The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมุดบันทึกการเรียนรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สมุดบันทึกการเรียนรู้

สมุดบันทึกการเรียนรู้

Keywords: สมุดบันทึกการเรียนรู้

สมุดบันทึก การเรียนรู้ อาจารย์ผู้สอน รศ.ดร. สำ ราญ กำ จัดภัย จัดทำ โดย นางสาววริษฐา จันทสงเคราะห์ รหัสนักศึกษา 63115239225 ชั้นปี 3 สาขาวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ รายวิชาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อ พัฒนาผู้เรียน


คำ นำ การจัดทำ สมุดบันทึกการเรียนรู้เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกความ รู้ที่ได้จากการเรียนรู้ โดยผู้จัดทำ ได้บันทึกความรู้ จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ใน แต่ละสัปดาห์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวิจัยนวัตกรรมการสอน ทั้งนี้ผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุดบันทึกเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมเป็นอย่างดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย วริษฐา จันทสงเคราะห์ ผู้จัดทำ


สารบัญ ประวัติส่วนตัว Topic 1 ความรู้เบื้องต้นของการวิจัย ใบความรู้ที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ ใบความรู้ที่ 2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย Topic 2 ตัวแปรและข้อมูล ใบความรู้ที่ 3 ตัวแปรและประเภทของตัวแปร ใบความรู้ที่ 4 ข้อมูลและประเภทของข้อมูล Topic 3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ใบความรู้ที่ 5 การจัดทำ โครงร่างวิจัย ใบความรู้ที่ 6 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง Topic 4 วรรณกรรมและเครื่องมือการวิจัย ใบความรู้ที่ 7 การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ใบความรู้ที่ 8 เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ใบความรู้ที่ 9 การตวจสอบตุฯภาพของเครื่องมือ


สารบัญ (ต่อ) Topic 5 สมมติฐานและการจัดทำ โครงวิจัย ใบความรู้ที่ 10 สมมติฐานการวิจัยนวัตกรรม การสอน Topic 6 การตวจสอบค่าที/รายงานวิจัย ใบความรู้ที่ 11 การตรวจสอบค่าที Topic 7 คุณภาพเคื่องมือวิจัย ใบความรู้ที่ 12 อบรม SPSS ใบความรู้ที่ 13 การวิเคราะห์ข้อสอบด้วย SPSS Topic 8 วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ใบความรู้ที่ 14 CAR ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์และรายวิชา ใบสัญญาการเรียน ผลการร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน


ประวัติส่วนตัว ชื่ิอ นางสาววริษฐา จันทสงเคราะห์ ชื่อเล่น เอิร์น รหัสนักคึกษา 63115239225 วัน/เดือน/ปีเกิด 25 กรกฎาคม 2544 ปัจจุบัน กำ ลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จังหวัดสกลนคร


การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง “การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรอันเนื่องมาจากการได้รับ ประสบการณ์” สัปดาห์ที่ 1 ปฐมนิเทศ & แนวคิดการเรียนรู้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ความหมายของการเรียนรู้ 2. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย 3. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย 4. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย สัญญาการเรียน ข้อตกลงร่วมกันระหว่างอาจารย์กับ นักศึกษาเพื่อให้ปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน ส่วนปก คำ นำ ประวัติส่วนตัว สรุปใบความรู้ แบบบันทึกการเรียนรู้ ส่งงานใน google classroom ติดต่ออาจารย์ผ่านไลน์กรุ๊ป เงื่อนไข งานในรายวิชา -แบบบันทึกการเรียนรู้ -นวัตกรรมที่สร้างขึ้น -รางานวิจัย


เป็นความสามารถทางสมองของ บุคคลในการประยุกต์ความรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย สิ่งเร้าทำ ให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตัวบุคคล ได้จำ แนกออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 6. การประเมินค่า 4. การวิเคราะห์ การวิเคราะห์ 5 มี 3 ลักษณะ . การสังเคราะห์ ใบความรู้ที่ 1 1. ความรู้ หรือความจำ สามารถบ่งบอกถึงเหตุการณ์ วัน เวลาได้ 2. ความเข้าใจ จำ แนกเป็น 3 ลักษณะ - การแปลความ - การตีความ - การขยายความ 3. การนำ ไปใช้ - การวิเคราะห์ส่วนประกอบ - การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ - การวิเคราะห์หลักการ ความสามารถในการสร้าง สูตรอาหารใหม่ ๆ ตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง โดยการพิจารณา อย่างรอบคอบ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความ รู้สึก ความเชื่อ เจตคติค่านิยม ซึ่งเป็นรากฐานที่ก่อเกิดบุคลิกภาพ หรือลักษณะนิสัยของบุคคล


ขั้นการเกิดทักษะปฏิบัติของ Simpson ซึ่งมี 7 ขั้น 2. การเตรียมความพร้อม การปฏิบัติขั้นแรกเริ่มที่แสดงออกใน ลักษณะการทำ เลียนแบบซ้า ๆ 2. ลงมือปฏิบัติและทำ ตามได้ แสดงออกโดยการทำ ตามแบบที่มีคำ สั่งชี้แจงที่จะพัฒนาทักษะ 3. ลดความผิดพลาดจนสามารถทำ ได้ถูกต้อง การปฏิบัติอย่างมีทักษะ โดยไม่มีจาก คำ แนะนำ หรือรูปแบบ 4. ปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง 3. การตอบสนองตามแนวชี้แนะ 4. การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างประสานสัมพันธ์กัน ขั้นการเกิดทักษะปฏิบัติของ Dave ซึ่งมี 5 ขั้น 1. รับรู้และเลียนแบบ มีประสาทสัมผัสคล่องแคล่ว 5. ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ คือทำ ได้อย่างเป็นอัตโนมัติ 1. การรับรู้ 5. การตอบสนองที่ซับซ้อน 6. การดัดแปลง 7. การริเริ่ม


พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย จำ แนกออกเป็น 6 ระดับ 1. ความรู้ ความจำ เช่น สามารถบ่งบอกถึงเหตุการณ์ วัน เวลา ได้อย่างถูกต้อง 2. ความเข้าใจ จำ แนกออกเป็น 3 ลักษณะ การแปลความ การตีความ การขยายความ 3. การนำ ไปใช้ สามารถประยุกต์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการได้ 4. การวิเคราะห์ สามารถแยกแยะเรื่องราวกระจายออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้อย่างชัดเจน 5. การสังเคราะห์ สามารถผสมผสานส่วนย่อยเข้าด้วนกันได้ 6. การประเมินค่า สามารถตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย สรุปองค์ความรู้ ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร อันเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์” จะเห็นว่าประกอบไปด้วยคำ สำ คัญ 4 คำ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลง 2) พฤติกรรม 3) ค่อนข้างถาวร และ 4) การได้รับประสบการณ์ พฤติกรรมการเรียนรู้ 3 ด้านใหญ่ ๆ ขั้นรับรู้ รับรู้สิ่งเร้า 2. ขั้นตอบสนอง ตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความเชื่อ เจตคติค่านิยม ลักษณะนิสัยของบุคคล ดังแสดงเป็นลำ ดับขั้นได้ 1. 3. ขั้นเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าต่อสิ่งเร้า 4. ขั้นจัดระบบค่านิยม คติหรือแนวคิดการ ปฏิบัติ 5. ขั้นสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม นิสัยถาวร ทำ แบบอัตโนมัติ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย รับรู้และเลียนแบบ 2. ลงมือปฏิบัติและทำ ตามได้ ลำ ดับขั้นการเกิดทักษะปฏิบัติของ Dave ซึ่งมี 5 1. 3. ลดความผิดพลาดจนสามารถทำ ได้อย่างถูกต้อง 4. ปฏิบัติได้อย่าชัดเจนและต่อเนื่อง 5. ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ


การค้นหาความจริง ในประเด็น ที่สนใจศึกษา โดยใช้วิธีการที่เป็น ระบบ มีความถูกต้องเชื่อถือได้ วิธีการค้นหาความจริง จำ แนกออก เป็น 3 ลักษณะ 1. วิธี “นิรนัย 2. วิธี “อุปนัย 3. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 1. ตระหนักถึงปัญหาที่ต้องการทำ วิจัย 2. กำ หนดขอบเขตของปัญหาให้ชัดเจน 3. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. ตั้งสมมุติฐานของการวิจัย 5. เขียนโครงร่างการวิจัย 6. สร้างหรือเลือกเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 7. ดำ เนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 8. ดำ เนินการจัดกระทำ ข้อมูล หรือวิเคราะห์ข้อมูล 9. สรุปผลการวิจัย และเขียนรายงานวิจัย 10. เผยแพร่ผลงานวิจัย ขอบข่ายเนื้อหา 1. ความหมายของการวิจัย 2. ความจริงกับการค้นหา 3. ขั้นตอนทั่วไปของการวิจัย 4. เป้าหมายของการวิจัย 5. จรรยาบรรณของนักวิจัย 6. การจัดประเภทของการวิจัย เป้าหมายเพื่อบรรยายหรือพรรณนา เป้าหมายเพื่ออธิบาย เป้าหมายเพื่อทำ นาย เป้าหมายเพื่อควบคุม เป้าหมายของการวิจัย สัปดาห์ที่ 2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงานวิจัย ความหมายของการวิจัย แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ (1) ความจริงนัยทั่วไป (2) ความจริงยืดหยุ่นตามบริบท ขั้นตอนทั่วไปของการวิจัย ความจริงกับการค้นหาความจริง


สำ หรับวิธีการค้นหาความจริง จำ แนกออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) วิธี นิรนัย เป็นการนำ ความรู้พื้นฐานอาจเป็นกฎ ข้อตกลง ความเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อน และยอมรับว่าเป็นความจริงเพื่อหาเหตุผลนำ ไปสู่ข้อสรุป (2) วิธี อุปนัย เป็นวิธีการค้นหาความจริงผ่านประสบการณ์โดยใช้การสังเกตด้วยประสาทสัมผัส ทั้งห้า หรือการทดลองหลายครั้ง แล้วนำ มาสรุปเป็นความรู้แบบทั่วไป (3) วิธีการทางวิทยาศาสตร์ นำ เอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการค้นหาความจริง ใบความรู้ที่ 2 ความหมายของการวิจัย เป็นการค้นหาความจริง ในประเด็นที่สนใจศึกษา โดยใช้วิธีการที่ เป็นระบบ คำ ตอบหรือความจริงที่ค้นพบ มีความถูกต้องเชื่อถือได้ ความจริงกับการค้นหาความจริง แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ (1) ความจริงนัยทั่วไป เป็นความจริงที่สามารถนำ ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง (2) ความจริงยืดหยุ่นตามบริบท เป็นความจริงที่ใช้ได้เฉพาะบริบทที่ศึกษา ไม่ยืนยันการนำ ไป ใช้ได้จริงในบริบทอื่น ๆ การจัดประเภทของการวิจัย 1. แบ่งตามลักษณะของข้อมูลและวิธีการได้มา แบ่งเป็น 2 ประเภท - การวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการวิจัยที่มุ่งค้นหาความจริงของปรากฏการณ์ในธรรมชาติ โดยเน้นศึกษาปรากฏการณ์ที่สามารถสัมผัส จับต้องได้ - การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์โดยอาศัยประสบการณ์และประสาท สัมผัสทั้งห้าเป็นพื้นฐาน แต่มีความ เชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคม (ของมนุษย์) 2. แบ่งตามประโยชน์การนำ ผลการวิจัยไปใช้ แบ่งเป็น 3 ประเภท - การวิจัยพื้นฐาน มุ่งแสวงหาความรู้ ความจริงที่เป็น กฎ สูตร ทฤษฎี - การวิจัยประยุกต์ มุ่งนำ ความรู้ที่ได้มารับใช้สนองตอบประโยชน์สุขของมวลมนุษย์ - การวิจัยปฏิบัติการ เป็นการวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กลุ่มหรือองค์กร ซึ่งผลของการวิจัย ใช้ได้ในขอบเขตของปัญหานั้น ๆ จะอ้างอิงไปใช้กลุ่มอื่นไม่ได้ 3. แบ่งตามความต้องการข้อสรุปเชิงเหตุและผลหรือไม่


