73
ล้มเหลวหรือความเจ็บช้ำในอดีต พวกเขาจะยอมรับคนอย่างท่ีพวกเขาเป็นอยู่ และเพ่งพลังของพวกเขาไป
ในทางท่ีจะทำให้บรรลุแผน พวกเขาจะลงมือทำงานเลย โดยไมม่ ัววิตกว่า จะต้องทำงานให้เสร็จภายในวันไหน
แทนท่จี ะมานั่งโทษตัวเอง เรอ่ื งความผิดพลาด พวกเขาจะหาวิธีแก้ไขอุปสรรค และหาทางชดเชยจุดอ่อนต่างๆ
อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ และควบคุมสถานการณ์ได้ คนท่ีรู้จักจัดการกับพฤติกรรมได้ดี จะ
ยอมรับคนอื่นมากกว่า มองโลกในแง่ดีมากกว่า และเป็นคนพร้อมลงมือทำโน้นทำนี่ มากกว่าคนท่ีรู้จักจัดการ
กบั อารมณ์ได้ดี แต่คนท่ีจัดการกับอารมณ์ได้ดี ก็มักยอมรับตัวเองได้มากกว่า เป็นคนไม่คิดเล็กคดิ น้อยมากกว่า
และเป็นคนทจี่ ะหดหู่น้อยกว่า เมื่อพวกเขาพบสิ่งท่ีไมพ่ ่ึงปรารถนา การรู้จักจัดการอารมณ์ และการรู้จักจัดการ
กบั พฤติกรรม ต่างมีข้อได้เปรยี บของตนเอง แต่ไมไ่ ด้เป็นเรื่องเฉพาะทาง แมว้ ่าคนแต่ละคนอาจมีความถนดั ใน
การรู้จักจัดการกับอย่างหน่ึงอย่างใด (อารมณ์หรือพฤติกรรม) ได้มากกกว่ากัน คนท่ีทำแบบทดสอบแล้ว ได้
คะแนนการรู้จักจัดการกับอารมณ์ หรือพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงสูงกว่าคนทั่วไป คิดโดยถัวเฉลี่ยมักจะได้
คะแนนอีกอยา่ ง สูงกว่าคนท่ัวไปโดยถัวเฉล่ียด้วย คนท่ีรู้จกั จัดการกับทั้งอารมณ์ และพฤติกรรมได้ดีก็คือ คนที่
เป็นนักคิดสรา้ งสรรค์ทดี่ ี
ลกั ษณะทเ่ี ป็นดา้ นตรงขา้ มของการคิดแบบสร้างสรรค์
1. การคิดแบบแบ่งเปน็ 2 ข้ัวสุดโตง่ (Categorical Thinking)
คนท่ีทำคะแนนแบบทดสอบไดผ้ ลออกมาว่า เปน็ คนที่มีลักษณะการคิดแบบแบ่งเป็น 2 ข้ัวสุดโต่งมาก
แสดงวา่ เปน็ นักคิดแบบตายตวั ที่มองอะไรแบบถา้ ไมใ่ ช่ขาวกด็ ำ โดยไมย่ อมรับสเี ทาๆ ระดับต่างๆ พวกเขามอง
คนท่ีไม่เห็นด้วยกับเขาก็ว่า ผิดพลาด แทนท่ีจะว่าคนอ่ืน มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป พวกเขามักจะชอบ
พพิ ากษาคน เป็นพวกผู้ชนะหรือไม่ก็ผแู้ พ้ พวกเขามักถือว่าในการทำอะไรก็ตาม มีวิธีทถี่ ูกต้องเพยี งวิธีเดียว คือ
วธิ ขี องพวกเขา
เนื่องจากพวกที่ชอบคิดแบ่งเป็น 2 ขั้วสุดโต่ง มองเห็นทางในการตัดสินใจได้ชัดเจน พวกเขาจึง
ตัดสินใจลงมือทำอะไรโดยง่าย โดยไม่คดิ วา่ ส่ิงท่ีเขาทำจะถกู ต้องหรือไม่ การวิจัยพบว่า ผู้ชายมักมีแนวโนม้ เป็น
คนคิดแบบ 2 ข้วั น้มี ากกวา่ ผู้หญงิ ซึง่ แสดงว่าผชู้ ายมีลกั ษณะหวั ดือ้ และคดิ แบบตายตวั มากกวา่ ผ้หู ญงิ
คนที่ชอบคิดแบ่งเป็น 2 ข้ัวสุดโต่ง จะรู้สึกว่าชีวิตเขาม่ันคง มองเห็นปัญหาได้ง่ายๆ รู้สึกดีต่อตัวเอง
และตัดสินใจได้เร็ว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ แต่จุดอ่อนก็คือ ทำให้เขาไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ไม่เติบโต
และไม่ยอมรบั คนอ่ืนทแ่ี ตกตา่ งออกไป
2. การคิดแบบเช่อื โชคลาง (Superstitious Thinking)
คอื คนท่ีมีความเชื่อบางอย่าง ซ่ึงไม่สอดคล้องกับโลกท่ีเป็นจริง เช่น คนท่ีเช่ือว่า ถา้ เราได้อะไรดีๆ มา
อย่างหน่ึง เราก็คงจะไดอ้ ะไรไม่ดีตามมาภายหลงั เพ่ือถ่วงดุลกนั หรอื คนท่ีเช่ือว่า ถ้าไปพูดถงึ สิ่งที่เราคาดหวงั ไว้
