The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Supichaya Pangkham, 2022-09-19 10:30:13

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

BUSINESS BOOK BY

E-BOOK

การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ
TISSUE CULTURE

ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ก า ร ดำ ร ง ชีวิ ต แ ล ะ ค ร อ บ ค รัว 3

BUSINESS BOOK BY

จั ด ทำ โ ด ย ( ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 6 / 2 )

21 ..นนาางงสสาาวว อรรจม า ภ ร ณ์ เ ที ยนกะ ส1ิ 2เ ล ข ที่ 9
สุ พิ ช ญ า ปาง คำ เ ล ข ที่
3 . น า ย ธ น วั ฒ น์ จั น ท ร์ ห า ญ เ ล ข ที่ 1 5

ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ก า ร ดำ ร ง ชีวิ ต แ ล ะ ค ร อ บ ค รัว 3



คำนำ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การ
ดำรงชีวิตและครอบครัว โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการศึกษา
การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ

ผู้จัดทำจึงตระหนักในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อให้ผู้อ่านได้
ศึกษาหาความรู้จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อที่จะนำเป็น
แนวทางไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หากมีข้อผิดพลาด
ประการใดทางผู้จัดทำขอน้ อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้
ด้วย



คณะผู้จัดทำ

สารบัญ ข

เ ริ่อ ง ห น้ า

คำ นำ ก
ส า ร บั ญ ข
ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 1
ห ลั ก ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 4
ข้ อ ดี แ ล ะ ข้ อ เ สี ย ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 10
ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 13
ข้ อ จำ กั ด ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 16
ขั้น ต อ น ก า ร เ พ า ะ เ ลี ย้ ง เ นื้ อ เ ยื่ อ 17
บ ร ร ณ า นุ ก ร ม 30

ความหมายของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 1

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หมายถึง การนำเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของ
พืชไม่ว่าจะเป็ นอวัยวะเนื้ อเยื่ อเซลล์หรือเซลล์ไม่มีผนังมาเลี้ยงใน
อาหารในสภาพปลอดเชื้อจุลินทรีย์และอยู่ในสภาพควบคุมอุณหภูมิ
แสงและความชื้นเพื่อให้เซลล์พืชที่นำมาเพาะเลี้ยงนั้นปราศจากเชื้อ
ที่มารบกวนและทำลายการเจริญเติบโตของพืช

พืชที่นิยมนำมาเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 2

การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อนิยมใช้กับพืชที่มีปั ญหาเรื่ องการขยาย
พันธุุ์หรือมีปั ญหาเรื่ องโรคและนิยมใช้กับพืชเศรษฐกิจอีกด้วย

ตัวอย่างพืชที่มักมีปั ญหาเรื่ องโรค

(ขิง) (กล้วยไม้)

ตัวอย่างพืชเศรษฐกิจ

(กุหลาบ) (แครอท)

เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืช 3

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชถูกกล่าวถึงครั้งแรกโดย Gottlieb
Haberlandt นักพันธุศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1902 เทคนิค
ดังกล่าวถูกพัฒนามาตลอดช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยเริ่มจากการ
เพาะเลี้ยงบางส่วนของพืช เช่น เอมบริโอ และเนื้อเยื่อเจริญบริเวณ
ปลายยอดและปลายรากขณะที่การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชอย่าง
แท้จริงเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1934 โดย Roger J. Gautheret สามารถ
เพาะต้น Sycamore บนอาหารสังเคราะห์สูตร Knop's solution
แข็งที่เติมน้ำตาลและวุ้นที่ได้จากสาหร่าย อย่างไรก็ตามในช่วงแรก
ของการพัฒนากลับพบปั ญหาในการทำให้เนื้ อเยื่ อพืชมีการพัฒนา
เป็นยอด ราก หรือลำต้นตามต้องการจึงเริ่มนำสารควบคุมการเจริญ
เติบโตพืชมาใช้โดยตอนแรกมีการใช้น้ำมะพร้าวมาผสมกับอาหาร
สังเคราะห์ต่อมาจึงเริ่มปรับใช้สารสังเคราะห์ในการชักนำให้เนื้ อเยื่ อ
พืชมีการเจริญและพัฒนาเป็นต้นอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่มีการปรับ
ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตพืชมาใช้ก็มีการปรับปรุงอาหาร
สังเคราะห์โดยการศึกษาคุณสมบัติของธาตุอาหารพืชหลายๆชนิด
สูตรที่เป็นที่นิยมกันได้แก่ Murashige and Skoog (MSO)

ในการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชนั้นต้องทำภายใต้สภาพปลอดเชื้ อ
โดยทำงานในตู้ปลอดเชื้อที่มีการกรองผ่านแผ่นกรองเฮป้ า เพื่อ
ป้ องกันไม่ให้เกิดการปนเปื้ อนจากเชื้อ
จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอากาศไปเจริญ
เติบโตบนอาหารเพาะเลี้ยง
เนื้ อเยื่ อจะมีการเจริญเติบ
โตบนอาหารสังเคราะห์ใน
ภาชนะปิด ภายในห้องที่
มีการควบคุมอุณหภูมิ
และแสง อาหารเพาะ
เลี้ยงอาจมีการเติมสาร
ควบคุมการเจริญเติบโต
พืชและวิตามินบางชนิด

หลักการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืช 4

แม่ไม้

ชิ้นส่วนพืช

อวัยวะพืช (organ)
เนื้อเยื่อ (tissue)
กึ่งอวัยวะ/กึ่งเนื้อเยื่อ (organ/tissue
intermediate)
เซลล์/โปรโตพลาสต์ (cell/protoplast)

ทำความสะอาดผิว

เพาะเลี้ยง อาหาร
ชักนำยอด แสง
ชักนำราก อุณหภูมิ
ต้น

ย้ายชำ

5

หลักการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืช

และคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง

หลักการของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ
การผลิตกล้าโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชโดยใช้หลักการของ “Cell
totipotency” คือ เซลล์พืชมีลักษณะพิเศษกว่าสัตว์ในแง่ที่ว่าเซลล์พืช
มีความสามารถทางพันธุกรรมในการสร้างอวัยวะขึ้นใหม่ทดแทน
ส่วนที่ขาดหายไปได้หรือมีความสามารถสร้างต้นใหม่ได้หากสภาวะ
ภายใน (internal หรือ biological factors) และภายนอก
(environmental factors) เหมาะสม จากหลักการดังกล่าวทำให้
สามารถสร้างพืช 5 ต้น ใหม่ได้จากการนำเอาชิ้นส่วนพืช (explant)
ตั้งแต่ในระดับโปรโตพลาสต์เซล แคลลัส และอวยัวะต่างๆมาเพาะ
เลี้ยงในสภาพที่เหมาะสมชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถที่จะพัฒนาเป็ นต้น
พืชใหม่ที่สมบูรณ์ได้

