1 รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดย นางสาวกาตีนี สุหลง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัย นางสาวกาตีนี สุหลง สาขาวิชา ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะกรรมการที่ปรึกษา ……………………………………………………………...กรรมการ (อาจารย์ ดร.พิชญ์สินี ไสยสิทธิ์) (อาจารย์นิเทศประจำหลักสูตร) …………………………………………………………….กรรมการ (นางฟิรเดาส์ นาเงิน) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ข ชื่อวิจัย การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัย นางสาวกาตีนี สุหลง สาขาวิชา ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อมัลติมีเดียที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการ อ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนและหลังใช้สื่อมัลติมีเดีย 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ มัลติมีเดียในการส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) จำนวน 1 ห้อง จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1. แบบทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ 2. แบบประเมินความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ 3. แบบ ประเมินคุณภาพสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษสำหรับผู้เชี่ยวชาญ 4. สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1. ประสิทธิภาพสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ จากสูตร E1 /E2 2. เปรียบเทียบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 77.6/84.5 แสดงว่าประสิทธิภาพของนวัตกรรมเป็นไปตามเกณฑ์ ที่กำหนด ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและ ภายหลังการใช้สื่อมัลติมีเดีย แสดงให้เห็นว่าคะแนนการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนเรียนของ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 6 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.5 พบว่าผลการวิเคราะห์หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 และผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการ ใช้สื่อมัลติมีเดียนักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน พยัญชนะ ภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
ค Title Multimedia media to develop English alphabet reading skills for Prathomsuksa 2 students at Tessaban 5 School (Ban Talat Kao), semester 1, academic year 2022 Author Katini Sulong Degree English and Educational Technology Academic Year 2022 Abstract The objectives of this research 1. To develop English consonant reading skills by using effective multimedia media according to 70/70 criteria. 2. To compare the skills of reading English consonants before and after using multimedia. 3. To study the satisfaction of using multimedia media in promoting English consonant reading skills. The population used in this research was Grade 2 students, Tessaban 5 school (Ban Talatkao), 1 room, 17 people. Research tools are: 1. English consonant reading test 2. Multimedia satisfaction assessment form for students to improve their English consonant reading skills 3. Multimedia quality assessment form to improve English consonant reading skills for professionals 4. Multimedia media to develop English consonant reading skills. Statistics used in data analysis are: 1. Multimedia efficiency to develop English consonant reading skills from formula E1 /E2 2. Compare the reading of English consonants of students studying with multimedia media before and after studying by using t-test for dependent samples, mean (̅) and standard deviation (S.D.). Multimedia learning using mean (̅) and standard deviation (S.D.) The research finding, was as follows the results showed that the effectiveness of multimedia to improve the reading skills of the generated English consonants was 77.6/84.7 indicates that the efficiency of the innovation does not meet the specified criteria. The results of the comparative analysis of English consonant reading skills before and after using multimedia media it showed that the student's English consonant reading scores before the school had an average score of 6, while after school they had an average score of 8.5 it was found that the results of the analysis
ง after school were higher than before at the statistical significance level of .05 and the results of the analysis of the level of satisfaction with using multimedia. The students had satisfaction with multimedia media to improve their skills in reading English consonants in pictures. Included in the high level.
จ กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลืออย่างดีจาก อาจารย์ดร.พิชญ์สินี ไสย สิทธิ์อาจารย์นิเทศประจำหลักสูตรภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ มาโดยตลอดจนวิจัยเสร็จสบูรณ์ผู้จัดทำวิจัยจึงขอกราบพระคุณเป็น อย่างสูง ขอขอบคุณ ครูฟิรเดาส์ นาเงิน ครูพี่เลี้ยงในการฝึกประสบการณ์ชาชีพครูในครั้งนี้ที่คอย ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกในการจัดทำวิจัย คอยชี้แนะนำวิถีการดำเนินงานต่าง ๆ จวบจนวิจัย สำเร็จ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยเป็นที่ปรึกษา แนะนำ และร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่พอ ช่วยเหลือได้ในทุก ๆ อย่าง และขอขอบคุณพ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจตลอดจนให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการต่าง ๆ จน สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตลอดการทำวิจัยในครั้งนี้ นางสาวกาตีนี สุหลง ผู้วิจัย
1 สารบัญ หน้า แบบอนุมัติการใช้วิจัย ก บทคัดย่อภาษาไทย ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค-ง กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ 1-2 สารบัญตาราง 3 สารบัญภาพ 4 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 5 วัตถุประสงค์วิจัย 5 ประโยชน์ของการวิจัย 6 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6-14 1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 6-7 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6-14 วิธีดำเนินการวิจัย 14-19 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง. 14 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 14-15 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 14-15 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 16-19 ผลการวิจัย 19-23 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 20-22 1. สรุปผลการวิจัย 23-24 2. อภิปรายผลการวิจัย 24-26 3. ข้อเสนอแนะ 27-28 บรรณานุกรม 23-24 ภาคผนวก 29-36 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 30-33
2 สารบัญ (ต่อ) หน้า ภาคผนวก ข รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวัด 34 ภาคผนวก ค นวัตกรรมที่นำมาใช้ 35-36 ภาคผนวก ง ประวัติผู้วิจัย 37
3 สารบัญตาราง ตางรางที่ หน้า 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อ มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษ ตามเกณฑ์ มาตรฐาน 19-20 2 การวิเคราะห์หาค่าร้อยละของคะแนน ความก้าวหน้า 21 3 การวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการ อ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษระหว่างก่อน และภายหลังการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ 22 4 การวิเคราะห์หาค่าระดับความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ 22-23
