The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรภาษาไทย ม.3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรภาษาไทย ม.3

หลักสูตรภาษาไทย ม.3

บทนำ

หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนวัดใหม่ลำนกแขวก ได้จัดทำขึ้นโดยใชก้ รอบและแนวทางทหี่ ลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้วางไว้โดยให้ท้องถ่ินได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา
หลักสูตรร่วมกันเพ่ือสนองเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางที่มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับ
การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานมคี ุณภาพดา้ นความรแู้ ละทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชวี ิตในสงั คมทมี่ ีการเปล่ียนแปลงและ
แสวงหาความร้เู พ่ือพัฒนาตนเองอย่างต่อเนอื่ งตลอดชีวติ

ความสำคญั

ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณ์ประจำชาติ เปน็ สมบัติทางวัฒนธรรมอนั ก่อใหเ้ กิดความเป็นเอกภาพและเสรมิ สรา้ ง
บคุ ลิกภาพของคนในชาติให้มคี วามเปน็ ไทย เปน็ เครอื่ งมือติดต่อส่อื สารเพอื่ สรา้ งความเข้าใจและความสมั พนั ธท์ ี่ดตี ่อ
กนั และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ การสอนภาษาไทยในปัจจุบันจึง
ไดเ้ ปลยี่ นแนวคิดไปจากเดมิ ไมเ่ น้นการอา่ นออกเขยี นได้เพยี งอยา่ งเดยี ว แต่จะเนน้ การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารกับ
ผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้
อย่างสันติสุข ใช้ภาษาในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตในสังคม ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ประสบการณ์จาก
แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนกาคิดวิเคราะห์ วิจารณ์และสรา้ งสรรค์ให้ทันต่อ
การเปล่ียนแปลงทางสังคม ความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใชใ้ นการพัฒนาอาชีพให้มี
ความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสื่อทีแ่ สดงภูมปิ ัญญาของบรรพบรุ ุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และ
สุนทรียภาพ เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติท่ีควรค่าแก่การเรียนรู้ เพ่ือ
อนรุ ักษ์และสบื สานใหค้ งอยู่คู่ชาตไิ ทยตลอดไป

สาระสำคัญในสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และเพือ่ นำไปใช้ในชีวติ จรงิ

➢ การอ่าน การอา่ นออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพนั ธ์ชนดิ ตา่ ง ๆ การอ่านใน
ใจ
เพอ่ื สรา้ งความเข้าใจ และการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะหค์ วามรจู้ ากส่ิงที่อา่ น เพ่อื นำไป ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
➢ การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน
ซ่ึง
รวมถึงการเขียนเรียงความ ยอ่ ความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขยี นตามจนิ ตนาการ วเิ คราะห์วจิ ารณ์ และเขียนเชิง
สรา้ งสรรค์
➢การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
พดู
ลำดบั เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ อย่างเป็นเหตเุ ปน็ ผล การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ทง้ั เป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการ
พูดเพือ่ โนม้ น้าวใจ
➢หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับ
โอกาส
และบุคคล การแตง่ บทประพันธป์ ระเภทต่าง ๆ และอทิ ธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย
➢วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมลู แนวความคิด คุณค่าของ
งานประพนั ธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรูแ้ ละทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเลน่ ของเดก็

➢เพลงพื้นบ้าน ที่เป็นภูมิปัญ ญาท่ีมีคุณค่าของไทย ซ่ึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม
ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพ่ือให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจ ในบรรพ
บุรุษทไี่ ด้สัง่ สมสบื ทอดมาจนถึงปัจจบุ ัน

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรแู้ ละความคิดเพื่อนำไปใช้ตดั สินใจ แก้ปญั หาในการดำเนินชวี ิต
และมีนสิ ยั รกั การอ่าน
สาระที่ ๒ การเขยี น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขยี นเขยี นส่อื สาร เขียนเรยี งความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวในรปู แบบต่างๆ เขียน

รายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้ อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟงั และดูอย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สกึ ใน

โอกาสตา่ ง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
สาระที่ ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา

ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ขิ องชาติ
สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมา

ประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจริง

วสิ ัยทศั นข์ องกลมุ่ สาระภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ของคนในชาติ และเป็นวัฒนธรรมของชาติ การเรียนภาษาไทยต้องเรียนรู้
เพ่ือใหเ้ กิดทักษะอยา่ งถูกต้อง เหมาะสมในการสอื่ สาร เปน็ เครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณเ์ รยี นรู้

ให้เกิดความช่นื ชม ซาบซ้งึ และภูมิใจในภาษาไทย โดยเฉพาะคุณคา่ ของวรรณคดีและภมู ิปัญญาของบรรพบุรุษท่ีได้
สรา้ งสรรคไ์ ว้

การเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้เกิดสร้างสรรค์ คิดวพิ ากษ์วิจารณ์คิดตัดสินใจแก้ปัญหาและวินิจฉัย
อย่างมีเหตุผลและสร้างเสรมิ บุคลิกภาพของผู้ใชภ้ าษาให้เกิดความน่าเช่ือถือด้วยการใช้ภาษาอย่างมีเหตผุ ล ใช้ภาษา
ในทางสรา้ งสรรค์และใช้ภาษาอย่างสละสลวยงดงาม

ภาษาไทยเปน็ ทักษะท่ตี ้อฝกึ ฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาส่ือสาร ความรู้และประสบการณ์ การ
เรียนภาษาไทยจะต้องเรียนเพื่อการส่อื สารให้สามารถรบั ร้ขู ้อมูลขา่ วสารไดอ้ ย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถใช้ภาษาได้
ถกู ต้องตามความหมายและถูกตอ้ งตามกาลเทศะและมีประสิทธภิ าพ

ภาษาไทยมีส่วนท่ีเป็นเน้ือหา สาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษา ซึ่งผู้ใช้ภาษาจะต้องรู้และใช้ภาษาให้
ถูกตอ้ ง นอกจากนน้ั ยังมีวรรณคดีและวรรณกรรมพ้นื บ้าน ซ่ึงเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและเป็นภูมปิ ัญญาทาง
ภาษาที่ถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดตลอดจนค่านิยม ความงดงามของภาษาในบท
ประพันธ์ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง ประเภทต่าง ๆ ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาให้เกิดความซาบซ้ึงและความภูมิใจใน
ภาษาไทยและผลงานทางภาษา ซึ่งบรรพบุรุษได้สั่งสมและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และจะต้องสืบทอดต่อไปใน
อนาคต เพอื่ ความเปน็ ไทยและวฒั นธรรมทางภาษา

พันธกิจของกลุ่มสาระ

หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรยี นวดั ใหม่ลำนกแขวก ไดใ้ ชห้ ลักการพฒั นาหลกั สตู รตามแบบของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานซงึ่ มีหลักการท่สี ำคัญ ดังน้ี

๑.เป็นหลกั สูตรการศึกษาเพื่อความเปน็ เอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรยี นรู้ เป็น
เปา้ หมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพน้ื ฐาน ของความเปน็ ไทยควบคู่
กบั ความเปน็ สากล

๒. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ ับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ
๓. เป็นหลักสูตรการศกึ ษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมสี ว่ นร่วมในการจดั การศึกษา ให้สอดคล้อง
กับสภาพและความต้องการของท้องถน่ิ
๔. เป็นหลักสูตรการศกึ ษาที่มโี ครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรยี นรู้
๕. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาทเ่ี น้นผ้เู รียนเป็นสำคญั
๖. เป็นหลกั สูตรการศึกษาสำหรบั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศยั ครอบคลุมทุก
กลมุ่ เป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

เป้าหมายของกลุ่มสาระ

หลักสูตรสถานศึกษามีความมงุ่ หมายในการพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ ปน็ คนดี มีปญั ญา มคี วามสุข
มศี กั ยภาพในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจดุ หมายเพอื่ ให้เกดิ กับผเู้ รยี น เมอื่ จบการศกึ ษาขนั้
พ้นื ฐาน ดังน้ี

๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาทีต่ นนับถอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

๒. มคี วามรู้ ความสามารถในการสือ่ สาร การคิด การแกป้ ญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชวี ติ
๓. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทดี่ ี มสี ขุ นสิ ัย และรกั การออกกำลงั กาย
๔. มีความรักชาติ มจี ิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวติ และ การปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ
๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต
สาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชนแ์ ละสร้างส่ิงทีด่ งี ามในสังคม และอย่รู ว่ มกันในสังคมอย่างมคี วามสุข

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของกลมุ่ สาระ

หลักสตู รสถานศกึ ษาของกลมุ่ สาระภาษาไทย มุ่งเน้นพฒั นาผู้เรยี นให้มคี ุณภาพตามมาตรฐานมีสมรรถนะ
สำคัญและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ดงั นี้

 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

สมรรถนะสำคญั ๕ ประการ คือ
๑. ความสามารถในการสอ่ื สาร เปน็ ความสามารถในการรบั และสง่ สาร มีวัฒนธรรมในการใชภ้ าษา
ถ่ายทอดความคดิ ความรู้ความเขา้ ใจ ความรู้สกึ และทศั นะของตนเองเพือ่ แลกเปล่ยี นข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทงั้ การเจรจาตอ่ รองเพ่ือขจัดและลดปัญหา
ความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลือกรบั หรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลกั เหตุผลและความถกู ตอ้ ง ตลอดจนการเลือกใช้
วิธีการสอ่ื สาร ทม่ี ีประสิทธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมีตอ่ ตนเองและสังคม
๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรหู้ รือสารสนเทศเพื่อ
การตดั สนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอปุ สรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อยา่ ง
ถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและขอ้ มูลสารสนเทศ เข้าใจความสมั พนั ธแ์ ละการ
เปลย่ี นแปลงของเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความร้มู าใช้ในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหา
และมกี ารตดั สนิ ใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่เี กิดขนึ้ ตอ่ ตนเอง สังคมและส่ิงแวดล้อม
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไปใช้ในการดำเนิน
ชีวติ ประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรอู้ ย่างต่อเน่ือง การทำงาน และการอยู่ร่วมกนั ในสงั คมดว้ ยการสรา้ ง
เสริมความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตวั ให้ทันกบั
การเปลยี่ นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อ
ตนเองและผอู้ นื่
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอ่ื การพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรยี นรู้ การส่อื สาร การทำงาน การ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม

 คุณลักษณะของผ้เู รียนท่พี งึ ประสงค์

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดใหม่ลำนกแขวก มุ่งพัฒนาผูเ้ รียนให้มีคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยูร่ ่วมกบั ผ้อู ื่นในสังคมได้อย่างมคี วามสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั น้ี

๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึง การปฏิบัติตนเป็นคนดีในสังคม มีความรักชาติ ศาสนา
พระมหากษตั ริย์

๒. ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ หมายถึง ปฏิบัติตนอยา่ งตรงไปตรงมา ท้งั กาย วาจา ใจ
๓. มีวนิ ัย หมายถึง ปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ของโรงเรยี น ครอบครวั ชมุ ชน และกิจกรรมในหอ้ งเรยี น เช่น
สมดุ งาน ชิน้ งาน สะอาดเรยี บร้อยปฏบิ ัติตนอยู่ในข้อตกลงท่กี ำหนดให้ร่วมกนั ทกุ คร้ัง
๔. ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง ลักษณะของบุคคลท่ีมีความกระตือรือร้นในการเรียน รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็น
ประโยชน์ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรทู้ ห่ี ลากหลาย และสามารถถ่ายทอดเผยแพร่ องคค์ วามรู้ให้กับผอู้ ื่น
๕. อยู่อย่างพอเพยี ง หมายถึง มีความเป็นอยู่อยา่ งพอเพียง รู้จกั การดำรงชวี ิตใหม้ ีคุณคา่
๖. มงุ่ มั่นในการทำงาน หมายถงึ ม่งุ ม่ันทำงานอยา่ งรอบคอบ จนประสบผลสำเร็จ
๗. รักความเปน็ ไทย หมายถึง มคี วามตระหนักเห็นคณุ คา่ ของความเป็นไทย และมเี จตคตทิ ่ีดี รักษา
เอกลักษณ์ ไทย และขนบธรรมเนยี มประเพณี
๘. มจี ิตสาธารณะ หมายถงึ มคี วามสำนึกและมงุ่ ทำประโยชน์และสร้างส่ิงทีด่ ีงามในสงั คม และอยู่ร่วมกนั
ในสงั คมอยา่ งมีความสุข

คณุ ภาพผู้เรียน

จบชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๓
• อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองเปน็ ทำนองเสนาะได้ถกู ตอ้ ง เข้าใจความหมายโดยตรงและ

ความหมายโดยนยั จับใจความสำคญั และรายละเอยี ดของส่งิ ทอี่ ่าน แสดงความคิดเห็นและขอ้ โต้แยง้ เก่ยี วกับเร่ืองท่ี
อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมี
เหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมลู ที่ใช้
สนับสนนุ จากเรอื่ งทอ่ี า่ น

• เขียนสื่อสารด้วยลายมือท่ีอ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษาเขียนคำขวัญ
คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ
เขยี นยอ่ ความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้ง
อยา่ งมีเหตผุ ล ตลอดจนเขียนรายงานการศกึ ษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน

• พดู แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไปประยุกต์ใช้ใน
ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น พู ด ร า ย ง า น เร่ื อ ง ห รื อ ป ร ะ เด็ น ที่ ได้ จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า อ ย่ า ง เป็ น ร ะ บ บ
มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ รวมท้ังมี
มารยาทในการฟงั ดู และพูด

