The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rattanakon Wangweera, 2021-03-15 03:50:26

E-Book ตรีรัตน์

E-Book ตรีรัตน์

การย่อยอาหาร

SALIVARY GLAND
(เซริเวรี แกรน)ต่อนาลาย

ผ ลิ ต นา ย่ อ ย อ ะ ไ ม เ ล ส
(AMYLASE) หรือไทยาลิน
(PTYALIN) ย่อยแปงให้เปน
นา ต า ล ม อ ล โ ท ส

DIGESTION(ไดเกสชัน)
กระเพาะอาหาร

กระบวนการสลายอนุภาค
อาหารให้มีขนาดเล็กสุด จน
ส า ม า ร ถ ดู ด ซึ ม เ ข้ า ไ ป ใ น เ ซ ล ล์
ไ ด้

SMALL INTESTINE
(สมอล อินเทสทิน)ลําไส้ เล็ก

ผลิต นาย่อยมอลเทสย่อยนาตาล
ม อ ล โ ท ส ใ ห้ ก ล า ย เ ป น นา ต า ล
กลูโคส นาย่อยซูเครส ย่อยนาตาล
ซู โ ค ร ส ใ ห้ เ ป น นา ต า ล ก ลู โ ค ส แ ล ะ
นา ต า ล ฟ รั ก โ ท ส

S T O M A C H ( ส ตั ล เ เ ม ค )
กระเพาะอาหาร

ผลิต นาย่อยเพปซิน ย่อยโปรตีน
ให้เปนโปรตีนสายสั น (เพปไทด์) และ
นาย่อยเรนนิ น ย่อยโปรตีนในนมให้
เปนโปรตีนเปนลิม ๆ

P A N C R E A S ( แ พ็ ง เ ค รี ย ด )
ตั บ อ่ อ น

ผลิตนาย่อยลิเพส ย่อยไขมัน
แ ต ก ตั ว ใ ห้ เ ป น ก ร ด ไ ข มั น แ ล ะ
ก ลี เ ซ อ ร อ ล

LIVER (ลิเวอร์)ตับ

ผลิตนาดี ย่อยไขมันให้เปน
ไขมันแตกตัวเปนเม็ดเล็ก ๆ

ESOPHAGUS
( อี โ ส ฟ า กั ส ) ห ล อ ด อ า ห า ร

ห ลั ง จ า ก ที เ ร า ก ลื น อ า ห า ร ผ่ า น
ลําคอลงไป อาหารจะเคลือนผ่าน
ห ล อ ด อ า ห า ร ด้ ว ย วิ ธี ที เ รี ย ก ว่ า
PERITALSIS ซึงเปนการ
เ ค ลื อ น ไ ห ว ข อ ง ห ล อ ด อ า ห า ร ใ ห้
ก้ อ น อ า ห า ร ที ก ลื น ล ง ไ ป ต ก ล ง ส่ ู
กระเพาะอาหาหาร

MOUTH CARVITY
( เ ม้ า ค า วิ ตี ) ช ่อ ง ป า ก

ก ร ะ บ ว น ก า ร ย่ อ ย เ ริ ม ต้ น ที ช ่อ ง ป า ก
เมือคุณเริมเคียวอาหาร ฟนทาํ หน้ าที
บดอาหารให้เปนชินเล็ก ต่อมนาลาย
จ ะ ผ ลิ ต นา ล า ย อ อ ก ม า ค ลุ ก เ ค ล้ า กั บ
อาหาร เพือให้ง่ายต่อการกลืนและ
เคลือนผ่านไปยังส่ วนต่อไปนอกจากนี
ในนาลายยังมีเอนไซม์อะไมเลส ทาํ
หน้ าทีย่อยอาหารจําพวกแปงด้วย

JEJUNUM(เจจูนั ม)
เจจูนั ม

ยาวประมาณ 2ใน 6 ของ
ลําไส้ เล็กหรือประมาณ 3-4
เมตร

DUODENUM
(ดูโอดีนั ม)ดูโอดีนั ม

มีรู ปร่างเหมือนตัวยูคลุมอยู่รอบๆบริเวณ
ส่ วนหัวของตับอ่อน (PANCREAS)ภายใน
ดูโอดีนั มมีต่อมสร้างนาย่อยและเปน
ตําแหน่ งทีของเหลวจากตับอ่อนและนาดี
จากตับมาเปดเข้า จึงเปนตําแหน่ งทีมีการ
ย่ อ ย เ กิ ด ขึ น ม า ก ที สุ ด

WHAT DO YOU SAY
TO A LONG VACATION?

