The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ta Sirichal, 2022-09-21 07:17:40

กลอน

กลอน

กลอน

จัดทำโดย

นางสาวมณีสิริกร บอขุนทด รหัส ฯ 005
นายพิชิตชัย ดวงเดช รหัส ฯ 021
นายศิริชัย เจียมแพ รหัส ฯ 022

สาขาวิชาภาษาไทย วิทยาลัยการฝึกหัดครู
หมู่ 1 รุ่น 64

ผู้สอน

อาจารย์ ดร. จนัญญา งามเนตร
หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
รายวิชาการอ่านและการเขียนร้อยของไทย

•ประทีป วาทิกทินกร
กล่าวว่ากลอนเป็นคำประพันธ์

ที่คนไทยคุ้นเคยและนับว่าแพร่หลายที่สุด
โดยเชื่อว่าไทยไม่ได้ดัดแปลงมาจากชาติใด

กลอน หมายถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่บังคับ
คณะและเสียง วรรณยุกต์ บังคับสัมผัส
คือเสียงที่คล้องจองกัน กลอนก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด
มีลักษณะบังคับที่แตกต่างกันไป และมีชื่อเรียกต่างกัน
ตามที่บัญญัติไว้

ฉันทลักษณ์

ความหมาย

กำชัย ทองหล่อ

ตำราที่ว่าด้วยวิธีร้อยกรองถ้อยคำหรือเรียบ
เรียงถ้อยคำ ให้เป็นระเบียบตามลักษณะบังคับ
และบัญญัติที่นักปราชญ์ได้ร่างเป็นแบบไว้
ถ้อยคำที่ร้อยกรองขึ้นตามลักษณะบัญญัติแห่ง
ฉันทลักษณ์ เรียกว่า คำประพันธ์

พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554

ลักษณะแบบแผนคำประพันธ์
ประเภทร้อยกรอง,
ชื่อตำราไวยากรณ์ตอนที่ว่าด้วย
ลักษณะของคำประพันธ์.

กลอนสุภาพ

เป็นกลอนที่ใช้ถ้อยคำ และทำนองเรียบ ๆ
กลอนสุภาพเป็นกลอนหลักของกลอนทุกชนิด

ประเภทของกลอนสุภาพ
กลอน ๖ กลอน ๗ กลอน ๘ กลอน ๙

กลอน 6

ลักษณะ บทหนึ่งมี 2 บาท และบาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรค
หนึ่งมี 6 คำ
การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคสดับบาทที่ 1 สัมผัส
กับคำที่ 2 วรรครับ
คำสุดท้ายของวรรครับ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครอง
และคำที่ 2 ของวรรคส่ง
คำสุดท้ายของวรรคส่ง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครับ

กลอน 7

ลักษณะ บทหนึ่งมี 2 บาท และบาทหนึ่งมี 2 วรรค
วรรคหนึ่งมี 7 คำ
การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคสดับบาทที่ 1 สัมผัส
กับคำที่ 2 วรรครับ
คำสุดท้ายของวรรครับ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรค
รอง และคำที่ 2 ของวรรคส่ง
คำสุดท้ายของวรรคส่ง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครับ

กลอน 8

ลักษณะ บทหนึ่งมี 2 บาท และบาทหนึ่งมี 2 วรรค
วรรคหนึ่งมี 8 คำ
การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคสดับบาทที่ 1 สัมผัส
กับคำที่ 2 วรรครับ
คำสุดท้ายของวรรครับ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรค
รอง และคำที่ 2 ของวรรคส่ง
คำสุดท้ายของวรรคส่ง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครับ

กลอน 9

ลักษณะ บทหนึ่งมี 2 บาท และบาทหนึ่งมี 2 วรรค
วรรคหนึ่งมี 9 คำ
การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคสดับบาทที่ 1 สัมผัส
กับคำที่ 2 วรรครับ
คำสุดท้ายของวรรครับ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรค
รอง และคำที่ 2 ของวรรคส่ง
คำสุดท้ายของวรรคส่ง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครับ

กลอนสักวา

กลอนสักวามาจากการเล่นสักวา
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

เป็นการร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง

ฉันทลักษณ์

กลอนสักวา 1 บทมี 4 คำกลอน หรือ 8 วรรค
กลอนสักวาต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า “สักวา”
และลงท้ายด้วยคำว่า “เอย”

สัมผัสและความไพเราะอื่นๆเหมือนกับ
กลอนสุภาพ

กลอนสักวา

สักวา

เอย

ตัวอย่าง

สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม

กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม

แม้ล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย

ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม

(พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ)

กลอนดอกสร้อย

กลอนดอกสร้อยมีรูปแบบคล้ายกับกลอนสุภาพ ฉันทลักษณ์คล้ายกัน
ในเรื่องสัมผัส แตกต่างกันที่วรรคแรกที่มีเพียง 4 คำ

โดยคำที่ 1 และคำที่ 3 เป็นคำเดียวกัน และคำที่ 2 ต้องใช้คำว่า “เอ๋ย”
และคำลงท้ายของกลอนในวรรคส่งต้องจบด้วยคำว่า “เอย” เสมอ

ฉันทลักษณ์

กลอนดอกสร้อย 1 บทมี 4 คำกลอนจะ หรือ 8 วรรค
กลอนดอกสร้อยวรรคแรกมี 4 คำ โดยคำที่ 1 และ
คำที่ 3 เป็นคำเดียวกัน คำที่สองเป็นคำว่า “เอ๋ย”
คำสุดท้ายของวรรคสุดท้ายต้องลงด้วยคำว่า “เอย”
สัมผัสและความไพเราะอื่นๆ เหมือนกับกลอนสุภาพ

กลอนดอกสร้อย

ฉันทลักษณ์

เอ๋ย

เอย

ตัวอย่าง

นกเอ๋ยนกแสก จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์ มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้มันดู คนมาสู่ช่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนามมา ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมันเอย

(กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า : พระยาอุปกิตศิลปสาร)

กลอนเสภา

กลอนเสภา เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งแต่งเพื่อใช้ขับ เพราะใช้เป็นกลอนขับ
กรับคู่คือเครื่องดนตรีที่ใช้ในการขับเสภา

ฉันทลักษณ์

กำหนดคำไม่แน่นอน มุ่งการขับเสภาเป็นสำคัญ
จึงใช้คำ ๗ คำ ถึง ๙ คำ
การส่งสัมผัสนอกเหมือนกับกลอนสุภาพ แต่ไม่
บังคับหรือห้ามเสียงสูง ต่ำ ตามจำนวนคำแต่ละวรรค
อยู่ในเกณฑ์กลอน ๗-๙

กลอนเสภา

ฉันทลักษณ์

ตัวอย่าง

ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ ก้มกราบมารดาน้ำตาไหล
ลูกเห็นแต่แม่คุณค่อยอุ่นใจ ช่วยสอนให้พลายงามเรียนความรู้
อันตำรับตำราสารพัด ลูกเก็บจัดแจงไว้ที่ในตู้
ถ้าลืมหลงตรงไหนไขออกดู ทั้งของครูของพ่อต่อกันมา

(ขุนช้างขุนแผนตอนพลายงามพบพ่อ : สุนทรภู่)

กลอนบทละคร

เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อใช้ในการเล่นละคร

ต้องอาศัยทำนองขับร้อง
และเครื่องดนตรีประกอบ

ลักษณะและการสัมผัสคล้ายกลอนสุภาพ
วรรคหน้าบาทที่ ๑ ของ บทแรกมักขึ้น ต้นด้วย
บัดนั้น เมื่อนั้น มาจะกล่าวบทไป จำนวนคำจะมี
๖-๙ คำ ในแต่ละวรรค

คำขึ้นต้น
บัดนั้น = ขึ้นต้นตัวละครเอก
เมื่อนั้น = ขึ้นต้นตัวละครทั่วไป
มาจะกล่าวบทไป = เริ่มตอนใหม่