• เขา้ ใจและใชค้ ำราชาศพั ท์ คำบาลสี นั สกฤต คำภาษาต่างประเทศอ่นื ๆ คำทับศพั ท์ และศพั ทบ์ ัญญัติ
ในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะ
ภาษาทเ่ี ป็นทางการ กง่ึ ทางการและไมเ่ ป็นทางการ และแตง่ บทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสี่สภุ าพ

ตารางมาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชีว้ ัด กล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย

ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชี้วัด

สาระท่ี ๑ การอา่ น

มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ น ๑. อา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองได้
สร้างความรู้และความคิดเพอื่ นำไปใช้
ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนนิ ชวี ิต ถกู ต้อง และเหมาะสมกบั เร่อื งทอี่ ่าน
๒. ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมายโดยตรง
และมนี สิ ยั รกั การอา่ น
และความหมายโดยนัย

๓. ระบใุ จความสำคัญและรายละเอยี ดของขอ้ มลู ท่ี
สนับสนุนจากเรือ่ งทีอ่ ่าน

๔. อ่านเรื่องต่าง ๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ

บันทึก ยอ่ ความ และรายงาน
๕. วิเคราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ เรือ่ งท่อี ่าน

โดยใช้กลวิธกี ารเปรียบเทียบ เพ่อื ให้ผูอ้ ่านเข้าใจได้ดขี ้ึน
๖. ประเมินความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ทใี่ ชส้ นบั สนุน

ในเรอื่ งที่อ่าน

๗. วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลำดับความ
และความเป็นไปไดข้ องเรอื่ ง

๘. วเิ คราะหเ์ พอ่ื แสดงความคดิ เห็นโต้แย้งเกย่ี วกับ
เรื่องทอี่ า่ น

๙. ตีความและประเมินคณุ ค่าแนวคิดทีไ่ ด้จากงานเขยี น

อย่างหลากหลาย เพ่ือนำไปใชแ้ ก้ปญั หาในชีวิต
๑๐. มีมารยาทในการอ่าน

สาระที่ ๒ การเขียน ๑. คดั ลายมอื ตวั บรรจงครงึ่ บรรทัด

มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน ๒. เขียนขอ้ ความโดยใชถ้ อ้ ยคำไดถ้ กู ตอ้ ง
เขยี นสือ่ สาร เขยี นเรียงความ ย่อความ ตามระดับภาษา
และเขยี นเร่อื งราวในรูปแบบต่าง ๆ
เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและ ๓. เขียนชวี ประวัติหรอื อัตชวี ประวัติโดยเล่าเหตกุ ารณ์
รายงานการศึกษาค้นคว้าอยา่ งมี ข้อคิดเห็นและทัศนคตใิ นเร่ืองต่าง ๆ

ประสิทธิภาพ ๔. เขียนย่อความ

๕. เขียนจดหมายกิจธรุ ะ
๖. เขียนอธบิ าย ช้ีแจง แสดงความคิดเหน็ และโต้แย้ง

อย่างมีเหตุผล
๗. เขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดงความรู้

ความคดิ เห็น หรือโต้แยง้ ในเรอ่ื งตา่ ง ๆ

๘. กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขยี นบรรยายเก่ียวกับ
ความรแู้ ละทักษะของตนเองทเ่ี หมาะสมกบั งาน

๙. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน
๑๐. มมี ารยาทในการเขียน

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพดู
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและ ๑. แสดงความคิดเหน็ และประเมนิ เรื่องจากการฟงั
ดูอย่างมีวจิ ารณญาณ และพดู แสดง และการดู
ความรู้ ความคิด และความรสู้ ึกใน
โอกาสต่าง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณ ๒. วิเคราะห์และวิจารณ์เรอื่ งทฟี่ ังและดเู พ่อื นำขอ้ คดิ
และสร้างสรรค์ มาประยุกตใ์ ช้ในการดำเนนิ ชวี ติ

สาระท่ี ๔ หลักการใชภ้ าษาไทย ๓. พูดรายงานเรือ่ งหรอื ประเด็นทศี่ กึ ษาคน้ ควา้
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติ จากการฟัง การดู และการสนทนา
ของภาษาและหลกั ภาษาไทย
การเปลยี่ นแปลงของภาษาและ ๔. พดู ในโอกาสต่าง ๆ ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์
พลงั ของภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา ๕. พดู โนม้ น้าวโดยนำเสนอหลกั ฐานตามลำดับเน้ือหา
และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติ
ของชาติ อยา่ งมเี หตุผลและน่าเชอ่ื ถือ
สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม ๖. มมี ารยาทในการฟงั การดแู ละการพดู
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดง
ความคิดเห็น วจิ ารณว์ รรณคดี ๑. จำแนกและใช้คำภาษาตา่ งประเทศที่ใช้ในภาษาไทย
และวรรณกรรมไทยอย่างเหน็ คุณค่า ๒. วเิ คราะห์โครงสรา้ งประโยคซบั ซ้อน
และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตจริง ๓. วิเคราะห์ระดับภาษา
๔. ใช้คำทับศพั ท์และศัพท์บญั ญตั ิ
๕. อธิบายความหมายคำศพั ทท์ างวิชาการและวิชาชีพ
๖. แต่งบทร้อยกรอง

๑. รปู เนอื้ หาวรรณคดี วรรณกรรม
และวรรณกรรมท้องถ่นิ ในระดบั ทีย่ ากยิ่งขึ้น

๒. วิเคราะหว์ ถิ ีไทยและคุณค่าจากวรรณคดี
และวรรณกรรมที่อา่ น

๓. สรปุ ความร้แู ละขอ้ คดิ จากการอ่านเพอื่ นำไป
ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ จริง

๔. ท่องจำและบอกคณุ คา่ บทอาขยานตามทก่ี ำหนด
และบทรอ้ ยกรองท่ีมีคุณคา่ ตามความสนใจ
และนำไปใชอ้ ้างอิง

ที่มา : หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กระทรวงศกึ ษาธิการ

ตารางวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรยี นรู้รายช
กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไ

มาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วดั

สาระท่ี ๑ การอ่าน สาระท่ี ๒

หน่วยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑
บทละครพูดเรื่องเหน็ แกล่ ูก  
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒
นิทานคากลอนเร่ือง 
พระอภยั มณี 
ตอนพระอภยั มณี
หนีนางผีเส้ือสมุทร 

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓  
พระบรมราโชวาท

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔
อศิ รญาณภาษิต

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๕
บทพากยเ์ อราวณั

สรุป

ชัว่ โมงกับมาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชี้วัด
ไทย ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓

๒ การเขียน สาระท่ี ๓ การฟัง การดู สาระที่ ๔ หลักการใช้ สาระที่ ๕
และการพูด ภาษาไทย วรรณคดี
และวรรณกรรม

๒.๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑ ๒ ๓ ๔

    

   

    

  

    

          

คำอธิบายรายวชิ า

ภาษาไทย ท ๒๓๑๐๑ , ท ๒๓๑๐๒ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ เวลาเรียน ๑๒๐ ชั่วโมง จำนวน ๓ หน่วยกิต

➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢

ศึกษาและจำแนกการใช้คำภาษาต่างประเทศท่ีใช้ในภาษาไทย วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน
วเิ คราะหร์ ะดบั ภาษา ใชค้ ำทบั ศัพท์และศพั ท์บัญญัติ อธิบายความหมายคำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ แตง่
บทร้อยกรอง อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วร้อยกรองได้ถูกต้อง ระบุความแตกต่างของคำท่ีมีความหมายโดยตรงและ
ความหมายโดยนัย ระบุใจความสำคัญและรายละเอียดของข้อมูลท่ีสนบั สนนุ จากเรือ่ งท่ีอ่าน อ่านเรื่องตา่ ง ๆ แล้ว
เขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความ วิเคราะห์ วิจารณ์และประเมินเรื่องที่อ่าน โดยใช้กลวิธีการ
เปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีข้ึน ประเมินความถูกต้องของข้อมูลท่ีใช้สนับสนุนในเร่ืองท่ีอ่าน วิจารณ์ความ
สมเหตสุ มผล การลำดบั ความและความเปน็ ไปได้ของเรอ่ื ง วิเคราะหเ์ พ่อื แสดงความคดิ เหน็ โต้แยง้ เกีย่ วกับเร่ือง
ท่ีอ่าน ตีความและประเมินคุณค่าแนวคดิ ที่ได้จากงานเขยี นอยา่ งหลากหลาย เพอื่ นำไปใช้แกป้ ัญหาในชีวติ

มีมารยาทในการอ่าน คดั ลายมือตัวบรรจงครึง่ บรรทัด และเขียนข้อความโดยใช้ถอ้ ยคำได้ถูกต้องตามระดับ
ภาษา เขียนชีวประวัติหรืออตั ชีวประวตั ิ โดยการเลา่ เหตุการณ์ ข้อคิดเหน็ และทัศนคตใิ นเร่ืองต่าง ๆ เขยี นย่อความ
เขียนจดหมายกิจธุระ เขียนอธิบายช้ีแจง และความคิดเห็น และโต้แย้งอย่างมีเหตุผล เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และ
แสดงความรู้ ความคิดเห็นหรือโต้แย้งในเร่ืองต่าง ๆ กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขียนบรรยายเก่ียวกับความรู้ และ
ทักษะของตนเองท่ีเหมาะสมกบั งาน เขยี นรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ และโครงงาน มีมารยาทในการเขียน แสดงความ
คิดเห็นและประเมินเรื่องจากการฟังและการดู วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เร่ืองที่ฟังและดู เพ่ือนำข้อคิดมาประยุกต์ใช้ใน
การดำเนินชีวิต พดู รายงานเร่ืองหรอื ประเด็นท่ีศึกษา ค้นคว้าจากการฟัง การดูและการสนทนา พูดในโอกาสต่าง ๆ
ไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ พูดโนม้ นา้ วโดยการนำเสนอหลักฐานตามลำดบั เน้อื หา อย่างมเี หตุผลและนา่ เชอื่ ถอื

มมี ารยาทในการฟัง การดแู ละการพูด สรุปเนอ้ื หาวรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถ่ินในระดับที่
ยากยิ่งข้ึน วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพ่ือ
นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ทอ่ งจำและบอกคณุ ค่าบทอาขยานตามทีก่ ำหนด และบทร้อยกรองท่ีมีคุณค่าตามความ
สนใจและนำไปใช้อา้ งองิ

รหัสตัวช้ีวดั
ท ๑.๑ ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, ม. ๓/๑๐
ท ๒.๑ ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, ม. ๓/๑๐

ท ๓.๑ ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ม. ๓/๖
ท ๔.๑ ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ม. ๓/๖
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ม. ๓/๔
รวมทงั้ หมด ๓๖ ตัวช้ีวัด

โครงสรา้ งรายวชิ า

รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ วิชาภาษาไทย กลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓
ภาคเรยี นท่ี ๑ จำนวน ๑.๕ หนว่ ยกิต เวลาเรียน ๖๐ ชัว่ โมง

หนว่ ยท่ี ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตวั ชีว้ ัด เรยี น คะแนน
(ชวั่ โมง)
๑ บทละครพูดเรอ่ื ง ท ๑.๑ ม. ๓/๑, ๑. การเขา้ ใจความหมายของ ๓๕
เหน็ แก่ลกู ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, คำศพั ท์จะทำให้อ่านออกเสยี งได้ ๒๑

ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ถูกต้องและยงั สามารถเข้าใจเรือ่ ง
ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ทีอ่ า่ น
ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, ๒. การอ่านออกเสยี งวรรณกรรม

ม. ๓/๑๐, ประเภทร้อยแกว้ ผูอ้ ่านต้องอา่ น
ท ๒.๑ ออกเสยี งใหถ้ ูกตอ้ ง ชัดเจน และ

ม. ๓/๑, ม. ๓/๒, มลี ลี าการอา่ นเหมาะสมกับ
ม. ๓/๔, ม. ๓/๙, ประเภทของงานเขยี นเพือ่
ม. ๓/๑๐, ถา่ ยทอดอารมณ์ไปสูผ่ ฟู้ ังให้

ท ๓.๑ คล้อยตามไปกับเรอ่ื งราวหรอื
ม. ๓/๔, ม. ๓/๖ บทประพนั ธ์ท่ีอา่ น

ท ๔.๑ ม. ๓/๒, ๓. การอ่านเพอื่ จับใจความสำคญั
ม. ๓/๓ เปน็ พน้ื ฐานท่จี ำเปน็ ในการศกึ ษา
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, หาความรู้จงึ ควรฝกึ ฝนให้เกิด

ม. ๓/๒, ม. ๓/๓ ความชำนาญจนสามารถจบั
ใจความสำคัญในงานเขยี น

ทุกประเภท
๔. การอ่านตคี วามเปน็ การอ่าน
เพอ่ื ทำความเข้าใจความคิด

ความรู้สกึ จากขอ้ ความท่ีผูเ้ ขยี น
สอื่ ใหอ้ า่ น โดยอาศัยพน้ื ความรู้

เดิม ความสนใจ ประสบการณ์
ระดับสตปิ ญั ญา และวยั ด้วยเหตุ
นี้การอ่านตีความจงึ ตอ้ งอาศยั

กระบวนการคิด เพอ่ื นำมา
วิเคราะห์ คดิ ไตรต่ รองหาเหตุผล

ซ่ึงจะชว่ ยใหผ้ อู้ ่านเข้าใจไดอ้ ย่าง
ลึกซ้งึ เห็นคณุ คา่ และตีความ
เนอื้ หาของเรอ่ื งนั้น ๆ ให้ถูกตอ้ ง

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรยี น คะแนน
(ชั่วโมง)