ล่วงหน้า เราก็อด จะไม่ได้ส่ิงน้ัน แต่ถ้าคิดแบบสร้างสรรค์จะไม่เช่ือเช่นนั้น การท่ีคนมีลักษณะคิดแบบเช่ือโชค
74
ลางมาก เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกถึงความมรี ะเบยี บ และส่ิงทีค่ าดการณ์ได้ อธิบายได้ แต่ลึกๆ แล้ว คนแบบ
น้ีมแี นวโน้มท่ีจะเกิดความรู้สึกหดหู่ ความรู้สึกช่วยตัวเองไมไ่ ดอ้ ย่มู าก
3. การคิดแบบเชอ่ื ในสง่ิ นอกเหนือปรากฏการณธ์ รรมชาติ (Esoteric Thinking)
หมายถึง คนที่เชื่อโชคลางแบบดัง้ เดมิ โหราศาสตร์ ผีสาง การรบั รู้ที่อยเู่ หนือการสัมผัสแบบปรกติ การ
ควบคุมจิตใจ ฯลฯ ต่างจากคนคิดแบบเชื่อโชคลาง (ประเภท 2) คือ พวกเขามักจะคิดในสิ่งที่แปลกประหลาด
มหัศจรรย์กว่า และไม่จำเป็นต้องมองในแง่ร้ายเสมอไป แต่ก็มีลักษณะไม่สมจริงพอกัน การวิจัยพบว่า ผู้หญิง
มกั มลี ักษณะนีม้ ากกว่าผู้ชาย คนทม่ี ีลักษณะเป็นคนคิดแบบน้ี มักจะเป็นนักคิดที่สร้างสรรคน์ ้อย มีความเครยี ด
สูง และไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่บางคนก็อาจจะมีลักษณะเปิดใจรับความคิดใหม่ๆ ได้ดีรวมอยู่ด้วย ถ้า
เขาไมถ่ งึ กบั เชื่อเร่อื งแบบนอ้ี ยา่ งพ่ึงพามากเกินไป
4. การมองโลกในแงด่ แี บบอ่อนหัด (Naive Optimism)
การมองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัด หมายถึง คนที่มีแนวโน้มที่จะกระโดดใส่ข้อสรุป ภายหลังจากได้รับ
ผลในทางบวก ราวกับวา่ ความสำเร็จเพียงคร้งั เดยี วจะประกันวา่ สง่ิ ตา่ งๆ จะออกมาอย่างท่ีเขาตอ้ งการเสมอไป
เชน่ เมือ่ เขาสอบได้คะแนนดีครงั้ หนึ่ง ประสบความสำเรจ็ ในการสอบสมั ภาษณ์คร้ังหนงึ่ การท่ีคนท่ีเขารักแสดง
ความรกั ตอบแทน เขากค็ ิดตอ่ ไปว่า เขาจะมอี นาคตท่ีมน่ั คงปราศจากปญั หาอีกต่อไป
คนที่มองโลกในแงด่ อี ย่างอ่อนหัด มกั คิดอะไรแบบงา่ ยๆ (เช่น ทุกคนควรรักพ่อแม่ ถา้ มีความตัง้ ใจมาก
พอ ก็จะทำทุกอย่างได้สำเร็จ) คนมองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัด เป็นนักคิดในทางบวกมากเกินไป พวกเขามี
ความคิดท่ีถูกต้องทุกอย่าง ยอมรับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ ในสังคมทุกอย่าง และไม่ได้คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ
อย่างจริงจัง พวกเขาชอบผู้คน ผู้คนก็ชอบเขา (ทุกคนชอบคนมองโลกในแง่ดี) และมีความรู้สึกว่าทุกอย่างใน
โลกน้ีถูกต้อง
ต่างจากคนมองโลกในแง่ดีอย่างเป็นจริง (realistic optimism) ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของการรู้จักจัดการ
กับพฤติกรรม คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างออ่ นหัด คิดในแงบ่ วกมากเกินไป จนอาจทำให้เขาล้มเหลวทจ่ี ะวางแผน
และไม่ได้เตรยี มมาตรการป้องกัน สำหรับความผิดพลาดท่ีอาจเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดได้
และเมือ่ เขาตดั สินใจผิดพลาดบอ่ ยครงั้ ก็ยากที่เขาจะยังคงเป็นคนมองโลกในแง่ดตี ่อไปได้
คนท่ีมองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัด เมื่อพวกเขามีอายุมากขึ้น มักจะสรุปเป็นนัยท่ัวไปอย่างง่ายเกินไป