กลอนบทละคร

ตัวอย่าง

บัดนั้น ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์

เห็นทศกัณฐ์อสุรา กล้าเสียทีในท่าชิงชัย

เท้าถีบถูกกายขุนมาร เผ่นทะยานฉวยยอดฉัตรได้

น้าวลงด้วยกำลังว่องไว หักฉัตริชัยโม

กลอนพื้นบ้าน

เป็นกลอนที่ชาวบ้านร้องเป็นเพลงร้อง
เพลงกล่อม เพลงร้องก็เช่นเพลงเรือ
เพลงอีแซว เพลงโคราช เป็นต้น
ส่วนเพลงกล่อมจะเป็นเพลงกล่อมเด็ก เช่น
เพลงนกกาเหว่า เพลงเอยโยกเยก เป็นต้น

กลอนเพลงจะมีฉันทลักษณ์ที่บังคับ
เหมือนกลอนสุภาพแต่บทแรกของ
กลอนเพลงจะขึ้นต้นด้วยวรรครับ

เพลงเรือ

ลงเรือลอยล่องร้องทำนองเพลงเกริ่น เสียงเสนาะเพราะเพลิน - จับใจ
มาพบเรือสาวรุ่นราวสะคราญ แสนที่จะเบิกบาน - หทัย
จึงโผเรือเทียบเข้าไปเลียบข้างลำ แล้วก็เอ๋ยถ้อยคำ - ปราศรัย
แม่เพื่อนเรือลอยแม่อย่าน้อยน้ำจืด พี่ขอถามเจ้าสักนิด - เป็นไร
แม่พายเรือลัดแม่จะตัดทุ่งไกล แม่จะไปทางไหน (เอ๋ย) น้องเอย

เพลงปรบไก่
...ฉาด ช่า ฉ่า ช่า เอชา ฮุ้ย...

เก่าแก่ดั้งเดิม จากภาคกลาง แ
ละมีเค้าลาง ทางเพลงบ่งชี้ (ซุ้ย)

ต้นแบบเพลงเรือ และเพลงฉ่อย จากนั้นค่อยค่อย กลายอีแซวด้วยซี (ซุ้ย)
เป็นการขอฝน ดลขอของดี (ฮุ้ย)
เดิมที่ร่ายร้อง เพื่อแก้บน
หญิงชายร่ายล้อม เป็นวงกลม เหมือนลงอาคม บนบานของดี (ซุ้ย)

เพลงเกี่ย
วข้าว

เอ่อ เอ่ย เอ้อ เอย เออ เอิง เอย ชะ เออ เอิง เอ้ย....เฮ้ เอ้า เฮ้ เฮ้

เรียนร้องเพลงเกี่ยวข้าวกัน เป็นเ
พลงพื้นบ้าน โบราณนานปี (เฮ้ฯ....)

มาช่วยกันร้อง มาช่วยกันรำ คนละคำสองคำ คนละที่สองที (เฮ้ฯ....)

ใครจะเรียนเอาข้าวมาแลก ช่วยกันลงแขก อย่าได้รอรี (เฮ้ฯ....)

ร่วมด้วยและช่วยกัน ผู้ใหญ่กำนัน ช่วยกันขมันขมี (เฮ้ฯ....)

เกี่ยวไปแล้วร่ายเพลงกลอน เป็นการสะท้อน ไทยประเพณี (เฮ้ฯ...)

เกี่ยวรวงอย่าห่วงเกี่ยวรัก เดี๋ยวเคียวเสียหลัก ปักตรงนิ้วชี้ (เฮ้ฯ....)

เกี่ยวแขนร่วมกันอย่างงี้ จงสามัคคีช่วยกันเถิดเอย (ลงเพลง)

การแต่งกลอน

กลอนสุภาพหรือกลอนแปด
กลอนสุภาพหรือกลอนแปดเป็นกลอนที่แพร่หลายและ

เป็นกลอนที่เราคุ้นเคยมากที่สุด ดังนั้นกฎเกณฑ์ของการแต่ง
กลอนสุภาพหรือกลอนแปดมีดังนี้

ลักษณะบังคับของ
กลอนสุภาพ

ข้อกำหนดของเสียง
วรรณยุุกต์ท้ายวรรค

หลักของเสียงสัมผัสใน

ลักษณะบังคับ

1 บท มี 2 บาท เรียกว่า 2 คำกลอน
..........................................................
1 บาท มี 2 วรรค เรียกว่า 1 คำกลอน
..........................................................
1 วรรค มี 8 คำ ยืดหยุ่นได้ 7 - 10 คำ

................................................................