๕. การวเิ คราะหว์ ิถีไทยและ

คณุ ค่าจากวรรณคดีและ

วรรณกรรมที่อา่ นเปน็ การ

พจิ ารณาองค์ประกอบทกุ สว่ น

โดยวิธแี ยกแยะรายละเอียดตา่ ง

ๆ ต้งั แตถ่ อ้ ยคำสำนวน เน้อื เร่อื ง

และแนวคิด ทป่ี รากฏอยู่ใน

วรรณคดแี ละวรรณกรรมน้นั

๖. การสรปุ ความรแู้ ละข้อคิดจาก

เร่ืองทีอ่ า่ น เป็นการสรุป

สาระสำคัญและขอ้ คิดทีแ่ ฝงอยู่ใน

เนือ้ เรือ่ ง เพอ่ื จะไดน้ ำความรแู้ ละ

ข้อคิดไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ

ประจำวันให้เกิดประโยชนต์ ่อ

ตนเองและผ้อู ่นื

๗. การคดั ลายมอื เป็นส่วนหน่งึ

ของทักษะการเขียนทสี่ ำคญั มาก

เพราะทำให้ตัวหนงั สอื อา่ นง่าย

เป็นระเบยี บเรยี บร้อย ดงั นน้ั จงึ

ต้องฝกึ คดั ลายมอื เพ่อื ให้เกดิ

สมั ฤทธผิ ลในการสื่อสาร

๘. การเขียนคำอวยพรเปน็ การ

เขยี นเพื่อแสดงความยินดแี ละ

อวยพรแก่บคุ คลท่ีเคารพและ

ใกล้ชิดสนทิ สนม การเขยี น

คำอวยพรเปน็ การสือ่ สารที่ จะ

ต้องรหู้ ลักเกณฑแ์ ละวธิ กี าร

เขยี น เพอื่ ทจ่ี ะสามารถเลือกใช้

ถ้อยคำในการสื่อสารไดอ้ ย่าง

ถกู ตอ้ งเหมาะสม และเปน็ ผมู้ ี

มารยาททีด่ ีในการเขียน

หนว่ ยที่ ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
หน่วยที่ การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด เรียน คะแนน
(ชว่ั โมง)
ชื่อหนว่ ย
๙. การย่อความเป็นสิ่งท่ีจำเปน็

สำหรับการศกึ ษาหาความรู้

เพราะการยอ่ ความเป็นการช่วย

สรปุ ใจความสำคญั ของสิ่งทไ่ี ดฟ้ งั

ได้อา่ น เพื่อใหจ้ ดจำสาระตา่ ง ๆ

ได้แม่นยำ หรือเพื่อนำเร่อื งที่

บันทึกไว้นัน้ ไปใช้ในโอกาสตา่ ง ๆ

๑๐. การเขยี นรายงานจาก

การศกึ ษาคน้ คว้า เป็นการเขียน

นำเสนอผลงานอนั ได้มาจาก

การศึกษาคน้ คว้าเพอ่ื ส่งเสริมให้

ผเู้ รยี นรู้จกั แสวงหาความรู้ด้วย

ตนเอง เป็นการเขียนทจ่ี ะตอ้ ง

เรียบเรยี งข้อมูลเป็นอย่างดี

นำเสนอด้วยภาษาเขยี นที่เข้าใจ

ง่าย และมีรูปแบบถกู ตอ้ ง มีการ

อา้ งอิงแหล่งขอ้ มูลไวใ้ น

บรรณานกุ รมอยา่ งครบถว้ น

๑๑. การพดู ยอวาทเี ป็นการพดู ท่ี

ต้องใชเ้ หตุผลเป็นเกณฑต์ ัดสิน ผู้

พูดต้องหาขอ้ มลู และเตรยี มตวั มา

อยา่ งดจี ึงจะสามารถพดู ไดอ้ ย่างมี

ประสทิ ธิภาพ

๑๒. ประโยคซับซอ้ นเกิดจาก

ประโยคและส่วนขยายมาเรยี บ

เรียงเข้าดว้ ยกันถา้ ผู้อา่ นหรือผู้ฟงั

สามารถวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งใน

ประโยคได้ ก็จะเข้าใจใจความ

ของประโยคซบั ซอ้ นอยา่ งชัดเจน

๑๓. ความรู้เกี่ยวกบั ระดับภาษา

ชว่ ยใหส้ ามารถพูดและเขยี น

ภาษาไทยไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมกับ

สมั พันธภาพของบุคคลโอกาสและ

กาลเทศะ ทำใหก้ ารส่อื สาร

เกดิ สัมฤทธผิ ล

มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก

การเรียนรู้ ตวั ช้ีวัด เรยี น คะแนน
(ช่วั โมง) ๓๐
๒ นทิ านคำกลอนเรอื่ ง ท ๑.๑ ม. ๓/๑,
๑๔. การสืบคน้ ขอ้ มูลจากแหล่ง
พระอภัยมณี ตอน ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ขอ้ มลู สารสนเทศทำใหไ้ ดร้ ับ
ความรู้ทก่ี วา้ งขวางยง่ิ ขึ้น ซ่งึ ผู้
พระอภัยมณี ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, สบื คน้ ต้องมวี ิจารณญาณในการ
เลือกใช้ขอ้ มูลที่ถูกตอ้ งและเปน็
หนนี างผเี สื้อสมุทร ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ประโยชน์

ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, ๑. การเรยี นรคู้ ำศัพทเ์ ป็นความรู้ ๑๘
พน้ื ฐานที่จะนำไปส่กู ารพฒั นา
ม. ๓/๑๐ ทกั ษะดา้ นการอา่ น ทำใหร้ ู้
ความหมายของคำ ชว่ ยให้อ่าน
ท ๒.๑ ม. ๓/๑, ออกเสยี งได้ถูกตอ้ งตามหลักการ
และสามารถเขา้ ใจเรื่องทอ่ี า่ นได้
ม. ๓/๒, ม. ๓/๖, อยา่ งถูกต้อง
๒. การอา่ นจบั ใจความ วิเคราะห์
ม. ๓/๑๐ และวจิ ารณ์ เป็นกระบวนการที่มี
ความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกนั เป็น
ท ๓.๑ ม. ๓/๑, ทกั ษะสำคัญท่ีจะทำให้การอ่านมี
ประสิทธภิ าพ และเปน็ การ
ม. ๓/๕, ม. ๓/๖ เสริมสร้างการอ่านอย่างมี
วิจารณญาณ
ท ๔.๑ ม. ๓/๑ ๓. การอ่านตีความและประเมนิ
คุณค่าแนวคดิ ทไ่ี ดจ้ ากการอา่ น
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, ผอู้ ่านจะต้องมีทักษะ สามารถใช้

ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, วิจารณญาณในการอา่ นตคี วามและ
ประเมินคา่ เพื่อนำไปใช้ในชวี ติ
ม. ๓/๔ ประจำวันได้
๔. การคัดลายมอื ตัวบรรจงครงึ่
บรรทัด ควรคดั ลายมือใหต้ วั อกั ษร
สวยงามอา่ นง่าย ตัวสะกดการนั ต์
ถกู ต้อง และสะอาดเรยี บร้อย
๕. คำขวัญเป็นถอ้ ยคำทแ่ี ต่งข้ึน
เพอ่ื เตือนใจหรอื เพ่ือใหเ้ ปน็ สริ ิ
มงคลมจี ุดประสงค์เชญิ ชวนให้
ปฏิบัตติ ามควรเลือกใช้ถ้อยคำให้
ถูกต้องและกระชับ

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรยี น คะแนน
(ชวั่ โมง)

๖. การเขยี นอธิบายมจี ดุ ประสงค์

เพื่อให้เขา้ ใจสิง่ ที่อธบิ าย โดยเขียน

ตามลำดับขัน้ ตอน ยกตวั อยา่ ง

เปรยี บเทยี บความเหมือนและ

ความต่าง ให้คำนิยาม และใช้

เหตุผล ส่วนการเขียนช้ีแจงควรให้

ขอ้ เทจ็ จรงิ ชีป้ ระเด็นที่อาจกอ่

ใหเ้ กิดความเข้าใจผิดสร้างความ

เข้าใจใหต้ รงกันด้วยภาษาชัดเจน

เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจถูกตอ้ งตามข้อเท็จจริง

๗. การเขียนแสดงความคดิ เห็น

และโตแ้ ย้งประกอบดว้ ยขอ้ มูลอนั

เป็นข้อเท็จจรงิ กบั การแสดงความ

คิดเห็นต่อเร่อื งใดเรอ่ื งหน่งึ ความ

คดิ เหน็ ควรจะมเี หตุผล เป็นไป

ในทางสรา้ งสรรค์

๘. การพดู แสดงความคิดเห็นและ

ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู

เปน็ การพดู เพ่อื ใหเ้ กดิ ความรอบรู้

และส่งเสรมิ การมคี วามคดิ เหน็ ท่ี

กวา้ งขวางเป็นประโยชน์ตอ่ การ

พฒั นาทกั ษะการพดู และสามารถ

นำไปใช้ในชวี ิตจรงิ

๙. การพดู โนม้ น้าวเป็นการพดู

เพื่อใหผ้ ู้ฟังเกิดความสนใจ และ

ยอมรับฟังความคดิ เห็นต่าง ๆ ของผู้

พูดใช้ศิลปะในการโน้มน้าว เป็น

ประโยชนต์ ่อการพฒั นาทักษะการ

พูด และสามารถนำไปใช้ในชวี ติ

จรงิ

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด เรยี น คะแนน
(ชว่ั โมง)

๑๐. การนำคำภาษาต่างประเทศ

มาใช้ทำใหภ้ าษาไทยมคี ำใชเ้ พิ่ม

มากข้นึ แสดงถงึ การรับอิทธิพลทาง

ภาษาและวัฒนธรรมจาก

ตา่ งประเทศ การศกึ ษาคำ

ภาษาต่างประเทศทใี่ ช้ในภาษาไทย

เปน็ ประโยชนต์ ่อการศึกษา

ภาษาไทยในระดบั ทส่ี ูงข้ึนต่อไป

๑๑. การค้นควา้ ข้อมลู เพิ่มเติม

และการอ่านวรรณกรรมอนื่ ๆ ที่

เกย่ี วข้องกับวรรณคดไี ทยจะ

สามารถทำใหเ้ ขา้ ใจวรรณคดีเร่ือง

นั้นได้ดีย่ิงขึ้น การสรุปความรู้

ความคิด และความรูส้ ึกที่ได้

ศกึ ษา จะทำให้มองภาพรวมของ

องคค์ วามรไู้ ด้อยา่ งชัดเจน

หน่วยท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตวั ชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ชัว่ โมง)
๕ บทพากยเ์ อราวัณ ท ๑.๑ ม. ๓/๑, ๑. การเข้าใจความหมายของ ๓๕
๒๑
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, คำศัพท์จะทำให้อ่านออกเสียงได้
ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ถกู ต้องและยังสามารถเขา้ ใจเรื่อง
ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ทอ่ี า่ น

ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, ๒. การอ่านออกเสียงบทร้อย
ม. ๓/๑๐ กรองเป็นการส่ือสารโดยการใช้

ท ๒.๑ ม. ๓/๑, เสียงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก
ม. ๓/๒, ม. ๓/๕, ไปยังผู้ฟังและยังเป็นการอนุรักษ์
ม. ๓/๘, ม. ๓/๑๐ วัฒนธรรมทางภาษาอย่างหนึ่ง

ท ๓.๑ ม. ๓/๓, ของไทยท่ีเยาวชนไทยควรรักษา
ม. ๓/๖ ให้คงอยตู่ อ่ ไป

ท ๔.๑ ม. ๓/๕ ๓. การอ่านเพื่อจบั ใจความสำคัญ
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, เป็นพื้นฐานท่ีจำเป็นในการศึกษา
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, หาความรู้ จึงควรฝึกฝนให้เกิด

ม. ๓/๔ ความชำนาญ จน สามารถจับ
ใจ ค ว า ม ส ำ คั ญ ใน ง า น เขี ย น ทุ ก

ประเภท
๔. การอ่านตีความและประเมิน
คุณค่าจากเรื่องท่ีอ่านจะช่วยให้

ผู้อา่ นเข้าใจเนือ้ หาของเรื่องทอ่ี ่าน
อย่างลึกซึ้ ง และสามารถน ำ

แนวคิดท่ีได้จากการอ่านไปใช้ใน
การดำเนินชีวติ
๕. การท่องจำบทอาขยานเป็น

พื้นฐานที่นำไปสู่การท่องจำบท
ประพันธท์ ่ดี แี ละมีคุณค่าทั้งในเชงิ

ภาษาและเนื้อหาท่ีเราได้พบใน
ชีวิตประจำวันต่อไป

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ชั่วโมง)

๖. การคัดลายมือเป็นส่วนหนึ่ง

ของทักษะการเขียนที่สำคัญมาก
เพราะทำใหต้ ัวหนังสอื อ่านง่าย
สบายตา เป็นระเบียบเรียบร้อย

ดงั น้ันจึงมคี วามจำเป็นที่จะต้องมี
การฝึกคัดลายมือเพื่อให้อ่านง่าย

สะอาดและถกู ตอ้ งตามแบบอยา่ ง
แท้จริง เพ่ือให้เกิดสัมฤทธิผลใน
ด้านการสอ่ื ความหมาย

๗. การเขียนข้อความโฆษณาเป็น
การสร้างสรรค์รูปแบบ เน้ือหา

แนวคดิ หรือการใชภ้ าษาเพอ่ื
โน้มน้าวใจผู้บริโภคให้เห็นคล้อย
ตามสิง่ ท่ีผู้ส่งสารตอ้ งการนำเสนอ

เพือ่ ประโยชน์ทางการค้าหรือเพื่อ
ป ร ะ ช า สั ม พั น ธ์ สิ น ค้ า ห รื อ

หน่วยงาน ดังนั้นผู้เขียนข้อความ
โฆษณาควรมีความรู้ความเข้าใจ
เก่ียวกับหลักการเขียนโฆษณา

