หนว่ ยที่ 1 I การดำรงชวี ติ ของพืช
40 หนังสือเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
การสืบพันธขุ์ องพชื ดอก
รูปท่ี 28 การสืบพนั ธ์แุ ละขยายพันธ์ุพชื
ท่ีมา : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31394
หนว่ ยที่ 1 I การดำรงชวี ติ ของพืช 41
หนงั สอื เรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
การสืบพนั ธ์ุ
การสบื พันธุ์ คือ การสร้างชีวิตใหม่จากส่งิ มชี วี ิตเดิม เพอื่ ดำรงสืบพันธไ์ุ ป เป็นกระบวนการทีท่ ำให้
สิ่งมีชีวิตอยไู่ ด้อยา่ งตอ่ เนือ่ ง การสืบพนั ธุ์ท่ัวไปแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
4.1 การสบื พันธ์ุแบบอาศยั ไมเ่ พศ (Asexual reproduction)
เป็นการสืบพนั ธท์ุ ่ีไมต่ อ้ งใช้เซลล์สบื พันธ์ุ แตใ่ ช่สว่ นอ่นื ๆขยายพันธแุ์ ทน เช่น
- การแตกหน่อ (budding) ได้แก่ หนอ่ กลว้ ย ไผ่ กลว้ ยไม้ เปน็ ต้น
รูปที่ 29 การแตกหนอ่ ของหน่อไม้ รปู ที่ 30 การแตกหน่อของหนอ่ ไม้
ทีม่ า : http://sivakorngarden.xn ทม่ี า : (มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้, 2559)
- การสร้างสปอร์ (sporeformation) ไดแ้ ก่ มอส เฟิรน์ เป็นตน้
รปู ที่ 31 มอส รูปที่ 32 การสรา้ งสปอรเ์ ฟริ ์น
ที่มา : https://plykong27.wordpress.com ทมี่ า : http://goo.gl/ozuLFx
หน่วยท่ี 1 I การดำรงชวี ิตของพืช
42 หนงั สือเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์
- การตอนกิง่ (marcotting) ไดแ้ ก่ กุหลาบ มะม่วง สม้ เงาะ เปน็ ตน้
1. เลอื กก่งิ ทแ่ี กพ่ อสมควร 2. ควน่ั รอบก่ิง 2 รอย 3. กรดี ระหวา่ งรอยควัน่ บนและด่าง 4. แกะเปลอื กออก
5. ใชค้ มมดี ขูดเยอื่ เจรญิ จากบนลงลา่ ง 6. ทาฮอร์โมนบรเิ วณรอยกรีดและแผลตอนบน
7. ผ่าถุงบรรจขุ ุยมะพรา้ วตามยาว ดันถงุ ทางด้านทอ้ งกงิ่ ใหค้ ลุมรอยแผล และมัดหวั ท้ายให้แน่น
8. หลงั จากทก่ี ิ่งตอนออกรากและแขง็ แรงดี จึงตดั ไปชำหรือปลกู ต่อไป
รปู ท่ี 33 การตอนกง่ิ
ทมี่ า : ชาวนา@เกษตรพอเพียง.คอม
หนว่ ยที่ 1 I การดำรงชวี ิตของพชื 43
หนังสอื เรยี นรายวิชาวทิ ยาศาสตร์
- การติดตา (budding) ไดแ้ ก่ กหุ ลาบ ยางพารา เป็นตน้
รูปที่ 34 การติดตา
ที่มา : https://sites.google.com
- การปกั ชำ (cutting) ได้แก่ ชบา เฟอื่ งฟา้ เป็นตน้
รปู ที่ 35 การปกั ชำ
ที่มา : https://sites.google.com
หนว่ ยท่ี 1 I การดำรงชีวิตของพชื
44 หนังสอื เรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
