1
บทท่ี 1
บทนำ
1.1 ความสำคัญและท่มี าของการโครงงาน
แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตในบริเวณ
ตอนเหนือของประเทศทิเบตและบริเวณมณฑลชิงไห่ของประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำที่
สำคัญอีก 2 สาย คือ แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศจีนชาวจีน
เรียกว่า “แม่น้ำหลานชางเจียง” (Lancang Jiang) ไหลผ่านภูเขาและที่ราบสูงในประเทศจีน ผ่าน
มณฑลยูนนานเข้าสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และ
ประเทศไทย บริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ไหลเป็นเส้นแบ่งเขต
ระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ผ่านจังหวดั เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร
อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เป็นระยะทาง 1,520 กิโลเมตร แล้วไหลเข้าสู่ สปป.ลาว และกัมพูชา
กอ่ นไหลลงสู่ทะเลจนี ใต้ท่ีประเทศเวยี ดนาม รวมความยาวทั้งสิ้น 4,880 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นท่ีรับ
นำ้ ในลุ่มนำ้ 795,000 ตารางกิโลเมตร หรอื 496.875 ลา้ นไร่
ลุ่มแม่น้ำโขงสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ลุ่มน้ำโขงตอนบน (Upper Mekong
Basin) และลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Basin) โดยลุ่มน้ำโขงตอนบนเริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิด
ของแม่น้ำโขงในประเทศทิเบต และประเทศจีน ส่วนลุ่มน้ำโขงตอนล่างเริ่มตั้งแต่มณฑลยูนนานใน
ประเทศจีนไหลผ่านประเทศ เมียนมาร์ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ก่อนลงสู่ทะเลจีนใต้
ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงประกอบไปด้วยประเทศกัมพูชา ประเทศลาว ประเทศเมียนมาร์
ประเทศเวียดนาม และประเทศไทยเปน็ พืน้ ทีท่ ีม่ ีความหลากหลายทางชีวภาพสงู โดยเฉพาะพันธุ์ปลา
อย่างนอ้ ย 1,100 ชนิด ส่งผลใหเ้ ป็นแหล่งประมงน้ำจดื ขนาดใหญซ่ ง่ึ มีปรมิ าณการจบั ปลามากกว่า 2.6
ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเปน็ ร้อยละ 25 ของปริมาณการจับปลาน้ำจืดท่ัวโลก นอกจากนี้ลุ่มน้ำโขงยังเปน็ ที่
อยอู่ าศัยของสตั ว์เลี้ยงลกู ด้วยนมมากกวา่ 430 ชนดิ สตั ว์เล้อื ยคลานและสตั ว์สะเทินน้ำสะเทินบกกว่า
800 ชนิด นก 1,200 ชนิดพันธุ์ และพันธุ์พืชอีกกว่า 20,000 ชนิด ในทุกปี นักวิทยาศาสตร์จะระบุ
ชนิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ได้รับการค้นพบเพิ่มขึ้นและระบุถึงจำนวนชนิดพันธุ์ที่ยังคงรอการค้นพบ โดยใน
ระหว่างปี พ.ศ.2540 ถึง พ.ศ.2557 มีชนิดพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการค้นพบมากถึง 2,216 ชนิดพันธุ์ ความ
หลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวของแม่น้ำโขงส่งผลให้ช่วยเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้กับไร่นาด้วย
ตะกอนดินท่ีอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ป่าไมแ้ ละพ้ืนทช่ี ุ่มน้ำก็เป็นแหล่งวตั ถุดิบสำคญั ให้กับการอุตสาหกรรม
ช่วยกรองน้ำและฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ รวมถึงการปกป้องเมืองต่างๆ จากภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัย
และวาตภัย ผู้คนประมาณร้อยละ 80 จากทั้งหมด 300 ล้านคนในภูมิภาคนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยระบบ
ธรรมชาตินี้โดยตรงในเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร วิถีชีวิต และประเพณีวัฒนธรรมนอกจากนี้ลุ่ม
2
น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Basin) ซึ่งครอบคลุมพน้ื ทใ่ี น 4 ประเทศ คอื ไทย ลาว กมั พูชา และ
เวยี ดนาม เปน็ ท้งั แหล่งนำ้ แหล่งโปรตีน แหล่งพนั ธป์ุ ลา พันธ์พุ ืช และสัตวน์ ำ้ หลากหลายสายพันธุ์ ซ่ึง
หล่อเลี้ยงผู้คนมากกว่า 60 ล้านคน เป็นแหล่งโปรตีนของผู้คนในภูมภิ าคลุ่มน้ำโขงมากถึงร้อยละ 47-
80 โดยมมี ูลคา่ การทำประมงต่อปีอยู่ท่ี 127,000 – 231,000 ลา้ นบาท
วัตถุประสงค์
ในการทำโครงงานครงั้ น้ผี ทู้ ำโครงงานไดต้ งั้ ความมงุ่ หมายไวด้ ังน้ี
1. เพื่อสำรวจพันธุ์ปลาต่างๆในแม่น้ำโขง ตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวัด
อุบลราชธานี
2. เพ่ือตรวจสอบคณุ ภาพนำ้ โดยใชเ้ กณฑ์ประเภทของปลาทส่ี ำรวจพบ
สมมติฐาน
สมมติฐานที่ 1: คุณภาพแม่น้ำโขงบริเวณบา้ นบุ่งซวยมีผลต่อการอาศัยอยขู่ องพนั ธุ์ปลาน้ำจืดในกลุ่ม
ท่ี ๑ , กลุม่ ท่ี ๒ , กลมุ่ ที่ ๓ และกลุ่มที่ ๔
ตัวแปรท่ศี กึ ษา :ตวั แปรตน้ คอื ชนิดของพนั ธุ์ปลาน้ำจืดในกลุ่มท่ี ๑ , กลุ่มที่ ๒ , กลุ่มที่ ๓ และกลุ่ม
ที่ ๔
ตัวแปรตาม คือ การตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยวิธีการชีวภาพสามารถพบชนิดชองพันธุ์ปลาน้ำจืดใน