4 สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 แบบผู้เชี่ยวชาญ 30 2 แบบผู้เชี่ยวชาญ 31 3 แบบประเมินการอ่าน 32 4 แบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อของ นักเรียน 33 5 ใช้สื่อในการวิจัย 35 6 ใช้สื่อในการวิจัย 36 7 ใช้สื่อในการวิจัย 36
5 1. ที่มาและความสำคัญของปัญหา การอ่านเป็นกระบวนการรู้การถอดรหัสสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนเพื่อสร้างหรือเอาความหมาย (ความเข้าใจซึ่งการอ่าน) การอ่านเป็นวิธีการได้มาซึ่งภาษา การสื่อสารและแบ่งปันสารสนเทศและ ความคิด เช่นเดียวกับทุกภาษา การอ่านเป็นอันตรกิริยาซับซ้อนระหว่างข้อความและผู้อ่านซึ่งเกิดขึ้น โดยความรู้ ประสบการณ์ เจตคติและชุมชนภาษาเดิมของผู้อ่านซึ่งวัฒนธรรมและสังคมกำหนด กระบวนการการอ่านต้องอาศัยการฝึกฝน การพัฒนาและการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนี้ การอ่านยังต้องการความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์วิจารณ์ (critical analysis) โดยในปัจจุบัน นักเรียนขาดทักษะการอ่านเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาไม่ใช่ภาษาหลัก ของนักเรียนจึงทำให้นักเรียนหลาย ๆ คนไม่ชอบภาษาอังกฤษและไม่สนใจที่จะเรียนประจบเหมาะกับ สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาทำให้หลาย ๆ โรงเรียนจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ online ทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่ราบรื่นเท่าที่ควรมีปัญหาหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้น เช่น นักเรียน ขาดอุปกรณ์ในการเรียน online, นักเรียนไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต, นักเรียนไม่จดจ่อกับบทเรีย ตลอดทั้งคาบ ปัญหาเหล่านี้นำมาซึ่งปัญหาการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษไม่ได้ เนื่องนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ในปัจจุบันเรียน online 1 ปีการศึกษาก่อนขึ้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำให้การ จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนในเทอมที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีปัญหาด้านอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษของนักเรียน นักเรียนไม่สามารถอ่านได้หรือจำพยัญชนะแต่ละตัวไม่ได้ จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยสนใจศึกษา ค้นคว้า แนวทางการแก้ปัญหาโดยจะใช้สื่อมัลติมีเดีย เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นสื่อที่จะสามารถดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจและ ศึกษาการอ่านได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ โดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อมัลติมีเดียที่มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 70/70 2.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนและหลังใช้สื่อมัลติมีเดีย 2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้สื่อมัลติมีเดียในการส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ
6 3. ประโยชน์ของการวิจัย 3.1 ได้รับสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนที่มี ประสิทธิภาพ 3.2 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษสูงขึ้นและผ่าน เกณฑ์มาตรฐาน 3.3 เป็นแนวทางเพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนเกี่ยวกับพัฒนาทักษะการอ่านรายวิชา ภาษาอังกฤษ 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีการสอนของบรูเนอร์ บรูนเนอร์ ได้ให้ชื่อการเรียนรู้ของท่านว่า “Discovery Approach” หรือการเรียนรู้โดยการ ค้นพบ บรูนเนอร์เชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่ การค้นพบการแก้ปัญหาผู้เรียนจะประมวลข้อมูลข่าวสาร จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและจะ รับรู้สิ่งที่ตนเองเลือก หรือสิ่งที่ใส่ใจการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้เกิดการค้นพบเนื่องจากผู้เรียนมีความ อยากรู้อยากเห็น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สำรวจสิ่งแวดล้อมและทำให้เกิดการเรียนรู้โดยการ ค้นพบโดยมีแนวคิดที่เป็นพื้นฐาน ดังนี้ 1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง 2. ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน การเรียนรู้จะเกิดจาก การที่ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบใหม่กับความรู้เดิมแล้วนำมาสร้างเป็นความหมายใหม่ 3. พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาจะเห็นได้ชัดโดยที่ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้าที่ให้เลือกได้หลาย อย่างพร้อมๆกันทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้น ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ สามารถสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2548) ได้ดังนี้ 1.กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความ พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ กฎแห่งความพร้อม กฎข้อนี้มีใจความสรุปว่า - เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วได้ทำ เขาย่อมเกิดความพอใจ - เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วไม่ได้ทำ เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ - เมื่อบุคคลไม่พร้อมที่จะทำแต่เขาต้องทำ เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ
7 2.กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อย ๆ ด้วยความเข้าใจจะ ทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อย ๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงทนถาวร และในที่สุด อาจลืมได้ กฎแห่งการฝึกหัด แบ่งเป็น 2 กฎย่อย คือ - กฎแห่งการได้ใช้ (Law of Use) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้าและการ ตอบสนองจะเข้มแข็งขึ้นเมื่อได้ทำบ่อย ๆ - กฎแห่งการไม่ได้ใช้ (Law of Disuse) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนองจะอ่อนกำลังลง เมื่อไม่ได้กระทำอย่างต่อเนื่องมีการขาดตอนหรือ ไม่ได้ทำบ่อย ๆ ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไข ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory) ของ อีวาน พาฟลอฟ พาฟลอฟได้สรุปทฤษฎีการเรียนรู้และกฎการเรียนรู้ดังนี้ - พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ตอบสนองต่อความต้องการ ทางธรรมชาติ - พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตาม ธรรมชาติ - พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่เกิดจากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะ ลดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงในที่สุดหากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ - พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะลดลงและ หยุดไปเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ และจะกลับปรากฏขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องใช้สิ่งเร้าตาม ธรรมชาติ - มนุษย์มีแนวโน้มที่จะจำแนกลักษณะของสิ่งเร้าให้แตกต่างกันและเลือกตอบสนองได้ถูกต้อง 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการ อ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีนักวิชาการและผู้วิจัยจำนวน มากที่ศึกษาเกี่ยวกับทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษรวมไปถึงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อ มัลติมีเดียควบคู่ไปด้วย เช่น การสอนมัลติมีเดียเสริมการอ่าน หรือการใช้เกมเพื่อการฝึกทักษะการ อ่าน เป็นต้น ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางการศึกษา ดังนี้ อัจจิมา ไชยชิต (2563, น. 20) หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะในแต่ละ บทเรียนแล้ว นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น พบว่าผลสัมฤทธิ์ทาง
