The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ที่เที่ยวลำพูน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ploychompu096, 2020-10-20 09:09:03

ที่เที่ยวลำพูน

ที่เที่ยวลำพูน

สถานที่เท่ียวจงั หวดั ลาพนู

คานา

โครงงานเลม่ น้ีเป็นส่วนหน่ึงของวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี4
โดยโครงงานเล่มน้ีจะมีเน้ือหาเก่ียวกบั การจดั ทาโครงงานสถานท่ีท่องเที่ยวของจงั หวดั ลาพนู
จะบอกในเร่ืองสถานที่ทอ่ งเที่ยวและประวตั ิความเป็ นมาของจงั หวดั น้นั

หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ โครงงานเลม่ น้ีจะมีประโยชน์สาหรับผอู้ ่านทุกคนและจะช่วยส่งเสริม
ใหก้ ารทาโครงงานมีประสิทธ์ภาพเพ่ิมข้ึน

นางสาว พลอยชมพู อรัญญิก

สารบัญ หน้า
1
คาขวญั และตราประจาจงั หวดั
ประวตั ิความเป็นมา 2-7
สถานท่ีทอ่ งเที่ยว 3-27
ภาคผนวก
28

คาขวญั ประจาจงั หวดั
ตราจงั หวดั ลาพูน

ประวตั ิจงั หวดั ลาพูน

จงั หวดั ลาพนู เดิมช่ือเมืองหริภุญไชย เป็นเมืองโบราณ มีอายปุ ระมาณ 1,343 ปี ตามพงศาวดารโยนกเล่าสืบ
ตอ่ กนั ถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย โดยฤาษีวาสุเทพ เป็นผเู้ กณฑพ์ วกเมง็ คบุตร หรือ ชนเช้ือชาติมอญมา
สร้างเมืองน้ีข้นึ ในพ้ืนท่ีระหวา่ งแม่น้าสองสาย คือ แม่น้ากวง และแม่น้าปิ ง เม่ือมาสร้างเสร็จไดส้ ่งทูตไป
เชิญ ราชธิดากษตั ริยเ์ มืองละโวพ้ ระนาม “จามเทว”ี มาเป็นปฐมกษตั ริยป์ กครองเมืองหริภญุ ไชย สืบราชวงศ์
กษตั ริย์ ต่อมาหลายพระองค์ จนกระทง่ั ถึงสมยั พระยายบี าจึงไดเ้ สียการปกครองใหแ้ ก่พ่อขนุ เมง็ รายมหาราช
ผรู้ วบรวม แวน่ แควน้ ทางเหนือเขา้ เป็นอาณาจกั รลา้ นนา เมืองลาพนู ถึงแมว้ า่ จะตกอยูภ่ ายใตก้ ารปกครอง
ของอาณาจกั รลา้ นนา แตก่ ไ็ ดเ้ ป็นผถู้ ่ายทอดมรดกทางศิลปและวฒั นธรรมใหแ้ ก่ผทู้ ี่เขา้ มาปกครองดงั ปรากฏ
หลกั ฐานทว่ั ไปในเวียงกุมกาม เชียงใหม่และเชียงราย เมืองลาพูนจึงยงั คงความสาคญั ในทางศิลปะและ
วฒั นธรรมของอาณาจกั รลา้ นนา จนกระทง่ั สมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เมืองลาพูนจึงไดเ้ ขา้ มาอยใู่ น
ราชอาณาจกั รไทย มีผคู้ รองนครสืบตอ่ กนั มาจนถึงสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ ตอ่ มาภายหลงั การเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ. 2475 เมื่อเจา้ ผคู้ รองนครองคส์ ุดทา้ ย คือ พลตรีเจา้ จกั รคา ขจรศกั ด์ิ ถึงแก่พิราลยั เมือง
ลาพนู จึงเปล่ียนเป็นจงั หวดั มีผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เป็นผปู้ กครอง สืบมาจนกระทง่ั ถึงปัจจุบนั

“เมืองโบราณหริภญุ ไชย” อาณาจกั รอนั รุ่งเรืองและเก่าแก่ท่ีสุดในภาคเหนือ แบ่งเป็น ๔ ยคุ คือ

• ยคุ ประวตั ิศาสตร์แรกเร่ิม
• ยคุ หริภุญไชย
• ยคุ ลา้ นนา
• ยคุ ตน้ รัตนโกสินทร์

“ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์”
นครในตานานถึงบา้ นวงั ไฮก่อนที่จะเป็นเมืองลาพูณหรืออาณาจกั รหริภุญไชย ในอดีตดินแดนแถบลมุ่

แม่น้าปิ ง น้าปิ งน้ากวงผืนน้ี เคยมีชื่อวา่ “สมนั ตรประเทศ”มาก่อน เหตุการณ์เกิดข้ึนในช่วงหลงั พทุ ธกาล
เลก็ นอ้ ยหรือราว ๒,๐๐๐ ปี ท่ีผา่ นมา วา่ ดว้ ยเร่ืองราวของนกั พรตฤษีท่ีเดินทางไกลมาจากชมพูทวปี สู่สุวรรณ
ภมู ิ ไดเ้ ขา้ มาเผยแผศ่ าสนาพราหมณ์ ต่อมาไดผ้ สมเผา่ พนั ธุ์กบั คนพ้ืนเมือง ก่อกาเนิดชุมชนกลุ่มแรกกลายเป็น
บรรพบุรุษของชาว“ลวั ะ”เมง็ ” (มอญ) ณ ริมฝั่งแม่ระมิงค์ (แมน่ ้าปิ ง)หลกั ฐานท่ีรองรับยนื ยนั ถึงการมีอยจู่ ริง
ของมนุษยย์ คุ ก่อนอาณาจกั รหริภุญไชย ไดแ้ ก่ โครงกระดูกที่ขดุ พบ ณ บา้ นวงั ไฮ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลาพูน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซ่ึงนกั โบราณคดีไดท้ าการศึกษาพบวา่ มีอายรุ ะหวา่ ง ๒,๘๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี มาแลว้ จดั เป็น
มนุษยใ์ นยคุ ก่อนประวติศาสตร์ตอนปลายท่ีรู้จกั ประเพณีฝังศพดว้ ยการอุทิศส่ิงของให้ผตู้ ายไวใ้ ชใ้ นปรโลก
รู้จกั ทาเกษตรกรรม และต้งั หลกั แหล่งไมเ่ ร่ร่อนมีการติดต่อกบั ภายนอกท้งั ซีกโลกตะวนั ตกคอื กลุ่มของ
พอ่ คา้ อินโด-โรมนั เห็นไดจ้ ากการพบลูกปัด สร้อยกาไบในหลุดศพทาดว้ ยหินควอทซ์ และซีกโลก
ตะวนั ออก คนื กล่มุ ของอารยธรรมดองซอน กวางสี แถบเวียดนามเหนือและจีนใต้ ซ่ึงไดน้ าเอาเคร่ืองประดยั
ที่ทาดว้ ยสาริดมาแลกเปล่ียนคา้ ขาย ชนกลุ่มน้ีต่อมาไดก้ ลายเป็นส่วนหน่ึงของประชากรในแควง้ หริภุญไชย
อีก ๑,๐๐๐ ปี ต่อมา

กาเนิดมนุษยถ์ ้าสู่สญั ลกั ษณ์ภาพเขยี นสีเมืองลาพนู มีสภาพภมู ิศาสตร์สองลกั ษณะ กล่าวคือบริเวณอาเภอ
เมือง บา้ นธิ ป่ าซาง และเวยี งหนองส่อง เป็นเขตที่ราบลมุ่ ริมน้าประเภท “ดินดาน้าชุ่ม” ส่วนอาเภอแม่ทา-ทุง่
หวั ชา้ ง-ล้ีและบา้ นโฮ่งเป็นเขตของเทือกเขาสูงชนั โดยมากเป็นหินปนู มี่ทาเลท่ีต้งั เหมาะแก่การต้งั หลกั แหล่ง
ที่อยอู่ าศยั ของมนุษยย์ คุ หินซ่ึงตอ้ งใชเ้ พงิ ผาถ้าไม่ไกลจากแหล่งทเป็นท่ีกาบงั กาย จากหลกั ฐานที่คน้ พบใหม่
ลา่ สุดในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ณ ดอยแตฮ่อดอนผาผ้ึง ต.ป่ าพลู อ.บา้ นโฮ่ง และดอยผาแดง กบั ดอยนกยงู ต.ศรีวชิ ยั
อ.ล้ี รวมถึงการขดู ขีดเพงิ ผาหินเป็นรูปรอยเทา้ แบบ Rock Art ณ ดา้ นหลงั วดั ดอยสารภี อ.แมท่ า ไดพ้ บล่อง
รอยของมนุษยย์ คุ หินกลางถึงยคุ หินใหมม่ ีอายรุ าว ๑,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี มาแลว้ คนกลุม่ น้ีนบั ถือผี วถิ ีเร่ร่อนยา้ ย
ถิ่นฐานตามฤดูกาล บูชาอานาจเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น (Animism) สามารถผลิตเครื่องมือขวานหิน-ใบ
หอกเป็นอาวธุ ขอ้ สาคญั รู้จกั เขยี นภาพบนผนงั ถ้าดว้ ยสีแดง สีที่ใชม้ ีส่วนผสมของเลือดนกพิราบ ไข่ขาว กาว
ยางหนงั สตั วห์ รือสามารถสื่อสญั ลกั ษณ์ดว้ ยการใชข้ วานหินขดู ขดี ลวดลาย ภาพเหล่าน้ีสทอ้ นถึงความเช่ือ
เรื่องการบชู ารอยเทา้ งานพิธีกรรมฝังศพ การตดั ไมข้ ม่ นามก่อนการออกล่าสัตว์ ต่อมาเม่ือมนุษยเ์ ริ่มรู้จกั ใช้
ไฟฟ้า ทาใหเ้ ปล่ียนพฤติกรรมการบริโภคจากเน้ือดิบเป็นปรุงอาหารใหส้ ุก มีการป้ันภาชนะดินเผาสาหรับใส่
กระบอกธนูหมอ้ กระดูก มีการตกแตง่ ขดู ขีดผดิ ภาชนะเป็นรูปงูไขว้ ในท่ีสุดเร่ิมต้งั แต่ยคุ เร่ร่อน มีการเลือก
ผนู้ าเผา่ และเขา้ สู่ยคุ สังคมเกษตร ราว ๓,๐๐๐ ปี ท่ีผา่ นมา

ยุคหริภุญไชย”

หริภุญไชย ปฐมอารยนครแห่งล้านนาหริภุญ
ไชยนคมีฐานะเป็นราชธานีแห่งแรกของภาคเหนือ เป็นรากฐานอารยธรรมอนั เจริญรุ่งเรืองสูงสุดส่งใน

ทุกๆดา้ นใหแ้ ก่อาณาจกั รลา้ นนานบั ต้งั แตด่ า้ นพทุ ธศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ศิลปกรรม
วฒั นธรรม การทหาร ดงั มีหลกั ฐานยนื ยนั จากศิลาจารึก ตานาน โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ฯลฯ ปฐมอารย
นครแห่งน้ีเป็นบอ่ เกิดแห่งการประดิษฐ์อกั ขระมอญโบราณในพุทธศตวรรษท่ี ๑๕-๑๗ พบจานวนมากถึง ๑๐
หลกั เรื่องราวจากศิลาจารึกแสดงถึงอจั ฉริยภาพดา้ นการปกครองและความรุ่งเรืองทางศาสนาอกั ษรมอญ
โบราณเหลา่ น้ีส่งอิทธิพล ดา้ นรูปแบบอกั ขระใหแ้ ก่อกั ษรในพกุ าม สะเทิมรวมไปถึงอกั ษรพมา่ และมอญที่ใช้
ในปัจจุบนั นอกจากน้ีแลว้ ยงั เป็นตน้ กาเนิดลายสือไท สมยั สุโขทยั ในอีก๔๐๐ปี ต่อมา และอกั ษรธรรมลา้ นนา
ใหแ้ ก่ชาวไทยภาคเหนือ (ไทยวน) และต่อมาไดแ้ พร่หลายไปสู่อกั ษรไทล้ือ ไทอาหม ไทใหญ่ หริภญุ ไชย
นครมีความเจริญรุ่งเรืองอยา่ งยงิ่ และเป็นที่เลื่องลือในกลมุ่ ชนชาวตะวนั ออกเฉียงใตอ้ นั ไดแ้ ก่ พกุ าม นครวตั
(เขมร) จาปา ศรีวชิ ยั นครศรีธรรมราช ละโว้ และจีน หริภญุ ไชยไดก้ ลายเป็นยทุ ธศาสตร์นครท่ีหลายๆแควน้
ไดเ้ ขา้ มาเยอื นเพอื่ สร้างสัมพนั ธไมตรีทางการทูต ทางการคา้ ทางสวสั ดิการสงั คมความเป็นอยสู่ ู่ความเห็น
พอ้ งทางดา้ นวฒั นธรรมอนั ทรงคณุ คา่ ดว้ ยเหตุน้ี ศิลปวฒั นธรรมสมยั หริภุญไชยจึงเป็นผสมผสานศิลปะอนั มี
ค่าไดอ้ ยา่ งลงตวั กษตั ริยใ์ นราชสกุลจามเทววี งศแ์ ห่งหริภญุ ไชยนคร ไดค้ รองราชสมบตั ิยาวนานสืบเน่ือง
ตอ่ มาราว ๖๒๐ ปี มีพระมหากษตั ริยท์ ้งั สิ้นประมาณ ๕๐ พระองค์

สงครามสามนครสู่สายสัมพันธ์มอญหงสาวดี
เมื่อหริภุญไชยนครผา่ นกาลเวลามาไดส้ ามศตวรรษ รัฐละโวเ้ มืองแม่แต่เดิมเคยเป็นเครือข่ายทวารวดีได้