เพ่ื อ ใ ห้ เกิ ด ก า ร ส่ื อ ส า ร มี
ประสทิ ธผิ ล

๘. การพดู รายงานจากการฟงั
การดู และการสนทนาเก่ียวกบั
ภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ เปน็ การนำ

เสนอผลงานการศกึ ษาค้นควา้ ผล
การทดลอง หรอื ผลการปฏิบตั ิ

งานตา่ ง ๆ เกย่ี วกับภมู ปิ ญั ญา
ทอ้ งถิน่ แลว้ นำเสนอโดยการพูด
รายงาน เพ่อื ให้เกิดความรทู้ ่ี

กว้างขวางเก่ียวกับภูมิปัญญา
ท้องถนิ่ เป็นการฝึกทักษะการ

พดู การฟงั การดู และการ
สนทนาให้มปี ระสทิ ธิภาพย่ิงขน้ึ

หนว่ ยท่ี ช่ือหนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
การเรยี นรู้ ตัวช้วี ัด เรียน คะแนน
(ชวั่ โมง)
๙. การกรอกแบบสมัครงาน เป็น ๑๐๐
ขั้ น ต อ น แ ร ก ข อ ง ก า ร ท ด ส อ บ ๖๐
ความสามารถของผสู้ มคั รงาน
ดังนั้นผู้สมัครงานจะต้องเขียน
ด้วยความรอบคอบ ลายมือ
สวยงาม สะอาด ชัดเจน
๑๐. การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ
เป็นการเขียนจดหมายติดตอ่ กับ
บคุ คล องค์กร หา้ งรา้ น

หนว่ ยราชการ เพ่ือติดตอ่ กจิ ธุระ
ของตนเอง ดังนนั้ ภาษาท่ีเขยี น

จงึ ควรเป็นทางการ ใช้ภาษา
กะทัดรัดตรงประเด็น และเขยี น
ใหถ้ ูกต้องตามรูปแบบของ
จดหมายกิจธรุ ะ
๑๑. การสรุปเนอ้ื หาเปน็ วธิ ีการ

เขียนข้อความทมี่ ีจำนวนมากให้
เหลอื เฉพาะส่วนท่มี ีความสำคัญ
จรงิ ๆ ซง่ึ เป็นสว่ นทม่ี ีคุณคา่
สำหรบั การบันทกึ และจดจำ
๑๒. การสบื ค้นข้อมูลจาก
แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศทำให้
ไดร้ ับความรทู้ ่กี ว้างขวางย่งิ ขึ้น
ซ่งึ สบื คน้ ต้องมีวจิ ารณญาณใน
การเลอื กใชข้ อ้ มูลที่ถูกต้องและ
เป็นประโยชน์

๑๓. การสรุปความร้แู ละข้อคิด
จากเรือ่ งทีอ่ า่ น เป็นการสรุป
สาระสำคัญและขอ้ คิดทแี่ ฝงอยู่ใน
เนอื้ เรือ่ ง เพ่ือจะได้นำความรู้
และข้อคดิ ที่ได้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น
ชวี ิตประจำวนั ใหเ้ กดิ ประโยชน์
ต่อตนเองและผู้อ่ืน

รวม

โครงสร้างรายวชิ า

รหัสวิชา ท ๒๓๑๐๒ วชิ าภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
ภาคเรียนท่ี ๒ จำนวน ๑.๕ หน่วยกิต เวลาเรยี น ๖๐ ช่วั โมง

หน่วยท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก
๓ การเรียนรู้ ตวั ชี้วัด เรียน คะแนน
(ชัว่ โมง)
พระบรมราโชวาท ท ๑.๑ ม. ๓/๑, ๑. คำที่ใชใ้ นภาษาไทยมีทัง้ คำ ๖๐
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, ไทยแท้และคำทน่ี ำมาจาก ๓๕

ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, ภาษาตา่ งประเทศเพ่อื ประโยชน์
ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ทางการสอ่ื สาร การถา่ ยทอด
ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, วัฒนธรรม และการศึกษาหา

ม. ๓/๑๐ ความรู้ การจำแนกคำไทยและคำ
ท ๒.๑ ม. ๓/๑, ยืมจากภาษาต่างประเทศได้ จะ

ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, เปน็ พนื้ ฐานให้เกิดความเขา้ ใจ
ม. ๓/๙, ม. ๓/๑๐ เร่ืองอิทธพิ ลขอภาษาตา่ งประเทศ
ท ๓.๑ ม. ๓/๔, ทม่ี ีต่อภาษาไทย และเป็น

ม. ๓/๖ ประโยชน์ในการศึกษาวรรณคดี
ท ๔.๑ ม. ๓/๑, และวรรณกรรมให้เขา้ ถึงอรรถรส

ม. ๓/๔ ย่ิงข้ึน
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, ๒. เมอื่ โลกเจรญิ กา้ วหน้าข้นึ
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓ เทคโนโลยีและนวตั กรรม

สมยั ใหม่ แผ่ขยายเขา้ มาอย่าง
รวดเร็ว มสี ิง่ ใหม่ ๆ เกิดขึน้

มากมาย จึงตอ้ งมีการสร้าง
คำทับศพั ท์ และบัญญัตศิ พั ทข์ ้ึน
ใช้ เพอื่ ใหก้ ลุ่มบุคคล กลมุ่ อาชีพ

และวงการตา่ ง ๆ ใชส้ ่ือ
ความหมายไดเ้ ข้าใจตรงกนั

ดงั นนั้ นักเรียนจึงควรศกึ ษา
ความหมายและหลักการใช้คำทับ
ศพั ท์และศัพท์บัญญัติ เพือ่ ให้

สามารถใชค้ ำในการสื่อสารได้
อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ชัว่ โมง)

๓. การอ่านออกเสียงวรรณกรรม

ประเภทร้อยแกว้ ผู้อ่านตอ้ งอ่าน

ออกเสียงให้ถูกตอ้ ง ชดั เจน และมี

ลลี าการอ่านเหมาะสมกับประเภท

ของงานเขียน เพื่อถ่ายทอด

อารมณ์ไปสูผ่ ู้ฟังให้คลอ้ ยตามไป

กบั เร่อื งราว หรือบทประพันธ์ที่

อ่าน

๔. การคัดลายมือ เปน็ ทกั ษะการ

เขียนท่ีสำคญั มาก เพราะลายมือ

เพื่อใหอ้ า่ นงา่ ย เปน็ ระเบยี บ

เรียบรอ้ ยสะอาด และถกู ต้องตาม

แบบทำให้การสอ่ื สารสัมฤทธผิ ล

๕. การอ่านเพอื่ จบั ใจความสำคัญ

เป็นพื้นฐานท่ีจำเป็นในการศึกษา

หาความรู้ จึงควรฝกึ ฝนให้เกดิ

ความชำนาญจนสามารถจบั

ใจความสำคัญในงานเขียนทุก

ประเภท

๖. การวเิ คราะหก์ ลวธิ กี ารเขยี น

ของเรอื่ งท่อี ่านทำใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจ

เรอ่ื งไดด้ ีขนึ้

๗. การอา่ นตีความเป็นการอ่าน

เพ่อื ทำความเขา้ ใจความหมาย

และความรู้สกึ จากขอ้ ความท่ี

ผูเ้ ขยี นตอ้ งการสือ่ ถงึ ผูอ้ า่ น โดย

อาศัยพืน้ ความร้เู ดมิ ความสนใจ

ประสบการณ์ ระดบั สตปิ ญั ญา

และวยั การอ่านตีความจึงตอ้ ง

อาศยั กระบวนการคิดเพอ่ื นำมา

วเิ คราะห์ คิดไตรต่ รองหาเหตุผลซึง่

จะชว่ ยให้ผ้อู า่ นเข้าใจไดอ้ ย่าง

ลกึ ซ้ึง เหน็ คุณค่า และตคี วาม

เนอื้ หาของเรื่องน้นั ๆ ใหถ้ กู ตอ้ ง

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรยี น คะแนน
(ชวั่ โมง)

๘. การสรุปความร้แู ละขอ้ คดิ จาก

เร่ืองท่ีอา่ น เปน็ การสรปุ สาระ
สำคญั และขอ้ คิดท่แี ฝงอย่ใู น
เนื้อเร่ือง เพ่ือจะได้นำความรแู้ ละ

ข้อคิดที่ไดไ้ ปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ
ประจำวนั ให้เกิดประโยชนต์ อ่

ตนเองและผอู้ ื่น
๙. การพูดอภิปรายเปน็ การแลก
เปลี่ยนความคิดเห็นซงึ่ กนั และกนั

และเป็นการฝกึ ใหน้ กั เรยี นร้จู กั
แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล

พดู ได้ตรงตามจุดประสงค์ และมี
มารยาทในการพูด
๑๐. การเขียนคตพิ จน์เปน็ การ

เขยี นถ้อยคำท่ีเป็นแบบอย่าง ให้
ขอ้ คิด เปน็ แนวทางให้ปฏบิ ัติ

ผ้เู ขยี นต้องรูห้ ลักเกณฑแ์ ละ
วิธกี ารเขยี น เพอ่ื ทจี่ ะสามารถ
เลือกใช้ถอ้ ยคำในการสือ่ สารได้

อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
๑๑. การเขียนสนุ ทรพจนเ์ ปน็ การ

เขยี นถ้อยคำที่งดงาม ไพเราะ ใช้
สำหรบั ประธานหรอื บุคคลสำคัญ
กลา่ วในพธิ กี าร ผูเ้ ขียนตอ้ งรู้

หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการเขยี น
เพือ่ ทจ่ี ะสามารถเลือกใชถ้ อ้ ยคำ

ในการสอ่ื สารไดอ้ ย่างถูกต้อง
เหมาะสม

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ช่ัวโมง)

๑๒. ชีวประวัตเิ ป็นงานเขยี นที่

นำเสนอเรือ่ งราวและเหตกุ ารณ์

สำคญั ทเ่ี กิดข้ึนในชีวิตของบคุ คล

ท่คี วรนำมาเป็นแบบอย่าง ผู้เขยี น

ชวี ประวตั จิ ะตอ้ งศกึ ษาคน้ คว้า

ขอ้ มลู เก่ยี วกบั บคุ คลนั้นในแง่มุม

ท่นี ่าสนใจ ทงั้ ในอดีต ปัจจบุ นั

และแนวโน้ม

ในอนาคต อาจเพมิ่ ทรรศนะของ

ผ้เู ขยี นไปด้วย ควรมกี ารเลอื กใช้

ภาษาในการนำเสนอที่นา่ สนใจ

และเรียบเรียงเน้ือหาใหเ้ ป็นไป

ตามลำดับอยา่ งชดั เจน

๑๓. อัตชวี ประวัติเปน็ งานเขยี นท่ี

ผู้เขียนนำเสนอเรือ่ งราวของตนเอง

ซึ่งควรเขยี นใหค้ รอบคลุมทั้งเร่อื ง

ในอดีต ปัจจุบนั และแนวโน้มใน

อนาคตซงึ่ เป็นแงม่ ุมที่นา่ สนใจ เป็น

ประโยชน์แกผ่ ้อู น่ื ควรมกี ารใช้

ภาษาท่นี ่าสนใจ เข้าใจงา่ ย และ

เรียบเรียงเนอื้ หาอย่างเป็นลำดบั

ตอ่ เน่ือง

๑๔. การวเิ คราะหว์ ถิ ไี ทยและ

คณุ ค่าจากวรรณคดีและ

วรรณกรรมท่ีอา่ นเปน็ การพิจารณา

องคป์ ระกอบแตล่ ะสว่ น ทั้งถอ้ ยคำ

สำนวน เน้อื เรอื้ ง และแนวคดิ

เพ่อื ให้เข้าใจและเหน็ คุณค่าของ

วรรณคดีและวรรณกรรมนั้น

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ช่วั โมง)

๑๕. การเขยี นรายงานโครงงาน

เปน็ การเขยี นรายงานผล
การศึกษาคน้ คว้า การทดลอง
การประดษิ ฐค์ ิดคน้ หรอื การลงมือ

ปฏิบัติจรงิ ในรูปของเอกสาร เพื่อ
อธิบายให้ผูอ้ ื่นทราบถงึ ทมี่ า

รายละเอียดข้อมลู วิธีการ
ปฏิบตั งิ าน ผลที่เกิดข้ึนและ
คำตอบท่คี ้นพบ ทำให้ผทู้ ำ

โครงงานไดร้ บั ความรแู้ ละยังเปน็
การเผยแพรผ่ ลการศกึ ษาอกี ดว้ ย

ซง่ึ ในการเขียนรายงานโครงงาน
นักเรียนจะต้องศกึ ษาหวั ขอ้ ใน
การเขยี นและเรยี บเรยี งข้อมูล

เป็นอยา่ งดี นำเสนอดว้ ยภาษา
เขยี นทีเ่ ข้าใจง่ายและ มีรูปแบบ

ถกู ตอ้ ง
๑๖. การเขียนบนั ทกึ การเรียนรู้
เป็นการทบทวนองค์ความรู้

ทั้งหมดทำให้เกดิ ความเข้าใจที่
คงทนสามารถนำไปใชพ้ ฒั นาการ

เรยี น การทำงาน และการดำเนนิ
ชีวิตได้

หน่วยท่ี ช่อื หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด เรยี น คะแนน
(ชั่วโมง)
๔ อศิ รญาณภาษิต ท ๑.๑ ม. ๓/๑, ๑. การศึกษาคำศัพท์และสำนวน ๔๐
๒๕
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, จะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเรื่องทีอ่ ่านและ
ม. ๓/๔, ม. ๓/๕, พัฒนาทกั ษะในการอ่านได้
ม. ๓/๖, ม. ๓/๗, ๒. การอ่านออกเสียงบทรอ้ ย

ม. ๓/๘, ม. ๓/๙, กรอง ผ้อู ่านตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะคำ
ม. ๓/๑๐ ประพันธข์ องบทรอ้ ยกรองนน้ั ๆ

