได้แก่ การเล่นเสียงอักษร เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ เพื่อ เพิ่มความไพเราะและแสดงความสามารถของกวีที่แม้จะเล่นเสียงของคำแต่ยังคงความหมายไว้ ๔.รสทางวรรณคดีไทย มีอยู่ ๔ ชนิด คือ เสาวรจนี (ชมความงาม) นารีปราโมทย์ (ชมนาง) พิโรธวาทัง (โกรธ) สัลลา ปังคพิไสย (เศร้าจากการศึกษาหลักการวิเคราะห์วรรณคดีด้านเนื้อหาสรุปได้ว่า คุณค่าด้านเนื้อหา หมายถึง ใจความสำคัญ แนวคิดที่ปรากฏ รายละเอียดของเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวรรณกรรมเรื่องนั้นๆ ประกอบไป ด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตัวละคร การวิเคราะห์จึงต้องวิเคราะห์จากองค์ประกอบเหล่านี้ว่า ครบถ้วน สมจริง มีเหตุผล และรวมถึงประโยชน์ของเนื้อหา มีคุณค่าที่มากกว่าความบันเทิง ให้ประโยชน์หรือข้อคิด ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็น โดยตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งการวิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหามีหลักการ ๕ อย่าง ได้แก่ วิเคราะห์รูปแบบการประพันธ์ เหมาะสมกับเรื่องหรือไม่ วิเคราะห์สาระที่ผู้แต่งต้องการสื่อ วิเคราะห์โครงเรื่องที่
27 ควรเป็นลำดับขั้น วิเคราะห์ตัวละครมี ความสมจริงมากน้อยเพียงใด วิเคราะห์ฉากและบรรยากาศถูกต้อง เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง และนอกจากคุณค่าด้าน เนื้อหาซึ่งควรให้คุณค่าทั้งความบันเทิงและประโยชน์ในการดำเนิน ชีวิตแล้วนั้น คุณค่าทางวรรณศิลป์ก็มีความสำคัญต่อ ความรู้สึกของผู้อ่านเช่นกัน การวิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนวิถีชีวิตของคนที่สะท้อนมาจาก วรรณคดีและวรรณกรรม โดยนิยมแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง เช่น ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม การดำเนินชีวิต วรรณกรรมจึง เป็นสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของคนในอดีตได้เป็นอย่างดี http://134.236.227.13
28 (๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมเกียรติ ครูดำ คำแหง (๒๕๕๔ ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือเนื้อหาที่เป็นหลักฐาน ทำให้ผู้อ่านได้ทราบ ความ จริงเกี่ยวกับความ เปลี่ยนแปลงของสังคม ค่านิยมและทัศนะของบุคคลในสมัยที่วรรณกรรมเรื่องนั้นเกิดขึ้น เช่น ค่านิยมเรื่องการทำบุญทำทาน การชอบความสนุกสนานรื่นเริง การนิยมใช้ของต่างประเทศ www.gotoknow.org (๔ มกราคม ๒๕๕๔) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (๒๕๕๔ น. ๖) การพิจารณาคุณค่าด้านสังคมเป็นการพิจารณาถึงคุณค่าบท ประพันธ์ว่า ผู้แต่งมีจุดประสงค์อย่างไรในการจรรโลงสังคม การพิจารณานั้นสามารถพิจารณาได้จาก ทรรศนะ คติ เตือนใจ ค่านิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งผู้แต่งมักจะสอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องบทประพันธ์ https://edu.kpru.ac.th ( มกราคม ๒๕๕๔) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คุณค่าด้านสังคม คือภาพสะท้อนวิถีชีวิตผู้คนในสมัยของวรรณกรรมนั้นๆ ซึ่งสามารถ วิเคราะห์ ได้จากเนื้อเรื่อง ที่มักจะมีการสอดแทรกไว้ เช่น ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม และคติเตือนใจ ดังนั้น วรรณกรรมจึงเป็นสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนและการเปลี่ยนแปลงไปของสังคม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้เป็น อย่างดี ๑๐. วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม นางสาวกุลปรียา มากวัฒนสุข (๒๕๕๖ ออนไลน์)
29 ขนบธรรมเนียม การแต่งวรรณคดีร้อยกรองสมัยโบราณ ต้องมีบทไหว้ครู ค่านิยมเรื่องความสำคัญของการพูด ค่านิยมเรื่องการรักนวลสงวนตัวของสตรี ค่านิยมเรื่องการแต่งกาย ค่านิยมเรื่องการปฏิบัติตัวต่อสามี ค่านิยมเรื่องกิริยามารยาทของสตรี ค่านิยมเรื่องการเลือกคู่ครอง ลักษณะของสตรีชาววัง ค่านิยมการเป็นแม่ศรีเรือน นางสาวธนัชพร ทีมค้า (๒๕๖๒ ออนไลน์) การรักนวลสงวนตัว -ไม่ชิงสุกก่อนห่าม การแต่งกาย -ไม่แต่งตัวเยอะจนเกินงาม การนอน ไม่นอนตื่นสาย -ไม่นอนดิ้น การเดิน -ไม่เสยผมขณะเดิน ไม่เดินแกว่งแขนมากเกินไป
