เอกสารประกอบการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ชดุ วชิ า เทคนคิ การปฏิบัตงิ านกับชมุ ชน สาหรับครู กศน.
หนว่ ยที่ การศึกษาชมุ ชน
วราวุธ พยัคฆพงษ์ / เรยี บเรยี ง
ผ้อู านวยการ เชยี่ วชาญ
สถาบัน กศน.ภาคกลาง สานักงาน กศน.
สถาบันพฒั นาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยภาคกลาง
สานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั
สานกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คำนำ
เทคนิคการปฏิบัติงานกับชุมชน เป็นแนวทางหน่ึงท่ีจะช่วยให้ ครู กศน. สามารถจัด
การศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจุดเน้นสาคัญ คือ การทาให้ชุมชน
เข้มแข็ง และเปิดโอกาสให้ท้องถ่ินมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการศึกษา ให้เป็นไปตาม
กระบวนการทเี่ หมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาพของชุมชนในแตล่ ะพืน้ ที่
เอกสารประกอบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ชดุ วิชาเทคนิคการปฏิบัติงานกับชุมชน สาหรับ
ครู กศน. หนว่ ยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน เลม่ นี้ ได้จดั ทาขน้ึ สาหรับ ครู กศน. ใช้เป็นคู่มือในการศึกษา
เรยี นรูด้ ้วยตนเอง เกี่ยวกบั การศกึ ษาชมุ ชน โดยมรี ายละเอียดเนื้อหาดงั นี้
1. ความรเู้ บอื้ งต้นเกีย่ วกบั ชุมชน
2. ความหมายของชุมชน
3. ความหมายของการศึกษาชุมชน
4. วัตถุประสงค์ของการศกึ ษาชมุ ชน
5. เทคนคิ วธิ กี ารและกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ชมุ ชน
การศึกษาบทเรียนเริ่มจาก การทาแบบทดสอบก่อนเรียน และศึกษาเน้ือหาวิชา และ
จดั ทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพื่อวัดความรู้ท่ีได้รับจากการศึกษาด้วยตนเอง และนาความรู้มาปรับ
ใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การปฏบิ ัตงิ าน
ผู้เรียบเรียง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ชุดวิชาเทคนิค
การปฏิบัติงานกับชุมชน สาหรับครู กศน. หน่วยท่ี 1 การศึกษาชุมชน เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ใน
การศึกษาคน้ ควา้ สาหรับครู กศน. และผ้สู นใจท่ัวไปสืบไป
วราวธุ พยัคฆพงษ์
ผูอ้ านวยการ สถาบัน กศน.ภาคกลาง
สำรบัญ 1
คานา 4
สารบัญ
รายละเอยี ดชดุ การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง วชิ าเทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน 6
สาหรบั ครู กศน............................................................................. 7
โครงสรา้ งชดุ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง วิชาเทคนิคการปฏิบัติงานกบั ชมุ ชน 8
9
สาหรับครู กศน............................................................................. 10
แผนผังความคิด ชดุ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง วชิ าเทคนคิ การปฏบิ ัติงานกับชุมชน 11
12
สาหรับ ครู กศน............................................................................ 15
คาแนะนาการใชช้ ุดการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง วิชาเทคนิคการปฏิบัตงิ านกับชมุ ชน 16
18
สาหรับ ครู กศน........................................................................... 21
หนว่ ยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน............................................................................... 39
40
แนวคิด ........................................................................................ 41
วตั ถุประสงค์ กิจกรรมการเรยี นรูป้ ระจาหน่วย ........................... 42
แบบทดสอบก่อนเรียน................................................................. 43
ตอนที่ 1.1 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกีย่ วกบั ชมุ ชน....................................
ตอนท่ี 1.2 ความหมายของชมุ ชน................................................
ตอนท่ี 1.3 ความหมายของการศกึ ษาชุมชน................................
ตอนท่ี 1.4 วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาชุมชน..............................
ตอนท่ี 1.5 เทคนิควธิ ีการและกระบวนการศึกษาวิเคราะหช์ ุมชน
สรปุ สาระสาคญั ...........................................................................
แบบทดสอบหลงั เรยี น..................................................................
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน
คณะผู้จัดทา
บรรณานกุ รม
เทคนคิ การปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 1
รายละเอยี ดชุดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง
วิชาเทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน สาหรับ ครู กศน.
---------------------------------------------------------
คาอธบิ ายชุดการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง
ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง วิชาเทคนิคการปฏิบัติงานกับชุมชน สาหรับ ครู กศน.แบ่ง
ออกเป็น 6 หน่วย หน่วยละ 1 เรื่อง มีเน้ือหาได้แก่การศึกษาชุมชน เทคนิคการสร้างกระบวนการ
มีส่วนร่วมกับชุมชน เทคนิคการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับชุมชน เทคนิคการสร้างความ
เข้มแข็งให้กับชุมชน เทคนิคการติดตามและประเมินผลการทางานกับชุมชน และเทคนิคการ
ทางานร่วมกบั ประชาชนในชุมชน
วตั ถุประสงคข์ องการเรียนรูด้ ้วยตนเอง
ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้ มีวัตถุประสงค์ เพ่ือใช้อบรมพัฒนาครู กศน. ให้มีคุณสมบัติ
ดังนี้
1. มีความรูค้ วามสามารถในการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และสามารถศกึ ษาชุมชน
2. มคี วามรูค้ วามสามารถในการสร้างกระบวนการมีส่วนรว่ มกับชุมชน
3. มคี วามรคู้ วามสามารถในการสง่ เสรมิ การเรียนรู้ให้กับชุมชน
4. มคี วามรคู้ วามสามารถในการสรา้ งความเข้มแขง็ ให้กับชุมชน
5. มคี วามร้คู วามสามารถในการตดิ ตามและประเมินผลการทางานกบั ชุมชน
6. มคี วามรคู้ วามสามารถในการทางานกบั ประชาชนในชมุ ชน
เน้ือหาสาระของชดุ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
หน่วยที่ 1 การศึกษาชุมชน
ตอนที่ 1.1 ความรู้เบอื้ งต้นเก่ยี วกบั ชุมชน
ตอนที 1.2 ความหมายของชุมชน
ตอนที่ 1.3 ความหมายของการศึกษาชุมชน
ตอนท่ี 1.4 วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาชมุ ชน
ตอนที่ 1.5 เทคนคิ วิธีการและกระบวนการศกึ ษาวเิ คราะหช์ ุมชน
เทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชุมชน) 2
หน่วยที่ 2 เทคนิคการสรา้ งกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชน
ตอนท่ี 2.1 แนวคิดการเสริมสร้างการมสี ่วนรว่ มกับชุมชน
ตอนที่ 2.2 ความหมายของการมสี ว่ นร่วม
ตอนท่ี 2.3 กระบวนการมสี ว่ นรว่ ม
ตอนท่ี 2.4 ลกั ษณะการมสี ่วนร่วม
ตอนท่ี 2.5 เทคนิคการส่งเสรมิ การมีสว่ นร่วมกบั ชุมชน
หนว่ ยท่ี 3 เทคนคิ การสรา้ งกระบวนการเรยี นรู้ใหก้ ับชุมชน
ตอนท่ี 3.1 แนวคดิ กระบวนการเสริมสร้างการเรยี นรูใ้ หก้ ับชุมชน
ตอนท่ี 3.2 ความหมายของกระบวนการเรียนรู้
ตอนท่ี 3.3 ยทุ ธศาสตร์ในการสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ให้กับชมุ ชน
ตอนท่ี 3.4 เทคนิคการสร้างกระบวนการเรยี นรูใ้ หก้ บั ชุมชน
หน่วยท่ี 4 เทคนคิ การสร้างความเข้มแขง็ ใหก้ บั ชุมชน
ตอนที่ 4.1 เทคนิคการประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื แสวงหาอนาคตร่วมกนั
ตอนที 4.2 เทคนคิ การประชมุ A-I-C
ตอนที่ 4.3 เทคนิคการจัดทาประวตั ิศาสตรช์ ุมชน
ตอนท่ี 4.4 เทคนิคการจัดทาแผนทเี ดินดิน
ตอนท่ี 4.5 เทคนคิ การจดั ทาปฏิทินชุมชน
หนว่ ยที่ 5 เทคนิคการติดตามและประเมินผลการทางานกับชุมชน
ตอนที่ 5.1 ความหมายของการติดตามและประเมินผล
ตอนที่ 5.2 ประเภทของการประเมนิ ผล
ตอนที่ 5.3 เทคนคิ และวธิ กี ารประเมนิ ผล
ตอนที 5.4 เทคนิคการประเมินผลแบบมสี ว่ นร่วม
หน่วยที่ 6 เทคนิคการทางานร่วมกบั ประชาชนในชุมชน
ตอนท่ี 6.1 บทบาทของครู กศน. ในการทางานรว่ มกับประชาชนในชุมชน
ตอนที่ 6.2 กระบวนการทางานรว่ มกบั ประชาชนในชุมชน
ตอนที่ 6.3 เทคนคิ การทางานรว่ มกับประชาชนในชมุ ชน
6.3.1 เทคนคิ การจดั เวทปี ระชาคม
6.3.2 เทคนคิ การจัดทาแผนชมุ ชน
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 3
6.3.3 เทคนคิ การทาวจิ ยั แบบมีสว่ นร่วม
6.3.4 เทคนิคการฝกึ อบรม
การจดั กระบวนการเรียนรู้
การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบอิงปัญหา ( problem-based learning ) ให้ครู
กศน. ได้เรียนรู้จากปญั หาของชุมชน โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์สภาพปัญหา ความต้องการของ
ชมุ ชน ดว้ ยการศกึ ษาด้วยตนเอง จานวน 36 ชว่ั โมง
การประเมินผลผู้เรยี น
ประเมนิ ผลภาคทฤษฎแี ละการมสี ว่ นร่วมในการเรียนรู้ โดยใช้
1. แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี นแตล่ ะหน่วยการเรียนท้งั 6 หน่วย
2. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นนาไปทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น
3. กิจกรรมทา้ ยหนว่ ยการเรียนทุกหน่วยการเรียน
เทคนิคการปฏบิ ัติงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 4
โครงสร้างชุดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง วชิ าเทคนคิ การปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน
สาหรับครู กศน. หลกั สตู ร 36 ชว่ั โมง
หน่วยที่ เน้ือหาชุดการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง จานวน
วิชาเทคนิคการปฏบิ ตั ิงานกับชมุ ชน ช่วั โมง
1 การศึกษาชุมชน 6
ตอนที่ 1.1 ความร้เู บือ้ งต้นเกี่ยวกับชมุ ชน 6
ตอนท่ี 1.2 ความหมายของชมุ ชน 6
ตอนที่ 1.3 ความหมายของการศกึ ษาชมุ ชน 6
ตอนท่ี 1.4 วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาชมุ ชน
ตอนท่ี 1.5 เทคนคิ วิธกี ารและกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ชุมชน
2 เทคนิคการสรา้ งกระบวนการมสี ว่ นร่วมกับชมุ ชน
ตอนท่ี 2.1 แนวคดิ การเสริมสร้างการมสี ว่ นร่วมกบั ชมุ ชน
ตอนท่ี 2.2 ความหมายของการมสี ว่ นร่วม
ตอนท่ี 2.3 กระบวนการมีสว่ นรว่ ม
ตอนท่ี 2.4 ลักษณะการมสี ว่ นรว่ ม
ตอนที่ 2.5 เทคนคิ การสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มกบั ชมุ ชน
3 เทคนคิ การสรา้ งกระบวนการเรยี นรู้ให้กบั ชมุ ชน
ตอนที่ 3.1 แนวคดิ กระบวนการเสริมสร้างการเรยี นรใู้ หก้ ับชมุ ชน
ตอนที่ 3.2 ความหมายของกระบวนการเรียนรู้
ตอนท่ี 3.3 ยทุ ธศาสตร์ในการสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ให้กับชุมชน
ตอนท่ี 3.4 เทคนิคการสรา้ งกระบวนการเรยี นรใู้ ห้กับชุมชน
4 เทคนคิ การสรา้ งความเขม้ แขง็ ให้กบั ชมุ ชน
ตอนที่ 4.1 เทคนิคการประชมุ ปฏิบตั กิ ารเพื่อแสวงหาอนาคตรว่ มกัน
ตอนท่ี 4.2 เทคนคิ การประชมุ A-I-C
ตอนที่ 4.3 เทคนคิ การจดั ทาประวตั ศิ าสตรช์ มุ ชน
ตอนที่ 4.4 เทคนิคการจัดทาแผนที่เดินดิน
ตอนท่ี 4.5 เทคนคิ การจัดทาปฏทิ นิ ชมุ ชน
เทคนคิ การปฏบิ ัติงานกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 5
หน่วยที่ เนอื้ หาชดุ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง จานวน
วิชาเทคนคิ การปฏบิ ตั งิ านกับชุมชน ชัว่ โมง
5 เทคนิคการติดตามและประเมินผลการทางานกับชุมชน 6
ตอนท่ี 5.1 ความหมายของการตดิ ตามประเมินผล
6
ตอนที่ 5.2 ประเภทของการประเมนิ ผล
ตอนท่ี 5.3 เทคนคิ และวธิ กี ารประเมินผล
ตอนที่ 5.4 เทคนคิ การประเมนิ ผลแบบมสี ว่ นร่วม
6. เทคนิคการทางานร่วมกบั ประชาชนในชุมชน
ตอนที่ 6.1 บทบาทของครู กศน.ในการทางานรว่ มกับประชาชนในชมุ ชน
ตอนท่ี 6.2 กระบวนการทางานรว่ มกับประชาชนในชุมชน
ตอนที่ 6.3 เทคนิคการทางานร่วมกับประชาชนในชมุ ชน
6.3.1 เทคนิคการจดั เวทีประชาคม
6.3.2 เทคนิคการจัดทาแผนชุมชน
6.3.3 เทคนคิ การทาวจิ ยั แบบมีสว่ นร่วม
6.3.4 เทคนคิ การฝกึ อบรม
เทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 6
แผนผังความคดิ
ชุดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง วชิ าเทคนิคการปฏิบตั ิงานกบั ชมุ ชน
สาหรับครู กศน.
หนว่ ยท่ี 1 1.1 ความรูเ้ บื้องตน้ เก่ยี วกบั ชมุ ชน
การศึกษาชมุ ชน 1.2 ความหมายของชมุ ชน
1.3 ความหมายของการศึกษาชมุ ชน
หน่วยท่ี 2 1.4 วตั ถุประสงคข์ องการศึกษาชุมชน
เทคนิคการสร้างกระบวนการ 1.5 เทคนิควิธีการและกระบวนการวิเคราะหช์ มุ ชน
มสี ว่ นรว่ มให้กับชมุ ชน 2.1 แนวคิดการเสริมสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มกบั ชมุ ชน
2.2 ความหมายของการมสี ่วนรว่ ม
2.3 กระบวนการมสี ว่ นร่วม
2.4 ลักษณะการมสี ว่ นร่วม
2.5 เทคนคิ การส่งเสริมการมีส่วนรว่ มใหก้ บั ชุมชน
วชิ าเทคนคิ การ หน่วยที่ 3 3.1 แนวคดิ กระบวนการเสรมิ สรา้ งการเรยี นรูใ้ หก้ บั ชุมชน
ปฏิบัตงิ านกบั ชุมชน เทคนคิ การสร้างกระบวนการ 3.2 ความหมายของกระบวนการเรยี นรู้
3.3 ยุทธศาสตร์ในการสรา้ งกระบวนการเรียนร้ใู ห้กับชุมชน
เรยี นรูใ้ หก้ บั ชมุ ชน 3.4 เทคนคิ การสร้างกระบวนการเรียนรูใ้ หก้ บั ชมุ ชน
หน่วยที่ 4 4.1 เทคนิคการประชุมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเพอ่ื แสวงหาอนาคตร่วมกนั
เทคนิคการสรา้ งความเขม้ แข็ง 4.2 เทคนิคการประชมุ A-I-C
4.3 เทคนิคการจัดทาประวัตศิ าสตร์ชุมชน
ให้กบั ชมุ ชน 4.4 เทคนคิ การจัดทาแผนทเ่ี ดินดนิ
4.5 เทคนคิ การจัดทาปฏทิ นิ ชุมชน
หนว่ ยท่ี 5
เทคนิคการตดิ ตามและ 5.1 ความหมายของการติดตามประเมินผล
ประเมนิ ผลการทางานกบั ชุมชน 5.2 ประเภทของการประเมนิ ผล
5.3 เทคนคิ และวธิ กี ารประเมินผล
5.4 เทคนคิ การประเมนิ ผลแบบมีสว่ นรว่ ม
หนว่ ยท่ี 6 6.1 บทบาทของครู กศน.ในการทางานรว่ มกบั ประชาชน
เทคนคิ การทางานร่วมกับ ในชุมชน
6.2 กระบวนการทางานรว่ มกับประชาชนในชุมชน
ประชาชนในชชุ น 6.3 เทคนิคการทางานร่วมกบั ประชาชนในชุมชน
เทคนิคการปฏิบตั ิงานกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน) 7
คาแนะนาการใช้ชุดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
วชิ าเทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชมุ ชนสาหรับครู กศน.
1. ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง วิชาเทคนิคการปฏิบัติงานกับชุมชน ใช้ประกอบการอบรม
ครู กศน. เพื่อให้มีความรู้ ความเขา้ ใจและเกดิ ทักษะในการปฏบิ ตั งิ านกับชมุ ชน
2. การใช้ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองวิชาเทคนิคการปฏิบัติงานกับชุมชน ให้ครู กศน. ศึกษา
โครงสร้างชุดวิชา ท่ีประกอบด้วยเนอื้ หา 6 หนว่ ยการเรียนรู้ และในแต่ละหนว่ ยจะแบง่ เป็นตอน ๆ
กิจกรรมการเรียนรู้เป็นการเรียนรู้แบบอิงปัญหา (Problem-based-llearning) โดยให้ ครู กศน.
เรียนรู้ด้วยตนเอง หรือ เรียนรู้จากการแบ่งกลุ่มศึกษานาไปสู่การอภิปราย ในภาคทฤษฎี
จานวน 36 ช่วั โมง
3. ทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อทดสอบความรู้พื้นฐาน และทาแบบทดสอบหลังเรียน
เพ่อื ทราบความรูท้ ี่ได้รับจากชุดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง วชิ าเทคนคิ การปฏิบตั งิ านกับชุมชน
4. ทากิจกรรมท้ายเน้ือหาในแต่ละตอน เพื่อทดสอบความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาของชุด
การเรียนรู้ด้วยตนเอง วชิ าเทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน
เทคนิคการปฏบิ ตั ิงานกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 8
หนว่ ยท่ี 1
การศึกษาชมุ ชน
วราวุธ พยคั ฆพงษ์ / เรยี บเรยี ง
ผ้อู านวยการ เชีย่ วชาญ
สถาบนั กศน.ภาคกลาง สานักงาน กศน.
}}
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชุมชน) 9
หนว่ ยที่ การศึกษาชมุ ชน
ตอนท่ี
1.1 ความร้เู บอ้ื งต้นเกย่ี วกับชุมชน
1.2 ความหมายของชมุ ชน
1.3 ความหมายของการศึกษาชุมชน
1.4 วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษาชุมชน
1.5 เทคนิควธิ ีการและกระบวนการศกึ ษาวเิ คราะหช์ มุ ชน
แนวคดิ
1. การศึกษาชุมชน คือ การศึกษาและวิเคราะห์ชุมชนในด้านต่าง ๆ ทั้งทางกายภาพ
ชีวภาพความเป็นอยู่ ระบบการคิด การทางาน ความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม
วัฒนธรรมตลอดจนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างความรู้
ความเข้าใจ ความสามารถในการกาหนดปัญหา การประเมินศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของชุมชน
อันนาไปสกู่ ารสร้างชมุ ชนใหเ้ ข้มแขง็ ชมุ ชนเป็นฐานการศึกษา เขา้ ใจและรูเ้ ท่าทนั สภาพของชุมชน
2. ชุมชน คือ การรวมตัวของคนเพื่อประกอบกิจกรรมในส่ิงที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
หรือเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง มีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีศรัทธา ความเช่ือ
เชื้อชาติ การงาน หรอื มคี วามรู้ ความคิด ความสนใจทีค่ ล้ายคลงึ กัน มีการเกือ้ กูล ซึง่ กนั และกัน
3. การศึกษาชุมชน คือ การมุ่งเข้าไปศึกษาเพื่อทาความเข้าใจในสภาพต่าง ๆ ของชุมชน
ท้ังด้าน กายภาพ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจ ตลอดจนความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ
ของชมุ ชน ภายใต้การมสี ว่ นรว่ มของชุมชน อันจะก่อใหเ้ กิดการพฒั นาการ หรอื การแก้ปญั หาตา่ งๆ
ของชมุ ชน
เทคนิคการปฏิบตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชุมชน) 10
4. วัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชน คือ การหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน
เพื่อนามาซ่ึง ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถการกาหนดปัญหา การประเมินศักยภาพในด้าน
ต่าง ๆ ของชุมชน อันนามาซ่ึงโครงการและกิจกรรม เพ่ือพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาโดยความร่วมมือ
จากฝา่ ยต่าง ๆ
5. วิธีการและกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ชุมชน คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลของชุมชน
ด้านต่าง ๆ เพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลของชุมชนที่ถูกต้อง โดยการอาศัยเครื่องมือ เทคนิค และ
กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลในลักษณะท่ีเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการที่หลากหลาย
อนั นาไปสู่ข้อมูลทเ่ี ปน็ จริงและเชอ่ื มโยงกระบวนการแก้ปัญหาของชมุ ชนได้
วัตถุประสงค์
เมอ่ื ศกึ ษาหนว่ ยที่ 1 จบแล้ว ครู กศน. สามารถ
1. อธบิ ายความรู้เบอื้ งต้นเกยี่ วกบั ชมุ ชนได้
2. อธิบายความหมายของชมุ ชนได้
3. อธิบายความหมายของการศกึ ษาชมุ ชนได้
4. อธิบายเทคนิค วธิ กี ารและกระบวนการศึกษาวิเคราะหช์ มุ ชนได้
กจิ กรรมการเรยี นรู้ประจาหนว่ ย
1. ทาแบบทดสอบก่อนเรยี น
2. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ ตอนที่ 1.1-1.5
3. ตอบคาถามกิจกรรมของแต่ละหนว่ ย
4. ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
เทคนิคการปฏิบัติงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 11
แบบทดสอบก่อนเรยี น
คาแนะนา : จงอา่ นคาถามต่อไปน้ี และเลือกคาตอบทถ่ี กู ที่สุดเพยี งคาตอบเดียว
1. ขอ้ ใดคือความหมายของชุมชน 6. วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาชมุ ชนท่ีสาคญั ทส่ี ดุ คอื
ก. กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพืน้ ทีแ่ หง่ หนง่ึ ก. การพฒั นาชมุ ชน
ข. คนจานวนหน่งึ มวี ัตถุประสงค์ร่วมกัน ข. การหาขอ้ เท็จจริง
ค. เปน็ การรวมตวั ของบุคคลเพื่อประกอบ ค. การกาหนดปัญหาชุมชน
กจิ กรรมรว่ มกัน ง. การประเมนิ ศกั ยภาพชมุ ชน
ง. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดเปน็ วิธกี ารศกึ ษาชุมชน
2. ชุมชนทางสังคมเกยี่ วกับข้อใด ก. การสัมภาษณ์
ก. ตาบล ข. การสนทนากลุ่ม
ข. อาเภอ ค. การศกึ ษาแบบผสมผสาน
ค. หมูบ่ ้าน ง. ถกู ทกุ ขอ้
ง. ครอบครัว
8. วตั ถุประสงคท์ ่ีสาคญั ของการสังเกต คือ
3. ชุมชนทางภูมศิ าสตร์เก่ียวกับข้อใด ก. การรวบรวมข้อมูล
ก. ตาบล ข. การวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์
ข. หมู่บ้าน ค. การวเิ คราะห์ปรากฏการณ์
ค. ละแวกบ้าน ง. การเข้าใจลักษณะธรรมชาตขิ องส่งิ ที่
ง. ถูกทุกข้อ ต้องการสังเกต
4. ชมุ ชนทางองค์การทางสังคมเก่ยี วกับข้อใด 9. ขอ้ ใดเปน็ หลักของการสัมภาษณ์
ก. กลุ่มอาชพี ต่าง ๆ ก. การแนะนาตวั
ข. กลุ่มภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ข. การสรา้ งความสัมพนั ธ์ที่ดี
ค. องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ค. ผู้สัมภาษณ์เข้าใจวตั ถุประสงค์
ง. ถูกทกุ ข้อ ง. ถกู ทุกขอ้
5. ขอ้ ใดเปน็ ความหมายของการศึกษาชมุ ชน 10. ข้อใดไมใ่ ชบ่ ทบาทของผู้ดาเนนิ การสนทนากลุม่
ก. การทาความรู้จักชมุ ชน ก. ดาเนนิ การสนทนา
ข. การเข้าใจวถิ ีชวี ติ ชุมชน ข. จดบันทกึ การสนทนา
ค. ศึกษาชุมชนดา้ นตา่ ง ๆ ค. บันทกึ เสยี งการสนทนา
ง. การลงไปส่คู วามเขา้ ใจชมุ ขน ง. บนั ทกึ บรรยากาศการสนทนา
เทคนคิ การปฏิบตั ิงานกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 12
ตอนท่ี 1.1 ความรู้เบอ้ื งตน้ เกี่ยวกบั ชมุ ชน (Community)
Community มีความหมายในภาษาไทยว่า “ ชุมชน ” ซ่ึงบางครั้งช่วยให้เข้าใจ ในเรื่อง
เกี่ยวกับ “การรวมตัวของคน” เท่าน้ัน ถ้าพิจารณาในภาษาอังกฤษ คาว่า “com” มีความหมาย
ทล่ี ึกซ้งึ ทห่ี มายถึง together คือ การ (เดนิ ทาง) รว่ มกันและจะเหน็ ว่ามคี าที่เก่ียวขอ้ งใกลเ้ คียง อกี
หลายคา เช่น
Communal = ของชมุ ชน , เพ่อื ชุมชน
Common = รว่ มเป็นสมาชิกอยูด่ ้วย
Commune = ความรูส้ ึกผกู พันใกลช้ ิด
จากคาในภาษาอังกฤษดังกล่าว จะเห็นได้ว่าความหมายของชุมชนน้ัน ไม่จากัดแน่นอน
ตายตัว อาจพิจารณาได้หลายแง่มุม อาทิ ปรัชญา กายภาพ สังคมวิทยา จิตวิทยา ในบางคร้ัง
ความหมายของชมุ ชน ไม่ได้จากัดอย่กู บั ความหมายท่ีให้ความสาคญั กบั อาณาบริเวณทางภูมศิ าสตร์
หรือ บริเวณเล็ก ๆ ที่เรานึกถึงของหมู่บ้านเท่าน้ัน แต่บางครั้งความหมายของชุมชนอาจจะมีทั้งสิ่ง
ท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม ( ปาริชาติ วลัยเสถยี ร และคณะ. 2548 : 35 )
“ ชุมชน ” เป็นคาท่ีมีการนาไปใช้กันอย่างกว้างขวางและใช้ในลักษณะแตกต่างกัน
ออกไป จึงมิอาจกล่าวได้ว่า “ ชุมชน “ เป็นคาที่มีความหมายแน่นอนตายตัวเพียงประการเดียว
ดังนั้น ถ้าเราปฏิเสธท่ีจะยึดติดกับความหมายแคบ ๆ ของส่ิงหน่ึงส่ิงใดแล้ว ก็ช่วยให้เกิดทัศนะอัน
กว้างในการพิจารณาส่ิงต่าง ๆ ได้หลายแง่มุมมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาแนวคิดและ
รากฐาน และเออ้ื ตอ่ การปฏบิ ัตงิ านรว่ มกนั กบั สมาชิกของชุมชนต่อไปดว้ ย
ชุมชนอาจมีความหมายเหมือนคาว่า “ สังฆะ ” คือ ชุมชน เป็นการรวมกันของบุคคล
เพื่อประกอบกิจกรรมในส่ิงที่จะเป็นประโยชน์ เพื่อให้มีชีวิตและหมู่คณะที่ดีงาม เป็นชุมชนแห่ง
กัลยาณมิตร เพ่ือการจัดการและคุ้มครองชีวิตที่ดีร่วมกัน อันจะนาไปสู่การพัฒนาหรือการ
เปล่ยี นแปลงท่ีดี (พระธรรมปฎิ ก. 2539 : 72)
อย่างไรกต็ ามคาวา่ “ ชุมชน “ อาจจะสรปุ ความหมาย หรอื คาจากดั ความ
ในหลายกรณี และหลายความหมาย ดังนี้
เทคนิคการปฏิบัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน) 13
พจนานุกรม Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English (1994 :
223) ได้ให้ความหมายของชุมชน ว่า “ หมายถึง กลุ่มคนท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง มีความรู้สึก
ว่าเป็นพวกเดียวกัน มีศรัทธาความเชื่อ เชื้อชาติ การงาน หรือมีความรู้นึกคิด ความสนใจท่ี
คลา้ ยคลึงกนั มีการเกอ้ื กลู การเป็นอย่รู ว่ มกัน ”
มารค์ เอส โฮเมน ( Homan. 1994 : 82 ) ใหค้ วามหมายของชมุ ชนวา่ “ คนจานวนหนึ่ง
ท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนที่แห่งหนึ่ง มีความเชื่อ ผลประโยชน์ กิจกรรม และมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่คล้ายคลึง
กัน คุณลักษณะเหล่าน้ี มลี ักษณะเดน่ เพียงพอท่จี ะทาให้สมาชกิ น้นั ตระหนกั และเกอื้ กูลกนั ”
พีค ( Peck. 1987 ; อ้างถึงใน Homan. 1994 : 81 ) ให้ความหมายว่า “ ชุมชน คือ
ปัจเจกชน ซึ่งเรียนรู้ถึงสื่อสัมพันธ์ด้วยความซ่ือสัตย์ และเป็นผู้มีความใกล้ชิด สนิทสนมกันอย่าง
แน่นแฟ้น และ มีความสัมพันธ์ร่วมกันอย่างมีนัยสาคัญ ที่จะร่วมสุข ร่วมทุกข์ และเกื้อกูลกัน โดย
มองว่า ชมุ ชนท่ดี นี น้ั ใช้จะเกดิ ข้นึ ไดอ้ ย่างง่ายดาย หรือ ไม่ได้เกิดข้ึนและดารงอยูอ่ ยา่ งงา่ ย ๆ เพราะ
ชุมชนน้ันจะต้องมีเป้าหมาย และการที่จะไปสู่เป้าหมายน้ัน จะต้องหาหนทางด้วยการใช้ชีวิตอยู่
ร่วมกัน ด้วยความรักและสันติสุข เพ่ือชุมชนน้ัน จะสร้างความเป็นชุมชนได้สาเร็จ ความรู้ของ
สมาชิกในชมุ ชนนน้ั รู้สกึ ว่าอบอนุ่ และปลอดภัย ”
เบเกอร์ บราวเนล (Brownell. 1950 ; อ้างถึงใน Homan. 1994 : 82) ได้ใหค้ วามหมาย
ของชุมชนไว้หลายประการซึ่งสรุปไว้ว่า “ ชุมชน คือ การกระทาท่ีเต็มเปี่ยมไปด้วยความร่วมมือ
ร่วมใจ ความรู้สึกเป็นเจา้ ของ เป็นสงั คมทคี่ นรูจ้ กั กันอย่างใกล้ชดิ และสนิทสนม ”
ส่วนนักวิชาการและนักบริหารงานพัฒนาของไทย ได้ให้ความหมายของ “ชุมชน” ไว้
อยา่ งหลากหลายเชน่ เดยี วกนั เช่น
ประเวศ วะสี ( 2540 : 33 ) ได้ให้ความหมายของชุมชนว่า “ ความเป็นชุมชนอาจ
หมายถึงการท่ีคนจานวนหน่ึงเท่าใดก็ได้ มีวัตถุประสงค์รว่ มกัน มีการติดต่อส่ือสารหรือรวมกลุ่มกนั
มคี วามเอ้อื อาทรต่อกัน มกี ารเรยี นรู้ร่วมกันในการกระทา มีการจดั การ เพือ่ ให้เกิดความสาเร็จตาม
