พัฒนาการด้านศิลปกรรมของ
ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 3/3 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องพัฒนาการด้านศิลปกรรมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์และได้
ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา
ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และ
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ
ด้านจิตรกรรม
ด้านประติมากรรม
ด้านสถาปัตยกรรม
บรรณานุกรม
ด้านจิตรกรรม
ด้านจิตรกรรม
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นจิตรกรรมที่เขียนขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2325 ลงมาจนถึงปัจจุบัน มีรูปแบบการเขียนตามแบบไทย
แนวประเพณี และแบบร่วมสมัย จิตรกรรมไทยที่มีคุณค่าทางความงามมาก มักใช้สีตัดเส้น และปิดทองลงบนภาพ ภาพ
เขียนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วัดระฆังโฆสิตาราม
วัดดุสิตาราม กรุงเทพมหานคร สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงอุปถัมภ์ช่างศิลป์ ส่งผลให้มีการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมขึ้นอย่างแพร่
หลายสมัยรัชกาลที่ 3 ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม และที่วัดพระเชตุพนวิมล
มังคลาราม เป็นต้น แต่หลังจากสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาอิทธิพลตะวันตกได้ทำให้รูปแบบจิตรกรรมไทยมีความร่วมสมัย
กับนานาชาติ
ในปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนังแม้จะเป็นภาพวาดที่มีลักษณะของความเป็นไทยแต่ก็มีการ
ผสมผสานคตินิยม เทคนิค รูปแบบสมัยใหม่จากตะวันตก เช่น ผลงานของปรีชา เถาทอง
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นต้นปัจจุบัน ภาพจิตรกรรมมิได้จำกัดจะ
มีอยู่แค่ในเฉพาะวัดกับวังเหมือนเมื่อครั้งอดีต แต่มีการนำไปประดับตกแต่งอาคารสถาน
ที่ ใช้ในการสื่อสาร โฆษณาประชาสัมพันธ์กันอย่างแพร่หลายผ่านทางสื่อต่างๆ และภาพ
ที่วาดเนื้อหา และแนวคิดก็ขยายวงกว้าง นอกจากภาพเกี่ยวกับศาสนาและเอกลักษณ์ไทย
แล้ว ก็ยังมีการเสนอภาพที่มีแนวคิดสะท้อนสังคม หรือมีเรื่องราวที่ศิลปินมีความประทับ
ใจ เช่น ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม บุคคล สถานที่ จินตนาการภาพนามธรรม (Abstract)
และอื่นๆ อีกด้วย ตลอดจนเทคนิคในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมก็มีความหลากหลาย
กว่าเดิม และนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการนำเสนอผลงานด้วย
ด้านประติมากรรม
สมัยรัตนโกสินทร์ด้านประติมากรรมในช่วงระยะแรกมีหลักฐาน
การสร้างน้อย ส่วนใหญ่มักอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณซึ่งทิ้งทรุด
โทรมอยู่ที่เมืองเหนือมาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ถึง 1,200 องค์เศษ
และบางองค์ก็ยังอัญเชิญมาเป็นพระประธานอยู่ในวัดสำคัญๆ ใน
กรุงเทพมหานคร เช่น พระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศน
เทพวราราม เป็นต้น
สำหรับประติมากรรมแบบรัตนโกสินทร์
ประมวลได้ ดังนี้
1 พระพุทธรูป 2 พระพุทธรูป 3 ประติมากรรม
ทำตามแบบ ผสมผสานกับ สมัยใหม่
อย่างของเดิม
ตะวันตก
พระพุทธรูปทำตามแบบอย่างของเดิม เป็นรูปแบบที่สร้างขึ้น
คล้ายกับพระพุทธรูปสมัยอยุธยาปนอู่ทอง แต่ลักษณะความมี
ชีวิตจิตใจมีน้อยลง ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ให้มีการ
สร้างพระพุทธรูปเพิ่มเติมขึ้น นับรวมกับแบบเดิมเป็น 40 ปาง
แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานภายในหอพระราชกรมานุสรและ
หอรพงศานุสร หลังพระอุโบสถด้านทิศตะวันตกภายในวัดพระ
ศรีรัตนศาสดารา เพื่ออุทิศถวายแต่สมเด็จพระบูรพมหากษัตรา
