The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายวิชาเครื่องดนตรีไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pela-pemika, 2021-09-26 08:14:35

การประสมวงดนตรีไทย

รายวิชาเครื่องดนตรีไทย

การประสมวงดนตรีไทย

รายวิชาเครื่องดนตรีไทย 20300-0106
ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2

คู่มือการใช้บทเรียนสำเร็จรูป

เรื่องการประสมวงดนตรีไทย

ศึกษาจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธิบายรายวิชา ที่ใช้ในบทเรียนเล่มนี้
ทดสอบก่อนเรียนประเมินความรู้พื้นฐาน (ตามแบบการสอนของผู้สอน)
เริ่มเข้าสู่บทเรียนสำเร็จรูปตามลำดับ
ทดสอบหลังเรียนเพื่อวัดความรู้ที่ได้จากบทสำเร็จรูป (ตามแบบทดสอบของผู้สอน)

จุดประสงค์รายวิชา รายวิชาเครื่องดนตรีไทย
ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2
1.เข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเครื่องดนตรีไทยประเภท
ลักษณะการประสมวงดนตรีไทย หลักวิธีการบรรเลง บทบาท
และความสำคัญของ เครื่องดนตรีไทย และองค์ประกอบดนตรี
ไทย

2.จำแนกความเป็นมา พัฒนาการของเครื่องดนตรีไทย และ
บริบทของดนตรีไทย

3.มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบ ใฝ่เรียนใฝ่รู้
หมั่นฝึกฝนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ปฏิบัติตนเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
ชื่นชมเห็นคุณค่า ของศิลปวัฒนธรรมไทยและนำความรู้มา
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

สมรรถนะรายวิชา

1. แสดงความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของเครื่องดนตรีไทย ประเภท
ลักษณะ การผสมวงดนตรีไทย หลักวิธีการบรรเลง บทบาทและ
ความสำคัญของเครื่องดนตรีไทย

2. จำแนกประเภท ลักษณะเครื่องดนตรีไทย การผสมวงดนตรีไทย
หลักวิธีการบรรเลง บทบาทและความสำคัญของเครื่องดนตรีไทย
องค์ประกอบดนตรีไทย และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

รายวิชาเครื่องดนตรีไทย
ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2

คำอธิบายรายวิชา

วัฒนาการของเครื่องดนตรีไทย ประเภทและลักษณะของ
เครื่องดนตรี ไทย การประสมวงดนตรีไทย หลักและวิธีการ
บรรเลงดนตรีไทย บทบาท และความสำคัญของเครื่องดนตรี
ไทย องค์ประกอบของเครื่องดนตรีไทย

การประสมวงดนตรีไทย

ที่มาภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php? การประสมวงดนตรีไทย คือ การเอาเครื่องดนตรีต่างๆ มาบรรเลงร่วมกันมากบ้างน้อย
book=1&chap=9&page=t1-9-infodetail05.html

บ้างโดยยึดหลักที่ว่าเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่นำมาประสมกันนั้นต้องจัดให้พอเหมาะ เมื่อ
บรรเลงพร้อม ๆ กันแล้ว มีเสียงดังไพเราะผสมกลมกลืนกันอย่างดี ดังนั้นนับตั้งแต่
สมัยโบราณมาถึงปัจจุบัน จึงมีวงดนตรีขนาดต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งวง ที่มีเครื่อง
ดนตรีประสมกันน้อยชิ้น คือ 2-3 ชิ้น จนถึงวงที่มีเครื่องดนตรีประสมกันนับร้อยชิ้น
ขึ้นไป ทั้งนี้การประสมวงดนตรีไทยยึดหลักการที่ว่า ให้เครื่องดนตรีทที่มี เสียงแหลมสูง
และเป็นเครื่องนำอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มต่ำ และเป็นเครื่อง

ตาม จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของวง สำหรับวงดนตรีไทยนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภทเช่น
วงดนตรีพื้นบ้าน วงดนตรีเฉพาะกาล และวงดนตรีที่เป็น วงมาตรฐานซึ่งมีอยู่ด้วยกัน

