The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสืบพันธุ์ของพืชดอก Reproduction ม.5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pradasuk2532, 2022-09-27 17:39:03

การสืบพันธุ์ของพืชดอก Reproduction ม.5

การสืบพันธุ์ของพืชดอก Reproduction ม.5

วชิ า ชวี วทิ ยาเพมิ่ เตมิ ๒ ว30242 ม.5

ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช 2560)

กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นเลาขวญั ราษฎรบ์ ารงุ

1. อธบิ ายวัฏจักรชีวติ แบบสลบั ของพืชดอก
2. อธิบายและเปรียบเทยี บกระบวนการสรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผ้แู ละเพศเมียของพชื ดอก
3. อธิบายการเกิดเมลด็ และการเกดิ ผลของพชื ดอกโครงสรา้ งของเมลด็ และผล
และยกตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์จากโครงสรา้ งตา่ งๆของเมลด็ และผลการปฏสิ นธิของพืชดอก

เปน็ พชื ทีม่ ีววิ ฒั นาการสงู สุดในอาณาจกั รพืช Auxiliary bud 1

มีการสบื พนั ธ์ุ แบบ การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศ Shoot
การสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ Flower

พชื ทกุ ชนิดสร้าง spore ได้ แต่มเี พียงพชื ดอกเทา่ น้นั ที่ สร้าง spore ในดอก Leaves
โดยสปอร์ที่สรา้ งได้มี 2 แบบ ได้แก่
Stem
- Microspore
(จะเจรญิ ไปเป็นเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผู้) Root

- Megaspore
(จะเจริญไปเป็นเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมยี )

ภาพแสดงโครงสรา้ งของพืชดอก

2

Petals

Stigma Pollen sacs Produce
Pistil Style male gametes

Ovary with eggs Anther
Filament Stamen

Sepal

เปน็ อวัยวะของพืชท่ีทาหน้าทใี่ นการสืบพนั ธุ์ มีส่วนประกอบตา่ ง ๆ ตดิ อย่บู นฐานดอก (Receptacle)

1. กลีบเลย้ี ง (Sepal) ทาหน้าที่หอ่ ห้มุ ปอ้ งกันอนั ตรายให้กบั ส่วนประกอบต่าง ๆ
2. กลบี ดอก (Petal) สสี นั สวยงาม ทาหน้าที่ ล่อแมลงให้มาผสมเกสร
3. เกสรตัวผู้ (Stamen) ทาหน้าท่สี รา้ งเซลลส์ บื พันธุเ์ พศผู้ ประกอบดว้ ย อับเรณู (Anther) และกา้ นชูอับเรณู (Filament)

4. เกสรตัวเมีย (Pistil) ทาหนา้ ท่สี รา้ งเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศเมียหรอื ไข่ ประกอบด้วย ยอดเกสรตัวเมยี (Stigma)
กา้ นชเู กสรตัวเมยี (Style) และรังไข่ (Ovary)

Petals 3

Style Stigma Pollen sacs Produce
Stigma Pistil Style male gametes

Pistil Style Ovary Anther
Anther with eggs Filament Stamen
Ovary
Sepal Stigma
Ovary Style
Anther Sepal Pistil
Pollen Ovary Filament Ovary
grain Anther
Filament

4

โครงสร้างท้ังสี่วงของดอกน้ีจะติดอยู่ 1. วงกลบี เลี้ยง หรือ calyx
บนฐานดอก (receptacle) นอกจากนี้ยังมี ประกอบดว้ ยกลีบเลยี้ ง (sepal) ซึง่ แต่
ส่วนอื่น ๆ ท่ีติดใต้ฐานดอกอีก ได้แก่ ละกลีบอาจแยกจากกนั หรือเชือ่ มตดิ กนั
ก้านดอก (peduncle) หรือกา้ นดอกย่อย
(pedicel) ในกรณีของดอกย่อย และอาจมี 2. วงกลีบดอก หรอื corolla
ใบประดบั ประกอบอยดู่ ้วย ประกอบด้วยกลีบดอก (petal) ซึง่ แต่
ละกลีบอาจแยกจากกันหรือเชอื่ มติดกนั
3. วงเกสรเพศผู้ หรอื
androecium ประกอบด้วยเกสรเพศผู้ 4. วงเกสรเพศเมีย หรอื Gynoecium
(stamen) ซึ่งแบง่ เปน็ 2 สว่ น คอื ประกอบด้วยเกสรเพศเมีย (pistil หรือ carpel)
ก้านชอู ับเรณู (filament) และอับเรณู ซ่ึงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ รังไข่ (ovary)
(anther) ก้านยอดเกสรเพศเมีย (style) และยอดเกสร
เพศเมยี (stigma)

Pollen grain with tube nucleus Pollen sac 5
and generative nucleus
Microspore
เกสรเพศผู้ (stamen) Stigma mother cell
Style
เป็นสว่ นทอ่ี ยถู่ ัดจากกลีบดอกเข้าไปทาหน้าท่ีสรา้ งเซลล์ (2n)
สืบพันธ์ุเพศผู้ ซ่ึงเกสรเพศผ้แู ตล่ ะอันประกอบดว้ ย 2 สว่ น ดงั น้ี
Anther
อบั เรณู (anther) Filament Pollen grains

มลี ักษณะเปน็ พู จานวน 2 พู ภายในแบ่งเปน็ ถุงเล็ก ๆ 4 ถุง Ovary
เรียกว่า โพรงอบั เรณู (pollen sac) ซงึ่ บรรจุไมโครสปอร์มาเทอร์
เซลล์ (microspore mother cell) จานวนมากทพี่ ร้อมจะแบง่ เซลล์
แบบไมโอซสิ เพือ่ สร้างไมโครสปอร์ (microspore) ตอ่ ไป

ก้านชูอบั เรณู (filament) Anther
มีลกั ษณะเป็นก้านหรอื ท่อ ทาหนา้ ที่ชูอบั เกสรเพศผหู้ รืออับเรณู