8 การเรียนด้านการอ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยคะแนนการ ทดสอบการอ่านออกเสียงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน จุฑามาศ กันติ๊บ (2554, น. 60) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการ เขียนสะกดคำโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ 2 ร่วมกับเกมการศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จาก การศึกษาแนวคิด หลักการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือกัน และการใช้เกมการศึกษา ในการจัดการเรียนรู้ พบว่า ทำให้ความสามารถทางการเรียนสูงขึ้นและผู้เรียน สามารถแสดงศักยภาพ ของตนเองในการประกอบกิจกรรมเพื่อความสำเร็งของกลุ่มโดยการเรียน แบบร่วมมือกันเป็นวิธีสอนที่ ช่วยพัฒนาทั้งด้านวิชาการและทักษะทางสังคมของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังเป็นวิธีสอนที่มี ความหมาะสมในหลาย ๆ วิชาเช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ส่วนเกมการศึกษา เป็นการทำกิจกรรม ที่หมาะสมกับวัยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี มีความคงทนในการจดจำความรู้นั้น และยังเพิ่มความสนุกสนาน เพลิดพลิน ในการเรียนรู้อีกด้วย จึง ส่งผลให้ความสามารถทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น ฐาปนี เครืออนันต์ (2559, น. 20) ได้ศึกษาชุดการสอนมัลติมีเดียส่งเสริมการอ่าน จากผล วิจัยพบว่า มัลติมีเดีย คือ การส่งต่อข้อมูลเพื่อให้ได้ความรู้จากเรื่องที่เราสนใจผ่านทางคอมพิวเตอร์ เช่น ข้อความ ภาพ เสียง ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหวถ้าผู้ใช้สามารถเรียนรู้จากกลไกการทำงานของ สื่อต่าง ๆ ของมัลติมีเดียก็จะได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสนใจของผู้เรียน ปัจจุบันสื่อ มัลติมีเดียถูกนำมาปรับใช้กับการเรียนการสอนมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนนั้นเกิดการเรียนรู้ต่อวิชา นั้น ๆ เรามักจะเรียกว่าสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาอีกทั้งยังผสมผสานกับเนื้อหาวิชาที่ครูผู้สอนได้ จัดทำเป็นสื่อการเรียนรู้แบบพกพา กล่าวคือ พาสื่อการสอนหรือชุดการสอนมัลติมีเดียไปด้วยทุกที่ทุก เวลาทำให้เกิดความสะดวกสบายและเห็นภาพมากขึ้น กฤษฎา โพธิ์ชัยรัตน์ (2561, น. 19) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถการเขียนสะกด คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การใช้เกมช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าการสอนปกติ นอกจากนี้ การใช้เกมยังให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และทำให้นักเรียนจดจำคำศัพท์ได้ดี สายใจ ฉิมมณี (2555, น. 63) ได้ศึกษา การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่าน ภาษาอังกฤษ จากผลวิจัยภายในประเทศสรุปได้ว่า การเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการ อ่านวิชาภาษาอังกฤษช่วยทำให้ความสามรถในด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนดีขึ้นอีกทั้ง นักเรียนมีความคิดเห็นและความพึงพอใจที่ดีต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย และ จากผลวิจัยในต่างประเทศ สรุปได้ว่า การเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นสื่อเสริมและ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียวิชาภาษาอังกฤษช่วยทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและ ความสามารถในด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนดีขึ้น
9 วีณา พ่วงเพ็ง (2560, น. 2) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปี ที่ 3 ห้อง 10 วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์ พณิชยการ ในการคํานวณผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงของนักเรียนหลังการ ใช้แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพอย่างดีขึ้น ส่งผลการอ่านออกเสียงเสียงมีผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นเป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ซึ่งสามารถสรุปผลวิจัยได้ คือ กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถทางการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสูงขึ้นทั้ง 5 ชุด หลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ รัตน์ภัคษร วรภัทร์ธนวัชร (2560, น. 10) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการสะกดคํา ภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปี ที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์ พณิชยการ ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพและทักษะการสะกดคําภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปี ที่ 1/5 มีประสิทธิภาพดีขึ้น นักศึกษาสามารถสะกดคําที่ยากขึ้นได้ นักศึกษาสามารถออกเสียงการสะกดคําได้ และมีความมั่นใจในการสะกดมากขึ้นกว่าเดิม สายใจ ฉิมมณี(2556, น. 2) ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชา ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนวัดบางช้างใต้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนา และหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านภาษาอังกฤษ 2. เปรียบเทียบ ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียการอ่านวิชาภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชา ภาษาอังกฤษที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 77.78/75.69 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 75/75 2. ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. นักเรียนมีความพึง พอใจต่อการ เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชาภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับมาก (X=4.38, S.D. = 0.80 ) ณิชวรรณ จันอ้น (2551, น. 4) ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริม ทักษะด้านการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้าน จอมบึง (วาปีพร้อมประชาศึกษา) อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีพร้อมประชาศึกษา) อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ให้มีคุณภาพ ผลการวิจัยได้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะด้านการอ่านกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีพร้อมประชา ศึกษา) อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มีคุณภาพทั้งด้านเนื้อหาและด้านเทคโนโลยีการศึกษาอยู่ใน
10 ระดับดีมาก และคะแนนทักษะพื้นฐานด้านการอ่านของนักเรียนก่อนและหลังใช้บทเรียนมีความ แตกต่างกนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน นภาพร วงศ์พุทธา (2557, น.1120) ได้ศึกษาค้นคว้าการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/12 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศสตรีวิทยา พุทธมณฑล พบว่าผลการพัฒนาทักษะการอ่านของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 19 คน หลังจากนักเรียนได้ฝึกการอ่าน พบว่าแบบฝึกชุดที่ 1 นักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 68.42 ชุดที่ 2 ร้อยละ73.68 ชุดที่ 3 ร้อยละ 78.94ชุดที่ 4 ร้อยละ 73.68 และนักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 78.94 ในการอ่านแบบฝึกชุดที่ 5 จากผลการทำทั้ง 5 ชุด แสดงว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะการอ่านดีขึ้น อภิญญา แก้วสุวรรณ (2554, น. 8) ได้ศึกษาค้นคว้าการพัฒนาทักษะการอ่านค่าศัพท์ ภาษาอังกฤษของ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปี ที่ 2/3 สาขางาน ช่างยนต์ จำนวน 18 คน ได้สรุปผลการวิจัยแบ่ง ออกเป็น 2 ตอน ดั้งนี้ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะการอ่านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย แบบฝึกการอ่านคำพ้องภาษาอังกฤษ – ไทยของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจากการศึกษาคะแนน ทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เป็น กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่านักเรียนมีคะแนน ทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษภายหลัง เรียนผ่านแบบฝึกการอ่านคำพ้องภาษาอังกฤษ – ไทย สูงขึ้น ทุกคน ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของ นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการเรียนการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกการอ่านคำ พ้องภาษาอังกฤษ –ไทยจากการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่านักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ได้เรียนการอ่าน คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกการอ่านคำพ้องภาษาอังกฤษ – ไทย มีความสุขในการเรียน ภาษาอังกฤษมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษและครูผู้สอนภาษาอังกฤษไม่เครียด และนักเรียนมีการ รับรู้ความสามารถของตนด้านการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษสูงขึ้นโดยรู้สึกว่าตนเองสามารถที่จะท่อง หรือจดจำคำศัพท์และความหมายของคำศัพท์ได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนมีความภาคภูมิใจใน ความสามารถของตนทำให้นักเรียนอยากที่จะเรียนภาษาอังกฤษ วิลาวรรณ จรูญผล, นคร ละลอกน้ำ และธนะวัฒน์ วรรณประภา (2563) ได้ศึกษาการพัฒนา สื่อมัลติมีเดียด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การศึกษา ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/ E2 (80/ 80) 2) เพื่อเปรียบเทียบ คะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผล ของสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 4) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัด
11 ใหม่เกตุงาม อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ปีการศึกษา 2563 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่มชื่อโรงเรียนมา 1 โรงเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ สื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการ จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.08/ 80.44 2) คะแนนแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 3) ค่าดัชนีประสิทธิผล ของสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.51 4) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย ด้วยเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25 โชติกา วัชรเดชโภคิน,รสริน พิมลบรรยงก์ (2559) ได้ศึกษาการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย โดยใช้แบบฝึกทักษะชนิดเกม วิชาภาษาอังกฤษ ผลการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียโดยใช้แบบฝึกทักษะชนิดเกม เรื่อง Things Around Me วิชา ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่า E1/E2 เท่ากับ 76.25/77.22 สูงกว่า เกณฑ์ ที่ตั้งไว้ที่ 75/75 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของกลุ่มที่สอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย โดยใช้แบบฝึกทักษะชนิดเกมสูงกว่ากลุ่มที่สอนแบบปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แคทลียา คล่องแคล่ว (2551) ได้ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพวเตอร์มัลติมีเดียวิชา ภาษาอังกฤษ “Target” ผลการวิจัยได้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียวิชาภาษาอังกฤษ “Target” สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคุณภาพจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญอยู่ใน ระดับดี และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษาอยู่ในระดับดีมาก และมีประสิทธิภาพ 90.33/89.50 ศุภลักษณ์ วัฒนาเฉลิมยศ (2554) ได้ศึกษาการพัฒนานิทานมัลติมีเดียเพื่อเสริมการอ่าน ภาษาอังกฤษด้วยตนเองที่มีการให้ความหมายของคําศัพท์ 3 รูปแบบสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้นิทานมัลติมีเดีย 3 รูปแบบที่มีประสิทธิภาพดังนี้รูปแบบที่ให้ ความหมายเป็นภาพมีประสิทธิภาพ 85.00/82.66 รูปแบบที่ให้ความหมายเป็นตัวอักษรมี ประสิทธิภาพ 84.44/80.67 รูปแบบที่ให้ความหมายเป็นภาพและตัวอักษรมีประสิทธิภาพ 86.11/81.00 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยนิทานมัลติมีเดียที่มีการให้ ความหมายของคำศัพท์เป็นภาพ เป็นตัวอักษร และเป็นทั้งภาพและตัวอักษร มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนแตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจในการเรียนของ
12 นักเรียนที่เรียนด้วยนิทานมัลติมีเดียที่มีการให้ความหมายของคําศัพท์เป็นภาพ เป็นตัวอักษร และเป็น ทั้งภาพและตัวอักษร มีความพึงพอใจในการเรียนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุทธิณี ภาพพิมพ์ใจ (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรม มัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า 1. สื่อมัลติมีเดียเรื่องเทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 มีประสิทธิภาพ 91.14/ 85.44 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี น่ารู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. เจตคติของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่องเทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ซาร่าห์ หะยีแวฮามะ,เสกสรรค์ แย้มพินิจ และโสพล มีเจริญ (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาและ หาคุณภาพสื่อมัลติมีเดียโดยใช้เทคนิคการสอนแบบโฟนิกส์ผลการวิจัยพบว่า ผลการประเมินคุณภาพ ของผู้เชี่ยวชาญ ด้านเนื้อหา พบว่า ค่าเฉลี่ย คือ 4.74 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 0.18 ซึ่งอยู่ใน ระดับดีมาก และ ด้านสื่อ พบว่า ค่าเฉลี่ย คือ 4.03 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 0.17 ซึ่งอยู่ใน ระดับดีผลการประเมินความสามารถในการอ่านของนักเรียน มีค่าเฉลี่ย คือ 2.24 ส่วนค่าเบนเบี่ยง มาตรฐาน คือ 0.04 อยู่ในระดับที่ดี ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่เรียน นักเรียนมีคะแนนทดสอบหลังเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มัณทนา ชินนาพันธ (2562) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) โดยใช้สื่อมัลติมีเดียส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองนามิตรภาพที่ 201 อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1.หลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคลพบว่านักเรียน มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 จำนวน 5 คน 2.ก่อนเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียนักเรียนทำคะแนน สูงสุดได้ 14 คะแนน คะแนนตำสุด 12 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (̅̅) 12.80 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) 1.10 และหลังเรียนโดย ใช้สื่อมัลติมีเดียนักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 17 คะแนน คะแนนตำสุด 16 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (̅̅) 16.60 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 0.55 แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียนักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษร (พินอิน) สูง กว่าก่อนเรียน สิทธิชัย ยาแก้ว (2564) ได้ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะ การอ่าน เรื่อง การอ่านคำที่มีตัว ฑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 ผลการศึกษาพบว่า 1. ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่าน คำที่มีตัว ฑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพผ่าน เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์
