ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.1 ม.3/7
ใบงานเรอ่ื ง ผลของปฏิกริ ิยาเคมีต่อสง่ิ มีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม
คาชแ้ี จง จงเลอื กคาตอบทีถ่ กู ท่สี ดุ
1) สารตา่ งๆ เม่อื ทง้ิ ลงแหลง่ นา้ จะทาใหเ้ กิดนา้ เนา่ เสยี เพราะอะไร
ก. สารละลายลงในน้า ข. แกส๊ ในน้าทาปฏิกริ ยิ าเคมกี บั สาร
ค. สารตกตะกอนทบั ถมในแหลง่ นา้ ง. จุลนิ ทรียย์ อ่ ยสลายสารต่างๆ
2) ขอ้ ใดคือผลของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสารท่ีมผี ลมาจากอณุ หภูมขิ องโลกสงู ขนึ้
ก. การเกิดฝนกรด ข. แขง็ บริเวณข้ัวโลกละลาย
ค. การเกดิ มลพิษของนา้ จากนา้ ท้งิ ตามอาคารบ้านเรอื น ง. การเกิดระเบดิ ของสารเคมี
3) สารสม้ ชว่ ยให้นา้ คลองใสไดอ้ ย่างไร
ก. อนภุ าคสารส้มจะทาปฏกิ ิริยาเคมีกบั อนภุ าคดนิ ทแ่ี ขวนลอยอยูใ่ นนา้ คลอง ทาให้อนภุ าคดนิ
สลายตวั ไป
ข. อนภุ าคสารสม้ จะเข้าไปลอ้ มรอบอนภุ าคดิน และดงึ ให้จมลงสกู่ น้ ภาชนะ
ค อนภุ าคสารส้มจะเปน็ แกนใหอ้ นภุ าคดนิ มาเกาะจนมนี า้ หนกั มากขนึ้ และจมลงสกู่ น้ ภาชนะ
ง ไมม่ ีข้อใดกลา่ วถูกตอ้ ง
4) ลุงมาใชป้ ูนขาวโรยบนท้องนาที่เป็นดนิ เปรีย้ ว เพราะเหตุใด
ก. ปูนขาวเปน็ เบสชว่ ยลดความเปน็ กรดของดนิ ข. ปนู ขาวเป็นกรดชว่ ยลดความเป็นเบสของดนิ
ค. ปูนขาวเปน็ เบสชว่ ยเพ่มิ ความเป็นเบสของดนิ ง. ปูนขาวเปน็ กรดชว่ ยเพม่ิ ความเป็นกรดของดิน
5) จากข้อ4เป็นปฏกิ ริยาทเ่ี รียกวา่
ก. ปฏกิ ิริยาระหวา่ งกรดกบั คาร์บอเนต ข. การเกิดออกไซด์ของโลหะ
ค. ปฏิกิรยิ าการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ ง.ปฏกิ ิรยิ าสะเทินระหว่างกรดและเบส
6) ขอ้ ใดเปน็ การใช้ประโยชนจ์ ากปฏิกริ ยิ าการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์
ก. การทาน้ายาฟอกสผี ม ข. การทายาลดกรดในกระเพาะอาหาร
ค. การทาดอกไม้ไฟ ง. การทาแบตเตอร่ี
7) ในการปอ้ งการเกิดสนมิ ของโลหะ ถ้าตอ้ งการใหอ้ ตั ราการเกดิ สนมิ ลดลง ควรทาอย่างไร
ก. การทาสี ข. การทาน้ามัน ค. การเคลอื บพลาสตกิ ง. ถูกทกุ ขอ้
8) แก๊สชนดิ ใดที่แทรกตวั อยู่ในเนอ้ื ขนมเคก้
ก. แกส๊ ออกซเิ จน ข. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ค. แกส๊ ไฮโดรเจน ง. แกส๊ ไนโตรเจน
9) แก๊สใดไมท่ าให้เกิดฝนกรด
ก. CH4 ข. NO3 ค. CO2 ง. SO 3
10) ปฏิกิรยิ าใดที่ไมไ่ ดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ปน็ แกศ๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
ก. การเผาไหม้ของเชอื้ เพลงิ ข. กระบวนการหายใจ
ค. การเกดิ ฝนกรด ง. การเกิดหินงอกหนิ ยอ้ ย
ชื่อ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.1 ม.3/8
ใบงานเร่อื งผลปฏิกริ ยิ าเคมตี อ่ สิ่งมชี ีวติ และส่งิ แวดล้อม
คาชแี้ จง จงจบั คู่ความสัมพนั ธข์ องขอ้ ความและตัวอกั ษร
A. CH4(g) + O2(g) CO2(g) + H2O(l)
B. 2CaH(CO3)2(aq) ความร้อนจากดวงอาทิตย์ CaCO3(s) + H2O(l) + CO2(g)
C. Fe(s) + 2HCl(aq) FeCl3(aq) + H2(g)
D. 6CO2(g) + 12H2O(l) + พลังงานแสง C6H12O6 (s) + 6H2O(l) + 6O2 (g)
E. 4Fe(s) + 3O2(g) + 6H2O(l) 2Fe2O3.3H2O
F. C3H8(g) + 3O2(g) 2CO(g) + C(s) + 4 H2O(l)
G. SO2(g) + H2O(l) H2O3(aq)
H. NaHCO3(s) Na2CO3(s) + CO2(g) + H2O(l)
I. Mg(OH)2(aq) + 2HCl(aq) MgCl2 (aq) + 2H2O(l)
J. H 2 So4(aq) + CaCO3(s) CaCO4(s) + CO2(g) + H2O(l)
................ 1. การเกดิ ฝนกรด
................ 2. การเกดิ หนิ งอกหนิ ยอ้ ย ไ
................ 3. การเผาไหม้อยา่ งสมบรู ณ์
................ 4. การเผาไหม่ไมส่ มบูรณ์
................ 5. การผกุ ร่อนของโลหะ
................ 6. การกินยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
................ 7. การสลายตวั ของผงฟเู มอื่ ได้รบั ความรอ้ น
................ 8. การสังเคราะหแ์ สงของพืช
................ 9. ปฏิกรยิ าระกวา่ งกรดกับวัสดคุ าร์บอเนต
................ 10. การเกิดสนมิ เหลก็
ตอนท่ี 2 สัญลักษณ์ต่อไปนมี้ ีความหมายวา่ อยา่ งไร
อันตรายต่อสุขภาพ วัตถุระเบดิ อนั ตรายตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม
ช่ือ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2
ใบงานเร่อื งผลพอลเิ มอร์
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องว่างต่อไปนีใ้ หถ้ กู ตอ้ ง
1. พอลเิ มอร์ หมายถงึ อะไร สารท่มี ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ เกิดจากโมเลกลุ พืน้ ฐานที่เรียกวา่ มอนอเมอร์
ซ่งึ เป็นโมเลกลุ เดยี่ วจานวนมากมาเชอ่ื มตอ่ กันดว้ ยพันธะโคเวเลนต์
2. พอลเิ มอร์แบ่งออกตามแหลง่ กาเนิดเป็นแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ พอลเิ มอร์ธรรมชาติ
และพอลเิ มอร์สงั เคราะห์
3. พอลเิ มอรแ์ บ่งออกตามส่วนประกอบแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ โฮโมพอลิเมอร์ และโคพอลเิ มอร์
4. 3.โครงสร้างพอลิเมอร์มี 3 แบบ คอื
จงเติมขอ้ ความในชอ่ งวา่ งให้สมบรู ณ์
โครงสรา้ งและสมบัตพิ อลเิ มอร์
โพลิเมอรแ์ บบเสน้ โพลิเมอรแ์ บบกง่ิ โพลเิ มอร์แบบร่างแห
สมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ สมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ สมบตั ขิ องพอลเิ มอร์
แข็ง ขนุ่ และเหนยี ว ยดื หยุน่ ความหนาแน่น แข็ง ไมย่ ืดหยุ่น
ออ่ นตวั เมอ่ื ไดร้ ับความ และ จุดหลอมเหลวตา่ จดุ หลอมเหลวสงู
ออ่ นตวั เมื่อไดร้ บั ความ
รอ้ น ตวั อยา่ ง
ร้อน พอลฟิ ีนอล
ฟอร์มาลดีไฮด์ หรอื เบ
ตวั อยา่ ง ตวั อยา่ ง กาไลต์ และเมลามนี
พอลิเอทลิ นี พอลโิ พรพิ พอลิเอทิลนี ชนิดความ
ลีน พอลิไวนิลคลอไรด์ หนาแนน่ ต่ า (LDPE)
ชือ่ ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2
ใบงานเรอื่ งผลเซรามกิ และวัสดผุ สม
คาชแี้ จง ให้นกั เรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างต่อไปนใ้ี หถ้ กู ตอ้ ง
1.เซรามิก(Ceramic) หมายถึง วสั ดุทเี่ กิดจากการรวมกนั ของสารอนนิ ทรีย์ ( inorganic ) เช่น ดิน หนิ ทราย
แรธ่ าตุตา่ งๆ นามาผสมกัน แล้วนาไปเผาท่ีอุณหภูมิสงู เพอ่ื เปลยี่ นเนื้อวตั ถใุ ห้แข็งแรง สามารถคงรปู อยู่ได้
2. เซรามิกจาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 เซรามกิ ดั้งเดมิ (Traditional ceramics)
2.2 เซรามกิ สมัยใหม่ (Fine ceramics/ new ceramics/ advanced ceramics)
3. คณุ สมบตั ทิ ั่วไปของ Ceramics
มคี วามแข็งสงู มคี วามตา้ นทานต่อแรงกดไดด้ ี ความต้านทานแรงดงึ ต่า จดุ หลอมเหลวสงู
มคี ่าความยดื หยนุ่ (Elasticity) และ Toughness ต่า บางชนิดมคี วามแข็งแรงสงู ทัง้ ทอี่ ุณหภูมิต่า และสูง