วตั ถปุ ระสงคร์ ว่ มกนั ”
พระธรรมปิฎก (2539 : 71-72) อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. 2548 : 36)
ได้ให้ความหมายของชุมชนโดยการเปรียบเทียบกับคาว่า “สังฆะ” ในความหมายของหมู่คณะ
ซงึ่ สรปุ ไดว้ า่ “สงั ฆะ” คอื ชุมชนแห่งกัลยาณมติ ร คือ การทบ่ี ุคคลมาอยู่ด้วยกนั เรมิ่ ตง้ั แต่ผู้นา (พระ
ศาสดา) เป็นกัลยาณมิตร คือ ผู้ที่จะช่วยเกื้อหนุนผู้อื่นในการพัฒนาชีวิตได้ดี ให้เป็นชีวิตท่ีเจริญ
งอกงาม และผู้ที่มาอยู่ด้วย (พระภิกษุ) ก็มาช่วยกันเอื้ออาทรต่อกัน ให้แต่ละบุคคลพัฒนาตน
เทคนิคการปฏิบตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 14
ให้เข้าถึงชีวิตท่ีดีงามขึ้น เม่ือแต่ละบุคคลได้รับประโยชน์จากสังฆะ หรือชุมชน แต่ละบุคคลนั้น
ก็ตอ้ งเปน็ สว่ นประกอบ หรอื ส่วนร่วมท่ดี เี พือ่ ช่วยเออื้ เฟ้ือเกอื้ กลู ตอ่ สังฆะ หรือชมุ ชนด้วย เช่นกัน ”
สานักงานมาตรฐานการศึกษา สานักงานสถาบันราชภัฎ กระทรวงศึกษาธิการ และ
สานักงานมาตรฐานอุดมศกึ ษา ทบวงมหาวิทยาลัย (2545 : 44 ) ให้ความหมายว่าชุมชน หมายถึง
กลุ่มคนหรือบริเวณท่ีกลุ่มคนน้ัน ๆ อยู่รวมกันได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนมีความแตกต่างกันหรือความ
หลากหลายในชุมชนนั้น เช่น ความแตกต่างในด้านความต้องการ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา
ศลิ ปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี คา่ นยิ ม ความเชอ่ื ม่นั เป็นตน้
กาญจนา แก้วเทพ (2538 : 14 ; อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. 2548 : 36)
กล่าวถงึ ชมุ ชนวา่ “ ชุมชน หมายถึง กลมุ่ คนท่ีอาศัยอยูใ่ นอาณาเขตบริเวณเดียวกัน มีความสมั พันธ์
ใกล้ชิด มีฐานะและอาชีพที่คล้ายคลึงกัน มีลักษณะของการใช้ชีวิตร่วมกัน มีความเป็นอันหน่ึง
อันเดียวกัน ต้ังแต่ระดับครอบครัวไปสู่ระดับเครือญาติ จนถึงระดับหมู่บ้าน และระดับเกินหมู่บ้าน
และผู้ที่อาศัยในชุมชน มีความรู้สึกว่าเป็นคนชุมชนเดียวกัน นอกจากน้ี ยังมีการดารงรักษาคุณค่า
มรดกทางวัฒนธรรมและศาสนา และมกี ารถ่ายทอดไปยงั ลูกหลานอีกด้วย ”
จะเห็นได้ว่า นักวิชาการได้ให้ความหมายของชุมชนแตกต่างกันออกไป โดยอาจแบ่งออก
ไดเ้ ป็น 3 แนวทาง คือ (ปาริชาติ วลยั เสถยี ร และคณะ. 2548 : 37 )
1. ชุมชน หมายถงึ กลุ่มทางสงั คม ทมี่ ีความสัมพันธก์ นั ตามบรรทัดฐานทางสงั คม มคี วาม
ผูกพันกัน และมีความเป็นปึกแผ่นม่ันคง ซ่ึงมีความหมายเช่นเดียวกับความหมายโดยรูปศัพท์ และ
อาจหมายถึงกลมุ่ บคุ คลท่ีมีสายสัมพนั ธเ์ ดียวกนั เช่น ครอบครัว เผ่าชนตา่ งๆ ด้วย
2. ชมุ ชน หมายถึง พืน้ ทีบ่ รเิ วณทางภูมิศาสตร์ ซง่ึ เป็นท่ีอยู่อาศยั ของกลมุ่ คน เช่น ละแวก
บ้าน หมู่บา้ น ตาบล อาเภอ จงั หวดั เปน็ ต้น
3. ชุมชน หมายถึง องค์การทางสังคมที่มีวัตถุประสงค์แน่ชัด และรวมกันในระยะเวลา
ท่นี านพอสมควร จนเกิดระบบความสัมพันธแ์ ละความผกู พันกันข้ึน เชน่ องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล
พรรคการเมือง กลุ่มอาชีพต่างๆ เป็นตน้
สรปุ จากความหมายโดยสามัญสานึก ความหมายโดยรูปศพั ท์และความหมายทางวิชาการ
ท่ีกล่าวมาแลว้ อาจจะให้ความหมายของชุมชนไดว้ า่ หมายถึง “กลุ่มทางสังคม ที่อยู่อาศัยร่วมกันใน
อาณาบริเวณเดียวกัน เช่น ครอบครัว ละแวกบ้าน หมู่บ้าน ตาบล หรือเรียกเป็นอย่างอื่น มีความ
เกี่ยวข้องสัมพันธก์ นั มีการติดตอ่ สื่อสารและเรียนรู้รว่ มกนั มีความผูกพันเอือ้ อาทรกนั ภายใต้บรรทดั
ฐานและวัฒนธรรมเดยี วกนั รว่ มมอื และพง่ึ พาอาศยั กันเพอื่ บรรลุวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายร่วมกนั ”
เทคนคิ การปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 15
ตอนท่ี 1.2 ความหมายของชุมชน
นอกเหนือจากความหมายหลักที่กล่าวแล้ว ในเน้ือหาความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับชุมชนยังมี
ความหมายของชมุ ชน ซ่ึงอาจนามาพิจารณาประประกอบ ตามทัศนะอ่นื ๆ ที่หลากหลาย ดงั นี้
มาร์วิน อี. โอลเซน ( Oisen. 1968 : 91 ) ให้ความหมายไว้ว่า “ ชุมชน ” หมายถึง
องค์การทางสังคมประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยพ้ืนที่บริเวณหน่ึงท่ีบรรดาสมาชิกตอบสนองความ
ต้องการพนื้ ฐานสว่ นใหญ่และแก้ไขปญั หาส่วนใหญใ่ นชุมชนของตนเองได้
เออร์วิน ที. แซนเดอรส์ (Sanders. 1958 : 189 ) ให้ความหมายไว้ว่า “ ชุมชน ” เป็น
กลุ่มบุคคลหลาย ๆ กลุ่มมารวมกันในบริเวณเดียวกัน ภายใต้กฎหมาย หรือข้อบังคับอันเดียวกัน
มกี ารสังสรรคก์ ัน มีความสนใจรว่ มกนั มวี ฒั นธรรมเดยี วกนั และมพี ฤติกรรมเหมอื น ๆ กนั
เดนนิส อี. พอพลิน ( Poplin. 1972 : 8 ) ให้ความหมายไว้ว่า “ ชุมชน ” หมายถึงกลุ่ม
ที่มีการร่วมมือกัน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนร่วมกัน มีการสมาคมแบบเผชิญหน้ากัน มีความ
สนทิ สนมรูจ้ กั กนั เปน็ อยา่ งดี
อริยา เศวตามร์ ( 2542 : 205 ) กล่าวถึงชุมชนในรูปแบบใหม่ว่า สาหรับผู้นาชุมชนและ
นักพัฒนาแล้ว ความเป็นชุมชน หมายถึง ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันในชุมชนและเครือข่าย
ที่กว้างขวาง กิจกรรมที่สร้างขึ้น เป็นการสร้างความเป็นชุมชนในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้าง
ความสัมพันธ์ทางสังคมท่ียุติธรรม และเครือข่ายที่กว้างขวางมากกว่าในอดีต เพื่อสอดคล้องกับ
กระแสการพัฒนาในปัจจุบันทีส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย หรือเพื่อรู้เท่าทัน
การเชอื่ มโยงเครอื ขา่ ยของเทคโนโลยสี มัยใหมท่ ่ีไร้พรมแดน
กล่าวโดยสรุป ความเป็นชุมชนไมได้มีความหมายท่ีตายตัว แต่มีความเคลื่อนไหว
เปล่ียนแปลง การให้ความหมายเกี่ยวกับชุมชนจึงเป็นส่ือที่แตกต่างกันไป ความเป็นชุมชนจึงมี
ลักษณะเป็นพลวัต ที่บุคคลและกลุ่มคนต่างมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมท่ีสนใจร่วมกัน มี
ความสัมพันธ์และตัดสินใจร่วมกัน โดยมีพันธะเช่ือมโยงระบบใหญ่บนพ้ืนฐานแห่งความเป็นอยู่ที่ดี
ร่วมกัน
“ความเป็นชุมชน” หรอื “ความเป็นประชาคม” จงึ เปน็ รากฐานที่สาคัญของสังคม เพราะ
จะเป็นกลุ่มคนท่ีมีความผูกพันเอื้ออาทรต่อกัน เป็นแหล่งพื้นฐานที่สุดท่ีจะเกิดการถักทอความรัก
ความเออื้ อาทรของคนในสังคม
เทคนคิ การปฏบิ ตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 16
อนุชาติ พวงสาลี และ วีรบูรณ์ วิสารทสกุล ( 2541 : 11-18 ) ได้เสนอนัยของคาจากัด
ความและการตีความหมายของคาว่า “ ประชาสังคม ” อันเป็นแนวทางในการเรียนรู้ถึงความเป็น
ชมุ ชนวา่ มลี กั ษณะ ดังน้ี
1. มีความหลากหลาย เชน่ มีความหลากหลายของการรวมตัว พื้นที่ รปู แบบของกจิ กรรม
ประเด็นความสนใจ/ปญั หา และกลมุ่ คนท่ีมารวมตัวกนั
2. มีความเป็นชุมชน ท่ีอาจมีอาณาบริเวณหรือบริบทขนาดใหญ่ ท่ีเชื่อมโยงติดต่อกัน
ทางใดทางหน่ึง หรือความเป็นชุมชนขนาดเล็ก ที่รวมตัวด้วยความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร
ความสนใจ หรือผลประโยชน์รว่ มกัน
3. บนสานึกสาธารณะ ด้วยจิตสานึกของความเป็นพลเมือง (Public Consciousness)
ของสงั คมแหง่ การเรียนรู้ (Learning Society)
4. มีกิจกรรมและความต่อเน่ือง บนพื้นฐานของกระบวนการกลุ่ม และด้วยพ้ืนฐาน
แห่งการเรยี นรู้จากการปฏิบตั ริ ่วมกัน (Interactive Learning through Action) ท่ีมคี วามตอ่ เนื่อง
และย่ังยนื
5. มีเครือข่ายและการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร ดว้ ยการแลกเปลีย่ นเรียนรสู้ ่อื สารและเครอื ข่าย เพื่อ
กลุ่มประชาสงั คมจะมคี วามยั่งยนื (Communication and Network)
ตอนท่ี 1.3 ความหมายของการศกึ ษาชุมชน
การศึกษาชุมชนเป็นการศึกษาและวิเคราะห์ชุมชนในดา้ นต่าง ๆ ทั้งทางกายภาพ ชีวภาพ
ความเป็นอยู่ ระบบคิด การทางาน ความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม
ตลอดจนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างความรู้ ความเช้าใจ
ความสามารถในการกาหนดปัญหา ประเมินศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของชุมชน อันจะนาไปสู่
การวางแผนโครงการและกิจกรรมการพัฒนา การปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาชุมชน รวมท้ังการสร้าง
พลังอานาจแกช่ ุมชน
การศึกษาชุมชนไม่ใช่การวิเคราะห์ชุมชนโดยนักพฒั นาเพยี งฝ่ายเดียว และไม่ใช่เป็นเพยี ง
กระบวนการกระตุ้นให้เกิดการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของชุมชนเท่าน้ัน แต่เป็นการกระตุ้น
ให้เกิดจิตสานกึ ทจ่ี ะตัดสินใจดาเนินการจัดการร่วมกันของสมาชิกในชมุ ชนดว้ ย
เทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 17
การศึกษาชุมชน มีนักวิชาการและนักบริการงานพัฒนา ให้ความหมายไว้หลายประการ
โดยมุ่งเน้นถึงการเข้าไปศึกษาเพื่อทาความเข้าใจในสภาพต่าง ๆ ของชุมชน ทั้งทางด้านกายภาพ
สังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ ในรูปแบบต่างๆ ท้ังน้ี เพ่ือวัตถุประสงค์ของ
การศึกษาชมุ ชนทแี่ ตกต่างกันไป ดังนี้
จิตติ มงคลชัยอรัญญา ( 2540 : 4 ) กล่าวไว้ในเอกสารเก่ียวกับ “ การศึกษาชุมชนเพ่ือ
การพัฒนา ” ว่าหมายถึง การที่นักพัฒนาซึ่งเป็นคนภายนอกชุมชน หรือผู้มีอาชีพอ่ืน เข้าไปเรียนรู้
เร่อื งราวของชุมชนใดชมุ ชนหน่ึง เพอ่ื ใหเ้ กิดความเข้าใจว่า ชุมชนมอี งคป์ ระกอบใดบ้าง มีโครงสร้าง
มีคุณลักษณะทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง การเรียนรู้
อย่างไร มีสถานการณ์ใดเกิดข้ึนในชุมชนบ้าง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร คนในชุมชนมีความ
เปน็ อยอู่ ย่างไร มีความคดิ เห็นตอ่ เรื่องที่เก่ียวข้องกับตวั เขาอย่างไร มปี ญั หาความเดือนร้อนอย่างไร
มีความต้องการที่จะแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ มีศักยภาพในชุมชนอะไรบ้าง เช่น ผู้นากลุ่มหรือการ
รวมตัวท่ีเข้มแข็ง เป็นต้น และได้สรุปถึงการศึกษาชุมชนท่ีมีประสิทธิภาพว่า ต้องนามาซ่ึง ความรู้
เร่ืองพ้ืนที่ สถานการณ์และส่ิงแวดล้อมภายในชุมชน กับความเข้าใจเรื่องของคนในชุมชน ว่าเขา
มีแบบแผนในการดาเนนิ ชวี ติ และการตัดสินใจในเรอื่ งตา่ ง ๆ อยา่ งไร เพื่อทาให้สามารถระบุปัญหา
และกลมุ่ ผไู้ ด้รับผลกระทบจากปญั หาน้ันไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
ธนพรรณ ธานี ( 2540 : 34 ) กล่าวถึง ความหมายของการศึกษาชุมชนใน “ การศึกษา
ชุมชน ” ว่าหมายถึง กระบวนการที่จะทาให้นักพัฒนาสามารถวิเคราะห์ชุมชนในงานพัฒนาได้
ซ่ึงการศึกษาชุมชนจะมีความหมายตรงกันนั้น นักพัฒนาจะต้องยอมรับในแง่ท่ีชุมชนแต่ละชุมชน
มีความแตกต่างในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง เพ่ือให้เข้าใจลักษณะของ
แตล่ ะชมุ ชนอยา่ งแทจ้ ริง
มงคล พนมมิตร และชาติชาย รัตนคีรี ( 2540 : 21 ) กล่าวถึง การศึกษาชุมชน ว่า
หมายถึงการที่นักพัฒนาซ่ึงเป็นคนภายนอกชุมชน เข้าไปทาความรู้จัก ทาความเข้าใจชุมชน ก่อน
ที่จะลงมือทางานรว่ มกับชุมชนนั้น ๆ ซึง่ ถอื เป็นหัวใจในการเรม่ิ ต้นของงานพัฒนาทกุ ๆ ดา้ น เพราะ
ถ้าไม่รู้จัก ไม่เข้าใจชุมชนอย่างดีพอ เป้าหมายและทิศทางการทางานของเราก็จะไม่สอดคล้องกับ
สถานการณ์ปัจจบุ นั
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ( 2540 : 14-17 ) ได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดของนักวิชาการ สานัก