ถูกปกครองโดยขอม ทาใหล้ ะโวก้ ลายเป็นศตั รูกบั หริภุญไชย ยคุ น้ีรัฐทางใตม้ ีการแผแ่ สนยานุภาพจากชายฝ่ัง
ทะเลมาสู่เขตที่ราบลุ่มภูเขาตอนในเพื่อขยายเส้นทางการคา้ หลายระลอกทาใหเ้ กิดสงครามคร้ังใหญ่ระหวา่ ง
“นครศรีธรรมราช-ละโว-้ หริภญุ ไชย” จนกระทง่ั ถึงสมยั พระเจา้ กมลราชนครหริภุญไชยเกิดโรคห่าคร้ังใหญ่
ประชาชนชาวมอญหริภุญไชยอพยพหนีไปอยเู่ มืองหงสาวดี และสะเทิม(สุธรรมวดี) เป็นเวลา ๖ ปี เมื่อสร่าง
จากโรคระบาดไดน้ าเอาชาวมอญ-หงสาวดีและมีการถ่ายเททางอารยธรรมระหวา่ งชาวแม่ระมิงคก์ บั ล่มุ น้า
สาละวนิ จนเกิดประเพณีลอยหะโมด ในฤดูน้าหลาก อนั เป็นตน้ กาเนิดของประเพณีลอยกระทงของสุโขทยั
ปัจจุบนั ชาวมอญจากหงสาวดียงั คงต้งั ถิ่นฐานอยทู่ ่ีบา้ นหนองคู่ เวียงเกาะกลาง ต.บา้ นเรือน อ.ป่ าซาง จ.ลาพูน
และบา้ นตน้ โชค บา้ นหนองคอบ อ.สนั ป่ าตอง จ.เชียงใหม่ ดว้ ยการรักษาขนบธรรมประเพณีชาวมอญ

สววาธสิ ิทธิ กษัตริย์ผู้ทรงธรรม
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ ถือวา่ เป็นยคุ รุ่งเรืองของความเจริญทุกๆดา้ น ประวตั ิศาสตร์ยคุ น้ีมีความชดั เจน

ข้นึ ทีละนอ้ ยๆ ไม่เพยี งแตป่ รากฏหลกั ฐานทางโบราณคดีอยา่ งมากมายเท่าน้นั หากยงั อา้ งอิงไดถ้ ึงหลกั ฐาน

ทางดา้ นอกั ขระ กลา่ วคอื มีการพบศิลาจารึกอกั ษรมอญ-โบราณมากท่ีสุดในประเทศไทยหลงั จากยคุ ของพญา
อาทิตยราช มหาราชแห่งหริภญุ ไชยนครผทู้ รงขดุ พบพระธาตุ และกระทาการสถาปนาพระบรมสารีริกธาตุ
กลางมหานครข้ึนเป็นศนู ยร์ วมความศรัทธาคร้ังแรกของภาคเหนือแลว้ พระราชโอรสของพระองค์ คอื พระ
เจา้ ธรรมิกราชาไดส้ ร้างพระอฏั ฐารส(พระยนื สูง ๑๘ ศอก) ท่ีวดั อรัญญิการาม (วดั พระยนื ) จนถึงยคุ สมยั ของ
พญาสววาธิสิทธิ หรือพญาสรรพสิทธ์ิ กษตั ริยผ์ ทู้ รงผนวช ระหวา่ งครองราชย์ ทรงถวายพระราชวงั เชตวนา
ลยั ใหส้ ร้างวดั เชตวนาราม (วดั ดอนแกว้ ) ทรงผนวชพร้อมมเหสีและโอรส ทรงสร้างตน้ โพธ์ิและประกาศเชิญ
ชวนประชาชนใหค้ ้าจุนตน้ โพธ์ิถือเป็นตน้ แบบของกษตั ริยใ์ นยคุ ตอ่ มาท่ีดาเนินรอยตามในส่วนของการ
กลั ปนาวงั เพอ่ื สร้างวดั การผนวชขณะครองราชย์ และประเพณี “ไมก้ ๊าสะหลี” ของชาวลา้ นนาต่อมา

อรุณรุ่งแห่งพุทธประทปี
ก่อนยคุ หริภุญไชยนครคนพ้นื เมืองชาวลวั ะด้งั เดิมเคยบชู าผีแถน ผบี รรพบรุ ุษที่เรียกวา่ “ผปี ่ ูแสะยา่ แสะ”

มีการบชู าเสาสะกงั หรือเสาอินทขีล ต่อมายอมรับเอาศาสนาพราหมณ์จากฤษีนกั พรต ลว่ งสู่ยคุ หริภญุ ไชยจึง
มีการสถาปนาศาสนาพทุ ธแห่งแรกของภาคเหนือ กระทงั่ เปล่ียนเป็นนิกายลงั กาวงศ์ รามญั วงศ์ ฯลฯ ศาสนา
ทกุ ลทั ธิในหริภญุ ไชยนคร ไดร้ ับการผ่องถา่ ยไปสู่เมืองอื่นๆ ท้งั ในลา้ นนา ลา้ นชา้ ง สิบสองปันนา ลาแสงแรก
แห่งพระพุทธศาสนารุ่งเรืองไสวข้ึนนบั ต้งั แตไ่ ดม้ ีการขดุ พบพระบรมสารีริกธาตใุ นส่วนของพระเกศาธาตุ ณ
บริเวณวดั พระธาตุหริภุญไชยปัจจุบนั ในรัชสมยั ของพญาอาทิตยราช ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ทรง
สถาปนาพระบรมธาตเุ จดียข์ ้นึ แห่งแรกในภาคเหนือ โบราณราชประเพณีกาหนดใหพ้ ระมหากษตั ริยท์ กุ
พระองคจ์ กั ตอ้ งมากราบนมสั การพระบรมธาตุเจดียแ์ ห่งน้ีก่อนพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษก มีหลกั ฐานปรากฏ
วา่ แมแ้ ต่หลวงจีนทิเบตในแต่ละปี กต็ อ้ งจารึกแสวงบุญดว้ ยการมาสกั การะพระมหาธาตเุ จดียห์ ริภุญไชย
สะทอ้ นวา่ เมืองลาพูนคือศูนยก์ ลางของพุทธศาสนาแห่งลุ่มแม่น้าปิ ง วงั ยม น่าน ตลอดจนลมุ่ น้า โขง-สาวะ
วนิ ตราบถึงวนั น้ี ลาพนู ไดก้ ลายเป็นศูนยร์ วมอารยธรรมทางพทุ ธศาสนาแห่งอาณาจกั รลา้ นนา ซ่ึงศาสน
สถานที่ปรากฏใหเ้ ห็นในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ วดั พระธาตุหริภุญชยั วดั พระพุทธบาทตากผา้ ในอาเภอป่ าซาง และ
วดั พระพุทธบาทหว้ ยตม้ ในอาเภอล้ี เป็นตน้ องคพ์ ระบรมเจดียใ์ นวดั พระธาตหุ ริภญุ ชยั เชื่อวา่ เป็นพระเจดียท์ ่ี
เก่าแก่ที่สุดโดย พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ในรัชกาลที่ ๔ ไดท้ รงยกยอ่ งและสถาปนาพระบรมธาตุเจดีย์
องคน์ ้ีพร้อมท้งั ไดจ้ ารึกไวว้ า่ เป็นพระเจดียอ์ งคห์ น่ึงในแปด พระบรมธาตเุ จดียท์ ่ีมีช่ือเสียงที่สุดในประเทศ
ไทย วดั พระธาตุหริภญุ ชยั ยงั ไดช้ ่ือวา่ เป็นพระบรมธาตเุ จดียป์ ระจาราศีของผเู้ กิดปี ระกาอีกดว้ ย

จามเทวี : แม่เมือง-มงิ่ เมือง
ภายหลงั จากการล่มสลายของเมือง “สมนั ตรประเทศ” ดว้ ยการขาดผนู้ าท่ีทรงคุณธรรม กลุม่ นกั พรตฤษี

ผมู้ ีบทบาทในการสร้างเมืองต้งั แต่เร่ิมแรก ไดก้ อบบา้ นกูเ้ มืองขน้ มาใหมใ่ นราวปี พ.ศ.๑๒๐๔ เฉลิมนามวา่
“หริภุญไชยนคร” โดยไดอ้ ญั เชิญราชธิดาของพระเจา้ กรุงละโวน้ ามวา่ “พระนางจามเทวี” มาเป็นปฐมกษตั ริย์
ในปี พ.ศ.๑๒๐๖ พระนางทรงนาเอาอารยธรรมช้นั สูงแบบทวารวดีข้ึนมาทางแมน่ ้าปิ งสู่ดินแดนภาคเหนือ

ของไทยเป็นคร้ังแรกทรงรวบรวมชนพ้ืนเมืองกลมุ่ ตา่ งๆเขา้ ดว้ ยกนั ภายใตก้ ารปกครองแบบทศพธิ ราชธรรม
ทรงประกาศพระพทุ ธศาสนาใหเ้ ลื่องลือไกลดว้ ยการสร้างวดั วาอารามกระจายทว่ั ดินแดน อีกท้งั ยงั ทรงขยาย
อาณาเขตความเจริญไปยงั ลุม่ น้าต่างๆ อาทิเมืองเขลางคนคร-อาลมั พางค(์ ลาปาง) แห่งลุ่มน้าวงั เวียงเถาะ เวยี ง
ท่ากาน เวยี งมะโน เวยี งฮอด บ้นั ปลายพระชนมช์ ีพทรงสละราชสมบตั ิใหแ้ ก่พระราชโอรสฝาแฝด “เจา้ มหนั ต
ยศ เจา้ อนนั ยศ” ใหค้ รองแควนั หริภญุ ไชย-เขลางคนครสืบมา ในขณะท่ีพระองคท์ รงครองศีลอบุ าสิกา คุณ
งามความดีท่ีทรงกระทาไวเ้ ป็นท่ีขจรขจายมีมากเกินคณานบั จนไดร้ ับฉายาวา่ เป็น”พระแม่เมือง-พระมิ่ง
เมือง” ของชาวเมืองหริภุญไชย

“ยุคล้านนา”
ยามสิ้นแสงอสั ดงคตหริภุญไชยนครผา่ นกาลเวลอนั รุ่งโรจนม์ านานถึงหกศตวรรษดว้ ยกิตติศพั ทค์ วาม

อุดมสมบรูณ์มงั่ คงั่ ของคราทาใหเ้ ป็นท่ีหมายปองของ “พญามงั ราย” เจา้ ผคู้ รองแควน้ “หิรัญนครเงินยาง”แถบ
เมืองเชียงราย ปี พ.ศ.๑๘๒๔ พญามงั รายไดย้ กกองทพั อนั แขง็ แกร่งมาเผาแควน้ หริภุญไชยจนวายวอด ใน
สมยั “พญายบี า” แต่พญามงั รายก็ไม่ประทบั อยทู่ ี่เมืองหริภญุ ไชย โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ เป็นเมืองพระธาตุ อีก
เหตุผลหน่ึงชยั ภมู ิไม่เหมาะเป็นเป็นเมืองขนาดเลก็ การขยายตวั ของเมืองเป็นไปไดย้ ากจึงใหอ้ า้ ยฟ้าหรือขนุ
ฟ้าครองเมืองหริภุญไชยแทนและยา้ ยราชธานีใหมไ่ ปอยทู่ ่ี “เวยี งชะแว”่ หรือ “เวียงแจเ้ จียงกุ๋ม”และยา้ ยไปอยู่
ท่ี “เวียงกุมกาม” และ “นพบรุ ีนครพิงคเ์ ชียงใหม่” ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ โดยการผนวกแควน้ หริภุญชยั และแควน้
โยนกเขา้ ดว้ ยกนั โดยมีเชียงใหมเ่ ป็นศนู ยก์ ลาง ส่วนหริภญุ ไชยเป็นส่วนกลางดา้ นศาสนาโดยใหบ้ ูรณะพระ
ธาตหุ ริภุญชยั สร้างมณฑปทรงปรา-สาทที่พญาสัพสิทธ์ิสร้างไวใ้ หส้ ูงข้นึ เป็น ๓๒ ศอกไดถ้ วายขา้ ทาสบริวาร
แก่วดั พระธาตหุ ริภุญชยั และสัง่ ใหก้ ษตั ริยเ์ มืองเชียงใหม่องคต์ ่อๆมาทุกพระองคม์ ีหนา้ ท่ีในการดูแลบูรณะ
วดั พระธาตุหริภุญชยั สืบต่อมา

ในปี พ.ศ.๑๙๙๐ สมยั พญาติโลกราชกษตั ริยเ์ มืองเชียงใหม่ ราชวงศม์ งั รายลาดบั ที่ ๙ ไดอ้ าราธนาพระ
มหาเมธงั กรมาเป็นผคู้ วบคมุ การบรู ณะและเสริมองคพ์ ระธาตุข้นึ ใหม่โดยปรับปรุงโดยสร้างพระธาตุจาก
เจดียท์ รงปราสาทเป็นทรงพระฆงั หรือทรงลงั กาตามแบบพระพุทธศาสนาแบบลงั กาวงศข์ องเมืองเชียงใหม่
โดยก่อเป๋ นเจดียส์ ูงข้นึ เป็น ๓๒ ศอก กวา้ งข้ึนเป็น ๕๒ ศอกเป็นรูปทรงที่เห็นอยใู่ นปัจจุบนั ในปี พ.ศ.๒๐๕๔
สมยั พระเมืองแกว้ กษตั ริยเ์ มืองเชียงใหม่ รางวงศ์มงั ราย ลาดบั ที่ ๑๑ ไดท้ รงบาเพญ็ พระราชกศุ ลท่ีวดั พระ
ธาตุหริภุญชยั เป็นประจาทุกปี ไดป้ ่ าวร้งโฆษณาเรี่ยไร่ จ่ายซ้ือทองบอุ งคพ์ ระธาตเุ จดียเ์ ป็นทองแดงหนกั สิบ
เกา้ แสนแปดหมื่นหา้ พนั ส่ีร้อยบาทสองสลึงแลว้ ลงรักปิ ดทองคาเปลว ใหส้ ร้างพระวิหารหลวง แลว้ สร้างร้ัว
รอบพระบรมธาตุ (สัตตบญั ชร) ระเบียงหอก ๕๐๐ เล่ม เกรณฑก์ าลงั พลร้ือและก่อกาแพงเมืองหริภุญไชยดว้ ย
อิฐในปี ฑ.ศ. ๒๐๕๙ เพ่ือป้องกนั ภยั จากอยธุ ยา

จนมาถึงสมบั พญากือนา กษตั ริยล์ า้ นาองคท์ ี่ ๖ ทรงอาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทยั ในปี มาจาพรรษา
ที่วดั พระยนื พ.ศ.๑๙๑๒ เมืองหริภุญไชยก่อน เมื่อสร้างวดั บปุ ผาราม(สวนดอก)พระสุมนเถระจึงมาจาพรรษา
ที่แห่งน้ีจนถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ.๑๙๓๒ นบั วา่ พระสุมนเถระไดม้ าวางรากฐานพระพุทธศาสนาลทั ธิลงั กา
วงศใ์ นเมืองเชียงใหม่ใหเ้ ป็นศนู ยก์ ลางแทนนิกายเดิม(รามญั วงศ)์ ท่ีมีหริภุญไชยเป็นศูนยก์ ลางแต่เมืองเดิม