(overgeneralize) ทั้งจากแระสบการณ์ท่ีเลว และประสบการณ์ที่ดี บางครั้งเขาจะสรุปโลกในแง่ดี แตบ่ างคร้ัง
เมือเจอประสบการณืท่ีเลวร้าย เขาจะกระโดดไปสรุปในแง่ร้าย กลายเป็นคนประเภทท่ีมคี วามหวังหลุดลอยไป
อยา่ งรวดเรว็
การมองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัด ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดว่า เขาเป็นคนท่ีคิดอย่างสร้างสรรค์
หรือไม่ เพราะว่าแง่ที่เลวของมัน (การคิดอย่างไม่สมจริง) ไปหักลบแง่ดี (การคิดในเชิงบวก) เสีย คนท่ีมองโลก
ในแง่ดีอย่างผิวเผิน ยอมรับตนเองและคนอื่นๆ มีทัศนคติต่อชีวิตในทางบวก มองชีวิตอย่างมีจุดหมาย และมี
75
ทิศทาง แต่การมองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัดไม่สมจริง ทำให้เขาขาดการวางแผน และไม่มีการเตรียมตัวรับกับ
ความผดิ พลาดท่จี ะเกดิ ข้นึ
76
ลกั ษณะของคนคดิ สรา้ งสรรค์
การคิดอย่างสร้างสรรค์ในภาพรวม รวมเอา
ลักษณะนิสัยทั้งหมดที่กล่าวมา ยกเว้น การมองโลกในแง่ดี
อย่างอ่อนหัด ซ่ึงไม่เก่ียวข้องด้วย เนื่องจากแง่เลวของมัน
(การคิดอย่างไม่สมจริง) มาหักล้างแง่ดี (การคิดใน
ทางบวก) คนที่ได้คะแนนรวมการคิดอย่างสร้างสรรค์สูง
เป็นคนทย่ี อมรบั ตัวเองและคนอนื่ ๆ มองชีวติ ในแงบ่ วก และ
มองชีวิตมีจุดหมาย และทิศทาง แม้ว่าเขาจะคิดในแง่บวก
แต่เขาก็จะไม่มองโลกในแง่ดีอย่างอ่อนหัดเกินไป โดยมอง
โลกในแง่เปน็ จริง นนั่ กค็ ือ เขายังคงวางแผนและระมดั ระวงั
คนที่เป็นนักคิดสร้างสรรค์ จะไม่สรุปเป็นนัยท่ัวไป
อย่างง่ายเกินไป จากประสบการณ์ของเขา ไม่ว่าทางบวก
หรือทางลบ เขาจะไมป่ ระเมินตัวเองสูงเกินไปหรอื ตำ่ เกินไป
เขามีความมั่นใจในตัวเองพอท่ีจะเผชิญกับความไม่แน่นอน
และความซับซ้อนของโลกท่ีเป็นจริง โดยไม่พึ่งพาการคิดแบบเชื่อโชคลาง หรือส่ิงนอกเหนือปรากฏการณ์
ธรรมชาติ การคดิ ในเชิงประสบการณ์โดยอัตโนมัติของเขา ทำให้เขารู้สกึ ดีเก่ียวกับตัวเองและคนอ่ืนๆ สามารถ
จัดการกับอารมณ์ในทางลบโดยมีความตึงเครียดน้อยที่สุด และสามารถจัดการแก้ปัญหาประจำได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
ลักษณะที่สำคัญของคนท่ีคิดแบบสร้างสรรค์ คือ พวกเขาเป็นคนพร้อมท่ีจะแก้ปัญหา (problem
oriented) มากกว่าท่ีจะทำตัวแบบผู้พิพากษาตัดสินใจใครถูกใครผิด พวกเขาแสวงหาหนทางแก้ปัญหาท่ี
เป็นไปได้ มากกว่าที่จะตีตราตัวเองหรอื คนอน่ื วา่ ดีหรอื เลว
สิ่งท่ีสำคัญที่สุด คือ นักคิดสร้างสรรค์ท่ีดีเป็นนักคิดท่ียืดหยุ่น (flexible thinkers) พวกเขาปรับการ
คิดของเขาตามสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป และสามารถมองเห็นท้ังด้านมืด และด้านสว่างของปัญหา เมื่อ
พวกเขามีทางเลือกที่มีเหตุผลใกล้เคียงกัน เขาจะเลือกด้านสว่างมากกว่า เพราะว่ามันทำให้เขาและคนอื่นๆ มี
ความสุขมากกว่า และเพราะว่าภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่ การเลือกด้านท่ีสว่างเป็นวิธีการดำเนินชีวิตท่ีมี
ประสทิ ธภิ าพ และใหค้ วามพอใจมากกวา่ การเลอื กด้านมดื ของปัญหา