13 มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านคำที่มีตัว ฑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับ 90.72 / 91.65 2.นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับ การสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านคำที่มีตัว ฑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านคำที่มีตัว ฑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งเป็นไป ตามสมติฐานที่ตั้งไว้ เนาวรัตน์ อินทรประสิทธิ์(2558) ได้ศึกษาการใช้กิจกรรมเพลงภาษาอังกฤษเพื่อส่งเสริมการ ออกเสียงต่อเนื่องกันในภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์การออกเสียงต่อเนื่องกันใน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลังจากใช้กิจกรรมเพลง ภาษาอังกฤษมีค่าคะแนนสูงกว่าก่อนการใช้ กิจกรรมเพลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสรุปได้ว่า กิจกรรมเพลงภาษาอังกฤษในการ เชื่อมโยงเสียงต่อเนื่องกันช่วยส่งเสริมและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการออกเสียงต่อเนื่องกันใน ภาษาอังกฤษของนักศึกษา ทิพย์วัลย์ พันธุ์เจริญ (2548) ได้ศึกษาการใช้ชุดการสอนเพลงภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของชุดการสอนเพลงภาษาอังกฤษมีค่าเท่ากับ 86.12 / 81.18 ถือว่ามีประสิทธิภาพดี มาก 2. ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการใช้ชุดการสอนเพลงภาษาอังกฤษสูง กว่าก่อนการใช้ชุดการสอนเพลงภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. นักเรียนมี ความคิดเห็นต่อชุดการสอนเพลงอยู่ในระดับดีทุกบทเรียน ศิริพร พูลสุวรรณ (2553) ได้ศึกษาการวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการใช้บทเรียน ออนไลน์ประเภทบัตรคำ (Flashcard) เรื่องคำศัพท์เทคนิคภาษาอังกฤษ วิชาสารสนเทศวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของ นักศึกษาระดับปริญญาตรีสรุปได้ว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพของระบบอยู่ ในระดับดี สำหรับการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์ และสารสนเทศศาสตร์ที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์เกี่ยวกับบัตรคำ ( Flashcard) สำหรับคำ ศัพท์เทคนิคภาษาอังกฤษในวิชาสารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของนักศึกษาสาขาวิชา บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ ก่อนกับหลัง พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนสุนันทา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มีผลจากการทำแบบทดสอบภายหลังการสอนด้วยวิธีปกติ และผลจากการทำแบบทดสอบภายหลัง การสอนด้วยบทเรียนออนไลน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05)
14 จรีวรรณ ชัยอารีย์เลิศ (2560) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดและการจดจำ ความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้บัตรคำรูปภาพ (Flash card) ผลการวิจัยพบว่า เรื่องการ พัฒนาทักษะการอ่านและจดจำความหมายคำศัพท์โดยใช้บัตรคำรูปภาพ (Flash card) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมจำนวน 2 คน ในขั้นต้นก่อน นักเรียนทั้ง 2 คนจะได้รับการ ฝึกทักษะการอ่านและจดจำความหมายคำศัพท์โดยใช้บัตรคำรูปภาพ (Flash card) พบว่า นักเรียน ชายคนหนึ่งในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 มีคะแนนการอ่านสะกดคำก่อนเรียนร้อยละ 23.33 อยู่ใน ระดับไม่ผ่านเกณฑ์และคะแนนการบอกความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียนร้อยละ 21.66 อยู่ใน ระดับไม่ผ่านเกณฑ์ และนักเรียนหญิงคนหนึ่งในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 มีคะแนนการอ่าน สะกดคำภาษาอังกฤษ ก่อนเรียนร้อยละ 51.66 อยู่ในระดับอ่อนมาก และคะแนนการบอกความหมาย ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียน ร้อยละ 28.33 ซึ่งอยู่ในระดับไม่ผ่านเกณฑ์ แต่เมื่อนักเรียนทั้งสอง คนได้เข้าร่วมการฝึกทักษะการอ่านและจดจำความหมายคำศัพท์โดยใช้บัตรคำรูปภาพ (Flash card) พบว่า นักเรียนชายคนหนึ่งในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 มีคะแนนการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษหลัง เรียนร้อยละ 93.33 อยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และคะแนนการบอกความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ หลังเรียนร้อยละ 86.66 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และนักเรียนหญิงคนหนึ่งใน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 มีคะแนนการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษหลังเรียนร้อยละ 100 อยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และคะแนน การบอกความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนร้อยละ 88.33 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมตาม ตารางเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนทั้งมีทักษะการอ่าน และจดจำความหมายคำศัพท์ดี ขึ้น 5. วิธีดำเนินการวิจัย 5.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน เทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) จำนวน 17 คน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 17 คน ใช้วิธีการเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ไม่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้ง ในด้านผู้เรียนที่ขาดทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง รวมถึงสถานที่ และความสะดวก ต่อการติดตามผลของการศึกษา 5.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ -แบบประเมินคุณภาพสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษสำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ
15 - แบบทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ - แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษ 5.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ กิจกรรมการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษเบื้องต้น โดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษเพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยผู้วิจัยเป็นผู้ทดลองสอนด้วยตนเอง มีลำดับขั้นตอน การดำเนินการ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้ติดต่อขอความอนุเคราะห์จากครูผู้ดูแลนักเรียนเพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลการวิจัย กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้โดยประสานงานผ่านครู ผู้ดูแลนักเรียน 2. จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ สื่อมัลติมีเดียเพื่อ ส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ แบบประเมินคุณภาพสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะ การอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษสำหรับผู้เชี่ยวชาญ แบบทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ และ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ 3. นําเครื่องมือที่ผ่านการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วมาใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) โดยมีลำดับขั้นตอนการเก็บข้อมูล ดังนี้ 3.1 นํานักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมาทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษโดยใช้ สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ โดยใช้เวลา 60 นาทีจากนั้นผู้วิจัยจึง ทำการประเมินทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนและบันทึกคะแนนตามเกณฑ์ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3.2 ดำเนินการสอนการอ่านพยัญชนะอังกฤษโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะ การอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ 3.3 ทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษหลังเรียน เรื่อง การอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษโดยใช้เวลา 60 นาที จากนั้นผู้วิจัยจึงทำการประเมินทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียน และบันทึก คะแนนตามเกณฑ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นพร้อมทั้งให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ เป็นต้น
