นาย ณัฐกฤษ สันติไชยนันท์ เลขที่๑ มัธยมศึกษาปีที่ ๖/๑๐ พระมาลัย ลั คำ หลวง
คำ นำ หนังสืออีเลคโทรนิคส์ฉบับนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นผลงานในรายวิชา ภาษาไทยเพื่อการสืบค้นและเพื่อเป็น แหล่งความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ ศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่อง พระมาลัยคำ หลวง โดยผู้จัดทำ ได้เล็งเห็นว่า วรรณคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ดี เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและมีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะด้วยเป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา จึงทำ ให้เข้าใจ เนื้อหาได้ค่อนข้างยาก ทางผู้จัดทำ เล็งเห็นปัญหาจุดนี้จึงได้นำ วรรณคดีเรื่องนี้มา เรียบเรียงเนื้อหา เพื่อให้สืบค้นศึกษาให้ง่ายมากขึ้นและเข้าใจถึงเนื้อหาในตอนพระมาลัยท่องแดนสวรรค์และ เมืองมนุษย์ และยังมีการวิเคราะห์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของวรรณคดีเรื่องนี้เพื่อให้สามารถนำ ไปปรับ ใช้ในชีวิตประจำ วันได้อย่างเหมาะสมและเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้ธำ รงอยู่สืบไป - ณัฐกฤษ สันติไชยนันท์ - ผู้จัดทำ ๑
สารบัญ ๑.คำ นำ ๒.สารบัญ ๓.เนื้อหาตำ นานพระมาลัยคำ หลวง ๔-๑๔ คำ ประพันธ์ ๑๕-๑๗ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของตำ นาน ๑๘.แหล่งที่มา ๑๙ ภาคผนวก ๒๐ บรรณานุกรม ๒
ตำ นานพระมาลัย ลั กล่าวถึงพระมาลัยอรหันตเถระองค์สุดท้ายในโรหนชนบทลังกาทวีป มีอิทธิฤทธิ์มาก ได้ลงไป โปรดสัตว์ในเมืองนรก บรรดาสัตว์นรกขอให้พระมาลัยบอกญาติพี่น้องให้ทำ ทานแผ่ส่วนบุญ กุศลส่งไปให้ พระมาลัยจึงได้นำ ข่าวมาบอกและเทศน์สั่งสอนให้มนุษย์ทำ บุญทำ ทานและ กระทำ แต่กรรมดีเพื่อให้หลีกพ้นจากการตกนรก วันหนึ่งพระมาลัยนำ ดอกบัวที่ชายยากจน เข็ญใจคนหนึ่งถวาย ไปบูชาพระธาตุเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบและสนทนากับ พระอินทร์จึงทราบว่าเทวดาแต่ละองค์กระทำ กรรมและรับผลของกรรมไม่เท่ากัน ครั้น พระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จมานมัสการพระธาตุเจดีย์จุฬามณี พระองค์ได้บอกพระมาลัยว่า จะลง มาประกาศพระศาสนาเมื่อศาสนาของพระสมณโคดมสิ้นสุดลงแล้ว