6

เกสรเพศเมีย (pistil) ภายในรังไข่ มีออวุล (Ovule) โดยรังไข่แต่
ละรงั ไข่อาจมี 1 หรือหลายออวุลกไ็ ด้ และออวุลจะ
เป็นสว่ นที่อยู่ในสดุ เปล่ียนแปลงมาจากใบเพอ่ื ทาหน้าทส่ี ร้างเซลล์สบื พันธเุ์ พศเมีย มีเซลล์ต้นกาเนิด (Megaspore mother cell)
ซึง่ เกสรเพศเมียประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ ท่ีจะพัฒนาไปเป็นสปอร์เพศเมีย (Megaspore)
และเป็นเซลล์สบื พนั ธ์ุเพศเมยี ต่อไป
ยอดเกสรเพศเมยี (stigma)
มลี ักษณะเปน็ ตมุ่ แผ่แบนเป็นแฉกหรอื เป็นพู และมีสาร
เหนยี วๆ หรอื ขน เพ่ือชว่ ยให้เรณูมาติด

ก้านชูเกสรเพศเมยี (style) Funiculus Antipodals
มีลักษณะเปน็ ท่อ หรอื ก้านเลก็ ๆ เชอ่ื มต่อจากยอดเกสร Polar nuclei
เพศเมียลงสูร่ งั ไข่ ซึง่ เป็นทางให้สเปริ ์มนวิ เคลยี สเข้าไปผสม Egg cell
กบั เซลลไ์ ข่ Synergids

รังไข่ (ovary) มีลักษณะเป็นกระเปาะอยู่ติดกับฐาน Integument
ดอก หรืออาจฝังอยู่ในฐานดอกภายในมีลักษณะเป็นพู ซ่ึง Micropyle
อาจมีเพียง 1 พู หรือมากกว่าก็ได้ ถ้ามีมากกว่า 1 พู
Ovule มกั จะมีผนงั กั้น (septum)

Ovary wall

7

Stamen

Pistil ดอกสมบรู ณเ์ พศ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมยี

(Perfect flower) (Staminate) (Pistillate)

ภาพแสดงโครงสรา้ งดอกแตล่ ะชนิดจาแนกตามองคป์ ระกอบของดอก

Petal

เมอ่ื พิจารณาส่วนประกอบดอกของพชื แตล่ ะชนิดจะมโี ครงสร้างแตกตา่ งกัน
Sepal บางชนิดมีโครงสร้างหลกั ครบทง้ั 4 ส่วนเรยี กว่า ดอกสมบูรณ์ (complete flower)

ดอกสมบรู ณ์เพศ บางชนิดอาจขาดโครงสรา้ งใดโครงสรา้ งหนึง่ เรยี กว่า ดอกไม่สมบรู ณ์ (incomplete
(Perfect flower) ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ flower) และดอกท่มี ีทง้ั เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมียอย่ภู ายในดอกเดียวกนั เรียกว่า
(Imperfect flower) ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) เช่น ดอกชบา ดอกกหุ ลาบ ดอกบัว ดอกพริก

แต่หากมีเกสรเพศผูห้ รือเกสรเพศเมยี เพยี งอยา่ งใดอย่างหนึ่ง เรียกวา่ ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ

ดอกสมบูรณ์ (imperfect flower) เชน่ ดอกมะพร้าว ดอกฟกั ทอง ดอกแตงกวา ดอกบวบ ดอกตาลึง โดยดอกทม่ี ีเฉพาะ

(Complete flower) เกสรเพศผเู้ รยี กวา่ ดอกเพศผู้ (Staminate) ส่วนดอกทมี่ ีเฉพาะเกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกเพศเมยี (Pistillate)

8

Superior Ovary Half-Inferior Ovary Inferior Ovary
(Hypogynous flower) (Perigynous flower) (Epigynous flower)

เมอ่ื พจิ ารณาจากตาแหน่งของรงั ไขเ่ ทยี บกับตาแหนง่ ของวงกลีบ สามารถจาแนกประเภทของดอกไม้ ดงั น้ี

1) ดอกท่มี ีรังไข่อยู่เหนือวงกลบี (Hypogynous flower) คอื 2) ดอกที่มีรังไขอ่ ยใู่ ต้วงกลบี (Epigenous flower) คือ ดอกท่ีมรี ัง
ดอกที่รังไขต่ ดิ อยบู่ นฐานดอกในตาแหน่งสงู กวา่ วงกลบี (Superior ไขต่ ิดอยู่บนฐานดอก ในตาแหน่งต่ากวา่ กลีบเลย้ี ง (Inferior ovary) โดย
ovary) เช่น มะเขือ จาปี บัว มะละกอ พรกิ บานบุรี ย่ีหบุ เป็นตน้ ผนังรังไข่จะเชื่อมตดิ เปน็ เนื้อเดียวกบั สว่ นของฐานรองดอกท่ีล้อมรอบรงั ไข่
เอาไว้ เชน่ ตาลงึ ฟกั ทอง แตงกวา บวบ กลว้ ย ฝรั่ง เป็นตัน

