การจดั ระบบการศึกษาประเทศญ่ปี ่นุ
การจดั ระบบการศึกษาประเทศญ่ปี ่นุ
การจดั ระบบการศึกษาประเทศญี่ปนุ่
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีระบบการศึกษาที่ดีในระดับต้นๆ
ของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปฐมวัยคือในช่วงอายุ 0-6 ขวบหรือก่อนที่จะเรียน
ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ถือว่าเป็นวัยทอง “Golden age” ในด้านการพัฒนาทางสมองและการ
วางรากฐานบคุ ลิกภาพ โดยจะให้ความสาคัญกับการสอนพื้นฐาน การใช้ชีวิตประจาวันแก่เด็ก
นักเรียน คือ การมีระเบียบวินัย ความอดทน การทางานเป็นทีม ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมี
จติ สาธารณะ มากกว่าความรูท้ างดา้ นวชิ าการ
ปรชั ญาการศกึ ษาของประเทศญปี่ ุ่น
เราจะสร้างความมั่งคั่งและพัฒนาระบบการศึกษา เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้มีความ
รบั ผิดชอบในอนาคตของประเทศ เราจะเน้นคุณค่าของการระลึกถึงเพื่อนมนุษย์และการมี
สว่ นรว่ มอย่างเขม้ แขง็ ในสังคมนานาชาติ
นโยบายการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น
1. จะสอนศีลธรรมให้แก่เยาวชนญี่ปุ่น โดยให้ความเคารพในวัฒนธรรมประเพณี มุ่งที่จะสอน
ศีลธรรมให้แก่เยาวชนญี่ปุ่น เพื่อให้มีความระลึกถึงคุณภาพของการศึกษาและเพิ่มพูนชีวิต
ครอบครวั ของประชาชนทกุ คน
2. ก่อตั้งสังคมที่มุ่งสู่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์เบื้องต้น
และขั้นสูง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มุมที่จะทาให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นาด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีและศูนยข์ า่ วสารข้อมลู ทางวิทยาศาสตร์ ทีจ่ ะเปดิ กวา้ งสาหรับทกุ ๆ ชาติ
ระบบบรหิ ารการศกึ ษาของประเทศญี่ป่นุ
ญี่ปุ่นมีการกระจายอานาจจากส่วนกลางไปยังท้องถิ่น ซึ่งได้แก่เทศบาลและจังหวัด
หน่วยงานของท้องถิ่นมีอานาจและหน้าที่ในการให้บริการต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมถึงการ
จัดการโรงเรียนประถมและมัธยมด้วย ระบบการจัดการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นจัดได้ว่าเป็น
ระบบการศึกษาแบบรวมศูนย์ ซึ่งมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็งได้แก่ การช่วยทาให้มาตรฐาน
การศึกษาแม้ว่าจะพื้นที่ชนบทก็จะได้โอกาสและมาตรฐานใกล้เคียงกัน ส่วนจุดอ่อน คือ ระบบ
การบริหารท่ีเปน็ ระบบสง่ั การจากเบ้อื งบนสเู่ บอื้ งล่าง
ในเขตจังหวัดและเทศบาลมีคณะกรรมการหลากหลาย
คณะกรรมการการศกึ ษามอี านาจในการจดั ตั้งและจดั การบรหิ ารโรงเรยี น
รัฐบาลท้องถิ่นมีหน้าที่ตั้งแต่จัดให้มีโรงเรียนอนุบาล ประถมและมัธยม ในขณะท่ี
รัฐบาลกลางเป็นผตู้ ัดสินนโยบายหลักภาคการศึกษาและดาเนนิ การด้านมาตรฐานตา่ งๆ
ระบบการศึกษาของประเทศญ่ีป่นุ
การศึกษาของญีป่ ุน่ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ระดบั คือ