กลุม่ ท่ี ๑ , กลุม่ ท่ี ๒ , กลุ่มที่ ๓ และกลุ่มที่ ๔
ตัวแปรควบคุม คือ ปริมาณของนำ้ ระยะเวลาในการสำรวจ ฤดกู าล
3
ขอบเขตการโครงงาน
พ้ืนที่ในการสำรวจประเภทของปลาจะดำเนนิ การเฉพาะในเขตตำบลเขมราฐ อำเภอ
เขมราฐ จังหวดั อุบลราชธานี ระดับคุณภาพของน้ำขึ้นกับประเภทของปลาที่พบในแตล่ ะกลุ่ม
(คู่มือนกั สบื สายน้ำ:ดร.สรณรชั ฎ์และนฤมล มูนจินดา) ดังนี้
ก. ปลากลมุ่ ที่ ๑ แสดงถึงสภาพแมน่ ้ำ ดมี าก ไดแ้ ก่ ปลาผเี ส้อื ปลาจง้ิ จก ปลาแต้ ปลา
คอ้ ปลาหมลู าย ปลาน้ำหมึก ปลาจาด ปลาพลวง ปลาอดี ดู และปลาเลยี หนิ
ข. ปลากลุ่มที่ ๒ แสดงถงึ สภาพแมน่ ้ำ ดี ไดแ้ ก่ ปลามะไฟ ปลาแกม้ ชำ้ ปลาซวิ แก้ว
ปลากระสูบขดี ปลาขีย้ อก ปลากระทิง และปลาสลาด
ค. ปลากลุ่มท่ี ๓ แสดงถงึ สภาพแมน่ ้ำ พอใช้ได้ ไดแ้ ก่ ปลากา้ ง ปลากริม ปลาไหล
ปลาเข็ม และปลาหมอ
ง. ปลากลุม่ ที่ ๔ แสดงถงึ สภาพแมน่ ้ำ ไมด่ ี ได้แก่ ปลานลิ และปลากนิ ยงุ
ระยะเวลาทำการโครงงาน
21 มิถุนายน 2564 – 20 กรกฎาคม 2564
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
1. การตรวจวัดคุณภาพน้ำทางชวี ภาพ หมายถึง เป็นการนำสิง่ มชี ีวิตมาตรวจวดั คณุ ภาพนำ้
เช่น แบคทเี รยี แพรงตอนพชื แพรงก์ตอนสตั ว์ สาหร่ายขนาดใหญ่ พชื น้ำ ปลา และสัตว์
หน้าดินทไ่ี ม่มกี ระดูกสันหลัง เป็นตน้
2. คุณภาพน้ำ หมายถึง ความเหมาะสมของน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมเฉพาะของมนุษย์คุณภาพ
ของน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติ จะเปลี่ยนแปลงไป มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยของ
สภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ได้แก่ สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะของธรณีวิทยา
พชื พรรณธรรมชาติ รวมถึงกิจกรรมของมนุษยแ์ ละสิง่ มชี ีวติ อ่ืน ๆ
ประโยชน์ทีไ่ ด้รับ
1. รขู้ ้อมลู พนั ธ์ปุ ลาต่างๆในแมน่ ้ำโขง บรเิ วณตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวดั อุบลราชธานี
2. รขู้ นั้ ตอนและวิธกี ารตรวจวดั คุณภาพนำ้ ทางชวี ภาพโดยใชเ้ กณฑป์ ระเภทของปลาที่สำรวจพบ
3. สามารถต่อยอดความรู้ สร้างรายไดใ้ นทอ้ งถิ่น
4
บทที่ 2
เอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง
2.1. น้ำ
น้ำ หมายถึง สารประกอบซึ่งมีองค์ประกอบเป็นธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจนใน
อัตราส่วน1 : 8 โดยน้ำหนกั เมื่อบริสุทธิ์มีลกั ษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีกลิ่น รส ดื่มได้ และช้าระ
ล้างสิ่งสกปรก สำหรับในทางวิทยาศาสตร์แล้ว น้ำถือว่าเป็นสรมาตรฐานที่สามารถอยู่ได้ 3
สถานภาพ คือ ของแขง็ (น้ำแขง็ ) ของเหลว (น้ำ) และก๊าซ (ไอน้ำ) (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2538)
2.2. คณุ ภาพน้ำ
คุณภาพน้ำ หมายถึง ความเหมาะสมของน้ำเพ่ือใช้ในกจิ กรรมเฉพาะของมนุษย์คุณภาพ
ของน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติ จะเปลี่ยนแปลงไป มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยของ
สภาพแวดล้อมเป็นสำคญั ได้แก่ สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะของธรณีวิทยา พืชพรรณ
ธรรมชาติ รวมถงึ กจิ กรรมของมนุษยแ์ ละสิ่งมีชวี ติ อ่ืน ๆ (เกษม 2526)
คุณภาพนำ้ ประกอบด้วย
1. คณุ ภาพน้ำทางกายภาพ ไดแ้ ก่ นำ้ มีสารแขวนลอย สี กลนิ่ รส ความขุ่น การนำไฟฟ้า
อุณหภูมิ เปน็ ตน้
2. คุณภาพน้ำทางเคมี ได้แก่ ความเป็นกรดด่าง ความเป็นดา่ ง ความกระด้าง ออกซิเจน
ละลายน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนเตรต ( No3- ) ไนเตรต ( NO2- ) แอมโมเนีย (NH4+1)
ฟอสเฟต ( PO4- ) ปริมาณความต้องการออกซิเจน (BOD) คลอไรด์ ความเค็ม ซัลเฟต ยาปราบ
ศัตรพู ชื โลหะหนกั ผงซกั ฟอก คลอโรฟิล เป็นต้น
3. คณุ ภาพของนำ้ ทางชีวภาพ ไดแ้ ก่ น้ำทมี่ ีสงิ่ มชี วี ิตเจอื ปน เชน่ แพลงค์ตอนพชื และสัตว์
แบคทีเรยี พืชน้ำ และเชอ้ื โรคอ่ืน ๆ เปน็ ตน้
สีของน้ำ (Color of water) สีของน้ำตามธรรมชาติ เป็นผลจากการที่น้ำไหลผ่าน
สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ เช่น ใบไม้ ใบหญ้า ซากสัตว์ ซึ่งมีลิกนินเป็นองค์ประกอบ เมื่อ
สลายตัวจะให้สารพวกแทนนิน กรดฮิวมิค และฮิวเมต ซึ่งเป็นสารมีสีจากอีออนของ โลหะในน้ำ
เช่น เหล็ก แมงกานีสจากแพลงค์-ตอน และจากการปะปนของน้ำทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม สี
ของนำ้ ตามธรรมชาตมิ ีคา่ ต้งั แต่ 1 หนว่ ยถึงมากกวา่ 200 หน่วยมาตรฐาน
ความขนุ่ (Turbidity) น้ำที่มสี ารแขวนลอย ซึ่งขัดขวางทางเดินแสงทีผ่ ่านน้ำนั้น ความ
ขุ่นข้นของน้ำเกิดจากการที่น้ำมีสิ่งแขวนลอยอยู่ เช่น ดินละเอียด หรือ อินทรียสาร แพลงค์ตอน
และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สารพวกที่จะทำให้เกิดการกระจัดกระจาย (Scattered) และดูดซึม
5
(Absorbed) ของแสง แทนที่จะปล่อยให้แสงผ่านเป็นเส้นตรง กำหนดมาตรฐานน้ำดื่มของ
องคก์ าร อนามัยโลก ความขุน่ ระดบั สงู สดุ ทีค่ วรมไี ด้ 5 เจ ที ยู ระดับสูงสุดทย่ี อมใหม้ ี 25
อณุ หภูมขิ องน้ำ (Temperature) อณุ หภูมขิ องนำ้ ตามธรรมชาติในแหล่งน้ำจะผันแปร
ตามอณุ หภมู ิของอากาศข้ึนอยู่กับความเข้มของแสงจากดวงอาทิตย์ กระแสลม ความลึก ปริมาณ
สารแขวนลอยหรือความขุ่นของแหล่งน้ำ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำจะมีอัตราผกผัน กับ
อณุ หภูมขิ องน้ำ คือ อณุ หภูมิสูงขึน้ ปรมิ าณออกซิเจนละลายในน้ำจะลดลง
2.3 แหล่งกำเนิดปญั หามลพิษทางน้ำ
แหล่งก้ำเนิดปัญหามลพิษทางน้ำได้แก่ แหล่งชุมชน แหล่งอุตสาหกรรม แหล่ง
เกษตรกรรม แหลง่ กำจัดขยะมลู ฝอย แหลง่ คมนาคมทางเรือ และแหลง่ กำเนดิ อน่ื ๆ
แหล่งชุมชน ได้แก่ บ้านเรือน อาคารพาณิชย์โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน
สำนกั งาน น้ำทิง้ จากสถานทีด่ ังกล่าวจะมสี ารมลพิษทเี่ ปน็ สารอินทรีย์ ซ่งึ เปน็ เศษอาหาร ของเสีย
และสารท่ีใชซ้ กั ฟอกปะปนมา
แหลง่ อุตสาหกรรม เช่น โรงน้ำปลา โรงน้ำตาล โรงงาน อาหารกระปอ๋ ง โรงงาน
กระดาษ โรงงานผลิตสีโรงงานฟอกหนัง และเหมืองแร่ แหลง่ อุตสาหกรรมเหล่านี้ จะปล่อยของ
เสียทเ่ี ปน็ สารอนิ ทรียล์ งสู่แหล่งน้ำ กอ่ ให้เกดิ น้ำเน่า นอกจากนนั้ ยังอาจปล่อยโลหะเป็นพษิ และ
สารประกอบทเี่ ปน็ พิษ เชน่ ตะกัว่ ปรอท สารหนแู คดเมยี ม และไซยาไนด์ลงน้ำอีกด้วย
แหลง่ เกษตรกรรม เนื่องจากเกษตรกรใช้ปยุ๋ ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพชื มากขึ้น
เป็นล้าดับ ปุ๋ยยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืชรวมทั้งมูลสัตว์ จะถูกชะไหลลงสู่แหล่งน้า จึงเกิด
การสะสมสารดังกล่าวในแหล่งน้ำ มากขึ้น ในที่สุดจะเกิดยูโทรพิเคชันขึ้นและเกิดการสะสม
สารพิษที่เป็นโลหะหนักในแหล่งน้ำจงึ เปน็ อันตรายตอ่ พืชและสัตวใ์ นน้ำ
นำ้ เสยี จากสถานที่กำจัดขยะมลู ฝอย น้ำเสยี ประเภทนี้เกิดจาการที่มีการน้าขยะมลู ฝอย
ไปกองท้งิ อย่างไม่ถูกวิธที ้าให้เป็นแหล่งกำเนิดน้ำเสยี ทีส่ ำคัญอกี แหลง่ หน่งึ เน่ืองจากขยะมลู ฝอย
ประกอบด้วยเศษอาหารและของเน่าเสีย เมื่อฝนตกชะลงมาท้าให้น้ำเสียไหลปนเปื้อนลงสู่แหล่ง
น้ำผิวดนิ และซึมลงสูแ่ หล่งน้ำใตด้ ินได้ดว้ ย
แหล่งคมนาคมทางเรอื เป็นแหล่งมลพิษทางน้ำท่ีสำคญั แหล่งหนึ่งแตม่ ักจะถกู มองข้ามไป
สารมลพิษจากแหล่งนี้คือ น้ำมันที่ใช้กับเครื่องจักรกลของเรือ จะเล็ดลอดลงในน้ำเมื่อเรือขนส่ง
น้ำมนั ขนาดใหญ่ร่วั หรือเกดิ อบุ ัตเิ หตุจมลงน้ำมนั จะกระจายเขา้ ไปอย่ใู นแหลง่ น้ำ เกดิ คราบน้ำมัน
ปกคลมุ ผวิ หนา้ น้ำเป็นบริเวณกว้างขวางมากคลืน่ จะซดั คราบน้ำมันเขา้ หาฝ่งั ทะเลก่อความสกปรก
และการขาดออกซเิ จนในบริเวณนนั้ ไดน้ าน จนกระทง่ั สิง่ มชี วี ติ ล้มตายลงมากมาย
6
น้ำเสยี จากแหลง่ อ่นื ๆการเกดิ น้ำเสยี จากสาเหตอุ ื่นๆ จะเกิดจากสาเหตุดงั นี้น้ำเสยี ที่
เกิดจากขบวนการคมนาคมขนส่ง การบริการ การก่อสร้างและการรื้อถอน การพาณิชย์ การล้าง
ถนน อาคาร รถยนต์ และน้ำเสียจากกิจกรรมประมง เป็นต้นปัจจุบันเราจะพบแหล่งน้ำที่เน่า
สกปรกอยทู่ ั่วไป น้ำลักษณะเช่นนไ้ี ม่สามารถน้ามาใช้อุปโภคและบรโิ ภคได้ทงั้ ก่อใหเ้ กิดผลกระทบ
ที่เป็นอันตรายและความเสียหายอย่างมหาศาลต่อการประมง การเกษตรการสาธารณสุข
ประการสำคัญคือ ทา้ ให้ระบบนิเวศธรรมชาติถูกทา้ ลาย หรือเสอื่ มคุณภาพจนไมเ่ หมาะท่ีสิ่งมีชีวิต
จะอาศยั อยูไ่ ดท้ ้าให้เกิดการตายของสัตวแ์ ละพืชน้ำเป็นจำนวนมากทา้ ใหแ้ หล่งน้ำเกดิ การเน่าและ
ขาดออกซิเจนที่ละลายน้ำแหล่งน้ำที่มีสารพิษพวกยาฆ่าแมลง และยาปราบศัตรูพืชสะสมอยู่มาก
รวมทั้งแหล่งน้ำที่มีคราบน้ำมันปกคลุม และ โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ปล่อยสารพิษ และ
ความร้อนลงสู่แหล่งน้ำ หากน้ำดื่มน้ำใช้มีสารพิษ และเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคปะปนมาจะ
ก่อให้เกิดโรคนานาชนิดกับมนุษย์และสัตว์น้ำที่เสื่อมคุณภาพหากน้ามาผ่านกระบวนการกำจัด
ของเสียออกเพื่อให้ได้น้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคและสารพิษ จะเป็นเหตุให้เกิดการ
สิ้นเปลืองทรัพยากร สิ้นเปลืองเงินในการจัดการเพื่อผลิตน้ำที่ได้คุณภาพเป็นจ้านวนที่สูงมาก
เนื่องจากมลพิษทางน้ำก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมนานาประการฤดูกาลกับคุณภาพน้ำเนื่องจาก
ประเทศไทยมีมรสุมพัดผ่านในทิศทางต่างกันในระยะเวลาต่างๆ ของปี รวมทั้งมีช่วงเปลี่ยนฤดูท่ี