16 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 1.ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะคำภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 2.วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยมีเกณฑ์การแปลผลพัฒนาการสัมพัทธ์ ดังนี้ ร้อยละ 1-25 หมายถึง มีพัฒนาการระดับต้น ร้อยละ 26-50 หมายถึง มีพัฒนาการระดับปานกลาง ร้อยละ 51-75 หมายถึง มีพัฒนาการระดับสูง ร้อยละ 76-100 หมายถึง มีพัฒนาการระดับสูงมาก 3.เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ และแบบทดสอบการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่า T-test 4.หาค่าระดับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าระดับความพึงพอใจ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยมีเกณฑ์การแปลผลระดับความพึงพอใจ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 2.01 - 3.00 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 1.01 - 2.00 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 0.00 - 1.00 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับน้อย 5.5 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ใช้สถิติเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 1.1 หาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์หรือ เนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) ดังนี้ IOC = ∑ เมื่อ ∑R คือ ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
17 1.2 หาค่าความเชื่อมั่นแบบสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach's Coefficient alpha) ใช้สูตรดังนี้ ∝ = −1 [1 − ∑ 2 2 ] เมื่อ ∝ คือ ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของเครื่องมือ 2 คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบในแต่ละข้อ 2 คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบของเครื่องมือวัดทั้งฉบับ K คือ จำนวนข้อ 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัย 2.1 หาประสิทธิภาพของนวัตกรรม ดังนี้ 2.1.1 หาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) ดังนี้ E1 = ∑ × เมื่อ E1 คือ ประสิทธิผลของกระบวนการ ∑ คือ คะแนนรวมจากการทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในระหว่างเรียนของผู้เรียนทุกคน N คือ จำนวนนักเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหรือกิจกรรมในระหว่างเรียน 2.1.2 หาประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2 ) ดังนี้ E2 = ∑ × เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ คือ คะแนนรวมจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทุกคน N คือ จำนวนนักเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
18 2.2 หาค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ดังนี้ S= 100(−) − เมื่อ S คือ คะแนนเพิ่มสัมพันธ์ F คือ คะแนนเต็มของการวัดครั้งแรกและครั้งหลัง X คือ คะแนนการวัดครั้งแรก และ Y คือ คะแนนการวัดครั้งหลัง 2.3 หาค่าการเปรียบเทียบโดยใช้T-test ดังนี้ = ∑ √ ∑2−(∑)2 (−1) = − 1 เมื่อ t คือ ค่าสถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบกับค่าวิกฤติ D คือ ค่าผลต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ ∑ คือ ผลรวมค่าผลต่างระหว่างคู่คะแนน คือ จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่คะแนน (หรือจำนวนคน) 2.4 หาค่าระดับความพึงพอใจ ดังนี้ 2.4.1 ค่าเฉลี่ย = ∑ เมื่อ คือ ค่าเฉลี่ย ∑ คือ ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด
19 2.4.2 หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = √∑2−(∑2) 2 สำหรับข้อมูลของประชากร = √∑2−(∑2) (2) สำหรับข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง เมื่อ σ หรือ คือ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N คือ จำนวนข้อมูลจากประชากรทั้งหมด คือ จำนวนข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง X คือ ข้อมูลแต่ละจำนวน 6. ผลการวิจัย 1.1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษตามเกณฑ์มาตรฐาน ปรากฏผลดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาส่งเสริมทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษ ตามเกณฑ์มาตรฐาน (n=17) นักเรียนคนที่ คะแนนย่อย 1 (5) คะแนนย่อย 2 (5) คะแนนหลังเรียน (10) 1 3 3 6 2 3 3 7 3 4 4 8 4 3 4 8 5 3 3 8 6 4 4 7 7 3 3 8 8 4 4 8 9 3 3 8 10 3 3 8
20 11 3 3 8 12 3 3 8 13 3 3 8 14 3 3 6 15 4 4 6 16 5 5 6 17 2 3 7 N=20 ∑1 = 132 ∑2 = 144 E1 = ∑1 × 100 E2 = ∑2 × 100 = 132 17 10 × 100 = 144 17 10 × 100 = 7.76 10 × 100 = 8.47 10 × 100 = 77.6 = 84.7 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่าแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเพื่อส่งเสริมทักษะ การอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 77.6/84.7 แสดงว่า ประสิทธิภาพของนวัตกรรมเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
21 1.2 ผลการวิเคราะห์ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์ของทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏผลดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์หาค่าร้อยละของคะแนนความก้าวหน้า (n=17) นักเรียน คนที่ ผลการประเมินทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ก่อน เรียน X1 หลัง เรียน X2 คะแนน ความก้าวหน้า (X1 -X2 ) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ แปลผล 1 6 8 2 50.00 ระดับปานกลาง 2 6 8 2 50.00 ระดับปานกลาง 3 6 8 2 50.00 ระดับปานกลาง 4 6 9 3 75.00 ระดับสูง 5 6 9 3 75.00 ระดับสูง 6 7 10 3 100 ระดับสูงมาก 7 5 5 0 0 ไม่มีการพัฒนา 8 6 9 3 75.00 ระดับสูง 9 7 8 1 50.00 ระดับปานกลาง 10 6 9 3 75.00 ระดับสูง 11 5 9 4 60.00 ระดับสูง 12 6 9 3 80 ระดับสูง 13 5 9 4 60.00 ระดับสูง 14 6 8 2 50.00 ระดับปานกลาง 15 6 9 3 75.00 ระดับต้น 16 7 9 2 66.66 ระดับสูง 17 6 8 2 50.00 ระดับปานกลาง จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่านักเรียนคนที่ 6 สามารถพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษได้ร้อยละ 100 ของปริมาณที่ควรพัฒนาได้ซึ่งมีพัฒนาการอยู่ในระดับสูงมาก และ นักเรียนคนที่ 7 ได้ร้อยละ 0 ของปริมาณที่ควรพัฒนาได้ซึ่งถือว่าไม่มีการพัฒนา
22 1.3 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและ ภายหลังการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏผลดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 การวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษระหว่างก่อน และภายหลังการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ (n=17) คะแนนทดสอบ n mean S.D. t df sig ก่อนเรียน 17 6 0.63 9.68 15 0.00* หลังเรียน 17 8.5 1.09 *มีนัยสำคัญที่ระดับ 0.5 จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่า คะแนนการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 6 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.5 เมื่อนำ คะแนนมาเปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์ในการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 4. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏผลดังตาราง ที่ 4 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์หาค่าระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อ พัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ (n=17) รายการ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ระดับความ พึงพอใจ 1. นักเรียนมีความสนุกสนาน เมื่อได้เรียน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 2.94 0.23 มาก 2. นักเรียนชอบกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 2.88 0.32 มาก 3.นักเรียนรู้สึกชอบและอยากเรียนด้วยสื่อ มัลติมีเดีย 3 0 มาก