4.2 การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ (Sexual reproduction)
การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของพชื มกี ารทำงานคล้ายกบั สัตว์ คอื ต้องมีการรวมตวั กนั ของเซลลส์ บื พันธ์เุ พศเมยี และ
เพศผู้ซง่ึ เกิดขน้ึ ในดอก ดอกนัน้ จึงจะพร้อมและเรม่ิ กระบวนการต่อไปเพอ่ื ขยายพนั ธ์ุ และแมว้ า่ ดอกไม้แตล่ ะสายพนั ธ์ุจะมี
รปู รา่ งหน้าตาทแี่ ตกตา่ งกนั แต่โครงสรา้ งหลัก ๆ ของดอกมีอยู่ 4 สว่ น
รูปท่ี 36 การสบื พนั ธ์ขุ องพืชดอก
ท่ีมา: www.slideshare.net
พชื ท่มี โี ครงสร้างดอกครบทัง้ 4 สว่ นเรียกวา่ ดอกสมบูรณ์ (Complete flower)
หากมีไมค่ รบ 4 สว่ นเรียกวา่ ดอกไมส่ มบูรณ์ (Incomplete flower) และหากพจิ ารณาทโี่ ครงสรา้ งสบื พันธุ์
ในดอกท่มี ีครบทั้งสองเพศจะเรียกว่า ดอกสมบรู ณเ์ พศ (Perfect flower) และดอกทม่ี เี พียงเพศใดเพศหนงึ่
จะเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect flower)
หน่วยที่ 1 I การดำรงชีวติ ของพชื 45
หนงั สอื เรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์
1) กลบี เลย้ี ง (Sepals) มกั เจริญมาจากใบ มีหน้าที่ปอ้ งกนั ดอกจากอนั ตรายภายนอก ส่วนใหญม่ ักมสี ีเขยี ว
แตส่ ำหรบั พืชบางสายพันธุอ์ าจมกี ารเปลีย่ นสหี รอื รูปรา่ งท่ีแปลกตาออกไปเพ่ือลอ่ แมลงให้มาผสมเกสร
2) กลบี ดอก (Petals) เป็นกลบี ของดอกไม้ทแี่ ท้จริง โดยจะอยูถ่ ัดจากกลีบเลี้ยงเข้าไปด้านในของดอก มีสสี ัน
สดใสสะดดุ ตา มหี น้าท่ีสำคัญในการสรา้ งความโดดเด่นสะดุดตาแมลง และล่อใหแ้ มลงมาช่วยในการผสมพนั ธุ์
ให้ไดม้ ากท่สี ุด
3) เกสรตวั ผู้ (Stamen) ทำหนา้ ที่สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศผู้ สำหรับพชื บางชนิดอาจจะวิวฒั นาการให้เกสรตัวผู้
มีการผลิตน้ำหวานออกมาเพอ่ื ช่วยลอ่ แมลงได้เช่นกัน เกสรตวั ผู้มกั มีหลายอันในหนง่ึ ดอก และในแต่ละอนั ก็จะ
มโี ครงสร้างทีเ่ รียกว่า กา้ นเกสรตัวผู้ (Filament) อบั เรณู (Anther) ซง่ึ เปน็ ส่วนที่มลี ะอองเรณู (Pollen grain)
อยภู่ ายในเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ม่ันใจว่าเซลล์สบื พนั ธุจ์ ะตดิ ไปกบั ตัวแมลงให้ได้มากท่สี ุด
4) เกสรตัวเมีย (Pistil) มักจะอยู่ด้านในสุดของดอก ส่วนของยอดเกสรตัวเมีย (Stigma) มักมสี ารเหนียวเพอื่ ใช้
ดักจบั ละอองเรณู บริเวณแกนกลางของดอก หรือส่วนที่ตำ่ ท่ีสดุ ของเกสรตวั เมียจะมีโครงสรา้ งเปน็ กระเปาะซงึ่