และในสมยั ต่อมาคอื พญาแสนเมืองมา ในราวปี พ.ศ.๑๙๕๑มีพระราชกรณียกิจดา้ นทะนุบารุง
พระพุทธศาสนา โดยโปรดใหห้ ุม้ พระบรมธาตุเจดียห์ ริภุญชยั ดว้ ยแผน่ ทองคาหนกั สองแสนหน่ึงหม่ืนบาท
หรือ ๒๕๒ กิโลกรัม

“ยคุ ต้นรัตนโกสินทร์”
การใชว้ ิเทโศบายทางการเมืองระหวา่ งลา้ นนา (เชียงใหม)่ กบั สยามประเทศเป็นไปอยา่ งชิงไหวชิงพริบ

เจา้ เมืองฝ่ายเหนือใชค้ วามพยายามอยา่ งยงิ่ ยวดท่ีจะรักษาประเทศลา้ นนาเอาไว้ แต่มิอาจตา้ นแรงคุกคามขา้ ง
ฝ่ายสยามประเทศได้ เนื่องจากสยามไดใ้ ชว้ ธิ ีหลายรูปแบบที่จะรวมลา้ นนาให้เป็นหน่ึงเดียว อาทิ ส่งนกั
กฎหมายฝร่ังและหมอสอนศาสนาเขา้ มาอยใู่ นเชียงใหม่ อีกท้งั ส่งขา้ หลวงสามหวั เมืองมาประจา

หลงั จากจากท่ีรัฐบาลส่วนกลางสยามไดเ้ ซ็นสนธิสัญญาเบาริง กบั องั กฤษในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ (สมยั
รัชกาลท่ี ๔) บริษทั องั กฤษกม็ ีสิทธิเขา้ มาทสมั ปทานไมใ้ นลา้ นนาได้ เพียงแค่ขออนุญาตตอ่ เจา้ ผคู้ รองนคร
โดยตรงจนเกิดกรณีพิพาทข้นึ หลายคร้ังระหวา่ งเจา้ ผคู้ รองนครเชียงใหมก่ บั บริษทั ทาไมร้ ัฐบาลกลางเห็นวา่
ผลประโยชนก์ ารทาไมก้ บั ชาวตะวนั ตกมีรายไดม้ หาศาล จึงทาสนธิสญั ญาเชียงใหมข่ ้ึน ๒ คร้ัง ในปี พ.ศ.
๒๔๑๖ และพ.ศ.๒๔๒๖ เน้ือหาสาระอยทู่ ่ีการลดอานาจเจา้ ผคู้ รองนครเชียงใหมล่ งไมใ่ หเ้ ขา้ มามีบทบาท
ดา้ นสัมปทานได้ พร้อมส่งเจา้ หนา้ ท่ีจากส่วนกลางเขา้ มาดูแลเชียงใหม่ และจดั ต้งั กรมป่ าไมข้ ้นึ ที่นี่ในปี พ.ศ.
๒๔๓๗ สถานการณ์คร้ังน้นั เป็นเหตุสาคญั ใหเ้ กิดการปฏิรูปการปกครองแผน่ ดินข้ึน โดยรวบรวมอานาจการ
ปกครองท้งั หมดใหอ้ ยกู่ บั ส่วนกลาง ลดบทบาทของเจา้ เมืองฝ่ายเหนือให้นอ้ ยลง ยกเลิกฐานะหวั เมือง
ประเทศราชจดั เป็นหน่วยปกครองที่เรียกวา่ “มณฑล” โดยส่งขา้ ราชการจากส่วนกลางเขา้ มาปกครองกระทง่ั
เจา้ ดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ เจา้ ผคู้ รองนครลาพนู องคท์ ่ี ๗ ถึงแก่พิราลยั ไดเ้ กิดการแยง่ ชิงอานาจข้ึน ทา่ มกลาง
ทายาทจึงเป็นโอกาสอนั ดีของทางส่วนกลางท่ีจะใชฉ้ วยโอกาสขอ้ อา้ งเขา้ มาจดั ระเบียบการปกครองเมือง
ลาพนู ใหม่ อยา่ งเบด็ เสร็จเรียบร้อย

"ยคุ เกบ็ ผกั ใส่ซ้าเกบ็ ข้าใส่เมือง"หลงั จากขบั ไลพ่ ม่าออกจากเมืองลา้ นนาแลว้ พญาจ่าบา้ นไดร้ ับการแตง่ ต้งั
ใหเ้ ป็นเจา้ เมืองเชียงใหม่ส่วนพญากาวิละใหเ้ ป็นเจา้ เมืองลาปางโดยพิธีดงั กล่าวทาข้ึนที่วดั พระธาตุหริภุญชยั
เชียงใหม่สามารถปกครองตนเองไดใ้ นฐานะเมืองประเทศราชของราชอาณาจกั รสยาม แตใ่ นขณะเดียวกนั
พม่ายงั ไม่หมดอานาจเสียทีเดียว คอยมาคกุ คามเชียงใหมอ่ ยไู่ มข่ าด พญาจ่าบา้ นซ่ึงมีประชากรอยนู่ อ้ ยนิดไม่
สามารถตอ่ สูก้ บั พม่าไดจ้ ึงชกั ชวนกนั ทิง้ บา้ นเมือง และหนีไปอยกู่ บั เจา้ เจ็ดตนที่เมืองลาปางเม่ือพญาจ่าบา้ น
เสียชีวติ ลง พระเจา้ กรุงธนบรุ ีไดแ้ ต่งต้งั พญากาวิละข้ึนครองเมืองเชียงใหม่แทนในปี พ.ศ.๒๓๒๕ ซ่ึงใน
ขณะน้นั เชียงใหม่เป็นเมืองร้าง พมา่ ยงั มีอิทธิพลอยู่ การที่จะฟ้ื นฟูเชียงใหม่จึงเป็นปัญหาหนกั พญากาวลิ ะ
จาตอ้ งค่อยๆ รวบรวมไพลพ่ ลใหม้ น่ั คง โดยขอผคู้ นจากเมืองลาปางและกลมุ่ ไพร่เดิมอีกจานวนหน่ึงใช้ เวียง
ป่ าซาง เป็นฐานะท่ีมนั่ รวบรวมผคู้ นซ่ึงเรียกวา่ “เกบ็ ฮอมตอมไพร่” พญากาวิละใชเ้ วลารวบรวมชาวบา้ นนาน
ถึง ๑๔ ปี จึงจกั สามารถเขา้ ไปฟ้ื นฟูและต้งั เมืองเชียงใหม่ไดใ้ นปี พ.ศ. ๒๓๘๘ และฟ้ื นเมืองลาพูนข้ึนมาใหม่
แต่งต้งั พญาบุรีรัตน์คาฟั่นเป็นเจา้ เมืองลาพนู ชื่อวา่ พญาลาพนู ชยั และเจา้ บุญมานอ้ งคนสุดทอ้ งของเจา้ เจ็ดตน
เป็นพญาอปุ ราช โดยนาคนมาจากเมืองลาปาง ๕๐๐ คน จากเมืองเชียงใหม่อีก ๑,๐๐๐ คน และกวาดตอ้ นคน

ยองจานวน ๑๐,๐๐๐ คนให้อยทู่ ี่เมืองลาพูนตรงขา้ มกบั พระธาตเุ จา้ หริภุญชยั อีกฟากหน่ึงของแม่น้ากวงกลุ่ม
ชาวยองเหล่าน้ีต่อมาไดเ้ ป็นช่างทอผา้ สล่าช่างฝีมือ ผมู้ ีบทบาทสาคญั ในการฟ้ื นฟูวฒั นธรรมลา้ นนาใหแ้ ก่
เมืองลาพนู

นอกจากชาวยองแลว้ ยงั มีอีกกลุม่ ชนท่ีเคยกวาดตอ้ นมาไดส้ มยั เม่ือพญากาวลิ ะอยเู่ วียงป่ าซาง คือกลุ่ม
เมืองแถบตะวนั ตกริมแม่น้าคง ไดแ้ ก่ บา้ นสะต๋อยสอยไร บา้ นวงั ลุง วงั กาศ น่าจะเป็นกลุ่มชาวลวั ะ ชาวเมง็
อีกกลมุ่ คือพวกชาวไตใหญ่จากเมืองปุ เมืองปั่น เมืองสาด เมืองนาย เมืองชวาด เมืองแหน กลุ่มท่ีตามมา
ภายหลงั ก็คือกล่มุ ชาวไตเขนิ จากเมืองเชียงตงุ และทยอยกนั เขา้ มาอีกระลอกเพอ่ื หนีภยั สงครามคอื กลมุ่ ไตล้ือ
ในเขตอาเภอบา้ นธิ ชาวหลวยจากบา้ นออนหลวย ในยคุ น้ีนกั ประวตั ิศาสตร์ขนานนามวา่ ยคุ “เกบ็ ผกั ใส่ส้า
เกบ็ ขา้ ใส่เมือง” การอพยพยงั คงมีมาอยา่ งตอ่ เหนื่องจนถึงหลงั สงครามมหาเอเชียบรู พาการหลง่ั ไหลถ่ายเท
ชาวยอง และชาวล้ือไดส้ ิ้นสุดลงเมื่อมีการกาหนดปักปันเขตแดนประเทศไทย - จีน - พม่า - ลาวอยา่ งชดั เจน
และปัจจุบนั เมืองยองข้นึ อยกู่ บั การปกครองของสหภาพพมา่

วดั พระธาตหุ ริภชู ยั วรมหาวิหาร

วดั พระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานสาคญั ในภาคเหนือ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิท่ีอยคู่ ูเ่ มืองลาพูนมา
อยา่ งยาวนานต้งั อดีตนบั เวลามากกวา่ พนั ปี ต้งั อยใู่ จกลางเมืองลาพนู ห่างจากศาลากลางจงั หวดั ประมาณ 150
เมตร มีถนนลอ้ มรอบส่ีดา้ น คือ ถนนอฏั ฐารสทางทิศเหนือ ถนนชยั มงคลทางทิศใต้ ถนนรอบเมืองทาง ทิศ
ตะวนั ออก นอกจากน้นั ยงั เป็นองคพ์ ระธาตปุ ระจาปี เกิดของคนเกิดปี ระกาพระบรมธาตุหริภญุ ไชย ภายใน

บรรจุพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคา ประดิษฐานในพระเจดีย์ ประกอบดว้ ยฐานปัทม์ แบบฐานบวั
ลกู แกว้ ยอ่ เกจ็ ต่อจากฐานบวั ลูกแกว้ เป็นฐานเขยี งกลมสามช้นั ต้งั รับองคร์ ะฆงั กลม บลั ลงั กย์ อ่ เหลี่ยม สูง 25

วา 2 ศอก ฐานกวา้ ง 12 วา 2 ศอก 1 คืบ มีสัตติ- บญั ชร (ร้ัวเหลก็ และทองเหลือง) 2 ช้นั สาเภาทอง
ประดิษฐานอยปู่ ระจาร้ัวช้นั นอกท้งั ทิศเหนือ และทิศใต้ มีซุม้ กุมภณั ฑ์ และฉตั รประจาสี่มมุ และหอคอย
ประจาทกุ ดา้ นรวม 4 หอ บรรจุพระพทุ ธรูป นง่ั ทุกหอ นอกจากน้ียงั มีโคมประทีป และแท่นบชู าก่อประจาไว้

เพอื่ เป็นท่ีสักการะบชู าของพุทธศาสนิกชนทวั่ ไป

วดั พระธาตหุ ริภุญชยั วรมหาวิหาร เดิมทีเป็นพระราชวงั ของพระเจา้ อทิตยราชกษตั ริยผ์ คู้ รอง
นครหริภุญชยั องคท์ ่ี ๓๓ ตอ่ จาก พระนางจามเทวี ปฐมบรมกษตั ริยข์ องเมืองหริภุญชยั บริเวณกาแพง
พระราชวงั ของพระเจา้ อาทิตยราชไดแ้ บ่งออกเป็น ๒ ช้นั คอื ช้นั นอกและช้นั ใน ในกาลตอ่ มาภายหลงั พระ
เจา้ อาทิตยราช ไดถ้ วายราชวงั ของพระองคใ์ หเ้ ป็นสังฆารามไวก้ บั ทางพระพุทธศาสนาเม่ือถวายเป็นสงั ฆา
รามแลว้ ไดร้ ้ือกาแพงช้นั นอกออกแลว้ ป้ันสิงห์คู่หน่ึงไวท้ ่ีซุม้ ประตดู า้ นทิศตะวนั ออก เป็นสิงห์ขนาดใหญ่
ประดบั เคร่ืองทรงยนื อา้ ปากประดิษฐานไวแ้ ทน ตามคติโบราณทางเหนือซ่ึงนิยมสร้างสิงหเ์ ฝ้าวดั วดั พระ

ธาตุหริภุญชยั จึงมีกาแพงสองช้นั ตามรูปลกั ษณ์ของพระราชวงั เดิมของพระเจา้ อาทิตยราช คือ รอบบริเวณวดั
ช้นั นอกช้นั หน่ึง และก่อกาแพงเป็นศาลาบาตรรอบองคพ์ ระธาตุหริภญุ ชยั เป็นกาแพงช้นั ในอีกช้นั หน่ึง
วดั พระธาตุหริภุญชยั วรมหาวิหาร ต้งั อยใู่ จกลางเมืองลาพูนมีถนนลอ้ มรอบสี่ดา้ น สร้างข้นึ เมื่อ พ.ศ. 1651 มี
ส่ิงท่ีน่าสนใจคือ ซุม้ ประตูซ่ึง ก่อนท่ีจะเขา้ ไปในบริเวณวดั ตอ้ งผา่ นซุม้ ประตกู ่ออิฐถือปูนประดบั ลวดลาย
วจิ ิตรพิสดาร เป็นฝีมือโบราณสมยั ศรีวชิ ยั ประกอบดว้ ยซุ้มยอดเป็น ช้นั ๆ เบ้ืองหนา้ ซุ้มประตมู ีสิงหใ์ หญค่ ู่
หน่ึงยนื เป็นสง่าบนแทน่ สูงประมาณ 1 เมตร สิงหค์ นู่ ้ีป้ันข้ึนใน สมยั พระ เจา้ อาทิตยราชเม่ือทรงถวายวงั ให้
เป็นสงั ฆารามวิหารหลวง เมื่อผา่ นซุม้ ประตูเขา้ ไปแลว้ จะเห็นวิหารหลงั ใหญ่ เรียกวา่ วิหารหลวง เป็นวิหาร
หลงั ใหญม่ ีพระระเบียงรอบดา้ นและมีมุขออกท้งั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั เป็นวหิ ารท่ีสร้างข้ึนใหม่แทนวิหาร
หลงั เก่า ซ่ึงถูกพายพุ ดั พงั ทลายไปเม่ือ พ.ศ. 2466