ยอดเกสรเพศเมยี 9
เกสรเพศผู้
ดอกยอ่ ยวงนอก

ดอกยอ่ ยวงใน ใบประดับ กลบี ดอก

ฐานดอกรว่ ม รังไข่
ก้านช่อดอก ดอกย่อยวงนอก ดอกยอ่ ยวงใน

ก. ดอกเดีย่ ว ข. ดอกช่อ ดอกของพืชบางชนิดท่ีเป็นดอกช่อแต่มักมีความข้าใจว่าเป็นดอกเดี่ยว
(Solitary flower) (Inflorescence flower) เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง ดาวกระจาย และบานชื่น เน่ืองจากก้านช่อ
ดอกของพืชเหล่าน้ีจะหดส้ัน และขยายแผ่ออกเป็นวงคล้ายจานเรียกว่า
ดอกไม้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามจานวนดอกบนก้านดอก คอื ฐานดอกร่วม (common receptacle)
1. ดอกเดีย่ ว (solitary flower) คือ ดอกที่มีเพียง 1 ดอกใน 1 ก่ิง
ตัวอย่างเช่น ดอกบัว ดอกพุดซ้อน ดอกจาปี ดอกสายหยุด ดอกบัวจีน ดังน้ันส่วนที่เห็นคล้ายเป็นกลีบดอกติดอยู่ท่ีวงรอบนอกของฐาน
(รูป ก) ดอกรว่ ม คือ ดอกยอ่ ยทเ่ี รียกว่า ดอกย่อยวงนอก ซึ่งมักเป็นดอกเพศเมีย
2. ดอกช่อ (inflorescence) คอื ดอกท่ีมีหลายดอกใน 1 กิ่ง อาจมี 1 ช้ัน หรือมากกว่าก็ได้ถัดเข้ามาจะเห็นดอกย่อยที่มีลักษณะคล้าย
เช่น ดอกกลว้ ยไม้กลมุ่ ชา้ ง ดอกถวั่ ดอกเขม็ ดอกหญา้ ดอกรัก (รปู ข) หลอดอยู่เบียดกันแน่นเป็นกลุ่มอยู่บริเวณตรงกลางของฐานดอกร่วม
สาหรบั ดอกไมท้ เี่ ป็นแบบดอกช่อน้ัน เรยี กว่า ดอกยอ่ ยวงใน ซ่ึงเป็นดอกสมบูรณเ์ พศ

10

การสร้างไมโครสปอร์ เกิดข้ึนท่ีอับเรณูภายในมีอับไมโครสปอร์มีเน้ือเย่ือพิเศษท่ีแบ่งเซลล์ได้เน้ือเยื่อสองช้ัน ซ่ึงเน้ือเยื่อชน้ั หน่ึงจะพัฒนาเป็น
ไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (microspore mother cell) และแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ เพือ่ สรา้ งไมโครสปอรจ์ านวน 4 กล่มุ

การสร้างไมโครสปอร์ Microspore (n)
(Microsporogenesis)

Microspore mother cell Microspore Pollen grain Sperm cells
(2n) (n)
Tube nucleus
Megaspore mother cell Megaspore Antipodals
(2n) (n)

Central cell Polar nuclei
Synergids

การสรา้ งเมกะสปอร์ Micropyle Egg cell
(Megasporogenesis)

การสร้างเมกาสปอร์ เกิดขนึ้ ทรี่ ังไขภ่ ายในมอี อวุล (ovule) ประกอบดว้ ยเนอ้ื เย่อื ท่เี รียกว่า นิวเซลลัส (nucellus) ท่ีถูกหุ้มด้วยผนังออวุล ภายในนิวเซลลัส

(nucellus) จะพบเมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (megaspore mother cell) 1 เซลล์ ท่ีมขี นาดใหญ่และแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เพ่อื สร้างเมกะสปอร์ (megaspore)

Alternation of Generation หรือ 11

Dชว่ipงlชoวี hติ aทpเี่loปnน็ tic>>lifeสปc0yอcโlรeไฟคตือ์ ประกอบด้วย ภาพแสดงวฏั จักรชวี ติ แบบสลับของพชื ดอก
(sporophyte)

ทาหนา้ ท่สี รา้ ง สปอร์ (spore)

สลบั กับชว่ งชีวิตที่เป็น..แกมโี ทไฟต์
(gametophyte) ทาหน้าท่ีสรา้ งแกมีต
(gamete) ไดแ้ ก่ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศผู้หรือ
สเปิร์ม (sperm) และเซลลส์ บื พันธุ์เพศเมยี
หรอื ไข่ (egg)

12

Anther Germinated pollen grain (n)
Pollen tube (male gametophyte)

Ovary

Ovule
Embryo sac (n)
(female gametophyte)

Egg (n) FERTILIZATION
Sperm (n)
Zygote
Key Mature sporophyte (2n)
plant (2n)
Haploid (n) Seed
Diploid (2n) Germinating
seed

Seed

(b) Simplified angiosperm Simple Embryo (2n)
life cycle fruit (sporophyte)

ภาพแสดงวฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั ของพืชดอก

Microsporangium 13
Anther
20 m ภายในอับเรณู มีกลมุ่ เซลล์ เรยี กว่าไมโครสปอรม์ าเทอร์เซลล์
Young pollen sac Ragweed pollen grain (micro spore mother cell) (2n)
With microsporocytes
(colorized SEM)
Microsporocyte Sporophyte
(Microspore mother cell) (2n) ไมโครสปอรม์ าเทอร์เซลล์ (2n) แตล่ ะเซลลจ์ ะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส

4 Microspores Meiosis หลงั การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสจะได้เซลลใ์ หม่ เรียกว่า ไมโครสปอร์ (microspore) (n)
จานวน 4 ไมโครสปอร์ แต่ละไมโครสปอร์จะแบ่งนวิ เคลยี ส
Pollen grain Gametophyte (n)
แบบไมโทซิส 1 ครง้ั ได้ 2 เซลล์ คือ generative cell และ tube cell
Mitosis
Generative cell หลังการแบ่งเซลลจ์ ะไดเ้ รณู (pollen)
Tube cell หรือแกมีโทไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte)
ซ่ึงเมอื่ เรณูแกเ่ ตม็ ที่ อบั เรณจู ะแตกออกทาให้เรณกู ระจายออกไป

เม่ือทวิ เซลล์ (tube cell) จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทฟิ เซลล์ (generative cell)
จะแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ ไดเ้ ซลล์สบื พันธุ์เพศผู้ 2 เซลล์ (Sperm cells)

14

(a) Development of a male gametophyte MEIOSIS Microspore (n) มกี ารแบง่ นิวเคลยี สแบบ Mitosis ได้
(in pollen grain) Tube nucleus และ Generative nucleus