ระบบการหายใจ

---RESPIRATORY SYSTEM---

(อินสไปเรชัน) การหายใจเข้า

EXPIRATION

กะบังลมจะเลือนตําลง กระดูกซีโครงจะ
เลือนสูงขึน ทําให้ปริมาตรของช่องอกเพิม
ขึน ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอด
ลดตําลงกว่าอากาศภายนอก อากาศ
ภายนอกจึงเคลือนเข้าสู่จมูก หลอดลมและ
ไ ป ยั ง ป อ ด

(เอ็กซ์ไพเรชัน) การหายใจออก

EXPIRATION

กะบังลมจะเลือนสูง กระดูกซีโครงจะเลือนตําลง
ทําให้ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง ความดัน
อากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก
อ า ก า ศ ภ า ย ใ น ถุ ง ล ม ป อ ด จึ ง เ ค ลื อ น ที จ า ก ถุ ง ล ม ป อ ด
ไ ป สู่ ห ล อ ด ล ม แ ล ะ อ อ ก ท า ง จ มู ก

(โน้ศ) จมูก

NOSE

รู จ มู ก ทํา ห น้ า ที เ ป น ท า ง ผ่ า น ข อ ง อ า ก า ศ
ที ห า ย ใ จ เ ข้ า ไ ป ยั ง ช่ อ ง จ มู ก แ ล ะ ก ร อ ง ฝุ น
ละออง

(แฟริงคซ) หลอดคอ

PHARYNX

อ า ก า ศ ผ่ า น รู จ มู ก แ ล้ ว ก็ ผ่ า น เ ข้ า สู่
หลอดคอ

(แทร็งเคีย) หลอดลม

TRACHEA

ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ห ล อ ด ล ม เ ท ร เ คี ย เ ป น ท่ อ
ต่ อ จ า ก ล า ร ิง ซ์ สิ น สุ ด ที ห ล อ ด ล ม บ ร อ ง ไ ค
ซึงแยกไปยังปอด 2 ด้าน ซ้ายและขวา

(ริบซ์) กระดูกซีโครง

RIBS

ก ร ะ ดู ก ซี โ ค ร ง ทํา ห น้ า ที ป อ ง กั น
อั น ต ร า ย ใ ห้ กั บ อ วั ย ว ะ ภ า ย ใ น

(ราริงคซ) กล่องเสียง

LARYNX

เมืออากาศเคลือนผ่าน สายเสียง
จ ะ สั น ส ะ เ ทื อ น ทํา ใ ห้ เ กิ ด เ สี ย ง ไ ด้

(นาเซล คาวิตี) โพรงจมูก

NASAL CARV

เ ยื อ บุ ผิ ว ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ย ซี เ ลี ย แ ล ะ
เ มื อ ก ช่ ว ย จั บ สิ ง แ ป ล ก ป ล อ ม ก่ อ น ผ่ า น
ไ ป ยั ง ค อ ห อ ย

(เเอลวี’โอเลิส) ถุงลม

ALVEOLUS

เ ป น แ ห ล่ ง ใ น ก า ร แ ล ก เ ป ลี ย น
แ ก๊ ส เ นื อ ง จ า ก มี เ ส้ น เ ลื อ ด ฝ อ ย
ล้อมรอบอยู่จาํ นวนมาก

(ลัง) ปอด

LUNG

อ วั ย ว ะ ที ใ ช้ แ ล ก เ ป ลี ย น แ ก๊ ส

ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น

IMMUNE
SYSTEM

ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น

IMMUNITY

ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น คื อ ร ะ บ บ ที ป ร ะ ก อ บ ขึ น จ า ก โ ค ร ง ส ร ้า ง
แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง ชี ว ภ า พ ห ล า ย อ ย่ า ง ป ร ะ ก อ บ กั น
มี ห น้ า ที ค อ ย ป ก ป อ ง ร ่า ง ก า ย ข อ ง สิ ง มี ชี วิ ต จ า ก สิ ง แ ป ล ก
ปลอม โดยเฉพาะจุลชีพก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส
ปรสิต รา พยาธิ รวมถึงสิงแปลกปลอมอืน ๆ