เศรษฐศาสตร์การเมืองไว้ใน “ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและชนชาติไทย ” มีสาระสาคัญว่า ใน
การศึกษาสังคมและสร้างทฤษฎีทางสงั คมศาสตร์ จะตอ้ งคานึงถึงลกั ษณะสาคญั ตอ่ ไปน้ี
เทคนคิ การปฏิบตั ิงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศึกษาชุมชน) 18
1. โครงสร้างสังคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง
ระบบเศรษฐกิจกับระบบการเมอื งและวัฒนธรรม
2. วิวัฒนาการของระบบสังคมเศรษฐกิจ คือ ศึกษาแบบเป็นประวัติศาสตร์ อธิบาย
กระบวนการความเปน็ มาและระบบทพี่ งึ ปรารถนาในอนาคต
3. ไม่ละเลยที่จะพิจารณาความขัดแย้งในระบบ และสนใจถึงหน่ออ่อนของความคิดและ
กระบวนการ อันเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงสู่สภาพที่ดีขึ้น และเสนอการศึกษาชุมชนในเร่ือง
ประวัติศาสตร์ของชมุ ชนหมบู่ ้านในประเดน็ ต่าง ๆ
สรุป จากความหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การศึกษาชุมชน คือ การท่ีเข้าไปศึกษา
ชุมชนในด้านต่าง ๆ ท้ังทางกายภาพ ชีวภาพ ความเป็นอยู่ ระบบวิธีคิด การทางาน
ความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ตลอดจนปัญหาและปรากฏการณ์
ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งเป็นกิจกรรมร่วมกันของนักพัฒนาและศึกษาชุมชน เพ่ือท่ี
นกั พัฒนาจะได้กาหนดแนวทางและวางแผนเพ่ือการพฒั นาชุมชนร่วมกันกับทุกฝา่ ย
ตอนที่ 1.4 วัตถุประสงค์ของการศึกษาชมุ ชน
การศึกษาชุมชน มีวัตถุประสงค์เพ่ือนามาซ่ึง ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการ
กาหนดปัญหา การประเมินศกั ยภาพในด้านต่าง ๆ ของชุมชน อนั จะนามาซึ่งโครงการและกิจกรรม
เพื่อการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา ด้วยความร่วมมือจากท้ังผู้ศึกษาและตัวชุมชนเอง (ปาริชาติ
วลยั เสถยี ร และคณะ. 2548 : 61 )
ธนพรรณ ธานี ( 2540 : 34-35 ) กล่าวถึง วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาชมุ ชนไว้ ดงั น้ี
1. การศึกษาชุมชนเพ่ือหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน คือเป็นการหาความรู้ใหม่
หรือเป็นการเพ่ิมเติมความรู้ให้มากยิ่งขึ้น การหาข้อเท็จจริงอาจจะเป็นข้อเท็จจริงในลักษณะกว้าง
ท่วั ไป หรอื ลึกซึ้ง มีการวเิ คราะหส์ ิง่ ตา่ ง ๆ อย่างละเอียดกไ็ ด้ ตามวตั ถุประสงคข์ องผ้ศู กึ ษา
2. การศึกษาชุมชนเพื่อทดสอบความรู้เดิมให้มีความน่าเช่ือถือมากย่ิงข้ึน เป็นเร่ืองของ
การท่ีจะสร้างแนวความคดิ และทฤษฎีใหม่ขน้ึ
เทคนคิ การปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 19
3. การศกึ ษาชุมชนเพื่อนาข้อเท็จจริงไปใช้ประโยชน์ในงานพฒั นาซงึ่ นบั วา่ มปี ระโยชน์และ
สาคัญต่องานพัฒนาอย่างมาก เพราะจะได้นาไปวางแผนและนาไปปฏิบัติในงานพัฒนา ซ่ึงถ้า
นกั พัฒนาปราศจากการศึกษาชุมชนจะทาใหไ้ มเ่ ข้าใจในงานพฒั นา ดังน้ันจึงจาเปน็ ต้องศึกษาชุมชน
และได้สรุปถึงวัตถุประสงค์ในการศึกษาชุมชนว่า “ เพ่ือหาข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนในชุมชน
และเพื่อทดสอบความรู้ให้มีความน่าเชื่อถือ ว่ามีประโยชน์ต่อนักวิชาการ เพื่อที่จะทาให้เข้าชุมชน
และการเปลย่ี นแปลงไดอ้ ยา่ งมากในระดบั หนึ่ง แตใ่ นการศกึ ษาชุมชนเพ่อื นาข้อเทจ็ จริงไปใชใ้ นการ
พัฒนานั้น จะเกี่ยวข้องกับการนาความรู้จากการศึกษาชุมชนไปปฏิบัติงานในสนาม ในด้านการ
วางแผน หรือการลงมอื ปฏิบัติงานสนามอย่างแท้จรงิ ”
จติ ติ มงคคชยั อรญั ญา (2540 : 6-10 ) กลา่ วถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั ิในการศกึ ษาชุมชนว่า การศึกษา
ชุมชนเพื่อการพัฒนา นักพัฒนาต้องศึกษาเรียนรู้ชุมชนดว้ ยตนเอง เพราะหากใช้ผลศึกษาของผอู้ น่ื
อาจไม่เข้าใจเร่ืองชุมชนอย่างแท้จริง และนอกจากนี้ในการเรียนรู้ชุมชนยังเป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างนักพัฒนากับคนในชุมชน ไม่ว่าจะใช้เทคนิคใดในการศึกษาชุมชน ผู้
ศกึ ษาชุมชนพงึ ตระหนกั หลกั ปฏิบตั ทิ ่สี าคญั คือ
1. การกาหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาชมุ ชนให้ชดั เจน วา่ ตอ้ งการรู้อะไร เพื่ออะไร
2. การใชป้ ระโยชนจ์ ากข้อมลู ทตุ ิยภมู ิ เพ่อื การเขา้ ใจชมุ ชนในเบ้ืองต้น
3. การกาหนดประเดน็ คาถามท่ีจะนามาซ่งึ คาตอบท่ีสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์
4. การเกบ็ ข้อมูลทหี่ ลากหลายในชมุ ชน โดยการสัมภาษณ์ ทั้งจากผู้นาชุมชน ผทู้ ี่
เกย่ี วข้องในชุมชน และจากผคู้ นในชุมชนท่มี คี ณุ สมบัติแตกตา่ งกนั
5. การเกบ็ ข้อมลู ด้วยวิธกี ารท่ีหลากหลาย เชน่ การสนทนากล่มุ การประชมุ เป็นตน้
6. การไม่มีอคตใิ นการศึกษาชมุ ชน และการจดั เก็บขอ้ มลู
7. การใชห้ ลักการในการเก็บข้อมูลทีถ่ กู ตอ้ ง
8. ระหว่างทีม่ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูลในชมุ ชน ผู้ศึกษาควรปฏิบตั ิตามหลกั การแสวงหา
และรวบรวมขอ้ มลู คอื ใช้ตาดู หูฟัง ปากถาม สมองคดิ และมอื เขยี น เป็นตน้
ซึ่งข้อพิจารณาในการศึกษาชุมชนดังกล่าว เป็นการสร้างความเข้าใจเบื้องต้นในการลงมือ
ศึกษาชุมชน ว่านักพัฒนาหรือผู้ศึกษาจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร เมื่ออยู่ในชุมชน จะเก็บข้อมูลด้าน
ไหนบ้าง ด้วยวิธีการอยา่ งไร
นอกจากนี้ จิตติ มงคลชัยอรัญญา กล่าวถึงการศึกษาชุมชน ว่าสามารถแบ่งออกเป็น
ประเภทต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา คอื
เทคนิคการปฏบิ ตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 20
1. การศกึ ษาชมุ ชนโดยนักพัฒนา ซ่ึงมหี นา้ ทรี่ ับผิดชอบในการพฒั นาชมุ ชนนั้น ๆ โดยตรง
ทาการศึกษาชุมชนเพ่ือให้เข้าใจและเห็นลู่ทางในการกระตุ้น ส่งเสริมให้คนหรือกลุ่มในชุมชนริเริ่ม
กิจกรรมต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของตน ซ่ึงนักพัฒนาต้องเป็นท้ังผู้กาหนดประเด็นศึกษา ผู้รวบรวม
ข้อมูล ผู้วิเคราะห์ และผู้ใช้ประโยชน์จากผลการวิเคราะห์ด้วยตนเอง งานศึกษาชุมชนนี้ นักพัฒนา
จะขอให้ผอู้ นื่ ทาแทนมไิ ด้ นกั พัฒนาจะตอ้ งมีสว่ นร่วมในการศกึ ษาชุมชนเสมอ
2. การศึกษาชุมชนที่หน่วยงานต้นสังกัดของนักพัฒนา มอบหมายให้นักพัฒนาทาการ
รวบรวมหรือสารวจข้อมูลในชุมชน เพื่อนาไปใช้วางแผน ซึ่งนักพัฒนาเป็นเพียงผู้เก็บข้อมูล ตาม
ประเด็น และหรือ แบบสารวจข้อมูลท่ีคนอื่นสร้างขึ้นมาเท่านั้น ส่วนผลการวิเคราะห์ผล และใช้
ประโยชน์จากผลการวิเคราะห์มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ข้อมูล หรือเจ้าหน้าท่ีเก่ียวข้องกับการวางแผน
หรอื จัดทาขอ้ มูลพ้ืนฐานของหนว่ ยงาน
และ จิตติ มงคลชัยอรัญญา ยังกล่าวถึงความแตกต่าง ของการศึกษาชุมชนทั้งสองนี้ว่า
การศกึ ษาชมุ ชนข้อแรกน้ัน ข้อมลู ต่าง ๆ ท่จี าเป็นสาหรบั นกั พฒั นาในพน้ื ทน่ี น้ั อาจจะไมค่ รอบคลุม
ทุกด้าน เพราะมีขีดจากัดเร่ืองเวลา ปริมาณภารกิจ ตลอดจนขีดความสามารถของนักพัฒนา เร่ือง
เก่ียวกับคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย พื้นฐานความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์เดิม อุดมการณ์และ
แนวความคิดที่มีต่อชุมชน เป็นต้น แต่การศึกษาชุมชนแบบนี้จะได้ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีทาให้เข้าใจ
ชุมชนดีข้ึน เป็นความร่วมมือของท้ังสองฝ่าย ส่วนการศึกษาชุมชนประเภทที่สอง ข้อมูลจากการ
กาหนดของหน่วยงานต้นสังกัดน้ัน มักเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ทาให้รู้ปัญหาชุมชนในภาพรวม แต่
ขาดความลึกซ้ึง การศึกษาชุมชนแบบแรก เป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญสูงต่อการทางานพัฒนาในพื้นที่
หรือที่เรียกว่าในระดับจุลภาค การท่ีนักพัฒนาสามารถเข้าใจเร่ืองต่าง ๆของชุมชนได้เป็นอย่างดี
ย่อมมีผลต่อการทางานพัฒนาเหมือนคากล่าวของนักพัฒนาท่ีมีประสบการณ์ในการพัฒนาที่ว่า “
หากศึกษาชุมชนได้ดีก็เท่ากับว่างานพัฒนาสาเร็จไปแล้วครึ่งหน่ึง ” ส่วนแบบท่ีสองเป็นการมอง
ในระดับมหภาค ในภาพรวมของการพฒั นา
สรุป วัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชน เป็นการค้นหาบริบทของชุมชนในทุก ๆ ด้าน
โดยนาข้อเท็จจริงที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมาใช้ในการประเมินศักยภาพของชุมชน เพื่อ
แก้ปัญหาของชุมชน ซ่ึงมีผลโดยตรงกับชุมชนและหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อใช้ประกอบในการ
วางแผนงาน/โครงการ พฒั นาชุมชน
เทคนคิ การปฏบิ ตั งิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศึกษาชุมชน) 21
ตอนที่ 1.5 เทคนิควธิ ีการและกระบวนการศึกษาวเิ คราะห์ชุมชน
ในการศึกษาชุมชน การเก็บรวบรวมข้อมูลของชุมชนในด้านต่าง ๆ นับว่ามีความสาคัญ
ตอ่ ผู้ท่จี ะเขา้ ไปศกึ ษาชมุ ชน และตอ่ นกั พัฒนาที่จะเข้าไปพฒั นาชุมชน การเรยี นรู้ถึงสภาพท่แี ท้จริง
ของชุมชน การวางตัวท่ีเหมาะสม และการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีกับคนในชุมชน เพ่ือให้ได้มาซ่ึง
ข้อมูลของชุมชนที่ถูกต้องน้ัน จาเป็นต้องมีเทคนิค วิธีการและกระบวนการในการเก็บรวบรวม
ข้อมูลของชุมชน การศึกษาชุมชนมีวิธีการศึกษาอยู่หลายวิธี แต่ที่สาคัญมี ดังน้ี (ปาริชาติ วลัย
เสถียร และคณะ 2548 : 130 )
1. การสงั เกต (Observation)
2. การสัมภาษณ์ (Interview)
3. การสนทนากลุ่ม (Focus group)
4. การใชข้ อ้ มูลเอกสาร
5. การเขา้ สนาม
6. การศกึ ษาแบบผสมผสาน
การสังเกต
การสังเกต เป็นเคร่ืองมือในการรวบรวมข้อมูลอีกประเภทหนึ่ง ท่ีนักวิจัยเชิงคุณภาพนิยม
นามาเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะต้องอาศัยการฝึกฝนวิธีการสังเกตอย่างมีระบบ และการวิเคราะห์
ปรากฏการณ์ท่ีทาการสังเกตการณ์นั้น วัตถุประสงค์ท่ีสาคัญของการสังเกต คือ เพ่ือที่จะเข้าใจ
ลักษณะธรรมชาติและขอบเขตของการเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของ
ปรากฏการณ์ทางสังคมและพฤตกิ รรมของมนุษย์ ซ่ึงเป็นสว่ นหนง่ึ ของสมาชิกในสงั คม ดงั น้ันจึงตอ้ ง
อาศยั การสังเกตด้วย ตา หู สัมผสั ท่ีอาการท้งั 5 สามารถจะทาการสงั เกตได้
สุภางค์ จันทวานิช ( 2536 ; อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. 2548 ) กล่าวถึง
กรอบของการสังเกตของ ลอฟ์แลนด์ (Lofland. 1971) ว่าเพื่อให้เห็นพฤติกรรมของชาวบ้าน ใน
บทบาทต่าง ๆ เช่น ใครมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็น การดาเนินการประชุมเป็นอย่างไร
เทคนิคการปฏบิ ตั งิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน) 22
เป็นต้น โดยยกตัวอย่างของการประชุมชองสภาตาบลท่ีนักวิจัยผู้ศึกษาชุมชนศึกษา ว่าควรมี
กรอบแนวคิดมาช่วยในการสงั เกต ดงั น้ี
1. ฉากและบุคคล ( Setting ) การสังเกตฉาก หรือ สภาพแวดล้อม และตัวบุคคล เป็น
การสังเกตท่ีง่าย เพราะมีข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่มาก ผู้ศึกษาวิจัยจึงสามารถเห็นไดท้ ันทีที่เร่ิมสงั เกต
ฉาก หมายถึง ลักษณะทางกายภาพและทางสังคมของเหตุการณ์ที่นักวิจัยเฝ้าดู ประกอบด้วย
สถานท่ี บุคคล ส่ิงของ ฯลฯ ซ่ึงช่วยให้ผู้ศึกษาวิจัย กาหนดข้อมูลทางสังคม คุณลักษณะต่าง ๆ ได้
ง่ายขึ้น การสงั เกตฉาก กค็ อื การตอบคาถาม ใคร และที่ไหน น่ันเอง
2. พฤติกรรม ( Acts ) คือ การกระทาท่ีผู้สังเกตเห็นในเหตุการณ์ท่ีเฝ้าดูอยู่ในเหตุการณ์
ทีม่ คี นหลายคน พฤตกิ รรมทีจ่ ะตอ้ งสงั เกตกม็ ีมากและหลากหลายไปด้วย อยา่ งไรก็ตามผศู้ ึกษาวิจัย