Microsporangium ในขณะเดียวกันเซลล์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้มีขน
(pollen sac) หรือมีหนาม เรียกเซลล์เหลา่ นี้ว่า ละอองเรณู (pollen grain)
Microsporocyte หรอื Male Gametophyte

Microspores (4)

Each of 4 MITOSIS
microspores
Male
Generative cell gametophyte
(will form 2 sperm) (in pollen grain)

75 m Nucleus of tube cell Key to labels

(LM) 20 m Haploid (n)
Diploid (2n)
Ragweed pollen grain
(colorized SEM)

ภายในรงั ไข่มอี อวลุ และภายในออวลุ 15

Mega gametogenesis มเี ซลล์ เรียกว่า เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (megaspore mother cell) (2n)

Megasporangium Ovule เมกะสปอร์มาเทอรเ์ ซลลแ์ บ่งเซลล์แบบ ไมโอซสิ ได้เมกะสปอร์ (megaspore)
(n) จานวน 4 เซลล์
Young ovule Antipodals
Megasporocyte เมกะสปอรจ์ ะสลายไป 3 เซลล์ เหลือเพยี ง 1 เซลล์ท่สี มบูรณท์ ่สี ดุ
(Megaspore mother cell)
Meiosis เมกะสปอรท์ เ่ี หลือ 1 เซลล์ จะขยายขนาดแลว้ แบง่ นิวเคลียสแบบไมโทซสิ 3 ครัง้
Sporophyte (2n) ได้ 8 นวิ เคลียส และคอ่ ย ๆ สร้างเย่อื หุ้มมาลอ้ มนวิ เคลียส

3 megaspores สลายไป 3 เซลล์ แตล่ ะเซลล์มี 1 นิวเคลียสอยตู่ รงขา้ มกบั รไู มโครไพล์ (micropyle)
เหลอื 1 megaspore Polar nuclei
Gametophyte (n) Central cell เรียกวา่ แอนตโิ พแดล (Antipodals)

Antipodals Mitosis 3 times Synergids 3 เซลล์ แต่ละเซลลม์ ี 1 นวิ เคลียสอยู่ด้านเดยี วกบั ไมโครไพล์โดย 1 เซลล์
Egg cell ทาหนา้ ที่เปน็ เซลล์ไข่ (egg cell) สว่ นอีก 2 เซลลจ์ ะอยูด่ า้ นขา้ งของเซลล์ไข่
Polar nuclei Embryo sac Micropyle
Synergids (Female gametophyte) เรียกวา่ ซินเนอรจ์ ิด (synergids)

7 cells 2 นิวเคลียสทเ่ี หลืออย่ตู รงกลาง เกิดสภาพนวิ เคลยี สคู่
8 nucleus เรียกวา่ โพลาร์นิวคลีไอ (polar nuclei)

Gamete (n) Egg โครงสร้างทั้งหมดน้ี เรยี กวา่ ถงุ เอ็มบรโิ อ (embryo sac)
หรอื female gametophyte

16

(b) Development of a female gametophyte
(embryo sac)

Female gametophyte คอื ถุงเอม็ บริโอ (Embryo sac) Ovule Megasporangium
Megasporocyte
ประกอบดว้ ย MEIOSIS Integuments
กลุม่ ที่ 1 อย่ใู กล้กบั รู Microplye มี 3 นิวเคลียส Micropyle
MITOSIS Surviving Female gametophyte
นิวเคลียสตรงกลาง คอื ไข่ (egg) megaspore (embryo sac)
สองนิวเคลียสดา้ นข้างเรยี กวา่ Synergids Ovule
กล่มุ ท่ี 2 เรียงตัวอยู่ตรงกลางมี 2 นวิ เคลยี ส Antipodal cells (3)
เรียกว่า Polar nucleus Polar nuclei (2)
กลุ่มท่ี 3 อยู่ถดั เข้าไปดา้ นในตรงขา้ มกับรไู มโครไพล์ Egg (1)
มี 3 นวิ เคลียส เรียกวา่ Antipodal cells Synergids (2)

Integuments100 m Embryo sac
(LM)
Key to labels
Haploid (n)
Diploid (2n)

(a) Development of a male (b) Development of a female 17
gametophyte gametophyte (embryo sac)
(in pollen grain)
Megasporangium
Microsporangium
(pollen sac)

Microsporocyte Ovule Megasporocyte
Microspores (4)
MEIOSIS Integuments
Micropyle

Each of 4 MITOSIS Ovule Surviving Female gametophyte
microspores megaspore (embryo sac)
Male
Generative cell gametophyte Antipodal cells (3)
(will form 2 (in pollen grain) Polar nuclei (2)
sperm) Egg (1)
Synergids (2)
Nucleus of tube cell
Integuments Embryo sac
(LM)
20 m

75 m Ragweed Key to labels 100 m
pollen
(LM) grain Haploid (n)
(colorized Diploid (2n)
SEM)

20 m 18

Anther pollen grain
Pollen sac (colorized SEM)

Pollen grain

Pollen grain หรอื ละอองเรณูถูกนาพามา Stigma
โดยนา้ ลม แมลง สัตว์ มนุษย์ ฯลฯ
Style Ovary
ลอยมาตกทย่ี อดเกสรเพศเมยี ท่มี ีน้าหวาน
เหนยี ว ๆ ทาใหย้ ดึ เกาะได้ดี Embryo sac Sperm (n) ตัวทส่ี องเข้าผสมกบั
Antipodals polar nuclei (n + n)
Tube nucleus ของละอองเรณูงอกหลอด ได้ Endosperm (3n)
แทงลงไปตามก้านชูเกสรเพศเมยี Polar nuclei
Egg cell
ระหว่างน้ัน Generative nucleus Synergids
แบ่งเซลล์ได้ 2 sperm cell
II Sperm cell (n)
I Sperm cell (n)

Sperm cell เขา้ สู่ Embryo sac ทางรู Micropyle Sperm (n) ตวั แรกเข้าผสมกบั Egg (n) ได้ Zygote (2n)