ชิ้นส่วนพืช (Explant)
คือ ชิ้นส่วนพืชเล็กๆ ที่นำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ได้แก่
อวัยวะ (organ) เนื้อเยื่อ (tissue) ก่ึ่งอวัยวะหรือกึ่ง
เนื้อเยื่อ(organ/tissue intermediate) เซลล์ (cell) แคลลัส
(callus) และโปรโตพลาสต์(protoplast) ตัวอย่างเช่น ปลายยอด
(shoot tip) ปลายราก (root tip) ใบเลี้ยง (cotyledon) ใบอับ
เรณู(anther) คัพภะ(embryo) เมล็ด แคมเบียม (cambium)
เรณู(pollen) ไข่อ่อน (ovule)

6

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญ (Meristem/meristem-
tip/Shoot-tip culture)
คือการเพาะเลื้ ยงเนื้ อเยื่ อจากเนื้ อเยื่ อเจริญเพื่ อชักนำให้เกิดเป็ น
ยอดหรือแคลลัส เนื้อเยื่อเจริญจะประกอบด้วยเซลล์ที่กำลังตื่นตัว
(active) จะพบอยู่ในส่วนต่างๆ ของพืช คือ ปลายยอด (shoot tip)
ปลายราก (root tip) เนื้อเยื่อเจริญในท่อลกเลียง (vascular
cambium) และเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ระหว่างปล้องของพืชใบเลื้ยง
เดี่ยว

การเพาะเลี้ยงอวัยวะ (Organ culture)
คือการนำเอาอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช เช่น ยอด ข้อ ปล้อง

ราก ใบ อับเรณูมาเพาะเลี้ยงให้เกิดเป็นต้น หรือ แคลลัส การเพาะ

เลี้ยงอวัยวะส่วนใดก็เรียกชื่อตาม ชิ้นส่วนนั้น เช่น การเพาะเลี้ยง

ตา (bud culture) การเพาะเลี้ยงอับเรณู (anther culture)
การเพาะเลี้ยงคัพภะ (embryo culture) เป็นต้น

Axillary shoot proliferation
คือการเพาะเลี้ยงตาข้างอาจเป็นตาที่ง่ามใบ (axillarly bud) หรือ

ตา ข้างที่กิ่ง (lateral bud) โดยกระตุ้นให้ตาแตกออกเป็นยอด

เล็กๆ (shootlets/microshoot) จำนวนมากก่อน แล้ว จึงตัดแยก

ยอดออกมาชพ ให้เกิดรากในสภาพปลอดเลื้อ หรือในเรือนเพาะชำ

เพื่อให้ได้กล้าที่สมบูรณ์ (plantlet/microplant)

7

Adventitious Shoot Induction
คือการเพาะเลี้ยงชิ้นส่วนพืช เช่น ใบเลี้ยง ใบอ่อน ยอดอ่อน หรือ

แคลลัส โดยชักนา ให้ชิ้นส่วนเหล่านั้น สร้างตาเทียมหรือตาพิเศษ

(adventitious bud) และเจริญเป็นยอดเล็กๆ

(shootlets/microshoot) จากนั้นจึงนำ ไปชักนา ให้เกิดรากและ

พัฒนาไปเป็ นกล้าไม้ที่สมบูรณ์

แคลลัส (Callus)
คือกลุ่มเซลพาเรนไคมา (parenchyma) ที่ยังไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะหรือเนื้อเยื่อชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยธรรม
ชาติแคลลัสเกิดขึ้นเมื่อพืชได้รับบาดแผลพืชจะสร้างเซลล์พาเรนไค
มาขึ้นมาเพื่อปิดบาดแผลแคลลัสที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ มี
2 ลักษณะคือแคลลัสที่มีเซลล์เกาะกันแน่น (compact callus)
และแคลลัสที่มีเซลล์เกาะอย่างหลวมๆ (friable callus) รูปร่างของ
แคลลัสไม่แน่นอนภายในเซลล์มีแวคิวโอล(vacuole) จำนวนมาก
ภายในเซลล์ส่วนใหญ่จะไม่มีรงควัตถุ (pigment) แต่ ก็มีพบบ้างที่
มีคลอโรฟิลล์ แคโรทีนอยด์ ฟราโวนอยด์ หรือแอนโทไซยานิน

การเพาะเลี้ยงแคลลัส (Callus culture)
คือการเพาะเลี้ยงชิ้นส่วนพืช โดยการชักนาให้เกิดเป็น แคลชัน

เสียก่อน จากนั้นจึงชักนาให้เกิดเป็นต้นใหม่ โดยทั่วไปชิ้นส่วน

พืชที่ยังมีชีวิตอยู่มีความสามารถที่จะสร้างแคลลัสได้ แต่จากการ

ศึกษาพบว่า ชิ้นส่วนพืชที่สามารถชักนา ให้เกิดแคลลัสได้ดีคือ

ส่วนของคัพภะ (embryo) ใบเลี้ยง ใบอ่อน ดอกอ่อน ลำต้น และ

เมล็ดที่เพิ่งงอก

8

การเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cell culture)
คือการเพาะเลี้ยงเซลล์เดี่ยว(single cell) หรือกลุ่มของเซลล์

ขนาดเล็ก (aggregate cell) ให้เกิดเป็นต้นใหม่ชิ้นส่วนพืชที่นำมา

เพาะเลี้ยงเซลล์ได้ดีที่สุดคือ แคลลัส ชนิดที่เกาะกันหลวมๆ

(friable callus) เพราะเซลล์จะแยกหรือกระจายตัวออกจากกันได้

ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ชิ้นส่วน อื่น เช่น ใบอ่อน คัพภะ หรือ
กล้า ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องนำมาแยกเซลล์ด้วยวิธีกลหรือเคมีเสีย

ก่อน การ 4 เพาะเลี้ยงเซลล์มักจะเพาะเลี้ยงไว้ในอาหารเหลวเพื่อ

ให้เซลล์มีการกระจายตัวอย่างเป็นอิสระ ซึ่งจะเรียกว่า การเพาะ

เลี้ยงเซลล์แขวนลอย (cell suspension)