ถ้าผู้ใดต้องการจะเกิดใน ศาสนาของพระองค์ก็ให้ปฏิบัติตามคำ สั่งสอน เช่น ฟังเทศน์มหาชาติให้จบภายใน 1 วัน พระ มาลัยจึงได้กลับมาเล่าเรื่องราวที่ได้เห็นได้ฟังแก่ชาวชมพูทวีป ส่วนชายเข็ญใจที่ถวายดอกบัว พระมาลัย เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นามอุบลเทพบุตร ด้วย อำ นาจผลบุญที่ได้สร้างสมไว้นั้น ๓
นโม อันว่ากฤษฎาญชวลิตวา มม แห่งข้าผู้ภักดี อตฺถุ ขอจงมีเนืองนิตย์ ตสฺส นาถสฺส แก่บพิตร อิศวรารัตน์ อันสรณัศแห่งตรีโลก อันข้ามโอฆอมรนิกรนรสบสัตว์ ภควโต ผู้ธรงศีลศรีสวัสดิ์ ชยัสดุ มงคล สุวิมลวิบุลย์ อดุลยาวิเศษ อรหโต ผู้ตัดเกลศเป็นสมุจเฉทปหาน ผลาญกำ สงสารให้หัก เผด็จกงจักรสังสารให้ทำ ลาย ญาณาสินา ด้วยมารคญาณหมายอันอุดม์ ดุจเพ็ชราวุธฟันฟาด ดุจ อสนีบาตผาดผลาญ จำ ราญให้ขาดดายเด็จ สมฺมาสมฺพุทธสฺส พระสรรเพ็ชญ์ก็ตรัส ดำ รัสไญยธรรม แท้ถ่อง โดยทำ นองพุทธกิจ มิได้วิปริตนิจผล ดำ กลเป็นแก่นสาร โดยอาการอันควร ถ้วนทั้งมวล ทุกประการ สมุปฺปจิตสมฺภารนิพฺพตฺตสยมฺภูญาเณน ด้วยสยัมภูญาณ อันเลิศ บังเกิดแต่ โพธิสมภารวิสุทธิ์ อันพระพุทธได้ส่ำ สม แต่บรมนายกาจารย์ เนืองนานได้สี่อสงไขย กำ ไรยิ่งแสน มหากัลป์ ทุกอันสรรพ์ได้บำ เพ็ญ ถึงเบ็ญจมหาบริจาค อันยากที่ผู้จะทำ ได้ เธอก็ให้ด้วยง่าย จับจ่าย ทรัพย์ด้วยงาม บเข็ดขามความประดาษ องอาจฤไทยเสลขสละ บอาทระแก่ชีวิต เธอปลิดปลงส่งเป็นทาน สำ เร็จการจึ่งตรัสเสร็จ เป็นพระ สรรเพ็ชญ์มุนี สูรโมลีปิ่นเกล้า เจ้าจอมโลกนี้แล ฯ ๔
ถวายนมัสประนม เรณูบรมบทรัตน์ ด้วยทัศนขสโมธาน อลงการอภิวาท บรมนารถบพิตร วิชิตมารภิมต อลงกฏวิสุทธ์ พระจอมมกุฎมหัศจรรย์ อมรนรสรรพ์สูรพรหม บังคมบทบรรเจิด ประเสริฐสวัสดิ์มหิศโร โลเกษเชษฐไตรพิธ โมลิศจุธามณี ศรีสรรเพ็ชญดาญาณ สุคตปภวธมฺมํ อันว่านมัสการสุเบญจางค์ ด้วยอุตมางคศิโรเพศ โอนวรเกษวิสุทธ์ นบพระนวโลกุดรธรรม คือ อำ มฤดาโมทย์ หลั่งจากโอษฐ์ทิพยรศ พระศรีสุคตสมโพธิ์ คัมภีโรชสุขุมอรรถ อันนำ สัตว์จากสงสาร โลก สู่บทโมกข์เขษมศุข นฤ ทุกข์แท้บมีเทวษ นฤเภทแท้บมีไภย ไกลอริราชศัตรู อันกล่าวคือ หมู่อกุศล ประทุษฐกลทุรยศ สํฆญฺจ นตฺวา ข้าขอประนตบงกชมาลย์ แห่งพระอัษฎารยาวิเศษ อัน นฤเกลศผัดแผ้ว นฤราคแร้วราคี ข้าก็สดุดีพุทโธรส สงฆสมมตสามรรถ ธรงพระจัตุปาริวิสุทธ์ อุดม ทฤษฏิเพท เป็นเกษตรเขตรกุศล อันนรชนชื่นบาน ถวายซึ่งทานทักษิณา ให้ลุอิจฉาสัมฤทธิ์ ประสิทธิสมบัติไตรพิธ ประนิตด้วยวรทาน อันอุตมานยิ่งไซร้ คิดสิ่งใดจุ่งได้ เสร็จซึ่งนฤพาน ฯ ๕
