The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรภาษาไทย ป.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรภาษาไทย ป.6

หลักสูตรภาษาไทย ป.6

บทนำ

หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนวัดใหม่ลำนกแขวก ได้จัดทำข้ึนโดยใช้กรอบและแนวทางทหี่ ลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้วางไว้โดยให้ท้องถ่ินได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา
หลักสูตรร่วมกันเพ่ือสนองเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางที่มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับ
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานมคี ุณภาพดา้ นความรู้และทักษะท่ีจำเป็นสำหรับการดำรงชวี ิตในสังคมทม่ี ีการเปล่ียนแปลงและ
แสวงหาความรเู้ พื่อพฒั นาตนเองอย่างต่อเนอ่ื งตลอดชวี ิต

ความสำคญั

ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัตทิ างวฒั นธรรมอันก่อใหเ้ กดิ ความเป็นเอกภาพและเสรมิ สรา้ ง
บคุ ลิกภาพของคนในชาตใิ ห้มคี วามเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือตดิ ต่อสือ่ สารเพ่อื สร้างความเขา้ ใจและความสัมพันธท์ ี่ดตี ่อ
กนั และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหลง่ ขอ้ มลู ต่างๆ การสอนภาษาไทยในปัจจบุ นั จึงได้
เปล่ียนแนวคิดไปจากเดิม ไม่เน้นการอ่านออกเขยี นได้เพียงอย่างเดียว แต่จะเนน้ การสอนภาษาเพื่อการส่ือสารกับ
ผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้
อย่างสันติสุข ใช้ภาษาในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตในสังคม ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ประสบการณ์จาก
แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนกาคิดวิเคราะห์ วิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อ
การเปลย่ี นแปลงทางสังคม ความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มี
ความม่ันคงทางเศรษฐกจิ นอกจากน้ียังเป็นส่ือท่ีแสดงภูมปิ ญั ญาของบรรพบุรุษด้านวฒั นธรรม ประเพณี และ
สุนทรียภาพ เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมที่ล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติท่ีควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่อ
อนุรกั ษแ์ ละสบื สานให้คงอยคู่ ู่ชาติไทยตลอดไป

สาระสำคัญในสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย

ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และเพื่อนำไปใช้ในชวี ติ จรงิ

➢ การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนดิ ต่างๆ การอ่านใน
ใจ
เพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ และการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ความรู้จากสิง่ ท่ีอ่าน เพ่อื นำไป ปรบั ใชใ้ นชีวิตประจำวัน
➢ การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนส่ือสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่างๆ ของการเขียน
ซงึ่
รวมถึงการเขียนเรยี งความ ย่อความ รายงานชนิดตา่ งๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขยี นเชิง
สรา้ งสรรค์
➢การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
พดู
ลำดับเร่ืองราวต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการ
พดู เพือ่ โนม้ น้าวใจ
➢หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับ
โอกาส
และบคุ คล การแตง่ บทประพนั ธ์ประเภทต่างๆ และอทิ ธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
➢วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือศึกษาข้อมลู แนวความคิด คุณคา่ ของ
งานประพนั ธ์ และความเพลดิ เพลนิ การเรยี นรูแ้ ละทำความเขา้ ใจบทเห่ บทร้องเล่นของเดก็

➢เพลงพื้นบ้าน ที่เป็นภูมิปัญ ญาท่ีมีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม
ขนบธรรมเนียม
ประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพ่ือให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจ ในบรรพ
บุรษุ ทีไ่ ดส้ ่งั สมสบื ทอดมาจนถงึ ปัจจบุ ัน

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสรา้ งความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตดั สนิ ใจ แกป้ ญั หาในการดำเนนิ ชวี ิต
และมีนิสยั รกั การอ่าน

สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ

เขยี นรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาคน้ คว้าอยา่ ง มีประสิทธิภาพ

สาระที่ ๓ การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดูอยา่ งมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกใน

โอกาสต่างๆ อย่างมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์

สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลังของภาษา

ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ

สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมา

ประยุกตใ์ ช้ในชีวิตจริง

วิสัยทศั นข์ องกล่มุ สาระภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือของการเรียนรู้ของคนในชาติ และเป็นวัฒนธรรมของชาติ การเรยี นภาษาไทยต้องเรียนรู้
เพื่อให้เกดิ ทักษะอย่างถูกต้อง เหมาะสมในการสอื่ สาร เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรูแ้ ละประสบการณ์เรียนรู้
ใหเ้ กิดความชื่นชม ซาบซง้ึ และภูมิใจในภาษาไทย โดยเฉพาะคณุ คา่ ของวรรณคดีและภมู ิปญั ญาของบรรพบุรษุ ท่ีได้
สรา้ งสรรค์ไว้

การเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้เกิดสร้างสรรค์ คิดวิพากษ์วิจารณ์คิดตัดสินใจแก้ปัญหาและวินิจฉัย
อยา่ งมเี หตุผลและสร้างเสริมบุคลกิ ภาพของผู้ใชภ้ าษาให้เกิดความนา่ เช่ือถอื ด้วยการใช้ภาษาอย่างมีเหตุผล ใช้ภาษา
ในทางสรา้ งสรรคแ์ ละใชภ้ าษาอยา่ งสละสลวยงดงาม

ภาษาไทยเปน็ ทักษะท่ีต้อฝกึ ฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาส่ือสาร ความร้แู ละประสบการณ์ การ
เรียนภาษาไทยจะต้องเรยี นเพอ่ื การสอื่ สารให้สามารถรับรขู้ ้อมูลขา่ วสารไดอ้ ย่างพินจิ พเิ คราะห์ สามารถใช้ภาษาได้
ถูกตอ้ งตามความหมายและถูกต้องตามกาลเทศะและมปี ระสทิ ธภิ าพ

ภาษาไทยมีส่วนท่ีเป็นเน้ือหา สาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษา ซ่ึงผู้ใช้ภาษาจะต้องรู้และใช้ภาษาให้
ถูกต้อง นอกจากนั้น ยงั มวี รรณคดีและวรรณกรรมพ้นื บ้าน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทม่ี คี ุณค่าและเปน็ ภมู ปิ ัญญาทาง
ภาษาที่ถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดตลอดจนค่านิยม ความงดงามของภาษาในบท
ประพันธ์ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง ประเภทต่าง ๆ ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาให้เกิดความซาบซึ้งและความภูมิใจใน
ภาษาไทยและผลงานทางภาษา ซึ่งบรรพบุรุษได้สั่งสมและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และจะต้องสืบทอดต่อไปใน
อนาคต เพอื่ ความเป็นไทยและวัฒนธรรมทางภาษา

พนั ธกจิ ของกลมุ่ สาระ

หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนวดั ใหม่ลำนกแขวก ไดใ้ ช้หลักการพฒั นาหลักสตู รตามแบบของหลกั สูตร
แกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานซึ่งมหี ลักการที่สำคัญ ดงั น้ี

๑.เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพือ่ ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจดุ หมายและมาตรฐานการเรยี นรู้ เป็น
เปา้ หมายสำหรับพฒั นาเดก็ และเยาวชนให้มีความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพืน้ ฐาน ของความเป็นไทยควบคู่
กับความเปน็ สากล

๒. เปน็ หลักสูตรการศกึ ษาเพือ่ ปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ บั การศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ
๓. เป็นหลกั สูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมสี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา ให้สอดคลอ้ ง
กบั สภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถนิ่
๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาทมี่ ีโครงสร้างยดื หยุน่ ทัง้ ดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้
๕. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทเ่ี น้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ
๖. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาสำหรบั การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศยั ครอบคลุมทกุ
กลมุ่ เป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

เป้าหมายของกลุ่มสาระ

หลกั สตู รสถานศึกษามีความม่งุ หมายในการพัฒนาผู้เรยี นให้เป็นคนดี มีปัญญา มคี วามสุข
มศี ักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จงึ กำหนดเปน็ จุดหมายเพือ่ ให้เกดิ กับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาขน้ั
พ้ืนฐาน ดังน้ี

๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

๒. มีความรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคิด การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต
๓. มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มีสขุ นิสยั และรักการออกกำลังกาย
๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวติ และ การปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มีจิต
สาธารณะท่ีมงุ่ ทำประโยชน์และสรา้ งส่งิ ท่ีดงี ามในสังคม และอยูร่ ว่ มกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสุข

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของกลุ่มสาระ

หลกั สตู รสถานศกึ ษาของกลุ่มสาระภาษาไทย มุ่งเน้นพฒั นาผู้เรยี นใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานมสี มรรถนะ
สำคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดังน้ี

 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน

สมรรถนะสำคญั ๕ ประการ คอื
๑. ความสามารถในการสอ่ื สาร เปน็ ความสามารถในการรับและส่งสาร มีวฒั นธรรมในการใชภ้ าษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่อื แลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม รวมท้งั การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา
ความขัดแยง้ ตา่ ง ๆ การเลือกรับหรอื ไมร่ ับข้อมูลข่าวสารดว้ ยหลกั เหตผุ ลและความถกู ต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วิธกี ารสอ่ื สาร ท่มี ปี ระสิทธิภาพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่มตี อ่ ตนเองและสงั คม
๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคดิ อย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่อื นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพ่ือ
การตดั สินใจเกยี่ วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอปุ สรรคต่าง ๆ ท่เี ผชิญได้อยา่ ง
ถกู ต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เขา้ ใจความสัมพนั ธแ์ ละการ
เปล่ียนแปลงของเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรมู้ าใช้ในการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา
และมีการตดั สนิ ใจท่ีมีประสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบทเี่ กิดขนึ้ ตอ่ ตนเอง สังคมและสง่ิ แวดล้อม

๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการดำเนิน

ชีวติ ประจำวนั การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง การเรยี นรู้อย่างต่อเน่อื ง การทำงาน และการอยู่รว่ มกนั ในสงั คมดว้ ยการสรา้ ง

เสริมความสมั พนั ธ์อนั ดีระหว่างบุคคล การจดั การปัญหาและความขดั แย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรบั ตวั ใหท้ นั กบั

การเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการร้จู ักหลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ท่ีส่งผลกระทบต่อ

ตนเองและผอู้ น่ื
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีดา้ นตา่ ง ๆ และมี

ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่อื การพัฒนาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้ การส่ือสาร การทำงาน การ
แก้ปญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมคี ุณธรรม

 คุณลักษณะของผเู้ รียนทพ่ี ึงประสงค์

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดใหม่ลำนกแขวก มุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้

สามารถอยรู่ ่วมกบั ผ้อู นื่ ในสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดังน้ี
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึง การปฏิบัติตนเป็นคนดีในสังคม มีความรักชาติ ศาสนา

พระมหากษัตรยิ ์
๒. ซ่อื สตั ยส์ จุ รติ หมายถึง ปฏบิ ตั ติ นอย่างตรงไปตรงมา ทง้ั กาย วาจา ใจ
๓. มีวนิ ยั หมายถงึ ปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ของโรงเรยี น ครอบครัวชมุ ชน และกจิ กรรมในห้องเรยี น เชน่

สมุดงาน ชนิ้ งาน สะอาดเรียบร้อยปฏบิ ัติตนอย่ใู นข้อตกลงทก่ี ำหนดให้ร่วมกนั ทุกคร้ัง
๔. ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง ลักษณะของบุคคลท่ีมีความกระตือรือร้นในการเรียน รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็น

ประโยชน์ แสวงหาความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้ที่หลากหลาย และสามารถถ่ายทอดเผยแพร่ องค์ความรู้ใหก้ ับผู้อื่น
๕. อยู่อย่างพอเพยี ง หมายถงึ มีความเปน็ อย่อู ย่างพอเพียง รู้จกั การดำรงชวี ติ ใหม้ คี ณุ ค่า
๖. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน หมายถงึ มุ่งม่ันทำงานอยา่ งรอบคอบ จนประสบผลสำเรจ็
๗. รักความเป็นไทย หมายถึง มีความตระหนกั เห็นคณุ ค่าของความเป็นไทย และมเี จตคติทดี่ ี รกั ษา

เอกลกั ษณ์ ไทย และขนบธรรมเนยี มประเพณี

๘. มีจิตสาธารณะ หมายถงึ มีความสำนึกและมุ่งทำประโยชน์และสร้างส่งิ ทด่ี งี ามในสังคม และอยูร่ ่วมกัน

ในสงั คมอย่างมีความสขุ

คุณภาพผูเ้ รยี น

จบช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๖

• อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบายความหมายโดยตรง
และความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ขอ้ ความ สำนวนโวหาร จากเร่ืองที่อา่ น เขา้ ใจคำแนะนำ คำอธบิ ายใน
คู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง รวมทั้งจับใจความสำคัญของเร่ืองที่อ่านและนำความรู้ความคิด
จากเร่ืองท่ีอ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวติ ได้ มีมารยาทและมีนิสัยรักการอ่าน และเห็นคุณค่า
สิ่งท่อี า่ น

• มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด เขียนสะกดคำ แต่งประโยคและเขียน
ข้อความ ตลอดจนเขียนส่ือสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ โครงเร่ืองและแผนภาพความคิด
เพอ่ื พฒั นางานเขยี น เขียนเรยี งความ ย่อความ จดหมายสว่ นตวั กรอกแบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรูส้ ึก
และความคิดเห็น เขยี นเรื่องตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ และมมี ารยาทในการเขียน

• พูดแสดงความรู้ ความคิดเก่ียวกับเร่ืองที่ฟังและดู เล่าเร่ืองย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟังและดู ตั้ง
คำถาม ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟังและดู รวมท้ังประเมินความน่าเช่ือถอื จากการฟังและดูโฆษณาอย่างมเี หตุผล พูด
ตามลำดับขั้นตอนเร่ืองต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้าจาก การฟัง การดู การสนทนา
และพูดโน้มน้าวไดอ้ ยา่ งมีเหตผุ ล รวมทง้ั มมี ารยาทในการดูและพูด

• สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจ ชนิดและ
หน้าที่ของคำในประโยค ชนิดของประโยค และคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้ คำราชาศัพท์และคำ
สุภาพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม แตง่ ประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนสภุ าพ และกาพย์ยานี 11

• เขา้ ใจและเหน็ คณุ ค่าวรรณคดีและวรรณกรรมทอี่ ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน รอ้ งเพลงพ้ืนบ้านของท้องถิ่น
นำข้อคดิ เห็นจากเร่อื งท่อี า่ นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ จริง และท่องจำบทอาขยานตามทก่ี ำหนดได้

ตารางมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ัด กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้วี ัด

สาระท่ี ๑ การอา่ น ๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ และบทรอ้ ยกรอง

มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่าน ไดถ้ กู ต้อง

สร้างความรูแ้ ละความคิดเพอ่ื นำไปใชต้ ัดสนิ ใจ ๒. อธบิ ายความหมายของคำ ประโยค และ

แกป้ ญั หาในการดำเนินชวี ติ ขอ้ ความท่ีเปน็ โวหาร

และมนี ิสยั รกั การอ่าน ๓. อ่านเร่อื งส้นั ๆ อย่างหลากหลาย โดยจับเวลา

แลว้ ถามเกีย่ วกบั เร่ืองท่อี า่ น

๔. แยกขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คิดเห็นจากเร่อื งท่อี า่ น