ท ๒.๑ ม. ๓/๑, เขา้ ใจคำศัพท์และเน้อื หา จึงจะ
ม. ๓/๒, ม. ๓/๗, สามารถอ่านออกเสยี งไดถ้ กู ต้อง
ม. ๓/๑๐ และแสดงอารมณ์อยา่ งเหมาะสม

ท ๓.๑ ม. ๓/๒, ๓. อิศรญาณภาษิตมีคณุ ค่าและ
ม. ๓/๔, ม. ๓/๖ คตสิ อนใจทส่ี ามารถนำไปใชไ้ ด้

ท ๔.๑ ม. ๓/๖ จรงิ จึงควรคา่ แกก่ ารท่องจำ
ท ๕.๑ ม. ๓/๑, ๔. การเขยี นคำคม ผู้เขียนต้อง
ม. ๓/๒, ม. ๓/๓, รู้จักเลอื กใช้ถอ้ ยคำทม่ี ี

ม. ๓/๔ ความหมายลกึ ซง้ึ สือ่ ข้อคิดและ
โลกทัศน์แกผ่ ู้อ่าน

๕. โคลงสี่สุภาพเปน็ คำประพนั ธท์ ่ี
นยิ มแตง่ กนั แพร่หลาย มีการ
บงั คบั เอกโท การเรยี นรู้วิธกี าร

แตง่ โคลงสีส่ ภุ าพ นอกจากจะเป็น
การเสรมิ ทักษะด้านหลักภาษา

และหลักการแตง่ คำประพันธ์แล้ว
ยังเปน็ การอนุรกั ษม์ รดกทาง
ภาษาไทยอีกด้วย

๖. การคัดลายมอื ตอ้ งเขียนให้
ถูกต้อง สวยงามและอ่านงา่ ย

เพราะจะทำใหก้ ารสอื่ สาร
สัมฤทธิผล
๗. การอ่านจับใจความ สรุปความ

และอธิบายรายละเอยี ดจากเรอื่ ง
ทอี่ ่าน เปน็ สงิ่ สำคัญทจี่ ะทำ

ให้การอ่านมปี ระสิทธิภาพ และ
เปน็ พื้นฐานการอา่ นในระดับท่ี
ยากขึ้น

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด เรียน คะแนน
(ชัว่ โมง)

๘. การวิเคราะห์คุณค่าของงาน

เขียนทำให้สามารถแยก
องคป์ ระกอบต่าง ๆ เพือ่ ศึกษาให้
เขา้ ใจอย่างละเอียดลึกซงึ้ ได้

๙. การวิเคราะหเ์ รื่องทอ่ี า่ น
นอกจากจะทำให้เข้าใจเรอ่ื งที่อ่าน

อย่างลกึ ซ้งึ แลว้ ยังสามารถทำให้
สรุปความร้แู ละขอ้ คดิ ทม่ี ี
ประโยชนต์ อ่ ชวี ิตไดอ้ ีกด้วย

๑๐. การอา่ นตคี วาม ทำให้ผู้อ่าน
สามารถเข้าใจเรื่องทีอ่ ่านไดอ้ ยา่ ง

ลกึ ซึ้งและเขา้ ใจแนวคิดของเรื่อง
ได้
๑๑. การโต้วาทีเปน็ การพูดทีต่ อ้ ง

ใช้เหตุผลและปฏภิ าณไหวพริบ ผู้
พดู ตอ้ งศกึ ษาเก่ยี วกับเรือ่ งที่

โต้แยง้ มาเป็นอยา่ งดี จึงจะพดู ได้
น่าเชื่อถอื และฝึกการพดู ให้
คลอ่ งแคลว่ ฉะฉานช่างสังเกต มี

ทกั ษะในการฟงั ทดี่ ี ผู้น้ันกจ็ ะเปน็
นกั โตว้ าที และนำไปสู่การพดู

รูปแบบอื่นท่ีมีประสทิ ธิภาพ
๑๒. การพูดวิเคราะห์ วิจารณ์
จากเร่ืองทีฟ่ งั และดู เป็นการพูด

เพื่อแยกแยะองค์ประกอบของ
เรอื่ งทฟี่ งั และดู แล้วแสดงความ

คิดเหน็ ตามมมุ มองของผพู้ ูดอย่าง
มหี ลักเกณฑ์ ทำให้ผพู้ ูดได้พัฒนา
ทกั ษะการพดู และผู้ฟงั ไดร้ ับ

ประโยชนจ์ ากเร่อื งทฟี่ ัง

หนว่ ยท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตัวช้วี ัด เรยี น คะแนน
(ช่ัวโมง)
๑๐๐
๑๓. การเขียนวเิ คราะห์ วจิ ารณ์

แสดงความคิดเหน็ และโต้แย้งใน

เร่อื งทีอ่ า่ น เปน็ การอา่ นให้เขา้ ใจ

อย่างแจม่ แจ้ง แล้วพจิ ารณา

แยกแยะอยา่ งมเี หตผุ ล ฝึกให้

ผ้เู ขียนใช้ความคิด สง่ เสริมให้เกิด

ความรอบรู้ และสามารถใช้

วจิ ารณญาณของตนให้เกิด

ประโยชน์ต่อการอ่านและการเขียน

๑๔. การสรุปความรู้ ความคดิ

และความรู้สึกจากการเรียนรแู้ ละ

การฝกึ ฝนทกั ษะ เป็นการ

ทบทวนองคค์ วามรทู้ ั้งหมดใหเ้ กิด

ความเขา้ ใจท่ีคงทนและสามารถ

นำไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตและการ

ทำงานในอนาคตได้

รวม ๖๐

โครงสรา้ งการจัดเวลาเรียน เวลาเรยี น
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๓ (ชวั่ โมง)

ภาคเรยี นท่ี ๑ เวลาเรียน ๖๐ ชวั่ โมง ๑

หน่วยการเรยี นรู้ ๑

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑ บทละครพูดเรื่อง เห็นแก่ลูก ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ คำศพั ทน์ า่ รู้ ค่วู รรณคดีไทย ๑
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ อา่ นออกเสยี ง สำเนียงไพเราะ ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ อ่านจบั ใจความ วเิ คราะห์ตามเนอ้ื เร่ือง ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๔ จบั ใจความเปน็ แสดงความคิดเหน็ อยา่ งสร้างสรรค์ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๕ จับใจความเปน็ เหน็ แกน่ สาระ ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๖ การอ่านตคี วาม สอ่ื ความเขา้ ใจ ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๗ วถิ ีไทยในวรรณกรรม ๑
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๘ อ่านสรปุ ความคดิ พินจิ คณุ ค่า ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๙ ลายมอื งามตามอกั ขรวิธี ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๐ คำอวยพร สะทอ้ นวัฒนธรรม ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑๑ เขยี นยอ่ ความตามความคิด ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๒ การเขยี นยอ่ ความ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๓ รายงานวชิ าการ วจิ ารณญาณในการค้นคว้า ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๑๔ การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นควา้ ๑
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๑๕ การนำเสนอรายงาน ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๑๖ ยอวาทีวจสี รา้ งสรรค์ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๗ การพูดยอวาที ๒๑
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๘ ประโยคซบั ซอ้ น ไวยากรณ์นา่ รู้
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๙ เลอื กใช้คำศัพท์ตามระดับภาษา
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๒๐ ระดบั ภาษา
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๒๑ ขยายประสบการณ์การเรียนรู้
รวม

หน่วยการเรียนรู้ เวลาเรียน
(ชว่ั โมง)
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๒ นิทานคำกลอนเรื่อง พระอภยั มณี
ตอน พระอภัยมณหี นนี างผเี สอ้ื สมทุ ร ๑

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑ เรียนรู้คำ นำไปใช้ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๒ จับใจความ นำทางสู่ความเขา้ ใจ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๓ คำกลอน สะทอ้ นเรื่องราว ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๔ วิจารณ์สร้างสรรค์ พันความคดิ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๕ คณุ คา่ สารพันจากวรรณคดีไทย ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๖ ขอ้ คิดนำชีวติ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๗ วรรณกรรมคัดสรร ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๘ อกั ษรไทยใฝบ่ รรจง ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๙ เขยี นคำขวัญ สร้างสรรค์ภาษา ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑๐ ชี้แจงดว้ ยหลักการ ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๑๑ คัดค้านด้วยเหตุผล ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑๒ ร้จู กั เลอื กรับชมสือ่ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๓ พูดประเมินค่า วาจาสรา้ งสรรค์ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๔ ฝกึ เรยี นร้กู ารพูดโนม้ นา้ ว ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๕ โนม้ น้าวใจ ให้มีศิลปะ ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๖ ทมี่ าของคำ นำความรู้ ๑
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๑๗ คำภาษาต่างประเทศที่ใชใ้ นภาษาไทย ๑๘
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑๘ ขยายประสบการณ์การเรยี นรู้

รวม

หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลาเรยี น
(ช่ัวโมง)
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๕ บทพากยเ์ อราวัณ
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ คำศพั ทน์ ่ารู้ นำสู่ความเขา้ ใจ ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ หลากความหมาย หลายคำศัพท์ ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๓ เสนาะเสยี ง สำเนยี งร้อยกรอง ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๔ อ่านจับใจความ ส่อื ความเขา้ ใจ ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๕ ภมู ิปัญญาสรา้ งสรรค์ในวรรณคดี ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๖ แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๗ คุณคา่ ไทยในบทพากยโ์ ขน ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๘ อาขยานสบื สานความเปน็ ไทย ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๙ คดั ไทย ตงั้ ใจเขียน ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑๐ โฆษณา น่าเรียนรู้ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๑๑ โฆษณา พาเพลิดเพลิน ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๒ การพูดรายงานจากการฟงั การดู และการสนทนา ๑
เกีย่ วกับภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ิน
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๑๓ ค้นคว้าภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑๔ ศึกษาช้างไทยในการทำยุทธหตั ถี ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๕ ศึกษาความเชอ่ื เก่ียวกบั ชา้ งของไทยและชนชาติอื่น
ในประชาคมอาเซียน ๑
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๑๖ การกรอกแบบสมัครงาน
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑๗ การกรอกแบบสมัครงานจากส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ๑
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๑๘ จดหมายกิจธุระ ศลิ ปะในการเขยี น ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๙ สรปุ เนือ้ หา พฒั นาความรู้ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๒๐ วถิ ไี ทย คณุ ค่าไทย ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๒๑ สรุปความรแู้ ละข้อคิด ๑
รวม ๑
รวมทง้ั หมด
๒๑
๖๐

โครงสรา้ งการจัดเวลาเรียน เวลาเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ (ชวั่ โมง)

ภาคเรียนท่ี ๒ เวลาเรยี น ๖๐ ชัว่ โมง ๑

หนว่ ยการเรียนรู้ ๑

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๓ พระบรมราโชวาท ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑ คำเทศคำไทยใช้ไดค้ ลอ่ ง ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ คำภาษาต่างประเทศทใี่ ช้ในภาษาไทย ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓ หลากหลายทมี่ าของคำ ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๔ คำทับศัพท์และศพั ท์บญั ญัติ ๑
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๕ ใชภ้ าษาอังกฤษตอ้ งพจิ ารณา ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๖ อ่านออกเสยี ง สำเนยี งรอ้ ยแก้ว ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๗ อา่ นได้ดีลีลาเหมาะ ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๘ ลายมอื น้นั คอื ยศ ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๙ ฝกึ จบั ประเด็นเน้นใจความ ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๐ จับใจความได้ เข้าใจเน้ือหา ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑๑ ใจความสำคญั นำความเข้าใจ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๒ วเิ คราะหภ์ าษา ลีลาการประพันธ์ ๑
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๑๓ อ่านคดิ ตคี วาม พเิ คราะห์คุณค่า ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๔ อา่ นตีความเป็น ยอ่ มเหน็ คณุ ค่า ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑๕ คุณค่าวรรณกรรม สร้างสรรค์ความรู้ ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑๖ สรปุ ความรพู้ ิเคราะห์ดขู ้อคิด ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๗ ขอ้ คดิ นำชวี ติ ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑๘ การพดู อภปิ ราย ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๙ การอภิปรายเพอ่ื ความรูแ้ ละความคิด ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๒๐ เขา้ ใจชีวติ พนิ จิ วรรณคดี ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒๑ การเขียนคตพิ จน์
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๒๒ การเขยี นสุนทรพจน์
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๒๓ เขียนดี พูดเปน็ เลอื กเฟ้นภาษา
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๒๔ การเขียนชีวประวตั ิ
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒๕ ชวี ประวตั บิ ุคคลสำคัญ

หนว่ ยการเรียนรู้ เวลาเรยี น
(ชวั่ โมง)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒๖ ชีวประวตั ิของนักเขยี นรางวัลซีไรต์
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๒๗ ร้อยเรยี งชวี ติ คิดเป็นแผนภาพ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒๘ วถิ ีไทย คณุ คา่ ไทย (๑) ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒๙ วถิ ไี ทย คณุ คา่ ไทย (๒) ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓๐ โครงงานเพอื่ การเรยี นรู้ ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๓๑ รู้จักรายงานโครงงาน ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๓๒ สรา้ งเค้าโครงเพือ่ รา่ งความคดิ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๓๓ โครงงานบรู ณาการความรู้ ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๓๔ สรุปผลการค้นคว้าด้วยรายงานโครงงาน ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๓๕ บนั ทกึ การเรียนรู้ ๑

