ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง
ต อ น ม นุ ส ส ภู มิ
ม นุ ส ส ภู มิ เ ป็ น ภู มิ ห นึ่ ง ใ น ก า ม ภู มิ
ซึ่ ง ก ล่ า ว ถึ ง เ นื้ อ ห า ข อ ง ก า ร กำ เ นิ ด ม นุ ษ ย์ เ อ า ไ ว้
ความหมายของไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิหมายถึงภูมิทั้งสาม ซึ่งประกอบไปด้วย
กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
กามภูมิ คือโลกของผู้ที่ยังติดอยู่ในกามกิเลส
ในขณะที่รูปภูมิและอรูปภูมิจะเป็นดินแดนของพรหม
ส่วนคำว่าพระร่วงนั้นเป็นคำเรียกพระมหากษัตริย์
ในราชวงศ์สุโขทัยพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
นอกจากชื่อไตรภูมิพระร่วงแล้ว ชื่อเดิมของไตรภูมิพระร่วง
คือ ไตรภูมิกถา หรือ เตภูมิกถา
ผู้แต่ง
ไตรภูมิพระร่วง
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพญาลิไทย เป็น
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย
โดยมีผู้สันนิษฐานว่า คำว่า “พระร่วง” นั้นเป็น
คำที่ใช้เรียกพญาลิไทยด้วยเช่นกัน
พญาลิไทย เป็นพระราชนัดดาหรือหลานของพ่อขุน
รามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทย
พระองค์แรกที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุตลอดระยะเวลาแห่ง
การครองราชย์ พญาลิไทยทรงใช้หลักธรรมะ
ให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ประชาชนสงบสุข
นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงเชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา
ลักษณะคำประพันธ์
ความเรียงร้อยแก้ว
จักรวาล
ตามความเชื่อ
ของไตรภูมิ
ในวรรณคดีเรื่องนี้ กล่าวถึง
ลักษณะของจักรวาล
ว่ามีลักษณะเป็นวงกลม
มีเขาพระสุเมรุเป็นศุนย์กลางของจักรวาล
บนยอดเขาเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีพระอินทร์เป็นผู้ปกครอง
และเหนือขึ้นไปบนอากาศก็จะมีสรรค์ชั้นอื่น ๆ อีก
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ จากสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น หรือที่เรียก
ว่า “ฉกามาพจร” ส่วนด้านล่างของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จะมีเขาสัต
บริภัณฑ์ทั้ง ๗ โดยแต่ละชั้นจะมีทะเลสีทันดรคั่นอยู่ ซึ่งใต้ทะเลนี้จะมี
ปลาอานนท์ และปลาบริวารเวียนว่ายอยู่ จึงทำให้จักรวาลเคลื่อนที่
ปรนิมิตวสวัตดีภูมิ
นิมมานรดีภูมิ
ดุสิตาภูมิ
ยามาภูมิ
ดาวดึงส์ภูมิ
จตุมหาราชิการ
เขาพระสุเมรุ
ขอบจักรวาล ด็จเง้ัท์ฑณัภิรบตตัสาขเ
ยุคนธร
อิสินธร
กรวิก ปลาอานนท์ 7 ตัว
สุทัสนะ
เนมินธร เขาพระสุเมรุสูง 84,000x2 โยชน์
(เหนือน้ำ84,000 ใต้น้ำ84,000)
วินตกะ
อัสกัณ = 168,000 โยชน์
= 2,688,000 กิโลเมตร
และถัดจากภูเขาก็จะมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลจนจดขอบจักรวาล โดย
ท่ามกลางมหาสมุทรนี้ จะมีทวีปประจำทิศทั้งสี่ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
ได้แก่
• อุตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ จะมีใบหน้าสี่เหลี่ยม มีรูปร่างงาม
• บูรพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ จะมีใบหน้ากลมเหมือน
พระจันทร์เดือนเพ็ญ
• อมรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของเข
าพระสุเมรุจะมีหน้าเหมือนพระจันทร์เดือนแรม
ทั้ง ๓ ทวีปนี้จะมีอายุที่แน่นอน และอยู่อย่างมีความสุข เพราะรักษาศีลอยู่เสมอ
• ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ
จะมีใบหน้ารูปไข่ มีอายุขัยที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการทำบุญหรือทำกรรม แต่ทวีปนี้มีความ
พิเศษตรงที่เป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิราช และพระอรหันต์ ทำให้คนในทวีป
มีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำสอน เมื่อเสียชีวิตจะมีโอกาสเกิดในภพภูมิที่ดีได้
สำหรับด้านล่างของทวีปต่าง ๆ จะมีนรกใหญ่ ๘ ขุมเป็นชั้นถัดลงไป โดยจากที่
กล่าวมานี้สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น โลกมนุษย์ และนรก จะจัดอยู่ในกามภูมิหรือโลกที่ยัง
ติดอยู่ในกามกิเลส แต่ส่วนที่ถัดจากสวรร
ค์ทั้ง ๖ ชั้นขึ้นไปซึ่งจะเป็นชั้นของพรหม
นั้น จะอยู่ในรูปภูมิ และอรูปภูมิ โดยรูปภูมิมี ๑๖ ชั้น ขณะที่อรูปภูมินั้นมี ๔ ชั้น
สรุปไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
ม นุ ส ส ภู มิ เ ป็ น ภู มิ ห นึ่ ง ใ น ก า ม ภู มิ
ซึ่ ง ก ล่ า ว ถึ ง เ นื้ อ ห า ข อ ง ก า ร กำ เ นิ ด
มนุษย์เอาไว้ โดยกล่าวถึงมนุษย์
ผู้ ช า ย ห รื อ ผู้ ห ญิ ง ที่ ป ฏิ ส น ธิ ใ น ท้ อ ง
ของแม่ จะเริ่มต้นโดยการเป็น
“กลละ” หรือเซลล์ที่มีขนาดเล็ก
ที่สุด พอครบ ๗ วัน จะมี
ลักษณะเหมือนน้ำล้างเนื้อ เรียก
ว่า “อัมพุทะ”
อีก ๗ วันถัดมาจะเป็นชิ้นเนื้อใน
ครรภ์มารดา หรือเรียกว่า
“เปสิ” ซึ่งมีลักษณะข้นเหมือน
ตะกั่วเชื่อมในหม้อ และอีก ๗
วั น ต่ อ ม า จ ะ แ ข็ ง เ ป็ น ก้ อ น เ ห มื อ น
ไข่ไก่ ซึ่งเรียกว่า “ฆนะ” จาก
นั้นจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นทุกวัน
หลังจากเป็นฆนะได้ ๗ วัน ก็จะเป็น “เบญจสาขาหูด” โดยคำว่า
เบญจแปลว่า ๕ ดังนั้น จึงหมายถึง หูดที่มี ๕ ตุ่ม ได้แก่
หัว ๑ ตุ่ม แขน ๒ ตุ่ม และขา ๒ ตุ่ม ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน
จะเริ่มมีฝ่ามือ นิ้วมือ และเมื่อครบ ๔๒ วันจึงมีขน มีเล็บเท้า
เล็บมือ มีอวัยวะครบถ้วนทุกประการแบบมนุษย์
นอกจากนั้นในไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิยังบอกอีกว่า
เด็กที่เกิดในท้องแม้นั้นมีรูปร่าง ๑๘๔ ประการ แบ่งออกเป็น
ส่วนบน ตั้งแต่คอถึงศีรษะ มี ๘๔ รูป
ส่วนกลาง ตั้งแต่คอถึงสะดือ มี ๕๐ รูป
ส่วนล่าง ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า มี ๕๐ รูป
โดยเด็กที่อยู่ในท้องนั้นต้องได้รับความลำบากอย่างมาก ต้องทนอยู่ใน
ที่ที่ทั้งชื้นและเหม็นพยาธิซึ่งอาศัยปนอยู่ในท้องแม่ ดังความว่า
“...เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก
ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอก...ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้น
คนกันอยู่ในท้องแม่…”
