The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบรรยาย ก.ศป. รุ่นที่ 12 Power Point บรรยาย 3 7 65

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pachairat, 2022-07-04 00:35:43

คดีสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ก.ศป. 12 Sun 3 7 65 PPT

การบรรยาย ก.ศป. รุ่นที่ 12 Power Point บรรยาย 3 7 65

ทมี่ าของข้อกฎหมาย
ทเี่ ป็ นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี

บทบญั ญตั ิ มาตรา ๖๗ ของ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐

มาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ บญั ญตั ิว่า

การดาเนินโครงการหรือกิจกรรมท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน
อย่างรุนแรงท้งั ทางดา้ นคุณภาพสิ่งแวดลอ้ มทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ
จะกระทามิได้ เว้นแต่ จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพ

ส่ิงแวดลอ้ มและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และ จดั ให้มีกระบวนการ
รับฟังความคิดเห็นประชาชนและผมู้ ีส่วนไดเ้ สียก่อน รวมท้งั ให้องคก์ รอิสระ
ซ่ึงประกอบดว้ ยผูแ้ ทนองคก์ รเอกชนดา้ นสิ่งแวดลอ้ มและสุขภาพ และผูแ้ ทน
สถาบนั อุดมศึกษาท่ีจดั การศึกษาด้านสิ่งแวดลอ้ ม หรือทรัพยากรธรรมชาติ
หรือดา้ นสุขภาพ ใหค้ วามเห็นประกอบก่อนมีการดาเนินการดงั กล่าว

คดีมาบตาพดุ

คาสงั่ ศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดาท่ี ๙๐๘/๒๕๕๒ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๒
คาสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๕๙๒/๒๕๕๒ ลงวนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๕๒

ผฟู้ ้องคดี

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ท่ี ๑
สมาคมสมชั ชาองคก์ รเอกชนด้านการค้มุ ครองสิ่งแวดล้อมอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ ที่ ๒

นายสทุ ธิชยั อชั ฌาศยั กบั พวกรวม ๔๓ คน ที่ ๓

ผถู้ กู ฟ้องคดี

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ท่ี ๑
เลขาธิการสานักงานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ ๒

รฐั มนตรีว่าการกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๓
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงอตุ สาหกรรม ที่ ๔
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงพลงั งาน ที่ ๕
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ ๖
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสขุ ที่ ๗
การนิคมอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๘

353

คาขอของผฟู้ ้องคดีให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสงั่

(๑) สงั่ เพิกถอนใบอนุญาตโครงการหรือกิจกรรมท่ีเขา้ ข่ายเป็ นโครงการหรือกิจกรรม
ซ่ึงอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอยา่ งรุนแรงท้งั ทางดา้ นคุณภาพส่ิงแวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาติ
และสุขภาพที่ไดอ้ นุญาตไปแลว้ นบั ต้งั แต่วนั ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ เป็นตน้ มา

(๒) ส่ังให้ดาเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา
๖๗ และพระราชบญั ญตั ิสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ ดงั น้ี

(๒.๑) จดั ให้มีการศึกษาหรือประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนในชุมชน

ที่โครงการหรือกิจกรรมน้นั ไปก่อต้งั หรือดาเนินการในพ้ืนท่ีอยา่ งทวั่ ถึงและรอบดา้ น
(๒.๒) จดั ให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผูม้ ีส่วนไดเ้ สียก่อน

อยา่ งทวั่ ถึงและรอบดา้ น
(๒.๓) จดั ให้องคก์ ารอิสระซ่ึงประกอบดว้ ยผูแ้ ทนองคก์ ารเอกชนดา้ นสิ่งแวดลอ้ มและ

สุขภาพ และผแู้ ทนสถาบนั อุดมศึกษาท่ีจดั การการศึกษาดา้ นส่ิงแวดลอ้ มหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือ
ดา้ นสุขภาพ ใหค้ วามเห็นประกอบก่อนมีการดาเนินการ

ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กับพวกได้ย่ืนคาขอให้ศาลกาหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองใดๆ
เพ่ือบรรเทาทุกข์ชว่ั คราวก่อนการพิพากษา โดยขอศาลมีคาส่ังให้โครงการหรือกิจกรรมหรือกิจการ
ท่ีกาลงั ดาเนินการในพ้ืนท่ีตาบลมาบตาพุดและใกลเ้ คียง จานวน ๗๖ โครงการ ตามเอกสารทา้ ยฟ้อง
ระงบั โครงการไวช้ วั่ คราวก่อนศาลจะมีคาพพิ ากษา

“คดีมาบตาพดุ ”

หมายเหตุ : โครงการหรือกิจกรรมตามคาขอทา้ ย
คาฟ้องท้งั หมดจานวน ๗๖ โครงการ แยกเป็ น โครงการ
ท่ีประกอบกิจการแลว้ ๑๕ โครงการ อยรู่ ะหว่างดาเนินการ
ก่อสร้างหรือติดต้งั เคร่ืองจกั รและอุปกรณ์ ๑๑ โครงการ
ได้รั บใบอนุ ญาตแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่ มการก่ อสร้ าง
๕๐ โครงการ ซ่ึงโครงการท่ีได้รับใบอนุญาตน้ีบางส่วน
ไดร้ ับอนุญาตก่อนการประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐

องค์คณะที่ ๑๙ ศาลปกครองกลาง

องคค์ ณะพิจารณาพพิ ากษา “คดีมาบตาพดุ ”
คดีหมายเลขดาท่ี ๙๐๘/๒๕๕๒ คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๓๕๒/๒๕๕๓
คาสั่งกาหนดมาตรการหรือวธิ ีการคุ้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ช่ัวคราวก่อนการพพิ ากษา
ศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดาที่ ๙๐๘/๒๕๕๒ ลงวนั ที่ ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๒

“คดีมาบตาพดุ ”

ศาลปกครองกลาง มีคาสงั่ กาหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกขเ์ ป็น

การชวั่ คราวก่อนการพิพากษา ดงั นี้

“ให้ผถู้ กู ฟ้องคดีทงั้ แปดสงั่ ระงบั โครงการหรือกิจกรรมตามเอกสารหมายเลข
๗ ท้ายคาฟ้ อง ไว้เป็ นการชัว่ คราว จนกว่าศาลจะมีคาพิพากษาหรือศาลมีคาสัง่
เปล่ียนแปลงเป็ นอย่างอื่น

ยกเว้น โครงการหรือกิจกรรมท่ีได้รบั ใบอนุญาตก่อนวนั ประกาศใช้บงั คบั
รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ โครงการหรือกิจกรรมท่ีไม่ได้
กาหนดให้เป็นประเภทโครงการหรอื กิจกรรมที่ต้องจดั ทารายงานการวิเคราะหผ์ ลกระทบ
ส่ิงแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เร่ือง กาหนด
ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซ่ึงต้องจดั ทารายงานการวิเคราะหผ์ ลกระทบ
ส่ิงแวดล้อม และหลกั เกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบตั ิ และแนวทางการจดั ทารายงานการ
วิเคราะหผ์ ลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวนั ท่ี ๑๖ มิถนุ ายน ๒๕๕๒

ทงั้ นี้ ไม่รวมถึงการดาเนิ นการเพ่ือให้เป็ นไปตามบทบญั ญตั ิมาตรา ๖๗
วรรคสอง ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐”

ท่านวชิ ัย ชื่นชมพนู ุท ท่านหัสวุฒิ วฑิ ิตวริ ิยกลุ ท่านอคั รวทิ ย์ สุมาวงศ์ ท่านอกั ราทร จุฬารัตน ท่านพรี ะพล เชาวน์ศิริ ท่านปิ ยะ ปะตงั ทา ท่านปรีชา ชวลติ ธารง
ตลุ าการหัวหน้าคณะ
ตุลาการหัวหน้าคณะ ตุลาการหัวหน้าคณะ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธานศาลปกครองสูงสุด ตลุ าการหัวหน้าคณะ

ภาพประวตั ศิ าสตร์การพจิ ารณาคดปี กครองของประเทศไทย
คดปี กครองทมี่ เี นื้อหาเกยี่ วกบั การต้งั ถน่ิ ฐานของมนุษย์ คุณค่าของความเป็ นมนุษย์

เศรษฐกจิ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารราชการแผ่นดนิ

องค์คณะที่ ๑ ศาลปกครองสูงสุด

ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธานศาลปกครองสูงสุด ๒ ท่าน และ
ตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดทุกองค์คณะ จานวน ๔ ท่าน ออกน่ังบัลลงั ก์ในการอ่านคาสั่ง
ศาลปกครองสูงสุด “คดมี าบตาพดุ ”

“คดีมาบตาพดุ ”