๕. อธบิ ายการนำความรแู้ ละความคดิ จากเรอื่ งท่ีอ่าน

ไปตัดสนิ ใจแก้ปัญหาในการดำเนินชวี ติ

๖. อา่ นงานเขยี นเชิงอธิบาย คำสง่ั ข้อแนะนำ และ

ปฏิบัติตาม

๗. อธบิ ายความหมายของข้อมลู จากการอ่านแผนผัง

แผนที่ แผนภูมิ และกราฟ

๘. อ่านหนังสือตามความสนใจและอธิบายคณุ ค่า

ทีไ่ ด้รบั

๙. มีมารยาทในการอ่าน

สาระที่ ๒ การเขยี น ๑. คดั ลายมือตวั บรรจงเตม็ บรรทดั และคร่ึงบรรทัด

มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี น เขยี น ๒. เขยี นสอ่ื สารโดยใช้คำได้ถกู ต้อง ชัดเจน และ

สื่อสาร เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ และเขยี น เหมาะสม

เร่ืองราวในรูปแบบตา่ ง ๆ เขยี นรายงานข้อมลู ๓. เขยี นแผนภาพโครงเรอ่ื งและแผนภาพความคิด

สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อย่าง เพื่อใช้พัฒนางานเขยี น

มีประสทิ ธภิ าพ ๔. เขยี นเรยี งความ

๕. เขยี นยอ่ ความจากเรอื่ งท่ีอา่ น

๖. เขียนจดหมายส่วนตัว

๗. กรอกแบบรายการต่าง ๆ

๘. เขียนเรือ่ งตามจนิ ตนาการและสรา้ งสรรค์

๙. มีมารยาทในการเขียน

สาระที่ ๓ การฟงั การดู และการพูด ๑. พดู แสดงความรู้ ความเข้าใจจุดประสงค์ของเร่ือง

มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดอู ย่าง ทฟ่ี ังและดู

มีวจิ ารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด ๒. ตัง้ คำถามและตอบคำถามเชงิ เหตุผลจากเรื่องทฟ่ี งั

และความรสู้ กึ ในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมี และดู

วจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ ๓. วเิ คราะห์ความน่าเชอ่ื ถอื จากการฟงั และดู

สอ่ื โฆษณาอย่างมีเหตผุ ล

๔. พูดรายงานเร่ืองหรอื ประเดน็ ที่ศกึ ษาคน้ คว้า

จากการฟัง การดู และการสนทนา

๕. พูดโนม้ นา้ วอยา่ งมเี หตผุ ลและน่าเช่อื ถือ

๖. มีมารยาทในการฟงั การดู และการพดู

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด

สาระท่ี ๔ หลักการใชภ้ าษาไทย ๑. วิเคราะหช์ นดิ และหน้าที่ของคำในประโยค

มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษา ๒. ใช้คำได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล

และหลักภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษา ๓. รวบรวมและบอกความหมายของคำ

และพลงั ของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และ ภาษาต่างประเทศทใ่ี ชใ้ นภาษาไทย

รกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ิของชาติ ๔. ระบลุ ักษณะของประโยค

๕. แตง่ บทรอ้ ยกรอง

๖. วิเคราะห์และเปรยี บเทียบสำนวนทเ่ี ป็นคำพงั เพย

และสภุ าษิต

สาระท่ี ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม ๑. แสดงความคดิ เห็นจากวรรณคดีหรือวรรณกรรม

มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความ- ท่อี า่ น

คดิ เหน็ วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย ๒. เล่านทิ านพื้นบา้ นทอ้ งถ่ินของตนและนทิ าน

อย่างเหน็ คุณคา่ และนำมาประยุกตใ์ ช้ พ้นื บา้ นของทอ้ งถิน่ อืน่

ในชวี ิตจริง ๓. อธิบายคณุ ค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ ่าน

และนำไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ จริง

๔. ทอ่ งจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทรอ้ ยกรอง

ทม่ี คี ุณค่าตามความสนใจ

ท่ีมา : หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ กระทรวงศึกษาธกิ าร

ตารางวเิ คราะห์แผนการจัดการเรยี นรู้รายช
กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไท

มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระท่ี ๑ การอ่าน สาระท่ี
และตวั ชี้วัด การเขยี

หน่วยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕

หลกั ภาษาและการใช้ภาษาไทย

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑

คำนาม...ใช้เรียกตามชือ่

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๒
คำแทนช่ือ...นี้คือสรรพนาม

หน่วยการเรียนรูท้ ี่ ๓
คำกรยิ า...ส่ืออาการ

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๔
ขยายคำ...ควรจำคำวเิ ศษณ์

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๕
บุพบท...จดจำ นำหน้าคำหรือ
ข้อความ

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๖
คำสนั ธาน...สะพานเช่ือมคำ
และประโยค

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗
คำอุทาน...สือ่ สารอารมณ์

ชั่วโมงกับมาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้ีวัด
ทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๖

สาระที่ ๕

๒ สาระท่ี ๓ การฟัง สาระที่ ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพดู หลกั การใชภ้ าษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔












มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ การอา่ น สาระท่ี
และตวั ชี้วัด การเขยี

หน่วยการเรยี นรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑

๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖๗๘๙๑๒ ๓๔ ๕

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๘

ระดับภาษา

ราชาศพั ท์ ภาษาถิ่น..ใชใ้ ห้

เคยชินและเหมาะสม

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๙

คำในภาษาไทย...ที่

นำมาใช้จาก

ภาษาต่างประเทศ

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๐

สงั เกตอยา่ งไร...ประโยค

ชนดิ ใดหรือกลมุ่ คำ

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑๑
กลอนสุภาพ...ซาบซ้งึ ใจ

๒ สาระที่ ๓ การฟัง สาระท่ี ๔ สาระท่ี ๕
ยน การดู และการพดู วรรณคดี
หลกั การใช้
ภาษาไทย และ
วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔








มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ การอ่าน สาระที่
และตวั ช้ีวัด การเขยี

หนว่ ยการเรยี นรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๑๒
สำนวนไทย...สอนใจให้คิด

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑๓  
อ่านได้คลอ่ ง...ตอ้ งรู้วิธี  
เรื่องท่ี ๑ การอา่ นออกเสียง 
บทรอ้ ยแกว้ 

เรื่องที่ ๒ การอา่ นออกเสยี ง  
บทร้อยกรองเป็นทำนอง 
เสนาะ
เรอ่ื งที่ ๓ การอ่าน
จับใจความและการอ่านเร็ว

เรอื่ งท่ี ๔ การอา่ นงานเขียน
เชิงอธิบาย คำสง่ั ข้อแนะนำ
และปฏบิ ัตติ าม

เรื่องท่ี ๕ การอา่ นขอ้ มูลจาก
แผนผัง แผนท่ี แผนภมู ิ และ
กราฟ

สาระท่ี ๕

๒ สาระท่ี ๓ การฟัง สาระที่ ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพูด หลกั การใช้ภาษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔



มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ การอ่าน สาระท่ี
และตวั ชวี้ ัด การเขยี

หนว่ ยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕

เรื่องท่ี ๖ การอ่านหนงั สอื ตาม 
ความสนใจ

เรอ่ื งท่ี ๗ เรอ่ื งมารยาทใน 
การอ่าน

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑๔ 
เขียนชำนาญ...งานสร้างสรรค์ 
เรอ่ื งท่ี ๑ การคดั ลายมือ 
เรอ่ื งท่ี ๒ การเขยี นสื่อสาร