ทนการกัดกรอ่ นจากสารเคมไี ดด้ ี เพราะมพี นั ธะเคมีแขง็ แรง
4. จงยกตัวอย่างผลติ ภณั ฑเ์ ซรามิกทีพ่ บในชวี ติ ประจาวัน เชน่ ถว้ ย ชาม แจกัน แกว้ เครอ่ื งปั้นดนิ เผา
5. วัสดุผสม (composites) อาจจะแบง่ ไดต้ ามลักษณะของตวั เสริมแรง ไดแ้ ก่
1. ตวั เสรมิ แรงมลี กั ษณะเปน็ เส้นใย (Fibrous Composites)
2. ตัวเสริมแรงมีลกั ษณะเปน็ อนุภาค (Particulate Composites)
3. ตัวเสรมิ แรงมลี ักษณะเป็นชน้ิ เลก็ ๆ (Flake Composites)
4. ตัวเสริมแรงเป็นสารตวั เติม (Filled Composites)
5. ตัวเสริมแรงมลี กั ษณะเป็นช้นั หรือชนิดซ้อนแผน่ (Laminar or Layered Composites)
6. ปนู ซเี มนตแ์ บ่งตามประเภทการใช้งานได้ 3 ประเภท
ปนู ซีเมนตป์ อร์ตแลนด์ ปนู ซีเมนต์ผสม ปนู ซเี มนต์ขาว
7. จงยกตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์เซรามกิ สมยั ใหม่
Nuclear Fuels เชอื้ เพลงิ นวิ เคลยี ร
Electro-optic ceramics ใช้ในการแปลงสณั ญาณแสง สี เปน็ สณั ญาณไฟฟ้า(และกลบั กนั ) เลเซอร์
Magnetic ceramic ใช้ในหน่วยความจาของคอมพวิ เตอร์ และงาน microwave
dielectric ceramic ตัวเก็บประจุ
Aerospace application ช้ินส่วนยานอวกาศ
8. จงบอกการนาปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์เหลา่ น้ไี ปใช้
8.1 เปน็ ปูนซีเมนตป์ อรต์ แลนด์ธรรมดา เหมาะกับงานก่อสรา้ งคอนกรีตทวั ๆ ไป คาน เสา พนื ถนน
8.2 ปูนซเี มนต์ปอรต์ แลนด์ดัดแปลง เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ เชน่ ตอมอ่ สะพาน ทา่ เทียบเรอื
8.3 ปูนซเี มนตป์ อรต์ แลนด์ ทีท่ นต่อเกลอื ซัลเฟตไดส้ งู เหมาะกับงานก่อสรา้ ง บริเวณดนิ เคม็ หรอื ใกล้กับทะเล
ชือ่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2
ใบงานเรือ่ งผลผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดผุ สม
คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบทถ่ี กู ทสี่ ดุ
1. ปัจจบุ นั มีการแบ่งพลาสติกออกเป็นกก่ี ลมุ่ และใช้ส้ญลักษณแ์ บบใด
ก. พลาสตกิ แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ ใชส้ ญ้ ลักษณ์ ทเ่ี กดิ จากลูกศร 3 อันวงิ่ ตามกนั ล้อมรอบตัวเลข
ข. พลาสติกแบง่ เป็น 6 กลุ่มใชส้ ้ญลกั ษณ์ ที่เกดิ จากลูกศร 3 อนั วง่ิ ตามกัน ล้อมรอบตัวเลข
ค. พลาสตกิ แบ่งเปน็ 7 กลุ่มใชส้ ้ญลกั ษณ์ ทเ่ี กดิ จากลกู ศร 3 อันว่งิ ตามกัน ลอ้ มรอบตวั เลข
ง. พลาสตกิ แบง่ เป็น 8 กลมุ่ ใชส้ ้ญลกั ษณ์ ทเ่ี กดิ จากลกู ศร 3 อนั วิง่ ตามกนั ลอ้ มรอบตวั เลข
2. PET เป็นพลาสตกิ กลมุ่ ใด ใชท้ า ผลติ ภณั ฑใ์ ด
ก. พลาสติกกลมุ่ ท่ี 1 ใช้ทาขวดนา้ ด่มื ขวดน้ามัน
ข. พลาสตกิ กลมุ่ ที่ 2 ใช้ทา ขวดแชมพูสระผม ขวดนม
ค. พลาสติกกลุม่ ท่ี 4 ใชท้ าฟลิ มส์ าหรบั ห่ออาหาร ถงุ เยน็
ง. พลาสติกกลมุ่ ที่ 5 ใชท้ ากระบอกใส่นา้ เย็น ถุงร้อนชนดิ ใส
3. โฟมบรรจุอาหาร เป็นพลาสตกิ ประเภทใด
ก. พลาสตกิ ประเภท PS ข. พลาสติกประเภท PP
ค. พลาสตกิ ประเภท LDPE ง. พลาสติกประเภท HDPE
4. ถุงรอ้ นชนดิ ขุ่น และถุงหหู ้ิว เป็นพลาสติกประเภทใด
ก. พลาสติกกลุ่มท่ี 1 ข. พลาสตกิ กลุ่มท่ี 2 ค. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 3 ง. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 4
5. ทอ่ ประปา PVC ทาจากพลาสตกิ ประเภทใด
ก. พอลโิ พรพลิ ีน ข. พอลไิ วนิลคลอไรด์
ค. พอลิเอทลิ ีน ความหนาแนน่ ตา่ ง. พอลเิ อทิลนี ความหนาแนน่ สงู
6. อุปกรณ์ใดมีพอลเิ มอรด์ ดู นา้ เปน็ สว่ นประกอบ
ก. ผ้าออ้ มสาเรจ็ รปู ข.ผา้ อ้อมทท่ี าจากผา้ สาลี
ค. ผา้ อ้อมที่ทาจากผา้ สาลู ง. ถูกทกุ ข้อ
7. สญั ลกั ษณ์ สมบัติต่าง ๆ ของพลาสติก ข้อใด หมายถึง เปน็ ฉนวนกันความรอ้ น
8. สัญลักษณพ์ ลาสตกิ HDPE คือข้อใด ค. ง.
ก. ข.
แบบฝึกหดั ท้ายหน่วย คะแนน
คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบทีถ่ กู ทส่ี ดุ
1. เมื่อเอาโลหะเหล็กทีบ่ ดเปน็ ผงละเอยี ดใส่ลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก ขอ้ ใดใหอ้ ัตราการ
เกดิ ปฏิกริ ิยาเฉลย่ี สูงสดุ
ก. 1.0 g ทาปฏกิ ิริยาใน 10 นาที ข. 0.01 g ทาปฏกิ ิริยาใน 1 นาที
ค. 0.20 g ทาปฏิกิริยาใน 1 นาที ง. 0.4 g ทาปฏิกริ ิยาใน 10 นาที
2. กราฟต่อไปน้แี สดงการเปลยี่ นแปลงของ Y ตาม X ในการศกึ ษาเรอ่ื งอัตราการเกิด ปฏิกริ ยิ า X และ Y
ควรเปน็ ก. X คอื อณุ หภูมิ Y คอื ความเข้มขน้
ข. X คือ เวลา Y คือความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์
ค. X คือ อณุ หภมู ิ Y คือ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า
ง. X คอื ความเขม้ ขน้ ของผลติ ภณั ฑ์ Y คือ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ า
3. สิ่งใดต่อไปนี้ ห้ามทง้ิ ลงอา่ งนา้ หรอื ทอ่ นา้ ทิง้ โดยตรง
ก. สารไวไฟ ข. สารไวปฏกิ ริ ยิ ากบั น้า เช่น โลหะแมกนีเซยี ม
ค. สารตวั ทาละลาย ง. ข้อ ก. และ ค. ถกู ต้อง
4. 2. พลังงานก่อกัมมนั ต์ (Ea) คืออะไร
ก. พลังงานสงู ทีส่ ดุ ทอ่ี นภุ าคของสารจะตอ้ งมเี พื่อใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏกิ ริ ยาิ
ข. พลังงานสูงท่สี ุดทอ่ี นภุ าคของสารเชงิ ซอ้ นจะต้องมเี พ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏกิ ิริยา
ค. พลังงานตา่ ทส่ี ดุ ทอ่ี นภุ าคของสารจะตอ้ งมเี พือ่ ใหช้ นกันแล้วเกดิ ปฏิกริ ิยา
ง. พลงั งานตา่ ท่สี ดุ ท่อี นภุ าคของสารเชิงซ้อนจะตอ้ งมีเพอ่ื ใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏิกริ ยิ า
5. ข้อใดไม่ใชฏ่ ิกิรยิ าเคมี
ก. จุดธปู ไหวพ้ ระ ข. เตมิ นา้ ตาลลงในกาแฟร้อน ค. บ่มมะม่วงให้สุก ง. อาหารบดู จากอากาศรอ้ น
6.โครงสร้างพลาสติกแบบใดมคี วามแขง็ แรงมากทสี่ ุด
ก.แบบโซ่ตรง ข.แบบโซ่กงิ่ ค.แบบร่างแห ง.แบบโซต่ รงผสมกบั โซก่ ง่ิ
7.“พอลิไวนลิ คลอไรด์เกิดจากโมเลกุลของไวนิลคลอไรดม์ าตอ่ กันด้วยพนั ธะโคเวเลนต์”
จากข้อความดงั กลา่ ว อะไรคอื มอนอเมอร์
ก. ไวนิล ข. โคเวเลนต์ ค. ไวนิลคลอไรด์ ง. พอลิไวนลิ คลอไรด์
8. จากข้อ 7 อะไรคือพอลเิ มอร์
ก. ไวนลิ ข. โคเวเลนต์ ค. ไวนลิ คลอไรด์ ง. พอลิไวนิลคลอไรด์
9. โฟมบรรจุอาหาร เปน็ พลาสตกิ ประเภทใด
ก. พลาสตกิ ประเภท PS ข. พลาสติกประเภท PP
ค. พลาสตกิ ประเภท LDPE ง. พลาสตกิ ประเภท HDPE
10. ถุงรอ้ นชนดิ ข่นุ และถุงหูห้ิว เปน็ พลาสติกประเภทใด
ก. พลาสติกกลุ่มที่ 1 ข. พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 2 ค. พลาสตกิ กลุ่มท่ี 3 ง. พลาสติกกลมุ่ ท่ี 4
ม.3
ไฟฟา้
ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/3
ใบงานเรื่องผลปริมาณทางไฟฟา้
