จัดทำ โดย พุพุพุพุ ท พุ ท พุ ทธธธสสสาาาวววกกก พุพุพุพุ ท พุ ท พุ ทธธธสสสาาาวิวิวิ วิกวิกวิกาาา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/2 เสนอ คุณครูฐาปณีวงศ์สวัสดิ์ โรงเรียนเมืองสุราษฎร์ธานี
จัด จั ทำ โดย คำนำ หนังสือเล่มนี้เป็นส่(ส33101) ชั้นมัธยมศึก6/2 จากเรื่องพุทธสาวกพุทเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์ผู้จัดทำ หวังว่าหนังและผู้ศึกษาค้นคว้าในด้ประการใดผู้จัดทำ ขอน้ผู้จัดทำ นักเรียนชั้นมัธยมศึก6/2
จัด จั ทำ โดย สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ สารบัญ พระอัสสชิ พระอานนท์ พระอนุรุทธเกระ พระองคุลิมาล พระกีสาโคตมีเถรี พระธัมมทินาเถรี -.ก ข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24
ประสูติ ณ เมืองกบิลพัสดุ์ (ในตระกูล พราหมณ์) อุปติสสปริพริาชกเดินทางมาจากสำ นักของสัญชัยปริยริาชกได้พบท่าน ระหว่าว่งทางจึงเกิดความเลื่อลื่มใสใน จริยริาวัตวัรของท่าน จึงขอให้ท่าน แสดงธรรมให้ฟัง ท่านดำ รงอายุสังขารพอสมควรแก่ กาลแล้วก็ดับขันธปรินิริ นิพพาน พพรระะอัอั อัสอัสสสชิชิชิชิ พระองค์ไม่สามารถบรรลุธรรมพิเศษได้ จึงทราบว่าว่มิใช่หนทางแห่งการตรัสรัรู้จึรู้ จึง ทรงยกเลิกการบำ เพ็ญทุกกรกิริยริานั้นนั้ ออกบวช และได้ฟังพระธรรมเทศนา อานัตตลักขณสูตร จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระอัสสชิพร้อร้มกับพราหมณ์อีก ๔ คน ซึ่งซึ่มีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า พากันออกบวชเป็นฤาษี ปัญจวัคีวั คีย์ทั้งทั้๕ คน เข้าใจว่าว่พระองค์ ทรงหมดความเพียร เปลี่ยลี่นมาเป็น คนมักมากในกามจึงคิดว่าว่พระองค์ คงจะไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษอันใดอัน หนึ่งนึ่แน่นอนจึงพร้อร้มกันทิ้งทิ้พระองค์ ไปอยู่ที่ป่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันวั แขวงเมืองพราณสี พระองค์ทรงบำ เพียรทางใจได้ ตรัสรัรู้เรู้ป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า จึง เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันวั และแสดงปฐมเทศนาชื่อชื่ว่าว่ ธัมมจักกัปปวัตวัรสูตร พระบรมศาสดาทรงส่ง สาวกออกไปประกาศพระ ศาสนา อุปติสสปริพริาชก ได้ฟังเช่นรั้นรั้จึงได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ชักนำ ไปเฝ้าพระบรมศาสดา และต่อมาอุปติสสปริพริาชกได้บรรพชา มีนามว่าว่ “พระสารีบุรีบุตร”
เมื่อพระพุทธเจ้าประทับที่กรุงกบิลพัสดุ์นาน พอแล้ว ท่านได้เดินทางไปที่อื่นต่อศากยกุมารทั้ง 6 รวมทั้งพระอานนท์ และอุบาลี ผู้เป็น ภูษามาลา ได้ตามไปขออุปสมบทด้วย และเข้า เฝ้าพระองค์ที่อนุปิยอัมพวันวัเขตอนุปิยนิคม แคว้นว้มัลละ พระพุทธเจ้าเลยให้อุบาลี ที่เป็น ภูษามาลาบวชก่อน แล้วให้คนที่เหลือบวชต่อไป พระอานนท์กราบทูลขอพร 8 ประการ เมื่อได้ รับพร 8 ประการแล้ว พระอานนท์ถึงจะรับตำ แหน่งพุทธุปัฏฐาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามถึงโทษของพร 8 ข้อนี้ พระอานนท์กล่าวว่าว่ข้อ 1-4 เพื่อแสดงว่าว่ที่รับ หน้าที่นี้ไม่ได้หวังวัลาภสักการะ ข้อ 5-7 เพื่อไม่ให้ใครมาว่าว่พระพุทธเจ้าว่าว่แม้ พระอานนท์จะเป็นพุทธอุปัฏฐากก็ไม่ทรง อนุเคราะห์แม้กิจเพียงเท่านี้ ข้อ 8 เพื่อไม่ให้มีใครกล่าวว่าว่เป็นพุทธอุปัฏฐาก แต่ไม่ทราบว่าว่พระพุทธองค์แสดงธรรมเรื่อรื่งใด และแสดงที่ไหน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินริพพานแล้ว พระอานนท์มีส่วนสำ คัญในการทำ สังคายนา โดยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วม สังคายนาในส่วนพระสุตตันตปิฎก พระอานนท์ พระอานนท์เป็นเจ้าชายของศกยวงศ์ เป็นบุตร ของพระเจ้าสุกโกทนะ เป็นน้องชายของพระเจ้า สุทโธทนมหาราช มารดาชื่อว่าว่นางกีสาโคตมี ซึ่ง ถือว่าว่เป็นน้องชายของเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็น 1 ในสหชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้ไปหาญาติที่ กรุงกบิลพัสดุ์ ในครั้งนั้นบรรดาญาติได้เลื่อมใส และออกบวชตามพระพุทธเจ้าไป ยังเหลือแต่ ศากยกุมารบางพระองค์ 1 ในนั้นคือเจ้าชาย อานนท์ พระอานนท์ได้บวชแล้ว และได้ศึกษาธรรมจาก สำ นักของท่านพระปัณณมันตานีบุตร ไม่นานก็ สำ เร็จโสดาปัตติผล พระอานนท์ได้บวชแล้ว และได้ศึกษาธรรมจาก สำ นักของท่านพระปัณณมันตานีบุตร ไม่นานก็ สำ เร็จโสดาปัตติผล
พร ะ อนุรุทธ เถร ะ พระอนุรุทธเถระ เป็นพระ ประยูรญาติของพระพุทธเจ้า โดย ท่านเป็นพระราชโอรสของพระ เจ้าอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาของ พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นพระราช บิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชาย อนุรุทธะมีพระภาดาพระภคินีร่วม มารดาเดียวกันอีก 2 พระองค์คือ พระเชษฐาพระนามว่ามหานามะ และพระกนิษฐภคินีพระนามว่า โรหิณี พระอนุรุทธเถระ หรือ พระอนุรุ ทธเถรศากยะ เป็นพระภิกษุสาวก เอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่อง ในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำ คัญ ในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระอนุรุทธเถระ เป็นพระประยูร ญาติของพระพุทธเจ้า โดยท่านเป็น พระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธ ทนะ ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชาย สิทธัตถะ เมื่อพระอนุรุทธะออกบวชแล้ว ได้ไปเรียน กัมมัฏฐานกับพระสารีบุตร แล้วเข้าไปปฏิบัติ พระกรรมฐานในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ได้ตรึก ถึงมหาปุริสวิตก 7 ประการ ว่าเป็นธรรมะของผู้ ปรารถนาน้อย ยินดีด้วยสันโดษ ไม่ใช่ธรรมของผู้ มักมาก เป็นอาทิ พระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงทรง ทราบความนั้นจึงตรัสแสดงมหาปุริสวิตกข้อที่ 8 ว่า เป็นธรรมของผู้ไม่เนิ่นช้า พระอนุรุทธะเจริญ สมณธรรมต่อไปก็ได้บรรลุอรหันต์ เมื่อท่านบรรลุสมณธรรมแล้ว ท่านชอบตรวจดู สัตวโลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ ยกเว้นแต่เวลาฉัน ภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงยกย่อง ท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน ผู้มีทิพยจักษุญาณ พระอนุรุทธเถระ ดำ รงชนมายุมาถึงหลัง พุทธปรินิพพาน ในวันที่พระบรมศาสดา นิพพานนั้น ท่านก็ร่วมอยู่เฝ้าแวดล้อม ณ สาลวโนทยานนั้นด้วย และท่านยังได้ร่วม ทำ กิจพระ ศาสนาครั้งสำ คัญ ในการทำ ปฐมสังคายนากัลป์คณะสงฆ์โดยมีพระมหา กัสสปเถระเป็นประธาน พระอุบาลีเถระ วิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระ วิสัชนาพระสูตร ท่านพระอนุรุทธเถระ ดำ รงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลา แล้วก็ดับขันธ์ เข้าสู่ นิพพาน ณ ภายใต้ ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