เรอ่ื งที่ ๓ การเขียนแผนภาพ
โครงเรอ่ื งและแผนภาพ
ความคดิ เพือ่ ใช้พฒั นางาน
เขียน

เรอ่ื งที่ ๔ การเขียนเรยี งความ 

เรอ่ื งท่ี ๕ การเขียนย่อความ 

เรื่องที่ ๖ การเขียนจดหมาย
ส่วนตวั

เรอื่ งที่ ๗ การกรอกแบบ
รายการ

เร่ืองที่ ๘ การเขยี นเร่อื งตาม
จนิ ตนาการ

สาระท่ี ๕

๒ สาระท่ี ๓ การฟัง สาระท่ี ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพูด หลกั การใชภ้ าษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔









 
 



มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ การอ่าน สาระท่ี
และตวั ชี้วัด การเขีย

หนว่ ยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕

เรื่องท่ี ๙ มารยาทใน

การเขยี น

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๕

ฟงั ดู รสู้ นทนา...ภาษาส่ือสาร

เรื่องที่ ๑ การพดู แสดงความรู้

ความเข้าใจจากการฟงั และดู

เรอื่ งที่ ๒ การตั้งคำถามและ
ตอบคำถามเชงิ เหตุผลจาก
เรื่องที่ฟงั และดู

เรื่องที่ ๓ การวิเคราะห์ความ
น่าเช่ือถอื จากสือ่ โฆษณา

เรอื่ งท่ี ๔ การพดู รายงาน

เร่ืองท่ี ๕ การพูดโน้มนา้ ว

เรื่องท่ี ๖ มารยาทในการฟงั
การดู และการพูด

สาระที่ ๕

๒ สาระท่ี ๓ การฟงั สาระท่ี ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพูด หลกั การใช้ภาษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔



 
 







มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ การอ่าน สาระท่ี
และตวั ชวี้ ัด การเขยี

หนว่ ยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕

เรื่องท่ี ๖ การอ่านหนงั สอื ตาม 
ความสนใจ

เรอ่ื งท่ี ๗ เรอ่ื งมารยาทใน 
การอ่าน

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑๔ 
เขียนชำนาญ...งานสร้างสรรค์ 
เรอ่ื งท่ี ๑ การคดั ลายมือ 
เรอ่ื งท่ี ๒ การเขยี นสื่อสาร

เรอ่ื งที่ ๓ การเขียนแผนภาพ
โครงเรอ่ื งและแผนภาพ
ความคดิ เพือ่ ใช้พฒั นางาน
เขียน

เรอ่ื งที่ ๔ การเขียนเรยี งความ 

เรอ่ื งท่ี ๕ การเขียนย่อความ 

เรื่องที่ ๖ การเขียนจดหมาย
ส่วนตวั

เรอื่ งที่ ๗ การกรอกแบบ
รายการ

เร่ืองที่ ๘ การเขยี นเร่อื งตาม
จนิ ตนาการ

สาระท่ี ๕

๒ สาระท่ี ๓ การฟัง สาระท่ี ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพูด หลกั การใชภ้ าษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔









 
 



มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ การอ่าน สาระที่
และตวั ชี้วัด การเขีย

หนว่ ยการเรียนรู้ ท ๑.๑ ท ๒.๑
๑๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๒ ๓๔ ๕
วรรณคดแี ละวรรณกรรม
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑ 
บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ 
ตอน ศึกไมยราพ
  
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๒
นทิ านทองอนิ ตอน   
นากพระโขนงที่สอง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๓  
บทเสภาเรื่อง ขุนชา้ งขนุ แผน
ตอน กำเนิดพลายงาม           
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๔
สภุ าษิตสอนหญิง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๕
คำกลอนสุภาษิต...
ใหข้ ้อคดิ สอนใจ
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๖
นิทานพ้ืนบา้ นและ
เพลงพื้นบ้าน
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๗
บทอาขยาน

สรปุ

สาระที่ ๕

๒ สาระที่ ๓ การฟัง สาระท่ี ๔ วรรณคดี

ยน การดู และการพดู หลักการใช้ภาษาไทย และ

วรรณกรรม

๑ ท ๓.๑ ท ๔.๑ ท ๕.๑

๖ ๗ ๘ ๙ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕ ๖๑ ๒ ๓ ๔



 
 



                

คำอธิบายรายวชิ า

ภาษาไทย ท ๑๖๑๐๑ กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ เวลาเรยี น ๑๖๐ ชว่ั โมง

➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢➢

ศึกษาและฝึกอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง พร้อมท้ังอธิบายความหมายของคำ
ประโยคและขอ้ ความท่ีเป็นโวหาร อ่านจับใจความเรื่องอย่างหลากหลายจากส่ือต่าง ๆ โดยจับเวลาแล้วถามเกยี่ วกับ

เร่ืองท่อี ่าน แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น อธบิ ายการนำความรู้และความคิดจากเร่ืองท่อี ่านไปตดั สนิ ใจแก้ปัญหาใน
การดำเนินชีวิต อ่านงานเขียนเชิงอธิบาย คำสั่ง ข้อแนะนำและปฏิบัติตาม อ่านข้อมูลจากแผนผัง แผนท่ี แผนภูมิ

และกราฟ อา่ นหนังสือตามความสนใจและอธิบายคุณค่าที่ได้รบั และมมี ารยาทในการอ่าน คัดลายมอื ตัวบรรจงเต็ม
บรรทัดและครง่ึ บรรทัดตามรูปแบบการเขยี นตวั อักษรไทย เขียนคำขวญั คำอวยพร และประกาศ โดยใช้คำไดถ้ กู ต้อง
ชัดเจนและเหมาะสม เขียนแผนภาพโครงเร่ืองและแผนภาพความคิดเพ่ือใช้พัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อ

ความ จดหมายสว่ นตวั กรอกแบบรายการ ได้แก่ แบบคำร้อง ใบสมัครศึกษาต่อ แบบฝากส่งพัสดุและไปรษณียภัณฑ์
เขียนเรื่องตามจินตนาการและสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขยี น พูดแสดงความรู้ ความเข้าใจจุดประสงค์ของ

เรอ่ื งทฟี่ ังและดู ตงั้ คำถาม และตอบคำถามเชิงเหตผุ ลจากเรื่องทฟ่ี งั และดู วเิ คราะห์ความนา่ เช่ือถอื จากการฟัง และดู
โฆษณาอยา่ งมเี หตุผล

พูดรายงานเรื่อง หรือประเด็นท่ีศึกษาค้นคว้า จากการฟัง การดู และการสนทนา พูดโน้มน้าวอยา่ งมีเหตผุ ล

และน่าเช่ือถือ และมีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด วิเคราะห์ชนิดและหน้าท่ีของคำในประโยค ใช้คำได้
เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลท้ังคำราชาศัพท์ ระดับภาษา และภาษาถิ่น รวบรวมและบอกความหมายของคำ

ภาษาต่างประเทศทีใ่ ช้ในภาษาไทย ระบลุ ักษณะของประโยคสามัญ ประโยครวม ประโยคซ้อน รวมท้ังกลุ่มคำหรือ
วลี แต่งกลอนสุภาพ และวิเคราะห์ เปรียบเทียบ สำนวนท่ีเป็นคำพังเพย และสุภาษิต เล่านิทานพื้นบ้านท้องถ่ิน
ตนเองและนิทานพ้ืนบ้านของท้องถ่ินอ่ืน แสดงความคิดเห็นและอธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน

และนำไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตจรงิ และทอ่ งจำบทอาขยานตามท่กี ำหนด และบทร้อยกรองท่ีมคี ุณค่าตามความสนใจ
กิจกรรมการเรียนรู้เน้นให้ผู้เรียนสังเกตและตอบคำถามที่กระตุ้นความคิดอย่างเป็นลำดับ เพ่ือนำไปสู่การ

สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ฝึกประมวลคำและนำคำไปใช้อย่างถูกต้อง ส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานหลากหลาย
รูปแบบ และเรียนรู้ภาษาไทยที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากสื่อต่าง ๆ รวมทั้งมุ่งพัฒนากระบวนการกลุ่ม การวางแผน
และกระบวนการคิด

เพ่ือให้เกิดความเข้าใจหลักภาษา เกิดทักษะในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสา ร สามารถนำไปใช้ใน
ชวี ติ ประจำวนั ได้ มคี วามช่นื ชม เหน็ คุณคา่ ภูมิปัญญาไทยและภมู ิใจในภาษาประจำชาติ

รหัสตวั ช้ีวดั
ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖, ป.๖/๗, ป.๖/๘, ป.๖/๙

ท ๒.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖, ป.๖/๗, ป.๖/๘, ป.๖/๙
ท ๓.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖

ท ๔.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖
ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ป.๖/๓, ป.๖/๔
รวมทั้งหมด ๓๔ ตวั ชีว้ ัด

โครงสรา้ งการจดั หนว่ ยการเรียนรู้ เวลาเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ (ชว่ั โมง)

ภาคเรียนที่ ๑ เวลาเรยี น ๘๐ ชั่วโมง ๔

หน่วยการเรียนรู้ ๔

หลกั ภาษาและการใช้ภาษาไทย ๔
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ คำนาม...ใชเ้ รียกตามช่อื ๔
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ คำแทนช่อื ...นี้คือสรรพนาม
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๓ คำกรยิ า...สื่ออาการ ๔
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ๔ ขยายคำ...ควรจำคำวิเศษณ์ ๔
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๕ บุพบท...จดจำ นำหน้าคำหรือข้อความ ๘
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๖ คำสนั ธาน...สะพานเชื่อมคำและประโยค ๑
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑๓ อา่ นได้คลอ่ ง...ตอ้ งรวู้ ิธี

เรื่องท่ี ๑ การอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้ว
เรื่องที่ ๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ ๒
เรื่องที่ ๓ การอา่ นจับใจความและการอ่านเร็ว ๒
เรือ่ งท่ี ๗ มารยาทในการอ่าน ๒
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๑๔ เขยี นชำนาญ...งานสร้างสรรค์ ๑
เร่ืองท่ี ๑ การคดั ลายมือ
เรื่องที่ ๒ การเขียนส่ือสาร ๒

• คำขวญั
• คำอวยพร ๒
เร่ืองท่ี ๕ การเขยี นย่อความ ๒
เรอ่ื งท่ี ๙ มารยาทในการเขยี น ๒
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑๕ ฟัง ดู รูส้ นทนา...ภาษาสือ่ สาร ๑
เรอ่ื งท่ี ๑ การพูดแสดงความรู้ ความเขา้ ใจจากเรือ่ งทีฟ่ ังและดู
เรอ่ื งท่ี ๒ การต้ังคำถามและตอบคำถามเชงิ เหตุผลจากเร่อื งที่ฟงั และดู ๘
เรื่องที่ ๕ การพูดโน้มนา้ ว ๕
• การเลือกตัง้ กรรมการนักเรียน ๔
• การรณรงค์ ๒
• การโตว้ าที ๘๐
เรื่องที่ ๖ มารยาทในการฟงั การดู และการพูด
วรรณคดแี ละวรรณกรรม
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑ บทละครเรอ่ื ง รามเกยี รติ์ ตอนศึกไมยราพ
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ สภุ าษติ สอนหญิง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๕ คำกลอนสภุ าษิต...ให้ขอ้ คิดสอนใจ
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๗ บทอาขยาน

รวมเวลาเรียน

โครงสร้างการจดั หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลาเรยี น
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ (ชว่ั โมง)

ภาคเรยี นที่ ๒ เวลาเรยี น ๘๐ ชวั่ โมง ๔

หนว่ ยการเรียนรู้ ๔

หลักภาษาและการใชภ้ าษาไทย ๔
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๗ คำอทุ าน...สอ่ื สารอารมณ์ ๔
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๘ ระดับภาษา ราชาศัพท์ ภาษาถน่ิ ...ใช้ให้เคยชนิ และเหมาะสม
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๙ คำในภาษาไทย...ที่นำมาใชจ้ ากภาษาตา่ งประเทศ ๔
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑๐ สังเกตอย่างไร...ประโยคชนดิ ใดหรือกลุม่ คำ ๒
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑๑ กลอนสุภาพ...ซาบซงึ้ ใจ ๒
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๑๒ สำนวนไทย...สอนใจให้คดิ
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๓ อา่ นได้คลอ่ ง...ต้องรวู้ ิธี ๒

เรื่องที่ ๔ การอ่านงานเขียนเชิงอธิบาย คำสัง่ ข้อแนะนำ ๔
เรอ่ื งท่ี ๕ การอา่ นข้อมลู จากแผนผงั แผนท่ี แผนภูมิ และกราฟ ๔
เรื่องท่ี ๖ การอา่ นหนังสอื ตามความสนใจ ๔
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑๔ เขยี นชำนาญ...งานสร้างสรรค์ ๒
เรอ่ื งที่ ๒ การเขยี นสือ่ สาร ๖

• ประกาศ ๒
เรื่องที่ ๓ การเขยี นแผนภาพโครงเรอื่ งและแผนภาพความคดิ ๔

เพอ่ื ใชพ้ ฒั นางานเขยี น ๗
เร่อื งที่ ๔ การเขียนเรยี งความ ๖
เร่อื งท่ี ๖ การเขยี นจดหมายส่วนตวั ๓
เรื่องที่ ๗ การกรอกแบบรายการ ๒
เรือ่ งท่ี ๘ การเขียนเร่อื งตามจินตนาการ ๘๐
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๑๕ ฟงั ดู รู้สนทนา...ภาษาสือ่ สาร
เรื่องที่ ๓ การวิเคราะห์ความนา่ เชอื่ ถอื จากสื่อโฆษณา
เรื่องท่ี ๔ การพูดรายงาน
วรรณกรรมคดแี ละวรรณกรรม
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ นิทานทองอนิ ตอนนากพระโขนงที่สอง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๓ บทเสภาเรื่อง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน กำเนดิ พลายงาม
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๖ นทิ านพน้ื บา้ นและเพลงพ้ืนบ้าน
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๗ บทอาขยาน

รวมเวลาเรยี น

โครงสร้างรายวิชาพน้ื ฐาน ภาษาไทย
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๖ เวลาเรยี น ๑๖๐ ชั่วโมง

ลำดบั ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลาเรียน น้ำหนกั
ท่ี เรยี นรู้/ตัวช้วี ัด (ชวั่ โมง) คะแนน

หลกั ภาษา

และการใชภ้ าษาไทย

๑ คำนาม...ใชเ้ รียกตามชือ่ ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำนามเป็นคำชนิดหนงึ่ ทีใ่ ชเ้ รียก คน ๔
พชื สตั ว์ สงิ่ ของ และสถานที่ คำนาม ๔
๒ คำแทนชอื่ ... ท ๔.๑ ป. ๖/๑ ทำหน้าท่เี ป็นไดท้ งั้ ประธานและกรรม ๔
น้คี อื สรรพนาม ในประโยคซ่งึ ใชส้ ื่อสารใน ๔
ชวี ิตประจำวนั ๔
๓ คำกรยิ า...ส่อื อาการ ท ๔.๑ ป. ๖/๑
คำสรรพนามเป็นคำท่ีใช้แทนคำนาม
๔ ขยายคำ...ควรจำ ท ๔.๑ ป. ๖/๑ เพ่อื ไมต่ อ้ งกล่าวคำนามนนั้ ซ้ำอีก คำ
คำวเิ ศษณ์ สรรพนามเป็นคำท่ตี ้องใช้ในการ
สนทนาในชีวติ ประจำวนั จึงต้อง
๕ บุพบท...จดจำ ท ๔.๑ ป. ๖/๑ เลอื กใช้กับบุคคลต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
และเหมาะสม
นำหน้าคำหรือข้อความ
คำกรยิ าเปน็ คำทีแ่ สดงอาการหรือ
สภาพ หรอื การกระทำของประธาน
ในประโยค ซึ่งเปน็ คำนามหรอื คำ
สรรพนาม ประโยคทกุ ประโยค
จะต้องมีคำกรยิ า