1. แบ่งตามลักษณะของข้อมูลและวิธีการได้มา การวิจัยแบ่งตามลักษณะของข้อมูลและวิธีการได้มา มี 2 ประเภท ได้แก่ (1) การวิจัยเชิงปริมาณ มุ่งค้นหาความจริงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ มุ่งศึกษาปรากฏการณ์โดยอาศัยประสบการณ์และประสาทสัมผัส สรุปองค์ความรู้ ความหมายของการวิจัย การวิจัย (Research) เป็นการค้นหาความจริง ในประเด็นที่สนใจศึกษา โดยใช้วิธีการ ที่เป็นระบบ คำ ตอบหรือความจริงที่ค้นพบ มีความถูกต้องเชื่อถือได้ ความจริงกับการค้นหาความจริง (1) ความจริงนัยทั่วไป เป็นความจริงที่สามารถนำ ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง (2) ความจริงยืดหยุ่นตามบริบท เป็นความจริงที่ใช้ได้เฉพาะบริบทที่ศึกษา ไม่ยืนยัน การนำ ไปใช้ได้จริงในบริบทอื่น ๆ การจัดประเภทของการวิจัย 2. แบ่งตามประโยชน์การนำ ผลการวิจัยไปใช้ การวิจัยแบ่งตามประโยชน์การนำ ผลการวิจัยไปใช้ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ (1) การวิจัยพื้นฐาน หรือการวิจัยบริสุทธิ์ ศึกษาปรากฏการณืทางธรรมชาติ เน้นให้เกิดความรู้ (2) การวิจัยประยุกต์ ศึกษาปรากฏการณืในธรรมชาติ นำ ความรู้มาตอบสนองประโยชน์แก่มนุษย์ (3) การวิจัยปฏิบัติการ มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เฉพาะกลุ่ม อ้างอิงไปกลุ่มอื่นไม่ได้ 3. แบ่งตามความต้องการข้อสรุปเชิงเหตุและผลหรือไม่ (1) การวิจัยเชิงทดลอง ศึกษาข้อสรุปเชิงเหตุและผล (2) การวิจัยศึกษาย้อนหาสาเหตุ ศึกษาข้อสรุปเชิงเหตุและผล แต่ต่างกันตรงที่ผู้วิจัยไม่สามารถจัด กระทำ เพื่อให้เกิดเหตุได้ (3) การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงทำ นาย เป็นวิจัยที่ไม่ได้มุ่งศึกษาข้อสรุปเชิงเหตุและผล (4) การวิจัยเชิงสำ รวจ มุ่งบรรยายหรือพรรณนาสิ่งที่สนใจศึกษา


สัปดาห์ที่ 3 ตัวแปรและข้อมูล ความหมายของตัวแปร ประเภทของตัวแปร ความหมายของข้อมูล ประเภทของข้อมูล ขอบข่ายของเนื้อหา 1. 2. 3. 4.


ความหมายของตัวแปร คุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถ แปรเปลี่ยนค่าได้ตั้งแต่สองค่าขึ้นไป ใบความรู้ที่ 3 ตัวแปรและประเภทของตัวแปร ประเภทของตัวแปร สามารถแบ่งได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ใน การแบ่ง ตัวแปรเชิงปริมาณ ตัวแปรเชิงคุณภาพ 1. แบ่งตามลักษณะของข้อมูล แบ่งได้ 2 ประเภท ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม 2. แบ่งตามความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน นิยมแบ่งเป็น 2 ประเภท 3. แบ่งตามประเภทของการวิจัย วิจัยเชิงทดลอง แบ่งเป็น 5 ประเภท -ตัวแปรจัดกระทำ -ตัวแปรตาม -ตัวแปรแทรกซ้อน -ตัวแปรสอดแทรก -ตัวแปรกลาง


ใบความรู้ที่ 4 ความหมายของข้อมูล คือข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่ง ต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาจากการนับ การวัดด้วยแบบทดสอบหรือ แบบสอบถาม การสังเกต ฯลฯ ข้อมูลและประเภทของข้อมูล แบ่งประเภทของข้อมูล พิจารณาตามลักษณะต่าง ๆ ประเภทของข้อมูล แบ่งตามลักษณะข้อมูล แบ่งได้ 2 ประเภท -ข้อมูลเชิงปริมาณ -ข้อมูลเชิงคุณภาพ แบ่งตามแหล่งที่มาของข้อมูลหรือวิธีการ เก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งได้ 2 ประเภท -ข้อมูลปฐมภูมิ -ข้อมูลทุติยภูมิ แบ่งตามระดับของการวัด แบ่งเป็น 4 ประเภท -ข้อมูลระดับนามบัญญัติ -ข้อมูลระดับเรียงอันดับ -ข้อมูลระดับอัตราส่วน -ข้อมูลระดับอันตรภาค


สรุปองค์ความรู้ ความหมายของตัวแปร คุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถแปรเปลี่ยนค่าได้ตั้งแต่สองค่าขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่ ในรูปของปริมาณ หรือคุณภาพ เช่น ตัวแปร “เพศ” แปรค่าได้ 2 ค่า คือ ชาย และหญิง ประเภทของตัวแปร สามารถแบ่งได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ใน การแบ่ง 1. แบ่งตามลักษณะของข้อมูล แบ่งได้ 2 ประเภท คือ ตัวแปรเชิงปริมาณ คือตัวแปรที่มีการแปรค่าต่าง ๆ เป็นจำ นวนหรือตัวเลข โดยที่ตัวเลข เหล่านั้นสามารถนำ มา บวก ลบ คูณ หาร กันได้ ตัวแปรเชิงปริมาณยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ - ตัวแปรต่อเนื่อง มีจำ นวนมากมายอย่างไม่จำ กัด (นับไม่ถ้วน) - ตัวแปรไม่ต่อเนื่อง เป็นตัวแปรที่สามารถนับจำ นวนค่าที่แปรเปลี่ยนได้ครบถ้วนใน ช่วงพิสัยหนึ่ง ๆ ที่กำ หนดให้ ตัวแปรเชิงคุณภาพ คือตัวแปรที่มีการแปรค่าต่าง ๆ ได้ แต่ค่าเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในรูป จำ นวนหรือตัวเลข เช่น เพศ เชื้อชาติ ภูมิลำ เนา 2. แบ่งตามความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน นิยมแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นก่อน และถือว่าเป็นเหตุ หรือมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม ตัวแปรตาม เป็นตัวแปรที่เกิดจากผลอันเนื่องมาจากได้รับอิทธิพลจากตัวแปรอิสระ ความหมายของข้อมูล คือข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาจากการนับการวัดด้วย แบบทดสอบหรือแบบสอบถาม การสังเกต ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นตัวเลขหรือไม่ใช่ตัวเลข แบ่งประเภทของข้อมูล พิจารณาตามลักษณะต่าง ๆ ประเภทของข้อมูล แบ่งตามลักษณะข้อมูล แบ่งได้ 2 ประเภท -ข้อมูลเชิงปริมาณ -ข้อมูลเชิงคุณภาพ


สัปดาห์ที่ 4 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ขอบข่ายเนื้อหา 1. ประชากร 2. กลุ่มตัวอย่าง 3. การกำ หนดตัวอย่างและเลือก ตัวอย่าง 4. เทคนิคการเลือกตัวอย่าง