การเพาะเลี้ยงโปรโตพลาสต์ (Protoplast culture)
คือการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ปราศจากผนังเซลล์ (cell wall) ที่คงมี
โครงสร้างภายอยู่อย่างสมบูรณ์ ให้พัฒนาเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์
เซลล์พืชโดยทั่วไปจะประกอบด้วยผนังเซลล์ 2 ชั้น คือ Cell wall
และcell membrane ผนังเซลล์จะทำหน้ าที่ห่อหุ้มโครงสร้าง
ภายใน ซึ่งประกอบด้วย cytoplasm nucleus และ organelles
การแยกโปรโตพลาสต์ต้องใช้เอนไซม์ (enzyme) มาย่อยผนัง
เซลล์ให้หลุดไป เนื้อเยื่อที่เหมาะในการนำมาแยกโปรโตพลาสต์
ได้แก่ แผ่นใบ แคลลัส เอนโดสเปอร์ม (endosperm) เซลล์ที่มี
ผนังหนา (secondary wall) เนื่องจากการสะสมของสารจำพวก
lignin suberin และcutin นั้นจะย่อยยากไม่เหมาะที่จะนำมาแยก
โปรโตพลาสต์

9

การรวมโปรโตพลาสต์ (Protoplast fusion)
คือการกระตุ้น ให้โปรโตพลาสต์ตั้งแต่ 2 เซลล์เข้ามา รวมตัวผสม

กัน ซ่ึ่งจะหล่อหลอมรวมเอาลักษณะทางพันธุกรรมของเซลล์

ร่างกาย (somatic cell) หรือ organelle ของพืชชนิดเดียวกันหรือ

ต่างชนิดกันเข้าไปผสมในโปรโตพลาสตเ์ดิมจึงเหมาะสำหรับใช้ใน

การปรับปรุงพันธุ์ การสร้างลูกผสมพันธุ์ใหม่และการผสมข้าม

พันธุ์ในพืชต่างชนิด หรือต่างสกุลซ่ึ่งไม่สามารถผสมพันธุ์โดยวิธี

ทางธรรมชาติได้

Organogenesis
คือขบวนการการพัฒนาของกล้าไม้ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนี้อเยื่อ

(plantlet) โดยการที่ชิ้นส่วนพืช ซ่ึงอาจเป็นเนี้อเยื่อหรือเซลล์ถูก

ชักนำให้สร้างยอด/ราก/อวัยวะอื่น โดยขบวนการสร้าง ตาเทียม

หรือตาพิเศษ (adventitious bud) หรือการกระตุ้นให้เกิดยอด/ราก

(root/shoot proliferation) เช่น การชักนำให้ยอดแตกราก การ

ชักนำให้แคลลัสสร้างยอดหรือราก เป็นต้น

Embryogenesis
คือขบวนการเกิดคัพภะ (embryo) คัพภะที่เกิดจากการเพาะเลี้ยง
เนี้อเยื่ อเป็ นการเกิดจากเซลล์แคลลัสหรือเนื้ อเยื่ ออื่ นที่ไม่ใช่เกิด
จากการปฏิสนธิของเซลสืบพันธุ์ (non-zygotic) โดยเซลที่ถูก
ชักนำให้เกิดเป็ นคัพภะจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเช่นเดียว
หลักการพัฒนาของ zygote ไปเป็น embryo ในเมล็ดพืชโดยทั่ว
ไป

ข้อดีและข้อเสียของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 10

ข้อดี

1. สามารถเพิ่มปริมาณพันธุ์พืชที่ต้องการได้ในเวลาอันสั้น
2. ต้นกล้าที่ได้มีลักษณะที่สม่ำเสมอ(genetic uniformity)
3. ต้นพืชที่ได้ปราศจากเชื้ อแบคทีเรียและเชื้ อรา
4.ผลิตต้นกล้าได้ทั้งปีโดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้ าอากาศหรือ

ฤดูกาลในการเพาะปลูกจึงทำให้เกษตรกรมีรายได้ตลอดปี
5. ช่วยในการขยายพันธุ์พืชในพืชที่ขยายพันธุ์เองได้ยากในสภาพ

ปกติในธรรมชาติ เช่น กล้วยไม้และสน ดังภาพ

ที่มา : Bonga (2010, หน้ า 244)

6.ใช้ในการผลิตยาและสารเคมีจากพืช พืชบางชนิดสามารถผลิต
สารที่มีคุณสมบัติทางยาหรือมีประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรม

ข้อดีและข้อขเสีอยงขกอางรกเพาาระเพเลีา้ยะเงลเี้นยื้ องเนยื้่ อเยื่ อ 11

7. สามารถใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในการปรับปรุงพันธุ์
พืช คัดเลือกสายพันธุ์พืชที่ทนทาน (tolerant plants) หรือสาย
พันธุ์ที่ต้านทาน (resistant plants) โดยจัดเงื่อนไขของอาหาร
เลี้ยงและสภาพแวดล้อมหรือชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์
(induced mutation) โดยอาจใช้สารเคมีการฉายรังสีการรวมโปร
โตพลาสต์การตัดต่อยีน และการย้ายยีน

8. ใช้ศึกษาทางชีวเคมีสรีรวิทยาและพันธุศาสตร์ต้นพืชที่เลี้ยง
ในหลอดทดลองสามารถติดตามการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้
ง่ายชัดเจนและถูกต้องแม่นยำที่สำคัญคือเราสามารถควบคุม
ตัวแปรต่างๆในหลอดทดลองได้ง่ายกว่าปลูกในสภาพปกติใน
แปลงปลูก

9. ใช้เพื่อเก็บรักษาและรวบรวมพันธุ์พืชเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืช
ที่หายากหรือกำลังใกล้จะสูญพันธุ์ในสภาพตามธรรมชาติและ
เพื่อเก็บรวบรวมฐานทางพันธุกรรมของพืชไว้

10. เพื่อเมล็ดเทียมหรือเมล็ดสังเคราะห์(artificial seed หรือ
syntheticseed) เมล็ดเทียมเป็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดเพื่อ
เลียนแบบเมล็ดพืชที่ได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศตาม
ธรรมชาติเมล็ดเทียมอาศัยหลักการห่อหุ้มส่วนต่างๆของพืชด้วย
วัสดุที่เหมาะสมแก่พืชในการเจริญเติบโต