อนุสาวรียพ์ ระนางจามเทวี

อนุสาวรียพ์ ระนางจามเทวี ต้งั อยใู่ นเขตเทศบาลเมืองลาพูน ตาบลในเมือง บริเวณดา้ นหลงั ตลาดหนองดอก
ห่างจากศาลากลางจงั หวดั ลาพูนประมาณ 1 กิโลเมตร สร้างข้ึนเพือ่ เป็นอนุสรณ์แด่พระนางจามเทวี ซ่ึงเป็น
องคป์ ฐมกษตั ริยแ์ ห่งนครหริภุญไชย พระนางทรงเป็นปราชญท์ ี่มีคุณธรรม เป็นนักรบที่มีความสามารถและ
กลา้ หาญชาญชยั พระนางคือผนู้ าพระพุทธศาสนาและศิลปวฒั นธรรมมาเผยแผใ่ นดินแดนแถบน้ีจนรุ่งเรื่อง

สืบมาจนถึงปัจจุบนั พระนางเป็นปราชญท์ ่ีมีคุณธรรม ความสามารถและกลา้ หาญ ไดน้ าพทุ ธศาสนา
ศิลปวฒั นธรรมมาเผยแพร่ในดินแดนแถบน้ีจนมีความรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบนั สมเด็จพระบรมโอรสาธิ

ราชสยามกุฏราชกุมาร ไดเ้ สด็จมาทรงเปิ ดอนุสาวรียเ์ ม่ือวนั ท่ี 2 ตลุ าคม พ.ศ. 2525

วดั จามเทวี

วดั จามเทวี หรือที่ ชาวบา้ นเรียกกนั วา่ วดั กู่กุด ต้งั อยบู่ นถนนจามเทวี ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั
ลาพูน เป็นวดั เก่าแก่ท่ีสาคญั มา ต้งั แต่สมยั ลา้ นนาไทย ท่ีมีความสาคญั ท้งั ทางดา้ นประวตั ิศาสตร์ และ
โบราณคดีตามหลกั ฐานท่ีไดพ้ บศิลาจารึกเชื่อวา่ พระราชโอรส ของพระนางจามเทวีคือ พระเจดียม์ หันตยศ
และพระเจา้ อนนั ตยศโปรดใหส้ ร้างวดั น้ีข้ึนเพ่ือถวายพระเพลิง แลว้ โปรดใหส้ ร้าง เจดียเ์ หลี่ยมมียอดหุม้ ดว้ ย
ทอง เรียกชื่อวา่ สุวรรณจงั โกฏิ พระเจดียส์ ุวรรณจงั โกฏิ หรือพระเจดียจ์ ามเทวี เป็นเจดียส์ ่ีเหลี่ยมแบบ พุทธค
ยาในประเทศอินเดีย แตล่ ะดา้ นมีพระพุทธรูปยนื ปางประทานพรอยเู่ ป็นช้นั ๆ มีพระพุทธรูป ยนื ปาง
ประทานพรอยใู่ นซุม้ พระท้งั ส่ีดา้ นดา้ นละ 15 องค์ รวม 60 องค์ ภายในพระเจดียบ์ รรจุอฐั ิของพระนางจาม
เทวี ปฐมกษตั ริย์ แห่งนครหริภุญชยั ต่อมาจะเป็นสมยั ใดไมท่ ราบแน่ชดั ยอดพระเจดียไ์ ดห้ กั หายไป ชาวบา้ น
จึงเรียกวา่ กู่กุดพระเจดีย์ องคน์ ้ีมีช่ือเป็น ทางการวา่ พระเจดียส์ ุวรรณจงั โกฏิ พระเจดียอ์ งคน์ ้ี ถือเป็นแบบ
สถาปัตยกรรมท่ีมีความสาคญั ในศิลปกรรมหริภุญชยั นอกจากน้ียงั มีโบราณสถานที่สาคญั คอื เจดียแ์ ปด
เหล่ียม ลกั ษณะทางสถาปัตยกรรมมีแผนผงั เป็นรูปแปดเหล่ียมซอ้ นลดหลน่ั กนั ข้นึ ไป สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น
สามส่วน คอื ส่วนฐานประกอบดว้ ยฐานแปดเหล่ียมซอ้ นกนั สองช้นั ถดั ข้นึ ไปเป็นช้นั บวั ถลารองรับองค์
เรือนธาตุ โดยส่วนลา่ งของเรือนธาตุ ทาเป็นฐานลดทอ้ งไม่ลงเลก็ นอ้ ยจากระดบั ผนงั ของเรือนธาตุ ส่วน
เรือนธาตุมีผงั เป็นรูปแปดเหล่ียมทรงสูง ภายในประดิษฐานพระพทุ ธรูปประทบั ยนื ซุม้ มีลกั ษณะเป็นวงโคง้
สามวง โบราณปชู นียสถานภายในวดั จามเทวีเป็นท่ีเคารพสักการะ ของพุทธศาสนิกชนทวั่ ไป อีกท้งั ยงั เป็น

สถานท่ีท่องเท่ียวเชิงประวตั ิศาสตร์โบราณคดีท่ีสาคญั แห่งหน่ึงของประเทศไทย

กู่ชา้ งก่มู า้

ประวัติ : กู่ชา้ ง ก่มู า้ เป็นโบราณสถานท่ีต้งั อยคู่ กู่ นั เป็นสถานที่ศกั ด์ิสิทธ์ิคูบ่ า้ นคู่เมืองอีกแห่งหน่ึงท่ีชาว
ลาพนู ใหค้ วามเคารพนบั ถือ เมื่อตอ้ งการ สมหวงั ในสิ่งใด ก็มกั จะมา ขอพรกนั ที่นี่ เรียกไดว้ า่ เป็นท้งั โบราณ
สถานที่มีความสาคญั เชิงประวตั ิศาสตร์ และโบราณคดี ตลอดจนเป็น ที่ยดึ เหนี่ยวจิตใจ ของคนในชุมชน
ดว้ ยความเชื่อวา่ เป็นสุสานชา้ งศึก - มา้ ศึก คบู่ ารมีของพระนางจามเทวี

กู่ชา้ ง ตามตานานเล่าวา่ สร้างข้ึนเพือ่ บรรจุซากพระยาชา้ ง ช่ือ ป่ กู ่างาเขยี ว หมายถึงชา้ งสีคล้า งาสีเขยี ว เป็น
ชา้ งคูบ่ ารมีของ พระนางจามเทวี ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งนครหริภุญไชย ป่ ูก่างาเขยี วเป็นชา้ งที่มีฤทธ์ิมาก เมื่อออก
ศึกสงคราม เพียงแค่ชา้ งหนั หนา้ ไปทาง ศตั รู ก็ทาใหศ้ ตั รูอ่อนแรงลงได้ หลงั จากชา้ งป่ ูก่างาเขยี วลม้ เมื่อวนั
ข้นึ 9 ค่า เดือน 9 พระนางจามเทวีโปรดให้นาซากชา้ งมาฝังไวท้ ี่นี่ และเนื่องจากเม่ือยงั มีชีวติ อยเู่ ป็นชา้ งท่ีมี
อิทธิฤทธ์ิวิเศษ หากงาชา้ งช้ีไปทางใด ก็จะทาใหเ้ กิดภยั พบิ ตั ิและผคู้ นลม้ ตาย พระนางจึงโปรด ใหส้ ร้างเจดีย์
ทรงสูงครอบไวโ้ ดยใหป้ ลายงาช้ีข้ึนฟ้า กู่ชา้ ง เป็นเจดียฐ์ านเขียงกลม ซอ้ นเหล่ือมกนั ข้ึนไปหา้ ช้นั รองรับ
ฐานบวั ควา่ องคร์ ะฆงั เป็นทรงกลม แต่จะยดื สูงข้นึ ไปกวา่ ปกติ ลกั ษณะคลา้ ยทรงกรวยก่อดว้ ยอิฐสูง
ประมาณ 30 เมตร ยอดเจดียไ์ มแ่ หลมอยา่ งเจดียท์ วั่ ไป แตเ่ ป็นยอดตดั มีปล่องคลา้ ยบ่อน้าดา้ นบน ลกั ษณะ
คลา้ ย เจดียบ์ อบอคยใี น อาณาจกั รพยู ทางตะวนั ตกเฉียงใตข้ องพมา่ และ เจดียง์ ๊ะจเวนะตาว ในเมืองพุกาม
และเจดียบ์ ริวารรอบๆ เจดียม์ หาโพธ์ิที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สนั นิษฐานไดว้ า่ กู่ชา้ งไดร้ ับอิทธิพลมาจาก
เจดียแ์ บบพม่า

ก่มู า้ ต้งั อยดู่ า้ นหลงั กู่ชา้ ง เชื่อกนั วา่ เป็นที่บรรจุซากมา้ ทรงของพระเจา้ มหนั ตยศ พระราชโอรสของพระนาง
จามเทวี ฐานสี่เหล่ียม องคเ์ จดียท์ รงระฆงั คว่า ส่วนยอดหกั พงั ทลายลงไปแลว้ ด้านหนา้ โบราณสถานกู่ชา้ งกู่
มา้ น้ี เทศบาลเมืองลาพนู ไดป้ รับปรุงใหเ้ ป็นสถานท่ี พกั ผอ่ นหยอ่ นใจของคนในชุมชน

ชาวลาพนู ใหค้ วามเคารพนบั ถือก่ชู า้ งมาก มีการสร้างศาลเจา้ พ่อกู่ชา้ งไวใ้ นทางทิศตะวนั ออกใกลก้ บั องค์
เจดียด์ า้ นหนา้ ศาลเจา้ พ่อกู่ชา้ ง มีรูปป้ันจาลองของป่ กู ่างาเขยี ว เพอ่ื ใหป้ ระชาชนทวั่ ไปไดม้ าสักการะ เชื่อกนั
วา่ หากไดล้ อดทอ้ งพระยาชา้ งเชือกน้ี จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ประสบความสาเร็จในส่ิงท่ีปรารถนา ในวนั ข้ึน
9 ค่า เดือน 9 ของทุกปี จะมีงานรดน้าดาหวั และบวงสรวงเจา้ พอ่ เพื่อขอขมาลาโทษ และขอพรใหป้ กปักษ์
รักษาประชาชนจากความทุกขท์ ้งั ปวง
การเดินทางไปกู่ช้าง ก่มู ้า
กู่ท้งั สองน้ีต้งั อยใู่ กลช้ ุมชนวดั ไก่แกว้ ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพนู ห่างจากตวั เมืองลาพูนไปทางเหนือ
(ออกจากเมืองลาพนู ไปทาง ถนนเชียงใหม่ ลาพูนสายเก่า) ประมาณ 2 กิโลเมตร หากไปจากเชียงใหม่ ใช้
ถนนเชียงใหม่ - ลาพูนสายเก่า สงั เกตโรงเรียน จกั รคาคณาทร ขบั เลยมานิดเดียว เล้ียวเขา้ ถนนเลก็ ๆ ขา้ ง
โรงเรียน มีป้ายบอกตลอดทาง
ทต่ี ้ัง : ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพูน จงั หวดั ลาพูน

วดั มหาวนั

ประวัติ : วดั มหาวนั (มหาวนั วนาราม) เป็นพระอารามหลวงของพระนางจามเทวี เจดียว์ ดั มหาวนั เป็นท่ีบรรจุ
พระรอดลาพนู 1 ใน 5 พระเคร่ืองชุดเบญจภาคีที่มีอายเุ ก่าแก่ที่สุด เช่ือกนั วา่ พระรอดมีความศกั ด์ิสิทธ์ิหรือ
ความขลงั ในดา้ นแคลว้ คลาด ปราศจากภยั อนั ตรายและความวิบตั ิตา่ งๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ไดล้ าภผล
และคงกระพนั ชาตรี หากใครไดม้ ากราบไหวบ้ ูชาพระรอดกจ็ ะพน้ ภยั อนั ตรายทุกส่ิงปวง วดั เก่าแก่ อายกุ วา่
1,300 ปี สร้างในสมยั พระนางจามเทวี มีพระพทุ ธรูปปางนาคปรกที่อญั เชิญมาจากเมืองละโว้ กรุพระเครื่อง
ชื่อดงั คอื พระรอดมหาวนั ถือเป็นแบบพมิ พอ์ งคพ์ ระรอดที่มีชื่อเสียง

ต้งั อยทู่ ี่ถนนจามเทวี อาเภอเมืองลาพนู เป็นวดั ที่เก่าแก่ สร้างข้ึนในสมยั พระนางจามเทวี อาณาเขตทิศเหนือ
จรดทางสาธารณประโยชน์ ทิศใตจ้ รดทางสาธารณประโยชนแ์ ละถนนจามเทวี ทิศตะวนั ออกจรดทาง
สาธารณประโยชนแ์ ละคเู มืองส่งน้า ทิศตะวนั ตกจรดทางสาธารณประโยชน์ อาคารเสนาสนะประกอบดว้ ย
อโุ บสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ กฏุ ิสงฆ์ หอระฆงั หอไตร ปูชนียวตั ถุ พระพทุ ธรูปพระประธานสร้างดว้ ยอิฐ
ถือปนู ศิลปะลา้ นนา

ท่ตี ้งั : ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพูน จงั หวดั ลาพูน

วดั ดอยติ

ประวตั ิ : วดั ดอยติ สร้างเมื่อ พ.ศ.2025 ไดร้ ับวสิ ุงคามสีมาเม่ือวนั ท่ี พ.ศ. 2125 ประวตั ิวดั แจง้ วา่ ไดร้ ับ
วสิ ุงคามสีมา ประมาณ พ.ศ. 1215 มีเจา้ อาวาส คอื รูปท่ี1 พระอุปนนั ท์ รูปท่ี 2 พระอินถา รูปที่ 3 พระหมู รูป
ที่ 4 พระอปู รูปท่ี 5 พระครูมอย ญาณวชิ โย พ.ศ.2471-2509 รูปที่ 6 พระอธิการดวงคา ฐิตธมโม พ.ศ.2510-
2511 รูปที่ 7 พระอธิการดวงตา ฐิตธมโม ต้งั แต่ พ.ศ. 2525 เป็นตน้ มา และปัจจุบนั เจา้ อาวาส ชื่อ พระปลดั
สมชาย กิตฺติวณฺโณ ปัจจุบนั จงั หวดั ลาพนู ก่อสร้างรูปจาลองครูบาศรีวชิ ยั ข้นึ ในวดั ดอยติ