ตืด, เอือน คนกัน
หมายถึง พยาธิ หมายถึง ปนกัน
สำหรับอาหารที่เด็กกินนั้น ก็จะกินผ่านสายสะดือที่ส่งจากผู้เป็นแม่
อีกทอดหนึ่ง โดยอาหารที่แม่กินเข้าไปก่อนจะอยู่ใต้ตัวเด็ก
ส่วนอาหารที่แม่กินเข้าไปใหม่จะทับอยู่บนศีรษะเด็ก ทำให้เด็กได้รับ
ความทุกข์ทรมานยิ่งนัก ตอนที่อยู่ในท้องแม่ เด็กจะนั่งอยู่กลางท้อง
ในท่าคู้คอจับเจ่า และกำมือแน่น ซึ่งในขณะที่นั่งอยู่นั้น เลือดและ
น้ำเหลืองจะหยดลงเต็มตัวเด็กตลอด ไม่ได้หายใจ รวมถึงไม่ได้
เหยียดมือและเท้าเลย ต้องเจ็บปวดเหมือนถูกขังไว้ในไห หรือที่คับ
แคบ
เวลาแม่เดิน นอน หรือลุกขึ้น เด็กก็จะเจ็บปวดประหนึ่งว่าจะตาย เปรียบได้กับ
ลูกเนื้อทรายที่อยู่ในมือของคนเมาเหล้า หรือลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น ดังความว่า
“ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้นตนก็ดี กุมารในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแล
ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า
ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นนั้นแล…”
อยู่ธรห้อย
หมายถึง โคลงเคลงไปมา
หลังจากอยู่ในท้องแม่มาประมาณ ๖ เดือน หากเด็กคลอดออกมาช่วงนี้
มักจะไม่รอด แต่หาก ๗ เดือนแล้วคลอด เด็กมักจะออกมาไม่แข็งแรง
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวด้วยว่า เด็กที่มีที่มาต่างกัน เมื่ออยู่ในท้องแม่จะ
มีลักษณะที่ต่างกัน และเมื่อคลอดออกมาย่อมมีลักษณะต่างกันด้วย
เ ด็ ก ที่ ม า จ า ก ส ว ร ร ค์ เ ด็ ก ที่ ม า จ า ก น ร ก
เมื่ออยู่ในท้องแม่ ก็จะมีแต่ความสุข เมื่ออยู่ในท้องแม่ ก็จะเดือดเนื้อร้อน
กายสบายใจ ตัวแม่ก็พลอยเย็นไปด้วย ใจ กระสับกระส่าย ทำให้แม่ร้อนเนื้อ
และเวลาคลอด ตัวของเด็กจะเย็น จะ ร้อนตัวไปด้วย
คิดถึงความสุขในครั้งก่อน เมื่อคลอด และเวลาที่คลอด ตัวเด็กก็จะร้อน ก็
ออกมา จะหัวเราะก่อน มักจะคิดถึงความยากลำบากที่เคยเจอ
มา พอคลอดออกมาก็จะร้องไห้
นอกจากนั้นไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
ยังกล่าวถึงเด็ก ๒ กลุ่ม คือเด็กทั่วไป
และเด็กที่เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตาขีณาสพ
และพระอัครสาวก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้
เด็กทั่วไป จะไม่รู้สึกตัวใด ๆ ทั้งตอนมาเกิดใน
ท้องแม่ ตอนอยู่ในท้องแม่ และตอนออกจากท้อง
แม่
เด็กที่เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตาขีณาสพ
และพระอัครสาวก จะรู้สึกตัวตอนมาเกิดในท้อง
แม่ และตอนอยู่ในท้องแม่ แต่เมื่ออกจากท้องแม่
แล้ว ก็จะลืมทุกอย่างเหมือนเด็กทั่วไป
สมาชิก
จักรกฤษ เวียงแก้ว เลขที่ 1
สรสิช สุดสงวน เลขที่ 4
กฤติน กระตดุเงิน เลขที่ 5
ภัทรกร ศรเีมืองบุญ เลขที่ 6
ณิชกุล ศรีอุบล เลขที่ 8
ณดล ลีลาเกียรติวงศ์ เลขที่ 11
ธเนศพล ประทีปนาเจรญิ เลขที่ 12
ชลธร เชนยพาณิชย์ เลขที่ 16
แพรวพรรณ สุขเกษม เลขที่ 23
มัญชุสา อภริมย์ชวาล เลขที่ 24
วิศรุต แจ่มทอง เลขที่ 27
นภัสสร ทิพยมาลี เลขที่ 30
ปียากร ศิริโฆษิตยางกูร เลขที่ 37
มัธยมศึกษา 6/2