การ
นับ
เวลา
แบบ
ไทย
การนับในรอบวัน
ประเทศไทยเรานอกจากจะใช้วิธีการบอกเวลาแบบสากล
แล้วก็ยังมีการบอกเวลาที่มีลักษณะที่โดดเด่นเฉพาะประเทศเรา
ไทยเราเฉพาะอย่างการนับเวลาด้วยการใช้ โมง-ทุ่ม-ตี-ยาม
นั่นเอง
โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถ้าเป็น
เวลาก่อนเที่ยงวัน ตั้งแต่ ๗ นาฬิกา ถึง ๑๑ นาฬิกา เรียกว่า โมง
เช้า ถึง ๕ โมงเช้า ถ้าเป็น ๑๒ นาฬิกา นิยมเรียกว่า เที่ยงวัน ถ้า
หลังเที่ยงวัน ตั้งแต่ ๑๓ นาฬิกา ถึง ๑๗ นาฬิกา เรียกว่า บ่ายโมง
ถึง บ่าย ๕ โมง ถ้า ๑๘ นาฬิกา นิยมเรียกว่า ๖ โมงเย็น หรือ
ยํ่าคํ่า
ทุ่ม หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีสําหรับ ๖ ชั่วโมงแรกของ
กลางคืน ตั้งแต่ ๑๙ นาฬิกา ถึง ๒๔ นาฬิกา เรียกว่า ๑ ทุ่ม ถึง ๖
ทุ่ม แต่ ๖ ทุ่ม นิยมเรียกว่า สองยาม
ตี หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลัง
เที่ยงคืน ตั้งแต่ ๑ นาฬิกา ถึง ๖ นาฬิกา เรียกว่า ตี ๑ ถึง ตี ๖
แต่ตี ๖ นิยมเรียกว่า ยํ่ารุ่ง
การนับยามกลางคืน
ยาม เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ
และพบในการพากย์ภาพยนตร์จีนที่เรียกว่า ชั่วยาม โดยในจีน
แบ่ง 1 วันเป็น 12 ชั่วยามตามที่บอกไว้ในธงชาติสาธารณรัฐจีน
ขณะที่หนึ่งยามของไทยมีค่าประมาณ 3 ชั่วโมง
คำที่เกี่ยวกับ “ยาม” ที่คนไทยเรารู้จักและเข้าใจดีคำหนึ่งก็คือ “แขกยาม”
ซึ่งได้แก่แขกที่เป็นชาวอินเดีย มักจะเป็นแขกปาทาน นุ่งผ้าขาวโจงกระเบน ที่
เรามักว่าจ้างให้มาอยู่ยามตามตลาด หรือโรงเลื่อยโรงสี ตลอดจนโรงแรมใหญ่
ๆ บางคนก็มีเตียงนอนถักด้วยเชือก เขามักจ้างเฝ้ายามเฉพาะในเวลากลางคืน
แขกพวกนี้มักจะถือกระบองอันโต ๆ น่าเกรงขาม และมักจะตีเหล็กแผ่นเป็น
สัญญาณบอกเวลาทุกชั่วโมง
คำว่า “ยาม” ที่เรานับกันตามแบบไทย ๆ กับ “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏใน
บาลีนั้นแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะคืนหนึ่งเราแบ่งเป็น ๔ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง
ตั้งแต่ย่ำค่ำ คือ ๑๘ นาฬิกา ถึง ๓ ทุ่ม (๒๑ นาฬิกา) เป็นยามที่ ๑
หลังจาก ๒๑ นาฬิกา หรือ ๓ ทุ่ม ไปถึง ๒๔ นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน เรา
เรียกว่า ยาม ๒ หรือ ๒ ยาม
หลัง ๒๔ นาฬิกา ไปถึงตี ๓ (๓ นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม ๓
และหลังจากตี ๓ ไปจนย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม ๔ ซึ่งเป็น
ยามสุดท้ายของคืน
ปฐมยาม หรือ ยามแรก ได้แก่ช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น.
ทุติยยาม หรือ ยามที่ 2 ได้แก่ช่วงเวลา ๒๒.๐๐-๐๒.๐๐ น. และ
ปัจฉิมยาม หรือ ยามสุดท้าย ได้แก่ช่วงเวลา ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น.
การบอกวัน เดือน ข้างขึ้นและข้างแรม
การนับวัน เดือน ปี แบบไทยนับเวลาตามจันทรคติ เมื่อดูวันข้างขึ้นข้างแรมและวันสำคัญ
ทางพระพุทธศาสนา
วัน ๑ เดือนอ้าย เดือน ธันวาคม
๑ วันอาทิตย์ ๒ เดือนยี่ มกราคม
๒ วันจันทร์
๓ วันอังคาร ๓ เดือนสาม กุมภาพันธ์
๔ วันพุธ
๕ วันพฤหัสบดี ๔ เดือนสี่ มีนาคม
๖ วันศุกร์
๗ วันเสาร์ ๕ เดือนห้า เมษายน
๖ เดือนหก พฤษภาคม
๗ เดือนเจ็ด มิถุนายน
๘ เดือนแปด กรกฎาคม
๙ เดือนเก้า สิงหาคม
๑๐ เดือนสิบ กันยายน
๑๑ เดือนสิบเอ็ด ตุลาคม
๑๒ เดือนสิบสอง พฤศจิกายน
ข้างขึ้น ตัวอย่าง
ตัวเลขด้านบนของเครื่องหมาย ฯ ข้างขึ้น
บอกช่วงเวลาข้างขึ้น ตั้งแต่ ขึ้น ๑ ค่ำ
ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ ๑๒
ข้างแรม ๑ฯ๔
ตัวเลขด้านล่างของเครื่องหมาย ฯ วัน เดือน
ข้างแรม ตั้งแต่ แรม ๑ ค่ำ ไปจนถึง
แรม ๑๕ ค่ำ วันอาทิตย์ เดือนสี่ ขึ้น ๑๒ ค่ำ
ปีนักษัตร
๑๒
๑ ฯ ๔ ปีฉลู
วันอาทิตย์ เดือนสี่ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีฉลู
วิธีการคำนวณว่าพุทธศักราชใด ตรงกับปีนักษัตรใดนั้น ให้เอาปี
พุทธศักราชตั้ง หารด้วย ๑๒ แล้วเอาเศษมาเทียบดังต่อไปนี้
เศษ ๑ ปี ตรงกับปีมะเมีย เศษ ๗ ปี ตรงกับปีชวด
เศษ ๒ ปี ตรงกับปีมะแม เศษ ๘ ปี ตรงกับปีฉลู
เศษ ๓ ปี ตรงกับปีวอก เศษ ๙ ปี ตรงกับปีขาล
เศษ ๔ ปี ตรงกับปีระกา เศษ ๑๐ ปี ตรงกับปีเถาะ
เศษ ๕ ปี ตรงกับปีจอ เศษ ๑๑ ปี ตรงกับปีมะโรง
เศษ ๖ ปี ตรงกับปีกุน และถ้าลงตัวไม่เหลือเศษ ก็จะเป็นปีมะเส็ง
ศักราชเเละการเทียบศักราช
ศักราช หมายถึง อายุเวลาซึ่งกำหนดตั้งขึ้นเป็นทางการ เริ่มแต่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็น
ที่หมายเหตุการณ์สำคัญ เรียงลำดับกันเป็นปีๆศักราชที่นิยมใช้กันและที่สามารถพบในหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์ได้แก่
เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ เริ่มนับเมื่อ พ.ศ. ผ่านมาได้ 1,181 ปี โดย
เมื่อ พ.ศ. ผ่านมาได้ 2,325 ปี ซึ่งพระบาท
ปรินิพพานซึ่งแต่เดิมนับเอาวันเพ็ญเดือน
นับเอาวันที่พระเถระพม่ารูปหนึ่งนามว่า "บุพ
สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
หก เป็นวันเปลี่ยนศักราช ต่อมา
โสระหัน" ลึกออกจากการเป็นพระ เพื่อชิง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติขึ้น โดย
เปลี่ยนแปลงให้ถือเอาวันที่ 1 เมษายนแทน
ราชบัลลังก์ในสมัยพุกามอาณาจักรการนับ
เริ่มนับวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระอนันท
เดือน ปี ของ จ.ศ. จะเป็นแบบจันทรคติ โดย
จุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงสร้าง
มหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงพระกรุณาโปรด
ถือวันขึ้น1ค่ำเดือน5เป็นวันขึ้นปีใหม่ กรุงเทพมหานคร เป็น ร.ศ. 1 และวันเริ่มต้นปี
เกล้าฯ ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ โดยเริ่มนับ
คือ วันที่ 1 เมษายน ต่อมาในสมัยพระบาท
ตามแบบสากล คือ วันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ปี
จุลศักราช (จ.ศ.) สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาล
พ.ศ. 2483.เป็นต้นมา ที่6)ได้ยกเลิกการใช้ร.ศ.