ศาลปกครองสูงสดุ มีคาสงั่ แก้คาสงั่ ของศาลปกครองชนั้ ต้น
บางส่วน เป็น

“ให้ผ้ถู กู ฟ้ องคดีทงั้ แปดสงั่ ระงบั โครงการหรือกิจกรรม
ตามเอกสารหมายเลข ๗ ท้ายคาฟ้อง ไว้เป็ นการชวั่ คราว จนกว่า
ศาลจะมีคาพิพากษาหรือคาสงั่ เปลี่ยนแปลงเป็ นอย่างอื่น ยกเว้น
โครงการหรือกิจกรรมประเภทอุตสาหกรรม ลาดบั ที่ ๑๖ ลาดบั ที่
๒๒ ลาดบั ท่ี ๓๗ ลาดบั ที่ ๔๑ ลาดบั ที่ ๔๕ ลาดบั ที่ ๕๐ และ ลาดบั ท่ี
๕๔ และประเภทคมนาคม ลาดบั ท่ี ๒ ลาดบั ที่ ๓ ลาดบั ที่ ๔ และ
ลาดบั ที่ ๖ นอกจากที่แก้ให้เป็ นไปตามคาสงั่ ของศาลปกครอง
ชนั้ ต้น” (ยกเวน้ จานวน ๑๑ โครงการ)

ศาลปกครอง

ในบริบทขององคก์ รใช้อานาจอธิปไตยของรฐั

คดีมาบตาพดุ เป็ นคดีปกครองที่สาคญั ของประเทศไทย ศาลปกครองสูงสุดได้
แสดงนัยสาคญั ของการใช้ อานาจตุลาการ (Judicial Power) ผ่านกระบวนการพิจารณา
คดีปกครองต่ อสังคมไทยและสังคมโลก โดยการพิ จารณาอุทธรณ์ คาสัง่ ของ
ศาลปกครองชัน้ ต้นและการออกนัง่ บลั ลังก์อ่านคาสัง่ กาหนดมาตรการหรือวิธีการ
เพ่ือบรรเทาทุกขเ์ ป็ นการชวั่ คราวก่อนการพิพากษา ดาเนิ นการพิจารณาโดยองค์คณะ
ที่ ๑ ศาลปกครองสูงสุด ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธาน
ศาลปกครองสงู สดุ และตลุ าการหวั หน้าคณะในศาลปกครองสงู สดุ ทุกองคค์ ณะ

นัยที่หน่ึ ง เพื่อวางหลักกฎหมายคดีปกครองโดยการตีความอุดช่องว่าง
กฎหมายของฝ่ ายตุลาการ เพ่ือค้มุ ครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและแก้ไขปัญหา
สิ่งแวดล้อมของประเทศ เน่ืองจากฝ่ ายรฐั สภาไม่ตรากฎหมายออกมาใช้บงั คบั ตาม
บทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญ และฝ่ ายบริหารไม่ปฏิบตั ิหน้าท่ีตามอานาจที่กฎหมายหลาย
ฉบบั กาหนดให้ต้องปฏิบตั ิ

คาวินิจฉัยของศาลปกครองสงู สดุ

คาสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๕๙๒/๒๕๕๒ ลงวนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๕๒

สิทธิของบุคคลที่มาตรา ๖๗ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาไทย พุทธศกั ราช
๒๕๕๐ บญั ญตั ิรองรบั ไว้ ย่อมได้รบั ความคุ้มครอง การที่ยงั ไม่มีบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย
กาหนดหลกั เกณฑ์ เง่ือนไข และวิธีการใช้สิทธิดงั กล่าวนัน้ ไม่ใช่เหตุที่องคก์ รของรฐั จะยกขึน้
มาเป็ นข้ออ้างเพ่ือปฏิเสธไม่ให้ความคุ้มครองสิทธิดงั กล่าวได้ เพราะโดยหลกั การใช้และ
การตีความกฎหมาย เจตนารมณ์ตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญซึ่งเป็ นกฎหมายสูงสุดของ
ประเทศ จะมีผลตามที่บญั ญตั ิโดยทันที ไม่ว่าจะมีบทบญั ญตั ิให้ต้องมีการตรากฎหมาย
กาหนดรายละเอียดในเรอื่ งดงั กล่าว

กรณีนี้ ศาลรฐั ธรรมนูญเคยมีคาวินิ จฉัยที่ ๓/๒๕๕๒ ตงั้ แต่วนั ท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒
เกี่ยวกบั มาตรา ๔๖ แห่งพระราชบญั ญตั ิส่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๓๕ ว่า รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ มีเจตนารมณ์ให้สิทธิและ

เสรีภาพที่รฐั ธรรมนูญฉบบั นี้รบั รองไว้มีสภาพบงั คบั ได้ทนั ทีที่รฐั ธรรมนูญประกาศให้มีผล
ใช้บงั คบั โดยไม่ต้องรอให้มีการบญั ญตั ิกฎหมายอนุวตั ิการมาใช้บงั คบั ก่อน

ดงั นัน้ ก่อนการดาเนิ นโครงการหรือกิจกรรมใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่าง
รนุ แรงต่อคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาติและสขุ ภาพ จึงต้องดาเนินการให้ครบถ้วน
ตามหลกั เกณฑท์ งั้ หลายที่กาหนดไว้ในมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรฐั ธรรมนูญดงั กล่าว

นัยท่ีสอง เพ่ือหยุดยงั้ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพดุ ท่ีมี
แนวโน้ มของความรุนแรงมากย่ิงขึ้น เน่ื องจากเป็ นข้อพิพาทท่ีมีสาเหตุ
พื้น ฐ า น ม า จ า ก ข้ อ เ ท็จ จ ริ ง ท า ง ด้ า น ก า ย ภ า พ อัน ซับ ซ้ อ น ท่ี เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กับ
การตัง้ ถิ่นฐานมนุษย์ ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงของพื้นท่ีอย่างมากมายจาก
นโยบายการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแนวทางการพฒั นา
เศรษฐกิจมหภาค ซ่ึงทุกรฐั บาลท่ีผ่านไปให้ความสาคญั ต่อผลประโยชน์ท่ีจะ
ได้รบั จากการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่ได้ให้
ความสาคญั ต่อการวางแผนจดั การพืน้ ที่เพื่อการตงั้ ถ่ินฐานมนุษยอ์ ย่างยงั่ ยืน
เท่าท่ีควร ทาให้เกิดปัญหาด้านกายภาพท่ีสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง
ต่อการตงั้ ถ่ินฐานมนุษย์ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่งผล
กระทบต่อสุขอนามยั ของประชาชน การทาลายระบบนิ เวศ หรือทรพั ยากร

ทางทะเล ซ่ึงเป็นฐานทรพั ยากรเพ่ือการยงั ชีพท่ีสาคญั ของชมุ ชนตามชายฝัง่
ทะเลตะวนั ออกอย่างกว้างขวาง อนั นาไปส่กู ารนาข้อพิพาททางปกครองบน

พืน้ ที่มาบตาพดุ มาฟ้องยงั ศาลปกครองกลางและศาลปกครองระยองจานวน
หลายคดีตลอดระยะเวลาสิบปี ที่ผา่ นมา

นัยที่สาม เพ่ือให้สังคมไทยและสังคมโลกมัน่ ใจต่อกระบวน
การยุติธรรมทางปกครองของประเทศไทย เนื่องจากคดีมาบตาพุดเป็ น

คดีปกครองที่สาคญั เป็นที่สนใจของสงั คมไทยและสงั คมโลกอย่างกว้างขวาง

เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกบั การลงทุนด้านอตุ สาหกรรมของบรรษทั ขนาดใหญ่
ทงั้ ในประเทศไทยและต่างประเทศ ท่ีมีเงินลงทุนในพื้นท่ีมาบตาพดุ รวมกนั

หลายล้านล้านบาท ดงั นัน้ เมื่อศาลปกครองกลางมีคาสงั่ กาหนดมาตรการ
หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทกุ ขเ์ ป็นการชวั่ คราวก่อนการพิพากษาคดีมาบตาพดุ
ส่ือมวลชนระดบั โลกทงั้ หนังสือพิมพแ์ ละโทรทศั น์ได้เสนอข่าวคดีมาบตาพดุ

อย่างกว้างขวาง ตลอดจนมีการสอบถามเก่ียวกบั คดีมาบตาพดุ จากคณะทูต

ของหลายประเทศท่ีมีการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดต่อนายกรฐั มนตรีหรือ
คณะผแู้ ทนของประเทศไทยทงั้ ภาครฐั และเอกชนท่ีเดินทางไปยงั ต่างประเทศ
รวมทงั้ ได้มีการเฝ้าติดตามการพิจารณาคดีมาบตาพุดอย่างใกล้ชิดและ

อย่างต่อเนื่อง

ศาลปกครอง

การบงั คบั ใช้กฎหมาย
เพื่ออานวยความเป็ นธรรมทางสังคม
ในการจัดการมลพษิ ของประเทศไทย