รวม ๓๕
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๔ อิศรญาณภาษิต

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑ อ่านได้คล่องตอ้ งรูศ้ ัพท์ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ อ่านรอ้ ยกรองสอดคล้องอารมณ์ ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ บทอาขยานขบั ขานคุณคา่ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๔ เขียนคำคมบม่ ความคิด ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๕ ทว่ งทำนองของคำโคลง ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๖ คำโคลงบอกความคิด ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๗ ลายมอื นั้นคือยศ ๑
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๘ ฝึกจบั ประเดน็ เนน้ ใจความ ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๙ สรุปประเด็นเห็นความคดิ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๐ คุณคา่ สรา้ งสรรคข์ องบทรอ้ ยกรอง ๑
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑๑ ความรเู้ พิม่ ความคดิ ขอ้ คดิ ช่วยสอนใจ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑๒ ขอ้ คดิ นำชวี ติ ๑
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๑๓ อา่ นวรรณกรรมคดั สรร ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑๔ ตีความภาษิต ฝกึ คิดเชอื่ มโยง ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๕ ฝึกคิดเชื่อมโยง สรา้ งเสริมประสบการณ์

หน่วยการเรยี นรู้ เวลาเรียน
(ช่ัวโมง)
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๖ ฝึกภาษาโตว้ าที
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑๗ โตว้ าทดี ้วยวจสี ร้างสรรค์ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๘ โตแ้ ยง้ ด้วยหลักการ คดั คา้ นดว้ ยเหตผุ ล ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑๙ ฟังดูสิ่งใดใชว้ จิ ารณญาณ ๑
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๒๐ วิเคราะหว์ ิจารณ์ดว้ ยเหตผุ ล ๑
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒๑ ดูภาพยนตร์ยอ้ นดูตนค่กู นั ๑
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๒๒ เขยี นอย่างพินจิ คิดอยา่ งพจิ ารณ์ ๑
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒๓ เขียนวิเคราะห์วิจารณอ์ ยา่ งมเี หตผุ ล ๑
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี ๒๔ เขยี นแสดงความคดิ เหน็ และโต้แย้งอยา่ งสร้างสรรค์ ๑
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๒๕ บนั ทกึ การเรียนรู้ ๑

รวม
รวมท้งั หมด ๒๕

๖๐

การวดั และประเมินผล

การวดั ผลประเมินผลการเรยี นรู้ภาษาไทย

การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษาเป็นงานท่ียากซ่ึงต้องการความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการ
พฒั นาทางภาษา ดังนั้นผปู้ ฏิบตั หิ นา้ ที่วัดผลการเรียนรูด้ ้านภาษาจำเป็นต้องเข้าใจหลกั การของการเรียนรูภ้ าษา เพ่ือ
เปน็ พื้นฐานการดำเนินงาน ดงั น้ี

๑. ทักษะทางภาษาท้ังการฟัง การดู การพดู การอ่าน และการเขยี นมคี วามสำคญั เท่า ๆ กัน
และทกั ษะเหล่าน้ีจะบรู ณาการกัน ในการเรียนการสอนจะไมแ่ ยกฝึกทักษะทลี ะอย่างจะตอ้ งฝกึ ทกั ษะไปพรอ้ ม ๆ กัน
และทักษะทางภาษาทักษะหนง่ึ จะส่งผลตอ่ การพัฒนาทกั ษะทางภาษาอนื่ ๆ ด้วย

๒. ผู้เรียนตอ้ งไดร้ บั การพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกบั การพัฒนาความคดิ เพราะ
ภาษาเป็นส่ือของความคิด ผู้ที่มีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษา มีประมวลคำมากจะช่วยให้ผู้เรียนมี
ความสามารถในการคิดด้วย ขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรียนรว่ มกันกับผู้อนื่ มีการตดิ ตอ่ สือ่ สาร ใช้ภาษาในการ
ติดต่อกับเพ่ือนกับครูจึงเป็นการฝึกทักษะทางสังคมด้วย เม่ือผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์จริงทั้งในบริบททาง
วชิ าการในหอ้ งเรยี นและในชมุ ชนจะทำให้ผู้เรยี นได้ใช้ภาษาและไดฝ้ ึกทกั ษะทางสงั คมในสถานการณจ์ รงิ

๓. ผ้เู รียนตอ้ งเรยี นร้กู ารใช้ภาษาพูดและภาษาเขยี นอยา่ งถกู ต้องด้วยการฝกึ การใชภ้ าษา
มิใช่เรียนรู้กฎเกณฑท์ างภาษาแตเ่ พยี งอย่างเดยี ว การเรยี นภาษาจะตอ้ งเรียนรู้ไวยากรณห์ รอื หลักภาษา การสะกดคำ
การใชเ้ คร่อื งหมายวรรคตอน และนำความร้ดู ังกล่าวไปใช้ในการฝึกฝนการเขยี นและพัฒนาทางภาษาของตน

๔. ผเู้ รยี นทกุ คนจะไดร้ บั การพัฒนาทักษะทางภาษาเท่ากัน แตก่ ารพฒั นาทางภาษาจะไม่
เท่ากันและวิธกี ารเรยี นรจู้ ะตา่ งกัน

๕. ภาษากับวฒั นธรรมมีความสมั พันธ์กันอยา่ งใกล้ชิด หลักสูตรจะตอ้ งให้ความสำคญั และใช้
ความเคารพและเห็นคุณค่าของเชื้อชาติ จัดกิจกรรมภูมิหลังของภาษาและการใช้ภาษาถิ่นของผู้เรียน และช่วยให้
ผู้เรียนพัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สึกท่ีดีเกี่ยวกับภาษาไทย และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียน
ภาษาไทยดว้ ยความสขุ

๖. ภาษาไทยเป็นเคร่อื งมอื ของการเรยี นรู้ และทุกกลุม่ สาระการเรียนรู้จะต้องใชภ้ าษาไทย
เปน็ เครื่องมอื การสือ่ สารและแสวงหาความรู้ การเรียนทุกกลุ่มสาระการเรยี นรจู้ ะใชภ้ าษาในการคิดวเิ คราะห์ การคิด
สรา้ งสรรค์ การอภิปราย การเขยี นรายงาน การเขียนโครงการ การตอบคำถาม การตอบข้อทดสอบ ดงั น้ันครูทุกคน
ไม่ว่าจะสอนวิชาใดก็ตามจะต้องใช้ภาษาท่ีเป็นแบบแผน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน และต้องสอนการใช้ภาษาแก่
ผเู้ รียนด้วยเสมอ

หลกั การของการประเมนิ ผลในชนั้ เรียนทม่ี ีประสิทธิภาพ

ประการแรก : การประเมินผลในชั้นเรยี นทมี่ ีประสิทธิภาพจะต้องสง่ เสรมิ การเรียนรูข้ องผู้เรยี น
ประการท่สี อง : การประเมนิ จะต้องใช้ขอ้ มูลจากแหลง่ ขอ้ มลู ทห่ี ลากหลาย
ประการทส่ี าม : การประเมินจะต้องมคี วามเทย่ี งตรง เช่ือถือได้ และยุตธิ รรม

วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมลู ผลการเรียนของผูเ้ รยี น

วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ถูกนำมาใชใ้ นการประเมนิ โดยทั่วไป ได้แก่ การสังเกต การตรวจงานหรอื ผลงาน
การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออก อย่างไรก็ตามมีการนำเสนอแนวทางการเก็บ
รวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเป้าประสงค์ของการประเมินที่เฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพ่ือข้อมูลท่ีได้จะ
สามารถนำมาใช้ประโยชน์ตอ่ การปรบั ปรงุ พฒั นากระบวนการเรียนรู้ได้อยา่ งแท้จรงิ ดังน้ี

๑. การให้ตอบแบบทดสอบ ท้ังในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคำตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก-ผิด
จับคู่ และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคำตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่าง คำตอบส้ันเป็นประโยค เป็นข้อความ
แผนภมู ิ

การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยวิธีการนเี้ หมาะกบั การวัดความรเู้ กี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้เกีย่ วกบั กระบวนการ
ซ่ึงมีขอ้ ดที ่ีใชเ้ วลาในการดำเนนิ การนอ้ ย ง่าย และสะดวกต่อการนำไปใช้ ให้ผลการประเมนิ ทต่ี รงไปตรงมา
เนอ่ื งจากมกี ฎการประเมินชดั เจน แตไ่ ม่เหมาะกับการนำไปใช้กบั ผลการเรยี นรูท้ ่ีเปน็ เจตคติ ค่านิยม

๒. การดูจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บนั ทกึ ประจำวัน รายงานการทดลอง บทละคร บท
ร้อยกรอง แฟม้ ผลงาน เป็นตน้ ผลงานจะเป็นตวั แสดงใหเ้ หน็ การนำความรูแ้ ละทกั ษะไปใช้ในการปฏบิ ตั งิ านของ
ผเู้ รยี น จดุ เดน่ ของการประเมนิ โดยดูจากผลงานน้ี คอื จะแสดงใหเ้ ห็นส่ิงทีน่ กั เรยี นสามารถทำได้ มีการกำหนดเกณฑ์
การประเมนิ เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถประเมนิ ตนเองได้ เพือ่ การปรบั ปรุงพฒั นาตนเองของผ้เู รียน เพอ่ื นกส็ ามารถ
ใชเ้ กณฑ์ในการประเมินผลงานของผูเ้ รียนไดเ้ ชน่ กัน จดุ อ่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมกี ารกำหนด
กฎเกณฑ์การประเมนิ รว่ มกัน ต้องใชเ้ วลาในการประเมนิ มาก รวมท้ังตัวแปรภายนอก อาจเขา้ มามีอิทธพิ ลตอ่ การ
ประเมนิ ได้งา่ ย

๓. ดกู ารปฏบิ ัติ โดยผู้สอนสามารถสังเกตการนำทักษะและความรู้ไปใช้ไดโ้ ดยตรง ในสถานการณ์ท่ีใหป้ ฏิบตั ิ
จริง วิธีการนี้ถูนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมิน การปฏิบัติที่มีระเบียบ ข้อบังคับ เช่น การ ร้องเพลง ดนตรี
พลศึกษา การโต้วาที การกล่าวสุนทรพจน์ ละครเวที การประเมิน โดยวิธีการน้ีจะมีคุณค่ามาก หากผู้เรียนได้
นำไปใช้ในการประเมินตนเองเพ่ือสรา้ งแรงจงู ใจในการปรบั ปรุงพัฒนาตนเองให้ดขี นึ้ ใน
กระบวนการประเมินจะมีเคร่ืองมือประกอบการดำเนินการ คือ แบบสำรวจรายการ มาตราส่วนประมาณค่า และ
เกณฑ์การใหร้ ะดบั คะแนน (scoring rubric )

๔. ดูกระบวนการ วธิ ีการนจ้ี ะใหข้ ้อมลู เก่ียวกบั วธิ กี ารเรียนรู้ กระบวนการคดิ ของผู้เรียนมากกวา่ ทจี่ ะดู
ผลงานหรือการปฏิบัติ ซึง่ จะทำใหเ้ ขา้ ใจกระบวนการคดิ ที่ผูเ้ รยี นใช้ วิธีการที่ครผู สู้ อนใชอ้ ยูเ่ ป็นประจำใน
กระบวนการเรยี นการสอน คือ การให้นักเรยี นคิดดังๆ การตัง้ คำถาม ใหน้ กั เรียนตอบ โดยครจู ะเป็นผ้สู ังเกตวธิ กี าร
คดิ ของผูเ้ รยี น วธิ กี ารเช่นน้ีเป็นกระบวนการที่จะใหข้ อ้ มูลเพื่อการวนิ จิ ฉยั และเปน็ ข้อมูลยอ้ นกลบั แกผ่ เู้ รียน โดย
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู อยา่ งต่อเน่ือง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม และลักษณะนิสยั

การตดั สนิ ผลการเรียนรกู้ ลุ่มสาระภาษาไทย
การตัดสินผลการเรียนกลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย เป็นการตดั สนิ ผลการเรยี นสาระการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น

ในแตล่ ะชัน้ จึงเป็นการดำเนนิ การตัดสินผลการเรียนร้ขู องผเู้ รียน แล้วนำผลการเรียนไปสรุปตดั สินให้ผเู้ รยี นผ่าน
ระดบั ชั้น

๑. การตดั สินผลการเรยี น
๑.๑ ผู้สอนทำการวดั และประเมินผลผเู้ รียนให้ครอบคลุมทกุ ตวั ชวี้ ดั ดว้ ยวิธกี ารที่ หลากหลาย โดย

การวดั และประเมนิ ผลไปพรอ้ มกบั กระบวนการจดั การเรยี นการสอน และตอ้ งให้ความสำคญั กับการประเมินระหว่าง
เรียนมากกวา่ ประเมนิ ปลายปี

๑.๒ กำหนดเกณฑก์ ารประเมนิ ใหร้ ะดบั ผลการเรยี น สถานศกึ ษาต้องกำหนดเกณฑ์การประเมินให้
ระดับคุณภาพผลการเรียน สามารถอธบิ ายผลการตัดสินว่าผเู้ รยี นต้องมีความรู้ ทักษะและคุณลักษณะโดยรวมอยใู่ น

ระดับใด จึงยอมรับว่าผ่านการประเมิน เช่น ได้-ตก, คิดเป็นร้อยละ, ผ่าน-ไม่ผ่าน ส่วนผลการเรียนทั้งระบบตัวเลข
และตวั อกั ษรในการประเมนิ สาระการเรียนรู้ กำหนดเปน็ ระดบั ผลการเรียน ๘ ระดบั คือ

ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนร้อยละ
๔ ผลการเรียนดีเยีย่ ม ๘๐ – ๑๐๐
๓.๕ ผลการเรียนดมี าก ๗๕ – ๗๙
๓ ผลการเรียนดี ๗๐ – ๗๔
๒.๕ ผลการเรยี นค่อนข้างดี ๖๕ – ๖๙
๒ ผลการเรียนน่าพอใจ ๖๐ – ๖๔
๑.๕ ผลการเรียนพอใช้ ๕๕ – ๕๙
๑ ผลการเรยี นผ่านเกณฑ์ข้นั ตำ่ ๕๐ – ๕๔
๐ ผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ๐ – ๔๙