เป็นระยะเวลาเชื่อมต่อระหว่างฤดูมรสุม ท้าให้มีการแบ่งฤดูกาลของประเทศไทยออกเป็น 3 ฤดู
ตามลกั ษณะของลมฟ้าอากาศในแตล่ ะช่วงเวลา (สนิท, 2526)
2.4.1 ฤดูฝน
โดยปกติแลว้ ฤดูฝนในประเทศไทยจะเริ่มเม่ือลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ได้พัดปกคลมุ ประเทศไทย
แลว้ คือ ต้งั แต่กลางเดือนพฤษภาคมเปน็ ต้นไป อย่างไรก็ดี ในบางปีฤดูฝนอาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้
ได้ถึง 2 สัปดาห์ และจะไปสิ้นสุดราวกลางเดือนตุลาคม เมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้พัด
เข้ามาแทนที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ยกเว้นในภาคใต้ ซึ่งจะมีฤดูฝน 2 ช่วง คือ ช่วงเดือน
พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม จะมีฝนตกชุกทางฝั่งตะวันตกของภาค และช่วงเดือนพฤศจิกายนถึง
เดอื นกมุ ภาพันธ์ จะมีฝนตกชุกทางฝ่ังตะวันออกของภาค
2.4.2 ฤดูหนาว
ฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในระยะนี้ลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือได้พัดปกคลุมประเทศไทย ท้าให้อุณหภูมิทั่วไปลดลง อากาศจะหนาวเย็น
ยกเว้นทางภาคใต้ของประเทศไทยอุณหภูมิจะลดลงได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่อากาศไม่สู้เย็นนัก
และจะมีฝนตามชายฝั่งทะเลด้านตะวนั ออก โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ตัง้ แตจ่ งั หวดั สรุ าษฎร์ธานลี งไป
7
2.4.3 ฤดรู ้อน
ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ในระยะนี้ดวงอาทิตย์กำลัง
เคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปทางซีกโลกเหนือ ดังนั้น พื้นดินจะสะสมความร้อนไว้ และร้อนช้ืน
ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือกำลงั อ่อนและค่อนข้างจะแปรปรวน ฝนโดยทั่วไปยังคงน้อยอยู่ ท้า
ให้อากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเมษายน พายุฤดูร้อนเป็นปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติที่เด่นชัดของประเทศไทยตอนบนในเดือนพฤษภาคม ท้าใหเ้ รม่ิ มีฝนตกและอากาศไม่
รอ้ นมากนกั จากงานวจิ ัย เรือ่ ง การศกึ ษาคณุ ภาพน้ำทางกายภาพ และทางเคมีบางประการแหล่ง
นำ้ ธรรมชาติในชว่ งฤดูน้ำมาก และฤดูน้ำน้อยของจงั หวดั นนทบรุ ี ของ ประวรดา (2549) พบวา่
คณุ ภาพน้ำทางกายภาพและทางเคมีบางประการในชว่ งฤดูน้ำมาก (เดือนเมษายน–เดือนตุลาคม)
และฤดนู ้ำนอ้ ย (เดือนพฤศจิกายน – เดอื นมีนาคม) ทกุ ดัชนที ีว่ เิ คราะห์น้ำในฤดนู ้ำน้อยมีคุณภาพ
ตำ่ กวา่ ในฤดนู ำ้ มาก ยกเวน้ คา่ ของแข็งแขวนลอยในน้ำ และของแขง็ ละลายน้ำท้ังหมดทม่ี ีในฤดูน้ำ
น้อยมีคุณภาพดกี ว่าในฤดูน้ำมาก
คุณภาพน้ำทางชวี ภาพ
คณุ ภาพนำ้ ทางชีวภาพ (biological characteristics) มดี ชั นบี ่งชี้ที่สำคัญคือ จุลินทรีย์ที่
เจือปนอยู่ในน้ำ และเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีหรือ
สิ่งเจือปนที่อยู่ในน้ำ ซึ่งทำให้น้ำมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนั้นแล้วยังมีจุลินทรีย์ที่ทำให้
เกิดโรคได้ปนอยู่ด้วย เช่น แบคทีเรีย โปรโตซัว แอจจี ฟังไจ ไวรัส และพยาธิ ทำให้มีผลกระทบ
ต่อสุขภาพอนามัยของผู้ที่นำน้ำไปบริโภค ตัวอย่างแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค เช่น แบคทีเรียใน
ตระกูลซัลโมเนลล่า (Salmonella) ชิเจลล่า (Shigella) และวิบริโอ (vibrio) แบคทีเรียที่ก่อโรค
เหล่านี้กระจายได้ง่าย โดยทางเดินอาหารและน้ำ การแพร่กระจายของโรคมักเกิดจากการ
ปนเป้ือนของเชื้อโรคจากสง่ิ ปฏกิ ูลของคนและสัตวเ์ ลือดอนุ่ ซ่งึ อาจมีการแพร่กระจายโดยทางตรง
หรือทางอ้อม ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อจากแบคทีเรีย เช่น โรคไทฟอยด์ โรคพารา
ไทฟอยด์ โรคอุจจาระร่วง อหิวาตกโรค บิด ฯลฯ การวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางแบคทีเรีย จึงเป็น
การใหข้ อ้ มูลเบ้ืองต้นเกยี่ วกบั คณุ ภาพนำ้ ทางชวี ภาพ (นฤมล, 2535)
8
การประเมินคุณภาพนำ้
ประเมินตามเกณฑ์การประเมินค่าดัชนีคุณภาพน้ำทั่วไป ( General Water Quality
Index, WQI ) ที่กำหนดโดยสำนักจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ โดยใช้ค่าดัชนีคุณภาพ
น้ำทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ จำนวน 2 กลุ่ม 5 ดัชนี (พารามิเตอร์ , parameter)
พนื้ ฐานสำคญั ได้แก่
กลุ่มที่ 1 พารามิเตอร์ที่ตอ้ งตรวจสอบในภาคสนามหรือตรวจสอบทันทีพร้อมกับการเก็บตัวอยา่ ง
เนอื่ งจากพารามิเตอร์เหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงไดง้ ่ายมากจงึ จำเป็นต้องตรวจวัดทันที ไม่สามารถ
เก็บตัวอย่างวเิ คราะหใ์ นห้องปฏิบัตกิ ารได้ พารามิเตอรท์ ต่ี รวจวัด คือ