พุทธศักราช (พ.ศ.) รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)
เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเยซูเกิด เป็นค.ศ. 1 ซึ่ง
เป็นศักราชทางศาสนาอิสลาม เริ่มนับ
เริ่มนับเมื่อพระระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์
ในขณะนั้นได้มีการใช้ พุทธศักราชเป็นเวลา
เมื่อท่านนบีมุฮัมหมัด กระทำฮิจเราะห์
กุษาณะ กษัตริย์ผู้ครอง คันธาระราฐ ของ
ถึง 543 ปีแล้ว (Higra แปลว่า การอพยพโยกย้าย) คือ
อินเดียทรงคิดค้นขึ้น
อพยพจากเมืองเมกกะ ไปอยู่ที่เมืองเม
คริสต์ ศักราช (ค.ศ.) ดินะ เป็นปีเริ่มต้นของศักราชอิสลาม มหาศักราช (ม.ศ.)
ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.)
การเปรียบเทียบศักราชสามารถกระทำได้ง่ายๆ โดยนำตัวเลขผลต่างของอายุศักราชแต่ละ
ศักราชมาบวกหรือลบศักราขที่เราต้องการ ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
ม.ศ. + 621 = พ.ศ. ค.ศ. + 543 = พ.ศ.
พ.ศ. - 621 = ม.ศ. พ.ศ. - 543 = ค.ศ.
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ. ฮ.ศ. + 621 = ค.ศ.
พ.ศ. - 1181 = จ.ศ. ค.ศ. - 621 = ฮ.ศ.
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ. ฮ.ศ. + 1164 = พ.ศ.
พ.ศ. - 2324 = ร.ศ. พ.ศ. - 1164 = ฮ.ศ.
ปัจจุบันศักราชที่ใช้กันมาก คือ คริสต์ศักราชและพุทธศักราช เมื่อเปรียบเทียบศักราช ทั้งสอง
ต้องใช้ 543 บวกหรือลบแล้วแต่กรณี ถ้าเทียบได้คล่องจะทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย หรือ
สากลได้ง่ายขึ้น
ทศวรรษ ศตวรรษ เเละสหัสวรรษ ทศวรรษ
ทศวรรษ หมายถึง ช่วงเวลา 10 ปี มีหลัก
การนับ คือ เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0
เป็นปีแรกของทศวรรษ และนับไปสิ้นสุดที่เลข
9 นิยมใช้ทศวรรษในการบอกช่วงเวลาทาง
คริสต์ศักราช เช่น ทศวรรษที่ 1970 เป็นช่วง
เวลา ค.ศ. 1970 – 1971
ศตวรรษ ศตวรรษ หมายถึง ช่วงเวลา 100
ปี มีหลักการนับ คือ เริ่มนับตั้งแต่ปีที่
สหัสวรรษ หมายถึง ช่วงเวลา
ขึ้นต้นด้วยเลข 0 เป็นปีแรกของ
1,000 ปี มีหลักการนับ คือ เริ่มนับ
ทศวรรษ จนถึง 100
ตั้งแต่ปีที่ขึ้นด้วยเลข 1 เป็นปีแรก
เช่น พุทธศตวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วง
ของสหัสวรรษ จนถึง 1,000 เช่น
เวลาระหว่าง พ.ศ. 1-100 คริสต์
สหัสวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลา
ศตวรรษที่ 20 หมายถึง ช่วงเวลา
ระหว่าง ค.ศ. 1-1000 หรือ พุทธ
ระหว่าง ค.ศ. 1901 – 2000
สหัสวรรษที่ 4 เป็นช่วงเวลาระหว่าง
พ.ศ. 3001 – 4000 สหัสวรรษ