23 4. นักเรียนสามารถอ่านและเขียนได้เมื่อเรียนเรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 3 0 มาก 5. นักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือในการ ทำกิจกรรมเมื่อใช้สื่อมัลติมีเดียในการจัดการเรียน การสอน 3 0 มาก จากตารางที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (mean = 2.96, S.D. = 0.11) เมื่อพิจารณาเป็น รายข้อโดยเรียงลำดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้ นักเรียนมีความสนุกสนานเมื่อได้เรียน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความ พึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.94, S.D. = 0.23) นักเรียนชอบกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.88, S.D. = 0.32) นักเรียนรู้สึกชอบและอยากเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3, S.D. = 0) นักเรียนสามารถอ่านได้เมื่อเรียนเรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจใน ระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) และนักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือในการทำกิจกรรมเมื่อ ใช้สื่อมัลติมีเดียในการจัดการเรียนการสอน มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) 7. สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 7.1 สรุปผลการวิจัย ผลการใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ สาระภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) สรุปผลการวิจัย ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 77.6/84.7 แสดงว่าประสิทธิภาพของ นวัตกรรมเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2. ผลการวิเคราะห์ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์แสดงให้เห็นว่านักเรียนคนที่ 6 สามารถพัฒนาทักษะ การอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษได้ร้อยละ 100 ของปริมาณที่ควรพัฒนาได้ซึ่งมีพัฒนาการอยู่ใน ระดับสูงมาก และนักเรียนคนที่ 7 ได้ร้อยละ 0 ของปริมาณที่ควรพัฒนาได้ซึ่งถือว่าไม่มีการพัฒนา 3. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านพยัญชนะอังกฤษระหว่างก่อนและหลัง การใช้สื่อมัลติมีเดีย แสดงให้เห็นว่าคะแนนการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 6 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.5 เมื่อนำคะแนน มาเปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์ในการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
24 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 4. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อมัลติมีเดียนักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อ มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (mean = 2.96, S.D. = 0.11) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจ น้อยดังนี้นักเรียนมีความสนุกสนานเมื่อได้เรียน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความ พึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.94, S.D. = 0.23) นักเรียนชอบกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.88, S.D. = 0.32) นักเรียนรู้สึกชอบและอยากเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) นักเรียนสามารถอ่านได้เมื่อเรียนเรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจใน ระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) และนักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือในการทำกิจกรรมเมื่อ ใช้สื่อมัลติมีเดียในการจัดการเรียนการสอน มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) 7.2 อภิปรายผลการวิจัย ผลจากการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนดทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) นำมาอภิปรายผลได้ดังนี้ 1.ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 77.6/84.5 เป็นไปตามเกณฑ์ที่หนดคือ 70/70 เนื่องจาก ผู้วิจัยได้พัฒนาบทเรียนเป็นไปตามขั้นตอนและมีระบบในการทำงาน โดยสื่อนวัตกรรมได้ผ่านการ ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปใช้จริง โดยเริ่มศึกษาเนื้อหาบทเรียนที่เหมาะสมกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สอดคล้องกับตัวชี้วัดของสาระการเรียนรู้ภาอังกฤษที่กำหนดใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เมื่อจัดเตรียมเนื้อหาเสร็จสมบูรณ์จึงนำไป ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านตรวจสอบเพื่อนำมาปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้คำแนะนำจาก ผู้เชี่ยวชาญจึงนำมาปรับปรุงเพื่อให้นวัตกรรมสมบูรณ์มากที่สุดก่อนนำไปใช้จริงกับนักเรียน ผลจาก การใช้นวัตกรรมในการวิจัยครั้งนี้เห็นได้ว่าประสิทธิภาพของนวัตกรรมหลังเรียนมีคะแนนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างเห็นได้ชัดจึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ สายใจ ฉิมมณี(2556) ที่ได้ทำการวิจัยเรื่องการ พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดบางช้าง ผลพบว่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชาภาษาอังกฤษชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 77.78/75.69 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 75/75
25 2. ผลด้านความสามารถทางด้านการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ พบว่าคะแนนการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 6 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.5 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบพบว่า ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการ เรียนการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 เนื่องจากผู้เรียนเกิดความเข้าใจในการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษจากการที่ได้ศึกษาสื่อมัลติมีเดียประกอบกับใบความรู้ซึ่งเป็นการฝึกการอ่านที่ผู้เรียน สามารถอ่านออกเสียงตามอีกทั้งยังรู้ถึงความหมายของคำศัพท์นั้นๆผ่านรูปภาพทำให้ผู้เรียนเกิดความ เข้าใจต่อหลักการอ่านเพิ่มมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ บัณฑิต อนุญาหงส์ (2550: บทคัดย่อ) ทำการศึกษาเรื่องการพัฒนา บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการอ่านภาษาอังกฤษเรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนเบญจมราชาลัย พบว่าความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่าก่อนการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ กันนิกา ผิวอ่อนดี (2548 : บทคัดย่อ) ทำการศึกษา เรื่องการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาภาษาอังกฤษด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนในสังกัดอำเภอบางปลาม้า พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนก่อนและหลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.01 โดยหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคะแนนสูงกว่าก่อนการใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนซึ่งผลด้านความสามารถทางด้านการอ่านหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียที่สูงขึ้นนี้จึงส่งผลให้ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาอังกฤษหลังเรียนของนักเรียนที่ เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านสูงขึ้น 3. ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สื่อมัลติมีเดียในการส่งเสริมทักษะการอ่าน พยัญชนะภาษาอังกฤษ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดเสริมทักษะการอ่านพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 2.96, S.D. = 0.11) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยเรียงลำดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้นักเรียนมีความสนุกสนานเมื่อได้ เรียน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.94, S.D. = 0.23) นักเรียนชอบกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มี ความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 2.88, S.D. = 0.32) นักเรียนรู้สึกชอบและอยากเรียนด้วยสื่อ มัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3, S.D. = 0) นักเรียนสามารถอ่านได้เมื่อเรียน เรื่อง This is my town โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0)