ค่าออกซิเจนละลาย (Dissolved Oxygen , DO) คือ ปริมาณออกซิเจนละลายนำ้ ในแหล่งน้ำ ซึ่ง
เป็นค่าที่มีความจำเป็นต่อการหายใจของพืชและสัตว์น้ำ ปริมาณออกซิเจนละลายมีหน่วยเป็น
มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) แหล่งน้ำที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต การขยายพันธุ์และการอนุรักษ์สัตว์
น้ำ ควรมีค่า DO ไม่ต่ำกว่า 5 mg/L ทั้งนี้โดยทั่วไปสัตว์น้ำส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตอยู่ไดอ้ ย่างปกติ
ที่ระดับค่า DO ไม่ต่ำกว่า 3 mg/L อย่างไรก็ตาม ถ้าปริมาณออกซิเจนละลายน้ำมีค่าต่ำกว่า 2
mg/L จะไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ แหล่งน้ำโดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำบางแห่งอาจ
ตรวจวัดค่า DO ได้สูงเกินกว่า 10 mg/Lในเวลากลางวันแสดงให้เห็นว่าอาจมีการเจริญเติบโตท่ี
ผิดปกติของสาหร่ายในแหล่งน้ำ (Algae Bloom) เป็นเหตุให้เกิดการผลิตค่าออกซิเจนละลายที่
มากเกินปกติ อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำทำให้เกิดโรค gas bubble disease โดยจะเกิดฟอง
ก๊าซขึ้นในระบบหมนุ เวยี นโลหิต ขณะทใี่ นชว่ งเวลากลางคืนออกซิเจนละลายเหล่าน้ันจะลดต่ำลง
มากเนื่องจากการหายใจของสาหร่ายทำให้แหล่งน้ำขาดออกซิเจนกะทันหัน ซึ่งอาจเป็นเหตุให้
สัตว์น้ำขาดอากาศหายใจตายไดค้ ่าออกซเิ จนละลาย บอกให้ทราบว่านำ้ มีความเหมาะสมเพียงใด
ในการดำรงชีวิตของสตั ว์และพืชในน้ำ ตลอดทั้งการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในน้ำว่าอยู่ในภาวะท่มี ี
ออกซิเจน หรือที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งเป็นดัชนีบอกคุณภาพของน้ำในแหล่งน้ำนั้น (ณรงค์, 2525)
โดยตราบใดที่ปริมาณการใช้ออกซิเจนและการเติมออกซิเจนยังสมดุลอยู่ แหล่งน้ำจะไม่เน่าเสีย
แต่ถ้าการใช้ออกซิเจนมีมากกว่าการเติมออกซิเจนจะทำให้ปริมาณออกซิเจนลดลงเกิดสภาพไร้
อากาศ ทำให้ส่งิ มชี วี ิตตา่ งๆดำรงอยูไ่ ม่ได้ ยกเว้นแบคทีเรยี ท่ีไม่ใช้อากาศ ขณะเดยี วกันในสภาพท่ี
มีออกซิเจนเพียงพอแบคทีเรียกลุ่มท่ใี ช้อากาศจะย่อยสลายอินทรีย์และสารอนินทรยี ์ต่างๆ ท่ีมีอยู่
ในแหล่งน้ำนั้น (สิรินี, 2527) อนึ่งปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำได้จากการละลายของก๊าซ
ออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศ และจากกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งปริมาณการละลาย
ออกซิเจนในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งนนั้ ขน้ึ อยกู่ ับความกดอากาศ อณุ หภูมิของน้ำ ปริมาณคลอไรด์
9
ในน้ำ ปริมาณการละลายของออกซิเจนจะเพ่ิมขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำลดลง ความกดอากาศท่ี
เพมิ่ ข้นึ จะทำให้ความสามารถในการละลายออกซิเจนในน้ำมากข้ึน และการละลายของออกซิเจน
จะค่อยๆ ลดลงเมื่อน้ำนั้นเข้าใกล้ทะเล ในทำนองเดียวกันในน้ำเสีย ค่าอิ่มตัวของออกซิเจนท่ี
ละลายจะน้อยกวา่ ในนำ้ สะอาด (กรมอนามยั , 2537)
กลุ่มที่ 2 พารามิเตอร์ที่ไม่สามารถตรวจวัดในภาคสนามได้ จะต้องเก็บรักษาตัวอย่างไว้
ก่อนและนำมาตรวจสอบหรือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ค่าความสกปรกในรูปสารอินทรยี ์
หรือบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand, BOD) คือ ค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณออกซิเจนที่
จลุ ินทรยี ์ใช้ในการยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ในแหล่งนำ้ แหลง่ นำ้ ทม่ี คี ่าบีโอดมี ากย่อมแสดงว่ามีความ
สกปรกมาก เนื่องจากจุลินทรีย์ต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากในการย่อยสลายสารอินทรีย์หรือสิ่ง
ปฏิกูลส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนละลาย (DO) ในแหล่งน้ำลดลงและอาจเกิดความเน่าเสียได้
โดยทั่วไปแหล่งน้ำผิวดินที่อนุรักษ์ไว้สำหรับการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ และการผลิตประปาขั้น
พื้นฐานควรมีค่าบีโอดีเกนิ กว่า 1.5 mg/L ถ้าจะอนุรักษ์ไว้เพ่ือกจิ กรรมด้านการเกษตรไม่ควรมีค่า
บีโอดีเกิน 2.0 mg/L ส่วนแหล่งน้ำทีจ่ ะอนุรักษ์ไว้ใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมด้านการอุตสาหกรรม
ไม่ควรมีค่าบีโอดีเกินกว่า 4.0 mg/Lการหาปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียต้องการใช้ใน
กระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ชนิดท่ียอ่ ยสลายไดภ้ ายใต้ภาวะที่มอี อกซิเจนท่ีอุณหภมู ิ 20 ±
1 องศาเซนติเกรดในเวลา 5 วัน ทั้งนี้เพราะเป็นอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับของน้ำทั่วๆไป และ
แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ช้าท่ีอุณหภูมนิ ี้ (กรมอนามัย, 2537) ซึ่งกรรณิการ์ (2525) กล่าวว่าค่าบี