364

365

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สานักบริหารยุทธศาสตร์ สานักงานศาลปกครอง
ดาเนิ นการสารวจความเช่ือมนั่ ของประชาชนต่อการอานวยความยุติธรรม
ของศาลปกครอง ประจาปี งบประมาณ พ .ศ. ๒๕๕๔ โดยการจัดส่ง
แบบสอบถามไปยงั กลุ่มตวั อย่างท่ีเป็ นเป้าหมายในการศึกษาทวั่ ประเทศ
จานวน ๓ กลุ่มหลกั ได้แก่ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรฐั กลุ่มอาจารย์ นักวิชาการ
นักวิจยั และกลุ่มประชาชนทวั่ ไป ครอบคลุมทงั้ ผ้ทู ่ีมีประสบการณ์และผ้ทู ่ีไม่
มีประสบการณ์ในการใช้บริการของศาลปกครอง เพ่ือนาข้อมูลท่ีได้มาใช้
เป็ นแนวทางในการพัฒนากระบวนการอานวยความยุติ ธรรมของ
ศาลปกครอง สาหรบั หวั ข้อ ความเช่ือมนั่ ต่อการตดั สินคดีของศาลปกครอง
พบว่า คดีปกครองที่ประชาชนมีความเช่ือมนั่ มากท่ีสดุ คือ คดีมาบตาพดุ [1]

[1] สานักบริหารยุทธศาสตร์ สานักงานศาลปกครอง สรุปผลการสารวจความเช่ือมั่นของ
ประชาชนต่อการอานวยความยุติธรรมของศาลปกครอง ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔
( ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ) หน้า ๕

ปฏิกิริยาของมหาชน (Public Reaction) ต่อ

การพิจารณาคดีของศาลปกครองคดีมาบตาพดุ

เป็ นการ รวบรวมปฏิ กิ ริ ยาของมหาชนต่ อ

ศ า ล ป ก ค ร อ ง ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า พิ พ า ก ษ า ค ดี ม า บ ต า พุด

ซ่ึ งเป็ นความเห็นที่ ปรากฏต่ อสาธารณะโดยทัว่ ไป

ประกอบด้วย ความเห็นของนักวิชาการ บทบรรณาธิการ

คอลมั น์ต่างๆ และ ข่าวหนังสือพิมพท์ งั้ ในและต่างประเทศ

เป็ นข้อเทจ็ จริงท่ีตุลาการศาลปกครองจะได้รบั รู้

ความร้สู ึกและความคิดเหน็ ของบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ที่มี

ต่อการทาหน้าท่ีของศาลปกครองระหว่างการพิจารณาคดี

และภายหลงั การพิพากษาคดี

ซ่ึงส่ิงท่ีนาเสนอจะเป็นผลดีต่อการฝึ กฝนตลุ าการ

ให้มีจิตใจที่มัน่ คงและมีความกล้า (GUTS) ในการใช้

ดลุ พินิ จตดั สินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและหลกั วิชาการ

เพราะการมีคาสงั่ หรือคาพิพากษาในคดีปกครองนัน้ ต้องมี

การให้เหตุผลท่ีมีความสมเหตุสมผล เพื่อให้เป็ นที่ยอมรบั

ของสงั คม โดยตุลาการต้องไม่หวนั่ ไหวต่อกระแสต่างๆ ที่

เกิดขึ้นในสงั คมอยู่ตลอดเวลา เพื่อฝึ กฝนจิตใจตุลาการ

ไม่ให้เกิดอคติขึ้นในการทาหน้ าที่ อันเป็ นคุณสมบตั ิ ที่

สาคญั อย่างย่ิงของผ้ดู ารงตาแหน่งตุลาการศาลปกครอง

ทกุ ระดบั ชนั้ 367

การวพิ ากษ์ทางวชิ าการ

คาส่ังกาหนดมาตรการหรือวธิ ีการเพื่อบรรเทาทุกข์
เป็ นการชั่วคราวก่อนการพพิ ากษาคดี
กรณรี ะงบั ๗๖ โครงการ ทม่ี าบตาพดุ

คณุ ชานาญ จนั ทรเ์ รือง นักวิชาการอิสระ

“เป็นก้าวล่วงข้ามแดนของการใช้อานาจอธิปไตยของฝ่ ายบริหาร”

คณุ ชานาญ เหน็ ว่า น่าจะเป็นกา้ วลว่ งขา้ มแดนของการใชอ้ านาจอธปิ ไตยของฝ่ายบรหิ ารในการใชอ้ านาจ

บริหาร ซ่ึงศาลจะสามารถตรวจสอบได้เพียงในแง่ของความชอบด้วยกฎหมายเท่านัน้ มิใช่ในแง่ของ
ความเหมาะสมหรอื เป็นการกาหนดนโยบายใหฝ้ ่ายบรหิ ารนาไปปฏบิ ตั ิ ซ่งึ จะทาใหฝ้ ่ายตุลาการมอี านาจเหนือ
ฝ่ายบรหิ ารทข่ี ดั ตอ่ หลกั การแบง่ แยกและถว่ งดุลการใชอ้ านาจอธปิ ไตยตามหลกั นติ ริ ฐั

ฉะนนั้ การควบคุมหรอื ตรวจสอบฝ่ายบรหิ ารของฝ่ายตุลาการจงึ สามารถทาไดใ้ นแงข่ องความชอบดว้ ย
กฎหมาย มใิ ชก่ ารควบคุมในแงข่ องความเหมาะสม

อน่ึง กรณขี องมาบตาพดุ น้แี ตกต่างจากกรณีของการขายหนุ้ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลติ ทศ่ี าลปกครองสงู สดุ
มคี าสงั่ คุม้ ครองชวั่ คราวมใิ หข้ ายหุ้นเพราะหากมกี ารเปิดขายหุ้นไปแลว้ ย่อมท่จี ะยากแก่การแกไ้ ขเยยี วยาใน
ภายหลงั แต่กรณกี ลบั กนั ในกรณีมาบตาพดุ น้ีเมอ่ื มคี าสงั่ คุม้ ครองชวั่ คราวแลว้ กลบั ทาใหเ้ กดิ ความยากลาบากใน
การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ และหากมคี าพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหย้ กฟ้องยอ่ มยากทแ่ี กไ้ ขเยยี วยาใหก้ ารบรหิ ารหรอื
ภาวะเศรษฐกจิ การลงทุนกลบั สสู่ ภาพเดมิ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากรณีมาบตาพุดน้ีศาลเห็นว่า การกระทาทางการปกครองใดท่มี ปี ัญหาเก่ยี วกบั
ความน่าจะไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย เพราะเหตุทไ่ี ม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนูญในเร่อื ง
สทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน จนเป็นเหตุใหศ้ าลกาหนดมาตรการชวั่ คราวฯขน้ึ แต่กม็ ไิ ดห้ มายความว่าเป็น
การวนิ ิจฉยั วา่ ฝ่ายผถู้ กู ฟ้องคดกี ระทาการไมช่ อบดว้ ยกฎหมายแลว้ เพราะยงั ตอ้ งมกี ารพจิ ารณาพพิ ากษาจนถงึ
ทส่ี ดุ เสยี กอ่ น

ดร. วรเจตน์ ภาคีรตั น์
“Extreme” ทศั นะต่อคาสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ กรณีมาบตาพดุ (1)

ใบตองแหง้ สมั ภาษณ์ ดร.วรเจตน์ ภาครี ตั น์

“เร่อื งน้ีความจรงิ มปี ัญหาทางเทคนิคดว้ ย ในเร่อื งวธิ กี ารคุม้ ครองชวั่ คราว ว่ามนั เป็นเร่อื งการทุเลาการบงั คบั คาสงั่
ทางปกครอง วธิ กี ารทศ่ี าลปกครองสงู สดุ ใชใ้ นการทุเลาการบงั คบั ไม่ถูกตามวธิ พี จิ ารณา ซง่ึ อ.อคั รวทิ ยไ์ ดเ้ ขยี นความเหน็
แยง้ ไวช้ ดั เจน ไปอ่านดไู ด้ แต่ประเดน็ น้ีเป็นประเดน็ เทคนิค เป็นประเดน็ ทางวธิ พี จิ ารณา คนทวั่ ไปจะเขา้ ใจยาก ผมอาจไม่
ตอ้ งพดู กไ็ ด”้

“ผมมคี วามเหน็ เหมอื น อ.อคั รวทิ ยว์ ่า เร่อื งน้ีศาลชนั้ ตน้ กาหนดวธิ กี ารคุม้ ครองชวั่ คราวไม่ตรงตามเงอ่ื นไขกฎหมาย
กาหนด ถ้าอธิบายความคือ การสงั่ คุ้มครองชวั่ คราวมีอยู่ 2 แบบ อันหน่ึงคือการทุเลาการบังคบั ตามกฎหรือคาสงั่
ทางปกครอง อกี อนั กค็ อื การบรรเทาทุกขช์ วั่ คราว ซง่ึ เงอ่ื นไขไมเ่ หมอื นกนั ”

“คดนี ้ีคนฟ้องฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนตวั การอนุญาต ส่วนท่มี กี ารอนุญาตไปแลว้ มนั กเ็ ป็นคาสงั่ ทางปกครอง การฟ้อง
เพิกถอนและขอคุ้มครองชวั่ คราว คือการขอให้ระงบั การดาเนินการตามคาสงั่ ทางปกครอง ซ่ึงเวลาศาลจะพิจารณา
ศาลพจิ ารณาเง่อื นไขเร่อื งการทุเลาการบงั คบั ตามกฎหรอื คาสงั่ ทางปกครอง แต่ศาลไม่ไดใ้ ชอ้ นั น้ี ศาลไปเอาอกี อนั หน่ึง
เรยี กว่าการบรรเทาทุกข์ชวั่ คราว ซ่งึ มนั ไม่ตรง ศาลเอาอกี อนั หน่ึงมาใชซ้ ่ึงมนั ไม่ตรงในทางหลกั กฎหมาย ศาลมองว่า
โอเคมนั เกดิ มลพษิ ขน้ึ มาแลว้ กไ็ ม่ strict กม็ องว่าเอาการบรรเทาทุกขช์ วั่ คราวคอื สงั่ ใหร้ ะงบั ไปก่อน ซง่ึ ในทางวธิ พี จิ ารณา
ไมถ่ กู ตอ้ งตามหลกั เกณฑท์ างกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ไิ ว”้

