ตารางวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา
โรงเรียนวัดนาวง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จัดทำโดย
นางสาวอังคณา ปาสานะโม
ตารางวิเคราะห์หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนวัดนาวง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี ๒ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๓
ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง วทิ ยาศาสตร์
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิต และ
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบ
ที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และการแก้ไขปัญหาส่งิ แวดลอ้ มรวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ม.3 1. อธิบายปฏิสัมพันธ์ของ ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และ
อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง องค์ประกอบท่ีไม่มีชีวิต เช่น แสง น้า อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบ
ระบบนิเวศที่ได้จากการ เหลา่ นี้มีปฏิสัมพันธ์กนั เชน่ พืชตอ้ งการแสง นา้ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
สารวจ ในการสร้างอาหาร สัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ในการดารงชีวิต เช่น อุณหภูมิ ความชื้น องค์ประกอบท้ังสองส่วนน้ี จะต้อง
มคี วามสมั พนั ธ์กันอยา่ งเหมาะสม ระบบนิเวศจงึ จะสามารถคงอยู่ต่อไปได้
2. อ ธิ บ า ย รู ป แ บ บ ส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาวะพ่ึงพากัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะองิ อาศัย ภาวะเหย่ือกบั ผลู้ า่ ภาวะปรสิต
ส่ิ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันท่ีอาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ในช่วงเวลา
รูปแบบต่างๆในแหล่งที่ เดยี วกัน เรยี กว่า ประชากร
อยู่เดียวกันท่ีได้จากการ
สารวจ กลุ่มสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยประชากรของสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิด อาศัยอยู่
ร่วมกันในแหลง่ ท่อี ยู่เดยี วกัน
3. สร้างแบบจาลองในการ กลุ่มส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าท่ีได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต
อ ธิ บ า ย ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ผู้ บ ริ โ ภ ค แ ล ะ ผู้ ย่ อ ย ส ล า ย ส า ร อิ น ท รี ย์ สิ่ ง มี ชี วิ ต ทั้ ง 3 ก ลุ่ ม นี้
พลงั งานในสายใยอาหาร มีความสัมพันธ์กัน ผู้ผลิตเป็นส่ิงมีชีวิตท่ีสร้างอาหารได้เอง โดยกระบวนการ
4. อธิบายความสัมพันธ์ของ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง ผบู้ รโิ ภคเปน็ สง่ิ มีชวี ิตที่ไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้เอง และ
ผู้ผ ลิต ผู้ บริ โภ ค แล ะ ต้องกินผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคตายลง
ผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรีย์ใน จะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ซึ่งจะเปลี่ยนสารอินทรีย์เป็นสาร
ระบบนิเวศ
อนินทรีย์กลับคืนสู่ส่ิงแวดล้อม ทาให้เกิดการหมุนเวียนสารเป็นวัฏจักร
ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
5. อธิบายการสะสมสารพิษ จานวนผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์จะต้องมีความเหมาะสม
ในส่งิ มีชวี ิตในโซ่อาหาร จึงทาให้กลมุ่ ส่งิ มชี วี ิตอย่ไู ด้อย่างสมดุล
6. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลาดับต่างๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลาย
ข อ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต แ ล ะ สารอินทรีย์ในรูปแบบสายใยอาหารท่ีประกอบด้วย โซ่อาหารหลายโซ่
ส่ิงแวดล้อมในระบบนิเวศ ที่สัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานท่ีถูกถ่ายทอดไป
โดยไม่ทาลายสมดุลของ จะลดลงเร่อื ยๆ ตามลาดบั ของการบรโิ ภค
ระบบนิเวศ
การถ่ายทอดพลังงานในระบบนเิ วศ อาจทาให้มสี ารพษิ สะสมอยใู่ นสง่ิ มีชีวติ ได้
จนอาจกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อส่ิงมีชีวิต และทาลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้น
การดูแลรักษาระบบนิเวศให้เกิดความสมดุล และคงอยู่ตลอดไปจึงเป็น
ส่งิ สาคัญ
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรง
ยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
ม.3 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ พอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม เปน็ วัสดุทีใ่ ช้มากในชวี ติ ประจาวัน