เรียกวา่ รงั ไข่ (Ovary) เป็นทอ่ี ยู่ของเซลลส์ บื พันธุ์เพศเมีย โดยอาจจะมีเพียงเซลล์เดียว หรอื อาจจะแบ่งเปน็ หอ้ ง
เล็ก ๆ ยอ่ ย ๆ โดยแต่ละหอ้ งก็มเี ซลล์สบื พนั ธ์เุ พศเมียอยู่
รปู ที่ 37 พชื ทมี่ โี ครงสรา้ งดอกครบทงั้ 4 ส่วน
ท่ีมา: http://mis.agri.cmu.ac.th
หน่วยที่ 1 I การดำรงชวี ติ ของพชื
46 หนงั สือเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์
4.3 การสร้างเซลล์สืบพนั ธขุ์ องพืชดอก
เซลล์สืบพันธ์ุของพชื ดอก มี 2 ชนดิ คือ เซลล์สืบพนั ธเ์ุ พศผู้ และเซลล์สืบพนั ธเุ์ พศเมยี เซลล์สบื พันธ์ุทงั้ สองมี
ข้นั ตอนในการแบง่ เซลล์ เพอื่ ลดจำนวนโครโมโซมลงครงึ่ หน่งึ และเมื่อเกดิ การปฏิสนธิ จำนวนโครโมโซม
จะมจี ำนวนเท่าเดิมอีกครั้ง
1. เซลล์สบื พันธ์ุเพศผู้ (male gamete)
เกิดข้ึนภายในอับเรณู (anther) โดยมไี มโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (microspore mother cell)
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 1 ครั้ง ได้ 4 ไมโครสปอร์ (microspore) แตล่ ะเซลลม์ ีโครโมโซมเทา่ กัน คือ n หลังจาก
นนั้ นิวเคลยี สของแต่ละเซลลจ์ ะแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้ 2 นิวเคลียสคือ เจเนอเรทฟี นิวเคลยี ส (generative
nucleus) และทิวบ์นิวเคลยี ส (tube nucleus) เรียกเซลลใ์ นระยะนวี้ า่ ละอองเรณู (pollen grain) หรอื
แกมีโทไฟต์เพศผู้ (male gametophyte)
เมอื่ ละอองเรณูแก่เต็มทอ่ี ับเรณจู ะแตกออกทำให้ละอองเรณกู ระจายออกไปพรอ้ มท่ีจะผสมพนั ธุต์ ่อไป
ลักษณะของละอองเรณูมีความแตกตา่ งกันท้ังขนาด รูปรา่ ง ลักษณะ และจำนวน เนอ่ื งจากพชื ดอกมวี ิวฒั นาการ
ยาวนานมาก จงึ มคี วามหลากหลาย บางชนดิ ผิวขรขุ ระ บางชนิดมหี นามหรอื ปมุ่ ยน่ื ออกมา มีความเหนยี วขึน้
เม่ือตกบนยอดเกสรเพศเมยี แลว้ จะไมป่ ลวิ ไปตามลม ซึง่ เหมาะสมตอ่ การถ่ายละอองเรณูไปบนยอดเกสรเพศเมยี
จำนวนละอองเรณสู ว่ นใหญม่ จี ำนวนมากกวา่ เซลล์ไข่มาก เนือ่ งจากมีโอกาสน้อยท่ีจะตกบนยอดเกสรเพศเมยี
พอดี เพราะบางชนิดต้องถา่ ยละอองเรณขู า้ มดอกและขา้ มต้นซึง่ อยใู่ นระยะไกลๆ
รปู ท่ี 38 การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์เพศผใู้ นพืชดอก รูปท่ี 39 ละอองเรณทู ถี่ ่ายจากกล้องจลุ ทรรศน์อิเลก็ ตรอนแบบ
หรือทเี่ รียกวา่ ละอองเรณู ส่งกราด (SEM) และใชโ้ ปรแกรมตกแตง่ ภาพในการย้อมสี
ทีม่ า: https://ngthai.com ท่ีมา: https://ngthai.com