ธิราชเจ้า ซึ่งนับเป็นต้นแบบของพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธรูปผสมผสานกับตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการแก้ไขพุทธลักษณะให้คล้ายมนุษย์สามัญยิ่งขึ้น คือ
ไม่มีพระเกตุมาลา หรือขมวดพระเมาลี มีจีวรเป็นริ้ว อาทิ พระนิรันตราย ในหอพระสุราลัยพิมาน ภายในพระบรม
มหาราชวัง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีการสร้างพระพุทธรูปปางขอฝนในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร พระพุทธไสยาสน์ ที่วัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร
ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานสำคัญๆ ที่คุณค่าทางด้านประติมากรรมไว้มากมาย เช่น พระพุทธรูป
ปางลีลา ซึ่งประดิษฐานเป็นพระประธานที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พระบรมราชานุสาว
รีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี พระบรมราชาสุสาวรีย์สมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัด
นครราชสีมา รูปปั้นหล่อประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รูปปั้นประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เป็นต้น ในสมัยปัจจุบันผลงานประติมากรรมขยายตัวอย่างกว้างขวาง มีการสร้างสรรค์ผลงาน
ทางด้านประติมากรรมหลายรูปแบบทั้งเพื่อเคารพบูชา เป็นอนุสรณ์ ประดับตกแต่งอาคาร
สถานที่เพื่อความสวยงาม แสดงถึงเอกลักษณ์หรือสื่อความหมายที่เน้นการแสดงออกทางด้าน
ศิลปะ มีศิลปินด้านประติมากรรมอยู่ทั่วไป ผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาก็มีแนวคิด เนื้อหาที่
ต้องการสื่ออย่างหลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะทางด้านศาสนา และส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะร่วม
สมัยเพื่อตอบสนองกับความต้องการของสังคม
นอกจากเพื่อประโยชน์ทางศาสนา และใช้ในราชการแล้วก็ยังใช้เพื่อสาธารณะ ซึ่งรูปแบบที่สร้างสรรค์
ออกมาจะมีความหลากหลายมาก มีทั้งที่เป็นแบบสมัยใหม่ แบบไทยประยุกต์ และแบบไทยสมัยก่อน
ขณะเดียวกัน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่นอกจากจะเน้นเรื่องความสวยงามความคงทนแล้ว ยังได้รับการ
ออกแบบให้สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพภูมิทัศน์ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
ประติมากรรมสมัยใหม่
ประติมากรรมสมัยใหม่ หลัง พ.ศ.2475 เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ศิลปะของเมืองไทย โดยมีการ
จัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น (ต่อมาได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) ภายใต้การอำนวยการโดย
ศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) เปิดการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาจิตรกรรมแลประติมากรรมให้กับ
นักศึกษาไทย
ด้านสถาปัตยกรรม
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะเป็นการสืบทอดรูปแบบศิลปะสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก
ลักษณะของสถาปัตยกรรมก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอจะสรุปพัฒนาการของผลงานทัศนศิลป์ด้าน
สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ได้ดังนี้
สถาปัตยกรรมแบบอยุธยา ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การก่อสร้างอาคารมักจะเลียนแบบสถาปัตยกรรม
อยุธยาเป็นหลัก โดยเฉพาะอาคารประเภทเครื่องก่อ เช่นโบสถ์ วิหาร ปราสาทราชมณเฑียร จะสร้างให้ฐาน
แอ่นโค้งรับกับหลังคาที่เรียกว่า ฐานแอ่นโค้งแบบตกท้องช้างหรือโค้งสำเภา เช่น สถาปัตยกรรมหมู่พระมหา