3 ชนิดคือ วงปี่ พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี

วงปี่ พาทย์

ปี่ พาทย์ เป็นวงดนตรีประเภทหนึ่งที่มี ‘ปี่ ’ เป็นประธานวง และผสม
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี อย่าง ระนาด ฆ้องวง ดำเนินทำนองเป็นหลัก มี
เครื่องตีที่หุ้มด้วยหนัง คือ กลองต่างๆ ทำหน้าที่ดำเนินจังหวะหน้าทับ มี “ฉิ่ง”
ทำหน้าที่กำกับอัตราจังหวะ และมี ฉาบ กรับ โหม่ง ประกอบจังหวะ วงปี่ พาทย์
ครอบคลุมวัฒนธรรมด้านเครื่องดนตรี ความเชื่อ ค่านิยม ขนบนิยม ประเพณี

สามารถนำไปบรรเลง ขับร้องในกิจกรรมต่างๆตั้งแต่งานพิธีกรรมของชาวบ้าน ไป
จนถึงถึงส่วนของงานพระราชพิธี อีกทั้งยังใช้ประกอบการแสดงโขน หนังใหญ่
ละคร ระบำ หุ่นกระบอก ลิเก และเป็นดนตรีเพื่อการฟัง นอกจากนี้ ยังใช้บรรเลง
ในงานอวมงคล เช่น งานสวดพระอภิธรรมศพ และงานฌาปนกิจศพ เป็นต้น

ที่มาภาพ : http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/peepat01.html

1. วงปี่ พาทย์ชาตรี ที่มาภาพ
(วงปี่ พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา) https://sites.google.com/s
ite/wngpiphathynaneiy/home/
วงปี่ พาทย์ชาตรี หรือวงปี่ พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา
เป็นวงดนตรีที่มีมาแต่เดิม ใช้ประกอบการแสดง “โน 6
ราห์ชาตรี” และ “หนังตะลุง” ของภาคใต้ เครื่อง
ดนตรีที่ใช้ดำเนินทำนองเพลงคือ ปี่ เครื่องประกอบ
จังหวะที่ใช้ได้แก่ โทนชาตรี มีหน้าที่บรรเลงทำนองหน้า
ทับสอดสลับกับ “กลองชาตรี” ใช้ ฆ้องคู่ กับ ฉิ่ง
ทำหน้าที่กำกับจังหวะ และ แตระ ทำหน้าที่กำกับจังหวะ
หนัก

2. วงปี่ พาทย์เครื่องห้า

(อย่างหนัก)

วงปี่ พาทย์เครื่องห้า (อย่างหนัก) เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดย
มีเครื่องตีดำเนินทำนองเพียง “ฆ้องวง” เท่านั้น เครื่องเป่าที่ใช้บรรเลง
คือ ปี่ และเครื่องประกอบจังหวะได้แก่ ตะโพน กลองทัด(1 ใบ) และ
ฉิ่ง ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลายปรากฏมีการเพิ่มระนาดเอกร่วมบรรเลง
ด้วยวงปี่ พาทย์เครื่องห้าที่เราพบเห็นในปัจจุบัน ถูกปรับปรุงในช่วงรัชสมัย
ในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเพิ่มกลองทัดอีก 1 ใบ รวม
เป็น 2 ใบ ใบหนึ่งเสียงสูง เรียกว่า “ตัวผู้” ใบหนึ่งเสียงต่ำ เรียก
“ตัวเมีย” วงปี่ พาทย์เครื่องห้า เป็นวงดนตรีที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะที่
จะนำไปใช้ในงานหรือกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นมงคลและอวมงคลต่าง ๆ
รวมไปถึงประกอบการแสดงอีกด้วย

ที่มาภาพ
http://www.digitalschool.club/digitalschool/art/mus

ic2_2/lesson2/more_2/item2_4.php

3.วงปี่ พาทย์เครื่องคู่

วงปี่ พาทย์เครื่องคู่ ปรากฏขึ้นในช่วงรัชสมัยในรัชกาลที่ 3
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดใหม่
คือ ระนาดทุ้ม กับ ฆ้องวงเล็ก และมีการนำปี่ นอก ที่ใช้บรรเลง
ในวงปี่ พาทย์สำหรับประกอบการแสดงหนังใหญ่ในสมัยโบราณ มา
ร่วมบรรเลง เกิดเป็นวงปี่ พาทย์เครื่องคู่ดังปัจจุบัน สำหรับการนำ
วงปี่ พาทย์เครื่องคู่ไปใช้นั้น ไม่ต่างจากวงปี่ พาทย์เครื่องห้า คือ
สามารถนำไปใช้บรรเลงประกอบพิธีกรรม และบรรเลงเพื่อความ
บันเทิงได้ เช่นเดียวกับวงปี่ พาทย์เครื่องห้าทุกประการ