จัดกิจกรรมโดยใช้ นวัตกรรมที่สร้างขึ้น จัดกิจกรรมโดยใช้ นวัตกรรมที่สร้างขึ้น ใบความรู้ที่ 5 การจัดทำ โครงร่างการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม การเรียนการสอน ตั้งชื่อเรื่อง เลือกแบบแผนการเลือกใช้นวัตกรรม กำ หนดคำ ถามของการวิจัย การตรวจสอบประสิทธิภาพของวิจัย กำ หนดความมุ่งหมายของการวิจัย กำ หนดความสำ คัญของการวิจัย ตั้งสมมติฐานของการวิจัย แบบแผนการทดลองใช้นวัตกรรมที่นิยม กลุ่มเดียววัดก่อน - วัดหลัง (One group Pretest Posttest Design) วัดก่อนเรียน วัดหลังเรียน วัดก่อนเรียน วัดหลังเรียน วัดย่อยระหว่างการทดลอง


ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ใบความรู้ที่ 6 ประชากร ทั้งหมดของทุกหน่วยของสิ่งที่เราสนใจ ศึกษา ซึ่งหน่วยต่าง ๆ อาจเป็น บุคคล องค์กร สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ กลุ่มตัวอย่าง ส่วนหนึ่งของประชากรที่ถูก เลือกขึ้นมาด้วยเทคนิคการ เลือกกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม การกำ หนดขนาดและเลือกตัวอย่าง 1. เหตุผลของการเลือกตัวอย่าง 2. การกำ หนดขนาดตัวอย่าง 3. เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น - การเลือกโดยใช้การจับสลาก - การเลือกโดยใช้คอมพิวเตอร์ - การเลือกโดยใช้ตารางเลขสุ่ม การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มเป็นระบบ การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มแบบกลุ่ม การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิธีการเลือกตัวอย่างโดยไม่ใช้หลัก ความน่าจะเป็น - การเลือกตัวอย่างแบบตามสะดวก - การเลือกตัวอย่างแบบโควตา - การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง - การเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่


สรุปองค์ความรู้ ประชากร ทั้งหมดของทุกหน่วยของสิ่งที่เราสนใจศึกษา ซึ่งหน่วยต่าง ๆ อาจเป็น บุคคล องค์กร สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ กลุ่มตัวอย่าง ส่วนหนึ่งของประชากรที่ถูกเลือกขึ้นมาด้วยเทคนิคการ เลือกกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม การกำ หนดขนาดและเลือกตัวอย่าง 1. เหตุผลของการเลือกตัวอย่าง นิยมศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างแทนประชากร เพราะโดยปกติมักไม่สามารถเก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมดได้ 2. การกำ หนดขนาดตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำ คัญคือ “ประเภทของการวิจัย” โดยทั่วไปงานวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา 3. เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เป็นวิธีการที่จะทให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่ เป็นตัวแทนของประชากร ซึ่งการเลือกกลุ่มตัวอย่างถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งของการวิจัยที่มี ความสำ คัญอย่างมาก การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นการเลือกตัวอย่างจากหน่วยทุกหน่วยในประชากรด้วยเทคนิคการสุ่มตัวอย่างตาม ขนาดตัวอย่างที่กำ หนดไว้ โดยแต่ละหน่วยในประชากรสามารถค านวณหาโอกาสหรือ ความน่าจะเป็นที่จะถูกเลือกมาเป็นตัวแทนในกลุ่มตัวอย่างได้ วิธีการเลือกตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นวิธีการเลือกตัวอย่างที่ผู้วิจัยไม่ได้คำ นึงถึงความน่าจะเป็นของประชากรแต่ละหน่วย ที่จะได้รับการเลือก


สัปดาห์ที่ 5 ขอบเขตเนื้อหา 1. สมมติฐานทางการวิจัย 2. สมมติฐานทางสถิติ


ใบความรู้ สมมติฐานทางการวิจัย เป็นข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อแสดง คำ ตอบของปัญหาการวิจัยที่ผู้ วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมี เหตุผล มี 2 แบบ สมมติฐานทางการวิจัย และสมมติฐานทางสถิติ 1. แบบไม่มีทิศทาง 2. แบบมีทิศทาง สมมติฐานทางสถิติ เป็นสมมุติฐานที่ผู้วิจัยกำ หนด ขึ้นสำ หรับใช้เพื่อการทดสอบ ตามกระบวนการทางสถิติ - สมมุติฐานกลาง เขียนแทนด้วย Ho - สมมุติฐานทางเลือก เขียนแทนด้วย H1 การทดสอบสมมติฐาน จะต้องทำ การ ทดสอบสมมติฐานกลาง โดยมีทางเลือก ในการตัดสินใจ 2 ทาง คือ (1) ปฏิเสธ Ho แล้วไปยอมรับ H1 (2) ยอมรับ Ho สมมติฐานทางการวิจัย และสมมติฐานทางสถิติ


สรุปองค์ความรู้ สมมติฐานทางการวิจัย (Research hypothesis) เป็นข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงคำ ตอบของปัญหาการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วง หน้าอย่างมีเหตุผล ซึ่งในการเขียนสมมติฐานทางการวิจัยสามารถเขียนได้อย่างใด อย่างหนึ่งใน 2 แบบ คือ 1. แบบไม่มีทิศทาง เป็นการเขียนที่ไม่ได้ระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของ ตัวแปรหรือทิศทางของความแตกต่างเพียงแต่ระบุว่ามีความสัมพันธ์กันหรือแตกต่าง กันเท่านั้น 2. แบบมีทิศทาง เป็นการเขียนโดยระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรว่า สัมพันธ์ในทางใด (สัมพันธ์กันทางบวก หรือทางลบ) หรือถ้าเป็นการเปรียบเทียบก็ สามารถระบุถึงทิศทางของความแตกต่างได้ว่ามากกว่าหรือน้อยกว่า สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่ผู้วิจัยกำ หนดขึ้นสำ หรับใช้เพื่อการทดสอบตามกระบวนการทางสถิติ ซึ่งในการ กำ หนดนั้นจะต้องกำ หนดควบคู่กันทั้งสองประเภท คือ (1) สมมุติฐานกลาง (2) สมมุติฐานทางเลือก การทดสอบสมมติฐาน จะต้องทำ การทดสอบสมมติฐานกลาง โดยมีทางเลือกในการตัดสินใจ 2 ทาง คือ (1) ปฏิเสธ Ho แล้วไปยอมรับ H1 แทน ซึ่งกรณีนี้ต้องมีความผิดพลาด อันเนื่องมาจากปฏิเสธ Ho ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง Ho ถูกต้องอยู่แล้ว มักกeหนดระดับนัยสeคัญไว้ที่ .05 หรือ .01 (2) ยอมรับ Ho ซึ่งกรณีที่ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากปฏิเสธ Ho ทั้ง ๆ ที่ Ho ถูกต้องอยู่แล้ว มีค่ามากกว่าระดับนัยสำ คัญ