ป ร ะ โ ย ช น์ วั ส ดุ ป ร ะ เ ภ ท พ อ ลิ เ ม อ ร์
เซรามกิ และวสั ดุผสม โดยใช้หลักฐาน พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจากโมเลกุลจานวนมาก
รวมตัวกันทางเคมี เช่น พลาสติก ยาง เส้นใย ซ่ึงเป็นพอลิเมอร์ท่ีมีสมบัติ
เชงิ ประจักษ์ และสารสนเทศ
2. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้วัสดุ แตกต่างกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ข้ึนรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้
ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุ ยางยืดหยุ่นได้ ส่วนเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ที่สามารถดึงเป็นเส้นยาวได้
ผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้ พอลเิ มอร์จึงใช้ประโยชนไ์ ด้แตกตา่ งกัน
วัสดุอยา่ งประหยัดและคุ้มค่า เซรามกิ เป็นวสั ดุทผี่ ลิตจาก ดนิ หนิ ทราย และแรธ่ าตุต่าง ๆ จากธรรมชาติ
และส่วนมากจะผ่านการเผาที่อณุ หภมู สิ ูง เพ่ือให้ได้เนื้อสารท่ีแข็งแรง เซรา
มกิ สามารถทาเป็นรปู ทรงต่าง ๆ ได้ สมบัติท่ัวไปของเซรามิกจะแข็ง ทนต่อ
การสึกกร่อนและเปราะ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นภาชนะที่เป็น
เคร่ืองป้นั ดินเผา ช้ินสว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์
วัสดผุ สมเป็นวสั ดุท่ีเกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภท ที่มีสมบัติแตกต่างกันมา
รวมตัวกัน เพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน เช่น เสื้อกันฝนบางชนิดเป็น
วัสดุผสมระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวัสดุผสมระหว่าง
คอนกรตี กบั เหลก็
วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้วัสดุอย่างฟุ่มเฟือยและไม่
ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ระมัดระวังอาจกอ่ ปัญหาตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
3. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึง การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปล่ียนแปลงทางเคมีของสาร เป็นการ
การจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อ เปล่ยี นแปลงท่ที าให้เกิดสารใหม่ โดยสารท่ีเข้าทาปฏิกิริยา เรียกว่า สารตั้ง
เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้แบบจาลอง ตน้ สารใหมท่ ่เี กดิ ข้นึ จากปฏิกิริยา เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ การเกิดปฏิกิริยาเคมี
และสมการข้อความ
สามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการขอ้ ความ
การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี อะตอมของสารต้ังต้นจะมีการจัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็น
ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสมบัติแตกต่างจากสารต้ังต้น โดยอะตอมแต่ละชนิดก่อน
และหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมมี จี านวนเท่ากนั
4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐาน เม่ือเกิดปฏกิ ิริยาเคมี มวลรวมของสารตั้งต้นเท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์
เชิงประจกั ษ์
ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎทรงมวล
5. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และ เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมี มีการถ่ายโอนความร้อนควบคู่ไปกับการจัดเรียงตัว
ปฏิกิริยาคายความร้อน จากการ ใหมข่ องอะตอมของสารปฏิกริ ยิ าท่ีมกี ารถ่ายโอนความร้อนจากส่ิงแวดล้อม
เปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนของ เข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อน
ปฏกิ ิริยา
จากระบบออกสู่ส่ิงแวดล้อมเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน โดยใช้เครื่องมือที่
เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์ หัววัดท่ีสามารถ
ตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงของอณุ หภูมิไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง
6. อธิบายปฏิกิรยิ าการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาเคมีท่ีพบในชีวิตประจาวันมีหลายชนิด เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยา การเกดิ สนมิ ของเหลก็ ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส
ของกรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบส ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง
กับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ปฏิกิริยาเคมี สามารถเขียนแทนได้ด้วยสมการข้อความ ซึ่งแสดงช่ือของ
และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การ สารตง้ั ต้นและผลติ ภัณฑ์ เชน่
เกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง
โดยใช้สารสนเทศรวมทั้งเขียนสมการ เชื้อเพลิง + ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า
ข้อความแสดง ปฏกิ ิริยาดงั กล่าว ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารกับออกซิเจน สารท่ี
เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอนและ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ ซ่ึงถ้าเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้
ผลติ ภัณฑ์เปน็ คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละนา้
การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหล็ก น้า และ
ออกซเิ จน ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เป็นสนิมของเหล็ก
ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็กเป็นปฏิกิริยาระหว่างสาร
ตา่ ง ๆ กบั ออกซเิ จน
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ กรดทาปฏิกิริยากับโลหะได้หลายชนิด ได้
ผลติ ภัณฑ์เปน็ เกลอื ของโลหะและแกส๊ ไฮโดรเจน
ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และนา้
ปฏกิ ริ ิยาของกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและน้า หรืออาจ
ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ไดเ้ พยี งเกลอื ของโลหะ
ปฏิกริ ยิ าของเบสกับโลหะบางชนิด ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เป็นเกลือของเบสและแก๊ส
ไฮโดรเจน
การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่างน้าฝนกับออกไซด์ของ
ไนโตรเจน หรอื ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทาใหน้ ้าฝนมสี มบัติเป็นกรด
การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื เป็นปฏิกริ ิยาระหว่างแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
กบั นา้ โดยมีแสงช่วยในการเกิดปฏิกริ ิยา ได้ผลิตภัณฑเ์ ป็นน้าตาลกลูโคส
และออกซิเจน
ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง
7. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยา ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวันมีทั้งประโยชน์และโทษต่อสิ่งมีชีวิต
เคมีที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และส่ิงแวดล้อม จึงต้องระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรู้จักวิธี
และยกตัวอยา่ งวธิ ีป้องกันและแก้ปัญหา ปอ้ งกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมที พ่ี บในชีวติ ประจาวนั
จากปฏิกิรยิ าเคมีที่พบในชีวิตประจาวัน
ความรู้เก่ียวกับปฏิกิริยาเคมี สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน
จากการสบื ค้นขอ้ มูล
8. ออกแบบวิธแี ก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน และสามารถบูรณาการกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
โดยใช้ ความรู้เก่ียวกับปฏิกิริยาเคมี เพื่อใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามต้องการหรืออาจสร้าง
โดยบรู ณาการวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ นวัตกรรมเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี โดยใช้
ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี เช่น การเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนอัน
เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์
เน่ืองมาจากปฏิกริ ยิ าเคมกี ารเพมิ่ ปรมิ าณผลผลติ
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและ
พลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และ
คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความ เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจากข้ัวบวกผ่าน
ต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความ วงจรไฟฟ้าไปยังขัว้ ลบของแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ วัดค่าไดจ้ ากแอมมิเตอร์
ต้านทาน และคานวณปริมาณที่
เก่ียวข้องโดยใช้สมการ V = IR จาก คา่ ท่ีบอกความแตกตา่ งของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด
เรียกว่า ความต่างศักยซ์ ึ่งวัดค่าได้จากโวลต์มิเตอร์
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
2. เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ัง
กระแสไฟฟา้ และความต่างศักย์ไฟฟา้
สองของตัวนา โดยอัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้ามี
3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ในการวัด ค่าคงท่ี เรยี กคา่ คงทน่ี ้วี า่ ความต้านทาน