โอดี จะบอกให้ทราบถึง ปริมาณการเจือปนของอินทรีย์สารที่มีอยู่ในน้ำ และเป็นการวัด
ความสามารถของแหล่งน้ำที่จะกำจัดความสกปรกโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ค่าบีโอดีจะบอกถึง
กำลงั ความสามารถของนำ้ ในรปู ของออกซิเจน ซง่ึ แบคทเี รยี ต้องการใช้ ถ้ามสี ารอินทรีย์ในน้ำมาก
ออกซิเจนจะถูกใช้ในกระบวนการทางชีวเคมีมากขึ้น ทำให้ค่าบีโอดีสูงแต่ถ้าสารอินทรีย์ นี้น้อย
กระบวนการย่อยสลายก็จะมีน้อย ทำให้ค่าบีโอดีต่ำ ดังนั้น ค่าบีโอดี จะเป็นดัชนีบอกถึงความ
สกปรกของน้ำ และเป็นดัชนีตรวจสอบการระบายของเสียลงแหล่งน้ำอีกด้วย (กรมอนามัย,
2537) ซึ่ง Hawker flow และ Linter (1974) รายงานว่า การเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียในแหลง่
น้ำจืดจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเพิ่มของสารอินทรีย์ในแหล่งน้ำนั้นๆ ด้วยการชะล้าง
(erosion) เกิดจากการที่ฝนตกถึงผวิ หน้าดิน เม็ดฝนที่จะทำลายเม็ดดินผิวหน้า แตกกระจายเป็น
เม็ดเล็กๆ ซ่ึงจะไปอุดรดู นิ ทำใหน้ ้ำซมึ ผา่ นผวิ หนา้ ดนิ ไดน้ อ้ ยลงเกิด surface flow และไหลไปตาม
ผิวหน้าดินลงสู่ที่ต่ำ (เกษม, 2526) ซึ่งฝนจะชะล้างจุลินทรีย์ และสิ่งสกปรกต่างๆบนพื้นดิน ลงสู่
แหล่งน้ำได้มากขึ้น จนทำให้เกิดมลพิษในน้ำได้ โดยเฉพาะการที่ฝนตกหนักหลังจากที่ผ่าน
ระยะเวลาแห้งแล้งมานาน น้ำฝนจะชะล้างจุลินทรียห์ นา้ ดินลงสู่แหล่งน้ำได้มากขึน้ แต่ภายหลงั ที่
ฝนตกติดต่อกันเป็นประจำจะมีผลทำให้แบคทีเรียลดลง (ไกรกฤษ์, 2538) จากการศึกษาของ
10
สิรินี (2527) เกี่ยวกับโคลิฟอร์มแบคทีเรียในห้วยแม่ราก จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าปัจจัยที่ทำให้
แบคทีเรียมปี รมิ าณสูงมากในแหล่งนำ้ ท่ีสำคัญ คอื ปรมิ าณน้ำฝน และกจิ กรรมของมนุษย์ปริมาณ
แบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอรม์ ทั้งหมด (Total Coliform bacteria, TCB) คือ กลุ่มแบคทีเรียชนิดหนงึ่
ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในลำไส้มนุษย์หรือสัตว์ แต่บางครั้งอาจพบในบริเวณอื่น อาทิเช่น พืช ดิน
เมล็ดธัญพืช เป็นต้น การตรวจแบคทีเรียชนิดนี้ในแหล่งน้ำจะแสดงถึงความเส่ียงต่อการปนเป้อื น
หรือแพร่กระจายของเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร ในแหล่งน้ำ อาทิ โรคอหิวาต์ บิด ไทฟอยด์
หรืออุจจาระร่วง เป็นต้น ปริมาณแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมดมีหน่วยวัดเป็น MPN (เอ็ม พี
เอ็น ) /100 มิลลิลิตร (มล.) , Most Probable Number /100 mL ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำ
แหลง่ น้ำผิวดินกำหนดให้แหล่งนำ้ ท่เี หมาะจะนำมาใช้ในการผลิตประปา และสามารถวา่ ยนำ้ เล่น
กีฬาทางน้ำได้ ไม่ควรมีค่าปริมาณแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมดเกินกว่า 5000 หน่วย (เอ็มพี
เอ็นต่อ 100 มิลลิลิตร) ขณะที่แหล่งน้ำที่เหมาะจะอนุรักษ์ไว้เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมการ
เกษตรกรรมไม่ควรมีค่าปริมาณแบคทีเรียกล่มโคลิฟอร์มทั้งหมดเกินกว่า 20000 หน่วยปริมาณ
แบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (Fecal Coliform bacteria,FCB) คือ ปริมาณเชื้อโรคแบคทีเรีย
กลุ่มโคลิฟอร์ม ที่มีอยู่ในอุจจาระของมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่น การตรวจพบแบคทีเรียชนิดนี้ใน
แหล่งน้ำ จะบ่งชี้เฉพาะหรือยืนยันเพิ่มขึ้นจากค่าการตรวจวัดปริมาณแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม
ทั้งหมดว่าแหล่งน้ำนั้นมีโอกาสปนเปื้อนหรือมีการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคใน
ระบบทางเดินอาหารสูง ส่วนใหญ่แบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์มจะตรวจพบมากในแหล่งน้ำที่
ไหลผ่านชุมชนที่ระบายน้ำทิ้งสู่แหล่งน้ำโดยตรง ปริมาณแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลฟอร์มมีหน่วย
วัดเช่นเดียวกับปริมาณแบทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด ตามมาตรฐานคุณภาพแหล่งน้ำผิวดิน
แหลง่ น้ำทเี่ หมาะจะนำมาใช้ในการผลติ ประปาและสามารถว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำไม่ควรมีค่า
ปริมาณแบคทเี รียกลมุ่ ฟีคอลโคลิฟอร์ม เกนิ กว่า 1000 หน่วย (เอม็ พเี อ็นต่อ 100 มิลลติ ร) ขณะท่ี
แหล่งน้ำที่เหมาะจะอนุรักษ์ไว้เพื่อสำหรับกิจกรรมการเกษตรกรรมไม่ควรมีค่าปริมาณแบคทีเรีย
กลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม เกินกว่า 4000 หน่วยฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย มีลักษณะคุณสมบัติ
เช่นเดียวกับโคลิฟอร์มแบคทีเรีย แต่มีความสามารถในการหมักย่อยน้ำตาลแลคโทสที่อุณหภูมิ