สัปดาห์ที่ 7 ขอบเขตเนิ้อหา 1.การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. ประเภทของการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3. ประโยชน์ของการศึกษาเอกสารและงาน วิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. หลักการนำ เสนอเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง


ใบความรู้ที่ 7 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาเอกสารทางวิชาการ และงานวิจัยของนักวิจัยคนอื่น ๆ ที่จัดทำ ขึ้น ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประเภทของการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.หนังสือ 2. รายงานการวิจัย 3. บทคัดย่องานวิจัย 4. บทความทางวิชาการ 5. สารานุกรม 6. รายงานประจำ ปีของหน่วยงานต่าง ๆ 7. การสืบค้นจากฐานข้อมูล/อินเตอร์เน็ต 8. คู่มือ 9. อื่น ๆ ประโยชน์ของการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - ทำ ให้ผู้วิจัยได้ทราบข้อเท็จจริง - ทำ ให้สามารถนิยามปัญหาที่ตน จะทำ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น หลักการนำ เสนอเอกสารและงาน วิจัยที่เกี่ยวข้อง - นำ เสนอสาระที่สอดคล้องกับชื่อ เรื่อง และความมุ่งหมายของการวิจัย - จัดลำ ดับหัวข้อให้เข้าใจง่าย หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ตัวอย่างการเขียนอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - เอกสารประกอบรายงานวิจัย - งานวิจัยในประเทศ - งานวิจัยต่างประเทศ


สรุปองค์ความรู้ การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาเอกสารทางวิชาการ และงานวิจัยของนักวิจัยคนอื่น ๆ ที่จัดทำ ขึ้น ทั้งในอดีต และปัจจุบันที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับชื่อเรื่องตัวแปรที่สนใจศึกษาแนวคิด/ทฤษฎี ต่าง ๆ ที่นำ ใช้ในงานวิจัย สารสนเทศที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว จะเป็นแนวทางใน การกำ หนดแผนของการวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำ ต่อไป ประเภทของการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.หนังสือ หรือตำ รา 2. รายงานการวิจัย /วิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ 3. บทคัดย่องานวิจัย/วิทยานิพนธ์ 4. บทความทางวิชาการ/บทความวิจัย จากวารสารต่าง ๆ 5. สารานุกรม/พจนานุกรม/อื่น ๆ 6. รายงานประจำ ปีของหน่วยงานต่าง ๆ 7. การสืบค้นจากฐานข้อมูล/อินเตอร์เน็ต 8. คู่มือ 9. อื่น ๆ ประโยชน์ของการศึกษาเอกสารและงาน วิจัยที่เกี่ยวข้อง - ทำ ให้ผู้วิจัยได้ทราบข้อเท็จจริง - ทำ ให้สามารถนิยามปัญหาที่ตนจะทำ ได้ อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น - ทำ ให้สามารถเลือกใช้ตัวแปรในการวิจัย ได้เหมาะสม - ทำ ให้เกิดความคิดตลอดจนหาทาง ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้อย่างรัดกุม หลักการนำ เสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - นำ เสนอสาระที่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง และความ มุ่งหมายของการวิจัย - จัดลำ ดับหัวข้อให้เข้าใจง่าย หัวข้อหลัก - ย่อย - เขียนเชื่อมโยงเนื้อหาต่าง ๆ ให้สละสลวย - มีการสรุปประเด็นสำ คัญ และการวิเคราะห์เพิ่ม เติมในแต่ละหัวข้อ - ใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้องและสื่อความได้ชัดเจน ตัวอย่างการเขียนอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - เอกสารประกอบรายงานวิจัย - งานวิจัยในประเทศ - งานวิจัยต่างประเทศ


การประเมินจาก การปฏิบัติ 1. ลักษณะของการ ประเมินการปฏิบัติ 2. กระบวนการ ประเมินการปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 2. ประเภทของ แบบทดสอบ ใบความรู้ที่ 8 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การสังเกต 1. ลักษณะของการสังเกต 2. ลักษณะข้อมูลที่เหมาะ กับการใช้การสังเกต 4. หลักการสังเกต 3. ประเภทของการสังเกต 5. ลักษณะของผู้ สังเกตที่ดี การสัมภาษณ์ 1. ลักษณะของการสัมภาษณ์ 2. ลักษณะข้อมูลที่เหมาะ กับการใช้การสัมภาษณ์ 3. ประเภทของการสัมภาษณ์ 4. หลักของการสัมภาษณ์ แบบสอบถาม 1. ลักษณะของ แบบสอบถาม 3. รูปแบบของ แบบสอบถาม 2. ลักษณะข้อมูลที่เหมาะ กับการใช้แบบสอบถาม 3. เครื่องมือการให้ คะแนนการปฏิบัติ แบบทดสอบ 1. ลักษณะของ แบบทดสอบ


สรุปองค์ความรู้ การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยจำ เป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสมเชื่อถือได้ การสังเกตโดยตรง แบ่งย่อย 2 ประเภท การสังเกตโดยอ้อม ผู้สังเกตไม่ได้เห็นเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง การสังเกต 1. ลักษณะของการสังเกต วัดโดยใช้ประสาทสัมผัสทางการได้เห็น และได้ยินเป็นสำ คัญ 2. ลักษณะข้อมูลที่เหมาะกับการใช้การสังเกต สังเกตเป็นข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ และส่วนใหญ่มักเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (ผู้สังเกตมักเขียนบันทึกในเชิงบรรยายเป็นข้อความ) 3. ประเภทของการสังเกต แบ่งเป็น 2 ประเภท - การสังเกตแบบมีส่วนร่วม สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม - การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น ๆ 4. หลักการสังเกต - มีจุดมุ่งหมายของการสังเกตที่แน่นอนชัดเจน - นิยามสิ่งที่ต้องการสังเกตให้ชัดเจน - กำ หนดวัน เวลา สถานที่ - ต้องสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ ละเอียดถี่ถ้วน - บันทึกสิ่งที่สังเกตได้ทันทีที่เสร็จสิ้นการสังเกตอย่างตรงไปตรงมา - ข้อมูลที่สังเกตได้ต้องตรวจสอบจนมั่นใจว่าถูกต้อง 5. ลักษณะของผู้สังเกตที่ดี มีใจไม่ลำ เอียง, มีความตั้งใจ, มีระบบประสาทสัมผัสทาง การได้เห็นและได้ยินอยู่ในสภาพปกติ, มีความไวต่อการรับรู้ การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายระหว่างผู้สัมภาษณ์ (ผู้เก็บรวบรวมข้อมูล) กับผู้ถูกสัมภาษณ์ (ผู้ให้ข้อมูล) แบบสอบถาม มีหลายชนิดแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบสอบถามชนิดใดจะมีโครงสร้างหรือส่วน ประกอบที่สำ คัญ 3 ส่วน คือ (1) คำ ชี้แจงในการตอบแบบสอบถาม (2) สถานภาพทั่วไปที่ เป็นรายละเอียดส่วนตัวของผู้ตอบ และ (3) ข้อคำ ถามเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือสิ่งที่ต้องการวัด แบบทดสอบ มีหลายประเภท ซึ่งโดยทั่วไปในการวิจัยทางการศึกษา โดยเฉพาะทาง หลักสูตรและการสอน นิยมแบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดพฤติกรรมด้านสติปัญญา