คำวิเศษณเ์ ปน็ คำทใี่ ชข้ ยายหรือ
ประกอบคำอืน่ คอื คำนาม
คำสรรพนาม คำกรยิ า หรือ
คำวิเศษณ์ดว้ ยกนั เองเพือ่ ใหไ้ ด้
ใจความชัดเจนยง่ิ ขึน้

คำบพุ บททำหน้าที่แสดง
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคำหรือกลมุ่ คำ
เพ่อื บอกเวลา ตำแหน่ง ทตี่ ั้ง สถานที่
ความเปน็ เจา้ ของ ความเก่ยี วขอ้ ง
หรือความประสงค์ จึงควรเลือกใชค้ ำ
บพุ บทแต่ละชนิดให้ถกู ต้องและ
เหมาะสม

ลำดบั ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลาเรยี น น้ำหนกั
ท่ี เรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน

๖ คำสนั ธาน...สะพาน ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำสันธานใชเ้ ช่อื มคำ ประโยค หรือ ๔

เช่อื มคำและประโยค ข้อความใหม้ ีใจความตอ่ เน่อื งกัน

ประโยคที่มคี ำสนั ธานจะสามารถแยก

เปน็ ประโยคย่อยได้ คำสนั ธานทำให้

ประโยคหรือข้อความสละสลวยขึ้น

๗ คำอทุ าน... ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำอุทานใชแ้ ทนอารมณ์ ความรสู้ กึ ๔
ส่ือสารอารมณ์
ต่าง ๆ ของผพู้ ดู ทำให้ผู้ฟังเข้าใจส่งิ ท่ี

พูดชัดเจนย่ิงขน้ึ

๘ ระดับภาษา ราชาศัพท์ ท ๔.๑ ป. ๖/๒ การเลอื กใชภ้ าษาในการส่ือสารกับ ๖
ภาษาถ่ิน...ใช้ใหเ้ คยชิน
บุคคลตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมเป็น
และเหมาะสม
การอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมทางภาษาซง่ึ

เป็นเอกลกั ษณอ์ ย่างหนงึ่ ของชาติ

๙ คำในภาษาไทย... ท ๔.๑ ป. ๖/๓ การรู้ลกั ษณะของคำและความหมาย ๔

ท่นี ำมาใช้จาก ของคำภาษาต่างประเทศที่ใชใ้ น
ภาษาต่างประเทศ
ภาษาทำให้อ่าน เขยี น และเขา้ ใจ

ขอ้ ความต่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ งชัดเจน

ยิ่งข้ึน

๑๐ สังเกตอยา่ งไร... ท ๔.๑ ป. ๖/๔ ประโยคใชส้ ื่อสารในชีวิตประจำวัน ๔

ประโยคชนิดใด การใช้ประโยคได้ถูกตอ้ งจะทำใหก้ าร

หรอื กลุ่มคำ สื่อสารมีประสทิ ธภิ าพ

๑๑ กลอนสุภาพ...ซาบซึ้งใจ ท ๔.๑ ป. ๖/๕ การแต่งบทร้อยกรองตอ้ งคำนงึ ถึง ๔

ลกั ษณะและข้อกำหนดของบทร้อย

กรองแตล่ ะประเภท รูจ้ กั เลอื กสรร

ถ้อยคำทมี่ ีความหมายและเสยี งคลอ้ ง

จองเหมาะสมมาใช้ จงึ จะทำใหบ้ ท

รอ้ ยกรองน้ันไพเราะ สละสลวย

๑๒ สำนวนไทย...สอนใจ ท ๔.๑ ป. ๖/๖ คำพังเพยและสภุ าษิตเปน็ สำนวนไทย ๔
ใหค้ ดิ
ท ๑.๑ ป. ๖/๑, ทมี่ ีความหมายในเชงิ เปรียบเทยี บ
๑๓ อ่านคล่อง...ต้องรวู้ ธิ ี ป. ๖/๒, ป. ๖/๓,
ป. ๖/๔, ป. ๖/๕, และให้คติสอนใจ
ป. ๖/๖, ป. ๖/๗,
ป. ๖/๘, ป. ๖/๙ ๑. การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแก้วต้อง ๒๕

ออกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจนตาม

อักขรวธิ ี เวน้ วรรคตอนเหมาะสม ใช้

น้ำเสยี งนา่ ฟงั มีเสียงหนกั เสียงเบา

การอ่านนน้ั จงึ จะมปี ระสทิ ธภิ าพ เกดิ

ความน่าสนใจ ผู้ฟงั สามารถจับ

ใจความไดง้ า่ ยและถูกต้อง

ลำดับ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลาเรียน น้ำหนัก
ท่ี เรียนรู/้ ตวั ชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน

ท ๒.๑ ป. ๖/๑, ๒. การอ่านออกเสียงบทรอ้ ย-กรอง
ป. ๖/๒, ป. ๖/๓,
ป. ๖/๔, ป. ๖/๕, ไดถ้ ูกต้องตามลกั ษณะ
ป. ๖/๖, ป. ๖/๗,
ป. ๖/๘, ป. ๖/๙ คำประพนั ธ์และอกั ขรวธิ ี รู้จักเอือ้ น

เสียง แสดงอารมณ์ตามเนือ้ หาความ

จะทำใหบ้ ทรอ้ ย-กรองน้นั เกดิ ความ

ไพเราะน่าฟงั ย่ิงขึน้

๓. การฝกึ ฝนการอา่ นจบั ใจความตาม

หลักเกณฑ์อย่างสมำ่ เสมอจะทำให้

เข้าใจสาระสำคญั ของเรอ่ื งได้ถกู ตอ้ ง

และอา่ นเรอื่ งไดร้ วดเรว็ ยงิ่ ขึน้

๔. การอา่ นงานเขียนเชงิ อธบิ าย

คำสง่ั ข้อแนะนำ และปฏบิ ัตติ าม

อย่างถูกต้องจะทำใหไ้ ด้รับประโยชน์

ในการนำไปใช้อย่างเต็มท่ี

๕. การอา่ นขอ้ มูลจากแผนผัง แผนที่

แผนภูมิ และกราฟทำให้เข้าใจ

ความหมายรวดเร็วชัดเจนยงิ่ ขึ้นและ

นำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย

๖. การอ่านหนงั สือไมว่ ่าจะเปน็

หนังสอื ประเภทใด ลว้ นแต่มี

ความสำคญั ในการสรา้ งพฤตกิ รรม

แห่งการเรียนรไู้ ดต้ ลอดชวี ติ

๗. การมมี ารยาทในการอ่าน แสดงถึง

อุปนิสัยทีด่ ซี ง่ึ น่าช่นื ชม

๑๔ เขยี นชำนาญ... ๑. การคัดลายมือเปน็ ทักษะทีต่ อ้ ง ๓๑
งานสรา้ งสรรค์
ฝกึ ฝนอย่เู สมอ เพือ่ พฒั นาลายมือ