มณเฑียรสถาน 3 หลัง และยังนิยมสร้างเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา และแบบทรงกรวยเหลี่ยมย่อมุม เช่น
เจดีย์ทอง 2 องค์ บริเวณมุมปราสาทพระเทพบิตร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนการสร้างเจดีย์ทรง
ปรางค์มีการปรับเปลี่ยนจากรูปแบบของขอมให้มีลักษณะเฉพาะเป็นแบบไทยที่มีรูปทรงเพรียวและอ่อนช้อย
มากกว่าของขอม เช่น พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม เป็นต้น
สถาปัตยกรรมแบบสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งจะเป็นสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบ
ศิลปะจีน เสาอาคารไม่มีบัวหัวเสา ไม่ติดคันทวย ก่อเป็นสี่เหลี่ยมทึบ โบสถ์
วิหาร ก็เอาช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ออก มีการนำเอาลวดลายบนเครื่องปั้น
ดินเอามาประดับ วัดที่มีตัวอย่างศิลปะจีนผสมผสานอยู่มาก เช่น วัดราช
โอรสาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น
นอกจากนี้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังมีการประดิษฐ์ยอดซุ้มและยอดปราสาทเป็น
รูปมงกุฎ ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากสถาปัตยกรรมภายในวัดพระเชตุพนวิมล
มังคลาราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดอรุณราชวราราม โลหะ ปราสาทวัด
ราชนัดดารามวรวิหาร เป็นต้น
สถาปัตยกรรมยุคปรับตัวตามกระแสตะวันตก
มีรูปลักษณะผสมผสานและรับแบบอย่างสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในสถาปัตยกรรมไทย ดังจะสังเกตได้อย่างชัดเจนในสมัยรัชกาล
ที่ 5 ที่มีการสร้างสถาปัตยกรรมมากมายที่ได้รับรูปแบบและอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก ดังตัวอย่างนี้ นอกจากนี้ก็มีผลงานสถาปัตยกรรมอีก
จำนวนมากที่สร้างตามแบบตะวันตก เช่น พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง กระทรวงกลาโหม ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาคารบริเวณถนนราชดำเนินกลาง สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นต้น
การก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งเป็นอาคารแบบยุโ
รปแต่เปลี่ยน
เครื่องบนเป็นยอดปราสาทแบบไทย 3 ยอดเรียงกัน
การสร้างพระราชวังบางปะอินที่สร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ชายของฝรั่งเศส
พระที่นั่งอนันตสมาคมที่ออกแบบโดยนายช่างชาวอิตาลี บนพระที่นั่งมี
โดมใหญ่แบบยุโรปอยู่ตรงกลาง
สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หลังจาก พ.ศ.2475
เป็นต้นมาผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมมีการขยายตัว อย่างรวดเร็วตามการเจริญเติบโตของบ้านเมืองและสังคม มีการ
สร้างผลงานทัศนศิลป์ด้านสถาปัตยกรรมขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยอิทธิพลศิลปะของตะวันตกได้เข้ามามีบทบาทอย่าง
สำคัญทั้งด้านรูปแบบ เทคโนโลยี และวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการสร้าง แนวคิดในการสร้าง
บรรณานุกรม
พัฒนาการทางด้านศิลปวัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์ แหล่งที่มา:
https://krujiraporn.wordpress.com/2011/07/21
ผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ แหล่งที่มา:
https://medium.com/@pasubox/5-ผลงานทัศนศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์-e58f4c19f31e
ภูมิปัญญาไทยด้านศิลปกรรม แหล่งhttps://sites.google.com/site/xanacakrthiysmayratnkosinthr/phumipayya-thiy-ni-
smay-ratnkosinthr/3-2-phumipayya-thiy-dan-silpkrrm
สมาชิก
เด็กหญิงณัฐกมล แซ่จัน ม.3/3 เลขที่ 4
เด็กหญิงณัฐชยา สุทธิ ม.3/3 เลขที่ 5
นายธีรภัทร์ ศรีภักดี ม.3/3 เลขที่ 11
นายภูริณัฐ พากเพียร ม.3/3 เลขที่ 21