คาชแ้ี จง จงเตมิ ข้อความในช่องวา่ งใหส้ มบรู ณ์
ชนดิ หนว่ ย สัญลกั ษณ์
กาลังไฟฟา้ วตั ต์ W
กระแสไฟฟา้ แอมแปร์ A
ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ โวลต์ V
ความถ่ีของไฟฟ้า เฮริ ตซ์ Hz
ความตา้ นทานไฟฟา้ โอห์ม Ω
1. กระแสไฟฟา้ แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ คือ
1.ไฟฟ้ากระแสตรง 2. ไฟฟา้ กระแสสลบั
2.จากข้อ 1 ท้ังสองอย่างต่างกันอย่างไร
ไฟฟา้ กระแสตรง(DC) เปน็ ไฟฟ้าทีม่ าจากขั้วลบเพยี งอยา่ งเดยี ว มที ิศทางการไหลไปในทางเดยี ว
ซ่ึงจะเรมิ่ ออกจากแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ จากข้ัวลบผา่ นเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแล้วเข้าสขู่ ั้วบวกของแหลง่ กาเนิด
ไฟฟา้ มีคุณสมบตั ิพเิ ศษคือกระแสไฟฟ้านนั้ มแี รงดนั เปน็ บวกอยู่เสมอและสามารถเกบ็ ประจเุ อาไว้
ใช้งานกบั แบตเตอรไี่ ด้
ไฟฟา้ กระแสสลับ(AC) เปน็ ไฟฟ้าทม่ี ีการไหลไปในทศิ ทางทีส่ ลบั ไปสลบั มา หรือพูดงา่ ยๆ วา่ เปน็
กระแสไฟฟ้าทไ่ี มม่ ีข้วั นั้นเอง มคี ุณสมบตั พิ ิเศษประจาตัวคือสามารถสง่ กระแสไฟฟา้ ไปในท่ีไกลๆ
โดยที่แรงไม่ตก และสามารถปรับระดบั แรงดนั ดว้ ยตนเองได้
3. เคร่ืองมอื วัดกระแสไฟฟา้ คอื แอมมเิ ตอร์ (Ammeter)
4. เครือ่ งมือทใี่ ช้วดั ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ คือ โวลตม์ ิเตอร์ (Voltmeter)
5.การต่อแอมมิเตอร์กบั วงจรไฟฟ้าตอ้ งตอ่ แบบขนานหรอื อนุกรม อนุกรม
6.การต่อโวลตม์ ิเตอร์กับวงจรไฟฟา้ ตอ้ งตอ่ แบบขนานหรืออนกุ รม ขนาน
7. กระแสไฟฟ้าตามบ้าน คือ ไฟฟ้ากระแสสลบั
ช่ือ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2
ใบงานเรือ่ งผลกฎของโอมห์ (1)
คาชแี้ จง จงแสดงวธิ ีทา
1. นาเครื่องใช้ไฟฟา้ ชนดิ หนึง่ ทมี่ คี วามตา้ นทาน 50 โอหม์ ไปต่อกับแบตเตอรจ่ี ากนนั้ วัดกระแสไฟฟา้
ทไ่ี หลผ่านเคร่อื งใช้ไฟฟ้าน้ไี ด้ 10 แอมแปร์ อยากทราบวา่ แบตเตอร่ีใหค้ วามต่างศักยเ์ ทา่ ใด
ส่งิ ทโ่ี จทย์ถามหา คือ V = ?
วธิ ีทา จากสูตร V = IR
แทนคา่ V = 10 แอมแปร์ (A) X 50 โอหม์ ( Ω )
= 500 โวลต์ (V)
ตอบ แบตเตอรี่ใหค้ วามตา่ งศักย์ 500 โวลต์ (V)
2. เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ชนิดหนง่ึ มีความตา้ นทาน 11 ( Ω ) เมื่อเปิดเคร่อื งมกี ระแสไหลผา่ น 20 แอมแปร์
อยาก ทราบว่าเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้านีต้ อ่ เข้ากบั ความตา่ งศักย์กโี่ วลต์
สิ่งที่โจทย์ถามหา คอื V = ?
วิธีทา จากสตู ร V = IR
แทนค่า V = 20 แอมแปร์ (A) X 11 โอหม์ ( Ω )
= 220 โวลต์ (V)
ตอบ เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ นีต้ อ่ เขา้ กับความต่างศกั ย์ 500 โวลต์ (V)
3. เตารีดเครอื่ งหนงึ่ มคี วามตา้ นทาน 33 โอหม์ ต่อกบั ความตา่ งศกั ย์ 220 โวลต์ เม่ือเปิดใชง้ านจะ
มี กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเทา่ ใด
สงิ่ ท่ีโจทย์ถามหา คือ I = ?
วิธที า จากสูตร V = IR
I =
220 โวลต์ (V)
= 44 โอหม์ ( Ω )
= 5 แอมแปร์ (A)
ตอบ เมอื่ เปิดใชง้ านจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 5 แอมแปร์ (A)
ชื่อ..........................................................................ชน้ั ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2
ใบงานเร่ืองผลกฎของโอมห์ (2)
คาชแี้ จง จงแสดงวิธที า
4. ลวด 3 เส้น มีความตา้ นทาน 2, 4 และ 6 โอห์ม นามาตอ่ กนั แบบอนกุ รม ดงั รปู เมื่อนาทั้งหมดไปตอ่
กบั ความต่างศักย์ 48 โวลต์ จงหา
R1 = 2 R2 = 4 R3 = 6
II
1.1 ความตา้ นทานรวมทง้ั วงจร
จากสูตร ความต้านทานรวม = R1 + R2 + R3
=2+4+6
= 12 ( Ω )
ความตา้ นทานรวม คอื 12 โอห์ม
1.2 กระแสทไี่ หลในวงจร
จากสูตร V = IR
40 = I x 12
I = = 4 แอมแปร์
กระแสทไ่ี หลในวงจร = 4 แอมแปร์
2.3 ความตา่ งศกั ยท์ ีว่ ัดได้บนความต้านทานแตล่ ะตัว
R1 = 4 x 2 = 8 โวลต์
R2 = 4 x 4 = 16 โวลต์
R3 = 4 x 6 = 24 โวลต์
ชอื่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8
ใบงานเรือ่ งผลกาลงั ไฟฟ้า
คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ต้อง
1.กระติกน้าร้อนไฟฟา้ ขนาด 670 W 220 V หมายความวา่
ต้องใชก้ ับไฟ 220 โวลต์ กระติกน้าร้อนไฟฟา้ เคร่ืองนี้ ใชก้ าลงั ไฟ 670
วัตต์
2.หลอดไฟ ขนาด 220 V 60 Wหลอดไฟหมายความวา่
ต้องใชก้ บั ไฟ 220 โวลต์ เท่าน้นั และหลอดไฟนม้ี กี าลงั ไฟฟา้ 60 วัตต์
3. 220 V 50 Hz 1000 W หมายความว่า
ต้องใชก้ ับไฟ 220 โวลต์ ความถ่ี 50 Hz
เครอื่ งปรบั อากาศจงึ ใหก้ าลงั 1000 W
4.เตารดี ไฟฟ้าอันหนึ่งใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ 7,700 จูล ในเวลา 7 วินาที และ
ขณะใชง้ านมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 5 แอมแปร์ เตารดี ไฟฟ้าอนั นต้ี อ้ งใช้
กบั ไฟฟา้ ความตา่ งศักยเ์ ท่ากับ
W W 7,000
V = t x I t=x I 7 =x 5 220 โวลต์
5. 220 V 1100 W ต้เู ยน็ นมี้ ีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ นเทา่ กบั
I = = I = 1100 = 5 แอมแปร์
220
ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8
ใบงานเรื่องผลพลังงานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟ้า(1)
คาชแี้ จง จงแสดงวธิ ที า
1.สูตรท่ใี ช้ในการคานวณหาค่าพลงั งานไฟฟา้ คอื W = Pt
2. ถา้ ใช้หลอดไฟฟ้าขนาด 1000 จลู ในเวลา 10 วนิ าที ไฟดวงนีม้ กี าลงั ไฟฟ้าเทา่ ใด
พลงั งานไฟฟ้า(จลู )
วิธที า กาลงั ไฟฟา้ (วัตต์) = เวลา (วนิ าท)ี
แทนคา่ กาลังไฟฟ้า = 1000
10
= 100 จลู /วินาที
ตอบ ดังนัน้ หลอดไฟดวงนใี้ ช้พลังไฟฟา้ ไป 100 จลู /วินาที หรอื 100 วตั ต์
3. ถา้ เปิดเคร่อื งปรับอากาศทมี่ ีกาลงั ไฟฟ้า 1,500 วัตต์ นาน 3 ช่วั โมง จะสิ้นเปลอื งพลังงานไฟฟา้ กี่หน่วย
วิธีทา เคร่ืองปรบั อากาศมีกาลงั ไฟฟ้า 1,500 วัตต์ = 1500 = 1.5 กิโลวตั ต์
1000
พลงั งานไฟฟา้ (หนว่ ย) = กาลังไฟฟา้ (กิโลวัตต์) x เวลา (ช่วั โมง)
= 1.5 กโิ ลวตั ต์ x 3 ชัว่ โมง
= 4.5 หนว่ ย
ตอบ ดงั นัน้ เครื่องปรบั อากาศเคร่ืองน้ีจะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 4.5 หน่วย
4. บา้ นหลงั หนึ่งนี้ไฟฟา้ ดงั น้ี หลอดไฟฟา้ 40 W จานวน 3 ดวง ใชว้ นั ละ 9 ช่ัวโมง ถา้ เสียค่าไฟฟา้ หนว่ ยละ 6
บาท เจา้ ของบา้ นหลังนี้จะจ่ายค่าไฟสาหรับหลอดไฟ 3 ดวงนี้เทา่ ใด
วธิ ีทา หลอดไฟมกี าลงั ไฟฟา้ = 40 W จานวน 3 ดวง
พลงั งานไฟฟา้ (หนว่ ย) = กาลงั ไฟฟ้า (กโิ ลวตั ต์) x เวลา (ชั่วโมง)
= 40 3 9 = 1.08 หน่วย
1000
ดังนั้น เปิดไฟพรอ้ มกัน 3 ดวง จะสิ้นเปลอื งพลงั งานไฟฟ้า 1.08 หน่วย