พึงพิจารณาว่า เป็นการสังเกตพฤติกรรมสังคม มิใช่พฤติกรรมส่วนบุคคล พฤติกรรมท่ีสังเกต เป็น
การกระทาระหว่างกัน เช่น การชี้แจงเรื่องต่าง ๆ การยกมือถามข้อสงสัย ฯลฯ ผู้ศึกษาวิจัยต้อง
เฝา้ ดสู ิ่งที่เกิดขน้ึ ให้ครบถ้วน โดยไม่อคติตอ่ พฤตกิ รรมของบคุ คลใดบุคคลหนึ่ง ไมค่ าดหวังใหต้ รงกับ
ทฤษฎที ไ่ี ดศ้ ึกษามา เพราะสิง่ ตา่ ง ๆ ที่เกดิ ข้ึน คือความเปน็ จริงทางสังคม การสงั เกตตัวพฤติกรรม
ทาใหผ้ ศู้ กึ ษาวิจัยตอบคาถามวา่ ทาอะไรได้
3. แบบแผนพฤติกรรม ( Activities ) คือ การนาเอาพฤติกรรมที่เฝ้าดูมาเรียงลาดับด้วย
เหตุผลบางประการ เพื่อจะได้เรียบเรียงราวเหล่าน้ัน ให้เป็นเรื่องที่มีความสืบเนื่องกัน เพื่อให้รู้ว่า
ส่งิ ที่เกดิ ขึ้นเปน็ อย่างไร
4. ความสัมพันธ์ ( Relationship ) คือ การสังเกตถึงความสัมพันธ์ว่าใครกระทากับใคร
สังเกตถึงโครงสร้างความสมั พันธท์ างสังคมของคนในชุมชน
5. การมสี ่วนร่วม ( Participation ) ข้อมูลการมสี ว่ นร่วมของชุมชนในดา้ นต่าง ๆ เป็นการ
สงั เกตเพือ่ เขา้ ใจในภาพรวมของปรากฏการณท์ ่เี กดิ ขนึ้ ในชุมชน
6. ความหมาย ( Meaning ) หมายถึง การให้ความสาคัญหรือการรับรู้เหตุการณ์หน่ึง ๆ
ของผทู้ ี่อยใู่ นเหตุการณ์ การคน้ หาความหมาย จึงเปน็ การข้อมูลว่าบุคคลมองตนเองและบุคคลรอบ
ข้างอย่างไร และทาไมจงึ มพี ฤติกรรมเป็นเชน่ น้ี เปน็ ตน้
ประเภทของการสงั เกต
แบง่ ออกไว้ 2 ประเภท ดงั นี้ (ปาริชาติ วลยั เสถยี ร และคณะ. 2548 : 132-135)
1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด (Participant Observation) เป็นวิธีท่ีผู้ศึกษา
เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหน่ึงของชุมชน หรือกลุ่มท่ีทาการศึกษา เช่น การศึกษาประวัติศาสตร์
หม่บู ้าน
เทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชุมชน) 23
2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด (Non- Participant Observation) เป็นวิธี
ท่ีผู้ศึกษาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หรือกลุ่มที่ทาการศึกษา เป็นเพียงเข้าไป
เฝ้าดูพฤติกรรมทางสังคม เช่น ผู้ศึกษาเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของเด็กท่ีกาลังเล่นเกมส์ต่างๆ การ
สังเกตดงั กลา่ วสามารถแบง่ ได้เป็น 3 ชนิด
2.1 การสงั เกตอย่างมโี ครงสรา้ ง (Structured Observation) เปน็ การสังเกตการณ์ที่เป็น
ระบบ ผู้ศึกษาทราบถึงวัตถุประสงค์ของการสังเกตการณ์ ผู้ศึกษาจึงมีการเตรียมการส่ิงท่ีต้องการ
สังเกตไว้ล่วงหน้า ข้อท่ีต้องศึกษาและวิธีการวิเคราะห์ ทาให้สามารถที่จะสังเกตการณ์อย่างเป็น
ระบบ
2.2 การสังเกตอยา่ งไมม่ ีโครงสร้าง (UnStructured Observation) เปน็ การสังเกตการณ์
ท่ีผู้ศกึ ษาไดเ้ ตรยี มวตั ถุประสงคข์ องการสังเกตไวล้ ่วงหน้า เนอ่ื งจากการสังเกตแบบนีเ้ ปน็ การสังเกต
พฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ ในฐานะท่ีเป็นส่วนหนึ่งของสงั คม พฤตกิ รรม
ทแ่ี สดงออกจงึ เป็นไปตามเงื่อนไขของบุคคลนั้น ผู้ศึกษาไมอ่ าจเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้ เช่นผูศ้ ึกษา
ไปสังเกตพฤติกรรมการบริโภคในชุมชน พฤติกรรมของแต่ละคนแต่ละครอบครัวย่อมจะแตกต่าง
กนั ไป ไม่อาจจะต้ังเปน็ กฎเกณฑต์ ายตวั ได้
2.3 การสังเกตในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Observation) เป็นการสังเกตใน
สถานการณ์ท่ีผู้ศึกษาได้กาหนดไว้ อาจจะใช้วิธีการสังเกตผ่านห้องกระจกที่มองด้านเดียว เพื่อมิให้
ผถู้ ูกสังเกตร้ตู วั
บทบาทของนักพฒั นาในสนาม
นักพัฒนาท่ีจะเข้าไปศึกษาในชุมชน หรือกลุ่มคนตามท่ีได้เลือกน้ัน จะต้องคานึงถึง
บทบาทที่จะอาศัยอยู่ในชุมชนน้ัน บทบาทมีอยู่หลายบทบาทแล้วแต่จะได้เลือกบทบาทหน่ึงหรือ
หลายบทบาท ซงึ่ บทบาทของการสังเกตในสนาม มีอยู่ 4 บทบาท
1. ผู้มีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ (complete Participant) บทบาทในลักษณะนี้ คือ
ประชากรที่อยู่ในชุมชนไม่รู้ผู้ศึกษาได้เข้ามาศึกษาในชุมชน โดยผู้สังเกตจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ถูก
สังเกต ตามธรรมชาติ มีส่วนร่วมในการทางาน มีทัศนคติร่วมกัน และมีความคุ้นเคยกับชีวิตคนใน
ชมุ ชนน้นั
2. ผู้มีส่วนร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ ( Participant-as-Observer ) บทบาทน้ีเหมือนกับ
ข้อแรกท่ีผู้ศึกษาและประชากรในชุมชนนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ผู้ศึกษาจะมีส่วนร่วม
ในเหตุการณ์หรือพิธีกรรมต่าง ๆ พยายามสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ในด้านท่ีเกี่ยวกับชีวิต
เทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 24
ความเป็นอยู่ในเรื่องท่จี ะศกึ ษาแต่ต่างกนั ที่ประชากรในชุมชนรู้ว่าตนถูกสังเกต บทบาทนี้ใช้กนั มาก
ในวิธีการของการสงั เกตดว้ ยการมีสว่ นรว่ มอย่างใกลช้ ิด
3. ผู้สังเกตการณ์เป็นผู้มีส่วนร่วม ( observer-as-Participant ) บทบาทน้ีผู้ศึกษาเป็นผู้
สังเกตโดยไม่ได้บอกวัตถุประสงค์ของการศึกษาให้ประชากรในชุมชนได้ทราบ โดยจะสังเกตการณ์
อยู่ตลอดเวลาและเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ หรือพิธีกรรมต่าง ๆ มีการตีความจากการสังเกต
ดว้ ยเอง
4. ผู้สังเกตการณ์อย่างสมบูรณ์ ( Complete Observer ) บทบาทของผู้ศึกษาที่จะเขา้ ไป
สังเกตพฤติกรรมของประชากรในชมุ ชนโดยไมไ่ ด้บอกวัตถุประสงคข์ องการศึกษา เพราะมขี อ้ สมมุติ
วา่ ถ้าบอกตามความเป็นจรงิ แล้ว ประชากรในชมุ ชนนี้อาจจะไม่ให้ข้อมลู ตามความเป็นจรงิ ขอ้ มลู ท่ี
ได้จงึ ไมน่ ่าเช่ือถือ เทคนิคนผ้ี สู้ งั เกตการณ์จะไม่มปี ฏสิ ัมพนั ธ์กับผูถ้ ูกสงั เกต
ขอ้ ดีของการสงั เกต
1. สามารถสังเกตหรอื บันทกึ พฤตกิ รรมไดท้ ันเวลาท่เี กิดขนึ้
2. สามารถได้ข้อมูลทแ่ี น่นอนตรงกับสภาวการณ์จริงของพฤติกรรมนัน้
3. สามารถดาเนนิ การ หรอื เกบ็ ขอ้ มูลได้มากกวา่ วธิ อี ืน่ ในกรณีท่เี กิดความไม่เต็มใจ
จะให้ขอ้ มลู จากบุคคลหรือกลุ่มคน
ข้อจากดั ของการสงั เกต
1. ไม่สามารถท่ีจะทานายได้อย่างแนช่ ัดว่า เหตุการณห์ นง่ึ ๆ จะเกิดตามธรรมชาติ
เม่ือใดจงึ จะสังเกตการณไ์ ด้ทัน
2. มปี ญั หาด้านปัจจัยสอดแทรกทไี่ ม่คาดคดิ มากอ่ น เชน่ การจราจร การจลาจล
ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ ฯลฯ ซ่งึ ทาให้การสงั เกตการณไ์ ม่ได้ผลสมบรู ณ์
3. ปัญหาระยะเวลาของเหตุการณ์ เช่น จะศึกษาประวตั ิชีวติ บคุ คล โดยวิธีนกี้ จ็ ะลาบาก
4. การสงั เกตการณม์ ขี อ้ จากัดในเรอื่ งกฎเกณฑห์ รือมารยาท เชน่ การเข้าไปสงั เกต
การรับประทานอาหาร การสนทนา หรอื การทะเลาะกันภายในบา้ นบุคคลอนื่ ฯลฯ
เทคนิคการปฏิบตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 25
ภาพที่ 1 ครู กศน. ปฏบิ ตั ิงานภาคสนามเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนในพืน้ ท่ีปฏบิ ัติงาน
การสมั ภาษณ์ (Interview)
การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาซักถามอย่างมีจุดหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหน่ึง
ท่ีตอ้ งการ ข้อมลู จากการสมั ภาษณ์จะช่วยอธบิ ายสิง่ ทีพ่ บเหน็ หรอื สังเกตได้ แต่ยงั ไม่เขา้ ใจใหเ้ ข้าใจ
แจ่มแจ้งย่ิงขึ้น การสัมภาษณ์จาเป็นต้องมีโครงสร้างของคาถาม และสามารถควบคุมทิศทาง
โครงสร้างของเน้ือหาให้เป็นเร่ืองที่ต้องการทราบหรือปัญหาในการวิจัย ศึกษาชุมชนจุดสนใจของ
การสัมภาษณ์ คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบหรือระบบ ความหมายเหตุการณ์หรือ
ปรากฏการณ์ท่ีสังคมหน่ึง ๆ มีอยู่เป็นเร่ืองเก่ียวกับบรรทัดฐานทางสังคมซ่ึงมีความเกี่ยวข้องกับ
ระบบวัฒนธรรมของทอ้ งถ่ินนัน้ โดยตรง
ลักษณะของการสมั ภาษณ์
การสัมภาษณจ์ ะเกิดข้นึ เมื่อมกี ารกระทาหรอื ความสมั พนั ธต์ ่อกนั ระหว่างผู้สัมภาษณ์และ
ผู้ให้สัมภาษณ์ ทาให้ทราบลักษณะท่ัวไปของบุคลิกภาพ ทัศนคติ ค่านิยม และอ่ืนๆ จากการแสดง
อารมณ์หรือพฤติกรรม ออกมาระหว่างการสัมภาษณ์ ลักษณะของการสัมภาษณ์ที่ดีควรต้องคานึง
ในเร่ืองต่อไปน้ี ( ปาริชาติ วลยั เสถียร และคณะ. 2548 : 137-142 )
เทคนคิ การปฏิบตั ิงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 26
1. ผู้สัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์อาจจะเป็นผู้ศึกษา และหรือ บุคคลอ่ืนท่ีผู้ศึกษาได้คัดเลือก
เป็นผู้สัมภาษณ์ ซ่ึงจาเป็นต้องมีการได้รับการฝึกฝน วิธีการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องเข้าใจ
วัตถุประสงค์ของเร่ืองที่จะทาการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถซักถาม ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบ
ตามวัตถุประสงค์ได้ถูกต้อง บางครั้งผู้สัมภาษณ์มีตาแหน่งหรือบุคลิกภาพส่วนตัวท่ีทาให้ผู้ให้
สัมภาษณ์ให้ข้อมูลผิด ๆ เช่น ผู้สัมภาษณ์เป็นพนักงานสารวจภาษีจากกระทรวงการคลัง ผู้ให้
สัมภาษณ์ท่ีด้อยการศึกษาอาจจะให้ข้อมูลท่ีบิดเบือนความจริงได้ เพราะเข้าใจว่าข้อมูลต่าง ๆที่
สัมภาษณจ์ ะนาไปเกบ็ ภาษี
2. ผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลท่ีสาคัญในการให้ข้อมูลท่ีแท้จริง ปัจจัยทาง
ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรมและประเพณีของผู้ให้สัมภาษณ์ย่อมมีผลต่อการตอบคาถาม ตลอดจน
คา่ นยิ ม ความเช่ือ ของผ้ใู หส้ มั ภาษณ์ อาจจะทาให้ผ้ใู หส้ มั ภาษณ์สามารถที่จะแสดงออกในการตอบ
คาถาม หรือไม่กล้าท่ีจะตอบคาถาม เช่น หากการศึกษาเร่ืองการวางแผนครอบครัว ผู้ให้สัมภาษณ์
ทีเ่ ป็นสตรอี าจจะอายไมก่ ล้าตอบ ซ่ึงเปน็ ไปตามวัฒนธรรมของชุมชน
ประเภทของการสมั ภาษณ์
1. แบง่ ตามวตั ถุประสงค์ของการศึกษา อาจแบ่งไดเ้ ปน็ 4 ประเภท
1) การสัมภาษณ์แบบเจาะจง ( Fucused Interview ) เป็นการสัมภาษณ์ท่ี
เจาะจงหัวข้อเรื่องที่ต้องการข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์บุคคลท่ีเก่ียวกับสถานการณ์ใด สถานการณ์
หน่ึง โดยเฉพาะ จากการดูภาพยนตร์ การสัมภาษณ์ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคล ในเรื่อง
ทัศนคติ คา่ นิยม ในเรือ่ งทีต่ อ้ งการศึกษา
2) การสัมภาษณ์ที่ไม่กาหนดคาตอบล่วงหน้า (Non- directive Interview) เป็น
วิธกี ารสัมภาษณ์ทต่ี ้องการรายละเอียดมากที่สดุ ในเร่อื งทผ่ี ศู้ ึกษาต้องการ การสัมภาษณ์แบบลึกซึ้ง
จะเกิดข้ึนได้ เม่ือผู้ให้สัมภาษณ์มีความคุ้นเคยและให้คาตอบมากที่สุด และมีมากกว่าเป็นผู้ซักถาม
เช่น การสมั ภาษณข์ องนักจิตวทิ ยาตอ่ ผปู้ ว่ ย
3) การสัมภาษณ์แบบลึกซึ้ง (In-depth Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ท่ี
ต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการ การสัมภาษณ์แบบลึกซึ้งจะเกิดขึ้นได้ เม่ือ
ผู้ให้สัมภาษณ์มีความคุ้นเคยและให้คาตอบมากท่ีสุด และมีมากกว่าท่ีผู้สัมภาษณ์ได้เตรียมข้อมูล
เพือ่ ทีจ่ ะสมั ภาษณ์ เชน่ การสัมภาษณ์ชวี ประวตั บิ คุ คลต่าง ๆ
เทคนคิ การปฏิบตั ิงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน) 27
4) การสัมภาษณ์ซ้า (Repeated Interview) เป็นวิธีการศึกษา แบบการศึกษาซ้า
(panel-study) จึงต้องมีการสัมภาษณ์ซ้าเป็นครั้งที่สอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะศึกษาความ
เปลี่ยนแปลง เช่น การสมั ภาษณ์ พฤติกรรมการบริโภคก่อนและหลงั ในเรื่องอาหารสุกเปน็ อยา่ งไร
ภาพที่ 2 ผู้บริหารให้คาแนะนาเทคนิคในการสมั ภาษณ์แก่ครู กศน.