ถ้าเป็นกลอนบทละคร อาจมี 6 - 10 คำ

บาทเอก
วรรคสดับ (วรรคที่ 1)
วรรครับ (วรคคที่ 2)

.....................................................................

บาทโท
วรรครอง (วรรคที่ 3)
วรรคส่ง (วรรคที่ 4)

ข้อกำหนดเสียง
วรรณยุกต์ท้ายวรรค

วรรคสดับ (วรรคที่ 1)

เสียงที่ใช้ได้ สามัญ เอก โทร ตรี จัตวา

เสียงที่ไม่ใช้ ไม่นิยมใช้เสียงสามัญ

เพราะเสียงเรียบเกิน

..........................................................................................................

วรรครับ (วรรคที่ 2)

เสียงที่ใช้ได้ เอก โท จัตวา (นิยมใช้จัตวา)

เสียงที่ไม่ใช้ สามัญ ตรี

....................................................................................................

วรรครอง (วรรคที่ 3)

เสียงที่ใช้ได้ สามัญ ตรี (นิยมใช้สามัญ)

เสียงที่ไม่ใช้ เอก โท จัตวา

.........................................................................................................

วรรคส่ง (วรรคที่ 4)

เสียงที่ใช้ได้ สามัญ ตรี (นิยมใช้สามัญ)

เสียงที่ไม่ใช้ เอก โท จัตวา

ข้อกำหนดเสียง
วรรณยุกต์ท้ายวรรค

เสียงในคำท้ายวรรคของแต่ละวรรคจะใช้เสียงใดได้
เสียงใดไม่ได้ หรือเสียงใดเป็นที่นิยมที่สุด เสียงวรรณยุกต์
นี้เน้นเสียงวรรณยุกต์ของคำ ไม่ใช่รูปวรรณยุกต์

เรื่องเสียงวรรณยุกต์ในคำนี้ ผู้ที่ศึกษาจะต้องรู้หลักการ
ผันอักษรตามอักขรงิธีของไทยมาใช้อย่าสับสนกับรูป
วรรณยุกต์ เพราะคำบางคำที่มีรูปวรรณยุกต์กำกับอาจมีเสียง
วรรณยุกต์ไม่ตรงกับรูปหรือเครื่องหมายวรรณยุกต์กำกับ เช่น

ฟ้า ใช้เครื่องหมายรูปวรรณยุกต์โท แต่เสียงของคำเป็น
เสียงตรี

สรรค์ ไม่มีรูปวรรณยุกต์ แต่เสียงของคำเป็นเสียงจัตวา
ค่า ใช้เครื่องหมายรูปวรรณยุกต์เอก แต่เสียงของคำเป็น

เสียงโท

หลักของเสียงสัมผัสใน

สัมผัสใน คือ สัมผัสที่อยู่ภายในวรรค
เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ ถ้าไม่มีเสียงสัมผัสใน
ก็จะทำไม่เสียงมีความไพเราะเสนาะหู และจดจำ
ได้ง่ายขึ้น
ตามปกติกลอน 1 วรรคนิยมเสียงสัมผัส ดังนี้

การแบ่งวรรค 8 คำ
หรือ

ช่วงที่ 1 คำที่ 3 สัมผัส คำที่ 4
ช่วงที่ 2 คำที่ 5 สัมผัส คำที่ 6 หรือ คำที่ 7

หลักของเสียงสัมผัสใน

การแบ่งวรรค 9 คำ
หรือ

ช่วงที่ 1 คำที่ 3 สัมผัส คำที่ 4
ช่วงที่ 2 คำที่ 6 สัมผัส คำที่ 7 หรือคำที่ 8

เสียงสัมผัสสระ

รองอมาตย์ โทหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรถึก)
ประพันธ์ตำราประชุมลำนำได้จำแนกประเภทเสียง
สัมผัสใน คือ เสียงสัมผัสสระมีวิธีการ ดังนี้