ภู มิ คุ้ ม กั น ที มี ม า แ ต่ กํ า เ นิ ด

INNATE IMMUNITY

ภูมิคุ้มกันทีมีมาแต่กําเนิด ซึงประกอบด้วยกลไก
ภูมิคุ้มกันร่างกาย 2 ด่านตามลําดับ ดังนี

1.1 ระบบปกคลุมร่างกาย (ผิวหนัง) จัดเปนภูมิคุ้มกัน
ด่ า น แ ร ก สุ ด ข อ ง ร ่า ง ก า ย

1.2 ภูมิคุ้มกันแบบไม่จําเพาะ (NONSPECIFIC
IMMUNITY) เปนภูมิคุ้มกันด่านทีสองของร่างกาย

ภู มิ คุ้ ม กั น ที เ กิ ด ขึ น ห ลั ง กํ า เ นิ ด

ACQUIRED IMMUNITY

ภูมิคุ้มกันทีเกิดขึนหลังกําเนิด คือภูมิคุ้มกันทีเกิดขึนภายหลัง หาก
เ ชื อ โ ร ค ส า ม า ร ถ ฝ า ด่ า น แ ร ก เ ข้ า สู่ ใ ต้ เ ยื อ บุ ห ร ือ ผิ ว ห นั ง ที มี บ า ด แ ผ ล ไ ด้
แล้ว เซลล์ต่าง ๆ ของระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามกําจัดเชือโรคเหล่านี
ให้ออกไปพ้นจากร่างกาย เซลล์เหล่านีเจริญเติบโตมาจาก STEM
CELL อันเปนเซลล์ต้นตอในไขกระดูก (พบทีรกด้วย) ซึงเติบโตแปร
สภาพ (DIFFERENTIATE) ไปเปนเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ

แ ก ร นู ล โ ล ไ ซ ต์

GRANULOCYTE

เปนเม็ดเลือดขาวชนิดทีมี GRANULE มากมายในเซลล์
ส่วนใหญ่อยู่ในกระแสเลือด มีหน้าทีกรูกันมาจัดการกับ
ANTIGEN โดยกิน (ENGULF) เชือแบคทีเรีย ฆ่าปรสิต
เมือเซลล์เหล่านีกิน ANTIGEN เข้าไปแล้ว ได้ใช้ ENZYME
ทีอยู่ใน GRANULE ย่อยสลายเชือโรคและแปรสภาพเปน
หนอง หากอยู่ในกระแสเลือดก็กลายเปนซากแล้วถูกกําจัดไป

โ ม โ น ไ ซ ต์

MONOCYTE

เปนเม็ดเลือดขาวทีมีจาํ นวนน้อยในกระแส
เลือด มีหน้าทีกินเชือโรคในกระแสเลือดและ
เ ก็ บ กิ น ซ า ก ที เ กิ ด จ า ก ก า ร ทํา ล า ย เ ชื อ โ ร ค

มาโครเฟจ

MACROPHAGE

เปน MONOCYTE ทีอยู่ในเนือเยือ กระจายอยู่ในอวัยวะ
ต่าง ๆ เมือกิน ANTIGEN เข้าไปแล้ว จะทําหน้าทีเปน
ANTIGEN PRESENTING CELL (APC) คือส่งสัญญาณ
จาก ANTIGEN ต่อมาให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T
LYMPHOCYTE เพือรับหน้าทีต่อไป

ลิ ม โ ฟ ไ ซ ต์

LYMPHOCYTE

เ ป น เ ซ ล ล์ ใ น ร ะ บ บ ภู มิ คุ้ ม กั น ที ทํา ห น้ า ที แ ข็ ง ขั น
ทีสุด แบ่งตามหน้าทีเปน 2 ชนิด คือ
1. B LYMPHOCYTE
2.T LYMPHOCYTE

โ พ ลี ม อ ร ์โ ฟ นิ ว เ ค ลี ย ร ์

POLYMORPHONUCLEAR

หมายถึงเม็ดเลือดขาวทีมี NUCLEUS หลายรูปแบบ
เปนเม็ดเลือดขาวทีมี GRANULE อยู่ใน CYTOPLASM
ของเซลล์ จึงเรียกเม็ดเลือดขาวเหล่านีว่า
GRANULOCYTE ภายใน GRANULE เหล่านีบรรจุ
ENZYME และสารหลายชนิด แบ่งเปน 3 กลุ่ม