2. แบ่งตามเทคนิคการสมั ภาษณ์ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี้
1) การสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นการ
สัมภาษณ์ท่ีผู้สัมภาษณ์ถามคาถามตา่ ง ๆ ในแบบสัมภาษณ์โดยไม่สามารถท่ีจะดัดแปลงเป็นคาถาม
อ่ืน ๆ ได้ เป็นการสร้างมาตรฐานเดียวกันกับการสัมภาษณ์บุคคลอ่ืน ๆ เพื่อช่วยลดอคติของการ
สัมภาษณอ์ าจแบ่งย่อยเปน็ 2 ชนดิ คอื
(1) การสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม (Interview-Schedule) เป็นการ
สัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม โดยมากมักจะนาไปสัมภาษณ์ชาวบ้านซึ่งไม่มีความรู้ ความสามารถท่ี
จะเข้าใจแบบสอบถามท่ีจะต้องการกรอกด้วยตนเอง จึงมีการนาแบบสอบถามไปสัมภาษณ์อาจจะ
มีความยืดหยุ่นในการสัมภาษณ์ในแต่ละคาถาม เพ่ือให้ผู้สัมภาษณ์ตอบคาถามที่ตรงกับ
วัตถุประสงคข์ องการศกึ ษา
(2) การสัมภาษณ์ตามแบบคาถามที่กาหนดไว้ (Questioned Interview)
เป็นการสัมภาษณ์แบบคาถามต่าง ๆ ท่ีมีไว้โดยไม่มีการดดั แปลงการสัมภาษณ์แต่อย่างไร เช่น การ
สารวจสามะโนประชากร การสารวจสามะโนในทางธรุ กิจและอ่ืน ๆ
เทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชุมชน) 28
2) การสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นการ
สัมภาษณ์ที่ไม่มีขอบเขตของคาถามที่แน่นอน มีเพียงแนวทางกว้าง ๆ เป็นแนวทางการสัมภาษณ์
(interview guide) ซ่ึงสร้างขึ้นเป็นประเด็นหรือหัวข้อในการสัมภาษณ์ สัมภาษณ์โดยไม่ใช้
แบบสอบถามแตม่ กี รอบคาถามเปน็ แนวทางในการสมั ภาษณ์ เพือ่ ให้ได้ข้อมลู ทตี่ ้องการ โดยผู้ศกึ ษา
จะกาหนดว่าต้องการอะไร และกาหนดหัวข้อย่อยหรือประเด็นคาถาม เช่น ประวัติหมู่บ้าน การ
ประกอบอาชีพ ในแต่ละประเด็นคาถามจะมีการแจกแจงคาถามย่อย ๆ เช่น ประวัติหมู่บ้าน การ
ประกอบอาชีพ ในแต่ละประเด็นคาถามจะมีการแจกแจงคาถามย่อยๆ ผู้สัมภาษณ์จะพูดคุยถาม
ประเด็นคาถามที่ได้เตรียมไว้น้ันโดยใช้คาถามหลักๆ ได้แก่ ใคร อะไร ท่ีไหน อย่างไร เท่าไร และ
ทาไม
3) การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เป็นการ
สัมภาษณท์ ป่ี ระกอบด้วยคาถามต่าง ๆ ในแบบสอบถามแตส่ ามารถทจี่ ะปรับเปลีย่ น เพิม่ เติมเพื่อให้
เกิดความชดั เจนของคาตอบได้
หลักการสมั ภาษณ์
หลักการสัมภาษณท์ ่ดี ีควรจะมขี ัน้ ตอนตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. การแนะนาตัว (Introduction) ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนาตัวเองเสียก่อนเพ่ือให้ผู้ให้
สัมภาษณ์ไดท้ ราบและค้นุ เคย อย่างไรก็ตามผ้สู มั ภาษณจ์ ะต้องสังเกตสิง่ แวดลอ้ มของผ้ใู หส้ ัมภาษณ์
ว่ามีความพร้อมท่ีจะให้สัมภาษณ์หรือไม่ เช่น ผู้ให้สัมภาษณ์กาลังทาอาหารเช้าไม่ควรท่ีจะทาการ
สมั ภาษณ์ จงึ ตอ้ งพจิ ารณาความเหมาะสมของระยะเวลาและสถานท่ี
2. การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี (Good Relationship) ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่ผู้
สมั ภาษณจ์ ะตอ้ งสรา้ งความคุ้นเคย มมี นษุ ยส์ มั พันธ์อนั ดีต่อผใู้ ห้สัมภาษณ์ จงึ เปน็ เทคนิคเฉพาะของ
ผู้สัมภาษณ์แต่ละคน จะมีความสามารถที่สร้างความเป็นกันเองอย่างไร เพ่ือให้ผู้สัมภาษณ์ มีความ
พร้อมและพอใจ ในการตอบคาถามจากการสัมภาษณ์ เทคนิคนี้จึงเป็นศิลปะท่ีผู้สัมภาษณ์จะต้อง
ได้รับการฝึกฝน เช่น ถ้าหากผู้ให้สัมภาษณ์กาลังทาอาหารเช้า กาลังจะเสร็จ ผู้สัมภาษณ์ควรท่ีจะ
หาโอกาสชว่ ยเหลืองานเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เพอ่ื สร้างความคุ้นเคยและเป็นกนั เองให้เกิดข้ึน
3. การเข้าใจวัตถุประสงค์ (objectives) ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเข้าใจวัตถุประสงค์
ของคาถามท่ีกาหนดข้ึน เพ่ือที่จะทาให้เกิดความเข้าใจในการซักถามประกอบการสัมภาษณ์รวม
ท้ังผู้สัมภาษณ์ควรจะบอกวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์แก่ผู้ให้สัมภาษณ์เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ
มากย่งิ ขนึ้ อาจจะบอกวตั ถุประสงคใ์ นชว่ งแรกของการแนะนาตวั
เทคนิคการปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 29
4. การจดบันทึก (Take Note) ผู้สัมภาษณ์จะต้องเตรียมการจดบันทึกในขณะที่จะทา
การสมั ภาษณ์ การจัดบนั ทกึ เพอื่ ใหค้ าตอบท่ีได้จากการสัมภาษณ์ถูกบนั ทกึ หรือลงในแบบสัมภาษณ์
อย่างมีโครงสร้างที่กาหนดขึ้น เป็นการจดบันทึกเพ่ือให้คาตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์ถูกบันทึกลง
อย่างเรียบร้อย ข้ันตอนนี้ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความตั้งใจในการฟังการสัมภาษณ์เพ่ือจะได้ข้อมูลท่ี
แทจ้ ริง
5. การสัมภาษณ์ (Interview) ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า ในการ
สมั ภาษณจ์ ะต้องได้รบั การฝึกฝนเทคนคิ และวิธกี ารสัมภาษณ์ ดังต่อไปน้ี
5.1 การสังเกตการณ์ (Observing) ผู้สัมภาษณ์จะต้องสังเกตกิริย่าทางของผู้ให้สัมภาษณ์
รวมทั้งสิ่งแวดล้อม บรรยากาศต่าง ๆ และความเบื่อหน่ายหรือความสนใจท่ีให้สัมภาษณ์มีความ
สนใจในเรอ่ื งที่จะสนทนาซักถาม
5.2 การฟัง (Listening) ผู้สัมภาษณ์ท่ีดีควรจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ยอมรับฟังคาสนทนา
บอกเล่าจากผู้ให้สัมภาษณ์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวท่ียาว หรือบางครั้งเป็นเร่ืองท่ีไม่เกี่ยวกับเรื่องที่
ซกั ถามก็ตาม
5.3 การซักถาม (Questioning) ผู้สัมภาษณ์ควรที่จะต้องรู้จักการใช้คาถามซักถาม โดย
ถามคาถามง่าย ๆ ที่ทาใหผ้ ใู้ หส้ ัมภาษณ์เกดิ ความเข้าใจ
5.4 การถามซ้า (Probing) ผู้สัมภาษณ์ควรที่จะต้องถามซ้าเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ได้
คาถามที่ถูกต้องตรงประเด็นมากข้ึน โดยท่ัวไปการถามซ้ามีวัตถุประสงค์เพ่ือที่จะให้ผู้สัมภาษณ์ให้
คาตอบท่ีสมบูรณ์ (Completion probe) ชัดเจน (Clarity probe) มีรายละเอียดต่อเน่ือง
(Channel probe) เพอ่ื การพสิ ูจนส์ มมตฐิ าน (Hypothetical probe) และ การได้รับปฏิกริ ยิ าตอบ
(Reaction probe)
5.5 การกล่าวขอบคุณ (Thanks) เม่ือเสร็จส้ินการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรจะกล่าว
ขอบคุณแก่ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นการอาลา และขอบคุณท่ีได้เสียสละเวลาในการสัมภาษณ์ เป็นการ
แสดงออกถึงมารยาทท่ีดี การสัมภาษณ์ท่ีดีในแต่ละคร้ังไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง การสัมภาษณ์ท่ี
เหมาะสมควรอยใู่ นระหวา่ ง 30-45 นาที
เทคนคิ การปฏิบัตงิ านกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 30
ข้อดีของการสัมภาษณ์
1. ผสู้ มั ภาษณ์มโี อกาสไดส้ ังเกต และการศึกษาสภาพการณต์ ่าง ๆ ตลอดจนปฏิกิรยิ า
ของทุกฝ่ายท่เี กยี่ วข้อง
2. ไดค้ าตอบทแ่ี น่ชัดสมบรู ณ์ เพราะสามารถอธิบายข้อสงสยั ตา่ ง ๆ ใหแ้ ก่ผตู้ อบได้
3. สามารถเก็บข้อมูลได้ แม้ผตู้ อบจะมกี ารศกึ ษาตา่ หรอื เป็นผ้ทู อ่ี า่ นไม่ออกเขียนไม่ได้
4. โอกาสท่ีจะไดข้ ้อมลู มสี งู มากเพราะผตู้ อบส่วนใหญย่ ินดใี หค้ วามร่วมมอื
ข้อจากดั ของการสัมภาษณ์
1. ค่าใช้จ่ายคอ่ นขา้ งสูง
2. มปี ัญหาเก่ียวกบั การฝกึ ใหค้ าแนะนาผูท้ ีจ่ ะออกไปสมั ภาษณ์ การติดตามและควบคุม
การสัมภาษณ์
3. จะมีอคตหิ รอื ความลาเอยี งของผสู้ มั ภาษณ์
4. ตอ้ งใช้เวลาและแรงงาน
ภาพที่ 4 ครู กศน. สมั ภาษณ์ความตอ้ งการของกลมุ่ พัฒนาอาชีพ
เทคนิคการปฏบิ ตั งิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 31
การสนทนาแบบกลมุ่ (Focus group)
การสนทนากลุ่ม เป็นวิธีการศึกษาชุมชนอีกวิธีหน่ึงที่ประหยัดเงินและเวลา แต่ต้องมีการ
วางแผนเตรียมการอย่างเหมาะสม และเรื่องที่สนทนากลุ่มน้ัน เป็นเรื่องที่กลุ่มให้ความสนใจด้วย
การสนทนากลุ่ม จงึ เป็นการนั่งสนทนากัน ระหวา่ งผู้ใหส้ มั ภาษณ์เป็นกลมุ่ ตามปกติ ประมาณ 6-12
คน แต่ในบางกรณีอาจมีข้อยกเว้นให้มีได้ประมาณ 4-5 คน ในระหว่างการสนทนา จะมี
ผู้ดาเนินการสนทนาเป็นผู้คอยจุดประเด็นการสนทนาเพ่ือเป็นการชักจูงใจให้บุคคลกลุ่มนี้ได้แสดง
ความคิดเห็นต่อประเด็น หรือแนวทางในการสนทนาให้ได้กว้างขวางลึกซึ้ง และละเอียดท่ีสุดเท่าที่
จะทาได้และต้องสร้างบรรยากาศท่ีเป็นกันเองด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลในลักษณะท่ีมีเนื้อหาสาระหรือ
เป็นขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ( ปารชิ าติ วลัยเสถยี ร และคณะ. 2548 : 143-146 )
องคป์ ระกอบในการจดั สนทนากล่มุ
1. บคุ ลากรท่ีเก่ยี วข้อง ไดแ้ ก่
1.1 ผู้ดาเนินการสนทนา (Moderator) ผู้ดาเนินการสนทนาจะต้องเป็นผู้ที่พูดและฟัง
ภาษาท้องถ่ินได้ เป็นผ้มู ีบคุ ลิกดี สุภาพ ออ่ นน้อมและมีมนุษยส์ มั พันธ์ดี ผดู้ าเนินการสนทนาจะต้อง
เปน็ ผู้รู้ ความตอ้ งการและวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาชุมชนในแตล่ ะครั้งเปน็ อย่างดีด้วย
1.2 ผู้จดบันทึกการสนทนา (Note-taker) ผู้จดบันทึกการสนทนาจะต้องรู้วิธีว่าทา
อย่างไรจึงจะจดบันทึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะต้องจดบันทึกบรรยากาศท่ีเกิดขึ้นใน
ระหวา่ งการสนทนาด้วย
1.3 ผู้ชว่ ย (Assistant) ผู้ช่วยจะเป็นผู้ทาหน้าทชี่ ่วยเหลือทว่ั ไปในขั้นเตรียมการ การจัด
สนทนากลมุ่ เชน่ เตรียมสถานท่ี จดั สถานท่ี บันทึกเสยี ง เปน็ ต้น
2. แนวทางในการสนทนากลุ่ม ควรจะต้องจัดแนวทางในการสนทนากลุ่ม และการ
จัดลาดับหัวข้อในการสนทนา ในทางปฏิบัติอาจจะยืดหยุ่นได้ตามบรรยากาศในการสนทนาที่
เกิดข้ึน ซึ่งผู้ดาเนินการสนทนา อาจจะได้ประเด็นที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก่อน จากผู้เข้าร่วมสนทนา
ผดู้ าเนินการสนทนาสามารถซักตอ่ ได้
3. อุปกรณ์สนาม อุปกรณ์สนามที่ควรเตรียม ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง เทปเปล่า
แบตเตอรแ่ี หง้ สมุดบนั ทกึ และดินสอ เป็นตน้
4. แบบฟอร์มสาหรับคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม ควรจัดเตรียมแบบฟอร์มสาหรับ
คัดเลอื กผ้เู ข้ารว่ มสนทนากลุ่มไวด้ ้วย
เทคนิคการปฏิบัตงิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศึกษาชมุ ชน) 32
5. เสริมสร้างบรรยากาศ ควรจัดเตรียมส่ิงของสาหรับเสริมสร้างบรรยากาศ เช่น
เคร่ืองด่ืม ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองระหว่างผู้มีส่วน
รว่ มในการสนทนา
6. สถานท่ีและระยะเวลา อาจจะเป็นบ้าน ศาลาวัด ใต้ร่มไม้ ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ห่างไกลจากความพลุกพล่านเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสนทนาได้มีสมาธิในเร่ืองต่าง ๆ ที่กาลังสนทนากัน
ส่วนระยะเวลาในการสนทนาโดยท่วั ไป ไม่ควรเกิน 2 ช่วั โมง ต่อ 1 กลุ่ม
ข้อดขี องการสนทนากลุ่ม
1. เนื่องจากผู้ท่ีศึกษาชุมชนเป็นผู้ดาเนินการสนทนากลุ่ม ดังน้ัน การที่ผู้ร่วมสนทนา
เข้าใจผิดต่อประเด็นที่สนทนา ผู้ดาเนินการสนทนาก็สามารถแก้ไขได้ทันที เพราะเป็นผู้ที่รู้ถึง
ความตอ้ งการและวตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาในเร่ืองนัน้ ๆเป็นอย่างดี
2. ในการจัดสนทนากลุ่มผู้เข้าร่วมสนทนาจะมีลักษณะความเป็นอยู่ใกล้เคียงกันจึงไม่
ค่อยรู้สกึ ขัดเขนิ หรอื มีความยาเกรง
3. ลักษณะการสนทนากลุ่ม เป็นการเปิดโอกาสให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกัน ทาให้ผู้ทา
การศกึ ษาสามารถวเิ คราะห์ประเมนิ ปญั หาตา่ งๆ ได้ชดั เจนมากย่ิงขึน้ ถ้าหากใน
ประเด็นต่าง ๆ ยงั ไม่ชัดเจนเพียงพอ กส็ ามารถซักถามต่อเพ่ือหาคาอธิบายได้
4. บรรยากาศในการสนทนากลุ่ม จะลดความกลัวว่าความคิดเห็นของแต่ละคนจะเป็น
เปา้ หมายในการถกู บันทึกเอาไว้ ทั้งนเี้ พราะเปน็ การแสดงความคดิ เหน็ ในลักษณะกลมุ่ มากกวา่
ขอ้ จากัดของการสนทนากลุ่ม
1. การจัดสนทนากลุ่มทุกครง้ั ตอ้ งระวังมใิ ห้เกิดการผกู ขาดการสนทนาขึน้ โดยบุคคล
หนึ่งในกลุ่มและไปครอบงาผู้ร่วมสนทนาคนอื่น ๆ โดยผู้ดาเนินการสนทนาจะต้องมีเทคนิค
ในการที่จะให้ความสาคัญกบั ผรู้ ว่ มสนทนาให้เท่า ๆ กนั ทกุ คน
2. พฤติกรรมหรือความคิดเหน็ บางอย่าง ซ่งึ เปน็ สว่ นทไ่ี ม่ยอมรับของชมุ ชนอาจจะไม่ได้
รบั การเปดิ เผยในการจัดสนทนากลุ่ม ถา้ หากไม่สัมภาษณ์ตัวต่อตัวจะได้รับการเปิดเผยมากกว่า
ผู้ท่ีจะทาการสนทนากลุ่มจะต้องคานึงถึงบุคลากรและกาลังงบประมาณที่มีอยู่ประกอบด้วย
เชน่ สามารถพูดภาษาทอ้ งถน่ิ ได้ เปน็ ต้น
เทคนิคการปฏิบัตงิ านกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน) 33
ภาพท่ี 5 ครู กศน.จดั กจิ กรรมสนทนากลมุ่ นาไปสขู่ ้อสรุปของกลุ่มพัฒนาอาชีพ
การใช้ขอ้ มลู เอกสาร
แหล่งข้อมูลที่สาคัญอีกแหล่งหนึ่งที่ผู้ศึกษาชุมชนควรใช้ คือ แหล่งข้อมูลเอกสาร แม้ว่า
ผู้วิจัยจะทางานสนามและได้ข้อมูลส่วนใหญ่จากการสัมภาษณ์ และการสังเกต แต่แหล่งข้อมูล
เอกสารก็เป็นสิ่งที่จะละเลยมิได้ เพราะมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่อาจหาได้จากการสัมภาษณ์ การ
สังเกต เช่น การหาข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับเร่ืองในอดีต หรือ มีข้อมูลท่ีพร้อมแก่การนาไปใช้ เช่น
ข้อมูลทางด้านประชากรเก่ียวกับจานวนคนเกิด คนตาย หรือประชากรจาแนกตามเพศและวัย
เป็นต้น (ปาริชาติ วลยั เสถยี รและคณะ. 2548 )
ชนิดของข้อมลู เอกสาร
1. สถิติและบันทึกต่าง ๆ หมายถึง ข้อมูลท่ีมีการรวบรวมอย่างเป็นระบบระเบียบ
ต่อเน่ืองกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร เป็นข้อมูลสถิติท่ีเป็นตัวเลข เป็นเร่ืองราวเหตุการณ์
เชน่ บนั ทกึ ประจาวนั ประวัตบิ ุคคล เป็นต้น
2. เอกสาร หมายถึง ข้อมูลในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงที่มีอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรหรืออาจเป็น
แผนผัง รูปภาพ ข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่ ข่าวหรือบทความในหนังสือ จดหมายโต้ตอบระหว่างบุคคล
คาขวญั อตั ชวี ประวัติ ตานาน เปน็ ต้น
เทคนคิ การปฏิบตั ิงานกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 34