1.คำเคียง คือ การใช้คำสัมผัสสระเดียวกันเรียงกัน
2 คำ เช่น จะเปรียบสองปองปานกันดารตา

2.คำเทียบเคียง คือ การใช้คำสัมผัสสระเดียวกัน
เรียงกัน 3 คำ เช่น ขอพบชาติหน้าใหม่ให้ได้
ถนอม

3.คำทบเคียง คือ การใช้สัมผัสเคียงกัน 2 คู่
เช่น ดูคนขำนำนวลยวนสวาท

4.คำแทรกเคียง คือ การใช้สัมผัสสระต้นวรรค
หรือกลางวรรคที่มีเสียงคำอื่นคั่นกลาง 1 คำ
เช่น พระยาครุฑฟังนุชสนองคำ

เสียงสัมผัสสระ

5.คำเทียบแอก คือ การใช้สัมผัสสระปลายวรรคที่
มีเสียงคำอื่นคั่น 1 คำ เช่น จะเปรียบสองปอง
ปานกันดารตา

6.คำแทรกแอก คือ การใช้สัมผัสสระอื่นที่มีคำคั่น
กลาง 2 คำ เช่น ไม่สมมาตรเหมือนที่คาดคะเนฝัน

การใช้เสียง

หลักการใช้เสียงซึ่งอาจใช้กับคำประพันธ์ใด ๆ ก็ได้
1.เสียงหนัก - เสียงเบา

1.1 วิกับ คือ เสียงเบาต้นคำ เช่น ถนอม สงวน
1.2 พหิรจัก คือ เสียงเบากลางคำ เช่น วาสนา

เบญจลักษณ์ และมีเสียงเบาท้ายคำ เช่น
ฉันท พักตร
1.3 สังขะ คือ วิกับอักษรเดียวเรียงกัน 2 คำ
เช่น โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม
1.4 วิสังขะ คือ วิกับต่างอักษรเรียงกันอย่างละคำ
เช่น กากีฟังคดีสนองถ้อย

การใช้เสียง

2. กลวิธีอื่น ๆ
2.1 ยมก คือ การซ้ำคำ
เช่น ไม่ควรควรหรือมาร้างนิราลัย
2.2 ยัติภังค์ คือ การแยกคำข้ามวรรค
เช่น ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงจัง
หนึ่งน้ำครั่งฟ้านภาลัย
2.3 นิสสัย คือ การใช้อักษรเดียวกันในคำท้าย
วรรคแรกกับคำต้นวรรคใหม่
เช่น ฝันยวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง
เห็นแท่งทองที่ประทมภิริมภ์สงวน
2.4 นิสสิต คือ การใช้อักษรเดียวกันในคำท้าย
วรรคแรกกับคำที่ 2 ของวรรคต่อไป
เช่น ให้ปลาบปลื้มมิได้ลืมละอาลัย
คิดให้แล้วหวนซ้ำระกำทรวง
2.5 ละลอกทับ คือ การใช้คำเอกหรือโทเป็นคำ
สุดท้ายของวรรส่ง
เช่น เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย

การใช้เสียง

2.6 ละลอกฉลอง คือ การใช้คำเอกหรือโทเป็นคำ
สุดท้ายของวรรครับหรือวรรครอง
เช่น จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง
เหมือนสำเนียงขับครวญหวนละห้อย
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย
เหมือนนางคอยหมองกรานอยู่งานพัด

3. เสียงสัมผัสที่ควรหลีกเลี่ยง
3.1 สัมผัสเลือน คือ การใช้คำสัมผัสรับที่อยู่ใน
วรรคนั้นมีเสียงเดียวกันหลายคำทำให้เสียง
คำรับสัมผัสเลือนไป
เช่น โอ้เจ้าดวงบุปผามณฑาทิพย์
สูงลิบลิบเหลือหยิบถึงตะลึงแหงน
จากตัวอย่างคำว่า ลิบลิบ เป็นเสียงเดียวกัน
จึงทำให้เป็นสัมผัสเลือนนั่นเอง