โมโนนิวเคลียร์ เซลล์

MONONUCLEAR CELL

คือเซลล์ทีมี NUCLEUS กลม แบ่งเปน 2 ชนิด
1.MONOCYTE
2.LYMPHOCYTE

แ ก ร นู โ ล ไ ซ โ ท พี เ นี ย

GRANULOCYTOPENIA

คือจาํ นวนเม็ดเลือดขาวชนิด GRANULOCYTE ลดน้อยลง
ส่ ว น ใ ห ญ่ เ กิ ด ขึ น ใ น ผู้ ป ว ย ที ไ ด้ ร ับ ย า ที ก ด ก า ร ส ร ้า ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว
เช่น ยาต้านมะเร็ง หรือผู้ปวยทีได้รับการฉายรังสีซึงกดการ
ทํางานของไขกระดูก เปนเหตุให้ขาดเซลล์ทีทําหน้าทีทําลายเชือ
โรค จึงติดเชือแบคทีเรียได้โดยง่าย

ร ะ บ บ ขั บ ถ่ า ย

EXCRETION
SYSTEM

WASTE PRODUCT

ขับถ่ายของเสีย เปนผลสืบเนืองจากกระบวนการเผาผลาญสาร
อาหาร (METABOLISM) ภายในร่างกาย โดยร่างกายจะกําจัด
ของเสียออกมาทางผิวหนัง ปอด ไต และลําไส้ใหญ่

METABOLISM

เผาผลาญสารอาหาร การเปลียนอาหารและเชือเพลิงเปน
หน่วยย่อยของโปรตีน ลิพิด กรดนิวคลิอิกและคาร์โบไฮเดรต
บ า ง ช นิ ด

ไต

KIDNEYS

ไต มี 1 คู่ คล้ายเม็ดถัว จะอยู่ 2 ข้างของกระดูกสัน
หลังตรงบริเวณเหนือเอว มีหน้าทีกําจัดของเสียออก
จากเลือด ควบคุมสมดุลนาํ รักษาความเปนกรด-ด่าง
ผลิตฮอร์โมนและสารบางชนิด และกักเก็บสารทีมี
ป ร ะ โ ย ช น์

ท่ อ ไ ต
URETERS

ท่อไต มี 2 ท่อ ต่อจากไตข้างละท่อ จะนาํ
ป ส ส า ว ะ ที ไ ห ล จ า ก ไ ต ไ ป ยั ง ก ร ะ เ พ า ะ ป ส ส า ว ะ

กระเพาะปสสาวะ

URINARY BLADDER

กระเพาะปสสาวะ มีหน้าทีรับนาํ ปสสาวะทีกรอง
จากไตและเปนทีพักชัวคราว กลไกการขับถ่ายจะ
ขึ น อ ยู่ กั บ ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท อั ต โ น มั ติ

ท่ อ ป ส ส า ว ะ

URETHRA

เ ป น ส่ ว น ที ต่ อ จ า ก ก ร ะ เ พ า ะ ป ส ส า ว ะ
เพือนาํ นาํ ปสสาวะออกสู่ภายนอก

ยู เ ร ีย

UREA

เปนสารประกอบอินทรีย์ทีมีสูตรเคมีคือ CO(NH2)2
ลักษณะเปนของแข็งไม่มีสีถึงสีขาว ไม่มีกลิน ละลายนาํ ได้ดี
มีความเปนกลางเมือละลายนาํ ยูเรียเปนสารทีมีโครงสร้าง
เปนอนุมูลอิสระอะมิโน 2 หมู่ ร่วมกับหมู่ฟงก์ชันคาร์บอนิล

ก า ร ขั บ ถ่ า ย

EXCRETION

การขับถ่าย การกําจัดของเสียทีเกิดจากเมแทบอลิ
ซึม (METABOLIC WASTE) โดยการกําจัดออก
จ า ก ร ่า ง ก า ย ห ร ือ เ ป ลี ย น เ ป น ส า ร ที มี อั น ต ร า ย น้ อ ย ก ว่ า
แ ล้ ว กํา จั ด อ อ ก น อ ก ร ่า ง ก า ย ภ า ย ห ลั ง