1. การศึกษาระดับต้น ได้แก่ การศึกษาขั้นอนุบาล ซึ่งเริ่มเข้าศึกษาตั้งแต่อายุ
3 ปี ไปจนถึงอายุ 5 ปี และขั้นประถมศกึ ษา 1 - 6 ต้ังแต่อายุ 6 ปีไปจนถึง
12 ปโี ดยประมาณ
2. การศึกษาระดับกลาง ได้แก่ การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น
2 ช่วงคือ มธั ยมศึกษาตอนตน้ 3 ปี และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 3 ปี
3. การศึกษาระดบั สูง ได้แก่การศกึ ษาในมหาวิทยาลยั วิทยาลยั
วิทยาลัยเทคนคิ และวิทยาลยั อาชีวศกึ ษา
ระบบการศกึ ษาของประเทศญป่ี ุ่น
การศึกษาระบบโรงเรียนสมัยใหม่ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2415 กฎหมายที่เป็นพื้นฐาน
สาคัญของการศึกษาและกฎหมายที่ว่าด้วยระบบโรงเรียนเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2490 และระบบ
การศึกษาในโรงเรยี นถูกจดั ขน้ึ ดว้ ยระบบ 6 – 3 – 3 - 4 โดยมงุ่ เนน้ ทีจ่ ะจดั การศึกษาในลักษณะสร้าง
ความเสมอภาคของโอกาสทางการศึกษา
ระบบการศึกษาของประเทศญ่ปี นุ่
พ.ศ. 2491 เริ่มมโี รงเรยี นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมที ง้ั แบบศกึ ษาในเวลาและนอกเวลา
พ.ศ. 2492 มหาวทิ ยาลัยระบบใหมไ่ ด้เรม่ิ ข้นึ
พ.ศ. 2493 เริ่มมีวิทยาลัยที่เปิดสอนระดับอนุปริญญา และมีการดาเนินปรับปรุงจนเป็น
ระบบถาวรในปี พ.ศ. 2507
พ.ศ. 2504 ได้มีระบบการเรยี นทางไปรษณยี ์
พ.ศ. 2505 เริ่มมีวิทยาลัยเทคนิค โดยรับนักเรียนที่สาเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้นมาศึกษาตอ่ 5 ปี
พ.ศ. 2534 มกี ารปรับปรุงกฎหมายการศึกษานักเรียนและนิสติ นักศกึ ษา ท่มี ีความพิการไม่
ว่าจะ หหู นวก ตาบอดหรอื พิการด้านอื่นๆ จะมีโรงเรียนสอนคนหูหนวก คนตา
บอด และโรงเรยี นสาหรับเดก็ พกิ ารดา้ นอน่ื ๆ
ระบบการศกึ ษาของประเทศญีป่ ุ่น
นบั ตัง้ แต่ปี 2526 เป็นตน้ มา รฐั บาลญ่ปี ุ่นมีนโยบายที่จะรบั นกั ศกึ ษาตา่ งชาติเพมิ่ มากข้นึ โดย
ตั้งเป้าไว้ว่าในศตวรรษที่ 21 จะรับนักศึกษาต่างชาติจากทั่วโลกให้ได้ถึง 100,000 คน และด้วย
นโยบายนี้เอง ทาให้ทางรัฐบาลญี่ป่นุ ตอ้ งเร่งมือในการพัฒนาระบบการศึกษาและวางแผนการเพื่อ
แก้ปัญหา ลดอุปสรรค และให้ความช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติด้วยวิธีการต่างๆ โดยมุ่งหวังให้
นักศึกษาต่างชาติได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ ในการศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นให้
มากทสี่ ุด และสามารถนาความรูท้ ่ไี ดไ้ ปใชใ้ นการพัฒนาประเทศบา้ นเกิดเมอื งนอน
ระดบั การศกึ ษาของประเทศญป่ี ุ่น
1. การศึกษาช้ันปฐมวัย
ชั้นปฐมวัย : เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยของ
ประเทศญี่ปนุ่ มีการดาเนินงาน 2 ประเภท ดังน้ี
1.สถานรับเลี้ยงดูเด็กเล็ก กาหนดให้เทศบาลจะต้องรับผิดชอบดูแลเด็กในกรณีท่ี
ผปู้ กครองไม่สามารถใหก้ ารดูแลได้ เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือต้องทางาน นอกจากนี้รัฐบาลต้อง
มีส่วนรว่ มรบั ผิดชอบในการพัฒนาสติปญั ญาและร่างกายของเด็ก ดังนั้น จึงมีการจัดสนามเด็กเล่น
คลนิ กิ แนะแนวเด็กและการบรกิ ารรักษาพยาบาลฟรีให้แกแ่ มแ่ ละเดก็
2.โรงเรียนอนุบาล โดยมีทั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐและเอกชน มุ่งฝึกให้เด็กเกิดการรับรู้
ตามธรรมชาติ พัฒนาให้จิตใจตื่นให้อยู่เสมอ อีกทั้งก่อให้ร่างกายแข็งแรง ปลูกฝังความหนักแน่น
ของอารมณพ์ รอ้ มท้ังฝกึ ให้ใช้ภาษาและทา่ ทางที่สุภาพ
ระดบั การศึกษาของประเทศญ่ีป่นุ
2. การศกึ ษาช้ันประถมและชั้นมัธยม
** ช้นั ประถม (小学校 โชกักโก) : เรียน 6 ปี, อายุ 6–12 ปี
** ชนั้ มัธยมตน้ (中学校 ชกู ักโก) : เรียน 3 ปี, อายุ 12–15 ปี
** ช้ันมธั ยมปลาย (高等学校 โคโตกกั โก หรือ 高校 โคโก) : เรยี น 3 ปี, อายุ 15–18 ปี
ระดับการศกึ ษาของประเทศญี่ป่นุ
หลักสูตรการศึกษาแห่งชาติกาหนดให้นักเรียนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พอเหมาะ และ
การเรยี นภาคบงั คับถือเปน็ การปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเสมอภาค มีการกระจายงบประมาณไป
ตามโรงเรียนต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การที่หลักสูตรกาหนดเช่นนี้ส่งผลให้ขาด
ความยืดหยุ่น รวมถึงความสอดคล้องกันของพฤติกรรม ความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะกระตุ้น
นักเรียนให้มคี วามสนใจพเิ ศษ การปฏริ ปู การศึกษาในปลายทศวรรษที่ 198 มีเป้าหมายเพื่อเน้นใน
เรื่องความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และการเพิ่มโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกในสิ่งที่ตนเอง
ชอบ แต่กระนั้นความพยายามก็บังเกิดผลเพียงน้อยนิด การคิดเชิงวิพากษ์ไม่ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
ในระบบการศกึ ษาญี่ปนุ่ นกั เรียนจะถูกสอนให้จาเนื้อหาที่พวกเขาต้องใช้สอบ ผลการเรียนที่สูงจึง
ไม่ไดช้ ว้ี ัดหรอื สะท้อนความสามารถที่แท้จรงิ ของนักเรยี น
ระดับการศึกษาของประเทศญป่ี ่นุ
นักเรียนที่เรียนในการศึกษา
ภาคบังคับจะได้รับตาราเรียนฟรี คณะ
บริหารของโรงเรียนเป็นผู้เลือกตารา
เรียนทุกๆ 3 ปี โดยเลือกจากรายชื่อ
หนังสือที่กระทรวงการศึกษาได้รับรอง
แล้วหรือหนังสือที่กระทรวงจัดทาขึ้น
เองกระทรวงจะเป็นผู้รับภาระค่าตารา
ทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียน
เอกชน ตาราเรียนมีขนาดเล็ก ใช้ปก
ออ่ นหุม้ สามารถพกพาไดโ้ ดยง่าย และ
ถอื เป็นสมบัติของนักเรยี น
ระดับการศกึ ษาของประเทศญป่ี นุ่
3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
มกั จะเน้นการเรยี นนอกหอ้ งเรียน เพื่อเนน้ การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง
ในการเรยี นภาษาญป่ี ุ่น เด็กจะลุกขึ้นมาอา่ นคนละประโยคเอง ไมม่ กี ารชีห้ รือบงั คับ
การเรยี นมกั จะปล่อยให้เด็กไดท้ าอะไรได้อยา่ งอสิ ระ เรยี นดว้ ยความสุข สนุก
ครูจะไม่มกี ารดุ หรอื ตอ่ ว่านักเรียนทีค่ ุยกนั ในหอ้ งเรียน เดก็ นักเรยี นจะมคี วามต้ังใจใน
การเรียน แยง่ กันตอบ แข่งขนั กันอยา่ งเต็มที่ เดก็ ท่ตี อบจะไดต้ ิดปา้ ยชอื่ ข้นึ บนกระดาน
วชิ าดนตรีทาให้เด็กๆ มจี ติ ใจทีอ่ ่อนโยน โรงเรยี นกจ็ ะจัดใหม้ ีการเรยี นการสอนวชิ าดนตรี
ครจู ะให้เด็กเป็นคนคดิ เอง ว่าจะตอ้ งทาอะไร ตัดสินใจเองว่า เรอ่ื งนค้ี วรทา เรอ่ื งนั้นต้องทา
อย่างไร
ระดบั การศกึ ษาของประเทศญ่ปี ่นุ
4. ระยะเวลาเรยี น
1. ชั้นประถมศึกษา มีระยะเวลาในการเรยี น 6 ปี นกั เรียนจะมีอายุระหวา่ ง 6–12 ปี
2. ชั้นมธั ยมต้น มรี ะยะเวลาในการเรยี น 3 ปี นกั เรยี นจะมีอายุระหวา่ ง 12–15 ปี
3. ชั้นมธั ยมปลายมีระยะเวลาในการเรียน 3 ปี นกั เรียนจะมีอายรุ ะหว่าง 15–18 ปี
การจัดการศกึ ษาในประเทศญปี่ ่นุ
สังคมญ่ีป่นุ ใหค้ วามสาคญั กบั การศึกษาเป็นอย่างมาก เดก็ ๆ จะได้รับการศกึ ษาใน 3 ทาง ไดแ้ ก่
1) โรงเรียนรฐั บาลสาหรับการศึกษาภาคบังคับ
2) โรงเรยี นเอกชนสาหรับการศึกษาภาคบังคับ
3) โรงเรยี นเอกชนทไ่ี มไ่ ดย้ ึดมาตรฐานของกระทรวงการศกึ ษา วฒั นธรรม กฬี า วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี (MEXT)
การจดั การศกึ ษาในประเทศญ่ีปนุ่
การศกึ ษาระดับตน้ และระดับกลาง
ในระบบการศึกษาของญี่ปุ่น การศึกษาแบบปกติเมื่ออายุครบ 6ขวบ จะเข้าเรียนในโรงเรียน
ประถมเป็นเวลา6ปี (การศึกษาระดับต้น) และหลังจากนั้นจะเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นเป็นเวลา3ปี
(การศึกษาช่วงก่อนระดับกลาง) เป็นการศึกษาที่ถือเป็นหน้าที่หลังจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้นแล้ว สถานที่เรียนต่อ(การศึกษาช่วงหลังระดับกลาง) ได้แก่ โรงเรียนระดับสูง(โรงเรียนมัธยม
ปลาย) โรงเรียนเฉพาะทางระดับสูง(ปี1-3) โรงเรียนสายอาชีพระดับสูง เป็นต้น ดังนั้น การเรียนจนถึง
มัธยมต้นจะเป็นพื้นฐาน เป็นการศึกษาทั่วไปที่ผลักดันความสามารถหรือลักษณะเฉพาะตัวของนักเรียน
หรือเป็นการศึกษาเฉพาะทางที่นาไปสู่การหางานในญี่ปุ่น ผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นกว่า
97% จะเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมปลาย (การศึกษาในโรงเรียนเฉพาะทางระดับสูงเป็นระบบ 5 ปี โดย
เมือ่ เขา้ ศกึ ษา3 ปีแรก จะเรียนตามแบบโรงเรียนมัธยมปลาย)
การจดั การศึกษาในประเทศญปี่ ุ่น
การศกึ ษาระดับสูง
สถาบันการศึกษาระดับสูงที่อยู่สูงกว่าการจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย (หรือ
เทียบเท่า) ได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัยอนุปริญญา โรงเรียนเฉพาะทาง โรงเรียนเฉพาะทาง
ระดับสูง (ปี 4-5) เป็นต้น โดยมหาวิทยาลัยเป็นระบบ4ปี(ยกเว้นคณะแพทย์ที่เป็นระบบ 6 ปี)
วิทยาลัยอนุปริญญาเป็นระบบ 2 ปี โรงเรียนเฉพาะทางเป็นระบบ 1 – 4 ปี ขึ้นอยู่กับเนื้อหาท่ี