สัปดาห์ที่ 9 เพิ่มหัวเรื่องย่อย 1. ความเป็นปรนัย 2. ความเที่ยงตรง 3. อำ นาจจำ แนก 4. ความยาก 5. ความเชื่อมั่น


ความเป็นปรนัย ก่อนที่จะ ทำ การตรวจสอบคุณภาพด้าน อื่น ๆ จำ เป็นต้องตรวจสอบ คุณภาพด้านความเป็นปรนัย ความยาก จะใช้เฉพาะกรณี เครื่องมือวิจัยเป็นประเภทแบบ ทดสอบ ที่วัดด้านพุทธิพิสัยหรือ สติปัญญา อำ นาจจำ แนก นิยมใช้กับ เครื่องมือประเภทแบบทดสอบ และแบบสอบถาม ซึ่งข้อมูลที่ รวบรวมได้มักอยู่ในรูปข้อมูล เชิงปริมาณ วิธีตรวจสอบคุณภาพ เครื่องมือวิจัยและสถิติที่ใช้ ใบความรู้ที่ 9 ความเที่ยงตรง ถือว่ามีความสำ คัญอย่าง มากที่ผู้วิจัยจำ เป็นต้องนำ มาเป็น ประเด็นในการพิจารณาคุณภาพของ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล การหาดัชนีความยากรายข้อ ระดับความยากรายข้อ ความเชื่อมั่น สามารถวัดเรื่องราว ของแบบทดสอบอิงกลุ่ม หรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้คง เส้นคงวา วัดกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือน เดิม หรือใกล้เคียงกับของเดิม


สรุปองค์ความรู้ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยก่อนนำ ไปใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลจริงมีความจำ เป็นอย่างมาก ความเป็นปรนัย เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลที่แสดงถึงลักษณะส าคัญ 3 ประการ คือ (1) คำ ถามชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกันว่าถามเกี่ยวกับอะไร ให้ตอบด้วยวิธีใด (2) การตรวจให้คะแนนมีความคงที่ ไม่ว่าใครตรวจก็ให้คะแนนตรงกัน (3) การแปลความหมายคะแนนมีความชัดเจนตรงกัน ความเที่ยงตรง ถือว่ามีความสำ คัญอย่างมากที่ผู้วิจัยจำ เป็นต้องนำ มาเป็น ประเด็นในการพิจารณาคุณภาพของเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล และเมื่อเปรียบเทียบ กับคุณภาพของเครื่องมือด้านอื่น ๆ ถือว่า ความเที่ยงตรงมีความสำ คัญที่สุด อำ นาจจำ แนก นิยมใช้กับเครื่องมือประเภทแบบทดสอบ และแบบสอบถาม ซึ่งข้อมูลที่ รวบรวมได้มักอยู่ในรูปข้อมูลเชิงปริมาณ ความยาก จะใช้เฉพาะกรณีเครื่องมือวิจัยเป็นประเภทแบบทดสอบ ที่วัดด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา โดยเฉพาะแบบทดสอบประเภทอิงกลุ่ม ส่วนแบบทดสอบประเภทอิง เกณฑ์ไม่นิยมหาความยาก เนื่องจากข้อสอบแต่ละข้อมุ่งวัดให้ตรง และครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ ความเชื่อมั่น (Reliability) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือวัดผล หรือเครื่องมือ วิจัยรวมทั้งฉบับ ที่สามารถวัดเรื่องราวหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้คงเส้นคงวา วัดกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงกับของเดิม ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่ เหมือนเดิม หรือใกล้เคียงกับสภาพการณ์เดิม


ขอบเขตเนื้อหา 1. การสร้างไฟล์ข้อมูล 2. การวิเคราะห์ 3. การอ่าน Printout สัปดาห์ที่ 10


ใบความรู้ที่ 12 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ SPSS การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ SPSS การสร้างไฟล์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การอ่าน Printout - เปิดโปรแกรม - สร้างตัวแปร - บันทึกไฟล์ - คีย์ข้อมูล Name : ตั้งชื่อตัวแปร Type : กำหนดลักษณะข้อมูลที่ดี ( Numberic = คีย์เป็นตัวเลข ,String = คีย์เป็นอักษร ) Width : กำหนดความกว้างข้อมูล ( จำนวนหลัก/ จำนวนตัวอักษร ) Decimals : กำหนดตำแหน่งทศนิยม Lable : อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวแปร Values : กำหนดค่าตัวเลข ใช้ในกรณีตัวแปรนาม บัญญัติ (Noninal Scale) Missing : กำหนดค่าแทนข้อมูลผิดพลาด Align : วางตำแหน่งของข้อมูล ( ซ้าย/ขวา/หรือ ตรงกลาง ) Measure : ระดับการวัดข้อมูล


ใบความรู้ที่ 13 การวิเคราะห์คุณภาพของแบบ ทดสอบและแบบสอบถาม โดยใช้ SPSS การวิเคราะห์ข้อสอบ โดยใช้ SPSS - กรณีข้อสอบให้คะแนน 0 กับ 1 การหาค่าอำ นาจจำ แนกรายข้อ (r) และค่าความยาก (p)โดยใช้เทคนิค 27 % กลุ่มสูง-กลุ่มต่ำ การวิเคราะห์ข้อสอบ โดยใช้ SPSS - กรณีเป็นแบบมาตรประมาณค่า การหาค่าอำ นาจจำ แนกรายข้อ (r) โดยใช้ Item-total Correlation คัดข้อคำ ถามที่ค่าอำ นาจจำ แนกรายข้อ (r) ผ่านเกณฑ์ เท่ากับจำ นวนข้อที วางแผนไว้ เพื่อนำ ไปหาค่าความเชื่อ มั่นทั้งฉบับโดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา (alpha coefficient) ต่อไป