• องคุลิมาล หรือ พระองคุลิมาลเถระ เป็นบุคคล สำ คัญในยุคต้นแห่งพุทธศาสนา โดยเฉพาะตามพุทธ ประวัติพุทธฝ่ายเถรวาท เดิมนั้นเป็นโจรปล้นฆ่าคน แต่ ภายหลังมีศรัทธาในพุทธศาสนา ได้กลับใจบวชเป็นพระ ภิกษุ และบรรลุเป็นพระอรหันต์ • อีกทั้งมียังบทสวดของท่านอีกด้วย ชื่อ อังคุลิมาล ปริตร คำ ว่า องคุลิมาล นั้นมาจากภาษาบาลี องฺคุลิ มาล, จาก องฺคุลิ (นิ้วมือ) + มาล (มาลัย สร้อย คอ สาย แถว) แปลว่า ผู้มีนิ้วมือเป็นมาลัย • ชื่อเดิม อหิงสกะ • ชื่ออื่น อหิงสกะ, พระองคุลิมาล, อหิงสกะกุมาร, องคุลิ มาลโจร, โจรองคุลิมาล • สถานที่เกิด เมืองสาวัตถี • สถานที่บวช ป่าองคุลิมาล • วิธีบวช เอหิภิกขุอุปสัมปทา • สถานที่บรรลุธรรม ป่าองคุลิมาล • อาจารย์ อาจารย์ในเมืองตักสิลา • องคุลีมาล (ขวา) ไล่ตามพระพุทธเจ้าหมายจะตัดนิ้วของ พระองค์เป็นนิ้วที่ 1,000 ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะโปรดให้กลับใจบวชเป็นพระภิกษุ • สถานที่รำ ลึก ซากบ้านมารดาองคุลิมาล ภายในเมืองสาวัตถี และป่าองคุลีมาล สถานที่หลบซ่อนตัว บวช และ บรรลุธรรมของท่าน • เเต่เดิมนั้นองคุลิมาลชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิตใน ราชสำ นักของ พระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี บิดามีนามว่า "คัคคะ" มารดามีนามว่า นางมันตานี อหิงสกะได้ไปเรียนวิชาที่ เมืองตักกลิลา และสามารถเรียนได้รวดเร็วอีกทั้งยังปรนนิบัติ อาจารย์อย่างดี จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์อย่างมาก • เป็นเหตุให้ศิษย์อื่นริษยา จึงยุยงอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะ ทำ ร้าย อาจารย์จึงคิดจะกำ จัดองคุลิมาลเสีย โดยบอกกองคุ ลิมาลว่า ถ้าจะสำ เร็จวิชาต้องฆ่าคนให้ได้ 1,000 คนเสียก่อน องคุลิมาลจึงออกเดินทางฆ่าคน แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมา คล้องที่คอเพื่อให้จำ ได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะ จึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล เมื่อฆ่าจนครบ 999 คน ก็ มาพบพระพุทธเจ้า และได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาออกบวช เป็นพุทธสาวก พระองคุลิม ลิ าล
วันหนึ่งนางเดินไปตลาดพกพ่อค้า คนหนึ่งนำ ทองมาซึ่งกลายสภาพเป็น ถ่านมากองไว้ ต่อมาทองนั้นนั้กลายเป็นถ่านเศษรฐีบอกให้ นางกีสาหยิบ เมื่อกีสาหยิบถ่านก็กลายเป็นทอง จริงๆเศรษฐีจึงให้กีสาเอามือสัมผัส กองถ่านทั้งทั้หมด นางเสียใจมากสติฟัดเฟือนไม่นอมเผ่า ศพลูกเพราะคิดว่าลูกของตนเองยังไม่ ตายนางจึงเดินไปเรื่อยๆหายามารักษา ให้ลูกของตนฟื้น จนกีสามาพบชายคนหนึ่ง กีสาได้ รับคำ แนะนำ จึงรีบอุ้มศพลูกชาย เข้าไปเฝ้าเพื่อขอยารักษา พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้กีสาเอาเมล็ดผัก กาดมาหนึ่งกำ มือจะทรงทำ ยาให้ โดยได้ตรัสว่าผักกาดนั้นนั้จะ ต้องเอาจากบ้านเรือนที่ไม่มี ใครตายจึงจะทำ ได้ กีสาอุ้มศพลูกชายไปขอเมล็ดผักกาด จากชาวบ้านแต่ก็ไม่สามารถหาได้ เพราะบ้านที่มีคนตายนั้นนั้ ไม่มี นางเดินเข่าอ่อนก็นังไม่ได้ เมล็ดผักกาดแม้แต่เมล็ดเดียว นางจึงคิดได้ว่า ในโลกนี้ไนี้ม่มี บ้านไหนไม่มีคนตายความ ตายไม่ใช่เฉพาะลูกเรา เมื่อกีสาคิดได้แสงสว่างเห็นปัญหาถึง เกิดพระพุทธองค์ พระองค์จึงแสดง พระธรรมเทศนาจนนางได้บรรลุสู่ โสดาบันและกราบทูลขออุปสมบทเป็น ภิกษุณี ได้นามว่า พระกีสาโคตมีเถรี เศรษฐีไปสู่ขอให้แต่งงานกับบุตรชาย ของตนต่อมากีสามีลูกชายหนึ่งและ เสียชีวิตกะทันหัน พพรระะกีกี กีสกีสาาโโคคตตมีมี มีเมีเถถรีรี รีรี
พระธรรมทินนาเถรีเกิดในตระกูลกูเศรษฐี ในเมือมืงราชคฤห์ เมื่อมื่ เจริญวัยแล้ว ได้เป็น ป็ ภริยาของวิสาขเศรษฐี ผู้ซึ่ผู้ซึ่งซึ่เป็น ป็ พระสหายของ พระเจ้าพิมพิพิสพิาร แห่งห่พระนครราชคฤห์นั้ห์ นั้นั้ ถูกถูสามีตัมี ตัดเยื่อยื่ ใยจึงออกบวช วิสาขเศรษฐี ได้ไปเฝ้าฝ้พระผู้มีผู้ พมีระภาค ครั้งรั้แรก โดยการชักชัชวนของ พระเจ้าพิมพิพิสพิาร และได้ร่วร่มฟังฟัพระธรรมเทศนาด้วยกัน เมื่อมื่จบพระ ธรรมเทศนาลงแล้ว วิสาขเศรษฐีไฐีด้บรรลุ โสดาปัตปัติผล ต่อมาภายหลัง ได้ไปฟังฟัธรรมจากพระพุทพุธองค์อีก และได้บรรลุเลุป็น ป็ พระอนาคามี เมื่อมื่กลับจากวัดมายังยับ้าบ้น โดยปกติทุกทุ ๆ ครั้งรั้นางธรรมทินนา จะยืนยืคอยท่าอยู่ที่ยู่ที่เชิงชิบันบั ได เมื่อมื่วิสาขเศรษฐีมฐีาถึง ก็ยื่นยื่มือมื ให้เห้กาะกุมกุแล้ว ขึ้นขึ้บันบั ไดไปด้วยกัน แม้วัม้ วันนั้นนั้นางธรรมทินนาก็ยังยัปฏิบัติบั ติเช่นช่เดิม แต่ฝ่าฝ่ยวิสาขเศรษฐีผู้ฐีสผู้ ามี ไม่เม่กาะมือมืและไม่แม่สดงอาการยิ้มยิ้แย้มย้ดังเช่นช่ เคยทำ มา แม้แม้ต่เวลาบริโภคอาหาร ซึ่งซึ่นางคอยนั่งนั่ปฏิบัติบั ติอยู่ ท่านเศรษฐีก็ฐีก็ไม่ยม่อมพูดพูจาอะไรทั้งสิ้นสิ้ทำ ให้นห้างคิดหวั่นวิตกว่า “ตนคงจะทำ ผิดผิต่อสามี”มีครั้นวิสาขเศรษฐีผู้ฐีสผู้ ามี บริโภคอาหารเสร็จ ร็ แล้วนางจึงถามว่า:- “ข้าข้แต่นาย ดิฉันฉัทำ สิ่งสิ่ใดผิดผิหรือ วันนี้ท่นี้ ท่านจึงไม่จัม่ จับมือมืและพูดพูจาอะไรเลย ?” ท่านเศรษฐีกฐีล่าวตอบว่า:- “ธรรมทินนา เธอไม่มีม่คมีวามผิดผิอะไรหรอก แต่นับนัตั้งแต่วันนี้ เราไม่คม่วรนั่งนั่ไม่คม่วรยืนยื ในที่ใกล้เธอ ไม่คม่วรถูกถูต้องสัมสัผัสผัเธอ และไม่คม่วรให้เห้ธอนำ อาหารมาให้ แล้วนั่งนั่เคี้ยวกินในที่ใกล้ ๆ เธอ ต่อแต่นี้ไนี้ป ถ้าเธอประสงค์จะอยู่ที่ยู่ที่เรือรืนนี้ ก็จงอยู่ต่ยู่ ต่อไปเถิด แต่ถ้าไม่ปม่ระสงค์จะอยู่ ก็จงรวบ รวม เอาทรัพย์สย์มบัติบั ติามความต้องการแล้วกลับไปอยู่ที่ยู่ที่ตระกูลกูของเธอเถิด” นางธรรมทินนา จึงกล่าวว่า “ข้าข้แต่นาย ดิฉันฉั ไม่ขม่อรับรัเอาขยะหยากเยื่อยื่อันเปรียรีบ เสมือมืนน้ำ ลาย ที่ท่านถ่มทิ้งแล้วมาโดนบนศีรศีษะหรอก เมื่อมื่ เป็น ป็ เช่นช่นี้ ขอท่านได้โปรดอนุญนุาตให้ ดิฉันฉับวชเถิด”วิสาขเศรษฐี ได้ฟังฟัคำ ของนางแล้วก็ดีใจ ได้กราบทูลทูพระเจ้าพิมพิพิสพิาร ขอพระราชทาน วอ ทอง นำ นางธรรมทินนา ไปยังยัสำ นักนัของนางภิกษุณี เพื่อพื่ขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อมื่นางธรรมทินนา ได้บรรพชาอุปสมบท สมดังความปรารถนาแล้ว อยู่ใยู่นสำ นักนัของ อุปัชปัฌาย์ (ภิกษุณีสณีงฆ์)ฆ์เพียพีง ๒-๓ วัน ก็ลาไปจำ พรรษา อยู่ใยู่นอาวาส ใกล้หมู่บ้มู่าบ้นแห่งห่หนึ่งนึ่บำ เพ็ญ พ็ เพียพีรเจริญริวิปัสปัสนากรรมฐาน ไม่นม่านนักนัก็ได้บรรลุพลุระอรหัตหัผล พร้อร้มด้วยปฏิสัมสัภิทาทั้งหลาย พระเถรีถูกถูอดีตสามีลมีองภูมิภูต่มิ ต่อมาพระนางธรรมทินนาเถรี คิดว่า “กิจของเราบรรลุถึลุถึงความสิ้นสิ้สุดสุแล้ว เราควรกลับ ไปกรุงราชคฤห์ เพื่อพื่หมู่ ญาติได้อาศัยศัเรา แล้วทำ บุญกุศกุลให้กัห้ กับตนเอง” วิสาขอุบาสก ทราบว่านางกลับมา จึงไปหานางยังยัที่พักพัมีคมีวามประสงค์ที่จะทราบว่า นาง ได้บรรลุคุลุณคุธรรมวิเศษอย่าย่งใด หรือรื ไม่ แต่มิกมิล้า ถามตรง ๆ จึงเลี่ยงถามปัญปัหา ว่าด้วยเรื่อรื่ง เบญจขันขัธ์ พระนางธรรมทินนาเถรี ก็วิสัชสันาอย่าย่งคล่องแคล่ว ชัดชัเจนทุกทุประเด็นปัญปัหา วิสาข อุบาสกก็ทราบว่า พระนางธรรมทินนาเถรี มีฌมีานแก่กล้า จึงถามปัญปัหาในลำ ดับของ พระอนาคามี ที่ตนได้บรรลุแลุล้ว เมื่อมื่พระเถรีวิรีวิสัชสันาได้อีก จึงก้าวล้ำ ถามปัญปัหาในวิสัยสัพระอรหัตหัมรรค พระเถรีทราบว่า อุบาสกมีวิมีวิสัยสัเพียพีงอนาคามีนั้มีนั้นั้แต่ถามปัญปัหาเกินวิสัยสัของตน จึงกล่าว เตือนว่า:- “วิสาขะ ท่านยังยัไม่อม่าจกำ หนดที่สุดสุแห่งห่ ปัญปัหาได้ ถ้าท่านยังยัหวัง ที่จะก้าวหยั่งยั่ลงสู่ ประตูพตูระนิพนิพานแล้ว ขอท่านจงไปเฝ้าฝ้พระผู้มีผู้ พมีระภาค แล้วกราบทูลทูถามข้อข้ความนั้นนั้เถิด เมื่อมื่พระพุทพุธองค์ทรงพยากรณ์อณ์ย่าย่งไร ก็จงจำ ไว้อย่าย่งนั้นนั้ ” วิสาขอุบาสก ทำ ตามคำ แนะนำ ของพระเถรี ไปเฝ้าฝ้พระบรมศาสดาแล้วกราบทูลทูเนื้อนื้ความตามนัยนัแห่งห่ ปุจฉา และวิสัชสันาถวายให้ทห้รงสดับทุกทุ ประการ