ข้อมูลทั้งสองประการดังกล่าวข้างต้น จะมีทั้งท่ีเป็นลักษณะข้อมูลของทางราชการและ
ขอ้ มูลส่วนบคุ คล
การใช้ข้อมลู เอกสาร
ข้อมูลเอกสาร เป็นข้อมูลที่นามาใช้ประโยชน์ได้มาก เพราะมีความพร้อมบางประการ ซ่ึง
ขอ้ มูลบุคคลอาจไม่มีเท่าหรือไมค่ รอบคลุมเท่า แตน่ ักวิจัยก็ตอ้ งอดทนในการใชข้ อ้ มูลเหล่านี้ เพราะ
มักเสียเวลาในการตรวจสอบ และการวิเคราะห์ตีความ นักวิจันก็ต้องฝึกฝนในการใช้ข้อมูลเอกสาร
คือการหัดตรวจสอบและตีความเอกสาร ซึ่งโดยปกติข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ในการให้ร่องรอย
หรือเพ่ือสาวเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน และให้รายละเอียดเก่ียวกับค่านิยม ความรู้ ความเชื่อ อุดมการณ์
ตลอดจนการให้ความหมายแก่ส่ิงต่าง ๆ ของบุคคลหรือกล่มุ บุคคล
ข้อดีของข้อมลู เอกสาร
1. ใช้เก็บข้อมูลในอดีต ท่ีไม่อาจใช้วิธีการอื่นในการเก็บได้อีก เช่น เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น
ในประวัตศิ าสตร์
2. ใชเ้ ก็บขอ้ มูลทีอ่ ย่หู า่ งไกลได้
3. เป็นแหลง่ ขอ้ มูลทีไ่ ด้รับความรว่ มมอื สงู เม่อื หาเอกสารไดต้ า่ งจากแหลง่ ขอ้ มูลบุคคล
ซง่ึ อาจจะสงวนทา่ ที
4. ใชห้ าขอ้ มลู เพิ่มเติมในสว่ นทย่ี ังไม่ครบถ้วน
5. ใชเ้ ก็บข้อมูลแทนขอ้ มูลสนาม เมอื่ ไมส่ ามารถออกภาคสนามได้
6. ชว่ ยใหผ้ ู้วจิ ัยประหยดั ค่าใชจ้ ่าย
ขอ้ จากดั ของข้อมูลเอกสาร
1. ขอ้ มูลบางอย่างทีต่ อ้ งการไม่มีอย่ใู นรปู แบบเอกสาร เช่น ความขดั แย้งระหวา่ งบคุ คล
2. ข้อมลู ท่ไี ด้อาจไม่ละเอียดเพยี งพอ และไม่ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์
3. ข้อมลู ทไี่ ดไ้ มม่ ลี ักษณะโตต้ อบกบั ผู้วจิ ัยได้เหมอื นข้อมูลบคุ คลทาให้ตคี วามลาบาก
4. ขอ้ มลู บางอยา่ งหาไดย้ าก หรือโอกาสเข้าถงึ ยาก
5. ผูว้ ิจัยตอ้ งใช้ความพยายามและอดทนมาก
เทคนิคการปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศกึ ษาชุมชน) 35
การเขา้ สนาม
การเข้าสนามหรือการลงสู่ชุมชน มีความสาคัญต่อการศึกษาชุมชนเพราะว่าการเขา้ สนาม
อย่างถูกต้อง การกาหนดบทบาทที่เหมาะสมของนกั วิจัยที่อยใู่ นสนามและการสร้างความไวเ้ นื้อเช่ือ
ใจให้เกิดข้ึนในชุมชน ล้วนเป็นเง่ือนไขสาคัญของการทางานการศึกษาชุมชนต่อไป โดยเฉพาะการ
เกบ็ รวบรวมข้อมูลของชุมชนท่จี าเปน็ ตอ่ การศึกษาการวจิ ยั ชุมชน
การเขา้ สนาม เริ่มต้นทก่ี ารพิจารณาเลือกสนามในการศึกษาชุมชน โดยพจิ ารณาวา่ ชุมชน
นั้น สามารถตอบโจทย์ปัญหาของการศึกษาชุมชนได้หรือไม่ พิจารณาความเหมาะสมของชุมชนใน
ดา้ นต่าง ๆ เช่น ขนาดของหมบู่ า้ น ความซับซ้อน เปน็ ตน้ รวมถงึ การจดั เตรียมเคร่ืองมืออปุ กรณ์ ท่ี
จาเปน็ ตอ่ การศึกษาชุมชน และการเรียนร้เู ก่ยี วกบั ประเพณี ภาษา วฒั นธรรม ความเปน็ อยู่ เปน็ ต้น
(ปารชิ าติ วลยั เสถยี รและคณะ. 2548 : 148 )
ขน้ั ตอนตอ่ มา คือ การแนะนาตวั และการกาหนดสถานภาพและบทบาทท่ีเหมาะสมของผู้
ศึกษาในการเข้าสู่ชมุ ชน โดยอาจจะทาได้ใน 2 ลักษณะ คือ ไม่บอกว่าเป็นใคร และบอกว่าเปน็ ใคร
เพ่ือจะไดท้ ราบถึงข้อมลู ที่อาจจะกอ่ ให้เกิดความเปล่ยี นแปลงตอ่ ชมุ ชนในโอกาสต่อไป
นอกจากน้ี การวางตัวตามบทบาท ยังหมายถึง การปฏิบัติสิ่งท่ีเป็นความคาดหวังและ
บรรทดั ฐานของสงั คมหมู่บ้านหรอื ชมุ ชน เพ่อื เป็นการสร้างความเขา้ ใจในสิ่งตา่ ง ๆ ของชมุ ชน
การสร้างความสัมพันธ์ เมื่อมีการแนะนาตัวแล้ว ข้ันต่อไป คือการสร้างความสัมพันธ์
หมายถึง การผูกมิตรไมตรี จนกระท่ังชาวบ้านมีความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยระวังไม่ให้ตนเองมีบทบาท
เกนิ กวา่ ที่ควรเป็นและระวังมิใหเ้ กิดความลาเอียงในการรวบรวมขอ้ มูลและตคี วามขอ้ มูล
ภาพที่ 6 ผบู้ ริหาร ศึกษาขอ้ มลู ชุมชน โดยสนทนากบั ผู้นาและเครือข่าย
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศึกษาชุมชน) 36
สรปุ การทางานในภาคสนาม ควรเรมิ่ ที่การทาแผนที่ (Mapping) โดยการหาคนให้นา
ทางในการสารวจชุมชนและทาแผนท่ีทางกายภาพ แผนท่ีทางประชากรและแผนท่ีทางสังคม
ซึ่งจะทาใหท้ ราบถึงโครงสร้างในดา้ นตา่ ง ๆ ของชุมชน
การเข้าสนามเปน็ เรอ่ื งที่สาคญั ในการศึกษาสารวจชมุ ชน ถา้ นักวิจยั ผู้ศึกษาชมุ ชน มีการ
วางตัวที่เหมาะสม กาหนดบทบาทของตนเองในทางท่ีชัดเจน ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษาใน
การทีจ่ ะเก็บรวบรวมข้อมลู ต่าง ๆ ของชมุ ชนได้สะดวกยิง่ ขนึ้
ดังนั้น ผศู้ กึ ษาวิจยั ชมุ ชนจึงควรวางตัวใหเ้ หมาะสมไมม่ ีอคตติ อ่ สิง่ ทีพ่ บเหน็ พยายามทา
ความเข้าใจถึงปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนในชุมชน แล้ววิเคราะห์ส่ิงเหล่าน้ันโดยมองว่าทุกส่ิงท่ี
เกิดข้นึ ล้วนมกี ารเปลยี่ นแปลงเปน็ พลวัตและเปน็ ไปอย่างสมั พันธ์กัน
การศกึ ษาแบบผสมผสาน
การศกึ ษาแบบผสมผสาน คือ การนาเอาเทคนคิ วธิ กี ารต่าง ๆ ในการศึกษาวเิ คราะห์ชุมชน
มาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือการศึกษาชุมชน โดยเร่ิมต้นที่การเข้าสนาม หรือการลงสู่ชุมชน
จากน้ันใช้การสังเกต ท้ังที่มีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์พูดคุยอย่างเป็นทางการและ
ไม่เป็นทางการ การใช้ข้อมูลเอกสารมือสอง ในการศึกษาหาประวัติของชุมชน การสนทนากลุ่ม
เพื่อระดมความคิดร่วมกับชุมชน การจดบันทึกต่าง ๆ ในระหว่างการศึกษาชุมชน เทคนิค วิธีการ
ผสมผสานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ศึกษาชุมชนได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงของชุมชนได้มากในมุมมอง
ทห่ี ลากหลาย
กาญจนา แก้วเทพ ( 2538 : 30; อ้างถึงใน ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. 2548 )
กล่าวถึงประสบการณ์และประมวลวิธีการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลชุมชนในลักษณะแบบ
ผสมผสาน ดงั นี้
1. การสัมภาษณ์ทัง้ แบบมโี ครงสรา้ ง (มแี บบสอบถาม) และไมม่ โี ครงสร้าง
2. การสนทนาพดู คยุ ทง้ั อย่างเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ
3. การสังเกตอย่างมสี ่วนรว่ มและการสงั เกตอยา่ งไม่มีส่วนร่วม
4. การจดบนั ทึกประจาวนั
5. การทากรณศี กึ ษาเหตุการณห์ รอื ธรรมเนยี มประเพณีอันใดอันหนงึ่
6. การเข้าร่วมประชมุ กบั ชาวบ้านในงานพฒั นา หรอื งานพธิ ตี ่าง ๆ หรืองานการผลิต
7. การสัมภาษณเ์ จาะลกึ Key information
เทคนคิ การปฏิบตั งิ านกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 37
8. การอา่ นเอกสารอนื่ ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง
9. การศกึ ษาอัตชวี ประวตั ขิ องผูน้ า
10. การทากรณศี ึกษา ครอบครวั หรือ เครอื ญาติ
สรุป เทคนิคและเคร่ืองมือการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม อนั ไดแ้ กก่ ารเตรยี มตัวเข้า
สนาม การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้ข้อมูลเอกสาร การตรวจสอบข้อมูล เป็นต้น เป็น
ข้ันตอนที่นักศึกษาชุมชนจะต้องพบในการศึกษาชุมชน ดังน้ัน การศึกษารวบรวมข้อมูลของ
ชุมชน เป็นปัจจัยสาคัญที่จะทาให้เราทราบถึงสภาพปัญหา ความเปลี่ยนแปลง และความ
ตอ้ งการของชุมชน เพื่อทจ่ี ะไดร้ ่วมกันวางแผนเพือ่ การพฒั นาชุมชนต่อไป
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลภายใต้เทคนิคและเคร่ืองมือดังกล่าว จาเป็นต้องมีความเข้าใจ
ในการเก็บข้อมูลของชุมชนในบริบทต่าง ๆ โดย ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ ( 2536 : 111; อ้างถึง
ใน ปาริชาติ วลัยเสถียรและคณะ. 2548 ) ได้เสนอถึงวิธี การเก็บรวบรวมข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ
โดยภาพรวมของชมุ ชน ดงั น้ี
1. การเก็บขอ้ มลู พ้ืนฐานเกี่ยวกบั ชุมชน ไดแ้ ก่
1.1 สภาพภมู ิประเทศและการตง้ั ถน่ิ ฐานของชุมชน
1.2 ลกั ษณะโครงสร้างของประชากร
1.3 ลกั ษณะโครงสรา้ งพน้ื ฐานทางการศกึ ษาและสาธารณูปโภคของชมุ ชน
1.4 ประวัตแิ ละความเป็นมาของชุมชน
2. ข้อมูลเกีย่ วกับระบบเศรษฐกจิ และการใชท้ รพั ยากร การผลิต การแลกเปลยี่ นและการ
บริโภค ไดแ้ ก่
2.1 การครอบครวั ทรพั ยากรในการผลติ
2.2 กระบวนการผลิตและผลผลติ
2.3 การแลกเปลีย่ นและการบริโภค
2.4 รายได้/รายจ่ายและหนส้ี ิน
3. ข้อมลู เกีย่ วกบั ระบบสังคมและการเมืองในชมุ ชน ไดแ้ ก่
3.1 ครอบครวั และเครือญาติ เช่น รูปแบบครอบครัว ความสมั พันธ์เครือญาติ เพื่อน
บา้ น และเพือ่ น
3.2 กลุ่มอ่ืน ๆ เช่น กลุ่มอุปถัมภ์ กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ กลุ่มการเมือง กลุ่ม
ท่ีทางการเข้ามาจดั ต้งั เป็นตน้
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 38
3.3 การศึกษาสถาบนั สาคญั ๆ ของชมุ ชน
3.4 การศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลในเชิงอานาจ ผู้นาและ
ความขดั แย้งในชมุ ชน
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมของชุมชน โดยมี
ประเดน็ ท่ศี ึกษา ในเรือ่ งความคิด ความเชือ่ หรือคาอธิบายเก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ ทค่ี นในชมุ ชนกล่าวว่า
เปน็ จรงิ ซ่งึ น่าจะครอบคลมุ ใน 4 ประเดน็ ใหญ่ คอื
1. ความคิด ความเช่ือ เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับสภาพแวดล้อมทาง
กายภาพและสิ่งมชี วี ิตอน่ื ๆ โดยเฉพาะสงิ่ ทน่ี ามาใช้เปน็ ทรพั ยากรในการดารงชพี
2. ความคดิ ความเช่อื เกีย่ วกบั ความสัมพันธร์ ะหว่างมนษุ ย์ดว้ ยกนั เอง
3. ความคดิ ความเชอื่ เกี่ยวกับสิ่งทีม่ อี านาจเหนอื มนษุ ย์และสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ
4. ความคิด ความเชอ่ื เกย่ี วกบั การเกิดของสรรพสิง่ ท้งั หลาย และชวี ติ หลังความตาย
สาหรบั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกับความเช่อื นี้ เป็นการใชก้ ารสังเกตและการสมั ภาษณ์
อยา่ งไม่เป็นทางการ ได้ในลักษณะตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
1. สังเกต และสัมภาษณ์เก่ยี วกบั พฤตกิ รรมในชีวติ ประจาวันของชาวบ้าน
2. สมั ภาษณ์ผู้ทม่ี ีความร้ทู างศาสนาและพิธกี รรม
3. การสงั เกตและสัมภาษณ์เก่ียวกับพิธีกรรม
สรุป การเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือเข้าใจในการเปล่ียนแปลงของชุมชนเป็น
การศึกษาเพื่อเข้าใจความเปลี่ยนแปลง ความสืบเน่ืองของชุมชนในระบบต่าง ๆ
รวมถึงความสัมพันธ์ในชุมชน โดยการพยายามเข้าใจชุมชนอย่างรอบด้านในสภาวะ
ปัจจุบัน โดยมีจุดเน้นในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งตามท่ีตนสนใจ หรือเห็นว่ามีประโยชน์ ต่อ
งานพัฒนา และพยายามระบุปัญหาของชุมชน จากทัศนะของคนในชุมชน ที่เห็นว่า
เป็นปัญหา ประกอบกับแนวทางการศึกษาชุมชนที่ปฏิบัติ จะเริ่มหาข้อมูลที่เก่ียวกับ
ปัญหาดังกล่าว ว่าเกิดขึ้นในเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในกาลเวลาใด
และคนในชุมชนได้แกไ้ ขปัญหาหรือปรับตัวอยา่ งไรในสถานการณ์ดังกลา่ ว ซึ่งการวาง
กรอบในการเก็บรวบรวมข้อมูลของชุมชนแบบน้ีจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าใจในสภาพ
ตา่ ง ๆของชมุ ชนได้ดีข้ึน
เทคนคิ การปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 39
สรุปสาระสาคญั หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชุมชน
1. ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับชุมชน เป็นการช่วยเหลือให้ครู กศน. เข้าใจทัศนะต่างๆ
เกี่ยวกับชุมชนท่ีมีลักษณะแตกต่างกันในหลายมุมมอง ท้ังทางด้านกายภาพ สังคมวิทยา จิตวิทยา
ซ่ึงในบางครั้ง ความหมายของชุมชนไม่ได้จากัดอยู่กับความสาคัญกับอาณาบริเวณทางภูมิศาสตร์
บางคร้ังชุมชนอาจหมายถึง การรวมตัวของคนท่ีมีกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันก็เป็นไปได้ ดังน้ัน ครู
กศน. หากจะทาการศึกษาชมุ ชนให้เขา้ ใจ ควรคานงึ ถงึ ชุมชนในทศั นะทีห่ ลากหลาย เพราะกจิ กรรม
การศกึ ษานอกโรงเรยี น เปน็ กจิ กรรมท่ใี ช้ชุมชนเปน็ ฐาน
2. ความหมายของชุมชนตามทัศนะต่างๆ ครู กศน. อาจพิจารณาในหลายลักษณะ เช่น
ลักษณะทางสังคม ลักษณะของชุมชนที่มีความสนใจร่วมกัน มีวัฒนธรรมร่วมกันหรือการเป็นกลุ่ม
บคุ คลหลาย ๆ กล่มุ มารวมกัน ภายใตก้ ฎหมายขอ้ บังคับเดียวกัน
3. การศึกษาชุมชน เป็นบทบาทท่ีสาคัญของครู กศน. ที่จะค้นหา แสวงหา ข้อมูลท่ีอยู่ใน
ชุมชน นามาเป็นฐานข้อมูลเพ่ือใช้ในการตัดสินใจ หรือการวางแผนการจัดการศึกษานอกโรงเรียน
ให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน โดยการศึกษาชุมชนน้ันอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านกายภาพ
ชีวภาพ ความเป็นอยู่ของชุมชน ระบบการคิดและการทางานของชุมชน ความสัมพันธ์ดา้ นตา่ งๆ ที่
เปน็ กิจกรรมของชมุ ชน เพ่อื ประโยชน์ในการวางแผนเพ่อื พฒั นาชุมชนรว่ มกัน
4. วัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชน จะทาให้ครู กศน. สามารถกาหนดแนวทางที่จะ
ทาการศึกษาชุมชนได้ชัดเจน เพื่อนามาซ่ึงความเข้าใจ สามารถประเมินศักยภาพของชุมชนในดา้ น
ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง การกาหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนจะทาให้สามารถรวบรวม
ข้อมูลไดต้ ามประเดน็ ทต่ี อ้ งศกึ ษาตามวัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาชมุ ชนในลกั ษณะต่าง ๆ
5. เทคนคิ วธิ ีการและกระบวนการศึกษาวเิ คราะห์ชมุ ชน มเี ทคนคิ ดังน้ี
1) การสังเกต (Observation) 2) การสัมภาษณ์ (Interview)
3) การสนทนากลุ่ม (Focus group) 4) การใชข้ ้อมลู เอกสาร
5) การเข้าภาคสนาม 6) การศกึ ษาแบบผสมผสาน
เทคนิคการปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 40
แบบทดสอบหลงั เรยี น
คาแนะนา : จงอ่านคาถามต่อไปน้ี และเลอื กคาตอบท่ถี ูกทีส่ ุดเพยี งคาตอบเดยี ว
1. ชุมชนทางสังคมเกีย่ วกบั ข้อใด 6. ข้อใดเปน็ ความหมายของการศึกษาชุมชน
ก. ครอบครัว ก. การทาความรจู้ กั ชมุ ชน
ข. หมบู่ ้าน ข. ศกึ ษาชุมชนด้านตา่ งๆ
ค. ตาบล ค. การเขา้ ใจวิถชี วี ติ ชุมชน
ง. อาเภอ ง. การลงไปสู่ความเข้าใจชมุ ชน
2. ขอ้ ใดคอื ความหมายของชมุ ชน 7. วัตถปุ ระสงค์ที่สาคญั ของการสังเกต คอื