ค่าไฟหนว่ ยละ 6 บาท = 1.08 x 6 บาท = 6.48 บาท
ตอบ ดังนัน้ เจ้าของบา้ นหลังน้ีจะจา่ ยค่าไฟสาหรับหลอดไฟ 3 ดวงนี้ 6.48 บาท
ชอื่ ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8
ใบงานเรอื่ งผลพลงั งานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟ้า(2)
คาชแ้ี จง จงแสดงวธิ ที า
5. บ้านหลังหนง่ึ ใชไ้ ฟฟ้าดงั น้ี หลอดไฟฟ้า 50 W จานวน 8 ดวง ใช้วนั ละ 8 ช่วั โมง พดั ลม 80 W จานวน
3 ตวั ใชว้ ันละ 15 ชวั่ โมง ตเู้ ยน็ 2000 W ใช้วนั ละ 24 ชว่ั โมง ถ้าเสยี ค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 6 บาท เจา้ ของ
บ้านหลงั นจ้ี ะจา่ ยคา่ ไฟฟ้าเดอื นละเทา่ ใด
วธิ ีทา พลังงานไฟฟ้าหลอดไฟ = 50 W x 8 = x 8 = 3.2 หนว่ ย
พลงั งานไฟฟ้า (หน่วย) = กาลังไฟฟา้ (กิโลวตั ต์) x เวลา (ชัว่ โมง)
= 50 8 x 8 ชว่ั โมง = 3.2 หน่วย
1000
พลังงานไฟฟ้าพัดลม = 80 W x 3
= 80 3 x 15 ชวั่ โมง = 3.6 หนว่ ย
1000
พลงั งานไฟฟา้ ตเู้ ยน็ = 240 W
= 2000 x 24 ช่วั โมง = 48 หน่วย
1000
พลังงานไฟฟ้ารวมของเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ทง้ั หมด = (3.2 + 3.6 + 48 ) X 6
ตอ่ วนั = 328.8 บาท
ตอ่ เดือน = 30 วนั
ต่อเดือน = 328.8 X 30 = 9864 บาท
ตอบ ดังนั้น เจ้าของบ้านหลังนจี้ ะจ่ายค่าไฟสาหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า 9864 บาท
ชอื่ ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5
ใบงานเรื่องผลวงจรไฟฟา้ แบบต่างๆ
คาชี้แจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
1ภาพนี้คอื วงจรใด วงจรอนุกรม
2. เมอื่ ต่อดังภาพ จะทาให้กระแสไฟฟ้า ไหลไปในทิศทางเดยี วกันและ
ไหลผ่านความตา้ นทานแตล่ ะตัวดว้ ยค่าที่ เท่ากนั เท่ากบั กระแสไฟฟ้าที่แหลง่ จ่าย
ไฟฟา้ จา่ ยออกมา
3. คา่ ความตา้ นทานรวมของวงจร RT = R1 + R2
4. ภาพนคี้ ือวงจรใด วงจรขนาน
5. เม่ือต่อดงั ภาพ จะทาให้กระแสไฟฟ้า ไหลแยก ไปส่ตู วั ตา้ น
ทานแตล่ ะตัวทีข่ นานกัน
6. ค่าความตา้ นทานรวมของวงจร RT = 1 + 1
R1 R1
7. ภาพน้คี ือวงจรใด วงจรผสม R1 R2
R3
8. ค่าความต้านทานรวมของวงจร RT =
9. วงจรไฟฟา้ คอื เสน้ ทางทก่ี ระแสไฟฟ้าผา่ นอปุ กรณต์ ่างๆได้ครบวงจร
10. วงจรไฟฟา้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื วงจรปดิ และ วงจรเปิด
ช่ือ..........................................................................ช้นั ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5
ใบงานเรื่องผลวงจรไฟฟา้ ในบา้ น
คาช้แี จง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง
1.ผงั วงจรไฟฟา้ ในบา้ นประกอบดว้ ยอุปกรณ์ไฟฟ้าตา่ ง ๆ
สายไฟ สะพานไฟ ฟิวส์ เต้ารบั เตา้ เสียบ และสวิตซไ์ ฟฟา้
2.เครื่องใชไ้ ฟฟา้ ตา่ ง ๆ ในผังวงจรนี้ ไดแ้ ก่ หลอดไฟ พดั ลม ต้เู ยน็ หมอ้ หงุ ข้าว เตารดี ไมโครเวฟ
3.เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ตอ่ อยู่ในวงจรแบบ ขนาน เพื่อทาให้อุปกรณ์และ เครื่องใช้ไฟฟา้ แต่ละชนดิ อยู่
คนละวงจร ซ่ึงถา้ เครื่องใชไ้ ฟฟ้าชนดิ หนงึ่ เกดิ ขดั ขอ้ งเนอ่ื งจากสาเหตใุ ดก็ตาม เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ชนดิ อื่นก็
ยงั คงใช้งานได้ตามปกติเพราะไม่ไดอ้ ย่ใู นวงจรเดียวกัน
4.กอ่ นท่กี ระแสไฟฟา้ จะไหลเข้ามาในบ้านจะตอ้ งผ่านมาตรไฟฟา้ ซ่ึงทาหน้าที่ วดั พลงั งานไฟฟา้ ที่ถูกใชไ้ ป
5. ไฟฟา้ ทใ่ี ชใ้ นบ้านเรอื นทั่วไปเปน็ ไฟฟา้ กระแส สลบั มคี วามต่างศักย์ 220 โวลต์ ความถ่ี 50 เฮิรตซ์
6. การส่งพลังงานไฟฟา้ เข้าบ้านจะใช้สายไฟ 2 เส้น คือ
1. สายกลาง หรอื สาย N มศี ักย์ไฟฟา้ เปน็ ศูนย์
2. สายไฟ หรอื สาย L มีศกั ย์ไฟฟา้ เป็น 220 โวลต
7. จากภาพเป็นวงจรเปดิ หรือวงจรปดิ วงจรเปดิ
8.ไฟตกคือ ปรากฏการณ์ที่โรงไฟฟ้าไม่สามารถจ่ายพลงั งานได้เพียงพอกบั ความตอ้ งการใช้
เครอื่ งใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นพรอ้ มๆ กัน มผี ลทาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเขา้ อปุ กรณ์และเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ลดลง
ไม่เพียงพอกบั การใชง้ าน
ช่ือ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6
ใบงานเรื่องผลอปุ กรณ์ในวงจรไฟฟา้
คาช้แี จง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง
1.ปัจจัยที่มีผลต่อความตา้ นทานไฟฟา้ ของลวดตวั นาไดแ้ ก่ ชนดิ ของลวดตวั นา อุณหภูมิของลวดตัวนา
ความยาวของลวดตวั นา และพน้ื ที่หนา้ ตดั ของลวดตัวนา
2.ฟิวส์ คือ .อปุ กรณท์ ี่ทาหน้าที่ปอ้ งกันไมใ่ ห้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นเขา้ มามากเกนิ ไป ถา้ มกี ระแสผา่ นมา
มากจะตดั วงจรไฟฟา้ ในบา้ นโดยอัตโนมตั ิ
เปน็ โลหะผสมระหว่าง ตะกัว่ กบั ดบี ุก และบิสมัท ซง่ึ เป็นโลหะที่มีจุดหลอมเหลวตา่ มีความต้านทานสงู
3.ฟวิ ส์ขนาด 5 แอมแปร์ คอื
ฟวิ สท์ ่ียอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นไดไ้ ม่เกนิ 5 แอมแปร์ ถา้ เกินกวา่ นฟี้ วิ สจ์ ะขาด
4. การเลอื กใช้ฟิวส์ ควรเลือกขนาดของฟิวสใ์ ห้พอเหมาะกบั ปริมาณกระแสไฟฟ้าทใ่ี ช้ในบา้ น
ซึ่งเรา สามารถคานวณหาขนาดของฟิวสใ์ หเ้ หมาะสมกบั ปรมิ าณกระแสไฟฟา้ จากความ สมั พนั ธต์ อ่ ไปนี้
จากสตู ร P = IV
5.สะพานไฟมีความสาคัญตอ่ วงจรไฟฟ้าในบา้ นคอื
เป็นอปุ กรณส์ าหรบั ตดั หรือตอ่ วงจรไฟฟ้าทง้ั หมดภายในบ้าน
6.สวิตซ์ทใี่ ชก้ ับหลอดไฟ 1 ดวง ซึ่งสามารถเปิดปดิ ได้จาก 2 ตาแหน่ง คอื สวิตซส์ องทาง
7.เตา้ รับและเต้าเสยี บแบบ 3 ขา ดกี ว่าเตา้ รับและเตา้ เสยี บแบบ 2 ขา เพราะ
ขาที่3 จะเชอ่ื มต่อกบั สายดิน ช่วยปอ้ งกนั กรณกี ระแสไฟฟา้ รัว่
8.สวติ ซ์ท่ใี ช้ตามบา้ นเรอื นมี 3 แบบ คอื สวติ ซธ์ รรมดา สวติ ซ์ 2 ทาง และสวติ ซ์อตั โนมตั ิ
9. บ้านหลงั หนง่ึ มดี งั น้ี เตาอบ ขนาด 900 วัตต์/ เครื่องปัน่ ขนาด 250 วัตต์/ ตเู้ ย็น ขนาด 500 วตั ต์
จะต้องใช้ฟวิ ส์ขนาดก่แี อมแปร์ สาหรบั วงจรไฟฟ้าในบ้านหลงั น้ี
Hint ไฟบา้ นปกติ /ฟิวส์ปกติขนาด 5/10/15
วธิ ีทา จากสูตร I =
900
1. หาปริมาณการใชก้ ระแสไฟฟ้าผ่านเตาอบ = = 220 = 4.1
2. หาปริมาณการใชก้ ระแสไฟฟ้าผา่ นเครอ่ื งปน่ั = = 250 = 1.1
220
3. หาปรมิ าณการใชก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นต้เู ย็น = 500 = 2.3
220
รวมกระแสไฟฟา้ ทงั้ หมด 4.1 + 1.1 + 2.3 = 7.5
ดังนน้ั บา้ นหลังนค้ี วรใชฟ้ วิ สข์ นาด 10 A
ช่ือ..........................................................................ชัน้ ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9