ข้อดีและข้อเขสีอยงขกอางรกเพาาระเพเลีา้ยะเงลเี้นยื้ องเนยื้่ อเยื่ อ 12

ข้อเสีย

1.มีขั้นตอนและวิธีการที่ยุ่งยาก
2.ต้นทุนสูงกว่าการขยายพันธุ์พืชโดยวิธีอื่น
3.เสี่ยงต่อความเสียหายจากศัตรูพืชเนื่ องจากพืชต้นใหม่ที่ได้มี
จำนวนมากและมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทำให้การ
ระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชเกิดได้ง่าย
4.การแปรปรวนทางพันธุกรรม (somatic variation) อาจเกิด
ขึ้ นได้เนื่ องจากการเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ซึ่ งมีธาตุอาหาร
และฮอร์โมนอยู่สูง ต้นพืชอาจมีการแปรปรวนทางพันธุกรรมเกิด
ขึ้นได้แต่บางคราวการแปรปรวนกลับให้ผลดีทางด้านพันธุ์แปลก
ใหม่เกิดการกลายพันธุ์ของไม้ดอกไม้ประดับ เช่น กล้วยไม้
แคระดังภาพ

ที่มา : ธัญญา ทะพิงค์แก (2554, หน้ า 1)

ประเภทของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 13

1. การเพาะเลีี้ยงคัพภะ (embryo culture) การเพาะเลี้ยงคัพภะ
หมายถึง การนำเอาคัพภะหรือต้นอ่อนของพืชที่เพิ่งเริ่ม พัฒนาที่
เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากถุงรังไข่ของพืชมาเพาะเลี้ยงบนอาหาร
สังเคราะห์เพื่ อให้เกิดเป็ นแคลลัสหรือเกิดเป็ นต้นพืชโดยตรงรวม
ทั้งการชักนำให้เกิดคัพภะจากเซลล์หรืออวัยวะอื่น เช่น ใบเลี้ยง
ช่อดอกอ่อน เมล็ดอ่อน โดยชักนำให้เกิดคัพภะโดยตรงหรือชักนำ
ให้เกิดแคลลัสแล้วพัฒนาเป็ นคัพภะต่อไป

2.การเพาะเลี้ยงอวัยวะ (organ culture) การเพาะเลี้ยงส่วน
ต่างๆของอวัยวะพืชที่แยกออกมา เช่น ยอด ข้อ ปล้อง ราก ใบ
ดอก และผลในสภาพปลอดเชื้อ วิธีการเพาะเลี้ยงแบบนี้ทำได้
ง่ายและรวดเร็ว

3.การเพาะเลีย้งเนื้อเยื่อเจริญ (meristem culture) การเพาะ
เนื้ อเยื่ อเจริญเป็ นการตัดเอาเนื้ อเยื่ อเจริญที่ปลายยอดมาเลี้ยง
เนื้อเยื่อ เจริญมีขนาดเล็กมากต้องทำการผ่าตัดภายใต้
กล้องจุลทรรศน์เป็ นการเพาะเลี้ยงเพื่ อให้ได้ชิ้นส่วนที่ปลอดไวรัส
แล้วนำไปเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณขยายพันธุ์ต่อไป

ประเภทของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 14

4.การเพาะเลี้ยงแคลลัส (callus culture) แคลลัสเป็นเซลล์พื้น

ฐานที่อยู่รวมกันเป็ นกลุ่มยังไม่กำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง

หรือพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใด เนื้อเยื่อพืชเกือบทุก

ชนิดสามารถนำมาชักนำการสร้างแคลลัสได้ซึ่งการชักนำการ

สร้างแคลลัสเริ่มต้นจากการคัดเลือกเนื้ อเยื่ อพืชมาทำการเพาะ

เลี้ยงบน อาหารสังเคราะห์ที่มีธาตุอาหารพืชร่วมกับสารควบคุม
การเจริญเติบโตในระดับที่เหมาะสมเนื้ อเยื่ อพืชจะเกิดการแบ่ง

เซลล์พัฒนาเป็ นแคลลัสแคลลัสเป็ นเนื้ อเยื่ อพื้ นฐานของระบบ

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชและนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น

การขยายพันธุ์เพื่อชักนำให้เกิดต้นพืชปริมาณมากใช้ใน

กระบวนการผลิตเซลล์ไร้ผนัง (protoplast)

5.การเพาะเลี้ยงแคลลัส (callus culture) แคลลัสเป็นเซลล์พื้น

ฐานที่อยู่รวมกันเป็ นกลุ่มยังไม่กำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง

หรือพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใด เนื้อเยื่อพืชเกือบทุก

ชนิดสามารถนำมาชักนำการสร้าง แคลลัสได้ซึ่งการชักนำการ

สร้างแคลลัสเริ่มต้นจากการคัดเลือกเนื้ อเยื่ อพืชมาทำการเพาะ

เลี้ยงบน อาหารสังเคราะห์ที่มีธาตุอาหารพืชร่วมกับสารควบคุม
การเจริญเติบโตในระดับที่เหมาะสม เนื้อเยื่อพืชจะเกิดการแบ่ง

เซลล์พัฒนาเป็นแคลลัส แคลลัสเป็นเนื้อเยื่อพื้นฐานของระบบ

การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชและนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน

ประเภทของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 15

6. การเพาะเลี้ยงโปรโตพลาสต์ (protoplast culture)
โปรโตพลาสต์เป็นเซลล์ที่ปราศจากผนังเซลล์ (cell wall) เหลือ

แต่เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) ห่อหุ้มองค์ประกอบของ

เซลล์เอาไว้สำหรับวิธีการกำจัดผนังเซลล์ที่ใช้อยู่มีด้วยกัน 2 วิธี

คือ วิธีกล (mechanical method) โดยการสร้างบาดแผลหรือ
ทำให้ผนังเซลล์เกิดการฉีกขาดจากใบมีดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว

ทำให้เซลล์ที่เหลือหลุดออกจากผนังเซลล์และวิธีย่อยด้วย

เอนไซม์ (enzymatic method) ดังภาพที่ 9.5 เนื้อเยื่อที่มีความ

เหมาะสมนำมาสกัดเซลล์ไร้ผนัง ได้แก่ เนื้อเยื่อที่มีอายุน้ อย

เช่น แคลลัส ใบอ่อน รากอ่อน และละอองเกสรตัวผู้

7.การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (cell suspension culture)

เซลล์แขวนลอยเป็ นเซลล์เดี่ยวๆหรือกลุ่มเซลล์ขนาดเล็กที่ได้

จากการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชในอาหารเหลวบนเครื่ องหมุน

เหวี่ยงอาหารเนื้ อเยื่ อที่เหมาะสมต่อการชักนำให้เกิดเซลล์

แขวนลอย ได้แก่ เนื้อเยื่อแคลลัส ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีการเกาะ

ตัวกันหลวมๆง่ายต่อการกระจาย ออกเป็นเซลล์เดี่ยวๆการเพาะ

เลี้ยงเซลล์แขวนลอยถูกนำมาใช้ศึกษาถึงกระบวนการเมแทบอ

ลิซึมภายในเซลล์การศึกษาการทำงานของเอนไซม์และการ

แสดงออกของยีน

ข้อจำกัดของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืช 16

ด้านการลงทุน

1. การสร้างห้องปฏิบัติงานเนื่องจากการปฏิบัติงานต้องมีการ

จัดการพื้นที่ทำงานและการใช้เครื่องมือและสารเคมีที่มีราคา

ค่อนข้างสูง

2. การอบรมและฝึกฝนผู้ปฏิบัติงานเนื่องจากการทำงานการ

เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อมีการทำงานด้วยเทคนิคปลอดเชื้ อและทำงาน

ตามลำดับขั้นตอนตั้งแต่การฟอกฆ่าเชื้อ วิธีการตัดและวาง

เนื้อเยื่อพืชการเพิ่มปริมาณต้น การชักนำรากรวมถึงการฆ่าเชื้อ

เพื่อทำความสะอาดของเครื่องมือที่ใช้

3. การค้นคว้าวิจัยในการค้นหาเทคนิคและสูตรอาหารเพาะเลี้ยง

พืชที่เหมาะสมรวมถึงการเลือกชนิดและปริมาณสารควบคุมการ

เจริญเติบโตที่เหมาะสมเพื่อให้ต้นพืชมีการเจริญเติบโตและ

พัฒนาพร้อมกันและลดการเกิดลักษณะของต้นพืชที่แตกต่างไป

จากเดิม (Somaclonal variation)

ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ 17

ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้

1. การเตรียมเนื้อเยื่อ

เป็ นการนำชิ้นส่วนพืชจากต้นแม่พันธุ์ในส่วนของยอดอ่อนหรือ
ตายอดเพื่ อนำเข้ามาสู่กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อโดยส่วน
ของพืชนั้นสามารถนำมาได้จากหลายวิธีเช่น ยอดจากการปักชำ
ทรายยอดจากการติดตายอด Cutting และยอดจากต้นแม่พันธุ์
โดยตรงทั้งนี้การได้ยอดจากการติดตา เป็นวิธีที่ยังนิยมใช้ในการ
เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อแต่มีข้อเสียคือต้องใช้เวลานานและต้องมี
ความชำนาญอีกทั้งยังต้องมีต้นพันธุ์เพื่อใช้สำหรับการติดตาอีก
ด้วยในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการปักชำทราย ซึ่งเป็นการปฏิบัติ
การ ณ ห้องปฏิบัติการสำหรับเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อ
อ.อ.ป.ราชดำเนินนอก กทม.โดยมีรายละเอียด ดังนี้

โรงเรือนขนาดเล็กโรงเรือนขนาดเล็กสำหรับชำกิ่งด้วยทราย
เพื่อจะทำให้ยอดที่สะสมอาหารนั้นแตกยอดที่มีความสมบูรณ์
พร้อมที่จะนำมาสู่ที่กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สำหรับการ
ปักชำทรายนี้ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งเพื่อจะให้ได้ชิ้นส่วน
ของพืชจากต้นแม่พันธุ์ที่ต้องการขยายพันธุ์หรือปรับปรุงพันธุ์มา
ทำการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อให้ได้จำนวนมากและมีลักษณะเหมือน
ต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ทำให้ได้สายต้นที่มีลักษณะที่ดีตรงตาม
วัตถุประสงค์ที่ต้องการซึ่งสามารถต่อยอดเพื่ อปลูกเป็ นสวนผลิต
เมล็ดพันธุ์ต่อไป

18

อุปกรณ์

1. กิ่งแม่พันธุ์(ตายอด/ตาข้าง)
2. กระถางขนาด 10 นิ้วขึ้นไป
3. ทราย
4. โรงเรือน

4.1 ตาข่ายกันแสง/สแลน 50%-80%
4.2 Timer
4.3 สเปรย์หมอกรดน้ าต้นไม้

ขั้นตอนการนำกิ่งมาชำทราย

1. เตรียมกิ่งแม่พันธุ์ที่ต้องการ (กิ่งแม่พันธุ์ต้องมีตาข้าง/ตายอด
และไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ควรตัดด้วยยาวประมาณ 50-80
เซนติเมตร)

2. ปักกิ่งแม่พันธุ์ที่ต้องการลงกระถางทรายที่เตรียมไว้โดยปัก
ลึกไปประมาณ 20 เซนติเมตร จำนวน 3-5 กิ่งเท่านั้นเพื่อไม่ให้
แน่นกระถางจนเกินไป (ทรายควรเป็นทรายที่สะอาดมีการตาก
แดดเพื่อฆ่า เชื้อในเบื้องต้น)

3. ให้น้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง นาน 1 นาที(โดยใช้ Timer ตั้งเวลาเพื่อ
สเปรย์หมอกรดน้ำ)

19

เทคนิคในขั้นตอนการปั กชำทราย

1. หลังจากปักกิ่งแม่พันธุ์แล้วลงในกระถางแล้วไม่ควรขยับตัว

กิ่งแม่พันธุ์หรือย้ายกระถางเด็ดขาดเนื่ องจากกิ่งแม่พันธุ์มีความ

ไวต่อการติดเชื้อ

2. ควรปักให้ห่างกันประมาณหนึ่งไม่ให้ชิดหรือแน่นมากเกินไป

ทั้งนี้ให้พิจารณาตามความเหมาะสมเพื่อจะตัดยอดที่แตกออกมา

ได้อย่างสะดวก

3. ในฤดูฝนเป็นฤดูที่ควรหลีกเลี่ยงจากชำทรายเนื่องจากเสี่ยง

การติดเชื้อราที่มาจากน้ำฝน

20

2. การเตรียมอาหาร

เป็ นการนำธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต
และธาตุอาหารรองมาผสมกับวุ้น ฮอร์โมนพืช วิตามิน น้ำตาล
และบางกรณีอาจมีการเติมผงถ่านด้วยในอัตราส่วนที่เหมาะสม
แล้วนำไปนึ่ งฆ่าเชื้ อซึ่ งในการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชขึ้ นอยู่กับ
ปั จจัยหลายอย่างสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่ งคือองค์ประกอบของ
อาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้นๆ ซึ่งต้อง
ประกอบด้วยอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสูตรอาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