พระปฏาจารา เถรี • พระปฏาจาราเถรี พระนางปฏาจา ราเถรีนั้ รี นั้ น เป็นธิด ธิ าของเศรษฐีผู้ ฐี มี ผู้ มี สมบัติ ๔๐ โกฎิ ในกรุงสาวัตถี มีรูป ร่า ร่ งสวยงาม ในเวลานางมีอายุ ๑๖ ปี มารดาบิดาเพื่อจะรัก รั ษาไม่ให้เกิดข้อ ครหานินทา จึงให้นางอยู่บ ยู่ นชั้น ชั้ บน ปราสาท ๗ ชั้น ชั้ • เเต่นต่างเเอบรักรักับกัชาย ซึ่งซึ่เป็นคนรับรั ใช้ใช้นบ้าบ้น เเละพากันกัหนี นางปฏาจาราเถรีตั้ รี งตั้ครรภ์บุ ภ์ ต บุ รคน ที่ 2 จึง จึ ขอร้อร้งให้สามีพ มี าไปคลอดบุต บุ รที่บ้ที่าบ้นเกิดกิ เเต่ถูต่ก ถู ปฏิเฏิสธ นางจึง จึ หนีเเต่ดัต่นดัเกิดกิอาการเจ็บ จ็ ท้อท้งจวนจะคลอด ขณะนั้นฝนตกหนัก นางจึง จึให้ สามีตั มี ดตักิ่งกิ่ไม้มม้าบังบั สามีโมี ดนงูพิ งูพิษกัดกัจนตาย นาง จึง จึ พาลูก ลู ทั้งทั้2 กลับลับ้าบ้นเกิดกิคนที่ 2โดนเหยี่ย ยี่ ว จับจั ไป คนเเรกหายไปกับกักระแสน้ำ • เมื่อนางกลับไปหา บิดา มารดาก็ทราบข่าวว่าเรือ รื น ถูกพัดพังไปเเล้ว เนื่องจากฝนตกหนัก ทำ ให้นางเสียสติจนหลง เข้าไปในพระเชตวันวิหาร ในขณะที่พ ที่ ระพุทธเจ้ากำ ลังเเสดงธรรมอยู่ • พระพุทธเจ้าตรัสรั เเสดง ธรรมเเก่นาง เรื่อ รื่ งการ เวียนว่ายตายเกิด เมื่อนาง ฟังก็บรรลุโ ลุ สดาบัน ได้ บำ เพ็ญเพียรจนเป็นพระ อรหันต์ • ได้รั ด้ บ รั การเเต่ง ต่ ตั้ง ตั้ จาก พระพุท พุ ธเจ้า จ้ ให้เป็น เเอตทัค ทั คะในทางจำ วินั วิ นั ย
เพราะไม่ได้ตั้งตั้ใจให้เกิด เมื่อมื่เกิดมาแล้ว แถมเป็นชาย นางโสเภณีจึงไม่สามารถ เลี้ยลี้งไว้ใว้นนั้นนั้ได้ จึงนำ เอาไปทิ้งทิ้ที่หที่น้ส ประตูวังวัเช้าตรู่วัรู่นวันั้นนั้เจ้าฟ้าอภัยพระ โอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปพบ เข้า จึงนำ ไปเลี้ยลี้งเป็นบุตรบุญธรรมตั้งตั้ ชื่อชื่ให้ว่าว่ชีวกโกมารภัจจ์ แปลว่าว่เด็กผู้ ยังมีชีวิตวิรอดมาได้ หมอชีวกได้ถวายการรักรัษา พระพุทธเจ้าอีกครั้งรั้หนึ่งนึ่เมื่อมื่ พระพุทธองค์ถูกพระเทวทัตลอบ ทำ ร้าร้ย กลิ้งลิ้หินบนยอดเขาคิชฌกูฎ หมายจะให้ทับพระองค์ให้สิ้นสิ้พระชนม์ แต่ก็เพียงทำ ให้พระบาทของพระพุทธ องค์มีพระโลหิตห้อเท่านั้นนั้หมอชีวก ได้ จากนั้นนั้ชื่อชื่เสียงของหมอชีวกก็แพร่ไร่ ปทั่วทั่ เมืองอุชเชนีซึ่งซึ่อยู่ห่างไกล พระเจ้าจัณฑ ปัชโชต ประชวรด้วย โรคปวดพระเศียร ข้างเดียวมาเป็นเวลานาน จึงส่งราชฑูตมา ขอจากพระเจ้าพิมพิสารให้ไปรักรัษาหมอชี วกถวายการรักรัษาจนหายแต่เกือบถูก ประหารชีวิตวิเพราะพระองค์ไม่ชอบเนยใส ถึงกับสั่งสั่คนตามล่าหาว่าว่หมอชีวกแกล้ง แต่หมอชีวกก็เอาชีวิตวิรอดกลับมาได้ หมอชีวกเป็นบุตรนางนครโสเภณีผู้ทรง เกียรติแห่งเมืองราชคฤห์ โดยพระเจ้าแผ่น ดินทรงแต่งตั้งตั้มีเงินเดือนและค่าตัว สำ หรับรัผู้ร่วร่มอภิรมย์อีกคนละ ๑00 กหาปณะ(ประมาณ ๔ooบาท) - บ้างว่าว่ เป็น โอรสลับของพระเจ้าพิมพิสาร ชีวกเป็นคนฉลาด เมื่อมื่ถูกเด็ก ๆ ในวังวั ด่าเสียดสีว่าว่เป็นลูกไม่มีพ่อ จึงมีมานะ จะเอาชนะ ด้วยการหาความรู้ใรู้ส่ตัว เพื่อพื่ ไม่ให้ใครดูถูก จึงหนีไปกับกอง คาราวานถึงยังเมืองตักศิลา ฝากตัว เป็นศิษย์เรียรีนวิชวิาแพทย์กับอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ อยู่ ๗ ปี จนจบแล้วจึง ลากลับเมือง อาจารย์ให้เสบียงติดตัวมาเพียงเล็ก น้อย เมื่อมื่หมดลงจึงต้องใช้วิชวิาความรู้ ที่เที่รียรีนมารักรัษาโรคปวดหัวของ ภรรยาเศรษฐีเมืองสาเกต ที่เที่ป็นมา ๗ ปีแปีล้ว รักรัษาหมอที่ไที่หนก็ไม่หายสักที สามารถรักรัษาให้หายขาดได้ด้วยการ ปรุงยาขนานเดียว จนได้รับรัรางวัลวัถึง ๔,๐๐๐ กหาปณะ เมื่อมื่กลับถึงเมืองราชคฤห์แล้วได้รักรัษา โรคภคันทบาพาธ ของพระเจ้าพิมพิสาร จนหายขาด จึงแต่งตั้งตั้ให้เป็นแพทย์ หลวงประจำ พระราชสำ นัก และได้ผ่าตัด เนื้อนื้งอกในลำ ไส้ของบุตรเศรษฐีชาว เมืองพาราณสี คนหนึ่งนึ่ให้หายขาดจาก โรคร้าร้ยได้ เมื่อมื่พระเจ้าจัณฑปัชโชตหายประชวร แล้วทรงสำ นึกในบุญคุณหมอชีวกจึง ทรงส่งผ้ากัมพลหรือรืผ้าแพรเนื้อนื้ ละเอียดอย่างดีสองผืนไป พระราชทานแก่หมอชีวก หมอชีวกได้นำ ผ้าสองผืนนั้นนั้ไปถวาย พระพุทธเจ้า จนเป็นเหตุให้พระพุทธ องค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับรั ผ้าสำ เร็จร็ทำ ชาวบ้านถวายได้แต่บัน นั้นนั้มาทำ ให้คหบดี และชาวเมืองต่าง ดีใจพากันนำ จีวรมาถวายพระเป็น จำ นวนมาก หมอชีวกได้ถวายการรักรัษา พระพุทธเจ้าอีกครั้งรั้หนึ่งนึ่เมื่อมื่ พระพุทธองค์ถูกพระเทวทัตลอบ ทำ ร้าร้ย กลิ้งลิ้หินบนยอดเขาคิชฌกูฎ หมายจะให้ทับพระองค์ให้สิ้นสิ้พระชนม์ แต่ก็เพียงทำ ให้พระบาทของพระพุทธ องค์มีพระโลหิตห้อเท่านั้นนั้หมอชีวก ได้ถวายการรักรัษาที่สที่วนมะม่วงนั้นนั้ หหมมออชีชีชีวชีวกกโโกกมมาารรภัภั ภั จภั จจ์จ์ จ์จ์
จิตตคหบดีโดนต่อว่าแรงจิตตคหบดีจึงต่อว่า พระสุธรรมทำ ให้สำ นึกโดยใช้วาจารุนแรงเดียวกันเมือ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อรื่งจึงตำ หนิพระสุธรรม ท่านเกิดในตระกุลเศรษฐี ณ เมืองมัจฉิกาสณฑ์ แคว้นมดธ เมือท่านเกิดก็จะมีฝนดอกไม้ 5 ลีตกลง ทั่วทั่พระนครสูงถึงเช่า บิดามารดา จึงตั้งตั้ช็อให้ว่า “จิตตกุมาร” เพราะทำ พระนตรให้งดงาม ด้วย ดอกไม้ 5 สี ท่านเกิดในตระกูลเศรษฐี ณ เมืองมัจฉิกาสณฑ์ แคว้นมดธ เมือท่านเกิดก็จะมีฝนดอกไม้ 5 สี ตกลง ทั่วทั่พระนครสูงถึงเข่า บิดามารดา จึงตั้งตั้ชื่อชื่ให้ว่า จิตตกุมาร เพราะทำ พระนครให้งดงาม ด้วย ดอกไม้ 5 สี จิตตคหบดีเป็นผู้มีปฏิภาณเฉียบแหลมและมีความสามารถ ในการแสดงทำ ให้ผู้อื่นอื่ฟังได้เป็นอย่างดีเป็นที่ยที่อมรับรัอย่าง กว้างขวาง จึงใด้รับรัการยกผ่องในเอตทัคตะว่าเป็นเลิศกว่าผู้ อื่นอื่ในทางเป็นธรรมกถึก มีพระสุธรรมเถระซึ่งซึ่เป็นพระภิกษุอุถุชนมาพักเป็นเวลานาน จนกระทั่งทั่วันหนึ่งนึ่พระสารีบุรีบุตรและพระโมคคัลลานะเดินทาง ผ่านมาจิตตคหบดีได้นิมนต์ท่านทั้งทั้สองให้สำ นักอยู่ที่อำที่อำพาฎ การาม เมื่อมื่บิดาล่วงลับไปเขาใด้รับรัตำ แหน่งเศรษฐี สมัยนั้นนั้ พระมหานามะเถระในจารึกรึไปถึงนครมัชฌิกาสณฑ์จิ ปะคฤหบดีเลื่อลื่มใส่ในอิริยริาบถของท่านจึงรับรับาปนำ มายังเรือรืนถวายอาหารบิณฑบาต จึงเกิดความศรัทรัธาและนิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารที่ คฤหาสน์ของตนและสร้าร้งวัดถวายท่านที่สที่วนชื่อชื่ อำ พาฏการามและนิมนต์ให้อยู่จำ พรรษาพระมหานามะ ได้แสดงธรรมให้แก่จิตตคทบดีอยู่เสมอ จิตตะคหบดีได้นิมนต์ท่านทั้งทั้สองให้ฉันอาหารในวันรุ่งรุ่ ขึ้นขึ้แล้วนิมนต์พระสุธรรมฉันด้วยพระสุธรรมถือตนเป็น เจ้าอาวาสและเห็นว่าจิตตคหบดีให้ความสำ คัญกับพระ อัตรสาวกจึงไม่ยอมรับรันิมนต์ จนวันหนึ่งนึ่ ได้แสดงธรรมเรื่อรื่งอายตนะ 6 ซึ่งซึ่หลัง จากจบธรรมเทศนาแล้วจิตตคหบดีบรรลุอนาคามี จิจิ จิ ตจิ ตตตคคหหบบดีดี ดีดี
สุสุสุ ม สุ มนนมมาาลลาากกาารร ดอกไม้เหล่านั้นนั้ติงตามพระพุทธเจ้าไปทุก แห่ง ชาวเมืองแตกตื่นตื่พากันร้อร้งโห่สาธุการ ทุกที่พที่ระพุทธองค์เพื่อพื่จะทรงนำ คุณความดี อองนายสุมนมาลาการไปหัวเมือง เช้าวันวัหนึ่งนึ่เขาเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาศ สุมนมาลาการเห็นจึงเกิดความเสื่อสื่มใสอยากบูชา พระพุทธเจ้า นายสุมนมาลาการ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ มีหน้าที่นำที่นำดอกมะลิวันวัละ 8 ทะยาน ไปถวายพระเจ้าพิมพิสารเช้าตรู่ทุรู่ทุกวันวั ติดว่าว่จะถวายดอกไม้ที่จที่ะนำ ใปให้พระราชามา ถวายให้พระพุทธเจ้า ตกลงใจว่าว่ "เกาเถถะเมื่อมื่พระราชาไม่ได้รับรัดอกไม้จะ ทรงฆ่าเราหรือรืขับโล่ออกจากเมืองก็ตาม พระราชาทรง ประทานทรัพรัย์เพีองพอแก่การเลี้อลี้งชีพเท่านั้นนั้ส่วนการ บูชาพระพุทธเจ้าเพื่อพื่ประโยชน์เกื้อกื้กูลและความสุขแก่ เราประมาณมิได้ที่เที่ดียว เขาได้ละชีวิตวิของตน เพื่อพื่บูชาพระพุทธเจ้า นายสุมนมาลาการ ได้ถวายดอกไม้บูชา พระพุทธเจ้าไป เมื่อมื่ถึงบ้าน ได้เล่าเรื่อรื่งให้ภรรยายองคนสิง แต่ภรวยา เขากลับคำ ว่าว่เขาและรีบรี ไปกราบทูลพระราชา พระเจ้าพิมพิสารเป็นริอริคคลขึ้นขึ้โสดาป็นแล้ว พระ องดีเห็นเปี่ยปี่มไปด้วยศรัทรัราโนพระพุทธเจ้า เมื่อมื่พระเจ้าพิมพิสารฟิงที่กที่รรณาสุมนมาลาการ พูด ทรงได้ทราบว่าว่เป็นหญิงไม่ดีไม่มีศรัทรัธา เมื่อมื่สุมนมาลากามา พระเจ้าพิมพิสารตันแก ย่องสรงเสริญรินายสุมนมามาการรำ เป็น "นหานรุน แล้วพระราชทานสิ่งสิ่ของ 8 ชนิค เมื่อมื่กลับถึงวัดวัพระอานนห์ถามถึงผลนูญที่นที่าย สุมนมาลาการได้วับวัพระพุทธ จำ ทรงตรัสรัว่าว่ "นาย สุมนมาลากา ได้เสียสละชีวิตวิบูชาพระองค์ในครั้งรั้นี้ จะไม่ได้ไปเกิดในนรกตลอดแสนกัลป์" ตกเย็นวันวัฉันพวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรม เรื่อรื่งการบูชาพระพุทธเจ้าของนายสุมนมาลาการ พระพุทธองค์เสด็จมาตรัสรัว่าว่ “ ภิกษุทั้งทั้ หลาย บุคคลทำ กรรมได้แล้วไม่เดือด ร้อร้นในภายหลัง เป็นผู้เอิบอิ่มอิ่มีความ สุขใจ นั้นนั้แหละเรียรีกว่าว่กรรมดี”