ครูบาเจา้ ศรีวิชยั นกั บุญแห่งลา้ นนา เป็นชาวลาพูนโดยกาเนิด เกิดเม่ือวนั ที่ 11 มิถนุ ายน 2421 ที่บา้ นปาง
อาเภอล้ี จงั หวดั ลาพนู ถึงปี น้ีครบ 136 ปี ครูบาเจา้ ศรีวชิ ยั เป็นปชู นียบคุ คลที่สาคญั อยา่ งยง่ิ ท่ีชาวลาพนู และ
ชาวลา้ นนาใหค้ วามเคารพนบั ถือ ดว้ ยความเส่ือมใสศรัทธาและระลึกถึงพระคุณของทา่ น ที่ไดเ้ ป็นผนู้ า
พุทธศาสนิกชน ในการทานุบารุง พระพุทธศาสนาในลา้ นนาใหม้ นั่ คงสืบมาจนถึงปัจจุบนั หลงั จากที่จดั พิธี
พระราชทานเพลิงสรีระของทา่ น ณ วดั จามเทวแี ลว้ ไดจ้ ดั สร้างสถูปหรือก่บู รรจุอฏั ฐิไว้ ณ ที่แห่งน้ี เพ่ือให้
พุทธศาสนิกชน ไดส้ ักการบูชา โดยไดจ้ ดั ประเพณีดาหวั กู่ครูบาเจา้ ศรีวิชยั มาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั

“อนุสาวรียค์ รูบาศรีวชิ ยั ใหญ่ท่ีสุด บนวดั ดอยติลาพูน” ต้งั อยบู่ นเสน้ ทางไฮเวยล์ าพูน-เชียงใหม่ ริมทางหลวง
และถือเสมือนเป็นประตูเมืองของจงั หวดั ลาพูน ผทู้ ่ีขบั รถสายน้ีผา่ นไป-มา จะเห็นอนุสาวรีย์ พระรูปครูบาศ
รีวิชยั นงั่ สมาธิ เด่นอยบู่ นเนินยอดดอยวดั พระธาตุดอยติ อนั นบั ไดว้ า่ เป็นพระรูปครูบาศรีวิชยั ท่ีใหญ่ที่สุดใน
ประเทศไทยท่ีเคยเห็นมา

ท่ตี ้งั : วดั ดอยติ ตาบลป่ าสกั ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั ลาพนู

วดั พระยนื

ประวัติ : วดั พระยนื ในอดีตเคยรุ่งเรืองมีความสาคญั ต่อประวตั ิศาสตร์ของเมืองหริภุญชยั ปัจจุบนั ต้งั อยเู่ ลขที่
๑ บา้ นพระยนื หม่ทู ี่ ๑ ตาบลเวยี งยอง อาเภอเมือง จงั หวดั ลาพูน สงั กดั คณะสงฆม์ หานิกายมีเน้ือที่ประมาณ
๒๙ ไร่ ๒ งาน อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้ากวง ชื่อ “ วดั พระยนื ” เรียกตามปูชนียวตั ถุสาคญั ท่ีอยใู่ นวดั
คือพระยนื ( พระพทุ ธรูปยนื ) ซ่ึงเร่ืองเกี่ยวกบั พระยนื น้ี ไดม้ ีการกลา่ วไวใ้ นหนงั สือตานานหลายเลม่ อาทิ
ในหนงั สือ ตานานมลู ศาสนา ไดก้ ลา่ วถึงตอนท่ีพระญากือนาไดอ้ าราธนานิมนตพ์ ระสุมนเถระจากเมือง
สุโขทยั เพื่อมาเชียงใหม่ โดยไดพ้ กั ท่ีวดั พระยนื ในเมืองหริภญุ ชยั ราว พ . ศ . ๑๙๑๒ ซ่ึงขณะน้นั ไดม้ ีพระ
ยนื ๑ องคอ์ ยกู่ ่อนแลว้ แตบ่ ริเวณน้นั เป็นป่ า พระญากือนาจึงใหค้ นไปแผว้ ถาง แลว้ สร้างพระพทุ ธรูปยนื เพ่มิ
อีก ๓ องค์ โดยองคห์ น่ึงใหห้ ันหนา้ ไปทางทิศตะวนั ตก องคห์ น่ึงหนั หนา้ ไปทางทิศเหนือ และอีกองคห์ น่ึง
หนั หนา้ ไปทางทิศใต้ และสร้างมณฑปครอบพระพุทธรูปยนื ท้งั ๔ องคน์ ้ีไว้

เจดียว์ ดั พระยนื เป็นศิลปะพกุ าม สร้างบนยกพ้นื สูงเป็นช้นั ลดหลน่ั ลานประทกั ษณิ ช้นั บนมีเจดียข์ นาดเลก็
ประจามมุ เรือนธาตุเป็นทรงส่ีเหล่ียมมีจระนายน่ื ออกมาท้งั ส่ีดา้ น เหนือเรือนธาตเุ ป็นหลงั คาลาดรองรับชุด
ฐานซอ้ นตอ่ ยอดทรงระฆงั เจดียอ์ งคใ์ หม่ท่ีสร้างครอบของเดิมน้ี เจา้ หลวงอินทยงยศเจา้ ผคู้ รองนครลาพูนได้
ใหห้ นานปัญญาเมืองชาวบา้ นหนองเส้ง ซ่ึงเป็นช่างประจาคุม้ หลวง เป็นผูอ้ อกแบบและควบคมุ การก่อสร้าง

จงั หวดั ลาพูนไดช้ ่ือวา่ เป็นเมืองแห่งวฒั นธรรมและพทุ ธศาสนา ซ่ึงจากตานานในอดีตกล่าววา่ เป็นเมืองที่มี
อายเุ ก่าแก่ท่ีสุดในแผน่ ดินลา้ นนา มีวดั วาอารามและโบราณสถานมากมาย ไม่วา่ จะเป็นวดั พระธาตหุ ริภุญ
ไชย วดั จามเทวี วดั มหาวนั วดั กู่ละมกั แตม่ ีอยวู่ ดั หน่ึงซ่ึงต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ออกของเมืองเป็นวดั ท่ีเก่าแก่
ต้งั แต่สมยั เมื่อสร้างเมืองหริภุญชยั คือ “วดั พระยนื ” หรือ “วดั อรัญญิการาม”

ดว้ ยวดั พระยนื เป็นวดั สาคญั ทางทิศตะวนั ออกของเมือง มีการขดุ พบหลกั ศิลาจารึก ในวดั พระยนื สนั นิษฐาน
วา่ มีอายปุ ระมาณ 600 กวา่ ปี สร้างข้ึนเม่ือคราวท่ีพระสุมณะเถระกบั พระยากือนาไดร้ ่วมกนั ก่อสร้าง
พระพุทธรูปยนื ข้ึนอีก 3 องค์ ศิลาจารึกน้ีสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ เคยเสด็จมาทอดพระเนตรและไดน้ า
กระดาษสาและแทง่ คาร์บอนฯมาขดู เพื่อปรากฏตวั อกั ษรนาไปศึกษาซ่ึงพระองคใ์ หค้ วามสนพระทยั เป็น
อยา่ งยงิ่ นอกจากน้ีภายในวดั พระยนื ยงั มีพระอโุ บสถที่เก่าแก่ ท่ีสร้างข้นึ ในสมยั พระเจา้ กือนาเมื่อปี พ.ศ.1929
ต่อมาพระมงคลญาณมณุ ี เจา้ คณะจงั หวดั ลาพูนและเจา้ อาวาสวดั พระยนื ไดท้ าการบูรณะข้นึ ใหมใ่ นปี พ.ศ.
2472 ซ่ึงปัจจุบนั พระอุโบสถแห่งน้ียงั ปรากฏภาพเขียนสีที่บริเวณดา้ นขา้ งและมีลวดลายท่ีหนา้ บนั อยา่ ง
สวยงาม ซ่ึงคงสภาพเดิมเม่ือกวา่ 70 ปี ท่ีแลว้ ดว้ ยคณุ คา่ ของศิลปกรรมเก่าแก่ที่มีการอนุรักษร์ ักษาไวเ้ ป็น
อยา่ งดีของชาวบา้ นวดั พระยนื อีกท้งั ในบริเวณวดั ยงั เงียบสงบร่มร่ืน จึงไม่แปลกใจเลยท่ีวดั พระยนื แห่งน้ีได้
กลายเป็นวดั ที่หลายคนใฝ่ฝันเดินทางมาศึกษาถึงประวตั ิและเยย่ี มชมความสวยงามของศิลปกรรมสมยั เมื่อ
600 กวา่ ปี ก่อนอยา่ งมากมาย
จุดเด่น : พระยนื , หลกั ศิลาจารึก , พระอุโบสถ , ภาพเขียนสี

ทีต่ ้งั : ตาบลเวียงยอง อาเภอเมืองลาพูน จงั หวดั ลาพนู

วดั พระคงฤาษี

ประวตั ิ : วดั พระคงฤาษี หรือวดั อนนั ทราม ต้งั อยู่ ต.ในเมือง เป็นวดั ท่ีสร้างข้ึนในสมยั พระนางจามเทวีครอง
เมืองหริภุญชยั ในวดั น้ีมี พระคง ซ่ึงเป็นพระเคร่ืองที่มีความศกั ด์ิสิทธ์ิและเป็นที่นบั ถืออีกองคห์ น่ึงของเมือง
ลาพูน เป็น 4 วดั 4 มุมเมือง ที่มีการจุดพบพระเครื่องของเมืองลาพูน เชื่อวา่ พระเคร่ืองท่ีขดุ ไดน้ ้ีเป็นเป็นพระ
คง ท่ี วาสุเทพฤาษี และสุกกทนั ตฤาษี สร้างวดั จึงเรียกวา่ วดั พระคงฤาษี แตน่ ้นั เป็นตน้ มา วดั พระคงฤาษี
เดิมช่ือ "วดั อาพทั ธาราม" พระนางจามเทวีโปรดใหส้ ร้างข้ึนเพือ่ ถวายพระภิกษุท่ีมาจากลงั กา ใชเ้ ป็นท่ีพานกั
และบาเพญ็ สมณะธรรมเป็นที่บรรจุ "พระคง" ตามตานานกลา่ ววา่ วาสุเทพฤาษี ไดใ้ ชไ้ มเ้ ทา้ กรีดพ้ืนเพ่ือ
เขยี นแผนผงั เมืองลาพูนตรงพระเจีดยน์ ้ี พระนางจามเทวจี ึงทรงสร้างพระเจดียข์ ้ึนเป็นรูปทรงส่ีเหล่ียม แลว้
ใหน้ ายช่างแกะสลกั เป็นรูปพระฤาษีท้งั 4 ตนไว้ แตล่ ะตนถือไมเ้ ทา้ ในมือ รูปป้ันแกะสลกั ฤาษสี ร้างดว้ ยศิลา
แดงเมื่อทาเสร็จแลว้ ไดน้ าไป บรรจุไวภ้ ายในซุม้ ประตูท้งั 4 ดา้ นของพระเจดีย์ โดยทางทิศเหนือเป็นรูป
วาสุเทพฤาษี ทิศตะวนั ออกเป็นรูปพระพรหมฤาษี ทิศตะวนั ตกเป็นรูปของพระสมณนารคฤาษี ทิศใตเ้ ป็นรูป
ของสุกกทนั ตฤาษี ซ่ึงชาวลาพนู จะจดั ประเพณีนมสั การและสรงน้า พระเจดียอ์ งคน์ ้ีภายหลงั วนั สงกรานต์

ทตี่ ้งั : ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพูน จงั หวดั ลาพนู

พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย

ประวัติ : พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ หริภญุ ไชย จงั หวดั ลาพนู เป็นสถานท่ีเก็บรวบรวมโบราณวตั ถุและ
ศิลปวตั ถุท่ีไดม้ าจากวดั สาคญั และแหล่งโบราณคดีในจงั หวดั ลาพนู จานวนกวา่ 3,000 ชิ้น ถกู จดั ต้งั ข้นึ มา
เพอ่ื เป็นที่รวบรวมและจดั แสดงศิลปะโบราณวตั ถทุ ่ีมีอยมู่ ากมายในภาคเหนือของประเทศไทยอีกแห่งหน่ึง
โดยมหาอามาตยโ์ ท พระยาราชนกุลวบิ ูลยภ์ กั ดี (อวบ เปาโรหิต) สมุหเทศาภิบาล มณฑลพายพั เป็นผรู้ ิเริ่ม
การน้ีมาต้งั แตพ่ .ศ. 2470 ซ่ึงในช่วงเวลาน้นั เริ่มมีการมองเห็นคณุ คา่ ของมรดกทางวฒั นธรรมมากข้ึน กิจการ
พิพธิ ภณั ฑสถาน ซ่ึงเร่ิมจากในพระราชสานกั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จนกระทงั่ ได้
เปิ ดเป็นพิพธิ ภณั ฑส์ าหรับประชาชนข้ึนเป็นคร้ังแรกในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เม่ือ
พ.ศ. 2417 มีผลใหเ้ กิดพิพธิ ภณั ฑสถานอื่นๆข้ึนอีกหลายแห่งในประเทศ รวมท้งั พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย แห่งน้ี

คณะเจา้ หนา้ ท่ีดาเนินการ ไดใ้ ชส้ ถานท่ีภายในบริเวณวดั พระธาตุหริภุญไชยวรมหาวหิ าร คือ ท่ีบริเวณศาลา
บาตร ดา้ นทิศตะวนั ตกเฉียงใตข้ ององคพ์ ระธาตหุ ริภุญชยั และศาลาอีกหลงั หน่ึงใกลก้ นั เป็นอาคาร
พพิ ธิ ภณั ฑสถาน ศิลปะโบราณวตั ถทุ ่ีนามาเกบ็ รวบรวมและจดั แสดง ส่วนใหญเ่ ป็นวตั ถุที่เก่ียวเน่ืองใน
พระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูป พระพิมพ์ ชิ้นส่วนของโบราณสถาน ภาชนะใชส้ อย เครื่องประดบั
ตลอดจนสิ่งของอ่ืนๆที่ถกู เก็บรักษาไว้

เมื่อแรกต้งั พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งน้ีมี่ชื่อเรียกพิพธิ ภณั ฑสถานลาพนู อยใู่ นความดูแลของวดั พระธาตหุ ริภุญชยั
วรมหาวิหาร และจงั หวดั ลาพูน ภายหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 กย็ งั คงอยใู่ นความดูแลของ
วดั พระธาตหุ ริภุญชยั วรมหาวหิ าร ร่วมกบั เจา้ หนา้ ท่ีศาลากลางจงั หวดั เรื่อยมา จนกระทงั่ กรมศิลปากรได้
ดาเนินการข้นึ ทะเบียนโบราณวตั ถใุ นพพิ ธิ ภณั ฑ์ และประกาศเป็นพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย อยู่