1. สารอนินทรีย์ ได้แก่ ธาตุอาหารหลักคือ ธาตุอาหารที่พืช
จำเป็นต้องใช้ในปริมาณมาก เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแตส
เซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียมและกำมะถัน และธาตุ
อาหารรองหรือธาตุอาหารที่พืชจำเป็นต้องใช้ในปริมาณน้ อย เช่น
เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โมลิบดีนัม โบรอน ไอโอดีน
โคบอล คลอรีน

2. สารประกอบอินทรีย์ ได้แก่ สารที่มีองค์ประกอบของ
คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และ ออกซิเจน (O) แบ่งออกได้
หลายกลุ่ม คือ
2.1 น้ำตาล
2.2 วิตามิน ชนิดที่มีความสำคัญ ได้แก่ Thiamine Pyridoxine
Nicotinic acid
2.3 กรดอะมิโน ได้แก่ ไกลซีน
2.4 สารควบคุมการเจริญเติบโต ได้แก่ ออกซิน
2.5 สารอินทรีย์พวกอิโนซิทอล อะดีนีน ช่วยส่งเสริมให้เกิดยอด
2.6 วุ้น เป็นเพียงส่วนที่ทำให้อาหารแข็ง
2.7 ผงถ่าน เพื่อดูดสารพิษที่พืชสร้างขึ้นมา ซึ่งส่งผลต่อการ
เจริญเติบโตของพืช (ถ้ามี)

21

อาหารสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ

แบ่งออกเป็น 4 สูตรอาหารหลัก
1. อาหารสำหรับหลังจากการฟองฆ่าเชื้อชิ้นส่วนเนื้อเยื่อ
2. อาหารสำหรับขยายกอชิ้นส่วนเนื้อเยื่อ
3. อาหารสำหรับยืดยอด
4. อาหารสำหรับออกราก

อุปกรณ์ในการทำอาหารเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืช

1. เครื่องแก้วต่างๆ ไดแก่ บีกเกอร์ ปีเปตต์ จานเพาะเชื้อ
กระบอกตวงขวด (Cylinder)
2. สารเคมีตางๆ
2.1 สารเคมีที่ใชเตรียมสูตรอาหารตางๆ
2.2 สารเคมีที่ควบคุมการเจริญเติบโต
2.3 น้ำตาลทรายขาว
2.4 วุ้น (Agar Agar) ตรานางฟ้ า 2.5 ผงถ่าน
3. หม้อนึ่งความดันไอ (Autocrave)
4. เตาไฟฟ้ า
5. หม้อสำหรับต้มอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและกระบวยตัก

22

การเตรียมสารละลายเข้มข้น (Stock)

การเตรียมอาหารเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อพืชจะแตกต่างกันไปตาม
ชนิดของพืชโดยสูตรอาหารสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อมีอยู่ด้วย
กันหลายชนิด เช่น MS (Murashige and Skoog) และ Woody
Plant สำหรับการเลือกสูตรอาหารมาใช้จะต้องคำนึงถึงความ
เหมาะสมกับพืชและวัตถุประสงค์ในการศึกษาปั จจุบันนิยม
เตรียมในรูปแบบสารละลายเข้มข้นซึ่งสะดวกต่อการใช้งานโดย
ทั่วไปการเตรียมสารละลายจะเตรียมในขวดสีชาและนำ
สารละลายดังกล่าวแช่ตู้เย็นเพื่ อเป็ นการยืดอายุการใช้งานของ
สารละลาย

23

ขั้นตอนทำอาหารเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ

1. เตรียมสารละลายเข้มข้น (Stock) ด้วยความเข้มข้นต่างๆ
ตามสูตรของสารละลายเข้มข้น (Stock) ที่ต้องการในขวดแก้วสี
ชาและนำแช่ตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานของสารเคมี

2. ผสมสารละลายเข้มข้น (Stock) ตามสูตรอาหารสำหรับเพาะ
เลี้ยงเนื้อเยื่อที่ต้องการด้วยกระบอกตวง (Cylinder) เพื่อความ
แม่นยำใส่น้ำตาลและปรับปริมาตรให้เป็ นไปตามสูตรอาหารนั้นๆ

3. หลังจากปรับปริมาตรอาหารสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว
ต้องทำการวัดความเป็นกรด-ด่าง ซึ่งควรมีค่าความเป็นกรด-ด่าง
อยู่ระหว่าง 5.7-5.8 เท่านั้น โดยสามารถใช้กรด (1 Normal
HCL) และเบส (1 Normal NaOH) เพื่อปรับให้ได้ความเป็นก
รด-ด่าง ที่ต้องการ

4. หลังจากที่ได้ความเป็นกรด-ด่าง ที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว
ก็ให้ใส่วุ้น และผงถ่าน (ถ้ามี) ลงไปแล้วผสมให้เข้ากัน

5. นำสารละลายดังกล่าวมาต้มให้เดือดโดยต้องคนตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้วุ้นติดก้นหม้อ

6. เมื่อเดือดได้ที่ให้นำสารละลายดังกล่าวมาเทใส่ขวดแก้วเพาะ
เลี้ยงเยื่อทันทีขณะที่ยังร้อน

24

ขั้นตอนทำอาหารเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ

7. ควรเทอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อลงขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ประมาณ 1-2 เซนติเมตรของขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหากเท
อาหารเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อมากเกินไปจะทำให้เป็ นการเพิ่มค่าใช้
จ่ายในทางกลับกันหากเทอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อน้ อยเกินไป ก็
จะทไให้ไม่สามารถปั กชิ้นส่วนพืชลงบนอาหารเพาะเนื้ อเยื่ อได้