พระนางมัลลิกา นางมัลลิกาที่มีที่มีชื่อเสียงใน ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามีอยู่ 2 ท่าน คือ พระนางมัลลิกาผู้เป็นพระ มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล กับ มัลลิกา ผู้เป็นภริยาของพันธุละ เสนาบดี พระสหายสนิทของพระเจ้าป เสนทิโกศล จะนำ มาเล่าขานสู่กันฟังฟั ทั้งสองท่าน เธอเป็นธิดาของนายมาลาการ (ช่างทำ ดอกไม้) เธอจะออกไป สวน ไปเก็บดอกไม้มาให้พ่อทำ พวงมาลัย หรือจัดดอกไม้เป็น ระเบียบไว้ขายเป็นประจำ เธอได้ถวายดอกไม้พระพุทธเจ้า ได้ฟังฟั ธรรมจากพระพุทธองค์ บรรลุโสดาปัตปัติผล เป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วง ที่เที่กิดเรื่องราวนี้ เธอมีอายุอานามประมาณ 16 ปี ยังสาวรุ่น น่ารัก ขณะเก็บดอกไม้อยู่ เธอก็ฮัมเพลงไปพลางอย่างมีความสุข หารู้ ไม่ว่ามีสุภาพบุรุษวัยรุ่นพ่อ “ยืนม้า” อยู่ ใกล้ๆ ฟังฟัเพลงเพลินอยู่ พอเธอร้องจบก็ ปรบมือชื่นชม นางมัลลิกา เป็นพระธิดาของกษัตริย์ องค์หนึ่งในแคว้นมัลละ ซึ่งภายหลังได้ สมรสกับพันธุลเสนาบดี เป็นผู้ที่มีที่มี ประวัติว่ามีบุตรฝาแฝดทั้งหมด 16 คู่ ร่วมมีบุตรทั้งหมด 32 คน ผลงานโดดเด่น พระนางมัลลิกาเป็นผู้ที่มีที่มีความอดทนอดกลั้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ หักห้ามความโศกเศร้า ไม่ ผูกอาฆาตพยาบาทเเละให้อภัยโทษเเก่ผู้อื่น เพื่อที่จที่ะได้หมดเวรหมดกรรมกัน คุณธรรมที่คที่วรถือเป็นเเบบอย่าง 1.มีขันติเเละเข้าใจโลก -พระนางมัลลิกา เป็นผู้ที่มีที่มีความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์เมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของสา มีเเละบุตรชาย นางก็มีขันติอดกลั้นความเสียใจ ยังคงปฏิบัติหน้าที่คืที่คือ การถวายภัตตาหารเเด่พระ สงฆ์ต่อไปเเละมีความเข้าใจในธรรมดาของโลก 2.เป็นผู้มั่นคงในศาสนา พระนางมัลลิกาได้บำ รุงพระสงฆ์ นางตั้งมั่นอยู่ใน หลักพระธรรมคำ สอน เเล้วนำ มาประยุกต์ใช้ใน การข่มใจรักษาใจของตนเเละคนในครอบครัวให้มี ความสุข
• หลักลัคำ สอน 10 ประการ ได้แด้ก่ 1. ไฟในอย่าย่นำ ออก หมายถึงถึอย่าย่นำ เอาความลับลัหรือรืเรื่อรื่งไม่ดีม่ ใดีนครอบครัวรั ไปพูดพูให้ คนภายนอกฟัง 2. ไฟนอกอย่าย่นำ เข้าข้หมายถึงถึอย่าย่นำ เอาเรื่อรื่งไม่ดีม่จดีากภายนอกบ้าบ้นมาเล่าล่ ให้คนใน บ้าบ้นฟัง 3. จงให้แก่คก่นที่ใที่ห้ หมายถึงถึคนที่ยืที่มยืของไปแล้วล้ ส่งคืน ภายหลังลัก็ค ก็ วรให้ยืมยือีกอี 4. จงอย่าย่ ให้แก่คก่นที่ไที่ม่ใม่ห้ หมายถึงถึคนที่ยืที่มยืของไปแล้วล้ ไม่ส่ม่ ส่งคืน ภายหลังลั ไม่คม่วรให้ ยืมยือีกอี 5. จงให้แก่คก่นที่ใที่ห้และไม่ใม่ห้ หมายถึงถึญาติมิติตมิรแม้ยืม้มยืของไปแล้วล้จะคืนหรือรื ไม่คืม่ คืน ก็ต ก็ าม ก็ค ก็ วรให้ยืมยือีกอี 6. จงนั่งให้เป็นสุขสุหมายถึงถึอย่าย่นั่งในที่ซึ่ที่งซึ่เมื่อมื่พ่อผัวผัแม่ผัม่วผัหรือรืสามีเมีดินดิผ่าผ่น ตนเอง จะต้อต้งลุกลุขึ้นขึ้ 7. จงนอนให้เป็นสุขสุหมายถึงถึเมื่อมื่พ่อผัวผัแม่ผัม่วผัและสามีเมีข้าข้นอนแล้วล้ตนเองจึงจึเข้าข้ นอน 8. จงกินกิ ให้เป็นสุขสุหมายถึงถึเมื่อมื่พ่อผัวผัแม่ผัม่วผัและสามีไมีด้กิด้นกิอิ่มอิ่แล้วล้ตนเองจึงจึจะกินกิ ได้ 9. จงบูชบูาไฟ หมายถึงถึ ให้มีคมีวามเคารพ ยำ เกรง พ่อผัวผัแม่ผัม่วผัและสามี 10. จงบูชบูาเทวดา หมายถึงถึ ให้ดูแดูลเอาใจใส่ พ่อผัวผัแม่ผัม่วผัและสามี เป็นอย่าย่งดี นางจูฬสุภัททา • นางจูฬ จู สุภั สุ ทภัทา เป็นธิดธิาของเศรษฐีชื่ ฐี อ ชื่ ว่าว่อนาถบิณบิฑิกฑิชาวเมือ มื งสาวัตวัถี แคว้นว้ โกศล ซึ่งซึ่บิดบิาของนางเป็นผู้เ ผู้ ลื่อ ลื่ มใสในพระพุท พุ ธเจ้าจ้และเคารพพระสงฆ์เ ฆ์ป็นอย่าย่งมาก ท่าท่นได้สด้ร้าร้งวัดวัชื่อ ชื่ ว่าว่ “เชตวันวั ” • นางจูฬ จู สุภัท ภั ทา ได้รั ด้ บ รั มอบหมายจากบิดาให้คอยดูเ ดู เลอุคคลเศรษฐี นางจูฬ จู สุภัท ภั ทาปฎิบั ฎิ ติ บั ห ติ น้าที่อที่ย่า ย่ งดีเ ดีป็นที่ช ที่ อบใจ เเละรัก รั ใคร่เ ร่ อ็น อ็ ดู จึง จึ ทวงสัญญาที่จที่ะให้ลูก ลู เเต่ง ต่ งานกัน อนาถบิณฑิก ฑิ เศรษฐีจึ ฐี จึ งตอบว่า ว่ ขอ ปรึก รึ ษากัน กั ก่อ ก่ น • อนาถบิณ บิ ฑิก ฑิ เศรษฐีไฐีปเข้าเฝ้าพระพุท พุ ธเจ้า พระพุท พุ ธเจ้า จ้ ตรัสรั ว่า ว่ ไม่เ ม่ ป็นไร หรอก ทั้ง ทั้ สองจึง จึ ตกลงให้นางจูฬ จู สุภั สุ ท ภั ทาเเต่ง ต่ งาน เเละนางได้ถู ด้ ถู กอบรมสั่งสอนตามหลัก ลั คำ สอน 10 ประการ • นางจูฬ จู สุภั สุ ท ภั ทา ขัด ขั เเย้ง ย้ กับ กั พ่อเเม่สม่ ามีจ มี นถึง ถึ ขั้น ขั้ รุนเเรงขึ้น ขึ้ จนทนายต้อ ต้ งชำ ระความเเต่น ต่ างจูฬ จู สุภั สุ ท ภั ทาเป็นฝ่ายถูก ถู พ่อเเม่สม่ ามีไมี ม่ติ ม่ ด ติ ใจ นางจึง จึประกาศ คุณลัก ลั ษณะของพระพุท พุ ธเจ้า จ้ และพระสงฆ์ • เเม่สม่ามีไมี ด้ฟัด้ ฟั งก็พ ก็ อใจอยากเห็นพระสมณะเหล่าล่นั้นเเละขอให้นิมนต์ม ต์ าที่ บ้า บ้ น นางจึง จึ นิมนต์พ ต์ ระพุท พุ ธเจ้า จ้ ด้ว ด้ ยกระเเสจิตจิอธิษธิฐาน พระพุท พุ ธเจ้า จ้ จึง จึ เสด็จ ด็ ไปยัง ยั อุคคนครพร้อ ร้ มด้ว ด้ ยพระสงฆ์ พ่อเเม่สม่ามีเ มี ห็นก็ศก็ รัท รั ธาเสื่อมใส พระพุท พุ ธเจ้า จ้ ทรงแสดงธรรม พ่อเเม่เม่เละสามีฟัมี ฟั งธรรมเสร็จ ร็ ก็สำก็ สำเร็จ ร็ เป็น พระโสดาบัน บั เหมือ มื นนางจูฬ จู สุภัท ภั ทา
การสำ เร็จมรรคผลครั้นพระนาคเสนมีความ แตกฉานในพระไตรปิฎกก้เกิดทิฐิมานะว่า ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวตนพระธัมมรักชิตเถระจึงได้ เตือนสติพระนาคเสนว่าอย่าได้ทำ ตนเป็น เสมือนคนเลี้ยงโคที่ได้แต่ดูแลโคให้คนอื่น แต่ไม่ได้ลิ้มรสนมโค พระนาคเสนฟังแล้วก็ สลดใจจึงตั้งใจบำ เพ็ญวิปัสสนาหนักขึ้น ได้สำ เร็จเป็นพระอรหันต์เมื่ออายุ27ปี พระนาคเสนได้ขออนุญาตบิดามารดามา บวชเพราะต้องการศึกษาศิลปะสูงสุดจาก พระโรหณะหากสำ เร็จจะลาสึกออกมาครอง เรือนสืบสกุลต่อไป การสนทนาปัญหากับพระนาคเสน พระยามิลินท์ทรงสนพระทัยในปรัชญา เเละศาสนาพระมหากษัตริย์ ดังที่เสด็จ ไปตรัสถามปัญหายังสำ นักของ คณาจารย์ต่างๆเช่นครูทั้ง ๖ เเต่ก็ไม่มี ใครเเก้ข้อสงสัยของพระองค์ได้ ขณะ นั้นมีพระภิกษุชื่อ พระนาคเสน พระยามิ ลินท์บอกให้ตอบเเบบบัณฑิตไม่ใช่ ตอบเเบบกษัตริย์พระนาคเสนได้ตอบ ทุกข้อพระยามิลินท์ทรงสร้างวิหารถวาย พระนาคเสน พระนาคเสน-พระยามิลินท์ พระนาคเสนเป็นบุตรของโสณุตตรพ ราหมณ์ท่านเกิดเมื่อประ มาณพ.ศ.500 บิดาได้ส่งไปเรียนไตรเพทท่านเป็นผู้ มีปัญญาปราดเปรื่องจึงทำ ให้เรียนจบ ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนาคเสนบวชเป็นสามเณรได้ติดตาม พระโรหณะไปอยู่ที่ถ้ำ รักชิต พระโรหณะเห็นว่าสามเณร นาคเสนเป็นผู้ มีปัญญาเมื่ออายุ20ปีจึงได้บวชเป็นพระ ภิกษุ พระยามิลินท์ประสูตที่หมู่บ้านกาลาสิ บนเกาะอลสัณฑะ เมืองอเล็กชาน เตรียมหรือกันดาหาร์ในปัจจุบัน เมืองหลวงชื่อสาคละ