อเถกทิวสํ ปางพระมาลัยบพิตร ผู้ธรงฤทธิวิริยา การุณํกาแก่โลก จะให้พ้นโอฆนฤทุกข์ จะอวย ศุขนรา อยู่มาวันหนึ่งนั้น ปุพฺพณฺหสมเย เมื่อพรายพรรณพระสุริย์ เรืองอรุณอร่าม สมัยยาม ยูรยาตร อุฏฺฐายาสนา เสด็จจากอาสนวิจิตร เสร็จชำ ระกิจพระองค์ ปตฺตจีวรมาทาย ครองสะบงธรง จีวร พระหัตถ์ธรบาตรเสร็จ ไท้ธเสด็จบิณฑบาต คามํ ปาวีสิ สู่คามาตวิถี เพื่อจรลีโปรดสัตว์ ฯ ๖
ในการอันลับล้น …… พ้นไปแล้วในครั้งก่อน………… ภิกษุหนึ่งได้พระพร….. ชื่อพระมาลัยเทพเถร……….. อาศัยบ้านกำ โพด……. ชนบทโรหเจน………. อันเป็นบริเวณ…… ในแว่นแคว้นแดนลังกา…….. พระเถรนั้นเธอมีฤทธิ์….. ประสิทธิด้วยปัญญา…….. มีศีลครองสิกขา…….. ฌานะสมาบัติบริบูรณ์……. สิ้นกิเลสประเสริฐศักดิ์…. สันโดษนักใครจักปูน……. รู้หลักศรัทธาพูน…….. ใจละเอียดทรงพระธรรม์ ฯลฯ…… ปรากฏด้วยรู้หลัก……. มีฤทธิ์นักถึงอรหันต์…….. อุปมาเหมือนพระจันทร์….. อันปรากฏในเวหา…….. คราวนั้นเสด็จลงไป…….. ในนรกด้วยกรุณา…….. เพื่อจะให้เขาสั่งมา……. แล้วจะบอกแก่ญาติพลัน……. พระโมคคัลลาน์ผู้สาวก…… โปรดนรกทุกทุกวัน…….. ครั้นแล้วโปรดชาวสวรรค์….. ด้วยพระธรรมอันฉับเฉียว…… พระมาลัยเทพเถร……. บ่แปลกกันดุจพิมพ์เดียว……. รู้ธรรมอันฉลาดเฉลียว…… อานุภาพเหมือนคันนา ฯลฯ ๗
หญิงชายทั้งหลายใด…… ใจโลภล้นพ้นคณา……… ย่อมเบียดเบียนแลบีฑา…… ข่มเหงท่านให้ทรพล…….. ผู้นั้นครั้นไปล่ปลิด…….. สิ้นชีวิตจากเมืองคน…….. ตกนรก!! ไฟเผาตน……. เจ็บปวดร้าวใช่สามานย์…… พระโมคคัลลาน์เสด็จลงไป…. ให้ฝนตกเป็นท่อธาร……. ให้ไฟดับบ่มีนาน……… สัตว์นรกก็เย็นใจ………. พระมาลัยเทพเถร……. ท่านจึงเสด็จเหาะลงไป…… นิรมิตฝนให้ดับไฟ…….. โปรดนรกดุจเดียวกัน ฯลฯ…… ผู้ใดเป็นอุปถัมภ์……. ให้ข้าวน้ำ แก่เจ้าไทยพลัน……. ครั้นแล้วใช้เจ้าไทยนั้น……. ทำ เรือกสวนและไร่นา…….. เป็นกำ ลังแก่เจ้าไทย……… ให้เจ้าไทยไปรำ พา…….. ล่อลวงเอาทรัพย์เขามา……. เอามากินเป็นอาหาร……. ให้ข้าวน้ำ แก่เจ้าไทย…….. ใช้เจ้าไทยกระทำ การ…….. ให้ทำ กุฏิและวิหาร…….. แล้วก็กลับใช้เจ้าไทย…….. ใช้ชีมิจฉาจิต……… ให้เสียกิจพระวินัย……… ๘