ในความดูแลรับผิดชอบของกรมศิลปากร ต้งั แต่วนั ท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2504 เป็นตน้ มา ในปัจจุบนั มี
อาคารพพิ ิธภณั ฑสถาน 2 หลงั คอื อาคารพิพธิ ภณั ฑสถานลาพูนหลงั เดิม ซ่ึงต้งั อยใู่ นบริเวณวดั พระธาตุหริ
ภุญชยั วรมหาวิหาร (อาคารหลงั เดิมไดถ้ กู ร้ือลง และสร้างใหมบ่ นท่ีเดิมแลว้ เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2540) อยใู่ น
ความดูแลของวดั พระธาตุหริภญุ ชยั วรมหาวหิ าร และอาคารพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ต้งั อยู่ ณ
ถนนอินทยงยศ อยใู่ นความดูแลรับผดิ ชอบของกรมศิลปากร
กรมศิลปากรไดก้ ราบบงั คมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ พระราชดาเนิน
ทรงเปิ ดอาคารพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย เมื่อวนั ที่ 20 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2522 เวลา 15.00 น.
วนั เวลาเปิ ดทาการ
เปิ ดวนั พธุ – อาทิตย์
เวลา 09.00 น. ถึง 16.00 น.
ปิ ดวนั จนั ทร์ – องั คาร และวนั หยดุ นกั ขตั ฤกษ์
ค่าธรรมเนียมเข้าชม
ชาวไทย คนละ 20 บาท
ชาวต่างชาติ คนละ 100 บาท
ที่ต้งั : ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพูน (เย้อื งกบั วดั พระธาตุหริภุญชยั ) จงั หวดั ลาพนู

วดั สนั ป่ ายางหลวง

ประวตั ิ :เป็นวดั ท่ีมีความสวยงามโดยเฉพาะวหิ ารไดต้ ิดอนั ดบั 1 ใน 10 วหิ ารสวยของประเทศไทยอีกดว้ ย
พระวหิ ารพระเขียวโขง สร้างเม่ือ พ.ศ. 2536 โดยใชว้ สั ดุเสาไมต้ ะเคียนทอง ไมแ้ ดง จากประเทศลาว พม่า
และไทย พระครูบาอินทรเป็นผอู้ อกแบบก่อสร้างและออกแบบลวดลายพ้ืนเมือง ผสมผสานระหวา่ งสมยั เก่า
กบั สมยั ใหม่ วิหารพระเจา้ เขียวโขงเมื่อมองจากดา้ นหนา้ จะมีหลงั คา 5 ช้นั มีช่อฟ้า 5 ตวั หมายถึงพระเจา้ 5
พระองค์ ดา้ นหลงั อีกสามหมายถึงศีลสมาธิปัญญา หมายถึงการปฏิบตั ิของพระพุทธเจา้ เพื่อเดินเขา้ สู่พระ
นิพพาน หนา้ 5 รวมหลงั 3 เป็น 8 หมายถึงตอ้ งปฏิบตั ิตามทางสายกลางคอื มรรค 8 ไดธ้ รรมมชั ฌิมา ทางสาย
กลางคือ 9 เป็นโลกุตรธรรม นอกจากน้ีภายในวิหารพระเขยี วโขงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธอญั ญรัตนมหา
นาทีศรีหริภุญชยั หรือพระเขียวโขง เป็นพระพทุ ธรูปแกะสลกั จากหินแมน่ ้าโขง บา้ นดอนมหาวนั ที่ใกลก้ บั
ประเทศลาว ใครท่ีมีโอกาสไดไ้ ปจงั หวดั ลาพนู ก็อยา่ ลืมที่จะแวะไปชมความสวยงามของวดั สันป่ ายางหลวง
กนั นะคะ

ที่ต้งั : ตาบลในเมือง อาเภอเมืองลาพูน จงั หวดั ลาพูน

พพิ ธิ ภณั ฑว์ ดั ตน้ แกว้

ประวตั ิ : พิพิธภณั ฑว์ ดั ตน้ แกว้ หรือ พพิ ิธภณั ฑบ์ า้ นชาวยอง ก่อต้งั โดยพระครูไพศาลธีรคณุ เจา้ อาวาสวดั ตน้
แกว้ เมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยเริ่มจากการเก็บสะสมของโบราณ ท่ีเป็นขา้ วของเครื่องใชใ้ นวิถีชีวติ ประจาวนั ของ
ชาวยองในอดีต จนภายหลงั เริ่มมีผมู้ ีจิตศรัทธา นาส่ิงของเก่ามาบริจาคมากข้ึน จึงไดจ้ ดั ทาเป็นพิพธิ ภณั ฑว์ ดั
ตน้ แกว้ ภายในพพิ ิธภณั ฑป์ ระกอบดว้ ยอาคารที่ใชจ้ ดั แสดง 2 หลงั อาคารหลงั แรกสร้างข้ึนใหม่ และเก็บ
รวบรวมเร่ืองราวทางพระพุทธศาสนาและสิ่งของต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปไม้ พระพุทธรูปเน้ือดินเผา หีบพระ
ธรรม เคร่ืองเงิน ขนั โตก เครื่องจกั สาน และวตั ถสุ ่ิงของท่ีใชใ้ นการทอผา้ ซ่ึงเป็นขา้ วของที่ใชก้ นั ใน
ชีวิตประจาวนั ของชาวเมืองยองต้งั แต่คร้ังอดีต ส่วนอาคารท่ี 2 เป็นอาคารไมห้ ลงั เก่า จดั แสดงเก่ียวกบั เครื่อง
พดั ยศ และพระเครื่องรุ่นเก่า พระเครื่องสกลุ ตา่ ง ๆ ที่มีชื่อเสียงของลาพูนเอาไวม้ ากมาย เช่น พระรอดพระคง
พระลือ พระเลี่ยง พระเปิ ม พระสิบสอง พระลบ เป็นตน้ นอกจากน้ียงั ใชเ้ ป็นสถานที่ประกอบพิธีสืบชะตา
อีกดว้ ย นบั เป็นอีกความพยายามหน่ึงของคนยอง ที่อยากจะรักษาเอกลกั ษณ์ของตนเอง ไวเ้ พ่อื ใหค้ นรุ่นหลงั
ไดเ้ รียนรู้ประวตั ิความเป็นมา และสืบทอดวฒั นธรรมท่ีดีงามตา่ ง ๆต่อไป

ทีต่ ้งั : ตาบลเวียงยอง อ.เมืองลาพูน จงั หวดั ลาพนู

ขวั มุงทา่ สิงหแ์ ละชุมชนเวยี งยอง

ประวัติ : “ขวั มงุ ท่าสิงห”์ หรือ สะพานมีหลงั คา หลายแห่งในภาคเหนือมกั สร้างใกลว้ ดั หรือในชุมชน ดงั น้นั
“ขวั ” หรือสะพาน จะใชเ้ พือ่ การสญั จรไปมาระหวา่ งสองฝ่ังน้าเป็นจุดประสงคห์ ลกั แต่การสร้างหลงั คามุง
เพือ่ เหตผุ ลทาง สถาปัตย์ คือ สะพานโบราณส่วนใหญส่ ร้างดว้ ยไม้ การมุงหลงั คาช่วยกนั แดดกนั ฝนทาให้
อายกุ ารใชง้ านของสะพานยาวนานข้นึ ต่อจากน้นั เมื่อสะพานมีร่มเงา จากที่ใชเ้ พยี งการสญั จรไปมากลายมา
เป็นนง่ั พกั ผอ่ น นงั่ คุยกนั และพฒั นามาเป็นตลาดพ้ืนบา้ นเลก็ จวบจนปัจจุบนั ขวั มงุ ทา่ สิงห์ ไดพ้ ฒั นาโดย
องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั ลาพูน ทาเป็นศูนยส์ ินคา้ OTOP ขายสินคา้ พ้นื บา้ น อาทิ ผา้ ฝ้าย เครื่องไม้
ผลิตภณั ฑจ์ ากลาไย พระเคร่ืองลาพนู ขนมไทยลา้ นนา และของท่ีระลึกต่างจากจงั หวดั ลาพนู ในราคา
กนั เอง ขวั มุงทา่ สิงห์ ต้งั อยฝู่ ั่งน้ากวง หนา้ วดั พระธาตุหริภุญชยั เช่ือมฝ่ังตวั เมืองกบั บา้ นเวยี ง
ยอง

เปิ ดทุกวนั : เวลา 9.00-18.00 น.
ทตี่ ้งั : ตาบลเวยี งยอง อ.เมืองลาพูน จงั หวดั ลาพูน

บอ่ น้าทพิ ย์ ดอยขะมอ้

ประวตั ิ : ดอยขะมอ้ เป็นภูเขาอยลู่ ูกหน่ึงลกั ษณะสูงชนั มาก รูปร่างเหมือนหมอ้ คว่า ชาวเมืองเรียกกนั มาแต่

โบราณวา่ “ดอยคว่าหมอ้ ” ต่อมาเพ้ียนมาเป็น “ดอยขะมอ้ บ่อน้าทิพย”์ ท่ีเรียกเช่นน้นั ก็เพราะวา่ บนยอดดอย
มีบ่อน้าท่ีเกิดกลางแผ่นดิน ถือกนั มาแต่โบราณวา่ เป็นบอ่ น้าทิพย์ ที่บริเวณปากบ่อจะมีป้ายปักไวว้ า่ “บริเวณ
บอ่ น้าทิพยห์ า้ มผหู้ ญิงเขา้ ” เพราะเม่ือผูห้ ญิงเขา้ ไปแลว้ น้าในบ่อจะแหง้ ทนั ที ยอดดอยขะมอ้ มีความกวา้ ง
ประมาณ 12 เมตร ยาว 30 เมตรลอ้ มรอบดอยน้ีมีเขาสูงสลบั ซบั ซอ้ นกนั หลายลกู และมีพนั ธุไ์ มน้ านาชนิดข้ึน
อยา่ งหนาแน่น ดา้ นบนมีพระวหิ ารต้งั อยหู่ ลงั หน่ึงกบั รอยพระพทุ ธบาทจาลองอยหู่ นา้ วหิ าร มีแผ่นศิลาจารึก
เป็นภาษาไทยลา้ นนาวา่ “ไดส้ ร้างพระวหิ ารและรอยพระพุทธบาทจาลองเม่ือ พ.ศ.2470 โดยครูบาสิงหช์ ยั วดั

สะแล่ง พระครูชยั ลงั กา วดั ศรีชุม ขนุ จนั ทนุปาน กานนั ตาบลมะเขอื แจ้ และนายชยั กานนั ตาบลบา้ นกลาง

ไดช้ กั ชวนประชาชนสร้างสิ้นค่าก่อสร้าง 3,000 รูปี ทาบุญฉลองเมื่อ พ.ศ.2472”
ต้งั อยใู่ นเขตตาบลมะเขือแจ้ อาเภอเมือง จงั หวดั ลาพนู เลขท่ี 259 หมทู่ ี่ 12 เป็นที่ต้งั ที่พกั สงฆด์ อยขะมอ้ (บ่อ
น้าทิพย)์ ห่างจากตวั เมืองไปทางทิศตะวนั ออก ประมาณ 16 กิโลเมตร บอ่ น้าทิพยเ์ ป็นลกั ษณะบ่อที่เกิดกลาง
แผน่ ดิน ไมใ่ ช่บ่อที่มีคนขดุ มีกวา้ งประมาณ 3 เมตร เป็นรูปส่ีเหล่ียมจตั ุรัสเรียว ลึกลงไปเป็นรูปกรวย ความ

ลึกของบ่อน้าทิพยน์ ้นั ไมส่ ามารถลงไปวดั ได้ น้าทิพยจ์ ากดอยขะมอ้ ถือเป็นน้าศกั ด์ิสิทธ์ิ 1 ใน 7 แห่ง ที่ไดม้ า
จากแม่น้าและแหลง่ น้าสาคญั และเป็นสิริมงคลของประเทศ เพอ่ื นามาทาน้าพทุ ธมนต์ ณ มหาเจดียส์ ถานอนั
เป็นมหานครโบราณ 7 แห่ง ไดแ้ ก่ น้าจากแม่น้าป่ าสกั ตาบลทา่ ราบ,น้าจากทะเลแกว้ พษิ ณุโลก,น้าโชคชมพู
บอ่ แกว้ บ่อทอง สวรรคโลก,น้าจากแม่น้านครไชยศรี นครปฐม,น้าจากบ่อวดั หนา้ พระลาน บ่อวดั เสมาชยั
บอ่ วดั เสมาเมือง นครศรีธรรมราช,น้าจากบ่อวดั พระธาตุพนม นครพนม และน้าทิพยจ์ ากดอยขะมอ้ ลาพูน
น้าทิพยด์ อยขะมอ้ จะถูกชกั รอกดว้ ยคา้ งหงส์ เพอื่ นาข้ึนสรง องคพ์ ระบรมธาตหุ ริภุญชยั ในวนั เพญ็ เดือน
วิสาขะ (เดือนแปดเป็ง) ซ่ึงมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ สาหรับชาวจงั หวดั ลาพนู เนื่องจากถกู กาหนดใหเ้ ป็นน้า
สาหรับสรงพระบรมธาตหุ ริภุญชยั ซ่ึงชาวลาพูนใหค้ วามเคารพนบั ถือ เป็นม่ิงขวญั และเป็นจอมเจดียท์ ่ี
สาคญั ที่สุดของอาณาจกั รลา้ นนาโบราณ สาหรับพธิ ีการตกั น้าทิพยบ์ นยอดดอยวนั เวลาในการตกั น้าทิพย์
ตามธรรมเนียม พ้ืนเมือง จะตกั ในวนั ข้นึ 12 ค่า ก่อนวนั สรงน้าพระธาตุหริภุญชยั 3 วนั จะนิมนตพ์ ระสงฆ์

จานวน 9 รูป ข้ึนไปเจริญพระพทุ ธมนต์ ณ บริเวณยอดดอยขะมอ้ เวลาค่ามีการทาพิธีบวชพราหมณ์ จานวน
4 ตน ซ่ึงจะตอ้ งนอนคา้ งคืน 1 คนื และประมาณ เวลา 05.00 น. ของเชา้ วนั ข้นึ 12 ค่าพราหมณ์ ท้งั 4 ตน จะ
ไดล้ งตกั น้าทิพยใ์ ส่หมอ้ น้าทิพยข์ ้ึนเสล่ียงแบกหามลงมาทาพธิ ีสมโภช หลงั จากน้นั จะจดั ขบวนอญั เชิญน้า
ทิพยด์ อยขะมอ้ เขา้ เมืองหริภุญชยั เพือ่ ต้งั สมโภชที่วดั พระธาตหุ ริภุญชยั เป็นเวลา 3 วนั ก่อนนาข้นึ สรงพระ
บรมธาตุเจา้ ร่วมกบั น้าสรงพระราชทาน
ทีต่ ้งั : ตาบลมะเขือแจ้ อ.เมืองลาพูน จงั หวดั ลาพนู