ใบงานเรอื่ งผลเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าทีใ่ หแ้ สงสวา่ ง
คาชีแ้ จง ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ โดยให้ทาเครื่องหมาย √ หน้าขอ้ ท่ีเหน็ ว่าถกู
และเครอ่ื งหมาย X หน้าข้อทีเ่ หน็ วา่ ผดิ
......... 1.ทอมัส แอลวา เอดสิ นั เปน็ ผูป้ ระดษิ ฐห์ ลอดไฟฟา้ ใช้เปน็ คร้ังแรกดว้ ยไสห้ ลอด
ทังสเตนเส้นเลก็ ๆ
......... 2. แกส๊ ไนโตรเจนปอ้ งกันไส้หลอดไฟฟา้ ไม่ใหร้ ะเหิดกลายเป็นไอ
......... 3. หลอดแกว้ ทนความร้อนได้ดี ไม่แตกงา่ ย ภายในเป็น บรรจจุอากาศและไอปรอท
......... 4. หลอดฟลอู อเรสเซนต์ มปี ระสทิ ธภิ าพใหค้ วามสว่างมากกว่าหลอดไฟธรรมดา
ประมาณ 5 เท่า มีอายกุ ารใชง้ านมากว่ากว่าหลอดไฟธรรมดาถึง 8 เท่า
......... 5. สตาร์ตเตอร์ มลี ักษณะโครงสรา้ งคลา้ ยหมอ้ แปลงไฟฟา้
......... 6. การทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ พลงั งานไฟฟา้ ไอปรอท รงั สีอัตราไวโอเลต
สารเรอื งแสง พลงั งานแสงสวา่ ง
......... 7. สขี องหลอดฟลอู อเรสเซนต์ ขน้ึ อยูก่ บั แก็สทีบ่ รรจภุ ายใน
......... 8. หลอดไฟโฆษณาต้องใชก้ บั กระแสไฟฟา้ ทมี่ ีความตา่ งศักย์สงู ถึง 10,000 โวลต์
......... 9. แบลลสั ตเ์ ปน็ ตวั เพม่ิ ความตา่ งศักย์เพอื่ ให้หลอดไฟฟา้ สวา่ ง
......... 10.หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนตม์ รี าคาค่อนข้างแพง แตค่ ้มุ คา่ ในระยะยาว
......... 11. ซิงค์ซิลิเกตทีฉ่ าบไวใ้ หส้ ที องแกมฟ้า
......... 12. แมกนีเซยี ม ทงั สเตน เรืองแสง ใหส้ ีแดง
ชอ่ื ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9
ใบงานเรอ่ื งผลเครื่องใชไ้ ฟฟา้ ที่ให้ความร้อน
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี โดยใหท้ าเครอ่ื งหมาย √ หน้าขอ้ ทเ่ี หน็ วา่ ถกู
และเครือ่ งหมาย X หน้าข้อทเ่ี ห็นว่าผิด และแกข้ อ้ ความทผ่ี ดิ ใหถ้ กู ตอ้ ง
......... 1. ลวดนโิ ครม เปน็ ลวดโลหะผสม ระหวา่ งนกิ เกลิ กบั ทองแดง เพือ่ ให้มสี มบตั ดิ า้ นตา้ นทาน
ไฟฟ้าสงู จดุ หลอมเหลวสงู และเกดิ ความรอ้ นสงู
ลวดนโิ ครม เป็นลวดโลหะผสม ระหว่างนิกเกิลกบั โครเมยี ม
......... 2. เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ความร้อนไม่จาเป็นตอ้ งมตี ัวฉนวนกันไฟ
จาเป็นต้องมีปอ้ งกันลวดนิโครมละลายและปอ้ งกนั ไฟรว่ั
......... 3. ใยหิน/แผน่ ไมกา เป็นตวั กนั ไมใ่ หข้ ดลวดนโิ ครมหลอมละลาย
......... 4. เตารีด กระตกิ นา้ รอ้ น และไดรเ์ ปา่ ผม จาเป็นตอ้ งมี เทอร์มอสแตท (Thermostst)
เทอรม์ อสแตท (Thermostst) มกั จะมีในเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ท่ใี ห้ความรอ้ นเปน็ เวลานานๆ
......... 5. ตวั ควบคุมอุณหภมู ิ จะตอ้ งใช้โลหะชนดิ เดยี วกนั เพื่อให้ขยายตวั รึขดงอพร้อมๆกนั
ใช้โลหะคนละชนดิ เพื่อให้การขยายตวั รขึ ดงอไมพ่ ร้อมกนั
......... 6. ตวั ควบคมุ อุณหภูมิ ใช้ความรอ้ นควบคมุ วงจรเปดิ และวงจรปิดในเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า
......... 7. เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปลีย่ นพลังงานไฟฟ้าเป็นหลงั งานรปู อน่ื ได้แคพ่ ลงั งานใดพลงั งานหนงึ่
สามารถเปลยี่ นพลงั งานไดห้ ลายรปู เชน่ ไดร์เปา่ ผมทเี่ ปน็ ทงั้ พลงั งานความร้อนและพลงั งานกล
การทางานควบคมุ วงจรของตัวควบคมุ อุณหภูมิ
ชอ่ื ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9
ใบงานเรือ่ งผลเครื่องใช้ไฟฟ้าทใ่ี หพ้ ลงั งานกล
คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง
1.มอเตอร์ (Motor) คืออปุ กรณท์ ่ีทาหนา้ ทเ่ี ปลย่ี นพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานกล
2.การควบคุมให้มอเตอรห์ มนุ ช้าหรือเรว็ ทาไดโ้ ดย การเพม่ิ หรือลดความตา้ นทานภายในเคร่ือง
ซึง่ มีผลต่อปรมิ าณกระแสไฟฟา้ ท่ี ไหลผ่านเครอื่ ง และทาให้ความเร็วเปลยี่ นไปได้
3.อาการไฟตกมีผลตอ่ มอเตอรอ์ ยา่ งไร
เพราะถ้าไฟตก มอเตอรจ์ ะไมห่ มุน แต่ยังมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นขดลวดตัวนาอยู่ ทาใหก้ ระแสไฟฟา้
ดนั กลับ ซ่ึงอาจทาให้ขดลวดรอ้ นและไหมไ้ ด้
4.ไดนาโม คือ อุปกรณ์ท่เี ปลยี่ นพลงั งานกลเป็นพลงั งานไฟฟา้ ซงึ่ ทาหน้าที่ตรงข้ามกบั มอเตอร์
5. มอเตอร์ มี 2 แบบคือ
1.มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง
2. มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลบั
5.จงอธิบายหลกั การทางานของมอเตอร์
เมือ่ ใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นขดลวดตัวนาที่วางอยู่ระหว่างสนามแมเ่ หลก็ ของขัว้ แมเ่ หล็กเหนอื ใตจ้ ะ
ทาให้เกดิ สนามแม่เหลก็ รอบ ๆ ขดลวด สง่ ผลให้เสน้ แรงแมเ่ หลก็ ระหว่างขวั้ แมเ่ หลก็ ทงั้ สอง
เบ่ียงเบนไป เสน้ แรงแมเ่ หลก็ ทเ่ี บี่ยงเบนไปน้ี จะพยายามยดื เสน้ แรงออกให้ตรง โดยออกแรงผลกั
ลวดตัวนา ทาใหเ้ กดิ การหมนุ ของขดลวดขนึ้ ซ่งึ ทศิ ทางการหมนุ นข้ี ้นึ อยกู่ บั ทิศทางของกระแสไฟฟา้
ท่ีไหลผ่านขดลวดตัวนา
6.ยกตัวอย่างเครอื่ งใช้ไฟฟ้าท่ใี ห้พลงั งานกลเพียงอย่างเดยี ว อย่างน้อย 3 อยา่ ง
พดั ลม จักรเย็บผา้ ไฟฟา้ เครื่องดูดฝ่นุ เครอื่ งปัน่
7. เครื่องใช้ไฟฟ้าต่อไปน้ีเปลีย่ นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ หลงั งานใดบ้าง
ไดร์เปา่ ผม = พลงั งานกล + พลงั งานความรอ้ น
เคร่อื งซกั ผ้า = พลงั งานกล + พลงั งานความรอ้ น
คอมพวิ เตอร์ = พลังงานกล + เสยี ง + ภาพ
ชื่อ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9
ใบงานเร่ืองผลเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าทใ่ี ห้พลงั งานเสยี ง
คาช้ีแจง จงอธิบายหลักการทางานของเครื่องใชต้ อ่ ไปนี้
1. เคร่ืองรบั วิทยุ เปน็ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทีเ่ ปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานเสียงโดยรับคล่ืนวิทยุจาก
สถานีสง่ ภายในเครือ่ งรบั จะมี อุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ขยายสญั ญาณท่อี ยู่ในรูปของสญั ญาณไฟฟา้
ให้ แรงข้ึนจนเพยี งพอทจี่ ะทาให้ลาโพงสน่ั สะเทอื นเป็นเสยี ง
2. เครือ่ งบนั ทกึ เสียง เปน็ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าทีเ่ ปลย่ี นพลงั งานไฟฟ้า เป็นพลงั งานเสยี งโดยใช้
ไมโครโฟนเปลย่ี นเสยี งพูดหรอื เสียงร้องเปน็ สัญญาณไฟฟ้า แลว้ บนั ทกึ สญั ญาณไฟฟ้าลงแถบ
บนั ทึกเสียงในรปู ของ สญั ญาณแมเ่ หลก็ เมอ่ื นาแถบบนั ทกึ เสยี งทีบ่ ันทึกมาเลน่ สัญญาณ แมเ่ หล็ก
จะถูกเปล่ยี นเป็นสญั ญาณไฟฟา้ แลว้ ขยายใหแ้ รงข้ึนจนพอทจี่ ะ ทาใหล้ าโพงส่ันสะเทือนเปน็ เสยี งอกี
คร้ังหนึง่ ไมโครโฟน