และเขียนหนังสอื ให้ถกู ตอ้ ง ลายมอื ที่

อ่านง่าย เป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย

สะอาด นอกจากทำให้ผูอ้ ่านสบายตา

เกิดความรูส้ กึ อยากอา่ นข้อความน้ัน

แล้วยงั แสดงใหเ้ ห็นวา่ ผู้เขยี นมคี วาม

ตง้ั ใจ และมมี ารยาททดี่ ีในการเขยี น

๒. การเขยี นส่ือสารต้องใช้ถอ้ ยคำ

สำนวนภาษา รวมท้ังรูปแบบให้

ถูกตอ้ งเหมาะสม เพอ่ื สื่อความหมาย

ไดช้ ดั เจนตรงตามวตั ถปุ ระสงค์

ลำดับ ชื่อหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลาเรียน นำ้ หนกั
ท่ี เรียนรู้/ตวั ชี้วัด (ช่วั โมง) คะแนน

๓. การเขยี นแผนภาพโครงเรื่องและ

แผนภาพความคิดเพอ่ื ใช้พัฒนางาน

เขยี น จะชว่ ยใหก้ ารนำเสนอข้อมลู มี

ระบบ งานเขียนมปี ระเด็นชดั เจนและ

ไดค้ วามครบถว้ นสมบรู ณ์

๔. การเขียนเรียงความมรี ูปแบบ

เฉพาะคือมคี ำนำ เนือ้ เรือ่ ง และสรปุ

เปน็ การเขียนเพอ่ื ถา่ ยทอดความรู้

ความคดิ ความร้สู ึก และ

ประสบการณไ์ ปยังผู้อา่ น

๕. การเขียนย่อความเปน็ การนำ

ใจความสำคัญของเนอ้ื เรอ่ื งแตล่ ะยอ่

หน้ามาเรยี บเรยี งใหมใ่ หต้ อ่ เนอื่ งกัน

ซง่ึ จะช่วยใหก้ ารสือ่ สารเกิดความ

เขา้ ใจไดง้ ่ายย่งิ ขนึ้

๖. การเขียนจดหมายส่วนตัว เพือ่ ใช้

ติดตอ่ สื่อสารกบั บิดา มารดา

ญาติพนี่ ้อง หรือเพอื่ น ควรเลอื กใช้

ถอ้ ยคำ สำนวนภาษาใหถ้ กู ต้อง

เหมาะสมกบั สถานการณ์ จะทำให้

การสอื่ สารน้ันประสบผลสำเร็จตรง

ตามวัตถปุ ระสงค์

๗. การกรอกแบบรายการได้ครบถว้ น

ถกู ตอ้ งดว้ ยลายมือทอี่ า่ นง่าย สะอาด

เรยี บร้อย จะทำให้การตดิ ตอ่ สื่อสาร

กับหนว่ ยงานหรอื องคก์ รต่าง ๆ

ประสบความสำเร็จ

๘. การเขยี นเรอื่ งตามจนิ ตนาการ

ตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกับเรือ่ งนั้นอยา่ งดี

จากน้นั จึงวางโครงเรอ่ื งที่สนุกและ

น่าสนใจ แลว้ เรยี บเรยี งเรอื่ งโดยใช้

สำนวนภาษาท่ีเหมาะสม เพ่อื ให้

ผอู้ า่ นเห็นภาพและเกดิ ความรู้สึก

คลอ้ ยตามเน้ือเร่อื งที่อ่าน

๙. การมีมารยาทในการเขียนจะชว่ ย

ใหก้ ารถา่ ยทอดความรู้และความคิด

ของผู้เขียนไปสผู่ ู้อ่านมปี ระสทิ ธิภาพ

และประสบผลสำเร็จ

ลำดับ ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสำคัญ เวลาเรยี น นำ้ หนกั
ท่ี เรยี นรู้/ตวั ชี้วดั
(ชัว่ โมง) คะแนน
๑๕ ฟงั ดู รสู้ นทนา...ภาษา ท ๓.๑ ป. ๖/๑,
สือ่ สาร ป. ๖/๒, ป. ๖/๓, ๑.การพูดแสดงความรู้ ความเข้าใจ ๑๗
ป. ๖/๔, ป. ๖/๕,
ป. ๖/๖ จุดประสงค์ของเร่ืองท่ีฟังและดู ต้อง

ฟังและดูเร่ืองนั้นให้ตลอด จึงจะ

สามารถพดู ได้ถูกต้อง และนำความรู้

หรอื ขอ้ คดิ ไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ได้

๒. การตั้งคำถามและตอบคำถามเชิง

เหตุผลจากเร่ืองท่ีฟังและดู ทำให้

สามารถวิเคราะห์ความน่าเช่ือถือ

เพื่อนำความรู้และข้อคิดที่ได้จาก

เร่อื งน้นั ไปปฏบิ ัตใิ ห้เกิดประโยชน์

๓. การวิเคราะหค์ วามนา่ เชอ่ื ถอื จาก

ส่ือโฆษณา ต้องใช้ข้อมูลและเหตุผล

ประกอบ เพ่อื จะได้เลือกซอ้ื สินค้าทม่ี ี

คณุ ภาพหรือใช้บริการตามท่ีต้องการ

อยา่ งคมุ้ ค่า

๔. การพูดรายงานที่ดีทำให้การ

นำเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจ ผู้ฟัง

ได้รับความรู้และประโยชน์จากการ

ฟงั

๕. การพูดโน้มน้าวเป็นการพูดจูงใจ

หรือเชิญชวนให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก

คล้อยตามหรือเกิดกำลังใจในการทำ

ส่ิ ง ใด สิ่ ง ห นึ่ ง ท่ี เกิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่

สว่ นรวม

๖. การมีมารยาทในการฟัง การดู

และการพูดจะทำให้รับสารและส่ง

สารได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นที่

ชื่นชมของผูท้ ่ีพบเหน็

ลำดับ ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลาเรยี น นำ้ หนกั
ท่ี เรียนร/ู้ ตัวชีว้ ัด (ชว่ั โมง) คะแนน

วรรณคดี ท ๑.๑ ป. ๖/๑, รามเกยี รต์ิ เปน็ วรรณคดไี ทยทีม่ ีเคา้ ๘

และวรรณกรรม ป. ๖/๒, ป. ๖/๕, โครงเรือ่ งมาจากรามายณะของ

๑ บทละครเรอ่ื ง รามเกียรติ์ ป. ๖/๘ อนิ เดยี เนื้อเรอ่ื งเป็นการทำสงคราม

ตอน ศกึ ไมยราพ ท ๕.๑ ป. ๖/๑, อนั ยืดเยอื้ ระหวา่ งมนุษย์ ลิง และ

ป. ๖/๓, ป. ๖/๔ ยกั ษ์ มคี วามสนุกสนานตนื่ เต้นเรา้ ใจ

โดยมแี ก่นสำคัญของเรือ่ ง คอื ธรรมะ

ยอ่ มชนะอธรรม

๒ นทิ านทองอิน ตอน ท ๑.๑ ป. ๖/๑, นิทานทองอนิ ตอนนากพระ-โขนงท่ี ๗
นากพระโขนงที่สอง ป. ๖/๒, ป. ๖/๓,
ป. ๖/๕, ป. ๖/๘ สองสะท้อนใหเ้ ห็น การเกิดข่าวลือ
ท ๕.๑ ป. ๖/๑,
ป. ๖/๒, ป. ๖/๓ ขึ้นในสังคม แม้กระท่งั ได้เหน็ ส่งิ นั้น