ที่มาภาพ
http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/p

eepat02.html

4. วงปี่ พาทย์เครื่องใหญ่

วงปี่ พาทย์เครื่องใหญ่ เป็นวงปี่ พาทย์ที่ได้พัฒนามาจาก
วงปี่ พาทย์เครื่องคู่ โดยเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการประดิษฐ์เครื่อง
ดนตรีมาเพิ่มอีก 2 ชิ้น คือระนาดเอกเหล็กและ ระนาดทุ้มเหล็ก
โดยตั้งระนาดเอกเหล็กไว้ทางริมด้านขวามือ และระนาดทุ้มเหล็กไว้ริม
ทางด้านซ้ายมือ ซึ่งนักดนตรีทั่วไปนิยมเรียกว่า เพิ่มหัวท้าย

ที่มาภาพ
http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/p

eepat02.html

5. วงปี่ พาทย์เสภา ที่มาภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/

วงปี่ พาทย์เสภา เป็นวงปี่ พาทย์ที่เกิดขึ้น
ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-
นภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มี
ลักษณะคล้ายคลึงกับวงปี่ พาทย์เครื่องคู่ ต่างกัน
ที่ใช้ “กลองสองหน้า” บรรเลงจังหวะหน้าทับ
แทนตะโพน กลองสองหน้า เป็นกลองที่ได้รับการ
ปรับปรุงมาจากเปิงมางของมอญ โดยปกติจะใช้
หน้าทับปรบไก่และหน้าทับสองไม้เป็นพื้นฐานวงปี่
พาทย์เสภา ใช้ในการบรรเลงประกอบการเล่นเสภา
การแสดงละครเสภา และบรรเลง-ขับร้อง
บทเพลงต่างๆ เพื่อการฟัง

6. วงปี่ พาทย์ไม้นวม

วงปี่ พาทย์ไม้นวม เป็นวงประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยพระบาท
สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โดย เจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชศ์วงหลาน กุญชร) เป็นผู้
ริเริ่มปรับปรุงวงและบรรเลงรับ-ร้องก่อน ในการประสมวงปี่ พาทย์
ไม้นวม ท่านใช้ขลุ่ยเพียงออแทนปี่ ใน และขลุ่ยหลิบแทนปี่ นอก เพิ่มซออู้
เข้ามาร่วมบรรเลง ในส่วนของระนาดเอก ก็เปลี่ยนมาใช้ไม้นวมตีแทนไม้
แข็งเพื่อลดระดับความดังของเสียง และเพื่อให้มีเสียงนุ่มนวลเหมาะกับ
การบรรเลงร่วมกับขลุ่ยและซออู้ ในส่วนของเครื่องประกอบจังหวะ
ประเภทเครื่องหนังได้มีการนำเอากลองตะโพนมาใช้ตีแทนกลองทัด
และเพิ่มกลองแขกมาร่วมในการบรรเลงด้วย วงปี่ พาทย์ไม้นวมเหมาะ
กับการบรรเลงประกอบการแสดงละคร ที่แสดงในโรงละคร หรือใน
อาคาร และยังเหมาะกับการบรรเลงเพื่อการขับกล่อมอีกด้วย