ผู้นั้นครั้นตายไป……. ตกนรกโลห์กุมพี ฯลฯ…… หม้อเหล็กเคี่ยวตนอยู่…ยู่ …. ยืนเท่าถึงแปดหมื่นปี…….. บาปตนอันใช้ชี…….. ให้กินแล้วและใช้สงฆ์……. เจ้าไทยทำ ผิดกิจ…….. ตนไปช่วยเอาใจปลง…….. ครั้นสิ้นชีวิตไปตกลง…….. ในหม้อเหล็กแปดหมื่นปี……. พระมาลัยเทพเถร…….. ท่านจึงเสด็จไปทุบตี……. หม้อเหล็กแหลกเป็นธุลี…ลี … สัตว์ในนั้นก็ชื่นบาน……. พระมาลัยไปโปรดสัตว์……. ดุจดังองค์โมคคัลลาน…… ในนรกเย็นสำ ราญ…….. พ้นจากบาปเพียงปางตาย ฯลฯ…… พระมาลัยเธอยังอยู่……. หม้อเหล็กนั้นแตกย่อยหาย……. ครั้นท่านขึ้นมา……. หม้อเหล็กอันพลัดพราย……. คุมเข้าเป็นดวงกลม…….. ต้มสัตว์ไว้ร้อนหนักหนา…….. เพราะบาปใช้ชีนา…….. ให้เสียกิจพระวินัย…….. ให้ทานให้เป็นบุญ…….. อย่าได้ใช้สอยเจ้าไทย……. ผู้ใช้นั้นจะตกไป…….. ในหม้อเหล็กต้มเปื่อยพัง !!……. ผู้ใดเลี้ยงเจ้าไทย……. ให้ข้าวน้ำ เป็นกำ ลัง……. ครั้นแล้วเมื่อภายหลัง……. ใช้เจ้าไทยให้ทำ การ ฯลฯ…… ว่ายอยู่ในหม้อเหล็ก……. อันเดือดร้อนพุ่งขึ้นพล่าน…… บาปใช้ชีให้ทำ การ…….. หม้อเหล็กเคี่ยวเปื่อยทั้งตน……. ร้อนแสบเจ็บปวดยาก…… ทนวิบากอดักอดล……. น้ำ เข้าปากจมูกตน…….. ดิ้นระเด่าเพียงปางตาย…… ๙
ผู้ใดตีพ่อแม่……… ปู่ย่าแก่และตายาย…….. ตีด่าสงฆ์ทั้งหลาย……. ตีภิกษุและเจ้าเณร…….. ผู้นั้นครั้นตายไป…….. ด้วยบาปกรรมและนายเวร…….. บาปตีแม่ตีเจ้าเณร…….. ให้ล้มลุกเป็นนิรันดร์…….. กงจักรพัดหัวอยู่……… สิ้นพุทธันดรกัลป์……. เพราะบาปใจอาธรรม์……. ตีพ่อแม่และตีสงฆ์ ฯลฯ……. กงจักรพัดหัวอยู่…….. เลือดไหลซาบอาบตนลง…….. บาปตีแม่และตีสงฆ์…….. กงจักรพัดร้องครางตาย……. เลือดไหลลงหยัดหยด……. กงจักรกรดพัดบ่วาย…….. เร่งร้องเร่งครางตาย……. กงจักรกรดเร่งพัดผัน……. ตีนมือสั่นระเริ่ม……. ตัวสั่นเทิ้มอยู่งกงัน……. ยืนตรงอยู่ทุกวัน……… เหนื่อยลำ บากยากนักหนา……. พระมาลัยผู้เป็นเจ้า……. ท่านจึงเสด็จลงไปหา……. หักกงจักรด้วยฤทธา……. สัตว์ผู้นั้นสร่างทุกข์ทน ฯลฯ…….. ครั้นท่านเสด็จขึ้นมา……. กงจักรเข้าบัดเดียวดล……… กงจักรพัดเป็นผล…… เพราะบาปตีแม่และตีสงฆ์…… ผู้ใดแลสับปรับ……. บังคับความมิเที่ยงตรง……. ใจอธรรมบ่มิดำ รงค์……. ทั้งสองข้างอันผูกกรรม…… ๑๐