หนว่ ยที่ 1 I การดำรงชีวติ ของพืช 47
หนงั สือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์
2. เซลลส์ บื พนั ธ์เุ พศเมยี (female gamete)
เกดิ ขนึ้ ภายในรังไข่ ซ่งึ ภายในรงั ไข่อาจมีหน่งึ ออวุล (ovule) หรอื หลายออวลุ ภายในออวลุ มหี ลายเซลล์
แตม่ ีหนึ่งเซลล์ทีใ่ หญ่กวา่ เซลล์อืน่ ๆ เรยี กว่า เมกะสปอร์มาเทอรเ์ ซลล์ (megaspore mother cell) มีจำนวน
โครโมโซมเปน็ 2n จากนนั้ จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้ 4 เซลล์ แต่สลายไป 3 เซลล์ เหลือเพียง 1 เซลล์ เรียกว่า
เมกะสปอร์ (megaspore) จากนน้ั นวิ เคลยี สของเมกะสปอรจ์ ะแบ่งแบบไมโทซิส 3 ครัง้ ได้ 8 นิวเคลยี ส
จัดเรยี งตวั เป็น 3 กลุ่ม คือ
รปู ท่ี 40 การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุเพศเมีย มีกระบวนการแบง่ เซลล์หลายขั้นตอน เพอ่ื ใหม้ นี วิ เคลียสทท่ี ำหนา้ ทแ่ี ตกต่างกันไป
ท่ีมา: https://ngthai.com
1.กลมุ่ ทีอ่ ยตู่ รงขา้ มกับไมโครไพล์ มี 3 เซลล์ 3 นวิ เคลยี ส มเี ย่อื ห้มุ เปน็ 3 เซลล์
เรียกว่า แอนติโพแดล (antipodals cell)
2. กลุม่ ทอี่ ยดู่ า้ นไมโครไพล์ มี 3 เซลล์ 3 นวิ เคลียส นิวเคลียสอนั กลางมีขนาดใหญ่
เรียกวา่ เซลลไ์ ข่ (egg cell) อีก 2 อันขา้ งๆ เรยี กว่า ซินเนอน์จดิ ส์ (synergids)
3. กลุ่มที่อยกู่ ลางเซลลม์ ี 2 นวิ เคลยี ส แตม่ ีเยื่อหมุ้ รวมกันกลายเป็น 1 เซลล์
เรียกว่า โพลารน์ วิ คลีไอ (polar nuclei cell)
ดังนน้ั ภายในภายเมกะสปอร์จึงประกอบดว้ ย 7 เซลล์ ท่มี ี 8 นิวเคลียส เมกะสปอรใ์ นระยะน้เี รยี กชือ่ ใหม่
ว่าถงุ เอม็ บรโิ อ (embryo sac) หรอื แกมีโทไฟตเ์ พศเมีย (female gametophyte)
หน่วยที่ 1 I การดำรงชีวิตของพชื
48 หนงั สอื เรยี นรายวิชาวทิ ยาศาสตร์
เมอ่ื พืชดอกเจรญิ เตบิ โตเต็มท่ี จะเรม่ิ ผลติ ดอกไมเ้ พอ่ื เปน็ เซลล์สืบพนั ธุใ์ นการขยายพันธตุ์ ่อไป
ภายในดอกจะมีการสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์ โดยเกสรเพศผู้สร้างเซลล์สืบพันธ์ุตัวผ้หู รือละอองเรณเู กบ็ ไว้ในอับ
ละอองเรณู (Pollen) สว่ นเกสรเพศเมยี จะมีรงั ไข่ ซ่งึ ภายในมีไข่ (Ovule) ทำหนา้ ทเ่ี ก็บเซลล์สบื พันธ์เุ พศ
เมียไว้ การปฏสิ นธิของพชื ดอก มลี ำดบั ข้ันตอน ดังน้ี
1. การถา่ ยละอองเรณู (Pollination) คือ กระบวนการท่ลี ะอองเรณไู ปตกลงบนยอดเกสรตวั เมยี อาจเกิดขน้ึ เองตาม
ธรรมชาติ เช่น ละอองเรณูปลิวไปตามแรงลมแลว้ ไปตกลงบนยอดเกสรตวั เมีย หรืออาจเกดิ การทต่ี วั กลางในการผสมเกสร