สรุปองค์ความรู้


สัปดาห์ที่ 11 ขอบเขตเนื้อหา 1. สมมติฐานของการวิจัย 2. สมมติฐานทางสถิติ 3. การทดสอบสมมติฐาน


1. ทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ย ของประชากร กลุ่มเดียว กับ ค่าเกณฑ์ หรือ Norm ที่กำ หนด การทดสอบค่าเฉลี่ยของตัวแปรตาม ตัวเดียว : กลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่มและสองกลุ่ม ใบความรู้ที่ 12 2. ทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร สองกลุ่มที่ไม่อิสระกัน 3. ทดสอบความแตกต่างระ หว่ํางค่ําเฉลี่ย ของประชากรสอง กลุ่มที่อิสระกัน การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยประชากร 2 กลุ่มอิสระกัน ความแปรปรวนของประชากรทั้งสองเท่ากันหรือไม่ เท่ากัน ไม่เท่ากัน ใช้ t-test แบบ Independent Samples ชนิดควํามแปรปรวน 2 กลุ่มเท่ํากัน ใช้ t-test แบบ Independent Samples ชนิดควํามแปรปรวน 2 กลุ่มไม่เท่ํากัน


สมมติฐานการวิจัย เป็นคำ ตอบที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล - แบบไม่มีทิศทาง นักเรียนชายและนักเรียนหญิงมีเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แตกต่างกัน - แบบมีทิศทาง ผลสัมฤทธิ์ทางกํารเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนเรียน สมมติฐานทางสถิติ ผู้วิจัยกำ หนดขึ้นสำ หรับใช้ เพื่อการทดสอบตามกระบวนการ ทางสถิติ ในการทดสอบสมมติฐานทางสถิติเป็นการทดสอบเพื่อตัดสินใจว่าจะปฏิเสธ หรือยอมรับ Ho ***** ถ้าปฏิเสธ Ho ผู้วิจัยจะยอมรับ H1แทน ******* ในการตัดสินใจปฏิเสธหรือยอมรับ Ho นี้ ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้เพราะเราไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว Ho ถูกหรือผิด ซึ่งความผิดพลาดนี้เรียกว่า ความคลาดเคลื่อนในการวิจัย การทดสอบค่าเฉลี่ยของตัวแปรตามตัวเดียว : กลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่มและสองกลุ่ม โดยใช้สถิติทดสอบค่าที (t-test) 1. ทดสอบควํามแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย (Mean) ของประชากร กลุ่มเดียว กับ ค่าเกณฑ์ หรือ Norm ที่กำ หนด One Sample t-test 2. ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย (Mean) ของประชากรสองกลุ่มที่ไม่อิสระกัน Dependent Samples t-test 3. ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย (Mean) ของประชากรสองกลุ่มที่อิสระกัน Independent Samples t-test สรุปองค์ความรู้


สัปดาห์ที่ 12 ขอบเขตเนื้อหา 1.ความหมาย เป้าหมาย และความสำ คัญ 2. ลักษณะของการวิจัย 3. กระบวนการทำ วิจัย 4. ปัญหา และการคัดเลือกปัญหา 5. แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล 6. แนวทางการเขียนรายงานวิจัย


วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ความหมายของการวิจัยปฏิบัติ การในชั้นเรียน ผู้วิจัยที่รับผิดชอบ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา หรือ พัฒนาผู้เรียน พัฒนาการเรียนการ สอนของตนให้ดีขึ้น ลักษณะของการวิจัยปฏิบัติการในเรียน 1. ครูเป็นผู้วิจัย และผู้ทำวิจัย 2. ปํยหาวิจัย ต้องเกี่ยวของกับ งานในหน้าที่ครู 3. มุ่งแก้ไขปํญหา ในชันเรียน 4. กลุ่มเป้าหมายเป็น บุคคลในห้องเรียน 5. สามารถดำ เนินการวิจัย ควบคู่ไปกับการปฏิบัติงาน ตามปกติได้ 6. นิยมใช้ปฏิบัติ การ PAOR 7. การวิจัยไม่ได้เน้นการ สร้างกรอบความคิดตาม โครงสร้างเชิงทฤษฎี 8. มีการเก็บข้อมูลทั้งเชิง ปริมาณและคุณภาพ แต่เน้น ข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่า 9. การเขียนรายงานการ วิจัยไม่เคร่งครัดในรูป แบบเหมือนการวิจัยเชิง วิชาการทั่วไป ความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการ ในชั้นเรียน 1. ผลดีต่อผู้เรียน 2. ผลดีต่อตัวครูผู้ทำวิจัย 3. ผลดีต่อสภาพการเรียนการสอน 4. ผลดีต่อวงการวิชาการและวงการ วิชาชีพครู 10. ครูสามารถใช้ผล การวิจัยพัฒนาตน และพัฒนางานใน หน้าที่ได้


กระบวนการทำวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียน ขั้นตอนที่ 4 วางแผนแก้ ปัญหาหรือพัฒนา ขั้นตอนที่ 5 สร้างหรือ เลือกเครื่องมือในการวิจัย วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ขั้นตอนที่ 1 สำ รวจปัญหา ขั้นตอนที่ 2 ระบุปัญหา วิเคราะห์และค้นหาสาเหตุ ขั้นตอนที่ 3 ระบุแนวทางแก้ ปัญหาหรือพัฒนา ขั้นตอนที่ 6 ดำ เนินการ แก้ปัญหาหรือพัฒนา ตรวจสอบ ขั้นตอนที่ 7 เก็บรวบรวม ข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 8 สรุปผลการวิจัย และสะท้อนความคิดเห็น ขั้นตอนที่ 9 จัดทำ รายงานการวิจัย ปัญหา และการคัดเลือกปัญหา เพื่อทำ วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ สิ่งที่เป็นจริง ณ ปัจจุบันเกี่ยว กับผู้เรียน ไม่เป็น ไปตามสิ่งที่มุ่ง หวังหรือคาดหวังไว้ แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการจัดระบบ จัดระเบียบ จัด กระทำข้อมูลให้อยู่ใน ลักษณะที่จะแปลความหมายของ ข้อมูลนั้น ๆ ได้ แนวทางการเขียนรายงานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นการเขียนรายงานตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง ตามธรรมชาติไม่ยึดติดในรูปแบบ แต่ต้องมีสาระ ครบถ้วนทำให้เข้าใจสิ่งที่ได้ศึกษาและสิ่งที่ค้นพบ


ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นการวิจัยปฏิบัติการอย่างหนึ่งที่ผู้ทำ วิจัยคือครูผู้สอนในห้องเรียนที่รับผิดชอบ ได้ดำ เนินการ แก้ไขปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนหรือพัฒนาการเรียนการสอนของตนให้ดีขึ้น โดยนำ เอาวิธีการ แนวทาง หรือกิจกรรมต่าง ๆ - วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมีเป้าหมายสำ คัญเพื่อ “แก้ปัญหาหรือพัฒนา ผู้เรียนในชั้นเรียนที่ครูนักวิจัยรับผิดชอบ” - ความสำ คัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ลักษณะของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 1. ครูเป็นผู้วิจัยและผู้ทำ วิจัย 2. ปํยหาวิจัยต้องเกี่ยวของกับงานในหน้าที่ครู 3. มุ่งแก้ไขปํญหาในชันเรียน 4. กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคคลในห้องเรียน 5. สามารถดำ เนินการวิจัยควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานตามปกติได้ 6. นิยมใช้ปฏิบัติการ PAOR 7. การวิจัยไม่ได้เน้นการสร้างกรอบความคิดตามโครงสร้างเชิงทฤษฎี 8. มีการเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ แต่เน้นข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่า 9. การเขียนรายงานการวิจัยไม่เคร่งครัดในรูปแบบเหมือนการวิจัยเชิงวิชาการทั่วไป 10. ไม่ได้มุ่งให้ครูทำ เพื่อขอผลงาน จุดเน้นคือนักเรียนและการพัฒนาสภาพการเรียนการสอน กระบวนการทำ วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ขั้นตอนที่ 1 สำ รวจปัญหา ขั้นตอนที่ 2 ระบุปัญหา วิเคราะห์และค้นหาสาเหตุ ขั้นตอนที่ 3 ระบุแนวทางแก้ปัญหาหรือพัฒนา ขั้นตอนที่ 4 วางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนา ขั้นตอนที่ 5 สร้างหรือเลือกเครื่องมือในการวิจัย ขั้นตอนที่ 6 ดำ เนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนา ตรวจสอบ ขั้นตอนที่ 7 เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 8 สรุปผลการวิจัย และสะท้อนความคิดเห็น ขั้นตอนที่ 9 จัดทำ รายงานการวิจัย สรุปองค์ความรู้


สรุป รุ องค์ค ค์ วามรู้ (ต่อ ต่ ) ปัญหา และการคัดเลือกปัญหาเพื่อทำ วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ สิ่งที่เป็นจริง ณ ปัจจุบันเกี่ยวกับผู้เรียน ไม่เป็น ไปตามสิ่งที่มุ่งหวัง หรือคาดหวังไว้ แบ่งเป็น 3 ประเภท 1. ปัญหาเชิงแก้ไขปรับปรุง เป็นปัญหาที่เกิดจากสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน ต่ำ กว่าสิ่งที่คาดหวังในปัจจุบัน 2. ปัญหาเชิงป้องกัน เป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หากไม่หาทางป้องกันอาจ ก่อให้เกิดปัญหาอีกต่อไปได้ 3. ปัญหาเชิงพัฒนา เป็นปัญหาที่เกิดจากความต้องการของครูในการเพิ่มคุณภาพ ของผู้เรียนในด้านต่างๆ รวมทั้งเพิ่มคุณภาพของผลงาน หรือเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการ เรียนการสอนให้ดีขึ้นกว่าเดิม แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล - การวิเคราะห์ข้อมูลต้องวิเคราะห์เป็นรายบุคคล มักเป็นปัญหาของนักเรียนบาง คนบางกลุ่ม เท่านั้น เช่น ปัญหาการขาดเรียนบ่อยของเด็กชายแดง แนวทางการเขียนรายงานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 1. แบบไม่เป็นทางการ เป็นรูปแบบที่ยืดหยุ่น นำ เสนอเนื้อหาโดยสรุปสั้น ๆ (อาจหน้าเดียว หรือมากกว่าบ้างเล็กน้อย) โดยนำ เสนอปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือพัฒนา 2. แบบเป็นทางการ แบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 บท ได้แก่ บทที่ 1“บทนำ ” บทที่ 2 “เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง” บทที่ 3 “วิธีดำ เนินการวิจัย” บทที่ 4“ผลการวิเคราะห์ข้อมูล” และบทที่ 5 “สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ” 3. แบบกึ่งทางการ เป็นการเขียนรายงานการวิจัยที่นำ เสนอสาระสำ คัญตามหัวข้อต่าง ๆ คล้ายกับรูปแบบเป็นทางการ แต่ไม่ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นบท ๆ ไม่เน้นส่วนนำ และส่วนอ้างอิง


ความรู้สึกในใจที่มีต่อ อาจารย์และรายวิชานี้ ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ อาจารย์สอนดีมาก ๆ ทุ่มเทกับลูก ศิษย์รู้สึกโชคดีที่ได้เรียนกับอาจารย์ เรียนตอนแรกรู้สึกเกร็งมาก และยังปรับตัวไม่ค่อยได้รู้สึกว่าวิชานี้ต้องยากมาก แต่พอเรียนไป สักพักก็ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นมาได้เรื่อย มีอยู่คาบหนึ่งที่หนูกับเพื่อน คุยกันเรื่องไปกินข้าว ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ก็สอนอยู่ คุยกันยุ๊กยิ๊ก มัน ทำ ให้เพื่อนเสียสมาธิในการเรียนแล้วก็ทำ ให้อาจารย์อารมณ์ไม่ดี จนทำ ให้ไม่อยากสอนต่อ ตอนนั้นรู้สึกผิดมากและอยากขอโทษ อาจารย์แล้วก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำ แบบนั้นอีก หลังจากคาบ นั้นพวกหนูก็ไม่คุยกันในคาบแล้วก็ตั้งใจเรียน มันทำ ให้การเรียน ของหนูดีขึ้นค่ะเพราะเข้าใจเนื้อหาที่อารย์สอนมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อวิชานี้ ตอนแรกคิดว่าวิชานี้เป็นเรื่องที่ยากและ ไกลตัวมากแต่พอได้มาเรียนจริง ๆ มันเป็นวิชาที่ใช้ในการสอน เราในอนาคต ทำ ให้เราได้เข้าใจงานส่วนนี้ของคุณครูมากยิ่งขึ้น สามารถนำ ความรู้ไปต่อยอดในการเรียนต่อไป


คติประจำ ใจ อย่ากลัวอนาคต ถ้าทำ ปัจจุบันไว้ดีแล้ว - วริษฐา จันทสงเคราะห์ -


Click to View FlipBook Version