ได้สินจ้างยกชูไว้………. ที่มิได้ให้ตกต่ำ …….. บังคับความมิเที่ยงธรรม…… กงจักรพัดอยู่ทุกข์ทน ฯลฯ…… เลือดไหลออกซับซาบ……. อาบเลือดอยู่ทั่วทั้งตน……… เลือดพุออกทุกเส้นขน……. เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์…… เลือดนั้นเน่าเป็นหนอง……. เนื้อพุพองทั้งตัวนั้น…….. เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์….กินเนื้อเน่าหนองตนเอง…….. กงจักรพัดหัวไว้…….. อดมิได้ร้องครางเครง……. บังคับความลำ เอียงเอง……. กงจักรกรดพัดในหัว…….. มิแพ้จำ ให้แพ้……… คุกคำ รามข่มให้กลัว……. กงจักรพัดในหัว…….. เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์ ฯลฯ….. กงจักรพัดหัวไว้……….. สิ้นพุทธันดรกัลป์……… มีตัวตีนมือสั่น……….. อยู่ระเริมยืนมิตรง……… เมื่อได้กึ่งกำ เนิด…….. พระเจ้าเกิดแต่ละองค์……. บังคับความมิเที่ยงตรง……. คราทีนั้นจึงจะหาย…….. พระมาลัยเสด็จลงไป…….. หักกงจักรกระจัดกระจาย……. กงจักรหักพลัดพราย……. สัตว์ผู้นั้นก็ยินดี………. เมื่อท่านเสด็จขึ้นไป…….. กงจักรไซร้ก็พูนมี……. ครอบเข้ารอบเกศี……… สัตว์ผู้นั้นทนทุกขา ฯลฯ……. ๑๑
ผู้ใดใครทั้งหลาย……. เป็นผู้ชายอันโสภา……… มักมากด้วยตัณหา…….. อันโลภล้นพ้นประมาณ…….. เมียท่านหน้าแช่มช้อย…… หน้าแน่งน้อยนางนงคราญ……. ใจร้ายไปเบียนผลาญ…….. ยุยงเอาด้วยเล่ห์กล…….. ผู้นั้นครั้นไปล่ปลิด…….. สิ้นชีวิตจากเมืองคน…….. ไปขึ้นงิ้วบัดเดียวดล……. ในไม้งิ้วกว่าพันปี…….. หนามงิ้วคมยิ่งกรด…….. โดยโสฬสสิบหกองคุลี……. มักเมียท่านมันว่าดี……. หนามงิ้วยอกทั่วทั้งตน ฯลฯ……. หญิงใดใจมักมาก…….. มักเล่นราคด้วยเล่ห์กล…….. ทำ ยาแฝดแล้วเรียนมนต์…… ให้ผัวตนเมาตัณหา…… พรางผัวมิให้รู้…….. ลักเล่นชู้เสพกามา……. แต่งตนงามโสภา…….. เพื่อจะให้ชายอื่นดู…….. ต่อหน้าผัวทำ เป็นมิตร……. ลับหลังคิดเป็นศัตรู…….. แต่งแง่ให้ชายอื่นดู…….. ลักเล่นชู้ซ่อนเงื่อนงำ ฯลฯ…… ทำ รักแล้วทำ โกรธกริ้ว…… ชักหน้านิ่วให้ผัวยำ ……. แสร้งให้แสร้งทำ ……… ทำ กลหกพกมารยา……. หญิงนั้นครั้นวอดวาย…… หายชีวิตจากโลกา……… ขึ้นงิ้วยมพบาลมา……. รุมเอาหอกไล่ทิ่มแทง…… ผูกแขนเอาหัวลง…….. เพราะหญิงนั้นใจมันแข็ง……. ยมพบาลเอาหอกแทง…… บาปใจแข็งเล่นชู้เหนือผัว……. ต่อว่าต่อตัดพ้อ……… บ่มีย่อท้อบ่มียำ กลัว……. ๑๒