การใช้เสียง

3.2 สัมผัสซ้ำ คือ กลอนในบทเดียวกันมีคำใน
ตำแหน่งสัมผัสบังคับเสียงเดียวกัน เรียกว่า
สัมผัสซ้ำ
เช่น เธอเป็นดุจชีวีพี่ถนอม
ใจพี่พร้อมยอมพลีไม่หนีห่าง
ความรักจักยาวยืนไม่จืดจาง
ไม่ขอห่างทั้งตัวและหัวใจ
นอกจากนี้สัมผัสซ้ ายังเขียนต่างกัน
แต่ถ้าเสียงเหมือนกันก็ถือว่าเป็น เสียงสัมผัส
ซ้ำนั่นเอง

การใช้เสียง

3.3 การใช้สัมผัสแยก คือ การใช้เสียงสัมผัส
รับในตำแหน่งข้างหน้าคำตำแหน่งที่จะรับ
สัมผัส
เช่น โฉมเฉลาเนาในใจของพี่
จะไม่มีหญิงใดให้ใฝ่ฝัน
ด้วยความรักยิ่งใหญ่ใจผูกพัน
ฉันขอสัญญาไว้ไม่เปลี่ยนแปร
จากตัวอย่างดังกล่าวคำส่งสัมผัสคือ ผูกพัน
คำรับสัมผัสมีเสียง ฉันและสัญญา เป็นต้น

วิธีแต่งกลอนสุภาพ

1. ต้องแม่นยำในหลักเกณฑ์แผนผังฉันทลักษณ์
2. ตั้งจุดประสงค์ในการแต่ง
3. คิดแนวเรื่องเนื้อหาเพื่อวางโครงเรื่อง
4. ตั้งชื่อเรื่อง
5. เขียนเรื่อง โดยคิดวรรคเรื่องต้นว่าจะขึ้นอย่างไร

กลอนสุภาพ
หรือ

กลอนแปด

กกลลออนนคคืืออคคำำปปรระะพพัันนธธ์์ชชนนิิดดหหนนึึ่่งงททีี่่บบัังงคคัับบ คคณณะะแแลละะเเสสีียยงงววรรรรณณยยุุกกตต์์
บบัังงคคัับบสสััมมผผััสสททีี่่คคลล้้อองงจจอองงกกัันน มมีีออยยูู่่ดด้้ววยยกกัันนหหลลาายยชชนนิิดด ซซึึ่่งงแแตต่่ลละะชชนนิิดด
กก็็จจะะมมีีลลัักกษษณณะะบบัังงคคัับบหหรรืืออฉฉัันนททลลัักกษษณณ์์ททีี่่แแตตกกตต่่าางงกกัันนไไปป แแลละะมมีีชชืื่่ออเเรรีียยกก
ตต่่าางงกกัันนไไปป

กกลลออนนมมาารรุุ่่งงเเรรืือองงใในนยยุุคครรััตตนนโโกกสสิินนททรร์์ สสมมััยยรรััชชกกาาลลททีี่่ 22 มมีีกกววีีสสำำคคััญญ ๆๆ
ไไดด้้แแกก่่ สสุุนนททรรภภูู่่ กกรรมมหหลลววงงววรรววงงศศาาธธิิรราาชชสสนนิิทท ฯฯลลฯฯ โโดดยยเเฉฉพพาาะะสสุุนนททรรภภูู่่


เเปป็็นนกกววีีททีี่่ททำำใใหห้้ฉฉัันนททลลัักกษษณณ์์กกลลออนนพพััฒฒนนาาถถึึงงรระะดดัับบสสููงงสสุุดด มมีีคคววาามมลลงงตตััวว

ททาางงฉฉัันนททลลัักกษษณณ์์ททำำใใหห้้กกลลออนนลลีีลลาาแแบบบบสสุุนนททรรภภูู่่ไไดด้้รรัับบกกาารรยยออมมรรัับบ
วว่่าาเเปป็็นนแแบบบบฉฉบบัับบขขอองงกกลลออนนททีี่่ไไพพเเรราาะะททีี่่สสุุดดแแลละะนนิิยยมมแแตต่่งงจจนนถถึึงงปปััจจจจุุบบัันน

อ้างอิง


Click to View FlipBook Version