๑.๓ ประเมนิ ให้ระดับผลการเรยี นกลมุ่ สาระภาษาไทย ตามเกณฑ์การประเมนิ ใหร้ ะดับผลการ
เรียนตามที่สถานศึกษากำหนด กรณีผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดให้ดำเนินการซ่อมเสริม ปรับปรุง
แก้ไขผู้เรียนในสาระภาษาไทย การประเมินด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ จนผู้เรียนผ่านเกณฑ์การประเมินตัวช้ีวัด
สถานศึกษาควรดำเนินการให้เสร็จสิ้นในภาคเรียนต่อไป และให้ระดับผลการเรียนใหม่ตามเง่ือนไขท่ีสถานศึกษา
กำหนด

๒. การตัดสินผลการเรยี นกลุ่มสาระภาษาไทยในแตล่ ะช้นั
ผู้เรียนตอ้ งเรยี นรู้ตามกลมุ่ สาระภาษาไทยครบทกุ รายวชิ าตามโครงสร้างหลกั สตู รของสถานศึกษา และได้รับการ
ตัดสนิ ผลการเรียนให้ “ผา่ น”

แนวการวดั ผลและประเมินผลตามตัวชี้วัด

การสะกดคำ

การวดั ผลและประเมนิ ผลวา่ นักเรยี นสามารถสะกดคำได้หรือไม่ อยา่ งไร ครสู ามารถดำเนนิ การได้ท้ังขณะ
สอนและสิน้ สุดการสอนและเครื่องมือ ดังนี้

๑. การสงั เกต ในการสงั เกตนักเรียนอย่างไมเ่ ป็นทางการขณะอ่านแจกลูกสะกดคำ หรอื สงั เกตการใชน้ ว้ิ มอื
เขียนรูปตวั อกั ษรของคำท่ีอา่ นในอากาศนนั้ ครูควรบันทกึ พฤติกรรมของนกั เรยี นในแบบสงั เกตทเี่ ตรยี มไว้

๒. การทดสอบในระหวา่ งชว่ั โมงสอน ครอู าจสรา้ งแบบทดสอบให้นกั เรียนเตมิ สระ พยัญชนะทข่ี าดหายไป
หรอื ใหน้ กั เรียนจำแนกคำที่ครกู ำหนดในตารางแจกลกู

๓. การสอบถาม ครอู าจตัง้ คำถามให้นักเรยี นตอบปากเปล่าเกีย่ วกบั ตำแหนง่ ของสระ รปู รา่ งของสระ หรอื
ให้นักเรียนเขียนคำใหมท่ ่ีใชพ้ ยัญชนะ หรอื สระหรอื ตัวสะกดเหมือนกับคำทไ่ี ด้เรียนไปแลว้ หรือคำท่ีครกู ำหนดให้

มาตราตัวสะกด

ครูสามารถวัดผลและประเมินผลนักเรยี นวา่ มคี วามร้แู ละความเขา้ ใจเกี่ยวกับมาตราตวั สะกดไดโ้ ดยวิธกี าร
และเครือ่ งมอื ดังนี้

๑. ทดสอบปากเปล่า โดยครูกำหนดคำสะกดในมาตราต่าง ๆ ทั้งที่สะกดตรงมาตราและไม่ตรงมาตรา ให้
นกั เรียนอ่านแลว้ ครใู ชแ้ บบสงั เกตเพ่อื ประเมินวา่ นกั เรียนสามารถอา่ นตวั สะกดที่กำหนดไดถ้ กู ต้องหรอื ไม่

๒. เขยี นตามคำบอกโดยครูเลือกคำท่ีสะกดในมาตราตา่ ง ๆ ทงั้ ท่สี ะกดตรงมาตราและไม่
ตรงมาตรา บอกให้นกั เรียนเขยี นและครตู รวจแก้การเขยี นตัวสะกดของนักเรียน

๓. ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบแบบเขยี นตอบ ให้เขียนคำอา่ นของตัวสะกดทคี่ รกู ำหนด
ใหห้ รอื ใช้แบบทดสอบแบบเลอื กตอบให้นกั เรยี นเลือกคำในตัวเลือกใดทเี่ ขียนคำอ่านถกู ต้อง หรอื เลือกตัวเลือกใด
ที่เขยี นคำอา่ นไม่ถูกตอ้ ง

อ่านออกเสยี งควบกล้ำ

การวัดผลและประเมนิ ผลนักเรยี นวา่ สามารถอา่ นออกเสียงควบกล้ำไดถ้ กู ต้องหรือไม่ ครูอาจจะมคี ำหรอื
ขอ้ ความหรอื เพลงทีม่ ีคำควบกลำ้ แล้วใหน้ ักเรยี นอ่านให้ฟงั แล้วครูบนั ทกึ ผลการประเมนิ ในแบบประเมินการอา่ น

การอา่ น

การวดั ผลประเมินผล อาจใชว้ ิธีการดังนี้

๑. พจิ ารณาความถูกต้องเหมาะสมในการวเิ คราะหค์ ำ วลี หรอื ประโยค นอกจากนัน้ ควรวดั ผลด้านเหตผุ ล
การวเิ คราะหท์ ัศนะของผเู้ ขยี นจากเรื่องท่อี ่าน ตลอดจนประเมนิ ผลจากความตงั้ ใจ สนใจ และผลงานท่ีได้
มอบหมาย

๒. ใหน้ กั เรียนเลือกอา่ นบทรอ้ ยกรองทน่ี ักเรียนชอบแล้วสรปุ ความเปน็ ร้อยแกว้ โดยใช้สำนวนภาษาทเี่ ข้าใจ
งา่ ย

๓. ให้นกั เรียนอ่านบทร้อยกรองเรอ่ื ง……… แลว้ วเิ คราะหว์ ิจารณบ์ ททอี่ ่านในดา้ นรูปแบบฉนั ทลักษณ์
ความคิดและเนื้อหาสาระในบทร้อยกรอง กลวิธใี นการแตง่ ของบทร้อยกรอง และส่ิงทีผ่ ู้เขยี นฝากไว้ในบทร้อย
กรอง

๔. ใหน้ กั เรียนอ่านบทรอ้ ยกรองเรอ่ื ง…………… แล้ววเิ คราะห์วา่ เนอื้ หาของบทรอ้ ยกรองใหอ้ ารมณ์
ความรู้สึก สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาของบทรอ้ ยกรองหรอื ไม่อยา่ งไร นักเรียนมคี วามซาบซ้งึ ประทบั ใจกบั บทร้อยกรอง
ท่ีอ่านหรือไม่ ต่อจากน้ันจงึ พิจารณาความสามารถและผลการทำงานด้วยการวดั ผลความถกู ต้องของการใช้
ถ้อยคำ สำนวนภาษา การสรุปความ การวิเคราะหว์ จิ ารณ์บทรอ้ ยกรอง และความต้ังใจในการทำงาน

๕. ให้นกั เรียนอา่ นข้อความใหถ้ ูกต้องชัดเจนตามแบบท่ีกำหนดให้

๖. ใหน้ ักเรยี นอ่านเรอื่ งและสรปุ ความจากเรอ่ื ง พรอ้ มทง้ั แสดงความคิดเห็นเชงิ วเิ คราะห์

๗. ใหน้ กั เรียนอ่านขา่ วหรือบทความจากหนังสอื พิมพ์ แลว้ ขีดเสน้ ใต้ขอ้ ความที่เป็นขอ้ เท็จจรงิ และข้อความที่
เปน็ ขอ้ คิดเหน็ ของผเู้ ขียนดว้ ยสหี รอื สัญลักษณ์ท่แี ตกตา่ งกัน

๘. ให้นักเรยี นตดั ข่าวจากหนงั สอื พิมพแ์ ลว้ วเิ คราะห์ว่าข่าวน้ันมกี ารนำเสนอข้อเทจ็ จรงิ หรือมคี วามคดิ เห็น
ของผู้เขียนแทรกอยดู่ ้วย พร้อมท้ังให้เหตุผลประกอบว่าความคิดเห็นของผูเ้ ขยี นนา่ เชื่อถือหรอื ไม่เพียงใด

๙. ให้นักเรียนวเิ คราะหว์ ิจารณ์การพาดหัวขา่ วของหนังสือพมิ พ์ต่าง ๆ ในแงก่ ารใช้สำนวนภาษา การสอ่ื
ความหมาย และความสอดคล้องกบั เนือ้ หาของข่าวนัน้ ๆ

๑๐. ใหน้ ักเรียนตัดขอ้ ความโฆษณาจากสง่ิ ตีพมิ พ์ตา่ ง ๆ แลว้ แสดงความคิดเหน็ เชงิ วเิ คราะหว์ ิจารณ์ในด้าน
ความน่าเช่ือถอื การใช้สำนวนภาษา ความน่าสนใจของการนำเสนอ

๑๑. ให้นกั เรียนอ่านเรอ่ื ง…………… แล้วตคี วามเนื้อหาให้สอดคลอ้ งกับความต้องการของผ้เู ขียนแลว้ สรปุ
ความคิดเห็นของผู้เขยี น พร้อมท้งั เสนอแนวความคดิ ของผู้เรียนท่มี ีตอ่ หนังสอื เลม่ นน้ั

การเขียน

การวัดผลแลการประเมนิ ผลวิชาการเขียนนส้ี ิง่ สำคัญท่ีสดุ อยูท่ ่ี “การตรวจผลงาน” พร้อมการวิจารณ์
เสนอแนะ เพ่อื ให้นกั เรยี นได้นำไปปรับปรุงแกไ้ ขหาจุดบกพร่องของตนเอง วธิ ีการวัดผลและการประเมนิ ผลงาน
เขยี นมมี ากมายหลายวิธี ทงั้ ๑๐ วิธีทน่ี ำมาเสนอนเ้ี ปน็ เพยี งสว่ นหนง่ึ เท่าน้ัน ขน้ึ อยูก่ บั กจิ กรรมท่นี ำเสนอไว้ ครู
สามารถเพิ่มเติมปรบั เปล่ียนให้เหมาะสมแก่สถานการณไ์ ดท้ ัง้ ส้ิน วิธวี ัดผลมีดังน้ี

๑. ถ้าเปน็ กจิ กรรมประเภทเกมเตมิ คำถูกผิด ควรจะเฉลยคำตอบตรวจงานกนั ระหว่างเพ่ือนใน

ชวั่ โมงเรยี น แลว้ ส่งครตู รวจอีกครั้ง

๒. ถา้ เปน็ กิจกรรมแสดงความคดิ เห็นอาจใชอ้ ภปิ รายแสดงความคิดกับเพ่ือนรว่ มชนั้ ไดค้ รวู ัดผล

ท้ังการสังเกต การตอบคำถาม การสนทนา การสัมภาษณ์ และการอภปิ ราย

๓. ถา้ เปน็ กิจกรรมการเขยี นในหอ้ งเรียนและมีเวลาเขียนเสรจ็ ภายในหอ้ งเรียนครูอาจพจิ ารณา

คัดเลอื กข้อเขียนเดน่ แปลก ใหม่ นำมาถา่ ยทอดให้นกั เรียนคนอน่ื แสดงความคิดเหน็ วิจารณ์ ชน่ื ชม และนำไป
เปน็ แบบอย่างการสร้างสรรคแ์ ละพฒั นาความคดิ ติดผลงานทปี่ า้ ยนเิ ทศประจำสัปดาห์

๔. ถา้ เป็นกจิ กรรมกลุม่ ครูสงั เกตความร่วมมอื ของนักเรยี นทุกคนในกลมุ่

๕. ถา้ เปน็ งานเขียนที่เป็นการบา้ น ควรซักถามวิธีการผลิตข้อเขียน สาเหตุ และคาดว่าจะได้รับผ

อยา่ งไรเสียก่อนเพื่อทราบแนวความคดิ ในการทำงานของนกั เรียนอย่างคร่าวๆ

๖. การบนั ทึกอนุทนิ ควรใหจ้ ดั ทำอยา่ งสมำ่ เสมอเปน็ ผลงานการเขยี นอกี ๑ ชิ้น

๗. การเขียนเล่าเรือ่ งจากประสบการณห์ รอื การกระทำท่นี ่ายกย่องของนกั เรียนเองหรอื ทีไ่ ปประสบ

มานำมาเขียน ครูอาจเสนอแนวทางในการผลิตผลงานใหม่ๆ ได้หลายวิธีเช่น เขียนเป็นการ์ตูน คำขวัญ คำ
ประพันธ์ บันทึก เล่าเร่ือง และข่าวเป็นต้น นับเป็นกิจกรรมท่ีสร้างสรรค์ของนักเรียนได้ และควรนำส่งลง
หนงั สือพิมพบ์ างฉบับได้

๘. การให้นกั เรียนมีสว่ นรว่ มในการพิจารณาผลงานของเพ่ือนๆ ว่าผูใ้ ดชอบงานชิน้ ใด เพราะเหตุ

ใด

๙. การจดั ทำปา้ ยนิเทศแสดงผลงานเขียนโดยเฉพาะงานเขียนท่ีอยู่ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น

วนั แม่ วันพ่อ วนั ลอยกระทง ฯลฯ

๑๐. การรวบรวมผลงานการเขียน จัดทำเป็น Portfolio แลกเปล่ียนกบั เพอ่ื นๆ ทั้งหอ้ งเดียวกนั

และตา่ งห้อง

แนวปฏบิ ตั ิในการวดั และประเมินผลการเรียนรู้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือ การประเมินเพื่อ
พัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จนั้น
นักเรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ
สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ใน
ระดับช้นั เรยี น ระดับสถานศึกษา การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการพฒั นาคณุ ภาพนกั เรยี นโดยใช้
ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของ
นักเรียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้นักเรียนเกิด การพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม
ศักยภาพ

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบง่ ออกเปน็ ๒ ระดบั ไดแ้ ก่ ระดับช้นั เรยี น ระดับสถานศึกษา มี
รายละเอียด ดงั น้ี

