ที่พักและ
สถานที่ท่อง
เที่ยวใน
ภาคใต้
คำนำ
ที่พักและที่ท่องเที่ยวในภาคใต้ โครงงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน จุด
ประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่องราวที่พักและที่ท่องเที่ยวในภาคใต้
ซึ่งโครงงานเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับที่ท่องเที่ยว ประวัติเเละที่พัก ความเป็นเอกลักษณ์ทำให้
นึกถึงการท่องเที่ยวสวยๆที่พักสบายๆ คุณจะได้รับถึงความรู้สึกถึงสบายไม่เคยได้สัมพัท
มาก่อน ไม่เหมือนใคร มีเสน่ห์ ไม่ซ้ำใคร ในแบบฉบับของตัวคุณเอง แสดงถึงความเป็นตัว
ตนของคุณ
ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อในการทำโครงงานเรื่องนี้เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทำให้
นึกถึงเรื่องราวของที่พักและที่ท่องเที่ยว เสน่ห์ของที่ท่องเที่ยวคือ ได้เห็นที่ที่เราไม่เคยเห็น
มาก่อน มีประวัติ มีเรื่องราวมากมาย ทำให้รู้สึกถึงความโล่งและสดชื่น อบอุ่น ผู้จัดทำจะ
ต้องขอขอบคุณ อาจารย์ฮูมัยดี้ เบญจสมิท เเละ อาจารย์วารีส ยีซัน ผู้ให้ความรู้เเละเเนว
ทางการศึกษา ผู้จัดทำหวังว่าโครงงานเรื่องนี้จะให้ความรู้เเละเป็นปรโชน์เเก้ผู้อ่านทุกๆ
ท่าน
นาย ภูมิพัฒน์ สายวารี
ผู้จัดทำ
CONTENT
สารบัญ
ประวัติของ 14 จังหวัดในภาคใต้
1. ประวัติของจังหวัดนครศรีธรรมราช
2. ประวัติของจังหวัดกระบี่
3. ประวัติของจังหวัดชุมพร
4. ประวัติของจังหวัดตรัง
5. ประวัติของจังหวัดนราธิวาส
6. ประวัติของจังหวัดปัตตานี
7. ประวัติของจังหวัดพังงา
8. ประวัติของจังหวัดพัทลุง
9. ประวัติของจังหวัดภูเก็ต
10. ประวัติของจังหวัดระนอง
11. ประวัติของจังหวัดสตูล
12. ประวัติของจังหวัดสงขลา
13. ประวัติของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
14. ประวัติของจังหวัดยะลา
ที่ท่องเที่ยวของ 14 จังหวัดในภาคใต้
1. ที่เที่ยวของจังหวัดนครศรีธรรมราช
2. ที่เที่ยวของจังหวัดกระบี่
3. ที่เที่ยวของจังหวัดชุมพร
4. ที่เที่ยวของจังหวัดตรัง
5. ที่เที่ยวของจังหวัดนราธิวาส
6. ที่เที่ยวของจังหวัดปัตตานี
7. ที่เที่ยวของจังหวัดพังงา
8. ที่เที่ยวของจังหวัดพัทลุง
9. ที่เที่ยวของจังหวัดภูเก็ต
10. ที่เที่ยวของจังหวัดระนอง
11. ที่เที่ยวของจังหวัดสตูล
12. ที่เที่ยวของจังหวัดสงขลา
13. ที่เที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
14. ที่เที่ยวของจังหวัดยะลา
ที่พักของ 14 จังหวัดในภาคใต้
1. ที่พักของจังหวัดนครศรีธรรมราช
2. ที่พักของจังหวัดกระบี่
3. ที่พักของจังหวัดชุมพร
4. ที่พักของจังหวัดตรัง
5. ที่พักของจังหวัดนราธิวาส
6. ที่พักของจังหวัดปัตตานี
7. ที่พักของจังหวัดพังงา
8. ที่พักของจังหวัดพัทลุง
9. ที่พักของจังหวัดภูเก็ต
10. ที่พักของจังหวัดระนอง
11. ที่พักของจังหวัดสตูล
12. ที่พักของจังหวัดสงขลา
13. ที่พักของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
14. ที่พักของจังหวัดยะลา
ประวัติความเป็นมา
ของ 14 จังหวัดของภาคใต้
ประวัติเมืองนครศรีธรรมราช
นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดใน
ประเทศไทย มี ประชากร มากที่สุดใน ภาค
ใต้ และมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ
ภาคใต้ (รองจาก สุราษฎร์ธานี) เป็น
จังหวัดที่มีอำเภอมากที่สุดในภาคใต้ ห่าง
จาก กรุงเทพมหานคร ประมาณ 780
กิโลเมตร มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่
สงขลา พัทลุง ตรัง กระบี่ และ
สุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราชเป็นเมืองโบราณที่มี
ความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง การปกครอง และศาสนามาก
ที่สุดเมืองหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ เมืองนี้มีชื่อเสียงเป็นที่ รู้จักกัน
อย่างกว้างขวางมาไม่น้อยกว่า ๑ , ๘๐๐ ปี
มาแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีและหลัก
ฐานทางเอกสารที่ปรากฏในขณะนี้ยืนยันได้
ว่านครศรีธรรมราชมีกำเนิดมาแล้วตั้งแต่
พุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นอย่างน้อย
ในสมัยโบราณนครศรีธรรมราชอยู่ภายใต้การ
ปกครองของ อาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งมีศูนย์กลางแห่ง
หนึ่งอยู่ที่ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในช่วง
พุทธศตวรรษที่ 13 - 16 ดังปรากฎในจารึกภาษา
สันสกฤตวัดเสมาเมือง กล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย
พระนามว่าศรีมหาราชาทรงสร้างปราสาทอิฐสาม
องค์เพื่อถวายแด่พระผู้ผจญมาร ( พระสมณโคดม )
พระปัทมปาณี และพระวัชรปาณี อาณาจักรศรีวิชัย
นับถือพระพุทธศาสนา มหายาน และนับถือพระ
โพธิสัตว์ ต่อมาในพ.ศ. 1568 พระเจ้าราเชนทระโจฬะ
ที่ 1 แห่ง ราชวงศ์โจฬะ ซึ่งมาจากแคว้น ทมิฬ ใน
อินเดียใต้ยกทัพเรือเข้ารุกรานแหลมมลายูและภาคใต้
ของไทย ทำให้อำนาจของศรีวิชัยเสื่อมลงและบริเวณ
แหลมมลายูตกอยู่ภายใต้การปกครองของโจฬะอยู่
เวลาหนึ่ง การล่าถอยออกไปของโจฬะ นำไปสู่กำเนิด
อาณาจักรตามพรลิงค์
ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองตามพร
ลิงค์หรือนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
จารึกเมืองแทัโจร์ ซึ่งจารึกขึ้น
ในพ.ศ. 1573 บันทึกเมืองต่างๆที่
พระเจ้าราเชนทระฯทรงพิชิตได้
ปรากฎชื่อเมือง "มัทลิงกัม"
(Madalingam) และบันทึกของ
ขุนนางชาวจีนสมัย ราชวงศ์ซ่ง
ปรากฎชื่อเมือง "ตันหม่าลิ่ง"จีนยุค
กลาง : หมายถึงตามพรลิงค์
จักรวรรดิเขมร แผ่ขยายอำนาจ
มายังภาคใต้ของไทยในระยะเวลา
หนึ่งจากนั้นจึงเสื่อมไป
ประวัติเมืองกระบี่
กระบี่ เป็น จังหวัด หนึ่งในภาคใต้ของ
ประเทศไทย เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
แห่งหนึ่งของภาคใต้ มีแหล่งท่องเที่ยวหลาย
แห่ง เช่น หาดทรายขาว น้ำทะเลใส ปะการัง
ถ้ำ และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ และ
เป็นที่ตั้งของ เรือนรับรองที่ประทับแหลม
หางนาค
จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานได้
ว่า บริเวณเมืองกระบี่เคยเป็นแหล่งชุมชน
โบราณก่อนประวัติศาสตร์ และต่อเนื่องมา
จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ดินแดนนี้เดิมคือ
บันไทยสมอ มีสภาพเป็นชุมชนเล็ก ๆ ขึ้นอยู่
กับ อาณาจักรนครศรีธรรมราช เมื่อถึง
สมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้มอบ
หมายให้ปลัดเมืองไปตั้งเพนียดคล้องช้างที่
กระบี่ ทำให้ผู้คนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานกัน
มากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ ต่อมายก
ฐานะเป็น แขวงเมืองกาสัย หรือ ปกาสัย
ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช
ประมาณปี พ.ศ. 2415 ในสมัย พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์
ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้น
เป็นเมืองปกาสัย และพระราชทานนามว่า
เมืองกระบี่ เมื่อได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นเมือง
แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งที่ทำการอยู่ที่ตำบล
กระบี่ใหญ่ (บ้านตลาดเก่า) ในท้องที่อำเภอ
เมืองกระบี่ปัจจุบัน มีหลวงเทพเสนาเป็นเจ้า
เมืองกระบี่คนแรก จนในปี พ.ศ. 2418 เมือง
กระบี่ได้แยกออกจากการปกครองของเมือง
นครศรีธรรมราช เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อ
กรุงเทพ และ ในปี พ.ศ. 2443 สมัย พระยา
รัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ
ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต
ได้ย้ายที่ตั้งเมืองไปอยู่ตำบลปากน้ำ ซึ่งอยู่
ใกล้ปากอ่าวเป็นร่องน้ำลึก ให้เป็นที่ตั้งศาลา
กลางจังหวัดจนถึงปัจจุบันนี้
เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่ ง ทะเลอันดามัน
อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 814 กิโลเมตร
ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ( ถนน
เพชรเกษม ) มีเนื้อที่ 4,708 ตาราง
กิโลเมตร ประกอบด้วยภูเขา ที่ดอน ที่ราบ
หมู่เกาะน้อยใหญ่ กว่า 154 เกาะ อุดมไปด้วย
ป่าชายเลน ตัวเมืองกระบี่มีแม่น้ำ ยาว
ประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเล
อันดามัน ที่ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมี
คลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลอง
กระบี่น้อย มีต้นกำเนิดจากยอดเขาที่สูง
ที่สุดในจังหวัดกระบี่ คือ เขาพนมเบญจา
ประวัติเมืองชุมพร
ชุมพร มีชื่อปรากฏมาตั้งแต่ปี พ.ศ.