19

Stigma II Sperm cell (n) เมอ่ื เรณตู กลงบนยอดเกสเพศเมีย เซลล์ทวิ บ์ (tube cell)
Style I Sperm cell (n) จะแบ่งเซลล์เพื่องอกหลอดเรณูไปตามก้านชเู กสรเพศเมียแทงเข้า
ไปทางไมโครไพล์ (micropyle) เขา้ สอู่ อวุล
Ovary
และทิวบ์นิวเคลียส (tube nucleus) จะงอกหลอดไปแทง
เขา้ ไปยังรังไข่เจเนอเรทีฟเซลล์ (generative cell) จะเคลื่อนตัว
ไปตามหลอดเรณูและแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้สเปริ ม์
(sperm cell) จานวน 2 เซลล์

Embryo sac Sperm cell (n) โดยสเปิร์มตัวหน่ึงจะเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกต
(zygote) ซึ่งมีโครโมโซมจานวน 2 ชุด (2n) แล้วพัฒนาต่อไป
Antipodal เปน็ เอ็มบริโอ (Embryo)
Polars nuclei
Synergids ส่วนสเปิร์มอีกตัวหน่ึงจะเข้าไปผสมกับโพลาร์นิวคลีไอได้
Egg cell เป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) ซ่ึงมีจานวนโครไมโชม 3 ชุด
เรียกการปฏิสนธิแบบนว้ี ่า
ภาพแสดงภารปฏสิ นธิซอ้ นของพืชดอก
“ การปฏสิ นธซิ อ้ น (Double fertilization) ”

20

1 2 3
Stigma
Pollen tube Pollen Endosperm
grain nucleus (3n)
2 sperm (2 polar nuclei
Style Ovule plus sperm)
Ovary Polar nuclei
Ovule
Egg
Micropyle
Synergid Zygote
2 sperm (2n)

Polar
nuclei

Egg

• After double fertilization, each ovule develops into a seed
• The ovary develops into a fruit enclosing the seed(s)

21

การถ่ายเรณู (pollination) มี 2 แบบ คอื

1. การถา่ ยเรณูภายในดอกหรอื ตน้ เดยี วกัน 2. การถ่ายเรณูข้ามต้น (cross-pollination) เป็นการ
(self-pollination) เป็นการถา่ ยเรณูไปยงั ยอดเกสรเพศเมยี ถ่ายเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียของพืช อีกต้นหน่ึงหลอดเรณู
ภายในดอกเดียวกนั หรือคนละดอกแตเ่ ป็นพชื ตน้ เดยี วกนั (pollen tube) จะงอกผ่านยอดเกสรเพศเมียลงไปจนถึงรังไข่และ
งอกยาวต่อไปจนถึงออวุล เพื่อให้สเปิร์มเคลื่อนที่เข้าไปในถุง
เอ็มบริโอและเกิดการปฏิสนธกิ ารงอกของหลอดเรณูในพืชแต่ละชนิด
จะใช้เวลาต่างกัน ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสง อุณหภูมิ
พนั ธุกรรม ความเป็นกรด-เบส นา้ ตาล

22

หลงั การปฏิสนธิ รังไขจ่ ะเจรญิ ไปเป็นผลซึ่งประกอบดว้ ยผนงั ผลและเมลด็
ผนังผล (pericarp) เป็นส่วนทเี่ ปลี่ยนแปลมาจากผนังรังไข่ มลี ักษณะตา่ ง ๆ

ซึง่ ผนงั ผลประกอบด้วยเน้ือเยอ่ื 3 ช้ัน ดงั นี้

ผนังชน้ั นอก (exocarp) ผนงั ช้ันใน (endocarp)
เรียกวา่ เปลือก ซึง่ มีลักษณะตา่ งกัน แขง็ เหมอื นเนอื้ ไม้
เชน่ ผิวเรียบ ผิวมนั ผวิ ขรุขระ หรอื
อาจมีหนาม มีขน เรยี กอกี อยา่ งวา่ กะลามะพร้าว

ผนังชน้ั กลาง (mesocarp) ผนังชน้ั กลาง (mesocarp)
ผลบางชนิดมผี นงั ชนั้ กลางหนา อ่อนนุ่ม มีเสน้ ใย
บางชนิดบางมาก และบางชนิดเปน็
เน้อื ออ่ นน่มุ ซึ่งใชร้ ับประทานได้ ผนงั ชน้ั นอก (exocarp)
มลี กั ษณะเปน็ สีเขียวในผลสด
ผนงั ชน้ั ใน (endocarp)
ประกอบด้วยเน้ือเย่ือชน้ั เดียว หรอื และสนี า้ ตาลในผลแก่
หลายช้นั จนมลี ักษณะหนามาก และ
บางชนดิ เป็นเนือ้ น่มุ ซึ่งรับประทานได้

รังไข่ของดอกย่อย 23

ผลอาจแบ่ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ตามกาเนิดของผล ลักษณะ ทีเ่ จริญไปเปน็ ผล Exocarp
ดอก และจานวนรังไข่ คือ ผลเดี่ยว (simple fruit) ผลกลุม่
(aggregate fruit) และผลรวม (multiple fruit) ดงั นี้ Mesocarp

เป็นผลท่เี จริญมาจากดอก 1 ดอกท่ีมีรังไข่ 1 รังไข่ Sarcotesta Endocarp
จะเป็นดอกเดีย่ วหรือดอกชอ่ กไ็ ด้ (เยือ่ หมุ้ เมลด็ )

ผลเดย่ี วจากดอกเด่ียว เชน่ ตะขบ ส้ม ทเุ รยี น มะเขอื ผ ล เ ดี่ ย ว ที่ เ กิ ด จ า ก Pericarp
และต้อยต่งิ แต่ถา้ เปน็ ผลเด่ยี วจากดอกช่อ รงั ไขข่ องดอกยอ่ ยแต่ ดอกยอ่ ยของช่อดอก
ละดอกเมอ่ื เจริญเป็นผลจะเจรญิ แยกจากกัน เช่น กระถิน องนุ่
มะม่วง และมะพรา้ ว

Aril
(เยื่อห้มุ เมลด็ )

เป็นผลกลุ่มท่ีเกิดจาก Receptacle 24
ดอกเดยี่ วหลายรงั ไข่ (ฐานรองดอก)

เป็นผลท่ีเกิดมาจากดอก 1 ดอกท่ีมีจานวนเกสรเพศเมีย Fruitlet
มากกว่า 1 อัน อยู่บนฐานดอกเดียวกัน จึงมีรังไข่มากกว่า 1 รังไข่
เม่ือแต่ละรังไข่เจริญเป็นผลย่อย 1 ผล ทาให้แต่ละผลติดอยู่บนฐาน ผลกลมุ่ ทเ่ี กิดจากดอก (ผลยอ่ ย)
ดอกเดียวกนั
เดีย่ วที่มีหลายรังไข่ Receptacle (ฐานรองดอก)
ผลย่อยอาแยกจากกนั เช่น จาปี จาปา การเวก และ
กระดังงา หรือผลย่อยอาจเชื่อมตดิ กนั คล้ายผลเดี่ยว เช่น น้อยหนา่
บัวหลวง และสตรอเบอร่ี

Fruitlet
(ผลย่อย)

ดอกย่อยเจริญเบยี ดกันทาใหผ้ นังรงั ไข่เจริญไปเป็น 25

เนอ้ื ผลทเ่ี ช่อื มกนั คล้ายเปน็ ผลเดียว Fruitlet (ผลย่อย)

เป็นผลที่เกิดมาจากดอกช่อ ซึ่งมีดอกย่อยจานวนมากและอยู่
เบียดชิดติดกินในช่อดอกเดียวกนั และรังไข่ของดอกย่อยแต่ละดอก
เจริญไปเป็นผลย่อยที่อยู่เบียดกันบนแกนของดอกจนดูคล้ายเป็น
หน่ึงผล เชน่ หม่อน สาเก ขนนุ สับปะรด เปน็ ต้น

ดอกยอ่ ยเจริญเบียดกันทาใหผ้ นังรังไขเ่ จริญไป Rachis (แกนกลางช่อดอก)

เป็นเน้อื ผลท่ีเชื่อมกันคลา้ ยเปน็ ผลเดยี ว Fruitlet (ผลย่อย)

สบั ปะรด ขนุน
มะเด่อื
ยอ

Rachis Perianth
(แกนกลางช่อดอก) (วงกลบี รวม)

26

พืชดอกแตล่ ะชนดิ มจี านวนรงั ไขท่ ่ีแตกตา่ งกนั ทาใหส้ ามารถแบง่ ลักษณะการเกิดผลออกเปน็ 3 ประเภท

ผลเด่ยี ว • เม่อื เกสรเพศเมยี ของแตล่ ะดอกยอ่ ย (แต่ละดอกย่อยจะมีเพียง 1 รังไข่)
หรอื 1 ดอก 1 รงั ไข่ ไดร้ ับการผสมจะเจรญิ เปน็ ผลเดีย่ วอสิ ระ เชน่
ถว่ั ลนั เตา มะมว่ ง ตะขบ สม้ ลาไย

ผลกลุ่ม • เม่อื ดอก 1 ดอกท่มี เี กสรเพศเมียมากกว่า 1 อนั ได้รับการผสมจะเจริญ
ผลรวม เปน็ ผลกลุม่ ตดิ อยบู่ นฐานรองดอกเดียวกนั ซงึ่ แตล่ ะผลอาจเบียดชดิ แนน่
กนั อย่บู นฐานดอกเดยี วกัน ทาใหด้ ูคลา้ ยเป็น 1 ผล เช่น น้อยหนา่
สตรอว์เบอรร์ ี ราสเบอรร์ ี

• เมอ่ื ดอกย่อยแต่ละดอกไดร้ ับการผสมจะเจรญิ เป็นผล ขณะท่ีเจริญเป็นผล
รังไข่ของดอกยอ่ ยอาจเช่อื มเปน็ เนอื้ เดยี วกัน ทาให้มองดคู ล้ายเป็น 1 ผล
เช่น สบั ปะรด ยอ ขนุน หมอ่ น สาเก

27

Carpels Stamen Stigma Style
Petal
Flower

Stamen Ovary

Stigma Sepal Stamen
Ovule Ovule
Pea flower Ovary (in
receptacle)
Seed
Raspberry flower Pineapple Apple flower
inflorescence
Carpel Stigma Remains of
(fruitlet) Ovary Each segment stamens and styles
develops
Stamen from the Sepals
carpel
of one
flower

Pea fruit Raspberry fruit Pineapple fruit Seed
(a) Simple fruit (b) Aggregate fruit (c) Multiple fruit Receptacle

Apple fruit

(d) Accessory fruit

28

ไซโกตที่เกดิ ข้ึนจะเกิดการแบ่งเซลล์เป็นเอ็มบริโอท่ีมี 2 เซลล์ เซลล์หนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเรียกว่า basal cell
สว่ นอกี เซลลม์ ขี นดเล็กกวา่ เรียกว่า terminal cell โดยสว่ นของ basal cell เมอื่ เกิดการแบง่ เซลล์ต่อจะมีการแบ่ง
เซลลท์ ชี่ ้ากว่าและเซลลเ์ รยี งเปน็ แถวเดยี ว เรยี กว่า suspensor ชว่ ยทาใหเ้ อม็ บริโอฝ่ังตัวลงไปในเอนโดสเปิร์มไดด้ ขี ึ้น

ขณะท่ี terminal cell จะมีการแบ่งเซลล์กลายเป็น proembryo กอ่ นจะเจริญไปเป็นรูปร่างต่าง ๆ เร่ิมต้ังแต่รูปร่างกลม เรียกเอ็มบริโอ
ระยะนี้ว่า globular stage ถัดมาส่วนของ embryo จะเริ่มมีการพัฒนาส่วนที่จะกลายเป็นใบเลีย้ ง (Young cotyledon) ขึ้นมาสองมุมทางด้นบน
ทาใหเ้ อ็มบรโิ อระยะนี้มรี ปู รา่ งคลา้ ยหัวใจ เรยี กระยะน้ีวา่ Heart stage

นอกจากนี้เอ็มบริโอในระยะน้ีจะเร่ิมมีเน้ือเย่ือ

Ovule Proembryo เจริญส่วนปลาย (apical meristem) เกิดข้ึน ต่อมา
เม่ือใบเลี้ยงยืดยาวออก ทาให้เอ็มบริโอในระยะน้ีมี
Endosperm ลกั ษณะยาวข้นึ

nucleus Suspensor เรียกเอ็มบรโิ อระยะนีว้ ่า torpedo stage
ปลายสุดส่วนของใบเลี้ยงจะม้วนแล้วกลายเป็น
Integuments Basal Cotyledons Seed เมล็ดทอ่ี ยภู่ ายในเปลอื กหมุ้ เมลด็ ตอ่ ไป
Zygote cell
Shoot coat
apex

Root
apex

Terminal cell Suspensor

Basal cell Endosperm

Zygote

29

การปฏิสนธิของพืชดอกเกิดขึ้นภายในออวุลทาให้เกิด Endosperm
ไซโกต (Zygote) และเอนโดสเปิร์มนวิ เคลยี ส Embryo

จากนน้ั ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนมากขึ้น เพื่อพัฒนา เมลด็ และเอม็ บรโิ อ
เป็นเอ็มบริโอ (Embryo) ตอ่ ไป
Vacuole Endosperm
ออวุลจะพัฒนาไปเป็นเมล็ดอยู่ภายในผลซ่ึงพัฒนามาจากรังไข่ Endosperm nucleus Embryo
ผนงั ออวุลจะเปลี่ยนไปเป็นเปลอื กเมล็ด (seed coat)
Zygote
ซ่ึงหุ้มล้อมรอบเอนโดสเปิร์มและเอ็มบริโอท่ียู่ภายในเอาไว้
ส่วนเน้ือเย่ือนิวเซลสัสจะหมดไปในระหว่างการพัฒนาของเมล็ด Seed coat
เนือ่ งจากนวิ เซลลสั จะให้อาหารกับเซลล์อน่ื Endosperm

Embryo

พัฒนามาจากออวลุ โดยพืชดอกแต่ละชนิดมีลกั ษณะและรปู รา่ งของ 30
เมลด็ ที่แตกต่างกนั ซึ่งโครงสร้างของเมล็ดประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดงั น้ี
เอพคิ อทิล
1. เปลอื กเมลด็ (Seed coat) ไฮโพคอทิล
2. เอนโดสเปริ ม์ (Endosperm) แรดิเคิล
3. เอ็มบริโอ/ตน้ อ่อน (Embryo)
ใบเลีย้ ง
ไฮลมั (hilum) ผนงั ผลและเปลอื กเมลด็
รอยแผลเป็นเลก็ ๆ ทีเ่ กดิ จาก เอนโดสเปิร์ม
ก้านออวุล (Ovule) ใบเลย้ี ง (Cotyledon) (Endosperm)
ทห่ี ลดุ ออกไป โคลีออพไทล์ (Coleoptile) เอพคิ อทลิ (Epicotyl)
ไฮโพคอทลิ (Hypocotyl)
ไมโครไพล์ (micropyle) (ปลายหุ้มยอดแรกเกิด) แรดิเคลิ (Radicle)
รูเลก็ ๆ ใกลร้ อยแผลเปน็ ซึง่ เป็นสว่ น
แรกทเี่ มล็ดเรม่ิ งอก แรดิเคิล โคลโี อไรซา (Coleorhiza)
(Radicle) จะงอกออกมาทางไมโครไพล์

31

Seed coat Epicotyl
Radicle Hypocotyl

Cotyledons

(a) Common garden bean, a eudicot with thick cotyledons

ถว่ั (Bean) มไี ฮโพคอทิล (Hypocotyl) มลี กั ษณะเปน็ ลาต้นสั้นๆ ใตใ้ บเลยี้ ง เมลด็ ที่เริม่ งอกจะเหน็
ลาตน้ ที่อยเู่ หนอื ใบเลี้ยง เรียกว่าเอพิคอทิล (epicotyl) และที่สว่ นปลายอาจมใี บแท้เกดิ ขนึ้ แล้ว

32

Seed coat
Endosperm
Cotyledons

Epicotyl
Hypocotyl

Radicle

Radicle

(b) Castor bean, a eudicot with thin cotyledons

ละหงุ่ โคนเมลด็ มีเน้อื เยื่อคลา้ ยฟองน้า ซึ่งเกดิ จากกา้ นออวุล ตาแหน่งที่ติดกบั รังไข่
เรยี กว่า คารงั เคลิ (caruncle) ทาหนา้ ที่ดดู นา้ หรือให้นา้ ผา่ นเข้าไปส่เู อม็ บรโิ อขณะทเี่ มลด็ งอก

33

Scutellum Pericarp fused
(cotyledon) with seed coat

Coleoptile Endosperm
Coleorhiza Epicotyl
Hypocotyl
Radicle

(c) Maize, a monocot

ขา้ วโพด (Corn) มีเนอ้ื เยื่อห้มุ ยอดแรกเกดิ เรียกว่า โคลีออพไทล์ (coleoptile) เจรญิ คลุมปลายยอด
ของเอม็ บริโอและมเี น้อื เยื่อหมุ้ รากแรกเกิดเรียกวา่ โคลโี อไรซา (coleorhiza)

34

Seed coat Epicotyl

Plumule Hypocotyl

Radicle Cotyledon

Cotyledon Endosperm
Radicle
ส่วนประกอบของเมลด็ ถั่ว Coleoptile
Plumule

Coleorhiza Seed coat
Endosperm
สว่ นประกอบของเมลด็ ขา้ วโพด Cotyledon
Hypocotyl
Radicle

สว่ นประกอบของเมล็ดละหุ่ง

35

สารอนิ ทรยี ท์ ่สี ะสมในผลหรอื เมลด็ ถูกนามาใช้เปน็ อาหารของมนุษย์ เช่น คาร์โบไฮเดรต ในผลมเี นอ้ื ท่ี
ผนงั ผลชั้นกลางและ/หรอื ชนั้ ในเป็นเนื้ออ่อนนุ่มรับประทานได้ แต่ไมร่ บั ประทานผนังผลชั้นนอกท่ีทาหนา้ ทเ่ี ปน็
ผวิ ผล ซึง่ เรยี กโดยทั่วไปวา่ เปลอื ก เช่น กีวี และมะละกอ หรือผลทรี่ บั ประทานผนงั ผลทงั้ 3 ชนั้ เชน่ มะเฟือง
แตงกวา และมะเขอื

36

ผลบางชนดิ มเี น้ือทไ่ี มไ่ ด้เปน็ ผนังผล แต่เปน็ เนื้อท่เี กดิ จากส่วนของเมล็ดหุ้มอย่รู อบนอกของเมล็ด เรียกว่า เย่ือหุ้มเมล็ด (aril)
ซึง่ เป็นสว่ นท่รี บั ประทานได้ อยา่ งไรกต็ ามจะมคี วามแตกต่างของเยือ่ หุ้มเมล็ด กลา่ วคือในผลบางชนิดสว่ นเยื่อหมุ้ เมลด็ ทแี่ ยกออกจากเมล็ด
ได้ง่าย เนอ่ื งจากเยือ่ หุม้ เมลด็ เจรญิ มาจากส่วนก้านเมลด็ (funiculus) เชน่ ลาไย ลิ้นจ่ี และทเุ รยี น แต่ในผลบางชนิดส่วนเยอื่ หุ้มเมล็ดที่
ติดกบั เปลือกเมลด็ แยกออกจากกนั ไม่ได้ เน่ืองจากเย่ือหุ้มเมล็ดเจริญมาจากเปลอื กเมล็ด เชน่ เงาะ มังคุด กระท้อน และลางสาด

37

นอกจากนีม้ นษุ ย์ยังนาส่วนอนื่ ๆ ของเมล็ดมาเป็นอาหารได้ ซง่ึ เป็นส่วนทเี่ มลด็ พืชสะสมอาหารไว้
สาหรับเลี้ยงตน้ กลา้ อาจเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และลพิ ิด เช่น แปง้ จากข้าวชนดิ ต่างๆ ลูกเดอื ยและถ่ัวเขียว
และน้ามนั จากเมล็ดพืช

38

ผลและเมลด็ พืชบางชนดิ ถกู นามาทาให้แห้งและใชเ้ ปน็ เครอื่ งเทศปรุงอาหารเพอื่ เพ่มิ กลิน่ สี และรสชาตไิ ด้
เขน่ ผลโปย๊ กั๊ก เมล็ดพริกไทย และเมล็ดจนั ทนเ์ ทศ

นอกจากนี้ผลของพืชบางชนิดที่ผนังผลช้นั นอกจะมตี อ่ มนา้ มันทม่ี นี ้ามนั หอมระเหย เช่น มะกรูดและมะนาว
ซ่ึงนามาใช้ปรงุ อาหารรวมท้งั สามารถนามาสกดั นา้ มนั หอมระเหยเพื่อใช้ประโยชน์ดา้ นอืน่ ๆ ได้

39

เมล็ดพชื บางชนดิ มสี ว่ นท่เี ปน็ เส้นใยเซลลูโลส เช่น เส้นใยฝ้ายที่เปน็ สว่ นของเมล็ดทอ่ี ยู่ภายในผล
ซ่ึงเส้นใยน้มี ลี กั ษณะแบนคอ่ นข้างตนั และมผี นงั เซลลห์ นา เสน้ ใยเกาะพนั กันทาใหม้ คี วามเหนยี วและแขง็ แรง
นยิ มนาไปป่ันเปน็ เสน้ ดา้ ยเพ่ือใช้ทอผา้

ผลฝ้าย ผลนนุ่ และหมอนนุน่
เสน้ ใยฝา้ ยและผ้าฝ้าย

40

Epicotyl Leaves
Cotyledon
Coleoptile
Hypocot
yl

1. การงอกทชี่ ใู บเลยี้ งข้นึ มาเหนอื ดนิ (Epigeal germination) Coleorhiza

รากอ่อนงอกโผล่พน้ เมล็ดออกทางรไู มโครโพล์ (micropyle) 2. การงอกท่ฝี งั ใบเลีย้ งไวใ้ ต้ดิน (Hypogeal germination)
เจรญิ สพู่ ื้นดินจากนนั้ ไฮโปคอตลิ (hypocotyl) จะงอกและเจรญิ ยึด พบในพืชใบเล้ียงเด่ียว พืชพวกน้ีมีไฮโปคอ ติล
ยาวตามอย่างรวดเร็ว ดงึ ส่วนของใบเลยี้ ง (cotyledon) กับ
เอพิคอทลิ (epicotyl) ขึ้นมาเหนือดิน เช่น การงอกของพชื ในเลี้ยงคู่ (hypocotyl) สั้น เจริญช้า ส่วนเอปิคอติล (epicotyl) และ
ยอดอ่อน (plumule) เจริญยืดยาวไดอ้ ย่างรวดเรว็
เช่น เมล็ดข้าว ขา้ วโพด หญ้า เปน็ ต้น

ปจั จยั ภายนอกทม่ี ผี ลต่อการงอกของเมล็ด 41

น้า/ความชนื้ ปจั จัยภายในทม่ี ีผลตอ่ การงอกของเมลด็
อณุ หภมู ิ โครงสรา้ งของเปลือกเมล็ด
อากาศ ปรมิ าณของ Endosperm
แสง การเจรญิ ของ Embryo


Click to View FlipBook Version