เชน่ แมลงผสมเกสรชนิดต่าง ๆ สตั วป์ ีก หรอื เกดิ จากความตงั้ ใจของมนษุ ย์ การถ่ายละอองเรณเู กิดได้ 2 ลกั ษณะ
คอื การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน (Self Pollination) และการถ่ายละอองเรณูขา้ มดอก (Cross Pollination)
รูปท่ี 41 กระบวนการสืบพนั ธขุ์ องพชื ดอก
ทมี่ า: http://wp.pattipon.net/1876.html
หนว่ ยที่ 1 I การดำรงชวี ิตของพืช 49
หนงั สอื เรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์
• การถ่ายละอองเรณูในดอกเดยี วกนั : การถา่ ยละอองเรณูภายในต้นเดียวกนั เชน่ การถา่ ยละอองเรณู
ในดอกกล้วยไมช้ นดิ หนงึ่ มีกล่ินคลา้ ยผงึ้ ตัวเมยี ทำใหผ้ ง้ึ ตัวผู้ มาดดู กนิ น้ำหวานและได้ถา่ ยละอองเรณูให้
ดอกอืน่ ๆ แตถ่ า้ ไมม่ ีผง้ึ มา เกสรเพศผู้ก็อาจจะโค้งลงมา และมีการถ่ายละอองเรณใู นดอกเดยี วกันได้
• การถ่ายละอองเรณูข้ามดอก: การถ่ายละอองเรณูขา้ มตน้ เปน็ การถ่ายละออง เรณจู ากพชื ตน้ หน่งึ ไปยงั
อีกต้นหนงึ่ ทช่ี นิดเดียวกัน ถา้ เป็นพชื ต่างชนดิ กนั จะไม่สรา้ งหลอดละอองเรณู ละอองเรณถู ูกพาไปโดยลม
หรือแมลงที่ไปกินนำ้ หวานในดอกไม้
รปู ท่ี 42 แมลงผสมเกสร รปู ท่ี 43 แมลงผสมเกสร
ทม่ี า: https://ngthai.com ท่มี า: https://pixnio.com/th
รปู ที่ 44 การถ่ายละอองเรณขู องพชื ดอก
ท่ีมา: https://sites.google.com
หน่วยที่ 1 I การดำรงชีวติ ของพชื
50 หนังสือเรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2. การปฏสิ นธิ (Fertilization) คอื กระบวนการทเ่ี ซลลส์ ืบพนั ธ์เุ พศผู้ (ละอองเรณ)ู ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์
เพศเมีย (ไขอ่ อ่ น) เมอื่ เกดิ การถ่ายละอองเรณู ละอองเรณูจะตกอยูท่ บี่ ริเวณ micropyle ซึ่งจะมีสารก่งึ เหลว
คอยดักจับเรณูไว้ เม่อื มีสภาพทีเ่ หมาะสม ละอองเรณจู ะงอกและมกี ารเจรญิ ของทอ่ เรณเู พ่ือเข้าไปผสมกับเซลลไ์ ข่
(egg cell) โดยภายในท่อเรณูจะมีสเปริ ม์ อยู่ 2 ชนดิ ทำ ให้เกิดการผสม 2 คร้ัง (double fertilization)
คอื สเปริ ์ม 1 อัน จะผสมกบั ไขไ่ ด้เป็น zygote ซึง่ จะพัฒนาตอ่ ไปเปน็ ตน้ อ่อน (embryo) สว่ นสเปริ ม์ อีกหนงึ่ ชนิด
จะผสมกับ polar nuclei ไดเ้ ปน็ endosperm ทำหนา้ ที่เปน็ อาหารสะสมใหก้ ับตน้ อ่อน แต่ในพืชบางชนิด
อาหารสะสมให้ต้นอ่อนเกิดจากเนือ้ เยื่อที่อยู่ในรังไข่ (nucellus) หรือ perisperm
รปู ที่ 45 กระบวนการปฏิสนธขิ องพชื ดอก
ทีม่ า: https://ngthai.com