1098 โดยมีฐานะเป็นเมืองสิบสองนักษัตร
ของราชอาณาจักร นครศรีธรรมราช ใช้
รูปแพะเป็นตราเมือง และเป็นเมืองหน้า
ด่านฝ่ายเหนือ เพราะอยู่ตอนบนของ ภาค
ใต้
ใน พ.ศ. 1997 รัชสมัยแผ่นดิน สมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏใน กฎหมายตรา
สามดวง ว่า เมืองชุมพรเป็นเมืองตรี
อาณาจักรฝ่ายใต้ของราชอาณาจักร กรุง
ศรีอยุธยา ในช่วงนี้ชนชาติจาม แห่งราช
อาณาจักรจามปา ถูกชาวเวียดนามรุกราน
ชาวจามกลุ่มนี้อพยพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาครั้ง
แรก ปรากฏว่ามี "อาสาจาม" ในแผ่นดินนี้ เพื่อ
การขยายอาณานิคมของกรุงศรีอยุธยา ส่วน
หนึ่งต้องมารักษาด่านเมืองชุมพร ซึ่งเป็นเมือง
ตรี และตั้งชาวจาม เป็นเจ้าเมืองชุมพร และ
ดินแดนแถบนี้ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา เนื่อง
ด้วย ชาวจาม มีความสามารถในการรบ ที่มีชื่อ
เสียง เช่น กองอาสาจาม เป็นทหารชั้นดี มีวินัย
เชี่ยวชาญการเดินเรือ รับใช้ราชสำนักมานาน
และเก่งการค้ามาหลายพันปี
และต่อมาระหว่าง ปี พ.ศ. 2173 - 2199
ในแผ่นดิน พระเจ้าปราสาททอง แห่งราช
อาณาจักกรุงศรีอยุธยา ได้กวาดต้อนชาว
เมืองแถง หรือ ( เดียนเบียนฟู ) อยู่ใน
ประเทศ เวียดนาม และชาวเมืองพงสาลี
อยู่ในประเทศ ลาว มาเป็นพลเมือง เมือง
ชุมพร เมืองปะทิว( อำเภอปะทิว ) เพื่อ
ทำการเกษตรกรรม และเมืองท่าการค้า
สำคัญ ตั้งแต่นั้นมา
เดิมชาวจามนับถือ ศาสนาพราหมณ์-
ฮินดู พ.ศ. 1400 นับถือ ศาสนาพุทธ
มหายาน และเมื่อค้าขายกับอาหรับก็นับถือ
ศาสนาอิสลาม แต่ชาวจามที่มาอยู่เมือง
ชุมพร ต่อมานับถือ ศาสนาพุทธ มี
วัฒนธรรม ประเพณี เหมือนกัน แต่เมื่อเวลา
ผ่านไปกว่า 500 -600 ปี ที่ชาวจาม เข้าปก
ครองเมืองชุมพร และดินแดนแถบนี้จน
แทบจะไม่เหลือวัฒนธรรมเดิมเลย เช่น
ข้าวต้มใบพ้อ ที่ใช้ในงานมงคล เช่นเดียวกับ
ชาวมุสลิม บ้านกาลอ ตำบลกาลอ อำเภอ
รามัญ จังหวัดยะลา ก็สูญหายไม่ได้ใช้ใน
งานมงคลแล้ว
ประวัติเมืองตรัง
ตรัง เป็น จังหวัด ใน ภาคใต้ ของ
ประเทศไทย ตรังหรือเมืองทับเที่ยงเป็น
จังหวัดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้
จังหวัดตรังในอดีตเคยเป็นเมืองท่าค้าขาย
กับต่างประเทศ เป็นศูนย์กลางการคมนาคม
ไปสู่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และ
โบราณคดีที่ปรากฏในจังหวัดตรังมีอยู่ทั่วไป
เช่น โครงกระดูกมนุษย์โบราณที่ถ้ำซาไก
อำเภอปะเหลียน ขวานหินกะเทาะ ขวานหิน
ขัด เศษภาชนะดินเผา ลูกปัดแก้ว เครื่อง
ประดับ ตามถ้ำต่าง ๆ เช่น เขาสามบาตร
ถ้ำเขาไม้แก้ว ถ้ำเขาเทียมป่า ภาพเขียนสีที่
เขาแบนะ ถ้ำตรา ล้วนเป็นหลักฐานบอก
ความเป็นชุมชนก่อนประวัติศาสตร์จนถึง
แรกเริ่มประวัติศาสตร์ ต่อมาจึงมีหลักฐาน
ที่แสดงถึงความสัมพันธ์กับอาณาจักร
โบราณทางภาคใต้ในลักษณะที่เป็นเมือง
ท่าทางผ่าน และมีพัฒนาการมาตามลำดับ
ตรังเป็นตำบลที่กว้างใหญ่และมีประชากร
น้อยมาก มีป่าไม้สักที่ยิ่งเหมาะสำหรับการต่อ
เรือและพื้นดินก็ปลูกข้าวได้ผลมากมาย แม่น้ำ
ตรังเป็นที่รวมของลำน้ำที่ไหลมาจากปาก
แม่น้ำหลายแห่ง แม่น้ำแคบและมีสันดอนกั้น
ขวางอยู่ เวลาน้ำขึ้นสูงเรือสำเภาขนาดใหญ่
สามารถแล่นผ่านเข้าไปถึงตอนในที่น้ำลึกกว่า
ได้และแล่นเรือขึ้นไปถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ บางแห่ง
บนฝั่ งแม่น้ำนี้
เมืองท่าตรังมีสินค้าออกเพียง 23 ชนิด
แต่ตรังก็สร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศ
ได้เป็นอย่างดี เรือค้าขายที่มาถึงตรังถ้า
เป็นเรือค้าขายของยุโรปต้องคอยความ
พอใจของท่านเจ้าเมืองก่อนจึงจะสามารถ
เริ่มดำเนินการค้าได้ คนจีนจากปีนังเข้ามา
ดำเนินการค้าเล็กๆ น้อยๆ ธุรกิจการส่ง
สินค้าออกมีหลายอย่าง คือ ดีบุก ข้าว
งาช้างเล็ก ๆ รังนก ซึ่งดีบุกที่นี่มีราคาแพง
กว่าที่ถลางตรังเป็นจังหวัดแรกที่มีต้น
ยางพารามาปลูก โดยพระยารัษฎานุประดิ
ษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) นำ
พันธุ์ยางพารามาจากมาเลเซีย และในตรัง
ยังมีต้นยางพาราต้นแรกอีกด้วย
ประวัติเมืองนราธิวาส
นราธิวาส เป็น จังหวัด หนึ่งใน ภาคใต้
ของ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัด
ชายแดนใต้สุดของ ประเทศไทย มี
อาณาเขตติดต่อกับ ประเทศมาเลเซีย ตั้ง
อยู่บนชายฝั่ งทะเลตะวันออกของแหลม
มลายู ห่างจาก กรุงเทพมหานคร ทาง
รถยนต์ประมาณ 1,149 กิโลเมตร โดยมี
เนื้อที่ประมาณ 4,475.43 ตารางกิโลเมตร
หรือ 2,797,143.75 ไร่
ทิศเหนือติดต่อกับ จังหวัดปัตตานี ใน
เขต อำเภอกะพ้อ อำเภอสายบุรี อำเภอ
ไม้แก่น และ อ่าวไทย ทิศตะวันออกติดต่อ
กับอ่าวไทยและ รัฐกลันตัน ประเทศ
มาเลเซีย ทิศใต้ติดต่อกับรัฐกลันตัน
ประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดต่อกับ
จังหวัดยะลา ในเขต อำเภอเบตง อำเภอ
ธารโต อำเภอบันนังสตา และ อำเภอรามัน
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้และภูเขา 2 ใน 3
ของพื้นที่ทั้งหมด มีป่าพรุประมาณ 361,860
ไร่ ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดทิวเขา
สันกาลาคีรีซึ่งเป็นแนวกั้นพรมแดนไทย-
มาเลเซีย ลักษณะพื้นที่จะมีความลาดเอียง
จากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก
พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่บริเวณติดกับอ่าว
ไทยและที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ 4 สาย คือ
แม่น้ำบางนรา แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำตากใบ
และแม่น้ำโก-ลก มีประชากรจำนวน 796,239
คน แยกเป็นชาย 393,837 คน หญิง
402,402 คน โดยจังหวัดนราธิวาสมี
ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
จังหวัดนราธิวาส เดิมมีฐานะเป็น
เพียงเมืองหนึ่งใน อาณาจักรลังกาสุกะ ซึ่ง
พบหลักฐานโบราณคดีค่อนข้างน้อยเช่น
ซากเจดีย์ 3 องค์บริเวณวัดเขากง
อายุ1,300ปี(ต่อมาถูกรื้อถอนแล้วสร้าง
พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลแทน) พระพุทธรูป
และพระโพธิสัตว์ นิกายมนตยาน บริเวณ
วัดเขากงเช่นกัน ต่อมา กลายเป็นอำเภอ
หนึ่ง เรียกว่า อำเภอบางนรา ขึ้นกับเมือง
สายบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองภาคใต้
ต่อมาได้โอนไปขึ้นกับเมือง ระแงะ ซึ่งเป็น
หนึ่งในเจ็ดหัวเมืองเช่นกัน โดยประวัติ
ความเป็นมาของนราธิวาสนั้น มีความเชื่อม
โยงกับเรื่องราวของเมือง ปัตตานี เมือง
สายบุรี และเมืองระแงะ
ประวัติเมืองปัตตานี
หลังจากนั้นราว 100 ปี ลูกชายกษัตริย์ ราชอาณาจักรปัตตานี ( มลายู :
ลังกาสุกะได้เดินทางมาถึงที่นี้และรู้สึก ; كراجأن ڤتانيKerajaan Patani ) หรือ
ประทับใจ เลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ปตาอีนิง รัฐสุลต่านปตานี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ
แล้วก่อตั้งเป็นรัฐใหม่ ชื่อ รัฐปตาอีนิง จน ประเทศไทย ในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี ยะลา
มีพ่อค้ามากมายเข้ามาติดต่อค้าขายทั้งจีน นราธิวาส และ สงขลา บางส่วนในปัจจุบัน
อาหรับ แต่ชาวอาหรับเรียกที่นี้ว่า ฟาตอนี อาณาจักรปัตตานีถือกำเนิดขึ้นก่อน
อาณาจักรสยาม 500 ปี เริ่มจากเป็นเผ่า
เลยมีคนเรียกดินแดนแห่งนี้แตกต่างกัน เล็ก ๆ รวมตัวกัน มีประชากรอาศัย 200-
ออกไป เดิมอาณาจักรปัตตานีนับถือ ศาสนา 250 คน มีชื่อว่า ปีสัง โดยแต่ละปีจะมีตูวอ
พุทธ นิกาย มหายาน แต่ในราว พุทธ ลา (หัวหน้าเผ่าในสมัยนั้น) มาปกครอง
ศตวรรษที่ 21 ได้เริ่มเปลี่ยนไปนับถือ และจะสลับทุก ๆ 1 ปี ต่อมามีชนกลุ่มใหญ่
ศาสนาอิสลาม โดยบางช่วงอาณาจักรแผ่ เข้ามามีบทบาทในแถบนี้มากขึ้น จนในที่สุด
ขยายครอบคลุมถึง รัฐกลันตัน และ รัฐ ก็ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรลังกา
ตรังกานู ตอนกลางของ ประเทศมาเลเซีย สุกะ และเปลี่ยนจากชื่อ ปีสัง มาเป็น บา
แต่หลังการสิ้นสุดราชวงศ์ศรีวังสา ลูกา ซึ่งมีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 9
อาณาจักรปัตตานีก็เริ่มเสื่อมลง จนตกอยู่
ในอำนาจของ สยาม ในปี พ.ศ. 2329 และ
กลายเป็นเมืองขึ้นเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.
2445 ก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม
เมืองปัตตานีพัฒนาขึ้นมาจากหมู่บ้าน
เล็ก ๆ ริมฝั่ งทะเล เมื่อมีเรือสินค้ามาจอด
แวะอยู่บ่อย ๆ เมืองก็ขยายตัวออกไป มี
ผู้คนมาอาศัยหนาแน่น รายาศรีวังสาจึง
ย้ายเมืองหลวงจาก "โกตามะห์ลิฆัย" เมือง
หลวงเก่า มายังปัตตานี สมัยนั้นการติดต่อ
กับต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดียและ
คาบสมุทรอาหรับ ได้ส่งผลสำคัญคือการ
ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม โดยตาม
ตำนานกล่าวว่าชาวปาไซทำการรักษา
อาการป่วยของรายาอินทิราที่ไม่มีใคร
สามารถรักษาให้หายได้ พระองค์จึงยินยอม
รับนับถือศาสนาอิสลาม และการดัดแปลง
อักษรอาหรับ เป็น อักษรยาวี นอกจากนี้ยัง
ติดต่อกับ อาณาจักรอยุธยา อย่างใกล้ชิด
ดังที่ปรากฏในปี พ.ศ. 2106 ว่ากองทัพ
ปัตตานีได้เดินทางมาถึงอยุธยา และได้ก่อ
ความวุ่นวายขึ้น จากเหตุการณ์นี้ทำให้
ความสัมพันธ์กับอยุธยาตกต่ำลง ขณะที่
เหตุการณ์ภายในก็เต็มไปด้วยการแย่งชิง
อำนาจในหมู่เครือญาติเรื่อยมา จนกระทั่ง
ไม่มีผู้สืบทอดอำนาจหลงเหลือ บัลลังก์รายา
จึงตกเป็นของสตรีในที่สุด
อาณาจักรปัตตานีในช่วงสมัย รายาฮี
เยา (พ.ศ. 2127-2159) ถึง รายากูนิง
(พ.ศ. 2178-2231) ซึ่งล้วนเป็นกษัตรีย์ ถือ
เป็นอาณาจักรของชาวมลายูที่มีความ
รุ่งเรืองมากที่สุด หลังจาก มะละกา ตกเป็น
เมืองขึ้นของ โปรตุเกส ทำให้ปัตตานีกลาย
เป็นศูนย์กลางการค้าขายและมีความ
รุ่งเรืองมาก
ประวัติเมืองพังงา
เดิมจังหวัดพังงาเรียกว่า เมืองภูงา ซึ่ง
เป็นชื่อของ เขางา เขาพังงา เขากราภูงา หรือ
เขาพังกา (ภาษามลายูแปลว่า ป่าน้ำภูงา)
โดยเมืองภูงานั้นขึ้นอยู่กับเมือง
นครศรีธรรมราช ในสมัย พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย การตั้งชื่อว่า เมือง
ภูงา อาจสอดคล้องกับเมือง ภูเก็ต เหตุที่ชื่อ
เปลี่ยนจากภูงาเป็นพังงา สันนิษฐานว่า
เนื่องจากเมืองภูงามีต่างชาติเข้ามาติดต่อซื้อ
แร่ดีบุกจำนวนมาก จึงเขียนชื่อเมืองว่า จังหวัดพังงาเคยเป็นที่อาศัยของ
มนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์ หลัก
Phunga หรือ Punga อ่านว่า ภูงา พังงา ฐานทางโบราณคดีที่พบ เช่น เศษ
เครื่องปั้ นดินเผา กำไลหิน และเปลือก
หรือ พังกา ต่อมาจึงออกเสียงเพี้ยนมาเป็น หอยบริเวณถ้ำในวัดสุวรรณคูหา อำเภอ
ตะกั่วทุ่ง และภาพเขียนสีที่ผนังเขาเขียน
"พังงา" อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
ในขณะที่มีการตั้งเมืองถลางที่พังงา
พ.ศ. 2365 เจมส์ โลว์ หัวหน้าคณะทูต
ของผู้ว่าเกาะปีนัง ผู้รับหน้าที่เจรจา
ปัญหากับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
(น้อย ณ นคร) ได้บันทึกไว้ใน
จดหมายเหตุเจมส์ โลว์ ว่า "เมืองนี้มี
ผู้คนอยู่ไม่เกิน 100 หลังคาเรือน
ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระท่อม
ซึ่งปลูกติดต่อกันประมาณ 30 หลังคา
เรือน เป็นชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกราก บ้าน
เรือนกว้างใหญ่สะดวกสบายและสร้าง
อย่างเป็นระเบียบ"
เมื่อภัยคุกคามจากพม่าลดลงและพม่า
สูญเสียมณฑลอารกันและตะนาวศรีให้
อังกฤษ รัฐบาลจึงได้ย้ายผู้คนจากพังงาไป
ตั้งเมืองถลางขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2367 จาก
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงส่วนภูมิภาคทางหัว
เมืองชายฝั่ งตะวันตกตอนบน ยกเมือง
พังงาขึ้นเป็นเมืองโทขึ้นตรงต่อกรุงเทพ
และโปรดเกล้าฯ ให้เมืองถลาง ตะกั่วทุ่งและ
ตะกั่วป่าขึ้นตรงต่อเมืองพังงา
เมืองพังงาเริ่มขยายตัวและเจริญตาม
ลำดับตั้งแต่ พ.ศ. 2383 โดยการสนับสนุน
จากรัฐบาล ต่อมา พ.ศ. 2437 มีการปฏิรูป
การปกครอง มณฑลภูเก็ต พระยาบริรักษ์
ภูธร (ขำ ณ นคร) เจ้าเมืองพังงาถึงแก่
อสัญกรรม จึงมีการแบ่งพื้นที่ท้องที่การ
ปกครองในเมืองพังงาออกเป็นอำเภอและ
ตำบลต่าง ๆ การแบ่งพื้นที่นี้ได้โอนเมือง
ตะกั่วทุ่งมาเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองพังงา
และแบ่งเมืองพังงาออกเป็น 4 อำเภอ 24
ตำบล จน พ.ศ. 2459 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองพังงา
เป็น "จังหวัดพังงา" ครั้นเมื่อเกิดภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำในสมัย รัชกาลที่ 7 ได้ยุบ
จังหวัดตะกั่วป่าลดฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของ
จังหวัดพังงา เมื่อ พ.ศ. 2473
ประวัติเมืองพัทลุง
พัทลุง เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนล่าง
ของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพ
มหานคร ประมาณ 860 กิโลเมตร มี
จังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่
นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล สงขลา และ
มีพื้นที่ด้านตะวันออกของจังหวัดจรด
ทะเลสาบสงขลา
ในอดีต พัทลุงเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์
เก่าแก่แห่งหนึ่ง และยังมีสภาพ
ภูมิประเทศทั้งที่ราบ เนินเขา และชายฝั่ ง
โดยทางทิศตะวันตกของจังหวัด จะเป็น
พื้นที่ที่ราบสูงและที่ราบเชิงเขา อันเนื่อง
มาจากมีพื้นที่ติดต่อกับทิวเขา
จังหวัดพัทลุง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก นครศรีธรรมราช ถัดลงมาทางตอนกลาง
ของภาคใต้ของประเทศไทย ระหว่างละติจูดที่
7 องศา 6 ลิปดาเหนือถึง 7 องศา 53 ลิปดา และทางทิศตะวันออกของจังหวัด จรด
เหนือ และลองจิจูดที่ 100 องศา 5 ลิปดาตะวัน
ออก ห่างจาก กรุงเทพมหานคร ตามเส้นทาง ทะเลสาบสงขลาจะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่