3. เคร่อื งขยายเสยี ง เป็นเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ที่เปลยี่ นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานเสยี งโดยใช้
ไมโครโฟนเปล่ียนเสียงพดู เปน็ สัญญาณไฟฟา้ แล้วใช้อปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสข์ ยายสญั ญาณเสียงท่ี
อยใู่ นรปู สัญญาณไฟฟา้ ใหแ้ รงขึน้ จนทาให้ลาโพงสน่ั สะเทอื นเปน็ เสยี ง
ช่ือ..........................................................................ชน้ั ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9
ใบงานเรือ่ งผลการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ในบ้าน
คาช้แี จง จงบอกวิธีการดแู ลรกั ษาเครือ่ งใช้ไฟฟ้าต่อไปน้ี
ชนดิ ของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ วธิ ีการเลือกใช้ และดูแลรกั ษา
เครือ่ งทาน้าอนุ่ -เลอื กเคร่ืองทานา้ อนุ่ ให้เหมาะสมกับการใช้ สาหรับบ้านทั่วไปขนาดไม่เกิน 4,500 W
-ต้งั อณุ หภูมินา้ ไม่สงู จนเกนิ ไป (ปกติอย่ใู นช่วง 35-45 องศา)
-ใช้หัวฝกั บวั ชนดิ ประหยดั นา้ เพราะประหยัดน้าได้ถึง 25-75%
-ใช้เครอ่ื งทาน้าอุน่ ทม่ี ถี ังนา้ ภายในตัวเครือ่ งและมฉี นวนหมุ้ เพราะสามารถลดการใช้
พลงั งานได้มากกว่าชนิดทไี่ มม่ ถี งั น้าภายใน 10-20%
หม่ันตรวจสอบการทางานของเครอื่ ง โดยเฉพาะ ความปลอดภยั ของเคร่ือง
ตรวจดูระบบท่อน้าและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึม
โทรทัศน์ - เลือกซ้อื ขนาดโทรทัศน์ให้เหมาะกับความจาเป็น
- ไม่เปดิ โทรทศั นท์ ิง้ ไว้โดยไมม่ คี นดู
- ไมป่ รบั จอภาพใหส้ ว่างเกนิ
- ไม่เปลีย่ นช่องบ่อยเพราะ จะทาใหห้ ลอดภาพมอี ายสุ ้ัน
-- เลือกใชค้ วามแรงของลมใหเ้ หมาะกบั ความตอ้ งการ
- ปดิ พดั ลมทนั ทีเม่อื ไมใ่ ช้งาน
- ควรวางพัดลมในที่มีอากาศถา่ ยเทสะดวก เพ่อื จะได้ไม่ดดู ลมร้อนมาหนา้ เครอื่ ง
พัดลม - เลือกขนาดหมอ้ หงุ ข้าวใหเ้ หมาะสมกับขนาดครอบครัว
กระตกิ น้าร้อน - เลือกซอ้ื รุ่นทม่ี ตี รามาตรฐานอุตสาหกรรม
- ใสน่ ้าให้พอเหมาะกับความต้องการหรอื ไม่สงู กว่าระดับท่กี าหนดไว้
- ระวงั อยา่ ใหน้ ้าแหง้ หรอื ปล่อ่ยใหร้ ะดับน้าตา่ กว่าที่กาหนด
- เลือกใชต้ ู้เยน็ ทีม่ ีขนาดเหมาะสมกับครอบครวั
- ควรวางตเู้ ย็นใหห้ ่างจากผนงั ทั้งดา้ นหลังและดา้ นขา้ ง อยา่ งนอ้ ย 15 cm.
- ควรต้งั อุณหภูมภิ ายในตู้เยน็ ประมาณ 3 - 6 ๐C และในช่องแช่แขง็ -15 --18 ๐C
- ต้องละลายนา้ แข็งอย่างสม่าเสมอ
- ไม่นาอาหารท่ีร้อนหรอื ยงั อนุ่ อยู่ รวมถงึ ไม่ใสข่ องแจนแน่นตเู้ ยน็
ตู้เย็น
ชอ่ื ..........................................................................ช้นั ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/4
ใบงานเร่อื งผลตวั ตา้ นทาน
คาชแ้ี จง จงอา่ นคา่ ตัวตา้ นทานตอ่ ไปน้ี
แถบสีท่ี 1 23 4
สีทแ่ี สดง นา้ ตาล ดา นา้ ตาล ทอง
ตัวเลขท่ไี ด้ 1 0 x10 +−5%
ค่าที่อา่ นได้ 10 x 10 = 100 Ω
%ผดิ พลาด +−5%
แถบสีที่ 1 23 4
สที ่แี สดง นา้ ตาล ดา แดง ทอง
ตวั เลขทไ่ี ด้ 1 0 x100 −+5%
ค่าที่อ่านได้ 10 x 100 = 1000 Ω
%ผดิ พลาด −+5%
แถบสีที่ 1 2 34 5
สีทแ่ี สดง เหลือง นา้ ตาล ดา ดา น้าตาล
ตัวเลขทีไ่ ด้ 4 1 0 x1 + 1%
−
คา่ ทอ่ี า่ นได้ 410 `x` 1 = 410 Ω
%ผิดพลาด
+ 1%
−
ชือ่ ..........................................................................ชัน้ ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7
ใบงานเร่ืองผลตวั เกบ็ ประจุ
คาช้ีแจง : ใหน้ ักเรียนตอบคาถามต่อไปน้ี โดยให้ทาเคร่ืองหมาย √ หนา้ ขอ้ ทถี่ กู และเคร่อื งหมาย X หนา้ ขอ้ ทผ่ี ดิ
พร้อมแก้ไขข้อความทผี่ ิดน้นั
..........1. โครงสรา้ งของตัวเก็บประจุ ประกอบด้วย แผ่นโลหะ 2 แผ่นวางซอ้ นกนั ระหว่างแผ่นโลหะทงั้
2 จะมีแผ่นฉนวนค่นั อยู่ เพ่ือปอ้ งกนั ไม่ให้แผน่ โลหะท้งั 2 ลัดวงจร
.......... 2. หน่วยของตัวเกบ็ ประจุ คือโอมห์
D ฟารดั
.......... 3. ตัวเก็บประจไุ ฟฟา้ แบง่ ตามลกั ษณะการใชง้ าน 3 ชนดิ คือ
3.1 ตวั เกบ็ ประจุไฟฟ้าคงท่ี
3.2 ตวั เก็บประจไุ ฟฟ้าปรบั คา่ ได้
3.3 ตวั เก็บประจไุ ฟฟ้าแบบเลือกค่าได้
.......... 4. การเรียกชนิดของตวั เกบ็ ประจุไฟฟ้าจะเรียกตามแผน่ ฉนวนทีนามาคนั่
.......... 5. นีค่ ือสญั ลกั ษณ์ ตัวเกบ็ ประจุแบบไมม่ ขี ว้ั
ตวั เกบ็ ประจแุ บบมีขัว้
.......... 6. ตวั เก็บประจชุ นิดไมลาร์ ใช้เซรามิกกั้นระหว่างตัวนาไฟฟ้าไมม่ ขี ั้วบวก ขัว้ ลบ
ตวั เกบ็ ประจุชนิดเซรามิก ใช้เซรามิกกน้ั ระหว่างตวั นาไฟฟ้าไม่มีขว้ั บวก ขัว้ ลบ
.......... 7. ตวั เกบ็ ประจชุ นิดไมลาร์ มคี วามทนทานสูง ทนต่อความช้ืนและน้า
.......... 8. ตวั เก็บประจชุ นิดนา้ ยาเปน็ ตวั เก็บประจุชนดิ มขี ้ัว (Polarized)
.......... 9. ตัวเก็บประจชุ นดิ นา้ ยา คา่ ความจุไม่เปลย่ี นตามสภาพความช้ืน
กกก ตัวเก็บประจชุ นดิ ไมลาร์ คา่ ความจไุ มเ่ ปล่ยี นตามสภาพความชื้น
..........10. ตัวเก็บประจุชนดิ นา้ ยา ใช้แรงเคลอ่ื นไฟฟ้าประมาณ 50 – 2,000 โวลต์
กกก ตัวเก็บประจชุ นดิ เซรามกิ ใช้แรงเคล่ือนไฟฟา้ ประมาณ 50 – 2,000 โวลต์
ชอ่ื ..........................................................................ชัน้ ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7
ใบงานเรือ่ งผลไดโอด
คาชี้แจง ให้นักเรียนเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง
1. หนา้ ทีข่ องไดโอด (Diode) คอื ชว่ ยควบคุมใหก้ ระแสไฟฟ้า จากภายนอกไหลผ่านได้ทศิ ทางเดยี ว
และปอ้ งกนั กระแสไฟฟา้ ไหลยอ้ นกลบั
2. ไดโอด ประกอบด้วยขวั้ 2 ขัว้ คอื แคโทด (Cathode) และ แอโนด (Anode)
3.ถ้าต่อไดโอดผดิ ขัว้ จะทาให้ ไดโอดจะ ไม่ยอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น
4.จงวาดสญั ลักษณข์ องไดโอดพร้อมระบขุ ว้ั แอโนด และแคโทด
5. จากภาพ คือไดโอด ชนดิ ใด จงบอกชือ่ พรอ้ มระบขุ ว้ั บวกและลบ
ไดโอดเปลง่ แสง หรอื แอลอีดี ( LED)
6. จงวาดสญั ลักษณ์ ของไดโอดแอลอดี ี ในวงจร
7. ข้อจากัดของไดโอดเปลง่ แสง คอื
ชอื่ ..........................................................................ช้นั ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7
ใบงานเรอื่ งผลทรานซสิ เตอร์
คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งให้ถกู ตอ้ ง
1. ทรานซิสเตอรเ์ ปน็ อปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนกิ สท์ ีทาจากสารกงึ ตัวนา ทรานซสิ เตอรแ์ ตล่ ะชนดิ
จะมี 3 ขา ได้แก่
1. ขาเบส ( Base : B )
2. ขาอมิ ิตเตอร์ ( Emitter : E )
3. ขาคอลเลก็ เตอร์ ( Collector : C )
2. หากแบ่งประเภทของทรานซิสเตอร์ตามโครงสรา้ งของสารทนี่ ามาใช้จะแบ่งได้ 2 แบบ คอื
(จงบอกชนิดพรอ้ มวาดภาพสัญลกั ษร์ในวงจรของทรานซสิ เตอร์ ท้งั 2 แบบ)
) ทรานซิสเตอรช์ นดิ พีเอน็ พี ( PNP ) เป็นทรานซสิ เตอรท์ จี่ า่ ยไฟเข้า ท่ีขาเบสให้มีความตา่ งศกั ย์ตา่ กวา่
ขาอิมิตเตอร ์
2) ทรานซสิ เตอรช์ นดิ เอน็ พเี อ็น ( NPN ) เป็นทรานซสิ เตอรท์ จี ่ายไฟ เขา้ ทขี าเบสใหม้ คี วามตา่ งศกั ยส์ ูง
กวา่ ขาอมิ ิตเตอร์
3. ประโยชน์ของ ทรานซิสเตอร์ คอื
1) เปน็ วงจรขยายในเครืองรับวิทยุ โทรทัศน์
2) เปน็ สวิตซป์ ิด-เปดิ ควบคุมอุปกรณไ์ ฟฟ้า (โดยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านหรอื ไม่ ผา่ นเขา้ ขาเบส)
ชอ่ื ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7
ใบงานเรือ่ งผลสญั ลกั ษณ์พน้ื ฐานในวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์(1)
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
อปุ กรณ์ / ชนดิ สัญลกั ษณ์
แบตเตอรี่
ตัวนาไฟฟ้า
ตัวเก็บประจุมขี ว้ั
มอเตอร์
สวิตซ์
ไฟฟา้ กระแสสลบั
ฟิวส์
ตัวตา้ นทาน
ตวั ต้านทานปรบั คา่ ได้
สายอากาศ
สะพานไฟ
ชื่อ..........................................................................ชั้น..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7
ใบงานเร่ืองผลสญั ลกั ษณพ์ ้ืนฐานในวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์(2)
คาช้แี จง ให้นักเรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง
อุปกรณ์ / ชนดิ สญั ลกั ษณ์
หมอ้ แปลงอากาศ
ไดโอด
ไดโอดเปล่งแสง
หลอดไฟ
โอห์มมิเตอร์ Ω
บัลลาสต์
ลวดตัวนา
สตาร์ทเตอร์
แอมมิเตอร์ A
สายดิน
แบบฝึกหัดท้ายหน่วย คะแนน
คาชแ้ี จง จงเลือกคาตอบทถี่ กู ทส่ี ดุ
1) ไฟฟ้าท่ีใช้ในครวั เรือนของประเทศไทยไฟฟา้ เปน็ กระแสสลบั ทมี่ คี วามตา่ งศักยเ์ ทา่ ใด
ก. 50 โวลต์ ข. 110 โวลต์ ค. 200 โวลต์ ง. 220 โวลต์
2) วงจรไฟฟา้ ภายในครวั เรือนเป็นการตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบใด
ก. แบบผสม ข. แบบรวม ค. แบบขนาน ง. แบบอนุกรม
3) ขอ้ ใดเปน็ การกดสวติ ช์เปิดไฟ
ก. การทาใหว้ งจรปิด มกี ระแสไฟฟา้ ไหล ข. การทาให้วงจรเปิด มีกระแสไฟฟ้าไหล
ค. การทาให้วงจรปิด มีกระแสไมไ่ ฟฟา้ ไหล ง. การทาให้วงจรเปดิ ไมม่ กี ระแสไฟฟา้ ไหล
4) คณุ สมบัติทด่ี ขี องฟิวส์ ควรมีลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร
ก. ยอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นเปน็ ช่วง ๆ ข.ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่านคอ่ ยเปน็ ค่อยไป
ค. ยอมให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นได้ตลอดโดยไมเ่ กินกระแสไฟฟ้าที่ฟวิ สก์ าหนด
ง. ถกู ทกุ ขอ้
5) ถา่ นไฟฉายก้อนหนงึ่ มแี รงเคล่อื น 1.5 โวลต์ เมื่อต่อกบั ความตา้ นทานภายนอก 2 โอหม์
กระแสไฟฟ้าผ่านวงจร 0.5 แอมแปร์ จงหาความต้านทานภายใน
ก. 0.5 โอหม์ ข. 1 โอหม์ ค. 1.5 โอห์ม ง. 2 โอหม์
6) กะทะไฟฟ้ามีความตา้ นทาน 1,500 โอหม์ มีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 0.01 แอมแปร์ ปลายทัง้ สอง
ของตวั ตา้ นทานเตารดี ไฟฟ้านตี้ ่อกับความตา่ งศักย์ไฟฟา้ เทา่ ใด
ก. 10 โวลต์ ข. 12 โวลต์ ค. 13 โวลต์ ง. 15 โวลต์
7) การเสยี คา่ ไฟจะตอ้ งมอี งค์ประกอบใดบ้าง
ก. คา่ ไฟฐาน + คา่ ไฟผันแปร ข. คา่ ไฟผันแปร + ค่าบรกิ าร
ค. ค่าไฟฐาน + ค่าบริการ + ภาษีมลู ค่าเพิม่ ง. คา่ ไฟฐาน + ค่า Ft + ภาษมี ูลคา่ เพิ่ม
8) อปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนกิ สใ์ นข้อใดเปน็ องค์ประกอบในเคร่ืองใช้ไฟฟูาเกอื บทุกชนดิ
ก. ไดโอด ข. ตัวต้านทาน ค. ทรานซิสเตอร์ ง . เทอร์มสิ เตอร์
9) ทกี่ องร้อยทหารในหนง่ึ วันเปดิ เครอ่ื งใช้ไฟฟ้า ดงั นี้ ไฟ 20 วัตต์ 6 ดวง 10 ชว่ั โมง ตู้อบกลอ้ งเล็งปืน
ใชก้ ระแสไฟฟ้าตัวละ 0.25 แอมแปร์ 2 ตู้ 20 ชวั่ โมง พัดลมขนาด 50 วัตต์ 16 ตัว 8 ชว่ั โมง 45
นาที ถ้าคดิ ค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 3 บาท ในเดอื นเมษายน จะเสียค่าไฟฟ้ากี่บาท
ก. 936 บาท ข. 972 บาท ค.1,013 บาท ง. 1,125 บาท
10) กาหนดให้การใชไ้ ฟของบา้ นหลงั หนงึ่ ในเดอื นเมษายน ซง่ึ มีการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ใน หน่งึ วนั ดงั นี้
- หลอดเรืองแสงขนาด 40 วัตต์ 2 หลอด เปดิ วันละ 5 ชัว่ โมง
- โทรทัศนข์ นาด 200 วตั ต์ ใช้งานวันละ 4ชัว่ โมง
- พัดลมขนาด 150 วัตต์ ใชง้ านวันละ 8 ชว่ั โมง จงคานวณคา่ พลงั งานไฟฟา้
ก. 47.4 หนว่ ย ข. 72 หน่วย ค 68.2หนว่ ย ง. 66หนว่ ย
ม.3
ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1
ใบงานเร่อื งผลประชากรในระบบนเิ วศน์
คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
1.ประชากร (Population) หมายถงึ
ส่งิ มชี ีวิตทงั้ หมดที่เปน็ ชนดิ เดยี วกนั อาศยั อยู่ในแหล่งท่ีอยเู่ ดยี วกนั ในชว่ งเวลาใด เวลาหนึ่ง
2. กลุม่ ส่งิ มีชวี ติ (Community) หมายถึง
สง่ิ มีชีวิตตา่ ง ๆ หลายชนดิ มาอาศัย อยรู่ วมกันในบรเิ วณใด บริเวณหน่งึ โดยมีความสัมพนั ธก์ ัน
โดยตรงหรอื โดยทางอ้อม
สิง่ มีชีวิต หมายถึง สงิ่ ทต่ี ้องใชพ้ ลังงานในการดารงชวี ิต
มกี ารเจรญิ เตบิ โต
มกี ารขับถ่ายของเสยี สบื พนั ธไ์ุ ด้
ต้องกินอาหารหรือแร่ธาตตุ ่าง ๆ สามารถปรบั ตัวให้เข้ากบั สภาพแวดลอ้ ม
3. ความหนาแน่นของประชากร หมายถงึ
สัดส่วนของจานวนประชากรทงั้ หมดทอ่ี าศยั อยู่ในบริเวณใดบรเิ วณหนึ่งต่อพ้ืนทห่ี รือปริมาตรที่
ประชากรอาศัยอยู่
4. ขนาดของประชากร หมายถึง
จานวนของประชากรทอ่ี าศยั อยู่ในพื้นทีท่ ก่ี าหนด หรอื แหล่งทอ่ี ยูเ่ ดียวกนั
5. สง่ิ แวดล้อม (Environment) หมายถึง
สิง่ ทีม่ ีผลต่อการด ารงชวี ติ ของ สงิ่ มีชวี ิต ทาใหส้ งิ่ มีชีวิตเจรญิ เตบิ โตหรือดารงชีวติ อย่ไู ด้ดีหรอื ไม่
ชือ่ ..........................................................................ชั้น..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1
ใบงานเร่ืองผลประชากรในระบบนเิ วศน์ เพ่มิ
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเตมิ แผนภาพน้ใี หส้ มบรู ณ์
การอพยพ
ลด
การตาย สาเหตุการเปลยี่ นแปลงขนาดของประชากร การเกดิ
ปจั จัยอ่นื ที่สง่ ผล
สภาพอากาศ แสงสว่าง
ความเปน็ กรด - เบส แหล่งทอ่ี ยู่
มลพิษ โรคระบาด
น้า - ความช้ืน แสง
พฤตกิ รรมระหวา่ งประชากรดว้ ยกนั เอง
ชอ่ื ..........................................................................ช้ัน..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1
ใบงานเรอ่ื งผลระบบนเิ วศน์
คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเตมิ แผนภาพน้ีใหส้ มบรู ณ์
ระบบนิเวศน์ คือ หนว่ ยพนื้ ทหี่ นึ่ง ท่ีประกอบด้วยสงั คมของสง่ิ มชี วี ติ กบั
สิง่ แวดลอ้ มทาหนา้ ทร่ี ว่ มกนั
องค์ประกอบมีชีวติ องคป์ ระกอบไมม่ ชี ีวิต
ผผู้ ลติ 1. อนนิ ทรยี ์สาร เชน่
ผูบ้ รโิ ภค คาร์บอน คารบ์ อนไดออกไซด์
ไนโตรเจน น้า ฟอสฟอรัส
ออกซเิ จน ฯลฯ
2. อินทรยี ์สาร เชน่
คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั
ฮิวมัส ฯลฯ
3. สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ เชน่
ความชนื้ อณุ หภูมิ แสง อากาศ
ความเปน็ กรด-ดา่ ง ฯลฯ
ผู้ย่อยสลาย
ชอื่ ..........................................................................ชนั้ ..........เลขที่................ คะแนน
มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4
ใบงานเรอ่ื งผล ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิต
คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามจากข้อมลู ตอ่ ไปน้ี
1.ความสัมพันธใ์ นภาพคือ สายใยอาหาร แตกต่างจากห่วงโซ่อาหารยงั ไง
สายใยอาหารประกอบด้วยหลายๆห่วงโซอ่ าหาร ทมี่ คี วามคาบเกย่ี วและสัมพนั ธก์ นั อย่างไมเ่ ป็นระเบยี บ
หว่ งโซอ่ าหารคอื การกนิ ตอ่ กนั เป็นทอดๆจากผผู้ ลิตไปถึงผลู้ า่ ท่ไี ม่มใี ครมากนิ ตอ่
2.จงเขยี นหว่ งโซอ่ าหารทกุ ห่วงโซ่จากภาพดา้ นบน
ดอกไม้ ผง้ึ
ดอกไม้ ผเี สอื้ นกขนุ ทอง เหยีย่ ว
ผัก หนอน นกเอี้ยง
ผัก กระตา่ ย เหยย่ี ว
ผัก กระต่าย สนุ ัขจ้ิงจอก
หญ้า กระต่าย เหยยี่ ว
หญา้ กระต่าย สนุ ขั จ้ิงจอก
เมลด็ พชื นกกางเขน เหยี่ยว
เมลด็ พชื หนู สุนขั จ้ิงจอก
เมล็ดพชื หนู เหยี่ยว
เมล็ดพชื หนู นกฮกู
ชื่อ..........................................................................ช้ัน..........เลขท่ี................ คะแนน
มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4, ว1.1 ม.3/5-6
ใบงานเรอ่ื งผล ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ มชี วี ติ กบั ส่ิงมชี ีวิต
คาชี้แจง จงบอกความสมั พันธข์ องสงิ่ มชี ีวติ ตอ่ ไปนพ้ี ร้อมแสดงสญั ลักษณ์(+,+),(+,-),(-,-),(+,0)
................................................. 1. เพลี้ยกบั มดดา (+,+)
................................................. 2. แหนแดงกบั สาหรา่ ยสเี ขียวแกมนา้ เงนิ
................................................. 3. เสือกบั สงิ โต
................................................. 4. โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก
................................................. 5. กลว้ ยไมก้ ับต้นไมใ่ หญ่
................................................. 6. กาฝากกับตน้ ไม้
................................................. 7. ปเู สฉวนกบั ดอกไม้ทะเล
................................................. 8. หนอนกับผักกาด
................................................. 9. แบคทเี รียไรโซเบียมในปมรากพชื ตระกลู ถวั่
................................................. 10. ตุ๊กแกกบั จ้งิ จก
................................................. 11. นกกาเหวา่ กบั อกี า
................................................. 12. นกเอยี้ งกบั ควาย
................................................. 13. ราในรากสน
................................................. 14. ผึง้ กบั ตน้ ไม้
................................................. 15. หมาป่าสเี ทากบั หมาป่าสนี า้ เงิน
1. จงบอกหลกั 7 R ในการลดขยะเพอ่ื รกั ษาสภาพแวดลอ้ ม ซงึ่ ไดแ้ ก่
1.1 REFUSE คือ การปฏิเสธหรืองดใชส้ ่งิ ของท่ีทาลายและสรา้ งมลพิษ
1.2 RECYCLE คือ การหมุนเวียนนาสงิ่ ของทท่ี ้ิงกลบั มาผ่านกระบวนการใหมแ่ ละนาไปใช้
1.3 REUSE คอื การหมนุ เวียนนาสิ่งของทใี่ ช้แลว้ กลับมาใช้ใหมใ่ หเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ
1.4 REFILL คือ การเลอื กใชส้ ิง่ ทเี่ ตมิ ได้เพอื่ ลดขยะบรรจุภณั ฑ์
1.5 REPAIR คือ การใช้อย่างทะนุถนอม การซอ่ มแซมในสว่ นทที่ าได้
1.6 REDUCE คอื ลดการใช้สงิ่ ของเกนิ จาเป็นเพื่อประหยดั ทรัพยากรและลดปริมาณขยะ
1.7 RETURN คือ การหมนุ เวยี นเช่นสนิ คา้ คืนขวด รวมถึงสนิ คา้ ทีส่ ามารถนากลับมาใชซ้ ้าได้
แบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วย คะแนน
คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบท่ีถกู ทส่ี ดุ
1. การถา่ ยทอดพลังงานจากโซอ่ าหารหนงึ่ ไปอกี โซอ่ าหารหนึ่ง เรยี กว่าอะไร
ก. สายใยอาหาร ข. วัฏจกั รอาหาร
ค. พรี ะมดิ พลงั งาน ง. ห่วงโซ่อาหาร
2. ขอ้ ใดไมจดั เปน็ ระบบนเิ วศ ข. ลานจอดรถพนื้ คอนกรตี
ก. บ่อนา้ ท่มี สี งิ่ มีชวี ติ อยเู่ ตม็ ง. สวนดอกไมห้ น้าเสาธง
ค. สนามหญ้าหนา้ โรงเรียน
3. ระบบนเิ วศทใี่ หญท่ ี่สุดคือข้อใด
ก. มหาสมทรุ ข. ปา่ ไม ค. โลกของสง่ิ มีชวี ติ ง. ท่งุ หญา้
4. ระบบนิเวศ ประกอบดว้ ยสิง่ ใด ข. herbivore + carnivore + omnivore
ก. producer + consumer + decomposer ง. community + habitat
ค. population + habitat
5. ขอ้ ใดแสดงการปรบั ตวั ใหเ้ หมาะแกก่ ารพรางตาจากศัตรู
ก. ต๊กั แตนกงิ่ ไมช้ อบเกาะตามลาต้นพชื
ข. กบจาศลี ในรูเม่อื ย่างเขา้ ฤดรู ้อนและฤดหู นาว
ค. ผกั ตบชวามีกา้ นใบพองเปน็ กระเปาะทาให้ลอยน้าได้ดี
ง. ผเี สอ้ื มปี ากเป็นงวงยาว ซึง่ เหมาะสาหรับใช้ดดู น้าหวานจากดอกไม้
6. สาหร่ายท่ีเล้ียงไวก้ ับปลาหางนกยูงในกลอ่ งพลาสตกิ จะมชี วี ติ อย่ไู ด้หลายวนั สาหร่ายไดร้ บั
ประโยชน์จากปลาหางนกยูงในด้านใด
ก.ไดร้ บั นา้ จากปลาหางนกยงู ข.ได้รับเกลือแรจ่ ากปลาหางนกยงู
ค.ไดร้ ับแก๊สออกซเิ จนจากปลาหางนกยูง ง.ไดร้ บั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์จากปลาหางนกยงู
7.นกั เรยี นคนหนึง่ สงั เกตขอนไม้จามจุรที อ่ี ยู่รมิ สระนา้ พบวา่ มีส่ิงมีชีวิตอย่ทู ีข่ อนไม้ คอื ปลวก ตวั ทาก
ตะไคร่นา้ คางคก เหด็ รา ผผู้ ลติ ในระบบนเิ วศนี้คือสง่ิ ใด
ก.ตะไคร่น้า ข.ตะไคร่น้า, เห็ดรา ค.ตะไครน่ ้า, จามจุรี ง.สระนา้ , ขอนไม้
8สตั ว์ไดร้ บั สารประกอบไนโตรเจนโดยวธิ ใี ด
ก. กนิ พชื ข.กนิ สัตว์ ค.หายใจ ง.กินสิง่ เนา่ เปอื่ ย
9. วฏั จักรสารในขอ้ ใดไม่มกี ารหมนุ เวียนสบู่ รรยากาศ
ก. คารบ์ อน ข. ไนโตรเจน ค. ฟอสฟอรัส ง. คารบ์ อนไดออกไซด์
10. การหมุนเวยี รสารในขอ้ ใดไม่จาเปน็ ต้องผา่ นสง่ิ มีชีวติ
ก. น้า ข. ไนโตรเจน ค. ฟอสฟอรัส ง. คาร์บอน
โรงเรียนวัดนาวง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ปทุมธานี เขต 1