30 การฟัง ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อคำพูดของใครง่าย ๆ การพูด-คิดก่อนพูด ไม่พูดตะคอก ไม่พูดคำหยาบ การเลือกคู่ครอง การเลือกคบเพื่อน การประหยัด หมั่นออมเงินและไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย กตัญญูต่อบิดามารดา การมีสติอยู่เสมอ การรักเดียวใจเดียว การอ่อนน้อมถ่อมตน -ไม่อวดร่ำอวดรวย-ไม่โอ้อวดยศถาบรรดาศักดิ์เกินจริง ๑๔. หน้าที่ของภรรยาโดยกวีนั้นได้บรรยายลักษณะนิสัยของผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ดีเอาไว้ด้วย เพื่อให้หลบหลีก อย่า คบหาคนพวกนี้ เช่น -ผู้หญิงที่ชอบแอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็นผู้ดี เป็นลูกหลานคนมีชื่อเสียง -ผู้หญิงใจง่าย รักสนุก -ผู้ชายที่กินเหล้า เมายา คบด้วยก็มีแต่จะนำความจนมาสู่ครอบครัว -ผู้ชายที่เกียจคร้านการงาน ขี้ขโมย -ผู้ชายที่ชอบเล่นการพนัน
31 นางสาวลักขณา ไวยเนตร (๒๕๕๖:ออนไลน์) การรู้จักประมาณตน วรรณคดีสอนหญิงแนวขนบนั้นได้สอนให้ผู้หญิง รู้จัก ประมาณตนในเรื่องการใช้ชีวิตและการรู้จักประมาณตน ในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ซึ่งเป็นคำสอนที่ดีเพราะ ผู้หญิงใน สมัยก่อนนั้นจะต้องดูแลเรื่องคำใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด สามีมีหน้าที่ในการหารายได้มาให้เพียงอย่าง เดียวเท่านั้น การ ที่กวีสอนให้ผู้หญิงรู้จักประมาณตนในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมมาก คำสอนนี้ยังมีผลมีถึง ยุคปัจจุบันอีกด้วย การรู้จักเลือกคบเพื่อน การเลือกคบเพื่อนถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนทุกเพราะบางที่การที่เราจะดี หรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนเช่นกัน เพราะบางครั้งเพื่อนก็อาจจะพาเราไปกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราเสื่อมเสีย ชื่อเสียง การรักนวลสงวนตัว การเลือกคู่ครอง คำสอนเรื่องการรักนวลสงวนตัวนั้นเป็นคำสอนที่ปรากฏทั้ง ใน วรรณคดีสอนหญิงแนวขนบและวรรณคดีสอนหญิงแนวร่วมสมัย และมีคำสอนเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยคาดหวังต่อตัวผู้หญิงในเรื่องดังกล่าวมากที่สุด การเลือกคู่ครอง เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะ ในสมัยก่อนนั้นเชื่อกันว่าผู้หญิงจะดีหรือไม่ดีนั้นก็ ขึ้นอยู่กับสามีเป็นสิ่ง สำคัญ สามีเปรียบเสมือนผู้ปกครองของฝ่ายหญิงหลังจากที่ฝ่ายหญิงแต่งงานออกเรือนมาแล้ว ผู้ชายจึงมีหน้าที่ใน การดูแลผู้หญิงต่อจากพ่อของฝ่ายหญิง การเลือกคู่ครองของผู้หญิงนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกคนที่ดี ๆ มาเป็นคู่ครอง การที่ได้คู่ครองที่ดี ๆ นั้นจะทำให้ชีวิตของผู้หญิงพบกับความสุข การส่งเสริมคุณค่าให้แก่ตัวเองและมารยาทในการใช้ชีวิต ผู้หญิงควร จะทำตัวเองให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นโดยการ รู้จัก ส่งเสริมคุณค่าให้แก่ตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องมารยาท เรื่องงานบ้านงานเรือน เพราะการเป็นผู้หญิงที่ เพียบพร้อมนั้นจะทำให้ผู้หญิงมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นและทำให้เป็นผู้หญิงที่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคนมากขึ้นจะได้ไม่ ถูก หลอกลวงได้ง่าย ๆ และเป็นผู้หญิงที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะจากสมัยก่อนนั้นผู้หญิงจำเป็นต้องพึ่ง ผู้ชายเพียง อย่างเดียวไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นเรื่องภายนอกบ้าน เนื่องจากผู้หญิงในสมัยก่อนนั้นเก่งและถนัด แต่เรื่องงานบ้าน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มาในยุคปัจจุบันผู้หญิงได้รับโอกาสทางการศึกษามากยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาส ที่ดีในการพัฒนา ศักยภาพของตนเองให้ทัดเทียมกับผู้ชาย เพราะฉะนั้น ค่านิยมด้านสังคมของวรรณคดีคำสอนสุภาษิตสอนหญิง หลักๆจะสอนเรื่องการรักนวลสงวนตัวไม่ ชิง สุกก่อนห่าม ร่วมไปถึงการเลือกคู่ครองในสมัยก่อนนั้นเชื่อกันว่าผู้หญิงจะดีหรือไม่ดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับสามีเป็นสิ่งสำคัญ สามีเปรียบเสมือนผู้ปกครองของฝ่ายหญิงหลังจากที่ฝ่ายหญิงแต่งงานออกเรือนมาแล้วผู้ชายจึงมีหน้าที่ในการดูแล
32 ผู้หญิงต่อจากพ่อของฝ่ายหญิง การเลือกคู่ครองของผู้หญิงนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกคนที่ดีๆ มาเป็นคู่ครอง อีกทั้งยัง สอน บรรณานุกรม อ้างอิง: • คณะอักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุภาษิตสอนสตรี.http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/supasit.pdf • ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตก. สุภาษิตสอนสตรี. http://www.sac.or.th/databases/manuscripts/main.php?m=article&p=item&id=1 • กองบรรณาธิการ. ไล่ ‘สุจิตต์ วงษ์เทศ’ ไปเรียนประวัติศาสตร์ไทยอีกรอบ.https://waymagazine.org/race-nation-sujit-wongthes/