ดร. วรเจตน์ ภาคีรตั น์
“Extreme” ทศั นะต่อคาสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ กรณีมาบตาพดุ (2)

ใบตองแหง้ สมั ภาษณ์ ดร.วรเจตน์ ภาครี ตั น์

“สทิ ธิท่ีเก่ียวพนั มนั ไม่ได้มแี ต่ตวั สทิ ธิชุมชน หรือสทิ ธิของบุคคลในเร่ืองการรกั ษาคุณภาพสงิ่ แวดล้อมอย่างเดียว
สทิ ธอิ นั น้ีอยใู่ นมาตรา 66-67 แตผ่ ปู้ ระกอบการกม็ สี ทิ ธเิ หมอื นกนั เป็นสทิ ธติ ามรฐั ธรรมนูญอกี สทิ ธหิ น่ึง คอื สทิ ธใิ นเสรภี าพ
ในการประกอบกจิ การหรอื ประกอบอาชพี ตามมาตรา 43 ซง่ึ เม่อื ไดร้ บั อนุญาตแลว้ กเ็ ป็นสทิ ธซิ ง่ึ ไดร้ บั ประกนั อกี เหมอื นกนั
เพราะฉะนนั้ น้าหนักทงั้ สองอนั น้ีตอ้ งชงั่ กนั เวลาจะทาอะไร ใหม้ นั ไปดว้ ยกนั จะเอาสุดโต่งไปดา้ นใดดา้ นหน่ึงไม่ได้ เพราะ
รฐั ธรรมนูญมคี ณุ คา่ ตรงน้ี กฎหมายมหาชนมคี ุณคา่ สองดา้ นน้ีอยดู่ ว้ ยกนั ”

“ประเดน็ สาคญั อกี ประเดน็ หน่ึงทไ่ี ม่ไดม้ กี ารพูดอย่างละเอยี ด คอื ประเดน็ เร่อื งผมู้ อี านาจฟ้องคดี ศาลไม่ไดช้ ใ้ี หช้ ดั ว่า
ผฟู้ ้องคดอี ยา่ งสมาคมต่อตา้ นภาวะโรครอ้ น หรอื สมาคมสมชั ชาองคก์ รเอกชนดา้ นการตุม้ ครองสง่ิ แวดลอ้ มฯ เอาอานาจฟ้อง
มาจากไหน แลว้ ผฟู้ ้องคดที เ่ี ป็นปัจเจกบุคคลนนั้ ถอื ว่าเป็นบุคคลซง่ึ รวมกนั เป็นชุมชนแลว้ หรอื ไม่ จะถอื ว่าผฟู้ ้องคดเี หล่าน้ี
เป็นชมุ ชนอนั จะนบั วา่ เป็นผทู้ รงสทิ ธติ ามรฐั ธรรมนูญอยา่ งไร”

“ศาลชนั้ ตน้ เขยี นซบั ซอ้ นมากเลย คอื 76 โครงการบอกใหร้ ะงบั หมด ยกเวน้ โครงการทไ่ี มร่ ะงบั คอื ไดใ้ บอนุญาตก่อน
วนั บงั คบั ใชร้ ฐั ธรรมนูญ 50 และโครงการท่ไี ม่ไดก้ าหนดประเภทให้ทารายงานวเิ คราะห์สง่ิ แวดลอ้ ม แต่ว่าถ้าโครงการท่ี
ยกเวน้ ใหท้ าไปก่อนไดเ้ ป็นโครงการท่ตี ้องดาเนินตามบทบญั ญตั มิ าตรา 67 วรรคสองกต็ ้องไปดาเนินการตามมาตรา 67
วรรคสองอีก คอื ผมอ่านแล้วก็งงว่าตกลงจะระงบั โครงการอนั ไหนบ้าง ศาลสูงแก้คาสงั่ ศาลชนั้ ต้นบางส่วนคอื ให้ระงบั
โครงการทงั้ หมดเป็นการชวั่ คราว และยกเวน้ โครงการทท่ี าได้ กาหนดลงไปเป็น 11 โครงการ” “เหตุผลผมไม่คดิ ว่าชดั กว่า

คอื เรอ่ื งน้ีเป็นปัญหาขอ้ เทจ็ จรงิ ”

คณุ คริส โปตระนันทน์ นิสิตชนั้ ปี ท่ี 4 คณะนิติศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั

มาบตาพดุ : อานาจศาลปกครอง อานาจที่ต้องทบทวน

คณุ คริส เหน็ ว่า หากศาลปกครองนัน้ ต้องการคุ้มครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนผูฟ้ ้องคดนี ้ี ศาลปกครอง

จะต้องคานึงถึงผลเสยี หายจากคาสงั่ บรรเทาทุกข์ชวั่ คราว การสงั่ หยุดโครงการเพราะไม่ทาตามกฎหมายสามารถทาได้
แต่ต้องอย่าลมื ว่ากรณีดงั กล่าวเอกชนเหล่าน้ีไม่ได้มคี วามผดิ อะไรเลย ถ้าจะให้เขาต้องมานัง่ รบั กรรมค่าเสยี หายทงั้ หมด
ถงึ แมว้ า่ จะเป็นบรษิ ทั ไทยกต็ าม คงตอ้ งมแี ผนปรบั ยา้ ยการลงทุนเป็นแน่

สงิ่ ท่ีน่าจะพอรบั ได้ หากศาลปกครองมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะสงั่ บรรเทาทุกข์ชวั่ คราว ณ วนั ท่ีศาลสงั่ คาสงั่ น้ี
ศาลปกครองตอ้ งอยา่ ลมื หลกั กฎหมายปกครองทส่ี าคญั ทส่ี ดุ “หลกั การเยียวยา” (Compensation) แต่อยา่ งไรกต็ าม คาสงั่

ศาลปกครองดงั กล่าวไมไ่ ดม้ กี ารกล่าวถงึ เร่อื งการเยยี วยาใหภ้ าคเอกชนแมแ้ ต่น้อย สงิ่ ทศ่ี าลปกครองอาจจะยงั พอแกไ้ ขไดก้ ็
คอื หากเอกชนฟ้องหน่วยงานราชการในคดใี หร้ บั ผดิ ชอบค่าเสยี หาย ศาลปกครองอาจจะยงั มโี อกาสทาใหค้ วามเช่อื มนั่ ของ
เอกชนกลบั มาอกี ครงั้ อนั ทจ่ี รงิ เร่อื งการเยยี วยาในประโยชน์ทเ่ี สยี หายใน พ.ร.บ. วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการ พ.ศ.2539 มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ
ในการเพกิ ถอนคาสงั่ ทม่ี ชิ อบดว้ ยกฎหมายในกรณีทเ่ี อกชนไม่มสี ่วนผดิ อยแู่ ลว้ แต่อย่างไรกด็ ี กรณีมาบตาพุดนนั้ พเิ ศษกว่า
ตรงทค่ี วามเสยี หายครงั้ น้ีเกดิ จากคาสงั่ บรรเทาทุกขช์ วั่ คราวเท่านัน้ ยงั ไมถงึ ขนั้ มกี ารเพกิ ถอนใบอนุญาต ปัญหาน้ีจงึ เป็น
ปัญหาทศ่ี าลปกครองจะตอ้ งพจิ ารณาวา่ จะชดเชยเยยี วยาความเสยี หายใหแ้ กภ่ าคเอกชนอยา่ งไร

ศาลปกครองนัน้ เป็นศาลท่มี เี ขตอานาจกว้างขวาง การพิพากษารวมถึงการสงั่ บรรเทาทุกข์ชวั่ คราว จึงทาให้เกิด
ผลกระทบต่อสาธารณชนในวงกวา้ ง นอกจากน้ีมขี อ้ สาคญั ทต่ี ้องพจิ ารณามากคอื การออกคาสงั่ บรรเทาทุกขช์ วั่ คราวมกั มี
คาสงั่ ดว้ ยความรวดเรว็ เพ่อื ใหท้ นั ต่อการคุม้ ครองเสรภี าพของผฟู้ ้องคดี ซ่งึ ณ จุดน้ีเองท่นี ่าห่วงว่าการทศ่ี าลปกครองจะสงั่
คาสงั่ น้ีออกไป อาจทาใหล้ ะเลยถงึ รายละเอยี ดทส่ี าคญั รวมถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไ่ี ม่อาจพจิ ารณาไดใ้ นระยะเวลาอนั สนั้ ประเดน็ น้ี
สงั คมจงึ ควรคดิ ว่า การออกคาสงั่ บรรเทาทุกขช์ วั่ คราว ควรหรือไม่ที่จะต้องมีกรอบบางอย่างเพื่อจากดั อานาจของ
ศาลปกครองมากกว่านี้ มิฉะนัน้ คาสงั่ บรรเทาทกุ ขช์ วั่ คราวอาจทาให้เกิดความเสียหายแก่สงั คมในวงกว้างได้