ที่มาภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=nX3ztBx0_kw

7. วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์

วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ เป็นวงปี่ พาทย์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ โดยเลียนแบบวงอุปรากร (Opera) ของฝรั่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จึงปรับปรุง
ขึ้นเพื่อให้เกิดวงดนตรีไทยที่มีเสียงอ่อนนุ่มนวลน่าฟัง อย่างวงออร์เคสตราของฝรั่ง โดยใช้ เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวม และไม่ใช้
เครื่องดนตรีที่มีเสียงเล็กแหลม เช่น นำเอาฆ้องวงเล็ก และระนาดเอกเหล็กออกไป ใช้ขลุ่ยเพียงออแทนปี่ และได้นำขลุ่ยอู้มาบรรเลงเพิ่มอีก
1 เลา ใช้กลองตะโพนแทนกลองทัด และเพิ่ม ซออู้ กรับพวงเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย สัญลักษณ์ที่โดดเด่นเห็นชัดเจนสำหรับเครื่องดนตรีอีก
ชนิดหนึ่งก็ คือ ฆ้องหุ่ย 7 ใบ 7 เสียง ได้นำวงดนตรีชนิดนี้ไปแสดงประกอบการแสดงละครที่ผสมผสานระหว่างละครในกับอุปรากร ซึ่งเป็น
ละครแนวใหม่ ได้สร้างโรงละครขึ้นใหม่ ตั้งชื่อว่า “โรงละครดึกดำบรรพ์” จึงส่งผลให้ชื่อละครและวงดนตรีที่สร้างขึ้นใหม่ชื่อว่า ละคร
ดึกดำบรรพ์ และ วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพนี้จะใช้สำหรับบรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพเ์ท่านั้น

8. วงปี่ พาทย์นางหงส์ ที่มาภาพ
https://som3737np.wordpress.com/
วงปี่ พาทย์นางหงส์ เป็นวงปี่ พาทย์ที่ประสมขึ้นเพื่อ
ใช้ประโคมในงานอวมงคลโดยเฉพาะ เป็นการประสม
ระหว่างวงปี่ พาทย์กับวงบัวลอย ซึ่งเครื่องดนตรีที่ใช้ในวง
บัวลอย คือ ปี่ ชวา 1 เลา กลองมลายู 2 ใบ และฆ้อง
เหม่ง 1 ใบ การเรียกว่าวงบัวลอย เพราะเมื่อบรรเลง
เพลงในชุดประโคมหลังจากเพลงรัว 3 ลาแล้ว จึง
บรรเลงต่อด้วยเพลงบัวลอย จากนั้นจึงบรรเพลงอื่นๆ
การประสมวงปี่ พาทย์นางหงส์ประกอบด้วย ปี่ ชวา กลอง
มลายูของวงบัวลอยไม่ใช้ฆ้องเหม่ง ส่วนในวงปี่ พาทย์ได้
ปรับเปลี่ยนเครื่องดนตรีบางชนิดออกไป คือ ปี่ ใน ตะโพน
วงปี่ พาทย์นางหงส์ในหลายพื้นที่ยังคงใช้กลองทัดอยู่การที่
เรียกวงดนตรีไทยชนิดนี้ว่า “นางหงส์” นั้นเพราะมี
แบบแผนการบรรเลงที่ต้องใช้เพลงเรื่องนางหงส์ โดยจะใช้
บรรเลงเฉพาะในงานอวมงคลเท่านั้น

9. วงปี่ พาทย์มอญ

ปี่ พาทย์มอญ เป็นวงดนตรีที่ได้รับรูปแบบมาจากมอญแต่ครั้งกรุง
ศรีอยุธยา สืบเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ วงปี่
พาทย์มอญเป็นวงดนตรีประจำของชนชาติรามัญอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้
บรรเลงหลายโอกาส ไม่วาจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคล เช่น ใน
งานพิธีมงคลต่างๆ ของชาวไทยเชื้อสายมอญ ใช้บรรเลง-ขับร้อง
บทเพลงต่างๆ เพื่อการฟัง ใช้ประกอบการแสดงลิเก แม้งานฉลองใหญ่
โตก็ใช้วงปี่ พาทย์มอญบรรเลง ซึ่งคนไทยสมัยโบราณก็ถือเช่นนั้น แต่
คนไทยในสมัยปัจจุบันยึดถือกันว่า ปี่ พาทย์มอญใช้บรรเลงได้แต่งาน
ศพเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้น คงเพราะด้วยสมัยต่อมาคนไทยได้เห็นปี่ พาทย์
มอญออกบรรเลงแต่งานพระบรมศพเมื่อออกพระเมรุ ซึ่งปี่ พาทย์มอญ
จะประโคมอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ปี่ พาทย์ไทยซึ่งเป็นของหลวงบรรเลง
เฉพาะเวลาทรงธรรม์เท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้น จึงเข้าใจและเอาอย่างกันมา