วดั พระพทุ ธบาทตากผา้

ประวัติ : วดั พระพทุ ธบาทตากผา้ ต้งั อยรู่ ะหวา่ งดอยม่อนชา้ งกบั ดอยเครือ นบั ถือกนั วา่ เป็นรอยพระบาทของ
พระพุทธเจา้ ที่มาประทบั ไวต้ รงบริเวณที่นาผา้ จีวรมาตาก มีรอยตารางบนผาหินท่ีเชื่อว่าคือรอยตากผา้ จีวร
พระพุทธเจา้ ตานานเล่าวา่ คร้ังพระพทุ ธเจา้ เสด็จมาสู่ดินแดนสุวรรณภมู ิ หลงั จาริกและประทบั พระบาทใน
ที่ต่างๆ แลว้ เมื่อเสดจ็ มาถึงบนลานผาลาด (คือบริเวณที่ต้งั วดั พระพุทธบาทตากผา้ ปัจจุบนั ) สถานที่ท่ี
พระองคท์ รงต้งั พระทยั จะประดิษฐานปาทเจดีย์ จึงทรงหยดุ พกั ผอ่ น แลว้ ใหพ้ ระอานนทน์ าเอาจีวรไปตาก
บนผาลาดใกลก้ บั ที่ประทบั หลงั จากน้นั ทรงอธิษฐานเหยยี บพระบาทประดิษฐานรอยไวบ้ นผาลาดน้ี และ
ตรัสทานายวา่ สถานที่แห่งน้ีจะปรากฏชื่อวา่ “พระพุทธบาทตากผา้ ”ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ ในสมยั พุทธกาล สมเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธะเจา้ ไดเ้ สด็จมาโปรดเวไนยสตั วใ์ นดินแดนสุวรรณภูมิ (ประเทศไทยในปัจจุบนั ) พระองค์
ไดเ้ สด็จไปในท่ีต่าง ๆ กระทงั่ เสดจ็ ถึงบริเวณวดั พระพุทธบาทตากผา้ แห่งน้ีซ่ึงเป็นผาลาด จึงไดท้ รงอธิษฐาน
ประทบั รอยพระพุทธบาทลง ณ ที่แห่งน้ี เพ่ือเป็นที่สักการบชู าของมวลเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลายและ
พระองคไ์ ดต้ รัสใหพ้ ระอานนท์ เอาจีวรไปตากบนผาลาด ใกลบ้ ริเวณท่ีประทบั ซ่ึงปรากฏเป็นรอยเลือนลาง
อยู่ ดงั น้นั วดั น้ีจึงไดช้ ื่อวา่ “วดั พระพุทธบาทตากผา้ ” มาถึงทุกวนั น้ี
ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ พระนางจามเทวี พระราชธิดาในพระเจา้ กรุงละโว้ (ลพบุรี) ไดเ้ สดจ็ มาครองนครหริ
ภุญชยั (ลาพนู ) พระนางไดท้ รงเป็นองคอ์ ุปถมั ภใ์ หส้ ร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทเป็นพทุ ธบูชา พ.ศ.
๒๔๗๒ ท่านครูบาศรีวิชยั นกั บญุ แห่งลา้ นนาไทย วดั บา้ นปาง อ.ล้ี จ.ลาพูน ไดร้ ับอาราธนาจากคณะสงฆ์
จงั หวดั ลาพนู ซ่ึงมีพระครูพทุ ธิวงศธ์ าดา วดั ฉางขา้ วนอ้ ยเหนือ เจา้ คณะอาเภอปากบ่อง (ป่ าซาง) เป็น
ประธานฝ่ายสงฆ์ และมีหลวงวโิ รจน์รัฐกิจ (เปรื่อง โรจนกุล) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ไดท้ าการก่อสร้าง
วิหารจตั รุ มุขจนสาเร็จ
พ.ศ. ๒๓๗๕ ครูบาอาจารยห์ ลายท่าน โดยมีครูบาป๋ า ปารมี วดั สะป๋ ุงหลวง เป็นประธาน พร้อมดว้ ย
ทายก ทายกิ า ไดก้ ่อสร้างวิหารหลงั ใหญ่ค่อมมณฑปไวอ้ ีกช้นั หน่ึง

พ.ศ. ๒๔๘๖ คณะสงฆ์ โดยมีพระญาณมงคล เจา้ คณะจงั หวดั ลาพนู วดั พระยนื เป็นประธาน พร้อมดว้ ย
ขา้ ราชการ ประชาชน ไดอ้ าราธนาทา่ นครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก วดั ป่ าหนองเจดีย์ ต.ท่าตมุ้ อ.ป่ าซาง มา
เป็นประธานอานวยการก่อสร้าง และดูแลกิจการของวดั โดยมีพระอธิการศรีนวล อินฺทนนฺโท วดั ชา้ งค้า เป็น
ผรู้ ักษาการแทนเจา้ อาวาส
พ.ศ. ๒๕๐๒ ทา่ นครูบาพรหมา ไดเ้ ร่ิมการพฒั นาวดั อยา่ งเตม็ ท่ี โดยการลงมือท้งั ก่อสร้างและซ่อมแซม
ถาวรวตั ถทุ ี่ทรุดโทรม เช่น พระวิหารจตุรมุข ไดต้ อ่ เติมยอดมณฑปข้ึนอยา่ งที่เห็นในปัจจุบนั ก่อสร้างพระ
อโุ บสถท้งั หลงั เก่าและหลงั ใหม่ ศาลาการเปรียญท้งั หลงั เลก็ และหลงั ใหญ่ กุฏิแถว โรงเรียนพระปริยตั ิธรรม
กาแพงวดั และอื่น ๆ เป็นที่ปรากฏอยา่ งที่เห็นใจปัจจุบนั ประวตั ิวดั พระพุทธบาทตากผา้ เดิมเป็นวดั ราษฎร์
ไดร้ ับพระราชทานวสิ ุงคามสีมาเมื่อวนั ท่ี ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และไดร้ ับการยกฐานะเป็นพระอาราม
หลวงช้นั ตรี ชนิดสามญั เมื่อวนั ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ต้งั อยใู่ นเน้ือท่ีประมาณ ๑๗๕ ไร่ ซ่ึงเป็นเนิน
เขาเต้ียๆ อยใู่ กลด้ อย (เขา) ๒ ลกู คอื ดอยชา้ งและดอยเครือ อยหู่ ่างจากเมืองลาพูนประมาณ ๑๙ กิโลเมตร
เป็นปชู นียสถานที่สาคญั แห่งหน่ึงของจงั หวดั ลาพูน หรือของภาคเหนือ
ปัจจุบนั วดั พระพทุ ธบาทตากผา้ เป็นศนู ยก์ ลางท่ีสาคญั ของการศึกษาพระปริยตั ิธรรม ท้งั แผนกนกั ธรรม
และบาลี ของพระภิกษุสามเณรในภาคเหนือ นอกจากน้ีแลว้ ทางวดั ไดจ้ ดั ใหม้ ีการปฏิบตั ิธรรมควบคูไ่ ปกบั
การศึกษา ไดจ้ ดั ต้งั สานกั วิปัสสนากรรมฐานข้ึน เพ่ือเป็นที่ปฏิบตั ิธรรมสาหรับพระภิกษุสามเณร อบุ าสก
อบุ าสิกา และผสู้ นใจทวั่ ไป

ท่ตี ้งั : ตาบลมะกอก อาเภอป่ าซา จงั หวดั ลาพูน

วดั เกาะกลาง

ประวตั ิ : วดั เกาะกลาง ต้งั อยูท่ ี่บา้ นบอ่ คาว ตาบลบา้ นเรือน อาเภอป่ าซาง ห่างจากแม่น้าปิ งไป ทางตะวนั ออก
ประมาณ 500 เมตร ช่ือของวดั เกาะกลางน้นั มีนยั ชดั เจนแลว้ วา่ เป็นวดั ที่คร้ังหน่ึงเคยมี น้าลอ้ มรอบ ต่อมา
เส้นทางของแม่น้าปิ งไดเ้ ปล่ียนสาย ไหลหนั เหไปเป็นแม่ปิ งสายปัจจุบนั แทนท่ี กระแสน้าจะโอบลอ้ มวดั
เกาะกลางดงั แตก่ ่อน กลบั ไหลห่างไกลออกไป แมว้ า่ ในปัจจุบนั แทบไม่เห็น ร่องรอยดงั กล่าวอีกเลย

เนื่องจากมีการถมคคู ลองทาถนนข้ึนหลายดา้ น อยา่ งไรก็ตามดา้ นทิศตะวนั ตก และดา้ นทิศใตย้ งั พอเห็นวา่ มี
เคา้ เดิมของท่ีราบลุ่มต่ามีน้าขงั ตลอดปี อาจกลา่ วไดว้ า่ วดั เกาะกลางยงั คงหลงเหลือซากโบราณสถานอยา่ ง
เป็นกลมุ่ เป็นกอ้ นและสมบรู ณ์มากท่ีสุดในจงั หวดั ลาพูน และมีขอ้ น่าสังเกตวา่ โบราณสถานเหลา่ น้นั หนั
หนา้ ไปยงั ทิศตา่ งๆ กนั มีท้งั ทิศตะวนั ออก ทิศใต้ และทิศตะวนั ตก ซ่ึงโดยปกปติแลว้ ทิศทางการหนั หนา้
ของวดั มกั ใชแ้ มน่ ้าเป็นหลกั
ประวตั ิของวดั มีเร่ืองเลา่ เชิงมุขปาฐะซ่ึงปรากฏในคมั ภีร์ภาษามอญอายปุ ระมาณ 400 - 500 ปี ซ่ึงพบที่วดั

หนองดู่ ในส่วนที่เก่ียวกบั ชาติกาเนิดของพระนางจามเทวีปฐมกษตั รียใ์ น ทฤษฎีท่ีเป็นของตนเอง ซ่ึงขดั แยง้

กบั ตานานฉบบั คลาสสิกท่ีรจนาข้นึ โดยพระภิกษุสมยั ลา้ นนาเม่ือ 500 ปี ท่ีแลว้ อยา่ งมาก นน่ั คอื ความเช่ือวา่
พระนางเจา้ จามเทวีเป็นธิดาของเศรษฐีอินตา (คาวา่ เศรษฐี อินตาน้ี ชาวพ้ืนเมืองทางภาคเหนือท้งั ลวั ะและเมง็
มกั นาไปใชเ้ รียกแทนสัญลกั ษณ์การอวตารลงมา ของพระอินทร์) เศรษฐีอินตาเป็นชาวมอญ (เมง็ ) เกิดที่บา้ น
หนองดู่ เป็นชาวป่ าซาง โดยตานานพ้นื บา้ นระบุวา่ เป็นพระบิดาท่ีแทจ้ ริงของพระนางจามเทวี ก่อนท่ีจะถูก
พญานกคาบไปตกอยใู่ นสระบวั แลว้ พระฤษีวาสุเทพเกบ็ มาเล้ียง ตอ่ มาเติบโตไดร้ ่าเรียนศิลปวิทยาการกบั
พระฤษีวาสุเทพ แลว้ ล่องลอย ไปกบั กระแสน้าเพ่ือไปอยใู่ นราชสานกั กรุงละโวฐ้ านะพระธิดาบุญธรรม ใน
ท่ีสุดไดก้ ลบั คืนสู่มาตภุ ูมิ นครหริภุญไชย ซ่ึงเรื่องราวเกี่ยวกบั เศรษฐีอินตาและพระนางจามเทวีในส่วนน้ียงั
ไมม่ ีขอ้ พสิ ูจน์ใดๆ ท้งั สิ้น นอกเสียจากวา่ ชุมชนแห่งน้ี คือบา้ นบ่อคาว - หรือปัจจุบนั เปล่ียนชื่อเป็นบา้ นเวยี ง
เกาะกลาง และ บา้ นหนองดู่ จานวนประมาณ 700 กวา่ ครัวเรือน กบั หม่บู า้ นหนองคอบ-บา้ นตน้ โชค ณ อีก

ฟากหน่ึง ของน้าแม่ปิ งในเขตอาเภอสนั ป่ าตอง จงั หวดั เชียงใหมจ่ านวนอีก 300 ครัวเรือน มีเช้ือสายมอญและ
ใชภ้ าษามอญในชีวิตประจาวนั จึงทาใหห้ ลายคนเชื่อกนั วา่ ประชากรกลมุ่ น้ีคอื ทายาทชาวมอญด้งั เดิมท่ี สืบ
ทอดมาจากมอญหริภุญไชยกลุ่มสุดทา้ ยที่ยงั หลงเหลืออยใู่ นจงั หวดั ลาพนู

อยา่ งไรก็ดี เน่ืองจากบริเวณน้ีเป็นที่ต้งั ชุมชนชาวมอญมาแตเ่ ดิม ทาใหร้ าว 500 ปี เศษ ในสมยั สมเด็จพระ
นเรศวรมหาราช ไดม้ ีชาวมอญจากหงสาวดีอพยพหนีพมา่ มาอยทู่ ่ีลาพูนจานวนหน่ึง และต่อมาช่วงรัชกาลท่ี

2 ไดม้ ีการอพยพครอบครัวชาวมอญจากราชบุรี - กาญจนบรุ ีมาปักหลกั อยู่ บริเวณลมุ่ แม่น้าปิ ง - แมน่ ้าวงั อยู่
อีกหลายระลอกปะปนกบั ชาวมอญหริภุญชยั โบราณและมอญหงสาวดี ยคุ พระนเรศวรท่ีตกคา้ งอยทู่ ี่บริเวณ
เมืองป่ าซางเช่นกนั
ท่ีต้งั : บา้ นบ่อคาว ตาบลบา้ นเรือน อาเภอป่ าซาง จงั หวดั ลาพูน