การเป็ น “นักกฎหมาย” นั้น มิได้หมายความว่าผู้นั้นจะเป็ น “ผู้เชี่ยวชาญ
กฎหมาย” และนอกจากนัน้ กฎหมายก็มีหลายสาขา เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา
กฎหมายวิธีพิจารณาความ กฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมายปกครอง ฯลฯ ดงั นัน้ การเป็ น
“ผ้เู ช่ียวชาญกฎหมาย (หากเป็ น)” กม็ ิได้หมายความว่า ผ้นู ัน้ จะเช่ียวชาญกฎหมายได้ใน
กฎหมายทุกสาขา นอกจากนัน้ การดารง “ตาแหน่งทางบริหาร” ในสถาบนั การศึกษา เช่น
ตาแหน่งคณบดีคณะนิ ติศาสตรก์ ็ดีหรือตาแหน่งอธิการบดี ในมหาวิทยาลยั ที่มีการเรียน
การสอนทางนิติศาสตรก์ ด็ ี กบั ความเช่ียวชาญกฎหมายนัน้ กเ็ ป็นคนละเรอ่ื งกนั

ดงั นัน้ ผ้ทู ี่ดารงตาแหน่งคณบดีนิ ติศาสตร์ในมหาวิทยาลยั จึงมิได้หมายความ
ว่าผ้นู ัน้ จะเป็ น “ผ้เู ชี่ยวชาญกฎหมาย” และแม้ว่าผ้นู ัน้ จะเป็ นผ้เู ช่ียวชาญกฎหมาย ก็มิได้
หมายความว่า ผนู้ ัน้ จะเป็ น “ผ้เู ชี่ยวชาญกฎหมายรฐั ธรรมนูญ” และแม้แต่อาจารย์ “ผ้ทู ี่สอน
วิ ชากฎหมายรัฐธรรมนูญ” ในมหาวิทยาลัยเอง ก็มิ ได้หมายความว่า ผู้นั้นจะเป็ น
“ผเู้ ชี่ยวชาญกฎหมายรฐั ธรรมนูญ” ซ่ึงเราสามารถทราบได้เพียงการนาเอาตาราหรือเอกสาร
ท่ีอาจารยใ์ ช้สอนนักศึกษา(ถ้าหากจะมี) วางเทียบกบั ตารารฐั ธรรมนูญของประเทศที่พฒั นา
แล้วกจ็ ะเหน็ ความแตกต่าง[1]

[1]อมร จนั ทรสมบรู ณ์, ผลไม้มีพิษมาจากต้นไม้ท่ีมีพิษจริงหรอื (?), สานักพิมพว์ ิญญชู น, กรงุ เทพมหานคร : พฤษภาคม ๒๕๕๕, หน้า ๒๔.

“วิธีคิด” การห้ามศาลวางหลกั กฎหมายแทนรฐั สภา มีผลให้ศาล
สนใจแต่ตวั บทแทนอุดมคติท่ีสอนกนั ว่าต้องใส่ใจความเป็ นธรรมในลาดบั
สงู สุด โดยเฉพาะคดีส่ิงแวดล้อมท่ีปัญหามลพิษเติบใหญ่ไปเรว็ จนตวั บทตาม
ไม่ทนั ซึ่งทาให้เกิด “ช่องว่างแห่งความเป็นธรรม” ท่ีเหน็ ชดั เสมอ

ดงั นัน้ “หลกั อดุ ช่องว่างทางกฎหมาย” (Filling Gaps in Law) ที่ให้

อานาจศาล “อุดช่องว่าง” เป็ นการชัว่ คราวจึงเป็ นเรื่องสาคัญสาหรับ
คดีสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวพนั คณุ ค่าของความเป็ นมนุษย์ เพราะการอดุ ช่องว่าง

ทางกฎหมาย (Gaps of Law) ทาให้สามารถอดุ ช่องว่างความไม่เป็นธรรม

(Gaps of Justice) ไปพร้อมกนั

บทสรปุ ท่ีกล่าวมาข้างต้น เป็ นประโยชน์ต่อการสื่อสารให้สงั คมไทย

เข้าใจถึงบทบาทของอานาจตุลาการ ในการ “อุดช่องว่างทางกฎหมาย”
เพื่อความเป็ นธรรมทางสังคม ที่สามารถกระทาได้ภายใต้บริบทของ
หลกั การแบ่งแยกอานาจ (Separation of Power) ซ่ึงไม่ใช่เป็นการแย่งชิง
ใช้อานาจของฝ่ ายนิติบญั ญตั ิแต่อย่างใด

( ทีมวิจยั ปัญหาตลุ าการศาสตร์ )

ศาสตราจารย์ ดร. พนัส ทศั นียนนท์ กล่าวว่า “หลกั นิ ติธรรมส่ิงแวดล้อม” นัน้
มาจากบทบญั ญตั ิมาตรา ๓ ประกอบกบั มาตรา ๖๗ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั ร
ไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ตวั อย่างของคดีส่ิงแวดล้อมท่ีนาหลกั นิ ติธรรมสิ่งแวดล้อมมา
ประกอบการพิจารณาคดี คือ “คดีมาบตาพดุ ” ซึ่งเป็ นการพิจารณาคดีโดยศาลปกครอง
๒ คดี คดีแรก ศาลปกครองระยองพิพากษาให้มาบตาพดุ และอีกหลายตาบลของจงั หวดั
ระยองเป็ นเขตควบคุมมลพิษ คดีที่สอง เป็ นการฟ้องคดีท่ีศาลปกครองกลางเพ่ือขอให้
ศาลเพิกถอนรายงานการวิเคราะหผ์ ลกระทบส่ิงแวดล้อมและเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ
ที่ผ้ถู กู ฟ้องคดีให้ความเหน็ ชอบหรืออนุญาต จานวน ๗๖ โครงการ โดยโครงการดงั กล่าว
ไม่ได้ปฏิบตั ิตามบทบญั ญตั ิมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ซ่ึงศาลปกครองกลางมีคาสงั่ ระงบั โครงการหรือกิจกรรม จานวน
๗๖ โครงการ ที่กาลงั ดาเนิ นการในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นท่ีใกล้เคียงในจงั หวดั ระยอง
ไว้เป็นการชวั่ คราวก่อนศาลจะมีคาพิพากษา[1]

[1]พนัส ทศั นียนนท์, อ้างใน ปรยี านุช มหาวรรณ, ศูนย์สนับสนุนวชิ าการคดปี กครอง สานักวจิ ยั และวชิ าการ
สานกั งานศาลปกครอง สรปุ การสมั มนาวชิ าการศาลยตุ ธิ รรมครบรอบ ๑๒๘ ปี “ศลิ ปะในการตดั สนิ คดสี งิ่ แวดลอ้ ม” เอกสารทนั
ขา่ ววชิ าการ สวว. ฉบบั ท่ี ๕๕ ประจาสปั ดาหท์ ่ี ๓ เดอื นเมษายน ๒๕๕๓.

“ดร. คนึงนิจ ศรีบวั เอย่ี ม” กรณีมาบตาพดุ เป็นภาพสะท้อนการดาเนิน

นโยบายการพัฒนาประเทศท่ี ไม่ได้ คานึ งถึงหลักการพัฒนาที่ ยัง่ ยืน

แต่เป็ นการพัฒนาท่ี มุ่งเน้ นการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มข้น จนเลยขีด
ความสามารถท่ีส่ิงแวดล้อมจะเยียวยาและจดั การโดยตวั เองได้ จึงก่อให้เกิด
มลพิษในส่ิงแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตต่างๆ รวมทงั้ สุขภาพของ
ประชาชนท่ีอาศยั อยู่ในบริเวณโดยรอบพื้นที่อุตสาหกรรม นับเป็ นปัญหาท่ี
เกิดขึ้นซ้าซาก ทัง้ ท่ีมีให้เห็นได้ในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ท่ีเคยผ่าน

ประสบการณ์อนั เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน แต่กลบั กลายเป็นบทเรียนที่ผทู้ ่ีเกี่ยวข้อง
ในสงั คมไทยมิได้เรียนร้แู ละหาทางป้องกนั

สงั คมไทยคงไม่ต้องการเห็นการฟ้ องคดีสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงเกิด
คาถามตามมาว่าระบบกลไกการจดั การส่ิงแวดล้อมปกติท่ีเป็ นอยู่ในปัจจุบนั
ไม่อาจนาไปส่กู ารแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมได้เพียงลาพงั อีกต่อไปแล้ว

จึงถงึ เวลาแล้วท่ีจะต้องยกระดบั การมองปัญหาและแนวทางการแก้ไขท่ีสงู ขึน้

เมอื่ มลู ค่าเศรษฐกิจเสียหาย
จะเป็นจะตายเหมอื นแผน่ ดินจะสิ้นสดุ

แต่คณุ ค่าของความเป็นมนุษย์
มาบตาพดุ เสียหายไมร่ บั รู้ ฯ

สจุ ิตต์ วงษ์เทศ

มติชนรายวนั ปี ท่ี 32 ฉบบั ที่ 11537
วนั ที่ 11 ตลุ าคม พ.ศ. 2552

คดีมาบตาพดุ

คนท่ีเขาได้รบั ทกุ ขม์ ากว่า 25 ปี
ขอให้เขาได้มีโอกาสได้คืนพืน้ ท่ีบา้ ง ได้หายใจบริสทุ ธ์ิบา้ ง

ให้เขาได้รบั การฟื้ นฟใู นทางจิตใจ

3 ปี อตุ สาหกรรมไม่ตาย....