ที่มาภาพ : https://suriyensu.wordpress.com

วงปี่ พาทย์มอญ (ต่อ)

วงปี่ พาทย์มอญเป็นวงดนตรีที่นำเครื่องดนตรีในวง
ปี่ พาทย์ไม้แข็งมาประสมกับเครื่องดนตรีมอญ คือ ในวง
ปี่ พาทย์ไม้แข็งมี ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก
ระนาดทุ้มเหล็ก ส่วนเครื่องดนตรีมอญมี ปี่ มอญ ฆ้อง
มอญวงใหญ่ ฆ้องมอญวงเล็ก ตะโพนมอญ เปิงมาง
คอก โหม่ง 3 ใบ และมีเครื่องประกอบจังหวะ คือ ฉิ่ง และ
ฉาบเล็ก วงปี่ พาทย์มอญ ได้รับความนิยมมากในไทย

ที่มาภาพ : https://tminstrument.wordpress.comD/

วงเครื่องสาย

เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีที่มีมา
ตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยเครื่องดนตรีที่ถูกระบุไว้ในกฎมณเฑียร
บาลล้วนมีอยู่ในวงเครื่องสายทั้งสิ้น ทั้ง ซอ ขลุ่ย จะเข้ โทน
หรือทับ ดังนั้น จึงสันนิษฐานได้ว่าวงเครื่องสายไทยมีอยู่แล้ว
แต่สมยัอยธุยา ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากผู้คนสมัย
นั้น

วงเครื่องสายไทยเป็นวงดนตรีไทยที่มีเครื่องดีดและ
เครื่องสี เช่น ซอด้วง ซออู้ จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีหลัก มี
เครื่องเป่า เช่น ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลิบ และเครื่องตีเป็น
เครื่องประกอบจังหวะเช่น โทนรำมะนา ฉิ่ง ฉาบ กรับ เสียง
ของวงเครื่องสายนั้นจะใช้ทางเพียงออบนโดยใช้ขลุ่ยเพียงออ
เป็นหลักของเสียง วงเครื่องสายมี 4 ประเภท

ที่มาภาพ : https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?
book=1&chap=9&page=t1-9-infodetail02.html

1. วงเครื่องสายวงเล็ก หรือวงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว

เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการบรรเลงในห้อง ที่มาภาพ
ที่ไม่กว้างนัก การประสมวงเครื่องสายวงเล็ก มีเครื่อง http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_
ดนตรี ได้แก่ซอด้วง 1 คัน ทำหน้าที่ดำเนินทำนองเพลง thaiband/croungsai/croungsai02.html
เป็นผู้นำวงเครื่องสาย และเป็นหลักในการดำเนินทำนอง
เป็นกลุ่มนำเมื่อเล่นลูกล้อ ลูกขัด ลูกเหลื่อม ซออู้ 1 คัน
ทำหน้าที่ดำเนินทำนอง หยอกล้อ ยั่วเย้า กระตุ้นให้เกิด
ความสนุกสนานในกลุ่มดำเนินทำนอง เป็นกลุ่มตามเมื่อเล่น
ลูกล้อ ลูกขัด ลูกเหลื่อม จะเข้ 1 ตัว ทำหน้าที่ดำเนิน
ทำนองเช่นเดียวกับซอด้วงบรรเลงในทางของจะเข้ เป็นกลุ่ม
นำเมื่อเล่นลูกล้อ ลูกขัด ลูกเหลื่อม ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา
ทำหน้าที่ดำเนินทำนองโดยสอดแทรกเสียงโหยหวนบ้าง เก็บ
บ้าง สร้างสีสันให้กับบทเพลง เป็นกลุ่มตามเมื่อเล่นลูกล้อ
ลูกขัด ลูกเหลื่อม โทนมโหรี 1 ใบ และ รำมะนามโหรี 1
ใบจะต้องตีให้สอดสลับรับกัน ทำหน้าที่บรรเลงจังหวะหน้า
ทับ ฉิ่งทำหน้าที่ควบคุมอัตราจังหวะของบทเพลง

2. วงเครื่องสายเครื่องคู่

ที่มาภาพ วงเครื่องสายเครื่องคู่ เป็นวงดนตรีที่มีลักษณะเช่น
http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_
thaiband/croungsai/croungsai02.html เดียวกับวงเครื่องสายวงเล็กทุกประการ เพียงแต่เพิ่ม
จำนวนเครื่องดนตรีเพื่อให้เสียงที่ดังขึ้น การประสมวง

เครื่องสายเครื่องคู่นั้นจึงมีเครื่องดนตรีบางชนิดเพิ่มเป็น
สองชิ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่ดำเนินทำนอง ประกอบ
ด้วย ซอด้วง 2 คัน ช่วยเป็นหลักในการดำเนินทำนอง

ซออู้ 2 คัน ทำหน้าที่ในการดำเนินทำนองลักษณะในการ

บรรเลงเหมือนกับซออู้ในวงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว จะเข้

2 ตัว ดำเนินทำนองแบบเดียวกันทั้ง 2 ตัว ขลุ่ยเพียง
ออ 1 เลา บรรเลงเหมือนกับวงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว

ทุกประการขลุ่ยหลิบ 1 เลา มีเสียงสูงทำหน้าที่สอดแทรก

ทำนอง โทนมโหรี 1 ใบ และ รำมะนามโหรี 1 ใบ จะ

ต้องตีให้สลับรับกันทำหน้าที่บรรเลงจังหวะหน้าทับ ฉิ่งทำ
หน้าที่ควบคุมอัตราจังหวะของบทเพลง

ที่มาภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki 3.วงเครื่องสายปี่ ชวา

วงเครื่องสายปี่ ชวา เป็นการประสมวงเครื่องสายเครื่อง
เดี่ยว หรือวงเครื่องสายเครื่องคู่กับปี่ ชวากลองแขก
ขนาดของวงเป็นไปตามจำนวนผู้เล่นเครื่องสายในวง
การประสมวงเครื่องสายปี่ ชวานั้น เครื่องดนตรีหลักใน
วงเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงเครื่องสาย ได้แก่ ซอ
ด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ยหลิบ 1 เลา เหตุไม่ใช้ขลุ่ยเพียง
ออเพราะขลุ่ยหลิบมีเสียงสูงเข้ากับปี่ ชวาได้ดี ใช้กลอง
แขก ทำหน้าที่ดำเนินทำนองหน้าทับ แทนโทนมโหรีและ
รำมะนามโหรี และฉิ่ง ทำหน้าที่ควบคุมอัตราจังหวะของ
บทเพลงวงเครื่องสายปี่ ชวา เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์

4. วงเครื่องสายผสม

วงเครื่องสายผสม เป็นการนำ วงเครื่องสายผสมออร์แกน
เครื่องดนตรีต่างชาติ หรือเครื่อง
ดนตรีไทยที่มิได้ประจำอยู่ในวงเครื่อง ที่มาภาพ : https://www.youtube.com/watch?
สาย มาบรรเลงร่วมกับวงเครื่องสาย v=5DQbHaTpGIs
เช่น เมื่อนำขิมมาร่วมบรรเลง ก็เรียก
“วงเครื่องสายผสมขิม” เครื่องดนตรี
ต่างชาติที่มักนำมาบรรเลงกับวงเครื่อง
สายได้แก่ ขิม ไวโอลิน ออร์แกน
เปียโน แอ็คคอร์เดียน กู่เจิง เป็นต้น

วงมโหรี ที่มาภาพ
http://filmmomnarumon.blogspot.com/2016/06
วงมโหรี คือ วงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่อง
ดนตรีครบทั้ง 4 ประเภท คือ ดีด สี ตี และเป่า /blog-post.html
ซึ่งเครื่องดนตรีดังกล่าวมาจากวงปี่ พาทย์ และวง
เครื่องสายรวมกันโดยกำหนดว่าเครื่องดนตรีในวงปี่
พาทย์ทั้งเครื่องดำเนินทำนอง และเครื่องประกอบ
จังหวะบางชิ้น เช่น ระนาดเอก ฆ้องวง ฉิ่ง จะต้อง
ย่อขนาดให้เล็กลง อีกทั้งไม้ตีทุกประเภทก็ต้องใช้
ไม้นวม ทั้งนี้เพราะต้องการให้มีเสียงนุ่มนวล และไม่
ดังจนเกินไป เพราะเครื่องดนตรีจากวงเครื่องสายเป็น
เครื่องดนตรีที่มีเสียงเบา การย่อขนาด และใช้ไม้นวม
ตีจะทำให้เสียงที่ดังออกมามีความไพเราะกลมกลืนเข้า
กันได้ดี ในส่วนของเครื่องกำกับจังหวะหน้าทับในวง
มโหรีจะใช้เป็น โทน-รำมะนา หรือกลองแขกก็ได้

1. วงมโหรีเครื่องสี่

วงมโหรีเครื่องสี่ เป็นการประสมรวมกันของวงบรรเลง
พิณและวงขับไม้ ซึ่งมีมาแต่โบราณเข้าด้วยกัน เกิดขึ้นครั้ง
แรกในสมัยกรุงศรรอยุธยา เครื่องดนตรีที่นำมาประสม
ได้แก่ ซอสามสาย 1 คัน ทำหน้าที่ดำเนินทำนอง และคลอ
เสียงร้อง กระจับปี่ 1 คัน ทำหน้าที่ดำเนินทำนองหลัก ทับ 1
ใบ (ปัจจุบันเรียกโทน) ทำหน้าที่บรรเลงทำนองหน้าทับ คน
ขับลำนำ 1 คน ทำหน้าที่ขับร้องและตีกรับพวงเพื่อทำหน้าที่
ควบคุมจังหวะย่อย วงมโหรีเครื่องสี่นี้เดิมผู้ชายเป็นผู้
บรรเลง ต่อมาเมื่อนิยมฟังมโหรีกันแพร่หลาย ผู้มี
บรรดาศักดิ์จึงนิยมให้ผู้หญิงฝึกหัดบรรเลงบ้างและได้รับ
ความนิยมสืบต่อมา

ที่มาภาพ
http://thailandclassicalmusic.com/tha

imusic/6mhore.htm

2. วงโหรีเครื่องหก

ที่มาภาพ วงมโหรีเครื่องหก เป็นวิวัฒนาการของวงมโหรีเครื่องสี่
http://thailandclassicalmusic.com/tha โดยการเพิ่มเครื่องดนตรีอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ยเพียงออ และ
รำมะนา รวมเป็นเครื่องดนตรีหกชิ้น ได้แก่ซอสามสาย 1
imusic/6mhore.htm คัน ทำหน้าที่ดำเนินทำนอง และคลอเสียงร้องกระจับปี่ 1
คัน ทำหน้าที่ดำเนินทำนองหลัก ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ทำ
หน้าที่ดำเนินทำนองโดยสอดแทรกเสียงโหยหวนบ้าง เก็บ
บ้าง สร้างสีสันให้กับบทเพลง ทับ 1 ใบ (ปัจจุบันเรียก
โทน) ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับหน้าทับ รำมะนา 1 ใบ
ทำหน้าที่กำกับหน้าทับร่วมกับทับ ตีให้สอดสลับรับกันคน
ขับลำนำ 1 คน ทำหน้าที่ขับร้องและตีกรับพวงเพื่อทำ
หน้าที่ควบคุมจังหวะย่อย

3. วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ ที่มาภาพ
มโหรีเครื่องเล็ก http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_
thaiband/croungsai/croungsai02.html
วงมโหรีวงเล็ก มีวิวัฒนาการมาโดยลำดับจาก
วงมโหรีเครื่องสี่เป็นมโหรีเครื่องหกในสมัยอยุธยา
สันนิษฐานว่าวงมโหรีวงเล็กน่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นใน
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยการนำวงเครื่องสายวง
เล็กมาประสมกับวงปี่ พาทย์เครื่องห้า โดยยังคงซอ
สามสายจากวงมโหรีเครื่องสี่และเครื่องหกแต่เดิมไว้
เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของวงมโหรี ดังนั้นวงมโหรีวงเล็ก
อย่างที่เห็นในปัจจุบันประกอบด้วย ซอสามสาย 1
คัน จะเข้ 1 ตัว ซอด้วง 1 คัน ซออู้ 1 คัน ขลุ่ย
เพียงออ 1 เลา ระนาดเอกมโหรี 1 ราง ฆ้องกลาง
1 วง โทนมโหรี 1 ใบรำมะนามโหรี 1 ใบ ฉิ่ง
,ฉาบ ,กรับ ,โหม่ง