เรียนในที่นั้น จะเรียนเกี่ยวกับเทคนิค วิชาขั้นสูง หรือเทคนิคและความรู้เฉพาะทางเพื่อไป
ทางานเฉพาะดา้ น ยิง่ ไปกวา่ นัน้ ยงั มีการจัดต้งั บณั ฑิตวทิ ยาลัย (ปรญิ ญาโท / ปรญิ ญาเอก) ซึ่ง
เป็นสถานทศ่ี ึกษาสิ่งที่เรยี นมาจากมหาวิทยาลยั และโรงเรียนเฉพาะให้ลึกซึ้งยงิ่ ขึ้น
การจดั การศกึ ษาในประเทศญีป่ นุ่
ยุทธศาสตร์การจัดการศกึ ษาในประเทศญ่ปี นุ่
รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดทาโครงสร้างระบบการศึกษาใหม่ โดยได้จัดตั้งกระทรวงศึกษา
วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแทนกระทรวงศกึ ษาธิการ และทบวงวัฒนธรรมที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งน้ี
เพราะได้เล็งเห็นความสาคัญของการเรียนแบบองค์รวมไม่แยกส่วน ญี่ปุ่นไม่ใช้วิชาเป็นตัวตั้ง
จะเนน้ การบรู ณาการในเรอื่ งของการดาเนินชวี ิต และใช้เทคโนโลยีการคิดค้นในเรื่องต่าง ๆ นั่น
ก็คือ ใช้วทิ ยาศาสตรม์ าเป็นเครื่องมอื เพอ่ื การเรยี นรู้
การจัดการศกึ ษาในประเทศญีป่ ุ่น
การปฏริ ปู การศกึ ษาในประเทศญี่ปุ่น
ยุทธศาสตรก์ ารปฏริ ปู ในศตวรรษท่ี 21 นน้ั มีอยู่ 7 ประการคอื
1. ปรบั ปรงุ สมรรถนะการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น
2. กระต้นุ ใหเ้ ยาวชนเขา้ มามสี ่วนในการช่วยเหลอื และบริการชมุ ชน
3. ปรบั ปรุงสภาพแวดลอ้ มท่เี ออื้ แกก่ ารเรียนรู้ให้ผเู้ รียน
4. ดาเนินการให้โรงเรยี นเปน็ สถานท่ีที่นา่ เชอ่ื ถอื ไว้วางใจได้
5. มกี ารฝกึ อบรมครใู หเ้ ปน็ "ครูมอื อาชีพ"
6. สนบั สนนุ การจดั ต้ังมหาวิทยาลยั ท่มี ีคุณภาพมาตรฐานเท่าเทียมกบั นานาชาติ
7. กาหนดปรชั ญาการศกึ ษาใหเ้ หมาะสมกบั ศตวรรษที่ 21
การประกันคณุ ภาพการศกึ ษาของประเทศญี่ปนุ่
ในส่วนนี้จะที่ญี่ปุ่นไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในการประเมินผลการจัดการศึ กษาหรือ
การประกันคุณภาพมากนัก ข้อมูลที่ปรากฏส่วนใหญ่จะเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของ
นักเรียนหรือผลการสอบแขง่ ขันในระดบั นานาชาติ
แนวโนม้ การพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของประเทศญี่ปุ่น
1. ระบบการผลิตและพัฒนาครู ครเู ปน็ อาชพี ที่มีเกยี รติ มสี ถานะทางสังคมสูง เป็นผล
มาจากการทกี่ ฎหมายญ่ปี นุ่ และประชาชนคาดหวงั ในหน้าที่ของครู สังคมคาดหวังวา่ ครจู ะชว่ ย
ปลูกฝงั ทศั นคตขิ องสงั คมลงในตัว
2. มุ่งเน้นการสอนศลี ธรรม
3. สง่ เสรมิ การเรียนรทู้ างดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระบบการผลิตและพัฒนาครขู องประเทศญี่ป่นุ
การผลติ ครูของประเทศญ่ปี นุ่ เปน็ การจัดการศึกษาโดยคณะศึกษาศาสตร์ / ครุศาสตร์ใน
มหาวทิ ยาลัยและระดับวทิ ยาลัย มจี านวนรวมทั้งสิน้ 48 แห่ง ระบบการจัดการเรียนการสอนระดับ
ปรญิ ญาตรีเป็นหลกั สตู ร 4 ปี และมกี ารฝกึ สอนในสถานศกึ ษาจานวน 12 สปั ดาห์
ระบบการผลิตและพฒั นาครูของประเทศญปี่ ุ่น
การพัฒนาครูจะมีการดาเนินการตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตความเป็นครู โดยผู้ที่มีหน้าท่ี
จัดการฝกึ อบรมอาจแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ระดับหลกั คอื
(1) การฝึกอบรมท่ีจัดในระดบั ชาติ
(2) การฝกึ อบรม ที่จดั ระดับจงั หวดั
ระบบการผลติ และพัฒนาครูของประเทศญปี่ นุ่
ภาระงานของครู
1. ครรู ะดับอนบุ าล ส่วนมากจะถกู กาหนดให้รับผดิ ชอบดแู ลชัน้ รวมทงั้ สอนแบบ
เหมารวม
2. ครรู ะดบั ประถมศกึ ษา จะตอ้ งใช้ความสามารถพิเศษเฉพาะทาง สอนเฉพาะ
วิชาที่ถนัด ได้แก่ ดนตรี ศิลปะ และงานฝมี ือพลศึกษาและงานบ้าน
3. ครรู ะดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น จะไดร้ บั มอบหมายให้สอนคนละ 1-2 รายวิชา
และจะต้องสอนในหลายๆ ห้อง
4. ครรู ะดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จะสอนเฉพาะวิชาท่ตี นเองมคี วามถนดั เพียง
วชิ าเดียวเทา่ นัน้
ระบบการผลิตและพฒั นาครูของประเทศญ่ีป่ นุ
การ่ฝกอบรมและการออกใบประกอบวิชาชีพครู
1. ครูระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในประเทศญ่่ีปนุ ถูก่ฝกมาจาก
มหาวทิ ยาลยั หรอื วิทยาลยั ซึ่งอ่ยภู าย่ใตการกากบั ดูแลโดยกระทรวงศึกษา วัฒนธรรม กฬี า
วทิ ยาศาสต่รและเทคโนโลยี
2. ครูระดับประถมศกึ ษาจะ่ตองเรียน 4่ปในรายวิชาที่เก่ียว่ของกับการ
ประถมศกึ ษาในมหาวิทยาลยั ของรฐั
3. ครูระดับมธั ยมศึกษาตอน่ตนถูก่ฝกและผลติ โดยมหาวทิ ยาลยั ของรฐั
มหาวทิ ยาลัยเอกชน
4. ครรู ะดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ครูจะถกู ่ฝกและพฒั นามาจากระดับตา่ ก่วา
ปรญิ ญาตรี และระดบั บัณฑติ ศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลยั ของรัฐระดบั
่ทองถิ่นและมหาวทิ ยาลัยเอกชน
จดุ ่เดนของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ป่ี นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ ่เดนของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ป่ี นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
จดุ เดน่ ของระบบการศกึ ษาประเทศญ่ปี ่นุ
สรปุ
ระบบการจัดการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นจัดได้ว่าเป็นระบบการศึกษาแบบรวม
ศนู ย์ ซึ่งมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็ง ได้แก่ การช่วยทาให้มาตรฐานการศึกษาแม้ว่าจะ
พื้นที่ชนบทก็จะได้โอกาสและมาตรฐานใกล้เคียงกัน ส่วนจุดอ่อน คือระบบการบริหารท่ี
เป็นระบบส่ังการจากเบ้อื งบนส่เู บ้ืองลา่ ง
วธิ กี ารจัดการเรียนการสอนแบบเปดิ
(open approach)
วธิ ีการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (open approach)
ความหมายของวธิ กี ารแบบเปิด (open approach)
เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนได้มีประสบการณ์หลากหลาย กับ
ปัญหาปลายเปิดที่มีลักษณะหลายๆคาตอบอันเกิดจากกระบวนการแก้ปัญหาหลากหลายวิธี ที่