นายอานันท์ ปันยารชนุ อดีตนายกรฐั มนตรี 378
ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบตั ิตามมาตรา 67 วรรคสอง

ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

ปาฐกถา
“มองผา่ นมาบตาพดุ สคู่ วามเขม้ แขง็ ของภาคประชาชนสกู่ ารปฏริ ปู ประเทศไทย”

“สงั สรรค์ สาระ ระดมทุน ครบรอบ 5 ปี เครอื ขา่ ยประชาชนภาคตะวนั ออก”
ณ สนามกฬี ากลางจงั หวดั ระยอง
วนั ท่ี 23 ธนั วาคม 2553

ทม่ี า สานกั ขา่ วอศิ ราวนั พฤหสั บดี วนั ท่ี 6 มกราคม 2554

คดีมาบตาพดุ

คาสงั่ สานักนายกรฐั มนตรี ท่ี 250/2552
เรือ่ ง แต่งตงั้ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบตั ิตามมาตรา 67 วรรคสอง
ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย ลงวนั ท่ี 13 พฤศจิกายน 2552

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรฐั มนตรี ประธานกรรมการ กล่าวว่า ปัญหาท่ีมาบตาพดุ ไม่ได้
เกิดจากการมีรฐั ธรรมนูญตามมาตรา 67 แต่เกิดจากการปฏิบตั ิและบงั คบั ใช้กฎหมายท่ีหละหลวม ไม่ว่าจะเป็น
ฝ่ ายอุตสาหกรรม ฝ่ ายชุมชน และภาครฐั ดงั นัน้ การแก้รฐั ธรรมนูญมาตรานี้จึงไม่ใช่วิสยั ในการแก้ปัญหา

คณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้มีหน้าที่หรือคิดจะมาตดั สินว่า ใครผิดใครถกู ในอดีตใครเป็ นต้นเหตหุ รือ
ผ้กู ่อเหตุท่ีทาให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้น คณะกรรมการจะพิจารณาเรื่องนี้ด้วยใจท่ีเป็ นอิสระ และการแสวงหา
“ความเป็ นธรรมในแง่ของสิทธิ มนุษยชน”

ภาคธรุ กิจและภาคอตุ สาหกรรมต้องทางาน ทามาหากินตาม “หลกั ธรรมาภิบาล” และ “รบั ผิดชอบ
ต่อสงั คม” ส่วนชมุ ชนกม็ ีสิทธิท่ีจะมีอากาศบริสทุ ธ์ิ มีน้าด่ืมต้องบริสทุ ธ์ิ มีอาชีพทามาหากินได้ ไม่ถกู กระทบจาก
มลพิษ แต่วนั นี้เขาเป็นเหย่ือของมลภาวะที่เกิดขึน้ จากอตุ สาหกรรม

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปบอกว่าความผิดทงั้ หมดอยู่ที่อุตสาหกรรม ความผิดอาจจะเกิดขึ้นจากหลาย
ประการ เช่น กติกาไมแ่ น่ชดั มีการเปล่ียนแปลง ไมม่ ีการบงั คบั ใช้ โดยเหตผุ ลอะไร

หน้าที่ของคณะกรรมการ คือ การประสานข้อเสนอข้อคิดเหน็ ของทุกฝ่ าย และพยายามหาจุดร่วม
ที่ทุกฝ่ ายรบั ได้ นโยบายที่ผมตงั้ ไว้ คือ คณะกรรมการจะไม่วินิจฉัยว่า ใครผิด ใครถกู แต่จะหาข้อเทจ็ จริงและ
เสนอแนะข้อคิดเหน็ ทงั้ หมด ท่ีทาให้ทกุ คนอย่ดู ้วยกนั ได้

379

คดีมาบตาพดุ

ศาสตราจารย์ ดร.อกั ขราทร จุฬารตั น ประธานศาลปกครองสูงสุด
กล่าวว่า “แนวทางของศาล ไม่ใช่การชัง่ น้าหนัก ระหว่างชีวิตชาวบ้าน
ที่ เ ดื อ ด ร้ อ น กับ เ งิ น ล ง ทุ น ข อ ง ธุร กิ จ ข น า ด ใ ห ญ่ ที่ อ า จ ก ร ะ ท บ ต่ อ ไ ป ถึ ง
ทิศทางการพฒั นาประเทศ แต่สิ่งท่ีสาคญั กว่านัน้ คือ ความมีเหตุมีผล
ซึ่งไม่ใช่เร่ืองของเงินหมื่นล้านแสนล้าน ถ้าคาพิพากษาของศาลสามารถ

อธบิ ายไดช้ ดั เจน รฐั บาลเองกต็ อ้ งครุ่นคดิ วา่ แนวทางทถ่ี ูกตอ้ งควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร
เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความถูกต้องควรปฏบิ ตั อิ ย่างไร เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความถูกต้องและแนวทาง
ปฏิบตั ิในอนาคต ไม่ใช่แก้ปัญหาเป็นรายกรณี เพราะปัญหาวกิ ฤตสง่ิ แวดล้อม
เกดิ ขน้ึ ทวั่ ไปหมด ทงั้ ในนิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมอุตสาหกรรม ถ้ารฐั บาล
ไม่สร้างแนวทางท่ถี ูกต้องวนั ขา้ งหน้าก็ต้องตามไปแก้ปัญหาแต่ละกรณีไม่รู้จบ
และจะมตี น้ ทุนทต่ี อ้ งจา่ ยแพงขน้ึ ไปเรอ่ื ยๆ เช่นเดียวกนั กบั ภาครฐั ภาคเอกชน
รวมถงึ ภาคประชาชน กค็ วรเลิกทาตวั เป็น ศรีธนญชยั เสียที”

หนงั สือพมิ พป์ ระชาชาติธุรกิจ วนั ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒, หนา้ ๒.

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สานักบริหารยุทธศาสตร์ สานักงานศาลปกครอง
ดาเนิ นการสารวจความเช่ือมนั่ ของประชาชนต่อการอานวยความยุติธรรม
ของศาลปกครอง ประจาปี งบประมาณ พ .ศ. ๒๕๕๔ โดยการจัดส่ง
แบบสอบถามไปยงั กลุ่มตวั อย่างท่ีเป็ นเป้าหมายในการศึกษาทวั่ ประเทศ
จานวน ๓ กลุ่มหลกั ได้แก่ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรฐั กลุ่มอาจารย์ นักวิชาการ
นักวิจยั และกลุ่มประชาชนทวั่ ไป ครอบคลุมทงั้ ผ้ทู ่ีมีประสบการณ์และผ้ทู ่ีไม่
มีประสบการณ์ในการใช้บริการของศาลปกครอง เพ่ือนาข้อมูลท่ีได้มาใช้
เป็ นแนวทางในการพัฒนากระบวนการอานวยความยุติ ธรรมของ
ศาลปกครอง สาหรบั หวั ข้อ ความเช่ือมนั่ ต่อการตดั สินคดีของศาลปกครอง
พบว่า คดีปกครองที่ประชาชนมีความเช่ือมนั่ มากท่ีสดุ คือ คดีมาบตาพดุ [1]

[1] สานักบริหารยุทธศาสตร์ สานักงานศาลปกครอง สรุปผลการสารวจความเช่ือมั่นของ
ประชาชนต่อการอานวยความยุติธรรมของศาลปกครอง ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔
( ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ) หน้า ๕

คดีมาบตาพดุ มีส่วนผลกั ดนั ทาให้เกิด
พฒั นาการทางความคิดของสงั คมไทยอย่างจริงจงั

เกี่ยวกบั เรอ่ื ง

การพฒั นาอตุ สาหกรรมเชิงเศรษฐนิเวศ

Eco Industrial Development : EID

เมืองอตุ สาหกรรมเชิงนิเวศ

Eco Industrial Town : EIT

การประเมินส่ิงแวดล้อมระดบั ยทุ ธศาสตร์

Strategic Environmental Assessment : SEA

383





อานาจศาลปกครอง

อานาจในฐานะองคก์ รใช้อานาจอธิปไตยของรฐั
ตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

(รฐั สภา คณะรฐั มนตรี ศาล)

อานาจในฐานะศาลซ่ึงเป็นองคก์ รตลุ าการของรฐั
มาตรา ๑๙๗ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐
(การนิติบญั ญตั ิ การบริหารราชการแผน่ ดิน การพิจารณาพิพากษาคดี)