หมบู่ า้ นหตั ถกรรมบา้ นดอนหลวง

ประวตั ิ : บา้ นดอนหลวงเป็นแหลง่ ผลิตงานหตั ถกรรมผา้ ฝ้ายทอมือรายใหญ่และเป็นที่รู้จกั มากที่สุดแห่ง
หน่ึงของประเทศ ท่ีต้งั อยใู่ นตาบลแมแ่ รง อาเภอป่ าซาง แตน่ อ้ ยคนนกั ท่ีจะรู้จกั ถึงประวตั ิศาสตร์ความเป็นมา
อนั ยาวนานกวา่ 200ปี ของบา้ นดอนหลวงและการทอผา้ ดว้ ยมืออนั ลือเล่ืองท่ีอยคู่ ู่วิถีชีวิตมาต้งั แต่เดิม แรกเริ่ม
เดิมทีบา้ นดอนหลวงชื่อ หมู่บา้ นกอถ่อน เป็นหมูบ่ า้ นชาวยองที่อพยพมาจากเมืองเชียงรุ้งของแควน้ สิบสอง
ปันนาในจีนตอนใตท้ ี่คา้ ววั คา้ ควายมาก่อน ต่อมาในสมยั พระเจา้ กาวลิ ะไดก้ วาดตอ้ นผคู้ นจากเมืองยอง
ประเทศพม่าเขา้ มาต้งั บา้ นเรือนในเขตเมืองลาพูนต้งั บา้ นเรือน"เกบ็ ฮอมตอมไพร่" เพื่อบูรณะฟ้ื นฟูเมือง
หลงั จากรกร้างจากการทาสงครามกบั พม่า

ชาวยองเขา้ มาต้งั บา้ นเรือนอยู่ ณ ท่ีต้งั หม่บู า้ นปัจจุบนั เป็นชุมชนใหญป่ ระกอบกบั ท่ีต้งั หมูบ่ า้ นเป็น ท่ีดอน
จึงเรียกชื่อหมูบ่ า้ นใหม่วา่ “บา้ นดอนหลวง” วิถีชีวิตของคนยองในสมยั ก่อนจะทาไร่ทานา เล้ียงววั ควาย เมื่อ
วา่ งจากงานหลกั หญิงสาวมกั จะทอผา้ เพื่อใชใ้ นครัวเรือน โดยคนเมืองยองเรียกการทอผา้ วา่ “ตาหูก” แตล่ ะ
บา้ นจะทอผา้ จากฝ้ายท่ีปลูกเอง แลว้ นามาผา่ นกระบวนการป่ันฝ้ายใหเ้ ป็นเสน้ ดา้ ย จากน้นั ยอ้ มสีเสน้ ดา้ ยดว้ ย
วสั ดุจากธรรมชาติท่ีไม่เป็นอนั ตรายตอ่ ชีวิต จากน้นั จึงนามาข้นึ กี่ท่ีมีอยใู่ ตถ้ นุ บา้ นแทบจะทุกหลงั คาเรือน
เพอื่ ทาการถกั ทอเป็นผา้ ผืนตามขนาดท่ีตอ้ งการ โดยผา้ ที่นิยมทอกนั ในสมยั น้นั จะเป็นผา้ สีพ้ืน จากน้นั นามา
ตดั เยบ็ เพื่อใชเ้ ป็นเครื่องนุ่งห่มและขา้ วของเคร่ืองใชใ้ นชีวิตประจาวนั ต่อไป อาทิเช่น ผา้ ห่ม ผา้ มา่ น ผา้ ปโู ต๊ะ
ผา้ ปูท่ีนอน ปลอกหมอน เป็นตน้ ในสมยั ก่อนเดก็ ผหู้ ญิงในหมูบ่ า้ นจะทอผา้ ดว้ ยมือกนั เป็นแทบทกุ คน หาก
วา่ เป็นแต่ลวดลายพ้ืนๆ ที่เรียกวา่ ลาย 2 ตะกอ การทอผา้ มือจึงถือไดว้ า่ เป็นหัตถกรรมพ้ืนบา้ นที่สืบทอดกนั
มาและเป็นกิจกรรมที่ผกู พนั กบั วถิ ีชีวิตและความเป็นอยขู่ องชาวบา้ นดอนหลวงมาเป็นเวลานานนบั ร้อยๆปี

ความเจริญเริ่มแผข่ ยายเขา้ มาสู่ตวั อาเภอป่ าซางผา่ นทางถนนหลวงที่ตดั ผา่ นเมืองป่ าซางเพอื่ ทอดตวั ไปสู่
เชียงใหม่ การทอผา้ มือของช่างทอผา้ บา้ นดอนหลวงจึงมิไดจ้ ากดั อยแู่ ต่เพยี งการทอเพ่ือใชใ้ นชีวิตประจาวนั

อีกต่อไป แต่กลายไปเป็นอาชีพเพอื่ เล้ียงปากทอ้ งแทนการทาไร่ทานาอยา่ งในอดีต การต้งั ข้ึนของโรงงานทอ
ผา้ ในตวั เมืองอาเภอป่ าซางทาใหช้ ่างทอผา้ จากบา้ นดอนหลวงหลายๆคนถกู ดึงตวั ออกไปทางานยงั โรงงาน
ทอผา้ ทาหนา้ ที่เพ่อื คิดคน้ ลวดลายใหมๆ่ และยกลวดลายจากใบกระดาษแบบลายของเจา้ ของโรงงานใหล้ งสู่
ผนื ผา้ จริง การออกไปทางานยงั โรงงานทอผา้ ในตวั เมืองป่ าซางเสมือนการเปิ ดประตูความรู้ของช่างทอผา้
บา้ นดอนหลวงใหร้ ู้จกั และเรียนรู้การทอผา้ ลวดลายแปลกใหม่ท่ีทนั สมยั การใชส้ ีสันบนชิ้นงานใหเ้ ป็นที่
ถกู ใจของตลาด ไดพ้ บและเรียนรู้อีกดา้ นหน่ึงของการทอผา้ ที่ไม่ใช่การทอผา้ เพื่อชีวิตประจาวนั เม่ือสั่งสม
ความรู้และประสบการณ์จนเชี่ยวชาญจึงไดก้ ลบั มาพฒั นาการทอผา้ ใหก้ า้ วไกลออกไปอีกข้นั การทอผา้ มือ
บา้ นดอนหลวงผา่ นการสะสมความรู้และประสบการณ์หลายตอ่ หลายรุ่น จนกลายเป็นภมู ิปัญญาอนั ล้าค่า แม้
ปัจจุบนั การทอผา้ จะค่อยๆจางหายไปจากชุมชน ทกุ หลงั คาเรือนไม่ไดท้ อผา้ ใชอ้ ยา่ งในอดีต หลายๆคนหนั
ไปประกอบอาชีพอื่นๆ แต่ก็ยงั มีอีกหลายคนที่พยายามสืบสานและพฒั นาการทอผา้ ต่อไป

ในปี พ.ศ. 2535 กลุม่ ทอผา้ บา้ นดอนหลวงเป็นหน่ึงในความร่วมมือของคนในชุมชนเพ่ือการอนุรักษแ์ ละคง
อยขู่ องการทอผา้ ฝ้าย เร่ิมก่อต้งั โดยความสนบั สนุนของภาครัฐ แรกก่อต้งั มีจานวนสมาชิกท้งั หมด 15คน
กลมุ่ ทาหนา้ ที่ส่งเสริม พฒั นา และกระจายสินคา้ แก่สมาชิก โดยมีศูนยจ์ าหน่ายสินคา้ จากผา้ ฝ้ายทอมือที่
ต้งั อยกู่ ลางหมูบ่ า้ น ศนู ยร์ วมผลิตภณั ฑเ์ ครือข่ายกลุ่มทอผา้ หตั ถกรรมพ้ืนบา้ นสร้างข้ึนเมื่อประมาณปี พ.ศ.
2532 โดยไดร้ ับงบประมาณจากกองทุนเพอื่ ความมน่ั คงแห่งชาติ (ก.น.ช.) ไดร้ ับงบประมาณส่วนหน่ึงมา
สร้างศาลาประชาธิปไตยในพ้นื ท่ีของวดั ดอนหลวง และไดจ้ ดั พ้นื ที่ส่วนหน่ึงเป็นศูนยห์ ตั ถกรรม ตอ่ มา
อาคารดงั กลา่ วไดท้ รุดโทรมลง ชาวบา้ นจึงมีการประชุมปรึกษาหารือและไดส้ ร้างอาคารศนู ยร์ วมผลิตภณั ฑ์
ผา้ ทอข้ึนใหมใ่ นท่ีเดิม ประมาณปี พุทธศกั ราช 2541 โดยไดร้ ับงบประมาณจากโครงการมิยาซาวา ซ่ึงอาคาร
น้ีมีใชเ้ พ่ือเป็นสถานท่ีรวบรวมสินคา้ หตั ถกรรมของกลมุ่ เครือข่ายและเพือ่ ใชเ้ ป็นสถานที่ในการฝึกอบรม
สมาชิกเก่ียวกบั การทอผา้ การยอ้ มสีผา้ รวมท้งั กระทง่ั การออกแบบผลิตภณั ฑ์ ต่อมาในปี พ.ศ.2542 ไดร้ ับ
รางวลั หมบู่ า้ นอตุ สาหกรรมดีเด่น จึงมีการขยายกลมุ่ โดยการเปิ ดรับสมาชิกเพ่มิ เพื่อขยายความร่วมมือ
อนุรักษแ์ ละพฒั นาการทอผา้ ฝ้ายใหค้ งอยตู่ ่อไปชว่ั ลูกชว่ั หลาน

ปัจจุบนั การทอผา้ ฝ้ายของชาวบา้ นดอนหลวงมีการพฒั นารูปแบบ สีสนั และลวดลายใหม้ ีความทนั สมยั
กลายเป็นสินคา้ หตั ถกรรมจากผา้ ฝ้ายหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น เส้ือผา้ ผา้ คลมุ ไหล่ ปลอกหมอน ผา้ ม่าน
ผา้ ปูโต๊ะ ผา้ ปูเตียง เป็นตน้ อีกท้งั ยงั ผลิตสินคา้ ออกจาหน่ายเป็นสินคา้ ท่ีระลึกไปยงั แหล่งทอ่ งเท่ียวต่าง ๆ
มากมายท้งั ในและนอกประเทศ นบั เป็นแหล่งผลิตสินคา้ จากผา้ ฝ้ายทอเมืองท่ีใหญ่ท่ีสุดแห่งหน่ึงในประเทศ

บา้ นดอนหลวงจดั งาน "แต่งสีอวดลาย ผา้ ฝ้ายดอนหลวง" ข้ึนเป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2546 ซ่ึงกลายมาเป็น
งานแสดงสินคา้ ประจาปี ของหมู่บา้ น และบา้ นดอนหลวงไดเ้ ป็นหมบู่ า้ นโอทอ็ ปแหล่งทอ่ งเที่ยวเชิง
วฒั นธรรม (หมู่บา้ น OVC) ในปี พ.ศ. 2549

ท่ตี ้งั : ตาบลแม่แรง อาเภอป่ าซาง จงั หวดั ลาพูน

วดั พระธาตุดอยเวยี ง

ประวตั ิ : วดั พระธาตุดอยเวียงต้งั อยทู่ ี่บา้ นดอยเวียง หมู่ท่ี 9 ตาบลบา้ นธิ อาเภอบา้ นธิ จงั หวดั ลาพนู มีเน้ือท่ี
พ้ืนลา่ งดอยประมาณ 15 ไร่ ส่วนบนดอยเป็นขนาดยอ่ ม เป็นท่ีประดิษฐานของเจดียเ์ ก่าแก่ซ่ึงมีพระธาตบุ รรจุ
อยู่ ตามประวตั ิสันนิษฐานวา่ สร้างเมื่อ พ. ศ. 1220 ซ่ึงตรงกบั สมยั ของพระนางจามเทวีปฐมกษตั ริยเ์ จา้ นคร
เมืองลาพูน และมาบรู ณะคร้ังใหญ่ เมื่อ พ.ศ.2395 ตลอดเร่ือยมาจนถึงปัจจุบนั และตามตานานซ่ึงจารึกในใบ
ลาน ภาษาลานนาวา่ ขนุ หลวงปาละวิจา ไดม้ าต้งั เมืองน้ี ซ่ึงเป็นเมืองหนา้ ด่านดว้ ย และไดส้ ร้างวดั ไวบ้ นดอย
น้ี ตอ่ มาถกู ไฟป่ าไหมล้ ุกลาม ซ่ึงปัจจุบนั เหลือแต่เจดียธ์ าตุและศาลาเลก็ ๆหลงั หน่ึง
วดั พระธาตุดอยเวยี งมีพระพุทธรูปปางวชิ ยั หนา้ ตกั กวา้ ง 29 นิ้ว ทาดว้ ยทองสัมฤทธ์ิ เหตุท่ีไดช้ ่ือวา่ หลวงพอ่
สายฝนกเ็ พราะวา่ มีคร้ังหน่ึงดินฟ้าอากาศแหง้ แลง้ ฝนไม่ตก ชาวบา้ นจึงพร้อมใจกนั แห่พระพทุ ธรูปองคน์ ้ี
เพอ่ื ขอฝน ปรากฏวา่ ฝนตกลงมาอยา่ งน่ามหศั จรรย์ ต้งั แต่น้นั มาชาวบา้ นจึงพร้อมใจกนั เรียกพระพุทธรูปองค์
น้ีวา่ หลวงพอ่ สายฝน รูปที่ 2 หนา้ ตกั กวา้ ง 99 นิ้ว ประดิษฐานท่ีศาลาการเปรียญ รูปที่ 3 หนา้ ตกั กวา้ ง 89 นิ้ว
ประดิษฐานนอยทู่ ี่ดอยช้นั ลา่ ง ซ่ึงท้งั สองรูปขา้ งในเป็นศิลาแลงขา้ งนอกฉาบดว้ ยปนู ใหเ้ ตม็ องคซ์ ่ึงเดิม
พระพุทธรูปท้งั สององคน์ ้ีอยู่ท่ีหมบู่ า้ นตาหนกั ตาบลมะเขือแจ้ อาเภอเมือง จงั หวดั ลาพูน ซ่ึงก็ไดป้ ลกั หกั พงั
เหลือไม่เตม็ องคอ์ ยใู่ นสภาพลม้ เศียรปักดิน ชาวบา้ นจึงเรียกพระเจา้ ดาดิน หรือหลวงพ่อดาดิน ส่วนช้นั
บนสุดของดอยเป็นท่ีประดิษฐานของพระเจดียธ์ าตดุ อยเวียง
ตามประเพณีสืบทอดกนั มานาน ก็ไดม้ ีการสรงน้าพระธาตุบนดอยกนั ทุกๆปี โดยจะเอาวนั แรม 8 ค่า เดือน 7
(เดือน 9 เหนือ) เป็นวนั สรงน้าพระธาตโุ ดยชาวบา้ นใกลไ้ กลต่างก็มาร่วมทาบญุ มากมายตราบจนทุกวนั น้ี
ท่ีต้งั : บา้ นดอยเวียง ตาบลบา้ นธิ อาเภอบา้ นธิ จงั หวดั ลาพนู

ภาคผนวก

https://www.lamphun.go.th/


Click to View FlipBook Version