เมื่ออายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วเรียนภาษาบาลีที่วัดมณีธุดงค์ต่อจนกระทั่งอายุ ได้ 16 ปี ตรงกับปี พ.ศ. 2440 จึงย้ายไปอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เรียนภาษาบาลีกับ พระยาธรรมปรีชา (ทิม) และหลวงชลธีธรรมพิทักษ์ (ยิ้ม) เมื่อยังเป็นมหาเปรียญ ต่อมาเรียน กับพระอมรเมธาจารย์ (เข้ม ธมฺมสโร) วัดมหาธาตุฯ สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทโย) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อยัง ดำ รงพระยศเป็นกรมหลวง จนสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยคในปี พ.ศ. 2444 สมเด็จ ด็ พระวัน วั รัต รั (เฮง เขมจารี)รี อุปสมบทและศึกษาปริยัติธรรม ถึงปีขาล พ.ศ. 2445 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมหาธาตุฯ สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุท โย) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) และพระเทพเมธี (เข้ม ธมฺมส โร) เป็นคู่พระกรรมวาจาจารย์[3] แล้วเข้าสอบในปี ร.ศ. 122 ได้เพิ่มอีก 2 ประโยค รวมเป็น เปรียญธรรม 7 ประโยค ต่อมาเข้าสอบอีกได้เป็นเปรียญธรรม 8 ประโยคในปี ร.ศ. 123และ ในที่สุดสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี ร.ศ. 124 ชาติกำ เนิด นับแต่เป็นสามเณรเปรียญ 4 ประโยค ท่านก็ได้รับมอบหมายให้เป็นครูสอนในมหาธาตุวิทยาลัย เมื่อสมเด็จพระวัน รัต (ฑิต) ชราภาพ สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสโปรดให้ท่านเป็นผู้จัดการวัดมหาธาตุแทนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455เมื่อสมเด็จพระวันรัตมรณภาพในปี พ.ศ. 2466 ท่านจึงได้รับโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าอาวาสสืบแทนตลอดช่วง เวลาที่ครองวัด ท่านได้จัดระเบียบวัดทั้งในด้านการทะเบียน การทำ สังฆกรรม จัดลำ ดับชั้นการปกครองคณะ เข้ม งวดกับจริยวัตรของพระเณรในวัด และจัดการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ทรุดโทรมและก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อให้ เพียงพอกับการขยายการศึกษา นอกจากนี้ท่านยังสนองงานถวายสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสจนเป็นที่พอ พระทัย เมื่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ประกาศใช้ ท่านได้รับคัดเลือกเป็นประธานสังฆสภาเป็นรูปแรก . สมเด็จพระวันรัต มีนามเดิมว่า กิมเฮง บิดาเป็นพ่อค้าชาวจีนชื่อตั้วเก๊า แซ่ฉั่ว มารดา ชื่อทับทิม เสียชีวิตระหว่างคลอดบุตรคนที่สี่ ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2424 (นับแบบปัจจุบันตรงกับปี พ.ศ. 2425) ภูมิลำ เนาท่านอยู่บ้านท่าแร่ ตำ บลสะแกกรัง อำ เภอเมืองอุทัยธานี เมื่ออายุได้ 10 ปี ได้เรียนภาษาไทยกับพระอาจารย์ชัง วัดขวิด อยู่ 2 ปี แล้วย้ายไปเรียนกับพระสุนทร มุนี (ใจ) ขณะยังเป็นพระปลัดอยู่วัดมณีธุดงค์ ศาสนกิจ พ.ศ. 2452 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศรีวิสุทธิวงษ์[ พ.ศ. 2455 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี ธรรมปรีชาภิมณฑ์ ปริยัติโกศล ยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี[ พ.ศ. 2459 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธาดา มหากถิกสุนทร ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี[ พ.ศ. 2464 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ ปรีชาญาณดิลก ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี[ พ.ศ. 2471 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองหนเหนือที่ พระพิมลธรรม มหันตคุณ วิบุลปรีชา ญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต อุตดรทิศคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี[ พ.ศ. 2482 เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่หนใต้ที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาทักษิณคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี สมณศักดิ์
2413 2436 2492 2443 2455 2458 2471 2482 พระอาจารย์มั่ ย์ น มั่ ภูริ ภู ท ริ ตฺโ ตฺ ต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เดิมมีชื่อว่า มั่น แก่นแก้ว เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2413 ตรงกับวัน พฤหัสบดี แรม ๔ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีมะเส็ง ณ บ้านคำ บง ตำ บลสงยาง อำ เภอโขงเจียม (ปัจจุบันคืออำ เภอศรีเมือง ใหม่) จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อ นายคำ ด้วง แก่นแก้ว และมารดาชื่อ นางจันทร์ แก่นแก้ว ปี พ.ศ. 2436 ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติ ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ออกจาริกเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่ เสาร์ กนฺตสีโล ไปตามลำ แม่น้ำ โขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว ซึ่ง หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่หนู ฐิต ปญฺโญ ต่อมาก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ธุดงค์วิเวกไปพำ นักจำ พรรษา ณ พระธาตุพนม พ.ศ. 2443 ซึ่งพระธาตุพนมในสมัยก่อน ประชาชนไม่รู้ถึงความสำ คัญจึงไม่มีใครสนใจเท่าใดนักเมื่อคณะของ ท่านมาพำ นักจำ พรรษาจึงได้บอกให้ชาวบ้านญาติโยมทราบว่า พระธาตุพนม องค์นี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ต่อมา พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ธุดงค์วิเวกไปตามสถานที่ต่างๆ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครพนม จังหวัด สกลนคร จังหวัดเลย และธุดงค์ไปยังประเทศพม่า ปี พ.ศ. 2455 พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ออกธุดงค์วิเวกเพียงลำ พังองค์เดียว ได้ไปพำ นักปักหลัก บำ เพ็ญเพียรที่ถ้ำ สาริกา จังหวัดนครนายก ณ ถ้ำ สาริกา แห่งนี้ ท่านได้รู้ได้เห็นธรรมอันอัศจรรย์ และได้ประสบ เหตุการณ์ต่างๆหลายประการ ปี พ.ศ. 2458 พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้กลับไปจังหวัดอุบลราชธานี และพักจำ พรรษาที่วัดบูรพาราม อำ เภอ. เมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์เพื่อไปติดตามหลวงปู่เสาร์ กนฺต สีโล ซึ่งขณะนั้นจำ พรรษาอยู่ที่ถ้ำ ภูผากูด อำ เภอคำ ชะอี จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2471 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้แต่งตั้งให้พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ดำ รงตำ แหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนั้นท่านจำ ใจรับตำ แหน่ง เพราะเห็นแก่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ซึ่งกำ ลังอาพาธ ท่านจึงได้เดินทางสู่ภาคเหนือและ จำ พรรษาที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ปี พ.ศ. 2482 พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ได้นิมนต์ท่านให้กลับไปสั่งสอนลูก ศิษย์ทางภาคอีสาน หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่เข้ากรุงเทพฯโดยรถไฟ มาพำ นักที่วัด บรมนิวาส ได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าประคุณ หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ ละสังขารเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 อายุ 79 ปี 56 พรรษา ณ วัดป่า สุทธาวาส อำ เภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ซึ่งต่อมาอัฐิของท่านได้แปรสภาพกลายเป็นพระธาตุในหลายที่ ได้มีการแจกตามจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้ส่งตัวแทนมารับ