งอหมัดขึ้นเหนือหัว…….. ยืนสูงฉะเงื้อมเหนือเกศา…….. ทำ เคียดอยู่งันงก…….. ทำ กลหกพกมารยา…….. แปรปรวนผวนไปมา……. ให้ผัวลุอำ นาจตน ฯลฯ….. ยมพบาลเอาหอกแทง…… บาปเจ้าใจแข็งเล่นแสนกล…… ทำ ยาแฝดแลเรียนมนต์…… เขาจึงผูกเอาหัวลง…….. เขาจึงเอาหอกร้อยปาก……. เพราะบาปมากมิซื่อตรง……. เอาหอกปักอกลง……… เพราะใจร้ายซ่อนหลายใจ…….. พระมาลัยเทพเถร……… ท่านจึงเสด็จลงไป…….. หักไม้งิ้วตระหมดใจ…….. สัตว์ผู้นั้นสร่างทุกข์ทน…….. ครั้นท่านเสด็จขึ้นไป…….. ไม้งิ้วงอกบัดเดียวดล……. ผู้รักเล่นกามกล………. ขึ้นงิ้วเล่าดุจหลังมา ฯลฯ…… ๑๓
ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่……… เป็นนายไร่และนายนา……. ข่มเหงฝูงประชา…….. ผู้บุญน้อยให้อับเฉา…….. วัดไร่นาให้ล้ำ เหลือ……. เจ้าอำ เภอข่มเหงเอา…… บ่เอาแต่ย่อมเยา……. ผิดระบอบพระบัญชา……. ผู้นั้นครั้นตายไป…….. พิราลัยจากโลกา…….. บาปข่มเหงฝูงประชา……. แผ่นดินนั้นกลับเป็นไฟ……. แผ่นดินเป็นแผ่นเหล็ก……. ลุกวูวาบร้อนเหลือใจ…….. ไหม้เข้าถึงตับไต………. ไส้พุงขาดเรี่ยออกมา……… สัตว์นั้นดิ้นทนอยู่…….. ในไฟวู่ร้อนหนักหนา……… บาปนายไร่และนายนา……. เอาทรัพย์เขาให้ล้ำ เหลือ…….. บาปตนข่มเหงเขา……… ตนเป็นเจ้านายอำ เภอ……. เอาทรัพย์ให้ล้ำ เหลือ……. แผ่นเหล็กไหม้ร้อนอาดูร…….. สัตว์นั้นร้อนเป็นบ้า……… ลุกบ่ายหน้ายังฝ่ายบูรพ์…….. ภูเขาหนึ่งเป็นไฟพูน…….. ฝ่าข้างบูรพ์ก็วางมา……. สัตว์นั้นกลัวภูเขาไฟ…….. กลับหลังไปมิหันมา……. ภูเขาหนึ่งจึงเกิดมา…….. ฝ่ายข้างทิศตะวันเย็น ฯลฯ….. สัตว์นั้นทอดตาไป……. เหลียวแต่ไกลก็แลเห็น…….. ภูเขาหนึ่งเกิดขึ้นเป็น…….. ถ่านไฟร้อนเรืองขจร……… ๑๔
หลัก ลั ฐานทางประวัติ วัติศาสตร์ พระมาลัยคำ หลวงเป็นวรรณคดีพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา เชื่อกันว่าเป็นพระ นิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร แต่นักวรรณคดีบางท่าน เช่น ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา เชื่อ ว่ามิใช่ผลงานของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร แต่เป็นผลงานที่แต่งในเวลาใกล้เคียงกับ นันโทปนันทสูตรคำ หลวงของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเท่านั้น อีกทั้งวรรณคดีเรื่องนี้ยัง ไม่น่าจะนับเป็นคำ หลวงดังที่เรียกกันด้วย เค้าเรื่องพระมาลัยน่าจะมาจากคัมภีร์มา เลยยเทวัตเถรวัตถุของภิกษุชาวล้านนาในประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 – ต้น พุทธศตวรรษที่ 21 และคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุทีปนีฎีกา แต่งโดยพระพุทธ วิลาสในช่วงกลางหรือปลายพุทธศตวรรษที่ 22 พระมาลัย ลั ฉบับเจ้าฟ้า ฟ้ กุ้ง กุ้ ๑๕