นกั เรยี นคดิ ออกมาไม่ใช่ครเู ปน็ ผบู้ อกคาตอบเหมอื นการเรียนการสอนในปัจจุบันที่มุ่งแต่ผลลัพธ์ใน
การสอบแขง่ ขันขาดการจดั กระบวนการทางความคดิ ที่จะให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุ
มีผล
วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนแบบเปิด (open approach)
ขนั้ ตอนการสอนแบบวิธีการเรยี นแบบเปิด (open approach)
ขัน้ นาเสนอปัญหาต่อชัน้ เรยี น
โดยเน้นวธิ ีการแบบเปดิ (Open Approach)
ซึ่งมีลักษณะของการเปดิ 3 ลักษณะ คอื
(1) กระบวนการเปิด (แนวทางการแก้ปญั หาที่ถูกตอ้ งน้ันมีหลายแนวทาง)
(2) ผลลพั ธ์เปดิ (คาตอบถกู ตอ้ งหลายคาตอบ)
(3) แนวทางการพฒั นาเปดิ (สามารถพฒั นาไปเป็นปัญหาใหม่ได้)
เมอ่ื ได้สถานการณ์ปัญหาแล้วครูใชใ้ บกิจกรรมใหน้ กั เรยี นทาในห้องเรียนโดยทาเปน็ กลมุ่ ๆ 3 – 5 คน
วิธกี ารจดั การเรยี นการสอนแบบเปิด (open approach)
ขัน้ ตอนการสอนแบบวธิ ีการเรยี นแบบเปิด (open approach)
ขน้ั ลงมอื ทากจิ กรรมและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
(การนาเสนอแผนการสอนไปใช้) (Reaearch)
เมื่อได้ใบกิจกรรมนักเรียนในกลุ่มก็จะช่วยกันคิดหาวิธีของแต่ละคนเสร็จแล้วก็จะคุยกันใน
กลุ่มเพื่อหาข้อสรุปและเหตุผลที่ได้คาตอบมาอย่างนี้เพราะอะไรมีวิธีการอย่างไร เสร็จแล้วก็จะ
นาเสนอหน้าช้นั ให้เพื่อนรับทราบถึงแนวความคิดของกลุ่ม
วธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนแบบเปิด (open approach)
ขน้ั ตอนการสอนแบบวิธีการเรยี นแบบเปิด (open approach)
ขั้นอภิปรายและเปรยี บเทียบรว่ มกนั ท้งั ชน้ั เรยี น
(สะทอ้ นผลการอภิปรายเกี่ยวกบั การสอน Lesson Discussion)
เมอ่ื นกั เรยี นได้คาตอบพร้อมกับเหตุผลแนวคิดและวิธีหาคาตอบก็จะนาเสนอหน้าชั้นเรียน
เพื่อให้เพื่อนได้รับทราบถึงวิธีการคิดของนักเรียน หลังจากนั้นครูร่วมอภิปรายเพื่อพัฒนาไปเป็น
ปญั หาใหม่ เพื่อนามาพัฒนาตอ่ ไป
วธิ กี ารจัดการเรียนการสอนแบบเปดิ (open approach)
ขัน้ ตอนการสอนแบบวิธีการเรยี นแบบเปิด (open approach)
ขั้นสรุปบทเรียนจากการเชอ่ื มโยงแนวคิดของนกั เรียน
ท่เี กิดขึน้ ในชนั้ เรียน
(การสรปุ ผลการเรียนร)ู้ (Consolidation of Learning)
ขั้นสุดท้ายของกิจกรรมที่ครูและนักเรียนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปของบทเรียนที่มีความ
เหมือนและแตกต่างในการหาคาตอบของแต่ละกลุ่มเพอื่ ทจ่ี ะสรปุ เปน็ แนวคิดรว่ มกัน
วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนแบบเปดิ (open approach)
บทบาทสาคัญของครใู นการจดั กระบวนการเรยี นรูแ้ บบ open approach
เปดิ ประตผู เู้ รียนสกู่ ารเรยี นรทู้ ่ีขับเคลือ่ น
ดว้ ยตวั ผู้เรยี นเอง
วธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนแบบเปิด (open approach)
บทบาทสาคญั ของครใู นการจดั กระบวนการเรยี นรแู้ บบ open approach
ส่งเสริมดูแลเอาใจใส่ให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาและ/หรือสร้างสรรค์ ภายใต้เงื่อนไขของโจทย์อย่าง
ท่วั ถึงและตอ่ เน่ืองโดยการหล่อเลี้ยงแรงขับจับประเด็นตั้งคาถามเพิ่มลดหรือปรับประสบการณ์ สนับสนุน
อานวยความสะดวกดูแลความเรียบร้อย แนะนา ช่วยเพิ่มลดหรือปรับทรัพยากรฯลฯเพื่อให้ผู้เรียนได้นา
ความรู้ความสามารถ ที่สะสมอยู่ออกมาใช้ให้มากที่สุดจนเกิดการสร้างความรู้ความสามารถชุดใหม่ขึ้น
(constructionism) จากการลองผิดลองถูกเปลี่ยนมุมมองและหาทางให้ถึงที่สุดด้วยตนเอง
(heuristics) และพรอ้ มๆ กนั นน้ั ครูยงั ชว่ ยจดั วางวธิ บี ันทกึ ความคดิ ความรู้สึก ความเข้าใจ บันทึกวิธีการ
บนั ทึกผลลัพธท์ ่ีสมั พนั ธ์กับวธิ ีการช่วยตง้ั คาถามช่วยตั้งประเด็นให้ผู้เรียน สังเกตเห็นและประเมินวิธีสร้าง
ความเข้าใจและวิธที าของตนเองในการแก้ปญั หาหรือการ สร้างสรรค์น้นั ๆ (metacognition)
วธิ ีการจดั การเรียนการสอนแบบเปดิ (open approach)
บทบาทสาคญั ของครใู นการจดั กระบวนการเรยี นรู้แบบ open approach
ประเมินผเู้ รยี นในขณะเรียนรู้ โดยการมสี ติตัง้ ใจฟังสงั เกตและรู้สึก อย่างละเอียดอ่อนฉับไว
และแม่นยา เพื่อหยั่งให้ถึงภาวะการนาความรู้ความสามารถออกมาใช้ ภาวะการสร้างความรู้
ความสามารถชดุ ใหม่แรงบันดาลใจวิถกี ารเรียนรู้วิธกี ารเรียนรู้ อาการเข้าใจ ขอบเขตและคุณภาพ
ของความเข้าใจพลังความสามารถและ ข้อจากัดของผู้เรียนแต่ละคนในขณะที่กาลังเรียนรู้ผ่าน
การแก้โจทย์ หรือการสร้างสรรค์ภายใต้เงื่อนไขของโจทย์ เป็นการประเมินเพื่อ พัฒนาอย่าง
ฉบั พลันทันทไี ม่ใชก่ ารประเมินเพ่ือตัดสิน
วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนแบบเปดิ (open approach)
บทบาทสาคญั ของครใู นการจดั กระบวนการเรยี นร้แู บบ open approach
ตอบสนองตอ่ ผลการประเมินนั้นอย่างเหมาะสมและทันเวลา โดยการตั้งคาถามจับประเด็น
ใหค้ าแนะนา ให้ตัวอยา่ งอานวยความช่วยเหลือฯลฯที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนอย่างสงบ มีสติ
ในจงั หวะทีเ่ หมาะสมทนั ท่วงทเี พอื่ ช่วยใหผ้ ู้เรยี นหลดุ จากภาวะติดขัดหรอื การเข้าใจผิดหรือช่วยให้
ผ้เู รียนเข้าสู่การเรียนรู้ที่กว้างขวาง ลึกซึ้งมากขึ้นและดาเนินการแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์ต่อไปได้
อย่างราบรืน่
วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเปดิ (open approach)
บทบาทสาคญั ของครใู นการจัดกระบวนการเรยี นรูแ้ บบ open approach
ขับเคล่ือนและปรับพฤติกรรมผู้เรียนด้วยวิธีการเชิงบวก เมื่อมีผู้เรียนบางคนที่ไม่อยู่ในภาวะ
พรอ้ มเรยี นหรอื ติดขดั อย่างมากหรือมีพฤตกิ รรมที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ หรือรบกวนการเรียนรู้ของ
เพื่อน ครูจะขับเคลื่อนและปรับพฤติกรรมผู้เรียนนั้นด้วยวิธีการเชิงบวก ทั้งนี้ เพื่อรักษาแรงจูงใจ
ดา้ นบวกของผเู้ รยี นคนน้นั และรักษา บรรยากาศเชิงบวกของช้ันเรียนเอาไวใ้ หต้ ่อเน่ือง