วงมโหรีวงเล็กนิยมบรรเลงสำหรับความบันเทิง
และการขับกล่อม

4. วงมโหรีเครื่องคู่

ที่มาภาพ : http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/croungsai/croungsai02.html วงมโหรีเครื่องคู่เป็นการประสมวงรหว่างวง
เครื่องสายเครื่องคู่และวงปี่ พาทย์ซึ่งประกอบด้วย
ซอสามสาย 1 คัน ซอสามสายหลิบ 1 คันซอ
ด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน จะเข้ 2 ตัว ขลุ่ย
เพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลิบ 1 เลา ระนาดเอก
มโหรี 1 ราง ระนาดทุ่มมโหรี 1 ราง ฆ้องกลาง
1 วง ฆ้องวงเล็ก 1 วง โทนมโหรี 1 ใบ
รำมะนา 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ กรับพวง 1 สำรับ
ฉาบ 1 คู่ โหม่งมโหรี 1 ใบ วงมโหรีเครื่องคู่
นิยมบรรเลงสำหรับความบันเทิง และการขับกล่อม
เช่นเดียวกับวงมโหรีวงเล็ก

5. วงโหรีเครื่องใหญ่

ที่มาภาพ เป็นการประประสมวงระหว่างวงเครื่องสายเครื่องคู่และ
http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaib วงปี่ พาทย์เครื่องใหญ่ ประกอบด้วยซอสามสาย 1 คัน ซอ
สามสายหลิบ 1 คันซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน จะเข้ 2
and/mahoree/maharee03.html ตัว ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลิบ 1 เลา ระนาดเอก
มโหรี 1 ราง ระนาดเอกเหล็ก 1 ราง ระนาดทุ่มมโหรี 1
ราง ระนาดทุ้มเหล็กฆ้องกลาง 1 วง ฆ้องวงเล็ก 1 วง
โทนมโหรี 1 ใบ รำมะนา 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ กรับพวง 1
สำรับ ฉาบ 1 คู่ โหม่งมโหรี 1 ใบ ในวงมโหรีเครื่อง
ดนตรีในวงปี่ พาทย์จะต้องย่อขนาดให้เล็กลง เนื่องจากส่วน
ใหญ่ผู้บรรเลงมโหรีมีแต่สตรีทั้งนั้น จึงต้องลดขนาดลงให้
พอเหมาะแก่กำลัง อีกประการหนึ่งการลดขนาดเครื่องตีเหล่า
นี้ลงก็เพื่อให้เสียงดังสมดุลย์กับเครื่องดนตรีประเภทเครื่อง
สาย มิฉะนั้นเสียงจะดังมากกว่าเครื่องดีและเครื่องสี

เอกสารอ้างอิง

พงษ์ ศิลป์ อรุณรัตน์. (2550). ปฐมบท ดนตรีไทย. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ยศธร เมฆาระ และ อังคณา วิชัยดิษฐ์ . (2557). บทเรียนบนเครื่อข่ายอินเติร์เน็ตเรื่องวงดนตรีไทย. สืบค้นวันที่ 24 มิถุนายน 2564.
จาก http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/introduction.html

อภิสิทธิ์ สิมมา . (2563). บทเรียนบนเออนไลน์เรื่องวงดนตรีไทยและสากล. สืบค้นวันที่ 30 กรกฏาคม 2564.
จาก https://6211aphisit.home.blog/

อัษฎาวุธ สาคริก. (2550). เครื่อง ดนตรีไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานอุทยานการเรียนรู้.

อุทิศ นาคสวัสดิ์. (2546). ทฤษฎีและหลักปฏิบัติดนตรีไทย และพจนานุกรม ดนตรีไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

จบบทเรียนสำเร็จรูป

ว่าที่ร้อยตรี สรบัญชา หมื่นแสวง


Click to View FlipBook Version