• หลวงปู่ช ปู่ า สุภ สุ ทฺโทฺท ขณะมีชี มี วิ ชี ตวิอยู่ท่ยู่าท่นได้อุด้อุ ทิศทิชีวิ ชี ตวิเพื่อการปฏิบัฏิติบัธติรรมและเผยแผ่พุผ่ท พุ ธ ศาสนา ทั้งทั้แก่ชก่าวไทยและชาวต่าต่งประเทศ ซึ่งซึ่บังบัเกิดกิผลทำ ให้ผลงานที่เที่ป็นประโยชน์อเนก อนันต์แ ต์ ก่พก่ระศาสนา ทั้งทั้ที่เที่ป็นพระธรรมเทศนา และสำ นักปฏิบัฏิติบัธติรรมในนามวัดวั สาขาวัดวั หนองป่าพงมากมาย ซึ่งซึ่แม้ท่ม้าท่นจะมรณภาพไปนานแล้วล้แต่ศิต่ ศิษยานุศิ นุศิษย์ข ย์ องท่าท่นก็ยั ก็ งยัคง รักรัษาแนวทางปฏิบัฏิติบัธติรรมที่ท่ที่าท่นได้สั่ด้ สั่งสอนไว้จว้นถึง ถึปัจจุบั จุ นบั • เกิดกิ 17 มิถุมินถุายน พ.ศ. 2461 (73 ปี) • มรณภาพ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 • นิกาย มหานิกาย • การศึกษา น.ธ.เอก • ที่อที่ยู่ วัดหนองป่าพง จังหวัดวั อุบลราชธานี • อุปสมบท 26 เมษายน พ.ศ. 2482 • พรรษา 52 พรรษา • ตำ แหน่ง เจ้าจ้อาวาสวัดหนองป่าพง • การศึกษา หลวงปู่ช ปู่ าได้รับรัการศึกษาชั้นชั้ ประถมศึกษา ณ โรงเรีย รี นบ้านก่อ ตำ บลธาตุ อำ เภอวารินริชำ ราบ จังจัหวัดวัอุบลราชธานี จนจบชั้นชั้ ประถมปีที่ 1 แล้วล้ ได้ลาออกจากโรงเรีย รี นเพราะมีจิตใจใฝ่ทางบวช เรีย รี น ภายหลังเมื่อ มื่ บวชเรีย รี นแล้วได้เรีย รี นหนังสือธรรมเรีย รี นบาลีไวยากรณ์ เรีย รี นมูลกัจจายน์ จน สามารถอ่านแปลภาษาบาลีได้ และได้ศึกษาพระปริยัริ ยัติธรรมจนสอบได้ชั้นชั้ สูงสุดสายนักธรรม คือ สอบได้นักธรรมชั้นชั้เอก จุดจุหมาย : มรรค ผล นิพพาน พ้นทุกทุข์ เนื้อหา : ศีล สมาธิ ปัญญา วิธีวิกธีาร : สมถ วิปัวิ ปัสสนา กลวิธีวิ ธี: มองเข้าข้หาตัวตัดูธดูรรมชาติ เปรียรีบเทียทีบ กับกัธรรมชาติ ทำ ให้ดู แล้วล้รู้ตรู้าม • คำ สอนของหลวงปู่ชปู่า 1. 2. 3. 4. หยุดยุชั่วชั่มันมัก็ดี ก็ ดี การไม่กม่ระทำ บาปนั้นมันมัเลิศลิที่สุที่ดสุบางคนบางคราว โจรมันมัก็ใก็ ห้ได้ มันมัก็แ ก็ จกได้ แต่ว่ต่าว่จะพยายามสอนให้มันมัหยุดยุเป็นโจรนั้นนะ มันมัยากที่สุที่ดสุ การจะละความชั่วชั่ ไม่กม่ระทำ ผิดผิมันมัยาก การทำ บุญบุโจรมันมัก็ทำ ก็ ทำได้ มันมัเป็นปลายเหตุ การไม่กม่ระทำ บาปทั้งทั้หลายทั้งทั้ ปวงนั้นนะเป็น ต้นต้เหตุ ชื่ออื่น พระอาจารย์ชา, หลวงพ่อชา, หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท)
ท่านพุทธทาสภิกยุมีนามเดิมว่า เงื่อม พานิช เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปี มะเมีย หรือวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ในสกุลของพ่อค้า ที่ตลาดพุมเรียง อำ เภอไขยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านพุทธทาสภิกยุได้บวชเรียนตามประเพณี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ไปศ. 2469 ที่โรงอุโบสถวัดอุบล หรือวัดนอก ก่อนจะย้ายมา ประจำ อยู่ที่วัดพุมเรียง ท่านพุทธทาสภิกยุได้รับฉายา ว่า อินทปญฺโญ งแปลว่าผู้มีปัญญา หลังจากบวยได้เพียง 10 วัน ท่านพุทธทาส ภิกยุก็ได้รับโอกาสให้ขั้นแสดงธรรม ในการนี้ ท่านได้ปฏิวัติการเทศน์เสียใหม่ช่วงพรรษา แรกท่านพุทธทาสภิกยุยังได้เรียนนักธรรม 2469 เมื่อออกพรรษาได้ไม่นาน ช่วงต้น ปิพ.ศ.2471 อาเลี้ยง น้องขายของบิดาท่าน พุทธทาสภิกยุ ได้ผลักนให้ท่านพุทธทาสภิกยุ เข้าศึกษาความรู้ทางธรรมต่อที่กรุงเทพฯ พุมเรียง สมัยผมบวยเขาไม่ลืบเงินจิบทองกิน มีผู้ช่วยเก็บ ให้ แล้วมันค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ลิบแต่ต่อหน้าคน ใน กรุงเทพจ มันเป็นโรคร้ายระบาดทั่วทั่กรุงเทพฯ อยู่หัวเมือง มันยังมีอิทธิพล ในทางเคร่งครัดแบบบเก่าอยู่ท่านพุทธทาส ภิกยุเห็นเข้าอย่างนี้ก็เกิดเป็นความเอ็อมระอาในชีวิตสมณ เพศอย่างหนัก หลังจากอยู่กรุงเทพฯ ได้เพียง 2 เดือนก็กลับมาที่พมเรียงเพื่อจะลาสิกขา แต่ ขณะนั้นเป็นข่าวงใกล้เวลาจะเข้าพรรษาแล้ว มีผู้ทักท้วง ว่าจะลาสิกยาตอนนี้ยังไม่เหมาะ ท่านพุทธทาสภิกยุจึง ตัดสินใจครองสมณเพศอิกพรรษาหนึ่ง และคิดว่าค่อยลา ลิกยาบทเมื่อออกพรรษาไปแล้ว 2471 ㆍในพรรษาที่สาม ท่านพุทธทาสภิกยุสอบนักธรรมชั้นเอกได้ รองเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไขยาในสมัยนั้น ได้ซักชวนให้ท่านพุทธทาสภิกขุมาเป็นอาจารย์ สอนนักธรรมอยู่ที่วัดพระบรมธาตุไชยา ㆍเมื่อหมดหน้าที่สอนนักธรรมแล้ว อาเลี้ยงก็ เร่งเร้าให้ท่านพุทธทาสภิกยุเข้ากรุงเทพฯ อีก ครั้ง โดยหวังให้หยิบพัดยศมหาเปรียญมาไว้เป็น เกียรติแก่วงค์ตระกูล ㆍเมื่อประกาศผลสอบปีแรก ปรากฎว่ท่านพุทธ ทาสภิกยุสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค และ กลายเป็นพระมหาเงื่อม อินทปญฺโญ ในปี เดียวกันนี้เอง ท่านพุทธทาสภิกยุมีงานเขียนเป็น บทความขนาดสั้นนแรก ชื่อ ประโยชน์แห่งทาน ปรากฏอยู่ในหนังสือที่พิมพ์แจกในงาน พระราชทานเพลิงศพพระครูโสภณเจตสิการามไป (คง วิมาโล) พระอุปัชฌาย์ของท่านพุทธทาส ภิกขุ และมีบทความขนาดยาวเรื่อง พระพุทธ ศาสนาสำ หรับปุถุชน พิมพ์ในหนังสือที่ระลึก ครบรอบโรงเรียนนักธรรม วัดพระบรมธาตุ ไชยา 2473 พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปญฺโญ)ได้ละ สังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกยพลาราม เมื่อวัน ที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2536 สิริรวมอายุ 87 ปี 67 พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่า แทนตัวท่านให้อนุยนคนรุ่นหลังได้สืบสาน ปณิธานของท่านรับมรดกความเป็น "พุทธทาส" เพื่อพุทธทาสจะได้ไม่ตายไปจากพระพุทธศาสนา ㆍ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2548 องค์การยูเนสโก ประกาศยกย่องให้ท่านพุทธทาสภิกยุเป็นบุคคล สำ คัญของโลก ด้านส่งเสริมข้นติธรรม สันติ ธรรม วัฒนธรรม ความสัมพันธ์และความเข้าใจ อันดีของมวลมนุษย์ 2548 พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ชีวิตวัยเยาว์เมื่ออายุได้ 8 ขวบ บิดามารดาได้พาท่านพุทธ ทาสภิกยุไปฝากตัวเป็นเด็กวัดที่วัดพุมเรียง หรือวัดใหม่ ซึ่งเป็นวัดที่คนในสกุลพานิชเคยบวซสืบต่อกันมา โดย ในสุมัยก่อนที่จะมีโรงเรียนนั้น พ่อแม่มักจะให้ลูกชายได้ อยู่ที่วัด เพื่อที่จะให้ได้รับการศึกษาขั้นต้นตามแบบ โบราณ รวมทั้งจะได้มีการคุ้นเคยกับพระพุทธศาสนา 2449 2536 คุณธรรม เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักประยุกต์คำ สอนทางพระพุทธศาสนา เป็นผู้อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา
พรหมมังคลาจารย์ พระพรหมมังคลาจารย์กำ เนิดที่ ตำ บลคูหาสวรรค์ อำ เภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เป็นบุตรของนายวัน เสน่ห์เจริญ เดิมมีนามว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ หลัง ใช้ชีวิตฆราวาสจนมีอายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จังหวัดระนอง โดยมีพระรณังคมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุที่ วัดนางลาด อำ เภอเมือง จังหวัดพัทลุง โดยมีพระจรูญกรณีย์เป็นอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ. 2474 หลังจากอุปสมบทได้ไม่นาน ได้เดินทางไปศึกษาในจังหวัดที่มีสำ นักเรียนธรรมะ เช่น นครศรีธรรมราช จนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ 1 และสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และเอก ปีถัดมาที่ จ.นครศรีธรรมราช ท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาบาลีจนสามารถ สอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำ ให้หลวงพ่อต้องหยุดการ ศึกษาไว้ แล้วเดินทางกลับพัทลุงและได้เริ่มแสดงธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ของภาคใต้ หลวงพ่อยังได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น และ ยังได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมและกล่าวคำ ปราศรัยในการประชุม องค์กรศาสนาของโลกเป็นประจำ อีกด้วย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) ได้ดำ เนินการเผยแพร่พระพุทธ ศาสนา โดยวิธีที่ท่านได้เริ่มปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มา เป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อ เหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นเป็นอย่างมาก พ.ศ. 2475 หลวงพ่อมีโอกาสร่วมเดินทางไปประเทศพม่า กับพระโลกนาถชาวอิตาลีสหายธรรม ร่วมเดินทางแสวงบุญไปประเทศอินเดียและทั่วโลกโดยผ่านทางประเทศพม่าด้วยเท้าเปล่าเพื่อ เป็นพุทธบูชา แต่เมื่อเดินทางถึงประเทศพม่าก็ต้องเดินทางกลับ ระหว่างปี พ.ศ. 2475-2476 หลวงพ่อได้มีโอกาสเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธ ศาสนาในต่างประเทศหลายประเทศ จนหลวงพ่อได้ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์รูปแรกของ ไทยที่ได้เดินทางไปประกาศธรรมในภาคพื้นยุโรป ในปี พ.ศ. 2502 ม.ล.ชูชาติ กำ ภู อธิบดีกรมชลประทาน ในสมัยนั้น ระหว่างที่ไป เยือนเชียงใหม่มีความประทับใจ ในลีลาการสอนธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อ จึง เกิดความศรัทธาปสาทะในหลวงพ่อ และในขณะนั้นกรมชลประทานได้สร้างวัด ใหม่ขึ้น ชื่อ"วัดชลประทานรังสฤษฎ์"ที่ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึง ได้อาราธนาหลวงพ่อไปเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2503
พระพุทธโฆษาจารย์ ประวัติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) นามเดิม ประยุทธ์ อารยางกูร เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๑ ที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายสำ ราญ และนางชุนกี อารยางกูร การศึกษาพื้นฐาน พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๙๐ ประถมศึกษา ที่ ร.ร. ชัยศรีประชาราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๔๙๓ มัธยมศึกษา ที่ ร.ร. มัธยมวัดปทุมคงคา (ได้รับทุนเรียนดี ของกระทรวงศึกษาธิการ) การศึกษาใรวิถีบวชเรียน สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำ นักศาสนศึกษาวัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร สำ นักงานแม่กองธรรมสนามหลวง สอบไล่ได้เปรียญธรรม 9 ประโยค สำ นักศาสนศึกษาวัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร สำ นักงานแม่กองบาลีสนามหลวง พ.ศ. 2505 สำ เร็จการศึกษาปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากสถาบันการศึกษามหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2506 สอบได้ วิชาชุดครู พ.ม สมณศักดิ์ เพ.ศ. 2512 โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญที่ พระศรีวิสุทธิโมลี[3] พ.ศ. 2516 โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชวรมุนี ศรีปริยัติบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี[4] พ.ศ. 2530 โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ศรีวิสาลปาพจนรจิต ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวร สังฆาราม คามวาสี[5] แรงบันดาลใจ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เคยให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจที่ทำ ให้ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่เป็นระยะเวลานาน จนมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุมาตลอดเป็นเพราะได้อ่านนวนิยายอิงธรรมะของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ทำ ให้ รู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกองทัพธรรม
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์ปราสาททอง ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าปราสาททองและพระนางเจ้าสิริกัลยานี พระ ราชสมภพในปี 2175 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวัน ที่ 15 ตุลาคม 2199 มีพระนามจารึกในพระ สุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 เป็นพระ มหากษัตริย์ลำ ดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา ขณะทรงมี พระชนมายุ 25 พรรษา พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง พระราชสมภพ : 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2175 สวรรคต : 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 พระนารายณ์ มหาราช หลังจากประทับที่กรุงศรีอยุธยาได้ 10 ปี พระองค์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานี แห่งที่ 2 ในปี 2209 และเสด็จไปประทับทุก ๆ ปี ครั้ง ละเป็นเวลานานหลายเดือน กระทั่งเสด็จสวรรคตใน ปี 2231 ขณะพระชนมายุได้ 56 พรรษา รวมเวลาที่ ทรงครองราชสมบัติ 32 ปี พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่กรุง ศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก ด้วยพระปรีชาสามารถหลาย ด้านของพระองค์ ทั้งด้านการปกครอง การทหาร ทรง ชำ นาญด้านการศึก ทรงปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ให้ มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาเป็นจำ นวนมาก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งเสด็จออกรับคณะฑูต ฝีมือวาดช่างฝรั่งเศส จากหนังสือนวนิยายเรื่อง รุก สยาม ในนามของพระเจ้า โดย มอร์กาน สปอร์แตช ด้านการทูต ทรงสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศ อย่างกว้างขวาง ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เช่น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ส่ง คณะราชทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส การค้า กับต่างประเทศจึงเจริญมาก มีชาวต่างชาติเข้ามารับ ติดต่อค้าขาย และบางส่วนเข้ารับราชการในพระราช อาณาจักรด้วย อีกทั้งยังทรงรับวิทยาการสมัยใหม่ เช่น กล้องดู ดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ การวางระบบ ท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์เป็นยุคที่วรรณคดี และศิลปะเจริญถึงขีดสุด มีงานวรรณคดีชิ้นสำ คัญเกิด ขึ้นหลายชิ้น อาทิ สมุทรโฆษคำ ฉันท์, คำ ฉันท์กล่อม ช้าง, อนิรุทธคำ ฉันท์ และ จินดามณี ของพระโหราธิ บดี ซึ่งจัดเป็นตำ ราเรียนเล่มแรกของไทย จัดทำ โดย นายนฤสรณ์ สอนขำ เลขที่4 ม.6/2 นายสหพงศ์ เเซ่เง่า เลขที่12 ม.6/2
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2396 2411 2431 2437 2440 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3ค่ำ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. 1215 ตรงกับวันที่ 20กันยายน พ.ศ. 239 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าฟ้ารำ เพย ภมราภิรมย์ ครั้งนั้นพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีเข้าชื่อกันกราบบังคมทูลว่า ทุกวันนี้เจ้าฟ้าก็ไม่มี เหมือนแต่ก่อน ขอให้ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าอย่างสมัยก่อน จึงพระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ซึ่งคำ ว่า"จุฬาลงกรณ์" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการกราบบังคมทูลเชิญขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์สืบต่อจากสมเด็จพระบรมราชชนกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ด้วยพระชนมายุเพียง 15 พรรษา แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำ เร็จราชการแทนจนกว่าจะมีพระ ชนมพรรษครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเป็นโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์แห่งแรกที่ ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 โดยทำ การบำ บัดรักษาผู้ป่วยไช้ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณของไทย ได้ พระราชทานนามว่า'โรงศิริราชพยาบาล"ต่อมาได้โปรดเกล้าให้จัดตั้งโรงเรียน แพทย์แห่งแรกของไทย'โรงเรียนศิริราชแพทยากร" ทรงกำ หนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยยกเลิกระบบกินเมือง และ ระบบหัวเมืองแบบเก่าได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช จัดเป็น มณฑล เมือง อำ เภอ หมู่บ้านออกพระราชกำ หนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ พ.ศ. 2440 เป็นการเสด็จพระราชดำ เนินไปยังต่างประเทศในทวีปยุโรป เป็นพระมหากษัตริย์ แห่งราชอาณาจักรสยาม เพื่อสานสัมพันธไมตรีแก่ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป เพื่อ ให้ประเทศที่พระองค์เสด็จประพาสเหล่านั้นมองเห็นว่าประเทศสยามเป็นประเทศที่ มีการพัฒนาตนเองและไม่ได้ล้าหลังป่าเถื่อน จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ สุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศ ขึ้นกับกระทรวงนครบาล ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำ ให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจน แน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำ ให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และเพื่อโอกาสในการร่วมกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงและส่งเสริมความเป็นเอกราช ของประเทศสยาม แม้จะอยู่ในช่วงล่าอาณานิคม พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกที่มาจากทวีปเอเชียที่เสด็จพระราชดำ เนินเยือนทวีปยุโรปอย่างจริงจัง โดยทรงรู้จักการปฏิบัติตามธรรมเนียมยุโรปอีกด้วย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินจึงทรงเห็น ความจำ เป็นที่จะต้อง ปรับปรุงระบบกฎหมายไทยให้มีควาเหมาะสมและทันสมัย มากขึ้น อันจะนำ ไปสู่การขอยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ในที่สุด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ เมื่อ วันที่ ๒๑ กันยายนพ.ศ. ๒๔๕๑ นับเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย และ เป็นการปรับเปลี่ยนระบบกฎหมายของประเทศไทยให้ทันสมัย เป็นที่ยอมรับของ นานาอารยประเทศ
ได้ผลักดันให้เกิด วิทยาลัยสิทธัตถะ วิทยาลัยในเครือรื ของมหาวิทยาลัย บอมเบย์ และได้ตั้ง ตั้ มิ ลินทวิทยาลัยขึ้น ขึ้ ณ เมืองออรัง รั กาบาด ดร.เอ็มเบดการ์ ชื่อชื่เต็ม ว่า บาบาสาเหบ พิมเรา รามชิ เอ็มเบดการ์ เกิด ในวรรณะศูทรที่ ยากจน ณ ประเทศ อินเดีย ครูคนหนึ่งนึ่เห็นว่าว่ เอ็มเบดการ์เ ร์ป็นเด็ก นิสัยดีมีสติปัญญา ฉลาด จึงให้ใช้ นามสกุลของครูว่าว่ “เอ็มเบดการ์”ร์ ได้ปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะรวมทั้ง ทั้ ได้ทำ งานฟื้นฟู พระพุทธศาสนาใน อินเดียโดยเฉพาะ ในหมู่ชนชั้น ชั้ ล่าง ดดรร.เเอ็อ็ อ็ มอ็ มเเบบดดกกาาร์ร์ ร์ร์
สุชีพ เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2460 ที่ตำ บลบางไทรป่า อำ เภอบางปลา (อำ เภอ บางเลน ในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม สุชีพ ปุญญานุภาพ เปรียญ ๗ ประโยค วัดกันมาตุยาราม ขึ้นกับ สำ นักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส ปร.ด (กิตติมศักดิ์) ดิ์ มหาวิทยาลัยรามคำ แหง ปร.ด (กิตติมศักดิ์) ดิ์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศน.ด (กิตติมศักดิ์) ดิ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย คุณธรรมท่ีควรถือเป็นแบบอย่าง • เป็นผู้ใฝ่รู้อย่ํางย่ิง • เป็นพุทธศําสนิกชนท่ีดี •เป็นครูที่ดี สุชีโวภิกขุ" คือ นามฉายาของอาจารย์สุชีพ ปุญญา นุภาพ เมื่อครั้งท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัด กันมาตุยาราม ชื่อเสียงของท่านโด่งดัง เป็นที่ เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งยวดในหมู่คณะสงฆ์และ พุทธศาสนิกชนเสมอมา จากผลงานการประพันธ์ทั้ง ในเชิงวิชาการและด้านวรรณกรรม เป็นที่ประจักษ์ ถึงความรอบรู้ด้านพระพุทธศาสนาเป็นเลิศ และ ความสามารถในการเล่าพระธรรมอย่างยากที่จะมี ใครทัดเทียมได้ มรดกงานวรรณกรรมอันล้ำ ค่านี้ ได้สร้างคุณูปการอันสำ คัญยิ่งให้แก่บรรณพิภพไทย บทบาทของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพนับว่าเป็น แรงผลักดันที่สำ คัญในการริเริ่มสถาบันการศึกษา ขั้นสูงของพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น ท่านได้รับ เลือกให้ดำ รงตำ แหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหา มกุฎฯ เป็นรูปแรก และเป็นผู้วางรากฐานด้าน วิชาการและการบริหารให้แก่มหาวิทยาลัยจน กระทั่งทั่ลาสิกขา เมื่ออายุ 35 ปี ใน พ.ศ. 2495 รวมเวลาที่ท่านดำ รงอยู่ในตำ แหน่งเป็นเวลา 5 ปี ผลงานเรื่องแรกของท่าน คือเรื่อง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” บอกเล่า เรื่องราวขององคุลิมาลกับพระพุทธเจ้า ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ ธรรมจักษุ เมื่อ พ.ศ. 2494 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดี เยี่ยม และได้รับการขอร้องให้ประพันธ์อีกหลาย ๆ เรื่อง ต่อมา ท่านจึงประพันธ์เรื่อง “กองทัพธรรม” บอกเล่าเรื่องของพระสารี บุตรกับพระธรรมเสนาบดี และเรื่อง “ลุ่มน้ำ นัมมทา” “เชิงผา หิมพานต์” และ “นันทะ-ปชาบดี” ตามลำ ดับ โดยนวนิยายอิง หลักธรรมของอาจารย์สุชีพนี้ นับว่าเป็นการริเริ่มการเผยแผ่พุทธ ศาสนาในรูปแบบใหม่ รวมถึงทำ ให้เกิดนวนิยายแขนงใหม่ใน วงการวรรณกรรมไทยซึ่งต่อมาเป็นที่นิยมของนักอ่านทั่วทั่ไป และ ส่งอิทธิพลต่อนักประพันธ์ให้ประพันธ์นวนิยายในแขนงเดียวกันนี้ อีกหลายท่าน เช่น วศิน อินทสระ ทวี วรคุณ สุทัสสนา อ่อนค้อม เป็นต้น
• เกิด กิ 17 กัน กั ยายน พ.ศ. 2407 โคลัม ลั โบ ประเทศศรีลั รี ง ลั กา • เสียชีวิ ชี ต วิ 29 เมษายน พ.ศ. 2476 (อายุ 68 ปี) ประเทศอิน อิ เดีย ดี • สัญชาติ ศรีลั รี ง ลั กา • อาชีพ ชี พระสงฆ์ใฆ์ นพระพุท พุ ธศาสนา • มีชื่ มี อ ชื่ เสียงจาก พระสงฆ์ผู้ ฆ์ ฟื้ ผู้ ฟื้ นฟูพุ ฟู ท พุ ธศาสนาใน อิน อิ เดีย ดี , พระสงฆ์ผู้ ฆ์ ก่ ผู้ อ ก่ ตั้ง ตั้ สมาคมมหา โพธิ์ • บิด บิ ามารดา ดอน คาโรลิสลิ เหววิต วิ รเน วิช วิ ยคุณ รัต รั นะ มัล มั ลิก ลิ า ธรรมคุณวัฒ วั นะ เหววิต วิ รเน • ท่า ท่ นอนาคาริก ริ ธรรมปาละ เป็น บุคคลที่สำที่ สำ คัญที่สุที่ สุ ดในการฟื้นฟู พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เป็นผู้ก่ ผู้ ก่ อตั้ง ตั้ สมาคมมหาโพธิ์ และเป็นผู้ เรีย รี กร้อ ร้ งเอาพุทธสถานในอินเดีย กลับคืนมาเป็นของชาวพุทธ อนาคาริก ธรรมปาละ • ท่า ท่ นเกิด กิ ในครอบครัว รั ผู้มั่ ผู้ ง มั่ คั่ง คั่ บิด บิ าชื่อ ชื่ ว่า ว่ เดวิด วิ เหววิต วิ รเน เมื่อ มื่ ได้อ่ ด้ า อ่ น หนังสือเรื่อ รื่ งประทีปที แห่งเอเชีย ชี ของท่า ท่ นเซอร์ เอ็ด อ็ วิล วิ อาร์โร์ นล ก็เ ก็ กิด กิ ความ ซาบซึ้ง ซึ้ มีค มี วามคิดอยากอุทิศทิ ชีวิ ชี ต วิ ถวายต่อ ต่ พระพุท พุ ธองค์ในการฟื้นฟูพุ ฟู ท พุ ธ ศาสนาที่อิ ที่ น อิ เดีย ดี จึง จึ ออกเดิน ดิ ทางสู่อิ สู่ น อิ เดีย ดี เมื่อ มื่ ได้เ ด้ ห็นเจดีย์ ดี พุ ย์ ท พุ ธคยาที่ชำ ที่ ชำรุด ทรุดโทรมถูก ถู ทอดทิ้ง ทิ้ และอยู่ใยู่ นความครอบครองของพวกมหันต์ จึง จึ เกิด กิ ความสังเวชใจ ที่ไ ที่ ด้พ ด้ บเห็นเช่น ช่ นั้น จึง จึ ทำ การอธิษ ธิ ฐานต่อ ต่ ต้น ต้ พระศรีม รี หาโพธิ์ ว่า ว่ จะถวายชีวิ ชี ต วิ เป็นพุท พุ ธบูช บู า เพื่อฟื้นฟูพุ ฟู ท พุ ธศาสนา ในอิน อิ เดีย ดี และนำ พุท พุ ธค ยากลับ ลั คืนมาเป็นสมบัติ บั ข ติ องชาวพุท พุ ธทั่ว ทั่ โลกให้ได้
จัด จั ทำ โดย คณะผู้จัดทำ พระอัสสชินายธีรเดช นะสพระอานนท์นายณัฐภัทร , พระอนุรุทธเถระ นางสาวธัพระองคุลิมาล นายณฐพลพระกีสาโคตมีเถรีนายแทน, พระธัมมทินเถรีนางสาวพิพระปฏาจาราเถรีนายศรัณหมอชีวกโกมารกัจจ์นายหัจิตตคหบดีนางสาวเพียงด, , -, , , , .