ปรมิ าณทางไฟฟา้
ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
4. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและ ในวงจรไฟฟา้ ประกอบดว้ ยแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ สายไฟฟ้า และอปุ กรณ์ไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัว โดยอุปกรณ์ไฟฟา้ แต่ละชิ้นมีความต้านทาน ในการต่อตัวต้านทานหลายตัว
ตา้ นทานหลายตัว
มีท้ังตอ่ แบบอนกุ รมและแบบขนาน
5. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อ
ตวั ต้านทานแบบอนุกรมและขนาน การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่
คร่อมตวั ต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ท่ีคร่อมตัว
ตา้ นทานแต่ละตวั โดยกระแสไฟฟา้ ทผ่ี า่ นตัวต้านทานแต่ละตัวมีคา่ เท่ากัน
6. บรรยายการทางานของช้ินส่วน การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผ่าน
อิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรจาก วงจรมีค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว โดย
ข้อมลู ทีร่ วบรวมได้
ความตา่ งศักยท์ ค่ี รอ่ มตัวตา้ นทานแตล่ ะตัวมีคา่ เทา่ กัน
7. เ ขี ย น แ ผ น ภ า พ แ ล ะ ต่ อ ช้ิ น ส่ ว น
อเิ ล็กทรอนกิ ส์อยา่ งง่ายในวงจรไฟฟา้ ช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น ตัวต้านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์
ตัวเก็บประจุ โดยชิ้นส่วนแต่ละชนิดทาหน้าท่ีแตกต่างกันเพื่อให้วงจร
ทางานไดต้ ามตอ้ งการ
ตัวต้านทานทาหน้าที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทา
หน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ทาหน้าที่เป็นสวิตช์ปิด
หรอื เปิดวงจรไฟฟ้าและควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟ้า ตวั เก็บประจุทาหน้าท่ี
เกบ็ และคายประจุไฟฟา้
เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดท่ี
ทางานร่วมกัน การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์โดยเลือกใช้ชิ้นส่วนน้ัน ๆ
จะสามารถทาให้วงจรไฟฟ้าทางานได้ตามต้องการ
8. อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟ้าโดย เครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีค่ากาลังไฟฟ้าและความต่างศักย์กากับไว้ กาลังไฟฟ้ามี
ใช้สมการ W = Pt รวมทั้งคานวณค่า หน่วยเป็นวัตต์ ความต่างศักย์มีหน่วยเป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจาก
ไฟฟา้ ของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ในบา้ น พลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ท้ังหมด ซึ่งหาได้จากผลคูณของกาลังไฟฟ้า ในหน่วย
กิโลวตั ต์ กบั เวลาในหนว่ ยช่วั โมง พลงั งานไฟฟ้ามีหน่วยเปน็ กิโลวัตต์ ช่ัวโมง
9. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้ หรอื หนว่ ย
เคร่ืองใช้ไฟฟ้าโดยนาเสนอวิธีการใช้
เคร่ืองใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแบบขนานเพื่อให้ความต่างศักย์
ปลอดภยั เทา่ กนั การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจาวันต้องเลือกใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่
มีความต่างศักย์และกาลังไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน และการใช้
เคร่ืองใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และ
ประหยัด
10. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด คลน่ื เกิดจากการส่งผา่ นพลงั งานโดยอาศยั ตัวกลางและไม่อาศัยตัวกลาง ใน
คลื่นและบรรยายส่วนประกอบของ คลื่นกล พลังงานจะถูกถ่ายโอนผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไม่
คล่นื เคล่ือนที่ไปกับคลื่น คล่ืนท่ีแผ่ออกมาจากแหล่งกาเนิดคลื่นอย่างต่อเนื่อง
และมีรปู แบบที่ซา้ กนั บรรยายได้ด้วยความยาวคลน่ื ความถี่ แอมพลจิ ดู
11. อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคล่ืนท่ีไม่อาศัยตัวกลางในการเคล่ือนท่ี มีความถี่
สเปกตรัมคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมากเคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน
ขอ้ มูลที่รวบรวมได้
แต่จะเคลื่อนท่ีด้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอื่น คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่ง
ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
12. ตระหนักถึงประโยชน์และอันตราย ออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าโดยนาเสนอ แต่ละช่วงความถี่มีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด
การใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และ แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา ซึ่งสามารถ
อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน นาไปใช้ประโยชนไ์ ด้
ชวี ิตประจาวัน เลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคล่ืนเดียว เป็นลาแสงขนาน
และมีความเข้มสูง นาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการส่ือสาร
มกี ารใชเ้ ลเซอรส์ าหรับส่งสารสนเทศผ่าน เส้นใยนาแสง โดยอาศัยหลักการ
การสะทอ้ นกลับหมดของแสง ดา้ นการแพทยใ์ ชใ้ นการผา่ ตดั
คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนาไปใช้ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อ
มนษุ ยด์ ้วย เชน่ ถ้ามนษุ ย์ไดร้ ับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะทาให้
เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่งเป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มี
พลังงานสูง และสามารถทะลุผ่านเซลล์และอวัยวะได้ อาจทาลายเน้ือเยื่อ
หรอื อาจทาให้เสยี ชีวติ ไดเ้ ม่ือได้รบั รงั สแี กมมาในปรมิ าณสูง
13. ออกแบบการทดลองและดาเนินการ เม่ือแสงตกกระทบวตั ถุจะเกิดการสะทอ้ นซึ่งเป็นไปตามกฎการสะท้อนของ
ทดลองด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการ แสง โดยรงั สตี กกระทบเสน้ แนวฉาก รังสีสะทอ้ นอยู่ในระนาบเดยี วกนั และ
อธิบายกฎการสะท้อนของแสง
มมุ ตกกระทบเท่ากบั มมุ สะทอ้ น ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสีสะท้อนตัด
14. เขียนแผนภาพการเคล่ือนท่ีของแสง กันหรือต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิด
แสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเงา
ภาพจรงิ แตถ่ า้ ต่อแนวรงั สีสะท้อนใหไ้ ปตดั กัน จะเกิดภาพเสมือน
15. อธิบายการหักเหของแสงเม่ือผ่าน เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสท่ีแตกต่างกัน เช่น อากาศและน้า
ตัวกลางโปร่งใสท่ีแตกต่างกัน และ อากาศและแก้ว จะเกิดการหักเห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน
อธิบายการกระจายแสงของแสงขาว ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่านเลนส์ทาให้เกิดภาพที่มี
เม่ือผ่านปริซึมจากหลักฐานเชิง ชนิดและขนาดต่าง ๆ
ประจักษ์
16. เขียนแผนภาพการเคล่ือนที่ของแสง แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เม่ือแสงขาวผ่านปริซึมจะเกิดการ
กระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆเรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว เมื่อเคล่ือนที่
แสดงการเกดิ ภาพจากเลนสบ์ าง
ในตัวกลางใด ๆ ทไี่ ม่ใชอ่ ากาศ จะมีอัตราเรว็ ตา่ งกนั จึงมีการหกั เหตา่ งกนั
17. อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง การสะท้อนและการหักเหของแสงนาไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวกับ
และการทางานของทศั นอุปกรณ์จาก แสง เชน่ รุง้ มริ าจ และอธิบายการทางานของทัศนอปุ กรณ์ เช่น แว่นขยาย
ข้อมูลทีร่ วบรวมได้
กระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และแว่นสายตา
18. เขียนแผนภาพการเคลื่อนท่ีของแสง
แสดงการเกิดภาพของทัศนอุปกรณ์ ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะถูกปรับโฟกัส เพื่อให้เกิดภาพชัดท่ีจอตา ความ
บกพร่องทางสายตา เช่น สายตาส้ัน และสายตายาว เป็นเพราะตาแหน่งที่
และเลนสต์ า
เกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ในการแก้ไขเพ่ือช่วยให้
มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใช้เลนส์เว้า ส่วนคน
สายตายาวใช้เลนสน์ นู
19. อธิบายผลของความสว่างที่มีต่อ ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์ การใช้สายตาในสภาพแวดล้อมท่ี
ดวงตาจากขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการสบื คน้ มีความสว่างไม่เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุในที่มี
20. วดั ความสว่างของแสงโดยใช้อุปกรณ์ ความสวา่ งมากหรือน้อยเกินไป การจ้องดูหน้าจอภาพเป็นเวลานาน ความ
วดั ความสว่างของแสง
สว่างบนพ้ืนท่ีรับแสง มีหน่วยเป็นลักซ์ ความรู้เกี่ยวกับความสว่างสามารถ
ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
21. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่อง นามาใช้จัดความสว่างให้เหมาะสมกับการทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัด
ความสว่างของแสงที่มีต่อดวงตา ความสวา่ งที่เหมาะสมสาหรบั การอ่านหนงั สือ
โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและ
เ ส น อ แ น ะ ก า ร จั ด ค ว า ม ส ว่ า ง ใ ห้
เหมาะสมในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