ก. กลมุ่ คนทอ่ี าศัยอยใู่ นพ้นื ทแ่ี หง่ หน่ึง ก. การรวบรวมข้อมลู
ข. คนจานวนหน่ึงมวี ัตถุประสงคร์ ว่ มกัน ข. การวเิ คราะห์ปรากฏการณ์
ค. เปน็ การรวมตัวของบุคคลเพ่ือประกอบ ค. การวิเคราะหค์ วามสมั พันธ์
กิจกรรมร่วมกัน ง. เพอ่ื เข้าใจลกั ษณะธรรมชาตขิ องส่ิงที่
ง. ถูกทกุ ข้อ ต้องการสงั เกต
3. ชมุ ชนทางองค์การทางสังคมเกีย่ วกับขอใด 8. ข้อใดเปน็ วธิ กี ารศึกษาชมุ ชน
ก. กลุ่มอาชพี ตา่ งๆ ก. การสมั ภาษณ์
ค. กลุ่มภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ ข. การสนทนากลมุ่
ข. องค์การบรหิ ารส่วนตาบล ค. การศึกษาแบบผสมผสาน
ง. ถกู ทกุ ข้อ ง. ถูกทกุ ข้อ
4. ชุมชนทางภมู ิศาสตรเ์ กย่ี วกบั ขอ้ ใด 9. ขอ้ ใดไม่ใช่บทบาทของผดู้ าเนินการสนทนา
ก. ละแวกบา้ น กลมุ่
ข. หมูบ่ า้ น ก. ดาเนินการสนทนา
ค. ตาบล ข. จดบนั ทกึ การสนทนา
ง. ถูกทุกข้อ ค. บันทกึ เสยี งการสนทนา
ง. บนั ทกึ บรรยากาศการสนทนา
5. วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาชุมชนทสี่ าคัญท่ีสุด
คอื ข้อใด 10. ข้อใดเปน็ หลักของการสัมภาษณ์
ก. การพัฒนาชมุ ชน ก. การแนะนาตวั
ข. การหาข้อเทจ็ จรงิ ข. การสรา้ งความสัมพันธท์ ี่ดี
ค. การกาหนดปัญหาชุมชน ค. ผสู้ มั ภาษณเ์ ขา้ ใจวตั ถุประสงค์
ค. การประเมนิ ศกั ยภาพชุมชน ง. ถกู ทกุ ข้อ
เทคนิคการปฏบิ ัตงิ านกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชุมชน) 41
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
คาตอบ ง ง ง ง ค ก ง ง ง ก
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น
ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
คาตอบ ก ง ง ง ก ข ง ง ก ง
เทคนิคการปฏิบัตงิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชมุ ชน) 42
คณะผู้จัดทำ
ทป่ี รึกษา ผู้อานวยการเช่ยี วชาญ สถาบนั กศน.ภาคกลาง
1. นายวราวุธ พยคั ฆพงษ์ รองผอู้ านวยการ สถาบนั กศน.ภาคกลาง
2. นางสาวณัฐภสั สร แดงมณี
คณะดาเนินงาน ครชู านาญการพิเศษ
1. นายบญุ ฤทธิ์ วิรยิ านภุ าพพงศ์ ครชู านาญการพเิ ศษ
2. นางสาวกัณฐมณี ศรีสุวรรณ์ ครูชานาญการพเิ ศษ
3. นางสาวอรณุ โรจน์ ทองงาม ครู คศ.1
4. นางสาวปิยะพร ทองสุข ครูผ้ชู ่วย
4. นางสาวญาณภทั ร รวี รรณ ครผู ู้ช่วย
5. นางสาวอญั ชษิ ฐา สขุ กาย ครผู ชู้ ว่ ย
6. นางพรปวีณ์ แสนอนิ ทร์ ครูผู้ช่วย
7. นางสาวลลดิ า ตปู้ ่ินเพชร ครูผชู้ ว่ ย
8. นางสาวกาญจนาวดี หงสท์ อง ครูผชู้ ่วย
9. นางสาวศิวพร ยศบรรดาศกั ด์ิ ครูผ้ชู ว่ ย
10.นางสาวอารญี า เทศย้ิม ครผู ชู้ ว่ ย
11.นางสาวปิยะนุช ศรนุวัตร
ผเู้ รียบเรียง ผอู้ านวยการเช่ียวชาญ สถาบัน กศน.ภาคกลาง
นายวราวธุ พยคั ฆพงษ์ ครผู ชู้ ่วย
รองผอู้ านวยการ สถาบัน กศน.ภาคกลาง
ผูพ้ ิมพ์ ครผู ูช้ ่วย
นางพรปวีณ์ แสนอนิ ทร์
ผู้พสิ จู นอ์ กั ษร
นางสาวณฐั ภัสสร แดงมณี
จดั ทารูปเลม่ /ออกแบบ
นางสาวอญั ชษิ ฐา สขุ กาย
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชมุ ชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศกึ ษาชุมชน) 43
บรรณำนกุ รม
การพัฒนาชุมชน, กรม. คู่มือการจัดเวทีประชาชน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการพัฒนาชุมชน,
2543.
กรรณิกา ชมดี. การมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ศึกษาเฉพาะ กรณี
โครงการสารภี ตาบลท่าซ้าย อาเภอวารินชาราบ จังหวัดอุบลราชธาน.ี วิทยานิพนธ์สังคม
สงเคราะห์ศาสตร์มหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2541.
เกรียงศักดิ์ เขียวยิ่ง. การบริหารทรัพยากรมนุษย์. พิมพ์คร้ังที่ 2. ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา,
2543.
จันทรานี สงวนนาม. “การพัฒนาองค์กร” ใน เอกสารประกอบการเรียนการสอนหลักสูตร
การศกึ ษามหาบณั ฑิต. หนา้ 8. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2544.
จิตติ มงคลชัยอรัญญา. การศึกษาชุมชนเพ่ือการพัฒนา. เอกสารประกอบการเรียนการสอนภาค
วิชาการพฒั นาชุมชน คณะสงั คมสงเคราะห์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ. 2540.
ฉลาดชาย รมติ านนท.์ ป่าไม้สังคมกบั การพฒั นาชนบท. ม.ป.ป.
ฉัตรทิพย์ นาถสุภาพ. ประวัตศิ าสตร์วัฒนธรรมและชนชาตไิ ทย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , 2540.
เดวิท แมทิวส์. ปัจเจกสู่สาธารณะกระบวนการเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง. โดยฐิราวุฒิ เสนาคา.
กรงุ เทพฯ : สถาบนั ชุมชนทอ้ งถิน่ พฒั นา, 2540.
ธนพรรณ ธานี. การศึกษาชุมชน. ขอนแก่น : ภาควิชาพัฒนาสังคม คณะมนุษย์ศาสตร์และ
สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , 2540.
ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์. กระบวนการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง. ขอนแก่น : โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา,
2543.
นเรศ สงเคราะห์สุข. จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ. สานักงานโครงการพัฒนาท่ีสูง ไทย-เยอรมัน :
เชียงใหม,่ 2541.
บริหารการปกครองท้องท่ี, สานัก. คู่มือการฝึกอบรมคณะกรรมการหมู่บ้าน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
อาสารักษาดนิ แดน, 2546.
บริหารการศึกษานอกโรงเรียน, สานัก. คู่มือดาเนินงานการจัดการศึกษานอกโรงเรียนเพ่ือสร้าง
ชมุ ชนเขม้ แขง็ เศรษฐกิจพอเพยี งพ้นความยากจน. กรงุ เทพฯ : รังษกี ารพมิ พ์, 2548.
เทคนคิ การปฏิบตั งิ านกบั ชุมชน สาหรบั ครู กศน. (หนว่ ยที่ 1 การศึกษาชมุ ชน) 44
ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. กระบวนการและเทคนิคการทางานของนักพัฒนา. กรุงเทพฯ :
อุษาการพิมพ,์ 2548.
ประภาส ปิ่นตกแต่ง. การเมืองบนท้องถนน 99 วันสมัชชาคนจนและประวัติศาสตร์การเดินขบวน
ชุมชนประทว้ งในสงั คมไทย. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพต์ ้นตารับ, 2541.
ประเวศ วะสี. ปฏิรูปการศึกษาไทยยกเครื่องทางปัญญาข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์และมาตรการ.
กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทสรา้ งสือ่ , 2539.
__________. ศักด์ิศรีแห่งความเป็นคน ศักยภาพแห่งความสร้างสรรค์. พิมพ์คร้ังท่ี 4. กรุงเทพฯ :
สานักพิมพห์ มอชาวบาน, 2540.
__________. “แนวคิดเกี่ยวกับระบบพัฒนาการเรียนรู้” ใน สานปฏิรูป 2 : 31-33 ; มีนาคม,
2542.
พรพิไล เลิศวิชา. คีรีวงจากไพร่หนีนายถึงธนาคารแห่งขุนเขา. กรุงเทพฯ : เจริญวิทย์การพิมพ์,
2541.
พั ช รี สิ โ ร ร ส . คู่ มื อ ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ป ร ะ ช า ช น . ก รุ ง เ ท พ ฯ : ค ณ ะ รั ฐ ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549.
พัฒน์ บุณยรัตพันธุ์. การสร้างพลังชุมชนโดยขบวนการพัฒนาชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
บริษัทเลฟิ และลฟิ เพรช จากดั , 2549.
พฒั นา สุขประเสริฐ. กลยทุ ธใ์ นการฝกึ อบรม. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, 2540.
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). การศึกษากับการวิจัยเพ่ืออนาคตของประเทศไทย. กรุงเทพฯ :
บรษิ ัทธรรมสาร จากดั , 2541.
___________. นิตศิ าสตร์แนวพุทธ. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพบ์ รษิ ัทสหธรรมกิ จากดั , 2539.
มงคล พนมมติ ร และ ชาติชาย รตั นคีรี. “การวจิ ยั ชุมชน” ใน เอกสารประกอบโครงการพฒั นาที่สูง
ไทย-เยอรมนั . เชียงใหม่ : สานกั งาน ปปส. ภาคเหนอื , 2540.
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. การบริหารทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรการศึกษา. มหาสารคาม :
อภชิ าตการพิมพ์, 2540.
มาลี พฤกษ์พงศาวลี. รายงานการวิจัยประกอบการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ......
ประเด็นบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนกับการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักคณะกรรมการ
ศกึ ษาแห่งขาติ, 2541.
วิจิตร อาวะกุล. การฝึกอบรม. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2540.
เทคนคิ การปฏบิ ตั ิงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หนว่ ยท่ี 1 การศึกษาชุมชน) 45
ศักด์ิชัย นิรัญทวี. รายวานการวิจัยประกอบการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ....
ประเด็นปรัชญาการศึกษา. กรุงเทพฯ. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,
2541.
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการเรียนรู้ท่ีทาให้งานชุมชนง่ายได้ผล
และสนุก. นนทบรุ ี : บริษัทดไี ซร์ จากัด, 2545.
สมชาย หริ ญั กติ .ิ การบริหารทรัพยากรมนษุ ย์. กรงุ เทพฯ : ธีระฟิลมแ์ ละไซเทกส์, 2542.
สมพันธ์ เตชะอธิก. NGOs อีสาน : ทางเลือกแห่งพลังการเปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ : บริษัทพิมพ์ดี
จากัด, 2540.
สชุ าติ ประสทิ ธ์ิรัฐสนิ ธ์ุ. การประเมินผลโครงการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์เล่ียง
เชีย่ ง, 2540.
สุภางค์ จันทวานิช. “วิธีการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ” ใน คู่มือการวิจัยเชิงคุณภาพเพ่ือ
งานพัฒนา. 82-90 ; อุทัย ดุลยเกษม บรรณาธิการ. ขอนแก่น : สถาบันวิจัยและพัฒนา
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , 2536.
สุมณฑา พรหมบุญ และคณะ. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โอเดียนสแควร์,
2541.
สานักมาตรฐานการศึกษา สานักงานสถาบันราชภัฎ และสานักงานมาตรฐานอุดมศึกษา. ชุด
วชิ าการวจิ ัยชมุ ชน. กรงุ เทพฯ : บริษทั เอส.อาร.์ พรนิ้ ต้งิ แมสดโปรดักด์ จากดั , 2545.
อนชุ าติ พวงสาลี และวรี บรู ณ์ วสิ ารทสกลุ . ประชาสังคมคาความคดิ และความหมาย. พมิ พ์คร้งั ท่ี 2.
กรุงเทพฯ : สถาบนั ชุมชนทอ้ งถ่นิ พัฒนา, 2541.
อริยา เศวตามร์. “นักพัฒนากับบทบาทในการสร้างความหมายใหม่ของชุมชน” ในเศรษฐศาสตร์
การเมือง เอ็น จี โอ 2000. หน้า 191-199 ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐบรรณาธิการ. ศูนย์
เศรษฐศาสตรก์ ารเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2542.
Brownell, Baker. The Human Community : Its Philosphy snd Practice for a time of
crisis. New York : Harper & Row, 1950.
Cohen, J. and N.T. Uphoff.R8ural Development partipation.Ithaca : Cornell
University, 1977.
____________ N.T. Uphoff “ Participation’s Place in Rural Development : seeking
Clarify Through Specificity” World Development 8. Pp.213-218 ; March, 1980.
เทคนคิ การปฏิบัติงานกบั ชุมชน สาหรับครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศึกษาชุมชน) 46
Department of International Economic and social Affairs, United Nations. Popula
Participation as a strategy for Promoting community-Level Action and
National Development. Report of the meeting of the ad hoc Group of
Experts, held and the UN Headquarters from 22-26 May 1973. New York :
United Nations. 1981.
Feuestein, Marie-Therese. “ Participatory Evaluation : Primary Health Care in Patna,
India,” Knowledge Shared Participatory Evaluation in Development
cooperation. 95-107; August, 1995.
Ho,H Strategies and Measures to Secure People. Participation in Development at the
Grassroots Level. Professional Paper of ICSW , Western Pacific Regional
Comference, 1983.
Jackson, Edward T. and Kassom. Indicators of Chang : Resutts-Bassed Management
and Participatory Evaluation. Knowledge Shared Participatory Evaluation in
Development Cooperation. 1997.
Lee. J. Cary Editor. Community Development As a Process. Columbia : University of
Missouri Press, 1970.
Mark s. Homan. Promotiing Community Chang. Books/Cole Publishing Company
Pacitic Gove California : USA, 1994.
Narayan, Deepa. : Participatory Evaluation Talls for Managing Chang in Water and
Sanitation. The World Bank : D.C., 1993.
Olsen, Marvin E. The Process of Social Organization. New York : Holt, Rine Hart and
Winston, 1968.
Oxford University, Oxford Advanced Learner’s Dictionary. Forth Edition, Oxford,
Oxford University press, First Edition for Thailand, 1994.
Pat Taylor. Evalustion in the Voluntary Sector. Community Development Journal 24
: 25-26. October, 1989.
Partricia Lundy. “ Community participation in Jamaican Conservation Projects,”
Community Development Journal. Pp.122-132, 1999.
เทคนคิ การปฏบิ ัติงานกบั ชมุ ชน สาหรบั ครู กศน. (หน่วยที่ 1 การศกึ ษาชุมชน) 47
Peter Oakley and David Marsden. Approaches to Participation in Rural Development.
International Labor Organization, Geneva Seitzerland, 1984.
Poplin, Dennis, E. Communities : A Survey of Theories and Methods of Research.
New York : Macnillian, 1972.
Rudolpho Stavenhagen. “ Marginality Participation and Agrarian Structure in Latin
American,” International Institutes of Labor Bulletin. June : 1970.
Sabders. The Community : And Introduction to a Social System. New York : The
Ronald Press, 1958.
Stufflebean, D.L.& Shinkfield, A.J. Systematic Evaluation.
Boston/Dordrecht/Lancaster : Kluwer-Nijhoff Plublishing, 1990.
Werthiem, W.F. “ The Urgency Factor and Democracy : a theatrical contribution to
Unrest” debate on partipation. Geneva : UNRISD, 1981.
WHO/UNICEF, Report of the International Conference on Primary Healty Care. New
York : N.P. Press, 1978.
Wonthen, B.R. & Sanders, J.R. Educational Evaluation : Theory and Practice. Ohio :
Wadworth Plublishing Company, Inc. 1987.