อานาจในฐานะศาลเพ่ือพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
ตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย
พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าท่ีระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒

(ศาลยตุ ิธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร)

อานาจในฐานะศาลปกครองเพื่อพิจารณาพิพากษาตามเนื้อหาคดีปกครอง
ตามบทบญั ญตั ิแห่งพระราชบญั ญตั ิจดั ตงั้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

(กฎ คาสงั่ และ การกระทาอ่ืนใด)
(มาตรา ๙ (๖) คดีพิพาทเกี่ยวกบั เร่ืองที่มีกฎหมายกาหนดให้อย่ใู นเขตอานาจศาลปกครอง)

อานาจของศาลปกครอง

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐

มาตรา ๒๗๖ ศาลปกครองมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหนวยราชการ หน่วยงานของรฐั

รฐั วิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือองค์กรตามรฐั ธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั ทิ่อยู่ในบงั คบั บญั ชา

หรือในกากบั ดแู ลของรฐั บาลกบั เอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ หรือราชการ

ส่วนท้องถ่ิน หรือหรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั ที่อยู่ในบงั คบั บญั ชาหรือในกากบั ดูแลของรฐั บาลด้วยกนั ซ่ึงเป็ น

ข้อพิพาท อนั เน่ืองมาจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาที่ หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ

ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้ าท่ีท่ีของรฐั นั้น ต้องปฏิ บตั ิตามกฎหมาย หรือเนื่ องจากการกระทาหรือ

การละเว้นการกระทา ที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ ราชการส่วนท้องงถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรฐั

นัน้ ต้องรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าที่ตามกฎหมาย ทงั้ นี้ ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐

มาตรา ๒๒๓ ศาลปกครองมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรฐั

รฐั วิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือองค์กรตามรฐั ธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั กบั เอกชน หรือ

ระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ องค์กรรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตาม

รฐั ธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าท่ีท่ีของรฐั ด้วยกนั อนั เนื่องมาจากการใช้อานาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือ

เนื่องมาจากการดาเนินกิจการทางปกครองของ หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ องคก์ รรปกครอง

ส่วนท้องถ่ิน หรือองคก์ รรตามรฐั ธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั ทงั้ นี้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ รวมทงั้ มีอานาจ

พิจารณาพิพากษาเร่ืองที่รฐั ธรรมนูญหรือกฎหมายบญั ญตั ิให้อย่ใู นอานาจของศาลปกครอง 387

ประเดน็
เขตอานาจศาล
ภายใต้องคก์ รตลุ าการของรฐั
(ศาลยตุ ิธรรม & ศาลปกครอง)

ศาลภายใต้องคก์ รตลุ าการของรฐั

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ กาหนด หมวด ๑๐ ว่าด้วย
ศาล ส่วนที่ ๑ บททัว่ ไป ส่วนที่ ๒ ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนท่ี ๓ ศาลยุติ ธรรม ส่วนท่ี ๔
ศาลปกครอง ส่วนที่ ๕ ศาลทหาร จะเห็นว่า ตามบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทยมีการจดั องค์กรศาลภายใต้สถาบนั ตุลาการของรฐั ที่ใช้อานาจอธิปไตย
ประกอบด้วยศาลหลายศาล

ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกบั อานาจหน้าที่ระหว่างศาล กาหนดไว้ในมาตรา ๑๙๙
วรรคหน่ึง ว่า ในกรณีที่มีปัญหาเก่ียวกบั อานาจหน้าท่ีระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง
ศาลทหาร หรอื ศาลอ่ืน ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหน่ึงซ่ึงประกอบด้วย
ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสงู สดุ ประธานศาลอ่ืน และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
อื่นอีกไมเ่ กินสี่คนตามที่กฎหมายบญั ญตั ิเป็นกรรมการ วรรคสอง หลกั เกณฑก์ ารเสนอปัญหา
ตามวรรคหน่ึ งให้เป็ นไปตามกฎหมายบญั ญัติ ซ่ึงได้มีการตรา พระราชบญั ญัติว่าด้วย
การวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าท่ีระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒

“เพ่ือประโยชน์ของรัฐ หรือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม”

ความเป็ นหนึ่งเดยี วของรัฐ

“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย”

ศาลรัฐธรรมนูญ : องค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

องค์กรใช้อานาจอธิปไตย “รัฐสภา” “คณะรัฐมนตรี” “ศาล”

หน้าทหี่ ลกั ตามรัฐธรรมนูญ นิติบัญญตั ิ บริหารราชการแผ่นดนิ ตุลาการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ

การจัดองค์กร วฒุ สิ ภา ราชการบริหารส่วนกลาง ศาลยุตธิ รรม ก ก ต. ป ป ช.

สภาผู้แทนราษฎร ราชการบริหารส่วนภูมภิ าค ศาลปกครอง ผู้ตรวจการแผ่นดนิ

ราชการบริหารส่วนท้องถน่ิ ศาลทหาร อยั การ, ก ส ม.

รัฐวสิ าหกจิ และอื่น ๆ ฯลฯ

องค์กรอ่ืนภายในรัฐ

สานักพระราชวงั สภาวชิ าชีพ ภาคเอกชน กล่มุ เอน็ จโี อ กล่มุ อาชีพ สถาบนั ทางสังคมอ่ืนๆ ฯลฯ

“ราษฎร” “ประชาชน” “พลเมือง” 390

ศาลปกครอง
Administrative Court

391

การจดั ระบบศาลของไทยภายใต้องคก์ รตลุ าการของรฐั

เพ่ือแก้ไขความไมเ่ ป็นธรรมทางสงั คม

ในอดีตการปกครองของประเทศไทยเกิดสภาพปัญหาทางด้านกฎหมายที่รฐั ธรรมนูญ

และรฐั สภาตรากฎหมายให้อานาจฝ่ ายบริหารออกกฎหมายลาดบั รองเป็ นจานวนมาก เช่น

พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบญั ญตั ิ ระเบียบ หลกั เกณฑ์ และวิธีการ

ต่างๆ มากมาย ทาให้หน่วยงานของรฐั หรอื เจ้าหน้าที่ของรฐั มีอานาจปฏิบตั ิการอย่างกว้างขวาง

ผลท่ีเกิดขึ้นตามมาคือ มีการกระทาล่วงลา้ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มีการ

กระทาไปโดยไม่รบั ฟังข้อเทจ็ จริงจากผทู้ ่ีประโยชน์ได้เสียของเขาได้รบั ผลกระทบกระเทือน หรือ

กระทาการโดยขาดการตรวจสอบข้อเทจ็ จริงท่ีถกู ต้อง หรือกระทาการไม่เป็ นไปตามมาตรฐาน

ท่ีกาหนดไว้ในเรื่องนัน้ ๆ หลายกรณีเป็ นการกระทาโดยไม่ถกู ต้องตามรูปแบบขนั้ ตอนหรือ

วิธีการอนั เป็นสาระสาคญั ที่กาหนดไว้สาหรบั การกระทานัน้

รวมทงั้ การดาเนิ นกิจกรรมทางปกครองที่มีลกั ษณะเป็ นการกระทาทางกายภาพของ

หน่วยงานของรฐั หรือเจ้าหน้าที่ของรฐั หลายๆกรณี ทาให้ประชาชนได้รบั ความเดือดร้อนหรือ

เสียหาย ประกอบกบั กระบวนการยตุ ิธรรมของรฐั ที่มีอยู่ในขณะนัน้ ไม่เอื้อต่อประชาชนในการ

ต่อสู้คดีท่ีคู่กรณีเป็ นหน่ วยงานของรฐั หรือเจ้าหน้ าท่ีของรฐั เพราะประชาชนอยู่ในฐานะ

เสียเปรียบหน่วยงานของรฐั หรือเจ้าหน้าที่ของรฐั จึงเกิดความไม่เป็ นธรรมขึ้นในสงั คมไทย

อย่างกว้างขวาง 392

การจดั ระบบศาลภายใต้องคก์ รตลุ าการของรฐั

เพ่ือแก้ไขความไมเ่ ป็นธรรมทางสงั คม

ปรากฏเหตุผลในทา้ ยพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ.