8. หลังจากอาหารแข็งตัวให้ทำการปิดฝาและนำไปอบฆ่าเชื้อใน
หม้อนึ่งความดันไอ (Autocrave) โดยทั่วไปจะใช้ที่อุณหภูมิ 121
องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 20
นาที เพื่อฆ่าเชื้ออีกครั้ง (หม้อนึ่งความดันไอ (Autocrave) มี
หลายประเภทแล้วแต่การใช้งาน ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ
ฆ่าเชื้อนั้น คือ 15-20 นาที เท่านั้น)

9. หลังจากครบกำหนดเวลาแล้วให้นำอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อออก
จากหม้อนึ่งความดันไอ (Autocrave) ซึ่งระหว่างการนำขวด
เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อต้องระวังการหกเลอะปากขวดของอาหารเพาะ
เลี้ยง เพื่อป้ องกันการเสี่ยงติดเชื้อหลังจากอาหารเพาะเลี้ยง
เนื้ อเยื่ อแข็งตัวให้นำเข้าห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อต่อไป

25

3. การฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนเนื้อเยื่อ
และการน าเนื้อเยื่อลงขวดเลี้ยง

เป็นวิธีการใช้สารเคมีหรือวิธีการต่างๆ ที่ทำให้ชิ้นส่วนของพืชที่น
นำมาเลี้ยงในอาหารเลี้ยงปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆและการนำ
เอาชิ้นส่วนของพืชที่ฟอกฆ่าเชื้อแล้ววางลงบนอาหารเพาะเลี้ยง
เนื้ อเยื่ อที่ปลอดเชื้ อโดยใช้เครื่ องมือและปฏิบัติการในห้องหรือตู้
ปลอดเชื้อโดยเฉพาะการฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนพืชนิยมใช้ 2 วิธี
ได้แก่

1. การใช้สารเคมี เป็นวิธีที่ใช้ได้อย่างกว้างขวางโดยเลือกใช้
ชนิดและความเข้มข้นตามลักษณะของเนื้ อเยื่ อพืชเหมาะกับ
เนื้อเยื่อที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เช่น ใบ ตายอด หรือตาข้าง สารเคมี
ที่ใช้ในการฟอกฆ่าเชื้อพืชมีหลายชนิดแต่ที่นิยมใช้ ได้แก่
เอทิลแอลกอฮอล์(Ethyl Alcohol) และ โซเดียม ไฮโปคลอ
ไรด์(Sodium Hypochloride) หรือคลอรอกซ์(Clorox)

2. การเผาไฟมีข้อจำกัดในการเลือกใช้เนื่องจากความร้อนจากไฟ
จะทำลายเนื้ อเยื่ อพืชจึงเหมาะกับอวัยวะหรือเนื้ อเยื่ อที่มีส่วนห่อ
หุ้มหนาหรือแข็งแรง เช่น เมล็ด เนื้อเยื่อท่อลำเลียง เป็นต้น

26

วิธีการนำเนื้ อเยื่ อลงขวดเลี้ยง

1. หลังจากทำการตัดแต่งชิ้นส่วนพืชแล้วให้ทำการปักชิ้นส่วน
เนื้ อเยื่ อนั้นๆลงไปในอาหารสำหรับหลังจากการฟอกฆ่าเชื้ อชิ้น
ส่วนเนื้อเยื่อจำนวน 1 ชิ้น ต่อ 1 ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

2. หลังจากเพาะเลี้ยงในอาหารสำหรับฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วน
เนื้อเยื่อเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ให้ทำการย้ายชิ้นส่วนเนื้อเยื่อออก
จากขวดมายังขวดอาหารสำหรับขยายกอต่อไปเป็นเวลา 4-6
สัปดาห์
3. เมื่อสังเกตเห็นว่าภายในขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีการแตกกอ
เป็นจำนวนมาก มีลักษณะสีเขียวสดชื่นให้ทำการย้ายชิ้นส่วน
เนื้ อเยื่ อลงในอาหารสำหรับแตกกอเพื่ อขยายจำนวนเนื้ อเยื่ อและ
บางส่วนลงในอาหารสำหรับยืดยอดเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์(ให้ผู้
ปฏิบัติการพิจาณาตามเหมาะสม)
4. เมื่อเนื้อเยื่อในอาหารสำหรับยืดยอดมีความยาว 5-8
เซนติเมตร ให้ทำการตัดยอดเพื่อนำมาอาหาสำหรับยืดยอดอีก
ครั้ง
5. เมื่อผ่านไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ ให้นำไปเนื้อเยื่อออกจาก
ขวดอาหารสำหรับยืดยอดมาใส่ในอาหารออกรากต่อไป 6. หลัง
จากเนื้ อเยื่ ออยู่ในอาหารสำหรับออกรากแล้วจะสังเกตเห็นราก
แขนงและรากฝอยเมื่อลักษณะที่แข็งแรงพร้อมแล้วให้นำขวด
ออกไปสู่โรงเรือนได้

27

4. การย้ายกล้าเนื้อเยื่อออกจากขวด
เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อไปสู่โรงเรือน

เป็ นขั้นตอนที่สำคัญอย่างหนึ่ งที่จะบ่งบอกถึงความสำเร็จ
ของการเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อซึ่ งคือการนำกล้าเนื้ อเยื่ อที่มีรากและ
ลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรงโดยนำกล้าเนื้ อเยื่ อออกจากขวดเพาะ
เลี้ยงเนื้ อเยื่ อและนำไปอนุบาลในโรงเรือนหลังจากกล้าเนื้ อเยื่ อ
ปรับตัวกับและเข้ากับสภาพแวดล้อมได้แล้วแล้วนำปลูกในพื้นที่
ที่ต้องการเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ต่อไป

อุปกรณ์การย้ายกล้าเนื้ อเยื่ อ
ออกจากขวดเพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อ

1. ฟอเซปสายฟ้ า
2. น้ำยาเร่งราก
3. น้ำกันเชื้อรา (ถ้ามี)
4. ภาชนะในการชำกล้าเนื้อเยื่อ
5. วัสดุสำหรับการชำกล้าเนื้อเยื่อ
6. โรงเรือน

6.1 ตาข่ายกันแสง/สแลน
50%-80%

6.2 Timer
6.3 สเปรย์หมอกรดน้ าต้นไม้

28

4. การย้ายกล้าเนื้อเยื่อออกจากขวด
เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อไปสู่โรงเรือน