26 และนักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือในการทำกิจกรรมเมื่อใช้สื่อมัลติมีเดียในการจัดการเรียน การสอน มีความพึงพอใจในระดับมาก (mean = 3, S.D. = 0) เนื่องจากสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริม ทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษมีการศึกษาเอกสารจากงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน ได้แก่งานวิจัยของ สายใจ ฉิมมณี (2556) ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่าน วิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางช้างผลการวิจัยพบว่านักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ มาก และงานวิจัยของ สุทธิณี ภาพพิมพ์ใจ (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ ชุดกิจกรรมมัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลพบว่า เจตคติ ของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดียเรื่องเทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมมี ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 7.3 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการวิจัยและพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษให้ สามารถครอบคลุมทักษะอื่น ๆ เช่น ทักษะการฟัง การพูด การจดจำ จนครบทุกทักษะและเนื้อหา สาระ 2. ควรมีการวิจัยและพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะภาษาอังกฤษใน ระดับชั้นปีอื่น ๆ ด้วยโดยให้มีเนื้อหาสาระที่หลากหลาย ตรงตามหลักสูตรและความสนใจของนักเรียน 3. ในการสร้างสื่อมัลติมีเดียควรคำนึงถึงจำนวนคำศัพท์หรือเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน การลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก 4. ในการสร้างสื่อนวัตกรรมควรคำนึงถึงความพร้อมด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้การ สอนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
27 บรรณานุกรม กฤษฎา โพธิ์ชัยรัตน์. (2561). การพัฒนาความสามารถการเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดย ใช้เกม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา. กันนิกา ผิวอ่อนดี. (2548) การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษด้านการอ่าน เพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนในสังกัดอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี. มหาวิทยาลัยศิลปากร/กรุงเทพฯ. จรีวรรณ ชัยอารีย์เลิศ. (2560). การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษ โดยการฝึกประสม คำด้วย เสียงของพยัญชนะ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. มหาวิทยาลัย บูรพา. จุฑามาศ กันติ๊บ. (2554) การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการเขียนสะกดคำโดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ 2 ร่วมกับเกมการศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1. มหาวิทยาลัย ศิลปากร/นครปฐม. โชติกา วัชรเดชโภคิน,รสริน พิมลบรรยงก์. (2559). ผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย โดย ใช้แบบฝึกทักษะชนิดเกม วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Things Around Me สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. การประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ 3 วันที่ 17 มิถุนายน 2559 วิทยาลัยนครราชสีมา อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา. ฐาปนี เครืออนันต์. (2559).ชุดการสอนมัลติมีเดียเสริมทักษะการอ่านสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษา. หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. ณิชวรรณ จันอ้น. (2551). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการ อ่าน. สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. บัณฑิต อนุญาหงษ์. (2551). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนการอ่านภาษาอังกฤษ เรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเบญจมราชาลัย กรุงเทพฯ. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะ ภาษาต่างประเทศ มหาวทิยาลัยศิลปากร, กรุงเทพฯ. มัณทนา ชินนาพันธ. (2562). การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) โดยใช้สื่อ มัลติมีเดียสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองนามิตรภาพที่ 201 อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี. โรงเรียนบ้านคลองนามิตรภาพที่201. รัตน์ภัคษร วรภัทร์ธนวัชร. (2560). การพัฒนาทักษะการสะกดคําภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปี ที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการโดยใช้ชุดการ
28 ฝึกทักษะการสะกดคํา. การพัฒนาทางการศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ กรุงเทพมหานคร. วิลาวรรณ จรูญผล, นคร ละลอกน้ำ,ธนะวัฒน์ วรรณประภา. (2563). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย ด้วย เทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. วีณา พ่วงเพ็ง. (2560). การศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของ นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปี ที่ 3 ห้อง 10 วิทยาลัย เทคโนโลยีอรรถวิทย์ พณิชยการโดยใช้แบบฝึกทักษะ. การพัฒนาทางการศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์ พณิชยการ กรุงเทพมหานคร. ศุภลักษณ์ วัฒนาเฉลิมยศ. (2554). การพัฒนานิทานมัลติมีเดียเพื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษด้วย ตนเอง ที่มีการให้ความหมายของคำศัพท์ 3 รูปแบบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สายใจ ฉิมมณี. (2555). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดบางช้างใต้. สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัย ศิลปากร. สายใจ ฉิมมณี. (2556). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียการอ่านวิชาภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางช้างใต้. คณะศึกษาศาสตร์สาขาวิชา เทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุทธิณี ภาพพิมพ์ใจ. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมมัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย บูรพา. อัจจิมา ไชยชิต. (2563). การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษ (Phonics) โดย ใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. ระดับปริญญาตรีคณะครุศาสตร์ บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. อภิญญา แก้วสุวรรณ. (2554). การใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปี ที่1 แผนกวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร จังหวัด เชียงใหม่.
29 ภาคผนวก
30 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาพที่ 1 แบบประเมินผู้เชี่ยวชาญ
31 ภาพที่ 2 แบบประเมินผู้เชี่ยวชาญ
32 ภาพที่ 3 แบบประเมินการอ่าน
33 ภาพที่ 4 แบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อของนักเรียน
34 ภาคผนวก ข รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวัด 1. ชื่อ-สกุล นางสาวฟิรเดาส์ นาเงิน วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ตำแหน่ง ครูผู้สอน 2. ชื่อ-สกุล นางซูไรนี มะลี วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี วิทยาการคอมพิวเตอร์ ตำแหน่ง ครูผู้สอน 3. ชื่อ-สกุล นางสาวนูรีย๊ะ เจ๊ะยอ วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ตำแหน่ง ครูผู้สอน
35 ภาคผนวก ค นวัตกรรมที่นำมาใช้ ภาพที่ 5 สื่อวิจัยที่ในการสอน
36 ภาพที่ 6 ใช้สื่อในการทำวิจัย ภาพที่ 7 ใช้สื่อในการทำวิจัย
37 ภาคผนวก ง ประวิติผู้วิจัย 1. ชื่อ-สกุล นางสาวกาตีนี สุหลง 2. วัน เดือน ปี เกิด 25 ตุลาคม 2543 3. ที่อยู่ปัจจุบัน 44/2 หมู่ 1 ตำบลบันนังสาเรง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 95000 4. อีเมล์ [email protected] 5. ประวัติการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนพัฒนาวิทยา จังหวัดยะลา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จังหวัดยะลา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยี