The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dutch Pawarit, 2022-11-24 04:55:39

ไผ่ซางหม่น

ไผ่ซางหม่น

ไผ่ซางหม่น

Dendrocalamus sericeus

พื ช ท า ง เ ลื อ ก ส ร้ า ง ร า ย ไ ด้
ใ ห้ เ ก ษ ต ร ก ร แ ล ะ เ ป็ น มิ ต ร

ต่ อ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม

ศนู ยส์ ่งเสรมิ และพฒั นาอาชีพการเกษตรจงั หวัดลาพนู (เกษตรท่สี งู )

ไ ผ่ ซ า ง ห ม่ น

ไผ่เป็นไม้ไม่ผลัดใบจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับหญ้ า (Family:
Poaceae) อยา่ งไรกต็ ามนกั พฤษศาสตร์ บางคนแสดงความคดิ เห็นไว้
ว่า ไผ่ไม่น่าจะเป็นหญ้าเพราะมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากหญ้า
หลายอย่าง เช่น มีลาแข็งแรง เน้ือไม้แข็ง มีก้านเห็นได้อย่างชัดเจน
กาบใบใหญ่ ส่วนของดอกสม่าเสมอทุกสกุล ช่อดอก ไม่มีกาบหุ้ม
เหมือนหญา้ อนื่ ๆ และผลมลี กั ษณะไมเ่ ปลีย่ นแปลงมากนัก

ไผ่สามารถเจริญเตบิ โตไดด้ ใี นช่วงอณุ หภมู ริ ะหว่าง 8-36 องศา
เซลเซียส ปริมาณน้าฝนท่ีต้องการ โดยทั่วไปประมาณ 1,270-4,050
มิลลิเมตรตอ่ ปี จากการสารวจพบว่าท่ัวโลกมไี ผ่ประมาณ 1,500 ชนิด
รวม พ้ืนท่ีท้ังสิ้น 360,000 ตารางกิโลเมตร โดยแพร่กระจายอยู่ใน
บริเวณเขตร้อนและ เขตอบอุ่น ยกเว้นทวีปยุโรปข้ัวโลกเหนือและใต้
โดยทวีปเอเชียมีพื้นทีไผ่สูงที่สุด คือ 65% ของพ้ืนที่ไผ่ท่ัวโลก
รองลงมาคือ ทวปี อเมริกาและแอฟรกิ า

ลกั ษณะทางสัณฐานวิทยา
ของไผ่

ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของไผ่สามารถแบงออกเป็น 2 ระบบ คือระบบ
เหงา้ (Rhizome system) และระบบลาไผ่ (Culm system)

เหง้า (Rhizome) เป็นส่วนของลาต้นไผ่ที่อยู่ใต้ดิน ทาหน้าทีค้าจุนส่วนต่าง
ๆ ของลาตน้ ท่ีอยู่เหนอื ดนิ นอกจากน้ียงั ทาหน้าท่ี สะสมอาหารและแตกเหง้าใหม่ที่
จะพัฒนาไปเป็นหน่อและลา หรือเป็นเหง้าอันใหม่ต่อไป รูปแบบ การเจริญเติบโต
ของเหงา้ ไผ่เป็นลกั ษณะหน่งึ ทีใ่ ชจ้ าแนกไผ่ไดโ้ ดยระบบเหงา้ สามารถแบ่งออกเป็น 2
กลุ่ม หลักๆได้แก่ ระบบเหง้าแบบกอ (Sympodial or Clumping rhizome) พบ
ในไผ่ท่ีขึ้นอยู่ในเขตร้อนชื้น เช่นประเทศไทย โดยตัวเหง้าจะมีลักษณะอวบสั้นและ
ตัน รูปร่างคล้ายกระสวยหรือลูกข่างเบี้ยว ๆ ความยาวปล้องไม่สม่าเสมอมีทั้ง
ยาวและสั้น ถ้าเป็นปล้องทยาวจะมีตา รอบตาจะพบปุ่มราก เหง้าใหม่จะแตกจาก
ตาขา้ งของเหงา้ เก่า ชว่ งแรกเหงา้ ใหม่จะเจรญิ เติบโตอยใู่ ตด้ ินในแนวราบ
จากน้ันจะเจริญโค้งข้ึนด้านบนและพัฒนาเป็นหน่อและลาต่อไป โดยตัวเหง้ามี
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าลา ก่อไผ่ที่มีระบบเหง้าแบบน้ีลามักอยู่ชิดติดกัน
ทาให้กอค่อนข้างแน่น ตัวอย่างของไผ่ที่มีระบบเหง้า แบบกอเช่น ไผ่รวก
(Thyrsostachys oliveri) และไผ่ซางหม่น(Dendrocalamus sericeus) ระบบ
เหง้าแบบลาเดี่ยว (Monopodial or Running rhizome) ส่วนใหญ่เป็นไผ่ท่ี
เจริญเติบโตในเขตอบอุ่น ตัวเหง้ามีลักษณะผอมยาวและกลวง หรือบางครั้งตันมี
ความยาวของปล้องสม่าเสมอเหง้าแต่ละอันจะเจริญเติบโตอยู่ใต้ดินในแนวราบไป
เร่ือย ๆ โดยตาข้างทอยู่บนเหง้าจะพัฒนาเป็นเหง้าหรือลาใหม่ แต่มีตาข้างเพียง
บางตาเท่านั้นทพี่ ัฒนาตอ่ ไปไดท้ าใหม้ ลี าหา่ ง ๆ กัน ตัวเหงา้ มีเส้นผ่าศนู ยก์ ลางเล็ก
กว่าลา ตัวอย่างของไผ่ท่ีมีระบบเหง้าแบบ ลาเดียว เช่น ไผ่มากิน อย
(Phyllostachys makinoi)

ลกั ษณะทางสัณฐานวิทยา
ของไผ่

ลาไผ่ (Culm)
ลาไผ่ มีลกั ษณะเป็นทอ่ กลม ลาตั้งตรง ปลายลาโค้งงอ ลาไผป่ ระกอบไปดว้ ยส่วนปล้อง
(Internode) และส่วนขอ้ (Node) โดยปล้องเกิดระหวา่ งข้อ มีลกั ษณะเป็นหอ้ งส่วนใหญ่
บรเิ วณปลอ้ งมกั กลวง แต่ก็มีหลายชนดิ ที่ปลอ้ งจะตนั เชน่ ไผร่ วก (Dendrocalamus
siamensis) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata) และไผ่ซางดา (Dendrocalamus
strictus) ส่วนขอ้ เปน็ สวนท่ีก้ันระหวา่ งปล้องแตล่ ะอันมีลกั ษณะตัน
ลักษณะภายนอกของลาไผ่ท่ีแตกตา่ งกันหลายชนิดโดยทวั่ ไปบริเวณผิวภายนอกของลา
ไผ่มักเกลีย้ งหรอื มีขนเลก็ น้อยแตบ่ างชนดิ กม็ ขี นปกคลุม เชน่
ไผ่ขน (Phyllostachys eduis) โดยจะมีขนนมุ่ ปกคลมุ หนาแน่น รวมถึงสกุลไผ่ตงหลาย
ชนิดที่ส่วนลา่ งของ ลามกั มีขนปกคลุมหนาแน่นเช่นกัน นอกจากนีย้ ังพบลาไผท่ ่ีมีสีสนั
แตกตา่ งกนั เช่น สีเหลืองสลบแถบเขยี ว ตามยาวของลาไผ่เหลือง (Bambusa vulgaris
cv. Vittata) ผนังดาั นนอกของลาไผ่จะเคลือบด้วยสารกันนา้ (Wax)

การกระจายพันธุ์
ไผ่ซางหมน่ เปน็ ไผ่ที่มถี นิ่ กาเนิดในเขตภาคเหนอื พบมากบริเวณทางภาคเหนอื แถบ

จงั หวัดเชียงใหม่ แพร่ ลาปาง และลาพนู ซึ่งในปัจจุบนั ก็ไดก้ ระจายปลูกไปในหลายพนื้ ที่
ทัว่ ทกุ ภูมภิ าครวมทง้ั เพื่อนบ้านของเราบางส่วนด้วย
ปัจจัยแวดลอ้ มท่เี หมาะสม

พบชอบขนึ้ บรเิ วณเนินเขาสูง ขน้ึ ตามป่าผสมผลัดใบเกอื บทุกภาคในประเทศ ไทย
สามารถเจรญิ ไดด้ ใี นทรี่ าบหรือทร่ี าบเชิงเขาที่มดี นิ ปนทราย มกี ารระบายน้าดี น้าไมท่ ่วม
ขงั ซง่ึ ถ้าน้าทว่ มขังเปน็ เวลานานจะทา ใหไ้ ผ่ชะงกั การเจรญิ เตบิ โตถึงตายได้

การใช้ประโยชน์ของไผ่

ผลติ ภณั ฑท์ ีใ่ ชไ้ มไ่ ผ่เป็นวตั ถดุ ิบและมีสักยภาพเพียงพอที่จะพฒั นาไปสู่การ
ผลติ ระดับอตุ สาหกรรม ไมว่ ่าจะเปน็ อุตสาหรกรรมในครวั เรือน สหกรณ์ หรอื
ชมุ ชนท้องถน่ิ ขนาดกลางหรอื ขนาดใหญ่ ดังน้ี
1. อาหารสาเรจ็ รปู หนอ่ ไมส้ ด หน่อไมก้ ระปอ๋ ง หน่อไมด่ อง หนอ่ ไมแ้ ห้ง
2. ภาชนะ และของใช้ ของท่รี ะลึกมที งั้ ผลิตภณั ฑท์ ่ีราคาไมแ่ พง และผลิตภณั ฑ์ผี
มอื ประณีตราคาแพง เช่นเครือ่ งประดบั ผลติ ภัณฑแ์ กะสลกั ถาด ตะเกยี บ ไม้เสยี บ
ลูกชิ้น
3. ไมค้ ้ายัน เฟอร์นเิ จอรแ์ ผ่น ไมอ้ ัด แผน่ สานไม้ไผ่ ปารเ์ ก้ไมไ้ ผ่
4. ถ่านไมไ้ ผ่
5. เยื่อกระดาษ

การปลกู ไผ่

• เลอื กพืน้ ท่ี นา้ ไม่ทว่ มขงั ดนิ ทกุ ประเภทเหมาะสมคือดินร่วนปนทราย
• การเตรียมพนื้ ที่ ระยะปลกู ท่ใี ช้ ไผล่ าเลก็ ใช้ระยะ 2*4 หรือ 2*2 เมตร

เชน่ ไผร่ วก ไผ่เลีย้ ง ไผ่ลาใหญ่ ใช้ระยะ 4*4-6*6 เมตร เช่นไผ่ซางนวล
ไผ่สีสกุ และไผบ่ งใหญ่เป็นต้น

การขยายพนั ธ์ไุ ผ่

• การแยกลาพรอ้ มเหงา้
• การแยกกอขนาดเล็ก
• การตอนก่ิง


Click to View FlipBook Version