หน่วยที่ 1 I การดำรงชวี ติ ของพชื 51
หนงั สอื เรียนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์
หลงั จากปฏสิ นธิแล้ว
• รังไข่ (ovary ) เจรญิ เปน็ ผล
• ผนงั รังไข่ (ovary wall ) เจริญเปน็ เปลอื กและเนอ้ื ของผลไม้
• ออวลุ (ovule ) เจรญิ เปน็ เมลด็
• ไข่ (egg ) เจรญิ เปน็ ต้นอ่อนอย่ภู ายในเมล็ด
• โพลารน์ ิวเคลียส (polar nucleus ) เจรญิ เป็น เอนโดสเปิร์ม
• เยอื่ ห้มุ ออวลุ (integument ) เจรญิ เป็น เปลือกหุ้มเมลด็
สำหรบั สว่ นประกอบอ่นื ๆ ของดอกจะเหย่ี วแห้งและสลายตวั ไป
ปัจจัยที่ทำใหเ้ กิดการถ่ายละอองเรณูและการปฏสิ นธิ
ปจั จัยต่าง ๆ ทท่ี ำใหเ้ กิดการถ่ายละอองเรณู (Pollination agent) เชน่ ลม แมลง น้ำหรอื สัตว์อืน่ ๆ จะเป็น
สอ่ื พาละอองเรณูไป ดว้ ยเหตนุ ี้โครงสรา้ งของดอกทวั่ ไปจึงมกี ารปรบั ตัวให้เหมาะสมกับส่ือแต่ละอย่าง เพื่อทำใหก้ าร
ถ่ายละอองเรณแู ละการปฏสิ นธิมปี ระสทิ ธิภาพสงู ข้นึ ปจั จัยที่ทำใหเ้ กิดการถ่ายละอองเรณูได้แก่
1. ลม ดอกไม้ทีม่ ลี มเป็นสอ่ื พาละอองเรณูไปจะมีละอองเรณูจำนวนมาก แหง้ และเบา สามารถปลิวไปกับลม
ได้ง่ายและไปไดไ้ กล ๆ ดอกมกั มขี นาดเลก็ ไม่มีกล่ินหอม ไมม่ นี ำ้ หวานสำหรับลอ่ แมลง เช่น ดอกข้าวและดอกพชื
ตระกลู หญา้ ต่าง ๆ ละหงุ่ พวกสนเก๊ียะ ละอองเรณยู งั มปี ีก 2 ขา้ ง ช่วยใหป้ ลิวไดง้ ่ายและดีข้นึ สำหรับยอดเกสรตัว
เมียของพชื พวกทมี่ ีลมเป็นสือ่ พาไปมกั จะมกี ารแตกเป็นฝอยคล้ายขนนกหรอื มยี างเหนยี วๆ เพื่อจบั ละอองเรณู การใช้
ลมพาไปเรียกวา่ ”แอนีโมฟีล”ี (anemophily)
2. แมลง ดอกไม้ทีม่ ีแมลงเป็นสอ่ื พาละอองเรณไู ปมักเปน็ ดอกไมท้ ีม่ สี สี นั สวย กลนิ่ หอม และมีต่อมน้ำหวาน
เพือ่ ลอ่ แมลงใหม้ าหาอาหาร ซงึ่ ทำใหล้ ะอองเรณตู ิดไปตามปกี ขา ลำตัว ปากของแมลง ละอองเรณขู องดอกพวกนี้
มักจะเหนียวทำให้ตดิ กบั แมลงได้งา่ ยเมอื่ แมลงบินไปทีด่ อกอ่ืนกจ็ ะพาเอาละอองเรณไู ปผสมได้ง่าย แมลงพวกน้ี ได้แก่
ผีเสือ้ ผึง้ แมลงภู่ การใช้แมลงเปน็ ส่อื ในการนำละอองเรณไู ปแบบนเ้ี รยี กวา่ “เอนโทโมฟิล”ี (entomophily)
3. สัตว์อื่น ๆ เช่น นกซึ่งชอบกินเกสรดอกไม้ ซึง่ มอี ย่คู อ่ นข้างน้อย เช่น นกฮัมมิง่ (Humming bird)
การใช้นกเป็นสอื่ ในการพาละอองเรณูไปเรยี กวา่ “ออร์นโิ ทฟีล”ี (ornithophily)
4. นำ้ พืชทใ่ี ชน้ ำ้ เป็นสอื่ ในการพาละอองเรณไู ปก็ คอื พวกพืชน้ำเปน็ สว่ นใหญ่ การใช้น้ำเปน็ ส่อื ในการพา
ละอองเรณูไปเรียกว่า “ไฮโดรฟลี ี” (hydrophily)