๒๕๔๒ ว่า โดยทร่ี ฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยไดบ้ ญั ญตั ใิ หจ้ ดั ตงั้ ศาลปกครองขน้ึ เพอ่ื ใหม้ อี านาจ

พจิ ารณาพพิ ากษาคดที ่ีมขี ้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรฐั หรอื

เจา้ หน้าทข่ี องรฐั หรอื ระหว่างหน่วยงานของรฐั หรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ดว้ ยกนั เกย่ี วกบั การกระทาหรอื

การละเวน้ การกระทาทห่ี น่วยงานของรฐั หรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย หรอื เน่ืองจาก

การกระทาหรอื ละเวน้ การกระทาทห่ี น่วยงานของรฐั หรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ตอ้ งรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั ิ

หน้าทต่ี ามกฎหมาย ซง่ึ ตามอานาจหน้าทข่ี องศาลปกครองดงั กล่าวเป็นเร่อื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การออกกฎ

หรอื คาสงั่ ทางปกครอง การกระทาละเมดิ ในทางปกครอง หรอื การทาสญั ญาทางปกครองอนั เป็นเร่อื ง
ของ “กฎหมายมหาชน” และโดยทร่ี ะบบการพจิ ารณาและพพิ ากษาคดจี าเป็นตอ้ งมกี ระบวนการเป็น

พเิ ศษต่างจากคดปี กติ ทวั่ ๆ ไป เพราะผลแห่งคาพพิ ากษาอาจกระทบถงึ การบรหิ ารราชการแผ่นดนิ

หรอื ตอ้ งจ่ายเงนิ ภาษอี ากรของสว่ นรวมเป็นคา่ ชดเชยหรอื คา่ เสยี หายแก่เอกชน ในขณะเดยี วกนั เอกชน

จะอย่ใู นฐานะเสยี เปรยี บทไ่ี มอ่ าจทราบขอ้ มลู จากหน่วยงาน ของรฐั ได้ ในการพจิ ารณาจงึ จาเป็นตอ้ งใช้
“ระบบไต่สวน” เพอ่ื หาขอ้ เทจ็ จรงิ ทแ่ี ทจ้ รงิ และตอ้ งมี “ตลุ าการท่ีมีความเช่ียวชาญ” เป็นการเฉพาะ

ซง่ึ สามารถตรวจสอบไดจ้ ากฝ่ายบรหิ าร ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ และประชาชนทวั่ ไป ซง่ึ จะถูกกระทบในทางใด

ทางหน่งึ จากคาพพิ ากษาของศาลปกครอง 393

“ตลุ าการท่ีมีความเชี่ยวชาญ”

สั งคมไทยมีเจตจานงจัดต้ังศาลปกครองขึ้นมาเพื่อให้ มีอานาจพิจารณา
พิพากษาคดีปกครอง โดยใช้หลักกฎหมายมหาชนและมีตุลาการที่มีความเช่ียวชาญ
ด้านกฎหมายมหาชนทาหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครอง เช่ นเดียวกับท่ีมี
เจตจานงเพื่อให้ศาลยุติธรรมเป็ นศาลที่มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยใช้
หลักกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาเป็ นพื้นฐาน และมีผู้พิพากษาที่เชี่ยวชาญ
ด้ า น ก ฎ ห ม า ย แ พ่ ง แ ล ะ ก ฎ ห ม า ย อ า ญ า ท า ห น้ า ที่ พิจ า ร ณ า พิพ า ก ษ า ค ดีดังก ล่ า ว

เน่ืองจากสังคมไทยมีประสบการณ์และข้อเท็จจริงท่ีปรากฏมาในอดีตว่า
ตุลาการหรือผู้พิพากษาท่ีทาหน้าท่ีพิจารณาพิพากษาคดีลักษณะต่างๆ ไม่ใช่ผู้ท่ีจะมี
ความรู้ และความเชี่ ยวชาญไปหมดทุ กเร่ื องโดยเฉพาะบนสภาวะของสั งคมและ
วทิ ยาการต่างๆ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงและก้าวหน้าไปทุกขณะ

394

ระบบศาลภายใต้องค์กรตุลาการของประเทศไทย

องค์กรตุลาการของรัฐ

คณะกรรมการชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล

ศาลปกครอง ศาลยตุ ิธรรม ศาลทหาร
ศาลแพง่ ศาลอาญา ศาลชานญั ฯ
ว.ิ ปกครอง
ว.ิ แพง่ ว.ิ อาญา ว.ิ เฉพาะ พระธรรมนูญ
ระบบไต่สวน ศาลทหาร
ระบบ ระบบ ระบบ
วิ.ปกครองกาหนดให้นา กล่าวหา กลา่ วหา ไตส่ วน
วิ.แพ่ง มาใช้โดยอนุโลม แต่ยงั
มีการยึดติ ดกับหลัก วิ .แพ่ง
มากเกินไป และนามาใช้ใน
ก า ร พิ จ า ร ณ า ค ดี ป ก ค ร อ ง
โดยขาดการพิจารณา จึงเกิด
ปั ญ ห า ต่ อ ก า ร อ า น ว ย ค ว า ม
ยุติ ธรรมทางปกครองเพ่ือ
คุ้มครองสิ ทธิ และเสรีภาพ

ประชาชน จึงต้องพฒั นาหลกั

ก ฎ ห ม า ย ป ก ค ร อ ง ขึ้ น ม า ใ ห้

สมบูรณ์โดยเรว็

กรณีศึกษา

ศาลปกครองมีคาสงั ่
ไมร่ บั คาฟ้องไว้พิจารณา
เพราะไม่อย่ใู นอานาจศาลปกครอง

คดีการเคหะแห่งชาตินาพืน้ ท่ีสวนสาธารณะไปก่อสรา้ งแฟลต
( ศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดาที่ ๑๑๘๘/๒๕๔๕ คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๔๔๔/๒๕๔๕ )

คดสี ุกจิ
การเคหะแห่งชาตนิ าสวนสาธารณะไปก่อสร้างแฟลต

ความเห็นแย้ง
คดหี มายเลขดาที่ ๑๑๘๘/๒๕๔๕ คดหี มายเลขแดงที่ ๑๔๔๔/๒๕๔๕

มาตรา ๙ พระราชบญั ญัตกิ ารเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้การเคหะแห่งชาติ
มีอานาจกระทากิจการต่างๆ ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อานาจ
เช่นว่าน้ันให้รวมถึง (๕) จัดให้มีหรือพัฒนาสาธารณูปโภคหรือบริการอื่นที่จาเป็ น
เพ่ือให้สภาพการอยู่อาศัยดขี นึ้

และบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า
ในการดาเนินกิจการของการเคหะแห่ งชาติให้ คานึงถึงประโยชน์ ของรัฐ
และประชาชน

การวางผงั เมืองโดยการเคหะแห่งชาติ

ตามพระราชบญั ญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗

7/4/2022

วเิ คราะห์วธิ ีคดิ ของตุลาการ
How Judges Think

คดกี ารเคหะแห่งชาตินาพืน้ ท่ีสวนสาธารณะไปก่อสร้างแฟลต

ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเป็ นรัฐวิสาหกิจที่จัดต้ังขึ้นโดยประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๑๖
ลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ และต่อมาได้มีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเคหะแห่งชาติ โดยยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ
ดังกล่าว และประกาศใช้พระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังน้ัน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็ นหน่วยงานทางปกครอง
ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ .ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๖ แห่ง
พระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้กาหนดวัตถุประสงค์ของผู้ถูกฟ้องคดีไว้หลายประการ ซึ่งในบรรดา
วัตถุประสงค์เหล่าน้ันบางวัตถุประสงค์จาต้องใช้อานาจรัฐดาเนินการหรือกระทาการในนามรัฐ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์
ดังกล่าว เช่น การจัดให้มีเคหะเพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยหรือการปรับปรุง รื้อ ย้าย หรือย้ายแหล่งเส่ือมโทรม เพื่อให้มี
สภาพการอยู่อาศัย สิ่งแวดล้อม เศรษฐกจิ และสังคมดขี นึ้ ซ่ึงอาจมคี วามจาเป็ นต้องดาเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เป็ นต้น
แต่ในบางวัตถุประสงค์ก็เป็ นเร่ืองท่ีผู้ถูกฟ้องคดีสามารถดาเนินการได้เช่นเดียวกับเอกชนทั่วไป โดยไม่ต้องใช้อานาจรัฐหรือ
กระทาในนามรัฐ เช่น การประกอบธุรกจิ เกยี่ วกบั การก่อสร้างอาคารหรือจัดหาทดี่ นิ เป็ นต้น

คดนี ีเ้ หตุแห่งการฟ้องคดคี ือ ผู้ถูกฟ้องคดนี าทีด่ ินจานวน ๑๖ ไร่ ซ่ึงจัดสรรไว้เพ่ือประโยชน์ของผู้เช่าซื้อบ้านและ
ทด่ี นิ ในโครงการหมู่บ้านนักกฬี าแหลมทองไปจดั สรรใหม่เป็ นโครงการบ้านศรีพฤฒา ซึ่งเป็ นการกระทาทผ่ี ดิ เงื่อนไขในสัญญา
เช่าซื้อระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี อันเป็ นสัญญาทางแพ่งท่ีเกิดจากการประกอบธุรกิจเก่ียวกับการก่อสร้างอาคารของ
ผู้ถูกฟ้องคดี การที่ผู้ฟ้องคดีจะถูกกระทบสิทธิจากการผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่เพียงใดน้ัน จึงเป็ นความสัมพันธ์ภายใต้หลัก
กฎหมายแพ่งทผี่ ู้ฟ้องคดกี บั ผู้ถูกฟ้องคดมี ตี ่อกนั จึงเป็ นกรณที ่ผี ู้ถูกฟ้องคดไี ม่ได้ใช้อานาจรัฐ ในการดาเนินการหรือกระทาการ
ในนามของรัฐ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์และสัญญาพิพาทไม่มีลักษณะเป็ นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่ง
พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงมีคาส่ังไม่รับคาฟ้องไว้พิจารณาและ

ให้จาหน่ายคดอี อกจากสารบบความ


Click to View FlipBook Version