เอกสารตัวเขียนเกี่ยวกับพระมาลัยที่เก่าแก่ที่สุดถูกบันทึกใน จ.ศ. 878(ค.ศ. 1516) ซึ่งเขียนด้วยภาษาบาลีและภาษาไทยถิ่นเหนือ อย่างไรก็ตาม เอกสารตัว เขียนที่รอดส่วนใหญ่อยู่ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19มีความ เป็นไปได้ว่าเนื้อเรื่องเดิมมาจากประเทศศรีลังกา แต่ถูกบันทึกในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ในตอนแรก เรื่องราวของ พระมาลัยมักถูกอ่านในงานศพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความบันเทิง สมุดภาพในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ หลัก ลั ฐานทางประวัติ วัติศาสตร์ ๑๖
แหล่ง ล่ ที่ม ที่ า พระครูวินัยธรมานพ กันตสีโล นางสาว สาลี่ สู่พานิช ร่มเกศ นิลวงศ์ ศิลปากร, กรม. วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม 3. กรุงเทพฯ : สำ นักวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์, 2545. พิพิธภัณฑ์หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพ ๑๘
ภาคผนวก ภาพสมุดข่อ ข่ ยในสมัยต้น ต้ กรุงรัตนโกสินทร์ ที่ยั ที่ ง ยั เก็บ ก็ รักษาอยู่ ๑๗
บรรณานุกรม ๒๐ บรรณานุกรมวารสาร พระครูวินัยธรมานพ กันตสีโล./(ไม่ปรากฏปีที่เขียน)./ พระมาลัย คำ หลวง./นานานุกรมวรรณคดีไทย,/TLD-001-145 เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ./2545./พระมาลัยคำ หลวง/พิมพ์ครั้งรั้ที่ 2 ./กรุงเทพมหานคร :/สำ นักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม บรรณานุกรมหนังสือทั่วทั่ ไป นางสาว สาลี่ สู่พานิช./2478./หนังสืองานศพ นาย แป๊ะ สู่พานิช พระมาลัย คำ หลวง/พิมพ์ครั้งรั้ที่ 1 ./กรุงเทพมหานคร:/ ไม่ปรากฏสำ นักพิมพ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ./2550./พระมาลัยคำ หลวง/พิมพ์ครั้งรั้ที่ 9 ./นนทบุรี :/สำ นักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ร่มเกศ นิลวงศ์./(ว.ป.ป.)./2558,/27/สิงหาคม)./พระมาลัยคำ หลวง เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ,/ บรรณานุกรมเว็บไซต์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ. (2280). พระมาลัยคำ หลวง. สืบค้น 25 มกราคม 2567, จาก http://thaipoemhistory.blogspot.com/2013/02/blog-post_2702.html