วิธีการย้ายกล้าเนื้ อเยื่ อออกจาก
ขวดเพาะเลี้ยง

1. นำขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่มีกล้าเนื้อเยื่อที่มี
รากและลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง (สามารถสังเกตได้
ด้วย ตาเปล่าจากขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ) โดยกล้า
เนื้อเยื่อจะอยู่ในอาหารสูตร R (อาหารสูตรออกราก)
ไปทำการผึ่งขวดในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
โดยเปิดฝาขวดเล็กน้ อยเพื่อให้กล้าเนื้อเยื่อ สามารถ
ปรับตัวให้เข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมเป็ นเวลาประมาณ
1 สัปดาห์

2. หลังผ่านไป 1 สัปดาห์ในนำกล้าเนื้อเยื่อมาล้าง
ทำความสะอาดวุ้นออกด้วยสะอาดอย่างระมัดระวัง
เพื่อป้ องกันไม้กล้าเนื้อเยื่อช้ำและรากหักหรือขาด
ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโต

3. นำกล้าเนื้อเยื่อจุ่มน้ำยาเร่งรากเป็นเวลา 10
วินาทีโดยระวังไม่ให้น้ำยาโดนใบของกล้าเนื้ อเยื่ อ

4. นำกล้าเนื้อเยื่อปลูกในวัสดุปลูกที่จัดเตรียมไว้
ภายในโรงเรือนที่ใช้อนุบาลกล้าโดยใช้ของแหลม
แทง วัสดุปลูกให้เป็นรูขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อให้
ง่ายต่อการเพาะปลูกระวังอย่าให้ต้นกล้าเนื้ อเยื่ อช้า
และรากหักหรือขาดเด็ดขาด

29

4. การย้ายกล้าเนื้อเยื่อออกจากขวด
เพาะเลี้ยงเนื้ อเยื่ อไปสู่โรงเรือน

วิธีการย้ายกล้าเนื้ อเยื่ อออกจาก
ขวดเพาะเลี้ยง

5. ให้น้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง นาน 1 นาที (โดยใช้
Timer ตั้งเวลาเพื่อสเปรย์หมอกรดนำ) จนกว่ากล้า
เนื้ อเยื่ อที่จะแข็งแรงและปรับตัวเข้ากับสภาพ
แวดล้อมได้ดีโดยสามารถปรับเวลาให้น้ำได้ตาม
ความเหมาะสม

6. นำกล้าเนื้อเยื่อที่แข็งแรงออกจากโรงเรือน
อนุบาลไปปลูกในแปลงเพื่อประโยชน์ตาม
วัตถุประสงค์ต่อไป

เทคนิคสำหรับการย้ายกล้าเนื้ อเยื่ อ
ออกจากขวดเพาะเลี้ยง

1. การสัมผัสกล้าเนื้อเยื่อควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
2. โรงเรือนที่ใช้อนุบาลกล้าเนื้อเยื่อจะต้องมีการ
ควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสม
3. โรงเรือนเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะต้องมีการนำสแลน
ออกตามระยะเวลาที่เหมาะสม
4. การให้น้ำกล้าเนื้อเยื่อนั้นต้องให้อย่างเหมาะสมไม่
มากหรือน้ อยจนเกินไปเนื่องจากกล้าเนื้อเยื่อยังที่ออก
มาจากขวดในระยะแรกๆมีความอ่อนแออย่างมาก

30

บรรณานุกรม

ที ม ง า น ท รู ป ลู ก ปั ญ ญ า . “ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ” .
( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/917, 2564.

ที ม ง า น ท รู ป ลู ก ปั ญ ญ า . “ พื ช ที่ นิ ย ม นำ ม า เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ” .
( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/917, 2564.

วิ กิ พี เ ดี ย ส า ร า นุ ก ร ม เ ส รี . “ เ ท ค นิ ค ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช ” .
( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก : h t t p s : / / t h . w i k i p e d i a . o r g / w i k i / ก า ร เ พ า ะ
เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช # เ ท ค นิ ค ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช , 2 5 6 2 .

ณั ฏ ฐ า ก ร เ ส ม สั น ทั ด . “ ห ลั ก ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช ” . ( อ อ น ไ ล น์ ) .
เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
h t t p : / / f o r p r o d . f o r e s t . g o . t h / f o r p r o d / t e c h t r a n s f e r / d o c u m e n t / คู่ มื อ
ฝึ ก อ บ ร ม / ก า ร พั ฒ น า พั น ธุ์ ไ ม้ ป่ า / ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ . p d f , 2 5 6 3 .

ณั ฏ ฐ า ก ร เ ส ม สั น ทั ด . “ ห ลั ก ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช แ ล ะ คำ ศั พ ท์ ต่ า ง ๆ
ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ” . ( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
h t t p : / / f o r p r o d . f o r e s t . g o . t h / f o r p r o d / t e c h t r a n s f e r / d o c u m e n t / คู่ มื อ
ฝึ ก อ บ ร ม / ก า ร พั ฒ น า พั น ธุ์ ไ ม้ ป่ า / ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ . p d f , 2 5 6 3 .

ธั ญ ญ า ท ะ พิ ง ค์ แ ก . “ ข้ อ ดี แ ล ะ ข้ อ เ สี ย ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ” .
( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
http://www.facagri.cmru.ac.th/research/subject_file/2021062
9140015.pdf, 2563.

ธั ญ ญ า ท ะ พิ ง ค์ แ ก . “ ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ” . ( อ อ น ไ ล น์ ) .
เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
http://www.facagri.cmru.ac.th/research/subject_file/2021062
9140015.pdf, 2563.

ณั ฏ ฐ า ก ร เ ส ม สั น ทั ด . “ ข้ อ จำ กั ด ข อ ง ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ พื ช ” .
( อ อ น ไ ล น์ ) . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก :
h t t p : / / f o r p r o d . f o r e s t . g o . t h / f o r p r o d / t e c h t r a n s f e r / d o c u m e n t / คู่ มื อ
ฝึ ก อ บ ร ม / ก า ร พั ฒ น า พั น ธุ์ ไ ม้ ป่ า / ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ . p d f , 2 5 6 3 .

เ ปี่ ย ม พ ร ศ รี ป ร ะ ทั ย . “ ขั้น ต อ น ก า ร เ พ า ะ เ ลี้ ย ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ” . ( อ อ น ไ ล น์ ) .
เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก : h t t p : / / w w w . f i o . c o . t h / f i o / k m / d o c K M 6 3 / t i s s u e . p d f ,
2563.


Click to View FlipBook Version