๑. การประเมนิ ระดบั ชั้นเรียน เปน็ การวัดและประเมนิ ผลทอี่ ยใู่ นกระบวนการจัดการเรียนรู้ ครู ผ้สู อน
ดำเนนิ การเป็นปกตแิ ละสม่ำเสมอ ในการจดั การเรยี นการสอน ใช้เทคนคิ การประเมนิ อย่างหลากหลาย เช่น การ
ซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมนิ ช้นิ งาน/ ภาระงาน แฟม้ สะสมงาน การใช้
แบบทดสอบ ฯลฯ โดยครู ผู้สอนเป็นผปู้ ระเมินเองหรือเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนประเมนิ ตนเอง เพ่อื นประเมินเพ่ือน
ผ้ปู กครองรว่ มประเมนิ ในกรณที ไ่ี มผ่ า่ นตัวชวี้ ดั ให้มี การสอนซอ่ มเสรมิ

การประเมินระดบั ชนั้ เรยี นเป็นการตรวจสอบว่า นักเรยี นมพี ฒั นาการความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้
อันเป็นผลมาจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื ไม่ และมากน้อยเพียงใด มสี ิง่ ท่จี ะตอ้ งไดร้ ับการพัฒนา
ปรบั ปรงุ และสง่ เสรมิ ในดา้ นใด นอกจากนย้ี ังเป็นขอ้ มลู ให้ผ้สู อนใช้ปรับปรุงการเรยี นการสอนของตนดว้ ย ท้งั นี้โดย
สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชีว้ ดั

๒. การประเมินระดับสถานศกึ ษา เปน็ การประเมนิ ทสี่ ถานศึกษาดำเนินการเพื่อตดั สนิ ผล การเรียน
ของผูเ้ รยี นเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะ อนั พึงประสงค์ และ
กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน นอกจากนีเ้ พอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มูลเกีย่ วกับการจดั การศกึ ษา ของสถานศึกษา ว่าสง่ ผลตอ่ การ
เรยี นรูข้ องผเู้ รยี นตามเป้าหมายหรือไม่ ผเู้ รยี นมีจุดพัฒนาในดา้ นใด รวมท้ังสามารถนำผลการเรยี นของผู้เรยี นใน
สถานศกึ ษาเปรียบเทียบกบั เกณฑร์ ะดบั ชาติ ผลการประเมินระดบั สถานศกึ ษาจะเป็นข้อมลู และสารสนเทศเพ่ือการ
ปรบั ปรุงนโยบาย หลกั สูตร โครงการ หรือวิธกี ารจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพ่ือการจัดทำแผนพัฒนาคณุ ภาพ
การศึกษาของสถานศกึ ษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจดั การศึกษาตอ่
คณะกรรมการสถานศกึ ษา สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน
ผู้ปกครองและชุมชน

ข้อมลู การประเมนิ ในระดบั ตา่ ง ๆ ขา้ งต้น เปน็ ประโยชนใ์ นการตรวจสอบทบทวนพฒั นาคุณภาพนักเรยี น ที่
จะต้องจดั ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื ปรับปรุงแก้ไข สง่ เสรมิ สนับสนนุ เพ่อื ให้นักเรียนได้พัฒนาเตม็ ตามศกั ยภาพบน
พืน้ ฐาน ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลทีจ่ ำแนกตามสภาพปญั หาและความตอ้ งการ ไดแ้ ก่ กล่มุ นักเรียนท่ัวไป กลุม่
นักเรียนทีม่ ีความสามารถพเิ ศษ กลุ่มนกั เรียนทม่ี ีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นตำ่ กลุ่มผ้เู รียนทีม่ ปี ัญหาด้านวนิ ัยและ
พฤติกรรม กลุ่มนกั เรียนท่ีปฏเิ สธโรงเรียน กลมุ่ นกั เรียนทม่ี ปี ัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุม่ พิการทางรา่ งกาย
และสติปญั ญา เป็นตน้ ข้อมูลจากการประเมนิ จึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดำเนนิ การชว่ ยเหลอื ผ้เู รียนได้
ทนั ท่วงที เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนได้รบั การพฒั นาและประสบความสำเร็จในการเรียน

สถานศกึ ษาในฐานะผู้รับผดิ ชอบจัดการศึกษา จะตอ้ งจัดทำระเบยี บวา่ ด้วยการวัดและประเมนิ ผลการเรียน
ของสถานศึกษาให้สอดคลอ้ งและเปน็ ไปตามหลกั เกณฑแ์ ละแนวปฏบิ ัตทิ เ่ี ป็นข้อกำหนดของหลักสูตรสถานศกึ ษา
เพือ่ ให้บคุ ลากรที่เกีย่ วขอ้ งทุกฝ่ายถือปฏบิ ัติร่วมกนั

เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรยี น

๑. การตัดสิน การใหร้ ะดบั และการรายงานผลการเรียน
๑.๑ การตัดสนิ ผลการเรยี น

ในการตดั สนิ ผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอัน
พงึ ประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียนนนั้ ผูส้ อนต้องคำนงึ ถงึ การพฒั นานักเรยี นแต่ละคนเป็นหลัก และต้องเก็บ
ข้อมลู ของนกั เรียนทุกด้านอย่างสมำ่ เสมอและตอ่ เนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทัง้ สอนซอ่ มเสรมิ ผู้เรยี นให้พฒั นาจนเต็ม

ตามศกั ยภาพ

ระดับมธั ยมศึกษา

(๑) ตัดสินผลการเรยี นเป็นรายวิชา ผู้เรยี นต้องมเี วลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ
๘๐ ของเวลาเรยี นทงั้ หมดในรายวชิ านนั้ ๆ

(๒) นักเรยี นตอ้ งได้รับการประเมินทกุ ตัวช้วี ดั และผ่านเกณฑไ์ มน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ ๘๐ ของจำนวน

ตัวชว้ี ดั
(๓) นกั เรยี นต้องได้รับการตดั สนิ ผลการเรยี นทกุ รายวิชา ไม่นอ้ ยกว่าระดับ “ ๑ ” จึงจะถอื

วา่ ผ่านเกณฑ์
(๔) นักเรยี นตอ้ งไดร้ บั การประเมิน และมีผลการประเมินการอา่ น คิดวิเคราะห์และเขียน

สมรรถนะผู้เรยี น ในระดบั “ ผา่ น ” ขึน้ ไป มผี ลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงคใ์ นระดบั “ ผ่าน ” ข้ึนไป

และมีผลการประเมินกิจกรรมพัฒนานักเรียน ในระดับ “ ผา่ น ”
การพิจารณาเลื่อนชัน้ ท้งั ระดับประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษา ถ้านักเรียนมีข้อบกพรอ่ งเพยี งเลก็ นอ้ ย

และพิจารณาเห็นวา่ สามารถพฒั นาและสอนซ่อมเสรมิ ได้ ใหผ้ อ่ นผันให้เลอ่ื นชน้ั ได้ แต่หากนักเรยี นไม่ผา่ นรายวชิ า
จำนวนมาก และมีแนวโนม้ ว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดบั ชน้ั ที่สูงข้ึน ใหต้ ั้งคณะกรรมการพจิ ารณาให้เรยี นซ้ำ
ช้ันได้ ทง้ั นใ้ี ห้คำนึงถึงวุฒภิ าวะและความรู้ความสามารถของนักเรียนเป็นสำคัญ

๑.๒ การให้ระดบั ผลการเรยี น

ระดบั ประถมศกึ ษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรยี นรายวิชา ให้ระดับผลการเรียนหรอื ระดับคณุ ภาพการ

ปฏิบตั ขิ องนกั เรียน เป็นระบบตวั เลขแสดงระดบั ผลการเรยี นเป็น ๘ ระดับดังน้ี

ระดบั ผลการเรยี น ความหมาย ชว่ งคะแนนรอ้ ยละ

๔ ผลการเรยี นดีเยย่ี ม ๘๐ – ๑๐๐

๓.๕ ผลการเรียนดมี าก ๗๕ – ๗๙

๓ ผลการเรียนดี ๗๐ – ๗๔

๒.๕ ผลการเรยี นคอ่ นขา้ งดี ๖๕ – ๖๙

๒ ผลการเรียนนา่ พอใจ ๖๐ – ๖๔

๑.๕ ผลการเรยี นพอใช้ ๕๕ – ๕๙

๑ ผลการเรียนผา่ นเกณฑข์ ้ันต่ำ ๕๐ – ๕๔

๐ ผลการเรยี นตำ่ กว่าเกณฑ์ ๐ – ๔๙

การประเมินการอา่ น คิดวิเคราะห์และเขยี น สมรรถนะผู้เรียน และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคใ์ หไ้ ด้
ระดับผลการประเมินเปน็ ดีเยยี่ ม ดี ผา่ น และไม่ผ่าน

การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน จะต้องพิจารณาทัง้ เวลาการเข้ารว่ มกิจกรรม การปฏบิ ัติกิจกรรม
และผลงานของผูเ้ รียน ตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้ารว่ มกิจกรรมเปน็ ผา่ น และไมผ่ า่ น

ระดบั มธั ยมศึกษา ในการตดั สินเพ่ือใหร้ ะดับผลการเรยี นรายวชิ า ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเปน็ ๘

ระดบั ดังนี้ ช่วงคะแนนรอ้ ยละ
๘๐ – ๑๐๐
ระดับผลการเรยี น ความหมาย ๗๕ – ๗๙
๗๐ – ๗๔
๔ ผลการเรยี นดเี ยย่ี ม ๖๕ – ๖๙
๖๐ – ๖๔
๓.๕ ผลการเรียนดมี าก ๕๕ – ๕๙
๕๐ – ๕๔
๓ ผลการเรียนดี ๐ – ๔๙

๒.๕ ผลการเรียนค่อนข้างดี

๒ ผลการเรยี นน่าพอใจ

๑.๕ ผลการเรยี นพอใช้

๑ ผลการเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นตำ่

๐ ผลการเรียนต่ำกวา่ เกณฑ์

การประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียน สมรรถนะผเู้ รียน และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์นัน้ ให้ได้
ระดบั ผลการประเมินเปน็ ดเี ย่ยี ม ดี ผา่ น และไมผ่ ่าน

การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทง้ั เวลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม การปฏบิ ัตกิ จิ กรรม
และผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑท์ ี่สถานศกึ ษากำหนด และให้ผลการเข้ารว่ มกิจกรรมเปน็ ผา่ น และไมผ่ ่าน

๑.๓ การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการสอื่ สารใหผ้ ู้ปกครองและนกั เรยี นทราบความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้
ของนักเรียน ตอ้ งสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงาน ให้ผปู้ กครองทราบเป็นระยะ ๆ หรอื

อยา่ งน้อยภาคเรียนละ ๑ ครัง้
การรายงานผลการเรยี นสามารถรายงานเป็นระดบั คณุ ภาพการปฏิบัติของนักเรยี นทส่ี ะท้อนมาตรฐาน

การเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้

๒. เกณฑ์การจบการศึกษา

หลกั สูตรสถานศึกษา กำหนดเกณฑก์ ลางสำหรบั การจบการศึกษาเปน็ ๒ ระดบั คือ ระดบั ประถมศึกษา
และระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้

๒.๑ เกณฑ์การจบระดบั ประถมศึกษา
(๑) นักเรยี นเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานและรายวชิ า/กิจกรรมเพิ่มเตมิ ตามโครงสร้างเวลาเรียน ทกี่ ำหนด
(๒) นักเรยี นต้องมผี ลการประเมนิ รายวชิ าพ้ืนฐาน ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ โดยนักเรียนจะตอ้ งมี

ระดับผลการเรียนในระดับ ๒.๕ (รอ้ ยละ ๖๕) ข้ึนไป
(๓) นักเรียนมีผลการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียนในระดับผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ
(๔) นกั เรียนมีผลการประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
(๕) นกั เรียนเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ

๒.๒ เกณฑก์ ารจบระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น
(๑) นักเรยี นเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานและเพมิ่ เติมไมเ่ กนิ ๘๑ หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวชิ าพื้นฐาน ๖๖

หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเตมิ และนกั เรยี นจะต้องมรี ะดับผลการเรยี นในระดับ ๓ (ร้อยละ ๗๐) ขึ้นไป
(๒) นกั เรียนตอ้ งไดห้ น่วยกิตตลอดหลักสตู รไมน่ อ้ ยกว่า ๗๗ หน่วยกติ โดยเป็นรายวชิ าพื้นฐาน ๖๖

หนว่ ยกติ และรายวิชาเพมิ่ เตมิ ไม่น้อยกวา่ ๑๑ หนว่ ยกติ
(๓) นกั เรียนมผี ลการประเมนิ การอ่านคิดวิเคราะหแ์ ละเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การประเมนิ
(๔) นกั เรยี นมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงคใ์ นระดับผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน

(๕) นกั เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนและมีผลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
สำหรับการจบการศึกษาสำหรบั กลมุ่ เป้าหมายเฉพาะเชน่ การศึกษาเฉพาะทางการศกึ ษาสำหรบั ผมู้ ีความสามารถ

พเิ ศษ การศกึ ษาทางเลอื ก การศึกษาสำหรบั ผูด้ อ้ ยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัย ให้คณะกรรมการของสถานศึกษา
ดำเนนิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูต้ ามหลักเกณฑใ์ นแนวปฏบิ ัตกิ ารวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
สถานศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ

คณะผู้จัดทำ
....................................................

คณะที่ปรึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา
นายสมเกียรติ วัลลภธารี รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
นางสมพิศ โคมกระจ่าง

คณะทำงาน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

นายปฏิเวช บุญเกิด
ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ


Click to View FlipBook Version