44.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส และให้ผลผลิตเป็นกรดและแก๊สภายในเวลา 24 ชั่วโมง สามารถมี
ชีวิตอยู่นอกลำไส้ของคนและสัตว์เลือดอุ่นได้หลายวัน โดยขึ้นกับความเหมาะสมของ
สภาพแวดล้อม ฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรียที่สำคัญ ได้แก่ Escherichia Coli นฤมล (2535)
รายงานวา่ การใช้โคลฟิ อรม์ แบคทีเรียเป็นดชั นใี นการปนเปอ้ื น เน่ืองจาก
11
- มแี หล่งกำเนิดมาจากอจุ จาระของคนและสัตวเ์ ลอื ดอ่นุ
- โดยทั่วไปแลว้ จะไม่พบในน้ำบริสุทธิ์ มักปนเปื้อนอยู่ในนำ้ ทีม่ ีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย
ก่อโรค และมจี ำนวนแปรผันตรงตามจำนวนของแบคทีเรยี กอ่ โรค
- มีความคงทนต่อสภาพแวดลอ้ มมากกว่าแบคทีเรียทก่ี อ่ โรค
- วธิ กี ารตรวจวิเคราะห์ทำไดง้ ่ายและสะดวก
ปริมาณแอมโมเนีย - ไนโตรเจน (NH3-N) คือ ปริมาณไนโตรเจนที่อยู่ในรูปของแอมโมเนีย
ทัง้ หมด มคี วามสำคัญในการบ่งช้ีสภาพความสกปรกของแหล่งนำ้ ที่เกดิ จากของเสียหรือน้ำทิ้งท่ีมี
ส่วนประกอบของไนโตรเจน เช่น โปรตีนในอนินทรีย์สารประกอบในร่างกาย พืช สัตว์ อุจจาระ
ปุ๋ยคอก เป็นต้น โดยเฉพาะน้ำทิ้งจากแหล่งชุมชน ฟาร์มสุกร หากตรวจพบว่าแหล่งน้ำมีปริมาณ
แอมโมเนีย – ไนโตรเจน สูง แสดงว่าแหล่งน้ำมีการปนเปื้อนจากมลพิษสูง และอาจเป็นพิษต่อ
การดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำแหล่งน้ำผิวดินปริมาณแอมโมเนีย -
ไนโตรเจน ในแหล่งน้ำไมค่ วรมคี า่ เกินกว่า 0.5 mg/L
12
บทที่ 3
วธิ ีการดำเนนิ การ
3.2 วิธกี ารทดลอง
3.2.1 อุปกรณ์ ในการสำรวจและประเมนิ คุณภาพน้ำ ใช้อุปกรณต์ ่างๆ ดังน้ี
๑) ค่มู ือปลานำ้ จดื ของ ดร.ชวลิต วิทยานนท์
๒) คมู่ อื หาชื่อปลา ของ ดร.ชวลติ วทิ ยานนท์
๓) คู่มอื นักสืบสายน้ำ ของ ดร.สรณรัชฎ์ และนริ มล มูนจนิ ดา
๔) อุปกรณห์ าปลา ได้แก่ ยอ ลอบ เบ็ด อวน จ่นั ข่าย ขอ้ ง กระปอ๋ ง สมุ่ และแห
๕) ผู้ปกครอง/ผ้รู ใู้ นชมุ ชน เป็นผูใ้ หข้ ้อมูลเกย่ี วกับลำนำ้ สตั วน์ ้ำ และปลาตา่ งๆ
3.2.2 วธิ กี ารในการตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนค้ี ณะผู้จดั ทำได้ดำเนินการ ดังน้ี
๑) สำรวจปลาที่ผู้ปกครองและชาวบ้านจับได้โดยอปุ กรณ์ต่างๆ แลว้ นำ้ มาเทียบกับคู่มือหา
ชอ่ื ปลา และคูม่ อื ปลาน้ำจืด เพ่อื ให้ทราบช่อื ปลา
๒) สอบถามจากผปู้ กครองและผรู้ ู้ในทอ้ งถิน่ ว่ามปี ลาอะไรอีกบา้ งทจ่ี บั ได้ในช่วงนี้
๓) รวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับปลาจากหนังสอื คูม่ ือปลาน้ำจดื และเว็ปไซต์ต่างๆ
๔) กรอกแบบสำรวจปลาในค่มู ือนักสบื สายนำ้
๕) ประเมนิ คุณภาพของนำ้ ในแมน่ ำ้ จากเกณฑท์ ่ีกำหนดในหนังสือนักสบื สายน้ำตาราง
13
บทท่ี 4
ผลการศึกษาและอภิปรายผล
4.1 ผลการศึกษาปลาท่ีสำรวจพบในกลุ่มตา่ งๆ เปน็ ดงั น้ี
ปลากลมุ่ ท่ี ๑ พบ ๔ ใน ๕ ชนิด(คดิ เป็นร้อยละ ๗๓) ไดแ้ ก่ ปลาหมลู าย และปลาอี
ดดู
ปลากลุ่มที่ ๒ พบ ๔ ใน ๘ ชนิด(คิดเป็นร้อยละ ๕๐) ได้แก่ ปลาแก้มช้ำ ปลา
กระสูบขีด ปลากระทงิ และปลาสลาด
ปลากลุ่มที่ ๓ พบ ๑ ใน ๒ ชนิด(คิดเป็นร้อยละ ๘๐) ได้แก่ ปลากริม ปลาไหล
ปลาเข็ม และปลาหมอ
ปลากลมุ่ ท่ี ๔ พบ ๓ ใน ๑๑ ชนิด(คิดเปน็ รอ้ ยละ ๕๐) คอื ปลานิล
นอกจากนี้ ยงั พบปลาอ่ืนๆ อกี ๘๗ ชนดิ คอื
๑. ปลากระเบนบัว ๒. ปลากราย ๓. ปลาแปบควาย ๔. ปลาแปบ ๕. ปลาอ้าว ๖. ปลาซิวใบไผ่
เล็กแถบขาว ๗. ปลากระโห้ ๘. ปลาเวียน ๙. ปลาตะโกกหน้าสั้น ๑๐. ปลาตะกาก ๑๑. ปลา
ไสต้ ันตาแดง ๑๒. ปลาตะโกก ๑๓. ปลาไสต้ นั ตาขาว ๑๔. ปลากะมัง ๑๕. ปลาตะเพยี นทอง ๑๖.
ปลาตะเพียนขาว ๑๗. ปลากะแห ๑๘. ปลาซิวควาย ๑๙. ปลาไส้ตัน ๒๐. ปลาตามิน ๒๑. ปลา
กระสูบจดุ ๒๒. ปลาตะเพยี นทราย ๒๓. ปลาสรอ้ ยขาว ๒๔. ปลานวลจนั ทร์ ๒๕. ปลากาดำ ๒๖.
ปลาบัว ๗. ปลาสร้อยลูกกล้วย ๒๘. ปลาสร้อยนกเขา ๒๙. ปลาพรม ๓๐. ปลาส่อ ๓๑. ปลาราก
กลว้ ยสาละวนิ ๓๒. ปลาหมลู ายเสอื ๓๓. ปลาหมขู าว ๓๔. ปลาหมูคอก ๓๕. ปลาอกี า ๓๖. ปลา
แขยงเขา ๓๗. ปลาแขยงหิน ๓๘. ปลาแขยงข้างลาย ๓๙. ปลาแขยงหนู ๔๐. ปลาแขยงหางจุด
๔๑. ปลาแขยงใบข้าวสาละวิน ๔๒. ปลากดเหลอื ง ๔๓. ปลากดดำ ๔๔. ปลากดแกว้ ๔๕. ปลาดุก
มูน ๔๖. ปลาคางเบือน ๔๗. ปลาสายยู ๔๘. ปลาดังแดง ๔๙. ปลานำ้ เงิน ๕๐. ปลาแดง ๕๑. ปลา
เนื้ออ่อนหนวดยาว ๕๒. ปลาสยุมพร ๕๓. ปลาเค้าขาว ๕๔. ปลาเค้าดำ ๕๕. ปลาสังกะวาดขาว
๕๖. ปลาสังกะวาดท้องคม ๕๗. ปลาสังกะวาดเหลือง ๕๘. ปลาเทโพ ๕๙. ปลาเทพา ๖๐. ปลา
ดุกด้าน ๖๑. ปลาดุกอุย ๖๒. ปลาลำพัน ๖๓. ปลาไหลนา ๖๔. ปลาหลด ๖๕. ปลาหลดหลังจุด
๖๖. ปลากระทิง ๖๗. ปลาแป้นแกว้ ๖๘. ปลาแป้นแกว้ ยักษ์ ๖๙. ปลาเสือตอลายใหญ่ ๗๐. ปลา
เสอื ตอลายเล็ก ๗๑. ปลาหมอชา้ งเหยียบ ๗๒. ปลาหมอ ๗๓. ปลากัดไทย ๗๔. ปลากดั เขียว ๗๕.