สายเอเชีย ( ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 )
เป็นระยะทางประมาณ 858 กิโลเมตร และตาม การทำการเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่าง
เส้นทางรถไฟ ระยะทางประมาณ 846
กิโลเมตร ความยาวของจังหวัดจากทิศเหนือ ยิ่งการทำนาข้าว ชาวภาคใต้จะเรียก
ไปทิศใต้ประมาณ 78 กิโลเมตรและความกว้าง
จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ระยะทาง จังหวัดนี้ว่า "เมืองลุง"
ประมาณ 53 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ
3,424.473 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,140,296
ไร่ (พื้นดิน 1,919,446 ไร่ พื้นน้ำ 220,850 ไร่)
มีเขาที่สูงที่สุดคือเขาเจ็ดยอด อยู่ในเทือกเขา
บรรทัด สูงประมาณ 1,260 เมตร
พัทลุงเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของ
ประเทศไทย ที่มีประวัติความเป็นมาอัน
ยาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดัง
ปรากฏหลักฐานจากการค้นพบขวานหินขัดใน
ท้องที่ทั่วไปหลายอำเภอในสมัยศรีวิชัย (พุทธ
ศตวรรษที่ 13–14) บริเวณเมืองพัทลุงเป็น
แหล่งที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดียในด้าน
พระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน มีหลักฐานค้น
พบ เช่น พระพิมพ์ดินดิบจำนวนมากเป็นรูป
พระโพธิสัตว์ รูปเทวดาโดยค้นพบบริเวณถ้ำ
คูหาสวรรค์ และถ้ำเขาอกทะลุ
ในพุทธศตวรรษที่ 19 เมืองพัทลุงได้
ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงภายใต้การปกครองของ
กรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ
ได้ปรากฏชื่อเมืองพัทลุง ในกฎหมายพระ
อัยการนาทหารหัวเมือง พ.ศ. 1998 ระบุว่า
เมืองพัทลุงมีฐานะเป็นเมืองชั้นตรี ซึ่งนับได้
ว่าเป็นหัวเมืองหนึ่งของพระราชอาณาจักร
ทางใต้ ที่ตั้งเมืองพัทลุงในระยะเริ่มแรกนั้น
เชื่อกันว่า ตั้งอยู่ที่เมืองสทิงพระ จังหวัด
สงขลาในปัจจุบัน มักจะประสบปัญหาโดน
โจมตีจากกลุ่มโจรสลัดมลายูอยู่เสมอ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโจรสลัดราแจะอารูและ
อุยงคตนะ ได้เข้าปล้นสดมภ์โจมตีเผา
ทำลายเมืองอยู่เนือง ๆ
ประวัติเมืองภูเก็ต
ภูเก็ต เป็นจังหวัดหนึ่งทาง ภาคใต้
ของ ประเทศไทย และเป็นเกาะขนาดใหญ่
ที่สุดใน ประเทศไทย อยู่ใน ทะเลอันดามัน
จังหวัดที่ใกล้เคียงทางทิศเหนือ คือ
จังหวัดพังงา ทางทิศตะวันออก คือ
จังหวัดพังงาและ จังหวัดกระบี่ ทั้งเกาะ
ล้อมรอบด้วย มหาสมุทรอินเดีย และยังมี
เกาะที่อยู่ในอาณาเขตของจังหวัดภูเก็ต
ทางทิศใต้และตะวันออก การเดินทางเข้าสู่
ภูเก็ตนอกจากทางเรือแล้ว สามารถเดิน
ทางโดยรถยนต์ซึ่งมีเพียงเส้นทางเดียว
ผ่านทางจังหวัดพังงา
โดยข้ามสะพานสารสินและสะพานคู่
ขนาน คือ สะพานท้าวเทพกระษัตรีและ
สะพานท้าวศรีสุนทร เพื่อเข้าสู่ตัวจังหวัด
และทางอากาศโดยมีท่าอากาศยาน
นานาชาติภูเก็ตรองรับ ท่าอากาศยานนี้ตั้ง
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ
คำว่า ภูเก็ต คาดว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำ
ว่า บูกิต (ในภาษามลายูแปลว่าภูเขา) และ
คำว่า "ภูเขา" ในภาษาอุรักลาโว้ย เรียกว่า
"บูเก๊ะ" หรือที่เคยรู้จักแต่โบราณในนาม
เมืองถลาง
จากประวัติศาสตร์ไทย ภูเก็ตเป็นส่วน เดิมคำว่าภูเก็ตนั้นสะกดว่า ภูเก็จ
ซึ่งแปลได้ว่า เมืองแก้ว จึงใช้ตราเป็นรูป
หนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ อาณาจักร ภูเขา (ภู) มีประกายแก้ว (เก็จ) เปล่งออก
เป็นรัศมี (ดูตราที่ผ้าผูกคอลูกเสือ) ตรง
ศรีวิชัย สืบต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักร กับความหมายเดิมซึ่งชาวทมิฬเรียก มณิค
รัม ตามหลักฐาน พ.ศ. 1568 ภูเก็ตเป็นที่
นครศรีธรรมราชเรียกเกาะภูเก็ตว่า เมือง รู้จักของนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางระหว่าง
จีนกับอินเดีย โดยผ่านแหลมมลายู หลัก
ตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมือง ฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ หนังสือภูมิศาสตร์
และแผนที่เดินเรือของคลอดิอุส ปโตเลมี
นักษัตร โดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัย เมื่อประมาณ พ.ศ. 700 กล่าวถึงการเดิน
ทางจากแหลมสุวรรณภูมิลงมาจนถึง
สุโขทัย เมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า แหลมมลายู ซึ่งต้องผ่านแหลม จังซีลอน
หรือเกาะภูเก็ต (เกาะถลาง) นั่นเอง
ในสมัยอยุธยา ชาวฮอลันดา ชาวโปรตุเกส
และชาวฝรั่งเศส ได้สร้างสถานที่เก็บสินค้า
เพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ต (ถลาง)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น
พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของประเทศพม่าใน
สมัยนั้น ได้ให้แม่ทัพยกทัพมาตีหัวเมือง
ปักษ์ใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช และให้
ยี่หวุ่นนำกำลังทัพเรือพล 3,000 คนเข้าตี
เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมือง
ถลาง ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองถลาง (พญา
พิมลอัยาขัน) เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม
ท่านผู้หญิงจัน ภรรยา และคุณมุก น้องสาว
จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อ
วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และ
คุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
ประวัติเมืองระนอง
ระนอง เป็นจังหวัดชายฝั่ งทะเลตะวัน
ตกของภาคใต้ มีพื้นที่ประมาณ 2,141,250
ไร่ มีพื้นที่ติดต่อทางตะวันออกติดต่อกับ
จังหวัดชุมพร ทางใต้ติดกับจังหวัด
สุราษฎร์ธานีและจังหวัดพังงา ทางตะวัน
ตกติดกับประเทศพม่าและทะเลอันดามัน มี
ลักษณะพื้นที่เรียวและแคบ มีความยาวถึง
169 กิโลเมตร และมีความแคบในบริเวณ
อำเภอกระบุรี เพียง 9 กิโลเมตร
ระนองเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีประวัติความ
เมืองระนองเคยเป็นชุมชนโบราณที่มี เป็นมายาวนานนับตั้งแต่ครั้งกรุง
การติดต่อค้าขายกับ อินเดีย และ จีน เป็น
เส้นทางที่เดินลัดเทือกเขาตะนาวศรีจาก ศรีอยุธยาเรืองอำนาจ เดิมเป็นหัวเมือง
ต้นน้ำกระบุรีคือที่ปากจั่นไปยังต้น แม่น้ำ
ชุมพร เป็นชุมชนโบราณอันดับสองรองจาก ขนาดเล็กขึ้นกับเมืองชุมพร คำว่าระนอง
ชุมชนภูเขาทอง กำพวน กิ่งอำเภอสุขสำราญ
ปรากฏคำว่า กระบุรี จารึกอยู่ที่ฐาน เพี้ยนมาจากคำว่า แร่นอง เนื่องจากใน
พระพุทธรูปโบราณที่อำเภอไชยา และปรากฏ
หลักฐานบันทึกของจีนเรียกกระบุรี (อำเภอ พื้นที่จังหวัดมีแร่อยู่มากมาย
กระบุรีในปัจจุบัน) ว่าเกียโลหิ และครหิ (Ki -
Lo - Hi - Karahi) จากหนังสือการค้าเมือง
นานไฮ ระบุว่า เกียโลหิ, ครหิ หรือกระบุรี เคย
ส่งทูตไปติดต่อค้าขายที่เมืองจีน เมื่อ พ.ศ.
1151 ในรัชสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
กับ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ.
1991–2072 เมืองระนองมีลักษณะเป็นหัวเมือง
ขนาดเล็ก ขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร ซึ่งเป็นหัว
เมืองชั้นตรี นอกจากเมืองระนองแล้วยังมี
เมืองตระ (อำเภอกระบุรี)
เมืองระนองมีชื่อปรากฏอยู่ใน
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช และ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัย ว่าเป็นเมืองที่ พม่า ยกทัพ
ผ่านเข้ามาเพื่อไปตีเมืองชุมพร เมือง
ระนองมีพลเมืองอยู่น้อย มีราษฎรจาก
เมืองชุมพรและเมืองหลังสวน อพยพเข้า
มาขุดแร่ดีบุกไปขายมาแต่โบราณ ทาง
ราชการได้ผ่อนผันให้ราษฎรส่งส่วยดีบุก
แทนการรับราชการ โดยให้มีเจ้าอากรภาษี
รับผูกขาดอากรดีบุก มีอำนาจที่จะซื้อและ
เก็บส่วยดีบุกแก่ทางราชการ ผู้รวบรวม
และจัดส่งส่วยอากรแร่ดีบุกให้ทางราชการ
นั้น ราษฎรชาวเมืองได้ยกย่องให้ นายนอง
ซึ่งเป็นผู้นำที่ดีและเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน นาย
นองมีความดีความชอบในภาระหน้าที่ดัง
กล่าว จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ในปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2387 มีคนจีน
เป็น หลวงระนอง เจ้าเมืองคนแรก ชื่อ คอซูเจียง ซึ่งต่อมาได้เป็น พระยารัตน
เศรษฐี (คอซูเจียง ณ ระนอง) ได้เดิน
ทางมาตั้งภูมิลำเนาอยูที่เมืองตะกั่วป่า ได้
ยื่นเรื่องขอประมูลอากรดีบุกแขวงเมือง
ตระและระนองได้ ต่อมา พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้
เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง ในเวลา
ต่อมาโปรดเกล้า ฯ ให้ยกเมืองระนองและ
เมืองตระ ขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อ
กรุงเทพและเลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตน
เศรษฐี ขึ้นเป็น พระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่า
ราชการเมืองระนอง เมื่อ พ.ศ. 2405
สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว เมืองระนองได้โอนมาขึ้นกับ มณฑล
ภูเก็ต
ประวัติเมืองสตูล
สตูล เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตอนใต้ของ
ประเทศไทย (ทางชายฝั่ ง ทะเลอันดามัน ) คำ
ว่า สตูล มาจากคำ ภาษามลายูเกอดะฮ์ ว่า
สะตุล แปลว่า " กระท้อน " ซึ่งเป็นผลไม้ชนิด
หนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่นี้ โดยชื่อเมือง
นครีสโตยมำบังสาครา ( มลายู : Negeri
Setul Mambang Segara ; Jawi นั้น
หมายความว่า "สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเท
วา" ดังนั้น ตราพระสมุทรเทวาจึงกลายเป็น
ตราหรือสัญลักษณ์ของจังหวัดมาตราบเท่า
ทุกวันนี้
ในยุค รัตนโกสินทร์ ตอนต้น สตูลเป็นเพียง
ตำบลหนึ่งในเขต เมืองไทรบุรี เรียกว่า มู
เก็มสะตุล ประวัติความเป็นมาของเมือง
สตูลจึงเกี่ยวข้องกับไทรบุรี ดังปรากฏใน
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัช
สมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย ว่า "ตามเนื้อความที่ปรากฏดัง
กล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวก
เมืองไทรเห็นจะแยกกันเป็นสองพวกคือ
พวกเจ้าพระยาไทรปะแงรันพวกหนึ่ง และ
พระยาอภัยนุราชคงจะนบน้อมฝากตัวกับ
เมือง นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อ
พระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการ
เมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับ
นครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทร
แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมือง
สตูลได้สองปีก็ถึงแก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้
ว่าราชการเมืองสตูลต่อมาในชั้นนั้นหาพบ
จดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตาม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อ
พระวงศ์ของพระอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะ
ได้ว่าราชการเมืองสตูล และฟังบังคับ
บัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราช
อย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่า
นั้น"
เรื่องเกี่ยวกับเมืองสตูลนั้นยังปรากฏ
ในหนังสือ พงศาวดารเมืองสงขลา แต่
ข้อความที่ปรากฏบางตอนเกี่ยวกับชื่อผู้ว่า
ราชการเมืองสตูล ไม่ตรงกับในพระราช
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตูลในการจัดรูป
แบบการปกครองเมืองตามระบอบ มณฑล
เทศาภิบาล กล่าวไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2440
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยา
ไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุล
ฮามิต) เป็นข้าราชการเทศาภิบาล มณฑล
ไทรบุรี โดยเมืองสตูลได้แยกออกจาก
ไทรบุรีอย่างเด็ดขาดตามหนังสือสัญญา
ไทยกับอังกฤษ เรื่องการปักปันดินแดนนะ
หว่างไทยกับสหพันธรัฐมลายู ซึ่งลงนาม
กันที่ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 10
มีนาคม ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2452) จาก
หนังสือสัญญานี้ยังส่งผลให้เมืองไทรบุรี
และ เมืองปะลิส ตกเป็นของอังกฤษ ส่วน
เมืองสตูลยังคงเป็นของไทยมาจนถึง
ปัจจุบัน
ประวัติเมืองสงขลา
สงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งใน ภาคใต้
ตอนล่าง มี ประชากร มากเป็นอันดับ 2
ของ ภาคใต้ (รองจาก นครศรีธรรมราช )
และมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาค
ใต้ (รองจาก สุราษฎร์ธานี และ
นครศรีธรรมราช) มีจังหวัดที่อยู่ติดกัน
ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี
ยะลา สตูล และยังมีอาณาเขตติดต่อกับ
รัฐไทรบุรี และ รัฐปะลิส ของ ประเทศ
มาเลเซีย
ชื่อเมืองสงขลาได้ปรากฏชื่อใน
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในสมัย สมเด็จ
พระรามาธิบดีที่ 1 แห่ง กรุงศรีอยุธยา เมื่อ
พ.ศ. 1893 ว่าเป็นเมืองประเทศราชใน
จำนวน 16 หัวเมือง และในเอกสารที่บันทึก
โดยคนไทยอีกหลายฉบับที่ศึกษาเกี่ยวกับ
เรื่องเมืองสงขลาได้บันทึกประวัติของชื่อ
เมืองสงขลาว่า มาจากบันทึกของพ่อค้า
และนักเดินเรือชาวอาหรับเปอร์เซีย
ระหว่างปี พ.ศ. 1993-2093 ในนามของ
เมือง " ซิงกูร์ " หรือ " ซิงกอรา " แต่ใน
หนังสือประวัติศาสตร์เและการเมืองแห่ง
ราชอาณาจักรสยามของนายนิโกลาส
แซร์แวส เรียกชื่อเมืองสงขลาว่า " เมือง
สิงขร " โดยได้สันนิษฐานว่าคำว่าสงขลา
ในปัจจุบันน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า " สิงห
ลา " หรือ " สิงขร "
แปลว่าเมืองสิงห์ เนื่องมาจากการที่ นอกเหนือจากนี้ เอกสารชิ้นนี้ยัง
พ่อค้าชาวเปอร์เซียอินเดีย ตามที่ได้กล่าว
มาข้างต้น ได้แล่นเรือผ่านมาค้าขายและ
แลเห็น เกาะหนู-เกาะแมว ซึ่งเมื่อมองจาก
ทะเลเข้าหาฝั่ งในระยะไกล ๆ จะเห็นปรากฏ
เป็นภาพคล้ายสิงห์สองตัวหมอบเฝ้าปาก
ทางเข้าเมืองสงขลา ชาวอินเดีย จึงเรียก
เมืองสงขลาในสมัยนั้นว่า " เมืองสิงหลา "
ส่วนคนไทยเรียกว่า " เมืองสทิง " เมื่อแขก
มลายู เข้ามาค้าขายกับเมืองสิงหลา ก็จะ
ออกเสียงเพี้ยนเป็น "เซ็งคอรา" เมื่อฝรั่ง
เข้ามาค้าขายก็เรียกตามมลายูแต่เสียง
เพี้ยนเป็นสำเนียงฝรั่งคือ "ซิงกอรา"
(Singora) จากนั้นคนไทยพื้นถิ่นเองก็ได้
เรียกตามเสียงมลายูและฝรั่งเพี้ยนเป็นคำ
ว่า "สงขลา" ดังปัจจุบัน
อธิบายต่อถึงความเป็นไปได้อีกสาเหตุหนึ่ง
ว่า คำว่าสงขลาน่าจะเป็นการเรียกเพี้ยน
มาจากคำว่า "สิงขร" ที่แปลว่าภูเขา
เนื่องจากเมืองสงขลาในยุคดั้งเดิมตั้งอยู่
เชิงเขา และเจ้าเมืองคนแรกยังได้รับ
พระราชทานนามว่า "วิเชียรคีรี" ซึ่ง
สอดคล้องกับเมืองที่อยู่แถบภูเขา
สอดคล้องกับสุภาวดี เชื้อพราหมณ์ ที่ได้
บันทึกว่าสงขลาเพี้ยนมาจาก ภาษา
สันสกฤต หรือ ภาษาบาลี เนื่องจากชาว
อินเดียล่องเรืออ้อมแหลมมลายูมาสู่ฝั่ ง
ตะวันออก เมื่อมองจากทะเลเข้าสู่ฝั่ ง
สงขลาแลเห็นภูเขาเป็นปราการธรรมชาติ
จึงเรียกว่า สิงขระ หรือ สิงขร ซึ่งคำไทย
สิงขร หมายถึง ภูเขา ต่อมาชาวตะวันตก
จึงเรียกตาม และเพี้ยนเป็นคำว่า ซิงโกรา
หรือ ซิงกอรา เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมา
ข้างต้น
ประวัติเมืองสุราษฎร์ธานี
สุราษฎร์ธานี มักจะเรียกกันด้วยชื่อ
สั้น ๆ ว่า สุราษฎร์ฯ ใช้อักษรย่อ สฎ เป็น
จังหวัดใน ภาคใต้ตอนบน มีพื้นที่ขนาด
ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นอันดับ 6 ของ
ประเทศไทย และมีประชากรหนาแน่น
อันดับ 59 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดหนึ่ง
ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้ง
ประวัติศาสตร์และโบราณคดีเก่าแก่ และ
ยังมีแหล่งท่องเที่ยวและ อุทยานแห่งชาติ
หลายแห่ง มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่
ชุมพร นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา
และ ระนอง
จังหวัดสุราษฎร์ธานีตั้งอยู่ในฝั่ งตะวัน
ออกของภาคใต้ โดยมีสภาพภูมิประเทศที่
หลากหลายทั้งที่ราบสูง ภูมิประเทศแบบ
ภูเขา รวมทั้งที่ราบชายฝั่ ง มีพื้นที่
ครอบคลุมถึงในบริเวณอ่าวไทย ทั้งบริเวณ
ที่เป็นทะเลและเป็นเกาะ เกาะในพื้นที่จังหวัด
สุราษฎร์ธานีมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
มากถึง 98 เกาะ นับว่ามากที่สุดเป็นอันดับ
3 ของประเทศ รองมาจาก จังหวัดพังงา ที่
มี 155 เกาะ และ จังหวัดภูเก็ต ที่มี 154 เกาะ
เกาะขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักเช่น เกาะสมุย
เกาะพะงัน เกาะเต่า และ หมู่เกาะ
อ่างทอง
เนื่องจากทำเลที่ตั้งจึงได้รับอิทธิพล
จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเกิดบริเวณ
ทะเลอันดามันบ้างเป็นครั้งคราวเนื่องจาก
จะมีแนว เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขา
ภูเก็ต และ เทือกเขานครศรีธรรมราช
แถบบริเวณ จังหวัดระนอง จังหวัด
ชุมพร จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต และ
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นแนวช่วยลด
อิทธิพลของลมมรสุมดังกล่าว ในทางกลับ
กันพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีจะได้รับ
อิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็น
ส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือปกติ
จะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลจีนใต้และอ่าว
ไทย ทำให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีช่วงฤดูฝน
กินระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึง
เดือนมกราคม
ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
โดยประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรเป็น
หลัก โดยใช้พิ้นที่ในการทำการเกษตร
ประมาณร้อยละ 45 ของพื้นที่ทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังประกอบอาชีพทางด้าน
ปศุสัตว์ ประมง อุตสาหกรรม รวมทั้งมีการ
ทำเหมืองแร่ด้วย
ประวัติเมืองยะลา
จังหวัดยะลา เป็น จังหวัด หนึ่งตั้งอยู่
ใน ภาคใต้ ของ ประเทศไทย มีพื้นที่
4,521.078 ตารางกิโลเมตร มีประชากร
538,598 คน อาณาเขตทางใต้ติดกับ
ประเทศมาเลเซีย เป็นจังหวัดเดียวในภาค
ใต้ที่ไม่ติดทะเล และเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุด
ของประเทศไทย ดังปรากฏในคำขวัญ
ประจำจังหวัดคือ "ใต้สุดสยาม เมืองงาม
ชายแดน"
จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการ
ประชากรส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาอิสลาม ปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง
และเป็นหนึ่งในสามจังหวัดที่ประชากรส่วน ยะลา และ อำเภอยะหา ต่อมา พ.ศ. 2475
ใหญ่ใช้ ภาษามลายูปัตตานี ในการสื่อสาร ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี
ประชากรส่วนใหญ่เป็น ชาวไทยเชื้อสาย พ.ศ. 2476 เมืองยะลาได้รับการ
มลายู รองลงมาคือ ชาวไทยเชื้อสายจีน เปลี่ยนแปลงฐานะเป็น จังหวัดยะลา ตามพ
และ ชาวไทยพุทธ อย่างไรก็ตามยะลาถือ ระราชบัญญัติราช อาณาจักรสยาม พ.ศ.
เป็นจังหวัดที่ดำรงความเป็นพหุวัฒนธรรม 2476 เรื่อง การจัดระเบียบราชการบริหาร
ได้อย่างชัดเจน เพราะมีความแตกต่างกัน ส่วนภูมิภาค ออกเป็น จังหวัด เป็นอำเภอ
ทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา และศาสนา แต่ชน และให้มีข้าหลวงประจำ จังหวัด และกรม
ทุกกลุ่มยังคงรักษาวิถีชีวิตและประเพณี การ จังหวัด เป็นผู้บริหารราชการ
ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
ยะลา เดิมเป็นท้องที่หนึ่งของเมือง
ปัตตานี ในสมัย พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มี
การปรับปรุงการปกครองใหม่เป็นการ
ปกครองแบบเทศาภิบาลและได้ออก
ประกาศข้อบังคับสำหรับปกครอง 7 หัว
เมือง รัตนโกสินทรศก 120 ซึ่งประกอบ
ด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง
สายบุรี ยะลา ระแงะ และ รามัน ใน
แต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองเป็น
อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ต่อมาในปี พ.ศ.
2447 ประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นดูแล
หัวเมืองทั้ง 7 แทนมณฑลนครศรีธรรมราช
และยุบเมืองเหลือ 4 เมือง ได้แก่ ปัตตานี
ยะลา สายบุรี และระแงะ
ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการ
ปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง
ยะลา และ อำเภอยะหา ต่อมา พ.ศ. 2475
ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี
พ.ศ. 2476 เมืองยะลาได้รับการ
เปลี่ยนแปลงฐานะเป็น จังหวัดยะลา ตามพ
ระราชบัญญัติราช อาณาจักรสยาม พ.ศ.
2476 เรื่อง การจัดระเบียบราชการบริหาร
ส่วนภูมิภาค ออกเป็น จังหวัด เป็นอำเภอ
และให้มีข้าหลวงประจำ จังหวัด และกรม
การ จังหวัด เป็นผู้บริหารราชการ
ที่ท่องเที่ยว
14 จังหวัดของภาคใต้
ที่เที่ยวเมืองนครสรีธรรมราช
-หมู่บ้านคีรีวง
ชุมชนต้นแบบในการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีวิถี
ชีวิตแบบชาวสวนอยู่กับธรรมชาติ และได้พัฒนา การบริการนักท่องเที่ยวขึ้นมาเป็นธุรกิจ
ใหม่ของชุมชน จุดเด่นของหมู่บ้านคีรีวง ก็คือ ทัศนียภาพแห่งธรรมชาติ เพราะคีรีวงตั้งอยู่
ท่ามกลางเทือกเขา ป่าไม้และสายน้ำกิจกรรมที่น่าสนใจ ในหมู่บ้านคีรีวง คือ การพักในที่พัก
แบบโฮมสเตย์ เพลินตาและเพลินอารมณ์กับทัศนียภาพแห่ง ธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลาง
เทือกเขา ป่าไม้ ปั่ นจักรยานชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถหาเช่าจักรยานได้ตามร้าน
เช่าจักรยานในจุดต่างๆ รอบหมู่บ้าน
เกาะนุ้ยนอก ขนอม
เกาะนุ้ยนอก เกาะเล็กกลางทะเลในอำเภอ
ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่มีสิ่งที่
มหัศจรรย์บนเกาะ ทำให้เกาะแห่งนี้กลาย
เป็นสถานที่ Unseen เนื่องจากบนเกาะนี้มี
บ่อน้ำจืดที่มีรูปร่างคล้ายกับรอยเท้า
สามารถมองเห็นได้ในตอนที่น้ำทะเลลดลง
ถ้าเป็นช่วงที่น้ำขึ้น บ่อน้ำนี้ก็จะถูกน้ำทะเล
ท่วมหมด
เชื่อกันว่าพื้นที่แห่งนี้คือบริเวณที่เกิด
ตำนาน “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
เกาะนุ้ยนอก มีทางบันไดเดินขึ้นไปก็สะดวก
เพื่อไปไหว้หลวงปู่ทวด ข้างบนมีจุดชมวิว
สามารถมองเห็นเกาะสลับซับซ้อน บริเวณ
รอบๆ หากไปช่วงที่น้ำลงสามารถเดินข้าม
ไปมาระหว่างเกาะได้อย่างสบาย บนเกาะยัง
มีห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย ถือเป็น
หนึ่งในทะเลนครศรีธรรมราชที่ห้ามพลาด
เลย
เขาขนาบน้ำ - ที่เที่ยวกระบี่
เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูกสูงประมาณ
100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัว
เมือง ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่
สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่
ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที
นอกจากนั่งเรือชมเขาและป่าชายเลนที่มี
ความสมบูรณ์แล้วยังสามารถเดินขึ้นไป
เที่ยวถ้ำได้ ภายในมีหินงอกหินย้อย
และมีหลักฐานการขุดพบโครงกระดูก
มนุษย์โบราณจำนวนมาก แต่ปัจจุบันไม่
หลงเหลืออยู่แล้ว สันนิษฐานว่าอาจเป็น
โครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งหลัก
แหล่งแต่ล้มตายลงเนื่องจากเกิดอุทกภัย
อย่างฉับพลัน นอกจากนี้เขาขนาบน้ำยัง
เคยใช้เป็นฐานที่ตั้งของทหารญี่ปุ่น สมัย
สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
วัดถ้ำเสือ
มาถึงจังหวัดกระบี่ทั้งที จะไม่แวะไปที่นี่
คงไม่ได้ สำหรับวัดถ้ำเสือ วัดบนเขาสุดอเม
ซิ่งของจังหวัดกระบี่ อยู่ห่างจากตัวเมือง
เพียง 9 กิโลเมตร เป็นวัดที่อยู่ทั้งบนพื้น
ราบและต้องขึ้นบันไดกว่า 1,237 ขั้น เพื่อไป
ยังจุดชมวิวบนเขาที่สามารถมองเห็น
ทัศนียภาพอันสวยงามของจังหวัดกระบี่มุม
สูงได้ทั้งเมือง
และบ่อยครั้งที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทะเล
หมอกปกคลุมจังหวัดกระบี่สวยไม่แพ้ภาค
เหนือปกคลุมอยู่บนยอดเขาต่างๆโดยรอบ
ใครอยากเผชิญความสูง พิชิตความกล้า
ท้าความพยายามของตัวเอง แถมยังได้
บุญและได้ชมวิวสวยๆไปในตัว บอกเลยว่า
ห้ามพลาดวัดถ้ำเสือเด็ดขาด
จุดชมวิวเขามัทรี-ชุมพร
จุดชมวิวเขามัทรี ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง
ชุมพร เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ ที่สามารถชม
วิวของชุมพร ได้แบบ 360 องศา มองเห็น
ชุมชนปากน้ำชุมพรและชายหาดของทะเล
ชุมพร โดยเฉพาะใน ยามเย็นช่วงเวลาที่
พระอาทิตย์งดงามมาก ด้านบนจุดชมวิว
เขามัทรี มีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปาง
มหาราชลีลาลักษณะคล้ายกับท่านั่งของ
องค์จตุคามรามเทพมองออก ไปที่
ชายทะเลชุมพรด้านขวาเป็นหาด
ภราดรภาพ มองจากบนเขาเห็นชุมชน
ปากน้ำชุมพรและชายหาดปากน้ำชุมพร
เป็นชุมชนขนาด ใหญ่เนื่องจากเป็นท่าเทียบ
เรือประมง บริเวณจุดชมวิวมีร้านกาแฟ
พร้อมระเบียงชมวิวให้ได้ชมทัศนียภาพอีก
ด้วย
เกาะรังกาจิว
เกาะรังกาจิว เป็นเกาะสัมปทานรังนกอยู่
ในเขตอำเภอเมือง มีขนาดปานกลาง เป็น
เกาะที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่ เคยเสด็จประภาสเพื่อทอด
พระเนตรการเก็บรังนกบนเกาะนี้ จำนวน 3
ครั้งและได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ
จปร. ของพระองค์ไว้บนผนังหินปากถ้ำ
ทางด้านใต้ ซึ่งยังคงปรากฏ เป็นหลักฐาน
จนถึงปัจจุบัน เกาะรังกาจิว มีชายหาด
สวยงาม หาดทรายชาว น้ำทะเลใสแจ๋ว
และมีแนวปะการังแบบชายฝั่ งสามารถดำ
น้ำตื้นชมปะการังได้
ล่องเรือเที่ยวชุมชน
บ้านน้ำราบ-ตรัง
เรียกได้ว่าที่นี่คืออันซีนจังหวัดตรังอย่าง
แท้จริง กับ “เขาจมป่า” จุดชมวิว 360
องศาที่ชุมชนบ้านน้ำราบ ต.บางสัก
อ.กันตัง จ.ตรัง ที่มาพร้อมกับวิวสุด
อลังการ สามารถมองเห็นวิวของผืนป่า
โกงกางที่อุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่สุดสายตา
พร้อมท้องทะเลเป็นฉากหลังและยัง
สามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามาของ
เกาะต่างๆ ที่อยู่ล้อมรอบราใช้บริการเรือ
นำเที่ยวของชุมชนบ้านน้ำราบ ค่าเหมาเรือ
หางยาวลำละ 1,500 บาท นั่งได้ทั้งหมด 10
คน นอกจากนี้ชุมชนบ้านน้ำราบยังมี
บริการท่องเที่ยวด้วยแพ ค่าเช่าเหมาอยู่ที่
ลำละ 2,000-3,000 บาท นั่งได้ตั้งแต่ 15-
40 คน หรือจะใช้บริการเที่ยวพร้อมอาหาร
สนนราคาคนละ 450-650 บาท โดยเรือจะ
พาเราล่องไปตามคลองตาเป๊ะ ลัดเลาะผืน
ป่าโกงกางเขียวขจีไปจนถึงเขาจมป่า จาก
นั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 300
เมตรเพื่อไปชมวิวที่ยอดเขาด้านบน ทาง
เดินไม่ชันมาก แต่มีบางจุดที่ต้องปีนบันได
หรือไต่เชือกไปตามแนวผา แนะนำว่าใครจะ
มาควรใส่ชุดทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับปีน
ป่ายกันด้วย
สถานีรถไฟกันตัง
ใครมาเที่ยวตรัง ต้องไม่พลาดแวะมาถ่าย
รูปกับแลนด์มาร์คสุดคลาสสิคอย่างสถานี
รถไฟกันตังกันสักครั้ง ที่นี่เป็นสถานีรถไฟ
เก่าแก่อายุกว่า 106 ปี ซึ่งได้รับประกาศขึ้น
ทะเบียนเป็นโบราณสถานของจังหวัดตรัง
โดยกรมศิลปากร และถูกปรับปรุงให้เป็น
แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดดเด่นด้วย
สถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 ตัวสถานี
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้ นหยาทาสีเหลือ
งมัสตาดตัดกับสีน้ำตาล มีลวดลายไม้ฉลุ
ประดับดูงดงามทรงคุณค่า และยังถือเป็น
สถานีปลายทางของทางรถไฟสายชุมทาง
ทุ่งสง–กันตัง สถานีสุดท้ายของทางรถไฟ
สายใต้ฝั่ งทะเลอันดามันอีกด้วยในบริเวณ
สถานียังมีร้านกาแฟน่ารักๆ ให้เรานั่งแวะ
พักจิบกาแฟชิลๆ กันด้วย ตัวร้านออกแบบ
ตกแต่งสไตล์วินเทจได้อย่างกลมกลืนกับ
ตัวสถานีรถไฟ แถมยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ
หน้าร้านที่ใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปเป็นที่
ระลึกนอกจากนี้ ยังมีหัวรถจักรรถไฟเก่าที่
อนุรักษ์ไว้และตู้โบกี้ที่ปรับเป็นห้องสมุด
รถไฟ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมและ
ถ่ายรูปได้ เรียกว่าเป็นที่เที่ยวห้ามพลาด
สำหรับคนรักรถไฟ ได้ทั้งเรียนรู้
ประวัติศาสตร์และถ่ายรูปสวยๆ กลับไปกัน
แน่นอน
อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว
เขาตันหยง-นราธิวาส
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติน่าเที่ยว
แห่งจังหวัดนราธิวาส เพลิดเพลินกับการ
เที่ยวชมระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั้ง
ชายทะเล เนินเขาสูง พื้นที่ป่าสงวน ป่าพรุ
และมีอาณาเขตพื้นที่ติดต่อกับพระตำหนัก
ทักษิณราชนิเวศน์ ทำให้สภาพธรรมชาติมี
ความสมบูรณ์หลากหลาย มีการพบต้น
มะนาวผี ที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมาก
รวมถึงสัตว์ป่าหายากหลากชนิด เหมาะ
อย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวสาย
ธรรมชาติ และรักธรรมชาติโดยแท้จริง
ผานับดาว
เต็มอิ่มกับธรรมชาติท่ามกลางหุบเขา
และป่าไม้เขียวชอุ่ม ถ้าวันนั้นโชคดี…คุณจะ
ได้เจอกับทะเลหมอกขาวโพลน ไหลอ้อยอิ่ง
ลอยคลุมทิวเขาสูง ลองสูดหายใจเข้าไปที
หนึ่ง จะรับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของอากาศ
เหล่านี้เป็นมนตร์เสน่ห์ตราตรึงประทับใจ
แก่สายตานักท่องเที่ยวมานักต่อนัก ยิ่ง
ห้วงยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน บอกเลย
ว่าเป็นโมเมนต์แห่งความสวยงามที่พลาด
ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
สกายวอล์ค-ปัตตานี
หนึ่งในจุดชมวิวสวยๆ ของ ปัตตานี ต้องยกให้ที่นี่เลยค่ะ สกายวอล์คปัตตานี ที่ตั้งอยู่ภาย
ใต้ สวมสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สร้างจากโครงเหล็ก
ขนาดใหญ่ สูงถึง 12 เมตร ทางเดินจะเป็นตาข่ายเหล็ก สามารถมองทะลุไปจนถึงพื้นดินได้
และมีจุดนั่งพักให้ชมวิวมากกว่า 5 จุด ด้วยกันค่ะ เห็นได้ทั้งวิวของ ปากอ่าวปัตตานี แหลม
ตาชี เขาทรายขาว และ ผืนป่าชายเลน ได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว
มัดยิสกลางจังหวัดปัตตานี
มัสยิดกลาง ที่ จังหวัดปัตตานี แห่งนี้ จะเรียกว่าเป็น ทัชมาฮาล เมืองไทย เลยก็ว่าได้ค่ะ
เพราะมีต้นแบบมาจาก ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ผสมกับวิหารแบบตะวันตก นั่นเองค่ะ
นอกจากจะเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญ
ที่สุดแห่งหนึ่งแล้ว ที่นี่ก็ยังสวยงดงามจนหาที่ติไม่ได้จริงๆ เพราะใครก็ตามที่ได้เห็นภาพ
สะท้อนแสงเงาของมัสยิดที่ตกลงบนสระน้ำด้านหน้าแล้วนั้น จะต้องคว้ามือถือหรือกล้องมา
ถ่ายภาพสวยๆ อย่างแน่นอน
คลองสังเน่ห์ ตะกั่วป่า
-พังงา
สำหรับ คลองสังเน่ห์ เปรียบเสมือนเป็น little amazon ในไทยเลยก็ว่าได้ ไฮไลท์ของที่นี่ คือ
การนั่งบนเรือพายเพื่อชมความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ตอนที่เราไปจะเห็นต้นไทร
โบราณอายุนับร้อยปี บางช่วงก็ห้อยเป็นระย้าเหมือนม่านไทร และยังเห็นสัตว์ต่างๆ มากมาย
เช่น ลิง งูปล้องทอง งูเขียวหางไหม้ นกพญาปากกว้างท้องแดง ไปจนถึงนกเงือกเลยที่เดียว
ในการนั่งเรือ ที่นี่จะมีพี่ๆ คอยแจวเรือให้ และคอยอธิบายว่าจุดไหนคืออะไร มองหาสัตว์
ต่างๆ ให้เราดู สนุกมากเลย ถ้าใครชอบการท่องเที่ยวแบบผจญภัยนิดๆ และชอบสัตว์ต่างๆ
แบบเรา ก็แนะนำว่าห้ามพลาดเลยค่ะ
เราเจอนกพญาปากกว้าง และนกเงือกด้วยล่ะ ^^ สำหรับนกพญาปากกว้างเป็นนกที่ทำให้เรา
ชอบถ่ายรูปนกเลย นอกจากนกแล้ว ก็ยังเจอลิง งูปล้องทอง และรังแตน อุดมสมบูรณ์สุดๆ
ปล.งูปล้องทองนี่เจอเกาะเหนือหัวเลยล่ะ ตอนมองหาก็หาไม่เจอ พอเงยหน้าขึ้นไปเท่านั้นแระ
อื้อหื้ออออ
สรุปคือ เราชอบที่นี่มากนะ ไม่มาแล้วเสียดายสุดๆ อย่าให้เป็นที่เที่ยวเฉพาะฝรั่งเลย คนไทย
มากันเยอะๆ น๊า
น้ำตกตำหนัง สายน้ำสวย
น้ำตกตำหนัง ตั้งอยู่ในเขตของ อุทยานแห่งชาติศรีพังงา อยู่รอยต่อระหว่างสองอำเภอ
คือ ตำบลคุระ ตำบลแม่นางขาว ตำบลบางวัน อำเภอคุระบุรี และ ตำบลบางนายสี อำเภอ
ตะกั่วปา จังหวัดพังงา นั่นเองค่ะ ซึ่งบริเวณน้ำตกแห่งนี้ จะมีบ่อปลาพลวงมากมายอยู่ทาง
ด้านหน้าทางเข้า จากนั้นให้เดินต่อเข้าไปประมาณ 500 เมตร ก็จะพบกับน้ำตกขนาดใหญ่ สูง
ถึง 60 เมตร มีสายน้ำสวยไหลมาจากหน้าผาหิน ก่อนจะลงสู่ด้านล่างที่เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่
นั่นเอง เหมาะมากๆ สำหรับใครที่จะมานั่งชิล ชมความงดงามของธรรมชาติและสายน้ำนี้ ที่
สำคัญสามารถลงเล่นเล่นน้ำได้ด้วยนะคะ และแน่นอนว่าเราจะได้ว่ายน้ำเล่นไปกับ ปลาพลวง
ที่มีเยอะแยะอยู่ในแอ่งน้ำนี้ด้วย เรียกได้ว่าใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆ อีกทั้งในบริเวณนี้ยังมี นก
หลายชนิดให้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น นกหัวขวานสีน้ำตาล นกปรอดเล็กตาขาว นกปรอดโอ่งท้อง
สีน้ำตาล อีก น้ำตกสวย ของ พังงา ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะทั้งน้ำใส ปลา
เยอะ ร่มรื่น และรายล้อมไปด้วยธรรมชาติสวยๆ นี้ ทั้งยังมีมุมสวยถ่ายรูปปัง ให้สายเที่ยว
เช็คอินกันอีกด้วย งานนี้ใครไม่เคยไป บอกเลยว่าต้องเสียใจแน่นอน ถ้าตรงมาจากตัว
จังหวัดพังงาเลย ก็ให้ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 4 ผ่าน อำเภอตะกั่วทุ่ง ท้ายเหมือง และ
ตะกั่วป่ามา พอมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 756 ก็ให้เลี้ยวขวาตรงเข้าไปยังที่ทำการอุทยานฯ ค่ะ ไป
อีกราวๆ 5 กิโลเมตร แล้วจากบริเวณที่ทำการฯ ก็ให้เดินต่อไปยังตัว น้ำตกตำหนัง ประมาณ
500 เมตรก็ถึงแล้ว
ล่องแก่งหนานมดแดง
-พัทลุง
ใครรู้ตัวว่าเป็นว่าเป็นสายแอดเวนเจอร์
จะพลาดเช็กอินที่นี่ไปไม่ได้เด็ดขาด นั่นคือ
กิจกรรมล่องแก่งหนานมดแดง กิจกรรมที่
นักท่องเที่ยวจะได้รับทั้งสุขและชื่นชม
ธรรมชาติไปพร้อมกัน ที่นี่สามารถล่องแก่ง
ได้ตลอดทั้งปี ความสนุกอยู่ที่นักท่องเที่ยว
พายเรือผจญแก่งได้ด้วยตัวเอง เพราะเป็น
แก่งที่ไม่อันตราย และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล
ความปลอดภัยอยู่ตลอด ๆ นักท่องเที่ยว
ที่มาเที่ยวส่วนใหญ่มักจองเป็นแพ็กเกจ
ทัวร์ ซึ่งเล่นได้ทั้งล่องแก่ง และไปเที่ยวยัง
สถานที่อื่น ๆ เช่น ถ้ำวังนายพุฒ มุดถ้ำชม
ป่าดงดิบวังนายพุฒ และชมน้ำตกหนาน
สวรรค์ เป็นต้น
อุทยานนกน้ำทะเลน้อย
กิจกรรมที่น่าสนใจ ในหมู่บ้านคีรีวง คือ ทะเลสาบน้ำจืด รายล้อมด้วยทัศนียภาพ
ธรรมชาติที่สวยงาม และยังได้เห็นความ
การพักในที่พักแบบโฮมสเตย์ เพลินตาและ สมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างที่คุณไม่เคย
เห็นจากที่ไหน นกหลายหลายสายพันธุ์ที่โผ
เพลินอารมณ์กับทัศนียภาพแห่ง ธรรมชาติ บินมาให้เราได้เชยชม เช่น นกอีโก้ง นกพริก
นกอีล้ำ และนกยางควาย เป็นต้น ปลา
ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ป่าไม้ ปั่ น หลากหลายสายพันธุ์ที่เข้ามาเวียนว่าย และ
ไฮไลต์เด็ดที่พลาดไม่ได้ นั่นคือ ดงบัวสาย
จักรยานชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์ ซึ่ง สีชมพูบานสะพรั่ง แต่แนะนำว่าใครจะ
เชยชมเห็นทีว่าต้องไปตั้งแต่ช่วงเช้า เพราะ
สามารถหาเช่าจักรยานได้ตามร้านเช่า ถ้าเวลาล่วงเลยเข้าช่วงสายดอกบัวก็จะ
เริ่มหุบ เดี๋ยวจะเป็นแม่สายบัวรอเก้อกัน
จักรยานในจุดต่างๆ รอบหมู่บ้าน ทั้งหมดเสียก่อน