แ อ ม โ ม เ นี ย

AMMONIA

แอมโมเนีย ซึงมีความเปนพิษสูง มีคุณสมบัติละลายนาํ
ได้ดี จะกําจัดออกในรูปของแอมโมเนียมไอออน (NH+4)
การกําจัดต้องใช้นาํ ปริมาณมาก พบในสัตว์นาํ ทังหมดและ
ปลาส่วนใหญ่ สิงมีชีวิตบางชนิดสามารถเปลียนแอมโมเนีย
ให้อยู่ในสภาพทีเปนพิษน้อยลง เช่น ยูเรีย (UREA) หรือ
กรดยูริก (URIC ACID)

แ ก๊ ส ค า ร ์บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์

CO2

แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เปนก๊าซไม่มีสี ซึงหากหายใจเอาก๊าซนี
เข้าไปในปริมาณมาก ๆ จะรู้สึกเปรียวทีปาก เกิดการระคายเคืองที
จมูกและคอ เนืองจากอาจเกิดการละลายของแก๊สนีในเมือกใน
อวัยวะ ก่อให้เกิดกรดคาร์บอนิกอย่างอ่อนคาร์บอนไดออกไซด์มี
ความหนาแน่น 1.98 KG/M3 ซึงเปนประมาณ 1.5 เท่าของ
อากาศ โมเลกุลประกอบด้วยพันธะคู่ 2 พันธะ

CIRCULATORY
SYSTEM

ร ะ บ บ ห มุ น เ วี ย น เ ลื อ ด

เ ลื อ ด

BLOOD

เลือด เปนของเหลวชนิดหนึงในร่างกาย ประกอบด้วย
นาํ เลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือด
ขาว ร่างกายเรามีเลือดอยู่ประมาณ 5 ลิตรหรือคิดเทียบ
กับนาํ หนักตัวเท่ากับร้อยละ 7-8 ของนาํ หนักตัว

หัวใจ

HEART

หัวใจ เปนอวัยวะกล้ามเนือซึงสูบเลือดทัวหลอด
เลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยการหด
ตัวเปนจังหวะซาํ ๆ พบในสัตว์ทุกชนิดทีมีระบบ
ไหลเวียน

ห ล อ ด เ ลื อ ด แ ด ง

ARTERY

หลอดเลือดแดง เปนหลอดเลือดทีนาํ เลือดออกจากหัวใจไป
ยังทุกส่วนของร่างกาย หลอดเลือดแดงส่วนใหญ่ขนส่งเลือดที
มีออกซิเจน ยกเว้นหลอดเลือดแดงสู่ปอด (PULMONARY
ARTERY) และหลอดเลือดแดงอัมบิลิคัล (UMBILICAL
ARTERY) ทีแม้จะชือหลอดเลือดแดง แต่ขนส่งเลือดทีมี
อ อ ก ซิ เ จ น ตํา ไ ป ยั ง อ วั ย ว ะ ที เ ติ ม อ อ ก ซิ เ จ น

ห ล อ ด เ ลื อ ด ดาํ

VEIN

หลอดเลือดดาํ เปน
หลอดเลือดทีนาํ พา
เ ลื อ ด ก ลั บ เ ข้ า สู่ หั ว ใ จ
ห น้ า ที ห ลั ก ข อ ง
หลอดเลือดดาํ คือ
ก า ร ข น ส่ ง เ ลื อ ด ที มี
อ อ ก ซิ เ จ น ตํา จ า ก
เ นื อ เ ยื อ ก ลั บ เ ข้ า สู่
หัวใจ ยกเว้นหลอด
เลือดดาํ จากปอด
(PULMONARY

VEIN) และหลอด
เลือดดาํ อัมบิลิคัล
(UMBILICAL

VEIN) ทีขนส่งเลือด
ที มี อ อ ก ซิ เ จ น สู ง

เ ส้ น เ ลื อ ด ฝ อ ย

BLOOD CAPILLARY

ห ล อ ด เ ลื อ ด ที ข น า ด เ ล็ ก ม า ก แ ต ก แ ข น ง จ า ก ห ล อ ด
เลือดใหญ่ไปตามเนือเยือต่าง ๆ ทัวร่างกาย มีผนังบาง
ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ซ ล ล์ เ พี ย ง ชั น เ ดี ย ว เ ป น ที แ ล ก เ ป ลี ย น แ ก๊ ส
และสารต่าง ๆ ระหว่างเซลล์กับเลือด


Click to View FlipBook Version