ปลาบู่ทราย ๗๖. ปลากระดี่นาง ๗๗. ปลาสลิด ๗๘. ปลากระดี่หม้อ ๗๙. ปลากริมสี ๘๐. ปลา
หมอตาล ๘๑. ปลาแรด ๘๒. ปลากะสง ๘๓. ปลาชะโด ๘๔. ปลาช่อน ๘๕. ปลาใบไม้ ๘๖. ปลา
ยอดม่วง ๘๗. ปลาปักเปา้ หนา้ ยาว ๘๘. ปลาปกั เป้าดำ
14
ผลการศึกษาปลาทส่ี ารวจพบในกลุ่มตา่ งๆ
6% 2%
19%
73%
ปลากลมุ่ ท่ี 1 ปลากลมุ่ ท่ี 2 ปลากลมุ่ ท่ี 3 ปลากลมุ่ ท่ี 4
แผนภมู ิท1่ี แสดงผลการศกึ ษาปลาท่ีสำรวจพบในกลุ่มต่างๆ
15
บทที่ 5
สรปุ และอภิปรายผล
5.1 สรุปผลการทดลอง
จากผลการสำรวจดังกล่าวพบว่า แมน่ ำ้ โขงในเขตตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐจังหวัด
อบุ ลราชธานี มีปลาในทกุ กลุม่ แตก่ ลุ่มทม่ี มี ากคือ กลมุ่ ที่ ๒ และ กลุ่มที่ ๓ อกี ทั้งยังพบปลาอ่ืนๆ
อีกหลายประเภท แสดงว่าแม่น้ำโขงในเขตตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐจังหวัดอุบลราชธานี มี
สภาพแมน่ ้ำอยใู่ นระดบั ดี
5.2 ปญั หาและอุปสรรคในการศึกษาคน้ ควา้
5.2.1 เวลาว่างของสมาชิกแต่ละคนในกล่มุ ไม่คอ่ ยตรงกนั
5.2.2 การบ้านจากวชิ าตา่ งๆ ที่ต้องใชเ้ วลานานในการทำ และบางครงั้ ต้องออกไปทำใน
สถานทตี่ า่ งๆ ทำใหม้ ีเวลาในการปฏิบตั โิ ครงงานนอ้ ยลง
5.2.3 เน่อื งจากการปฏบิ ัติโครงงานมีการลงพ้ืนท่ีบ่อยครั้ง และสภาพอากาศกค็ ่อนข้าง
รอ้ นบวกกบั มีแดดแรงจดั จึงทำใหส้ มาชิกบางคนไมส่ บาย
5.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา
5.3.1 เลอื กเวลาที่สมาชกิ ทกุ คนวา่ งตรงกันมากท่สี ดุ ส่วนใหญจ่ ะเน้นไปที่วนั เสาร์-
อาทติ ย์ เพราะสมาชิกทุกคนไม่มเี รยี น
5.3.2 จัดการทำการบ้านที่ต้องออกไปทำนอกสถานท่ีให้เสร็จเรียบร้อย และชว่ ยกนั ทำ
การบา้ นใหเ้ สร็จโดยเรว็
5.3.3 ใหส้ มาชิกท่ีไม่สบายรับประทานยา และพักผอ่ นใหเ้ พียงพอ
16
บรรณานกุ รม
กนกพร พลเยี่ยม และคณะ. 2556. การตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยวิธีทางชีวภาพBombyx
mori and
Samia cynthia ricini Extraction of Silk Sericins from Bombyx mori and
Samia Cynthia ricini. ภาควชิ าชวี เคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ .
เกียรตชิ ยั ดวงศรี. 2553. การตรวจสอบคณุ ภาพนำ้ . ( 2 สงิ หาคม 2557).
http://www.repository.rmutt.ac.th/bitstream/handle/123456789/612/
ชะหนา่ ย มงั คลารตั นศรี. 2551. แหลง่ นำ้ ทีเ่ หมาะสม
วิทยานิพนธ์ ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเพชรบรู ณ์.
ดั่งฤทัย รัตนสุวรรณ์. 2551. คู่มือปลาน้ำจืด. วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี).
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
นงเยาว์ เทพยา. 2549. ความมหศั จรรย์ ของแหลง่ นำ้ คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
17
ภาคผนวก
18
19
20
21
22
23
24
25
แบบสำรวจแหล่งน้ำ
เขียนท่.ี ..............................................................
วนั ท.ี่ ..............เดอื น..............................พ.ศ.............
ชื่อแหล่งน้ำ.......................บ้าน..................หมู่ท.่ี .....ตำบล.........อำเภอ.........จังหวดั .......................
ขนาดแหลง่ นำ้ (พนื้ ท่ผี วิ น้ำ)........................................ไร่.................................................................
ความกว้าง........................เมตร...............ความยาว............เมตรระดับนำ้ เฉลยี่ .............เมตร.........
ความลกึ เฉลีย่ ในฤดูแลง้ ..................................เมตร........................................................................
พืชน้ำ ( ) มี ( ) ไม่มี มรี ะบุ...................................................สีของน้ำ..........................................
ชนดิ ปลาธรรมชาติทีม่ อี ยู่
.........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................
................................................................................................................................................ .........
.......................................................................................................................... ...............................
............................................................................................................................. ............................
.........................................................................................................................................................
( ) ทยอยจบั จำนวนท่ีจับ............ครั้งต่อปี คดิ เปน็ จำนวนเฉลยี่ .......................
วัน เดือน ปี ท่จี ับ .......................................................................................................................
ชนิดปลาท่จี ับได้ 1. . 2.
.
3. . 4.
ปัญหาอปุ สรรคและข้อเสนอแนะ
............................................................................................................................. ............................
.........................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .........................................................ผู้ใหข้ ้อมูล
( .)
ลงชื่อ..........................................................ผูส้ ำรวจ
( .)
หมายเลขโทรศัพท์ ................................................... .
26
ประวัตผิ ูศ้ กึ ษา
1.ด.ช.อนะวัฒน์ สมีเพชร
ประวัติส่วนตวั
วนั เดือน ปี ทเี่ กดิ อายุ
ทอี่ ยู่ (ปัจจบุ นั )
ประวตั ิการศกึ ษา
ปี พ.ศ. ชั้น ป.6 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. ชัน้ ม.3 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. 2555 ชั้น ม.4/ ..... เลขที่ ………
2.ด.ช.วรเวช วงศษ์ า
ประวตั ิส่วนตวั
วัน เดือน ปี ที่เกดิ อายุ
ทอ่ี ยู่ (ปจั จุบัน)
ประวัติการศกึ ษา
ปี พ.ศ. ช้ัน ป.6 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. ชั้น ม.3 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. 2555 ชนั้ ม.4/ ..... เลขท่ี ………
27
3.ด.ช.จิรเดช รักษ์มณี
ประวัตสิ ่วนตัว
วัน เดือน ปี ท่เี กดิ อายุ
ทอี่ ยู่ (ปจั จุบนั )
ประวตั กิ ารศึกษา
ปี พ.ศ. ชั้น ป.6 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. ชั้น ม.3 ร.ร. ...............................................
ปี พ.ศ. 2555 ช้ัน ม.4/ ..... เลขท่ี ………