ดว้ ยตาก็อาจไมใ่ ช่ความจริง ยิ่งผู้รับ

ข่าว

สารตอ้ งมีวจิ ารณญาณไตรต่ รองเพ่ือ

ไมใ่ ห้หลงผดิ หรอื ตกเป็นเหยอื่ ของผู้

ไม่หวงั ดี

๓ บทเสภาเร่อื ง ท ๑.๑ ป. ๖/๑, บทเสภาเรอ่ื ง ขนุ ช้างขนุ แผน เปน็ ๖

ขนุ ชา้ งขนุ แผน ป. ๖/๒, ป. ๖/๕, วรรณคดที ่ีสะทอ้ นความเป็นไทย

ตอน กำเนิดพลายงาม ป. ๖/๘ อย่างเด่นชดั ท้งั สภาพสงั คม วถิ ชี ีวิต

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, วัฒนธรรม ความเชอื่ และยังสะทอ้ น

ป. ๖/๒, ป. ๖/๓, ความจรงิ ของชวี ติ ทต่ี ้องพบกบั ความ

ป.๖/๔ ทกุ ข์ ความเสยี ใจ ความพลัดพราก

สงิ่ เหลา่ น้ีลว้ นเปน็ คุณคา่ ของ

วรรณคดี

ทผี่ อู้ ่านจะไดร้ บั

๔ สภุ าษิตสอนหญิง ท ๑.๑ ป. ๖/๑, สุภาษติ สอนหญงิ เปน็ วรรณคดคี ำ ๕
ป. ๖/๒, ป. ๖/๕,
ป. ๖/๘ สอนแกห่ ญงิ ไทย ใหค้ ตเิ ตือนใจ
ท ๕.๑ ป. ๖/๑,
ป. ๖/๓, ป. ๖/๔ แนวทางในการประพฤตปิ ฏิบตั ิตนท้งั

ทางกาย วาจา ใจทดี่ งี าม สอดคล้อง

กับคา่ นิยมและขนบธรรมเนยี ม

ประเพณไี ทย ซงึ่ ยงั คงทนั สมยั และ

ใชไ้ ด้ตลอดกาล

๕ คำกลอนสอนสุภาษิต... ท ๑.๑ ป. ๖/๑, การนำข้อคิดจากคำกลอน ๔

ใหข้ ้อคดิ สอนใจ ป. ๖/๒, ป. ๖/๕, สภุ าษิตไปปฏิบัติทำให้เกิด

ป. ๖/๘ ประโยชนต์ อ่ การดำเนนิ ชวี ิต

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, ประจำวนั และการอยู่ร่วมกัน

ป. ๖/๓, ป. ๖/๔ ในสังคม

ลำดับ ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลาเรยี น น้ำหนัก
ท่ี เรียนรู้/ตัวชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน
ท ๕.๑ ป. ๖/๒ การศึกษาคน้ ควา้ นิทานพ้นื บา้ นและ
๖ นทิ านพื้นบา้ น เพลงพน้ื บา้ นเปน็ การอนุรักษแ์ ละสบื ๓
ท ๕.๑ ป. ๖/๔ ทอดภมู ปิ ญั ญาและมรดกทาง
และเพลงพ้นื บา้ น วัฒนธรรมไทยแขนงหน่ึง ๔
การทอ่ งจำบทอาขยานเพอื่ นำไปใช้
๗ บทอาขยาน อา้ งองิ และนำขอ้ คดิ ไปเป็นแนวทาง
ในการดำเนนิ ชวี ติ

รวม ๑๖๐

การวัดและประเมนิ ผล

การวัดผลประเมินผลการเรียนรภู้ าษาไทย

การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษาเป็นงานท่ียากซ่ึงต้องการความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับการ
พัฒนาทางภาษา ดังน้นั ผู้ปฏิบัตหิ น้าท่ีวัดผลการเรยี นรูด้ ้านภาษาจำเป็นตอ้ งเข้าใจหลักการของการเรียนร้ภู าษา เพื่อ
เป็นพน้ื ฐานการดำเนินงาน ดงั นี้

๑. ทักษะทางภาษาทงั้ การฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขยี นมคี วามสำคัญเทา่ ๆ กนั และ
ทกั ษะเหลา่ น้ีจะบรู ณาการกนั ในการเรียนการสอนจะไมแ่ ยกฝึกทักษะทีละอย่างจะต้องฝกึ ทกั ษะไปพร้อม ๆ กัน
และทกั ษะทางภาษาทักษะหน่งึ จะสง่ ผลตอ่ การพัฒนาทกั ษะทางภาษาอน่ื ๆ ดว้ ย

๒. ผเู้ รียนตอ้ งได้รับการพฒั นาความสามารถทางภาษาพรอ้ มกบั การพัฒนาความคดิ เพราะภาษา
เป็นส่อื ของความคิด ผทู้ ี่มีทักษะและความสามารถในการใชภ้ าษา มปี ระมวลคำมากจะช่วยให้ผ้เู รยี นมคี วามสามารถ
ในการคิดด้วย ขณะเดยี วกนั การเรียนภาษาจะเรียนรว่ มกนั กบั ผอู้ นื่ มกี ารติดต่อสื่อสาร ใช้ภาษาในการตดิ ต่อกบั เพื่อน
กับครูจึงเป็นการฝึกทักษะทางสังคมด้วย เมื่อผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์จริงท้ังในบริบททางวิชาการใน
หอ้ งเรียนและในชุมชนจะทำใหผ้ ้เู รียนไดใ้ ชภ้ าษาและได้ฝึกทักษะทางสังคมในสถานการณ์จริง

๓. ผู้เรียนตอ้ งเรยี นร้กู ารใชภ้ าษาพดู และภาษาเขียนอยา่ งถูกตอ้ งดว้ ยการฝกึ การใชภ้ าษามใิ ช่เรยี นรู้
กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพียงอย่างเดียว การเรียนภาษาจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์หรือหลักภาษา การสะกดคำ การใช้
เครือ่ งหมายวรรคตอน และนำความรดู้ ังกลา่ วไปใช้ในการฝกึ ฝนการเขียนและพฒั นาทางภาษาของตน

๔. ผ้เู รียนทกุ คนจะได้รับการพัฒนาทกั ษะทางภาษาเท่ากนั แตก่ ารพฒั นาทางภาษาจะไม่เทา่ กนั
และวธิ กี ารเรียนร้จู ะตา่ งกนั

๕. ภาษากบั วฒั นธรรมมคี วามสัมพนั ธก์ ันอยา่ งใกลช้ ดิ หลักสตู รจะตอ้ งใหค้ วามสำคัญและใช้ความ
เคารพและเห็นคุณค่าของเช้ือชาติ จัดกิจกรรมภูมิหลังของภาษาและการใช้ภาษาถ่ินของผู้เรียน และช่วยให้ผู้เรียน
พัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับภาษาไทย และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรยี นภาษาไทย
ด้วยความสุข

๖. ภาษาไทยเปน็ เคร่อื งมอื ของการเรยี นรู้ และทุกกล่มุ สาระการเรียนรู้จะต้องใช้ภาษาไทยเป็น
เครื่องมือการส่ือสารและแสวงหาความรู้ การเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะใช้ภาษาในการคิดวิเคราะห์ การคิด
สรา้ งสรรค์ การอภิปราย การเขยี นรายงาน การเขียนโครงการ การตอบคำถาม การตอบข้อทดสอบ ดงั นั้นครูทุกคน
ไม่ว่าจะสอนวิชาใดก็ตามจะต้องใช้ภาษาท่ีเป็นแบบแผน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน และต้องสอนการใช้ภาษาแก่
ผเู้ รียนด้วยเสมอ

หลกั การของการประเมินผลในช้ันเรียนท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ

ประการแรก : การประเมนิ ผลในช้นั เรียนทมี่ ปี ระสิทธิภาพจะต้องสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น
ประการที่สอง : การประเมนิ จะต้องใชข้ ้อมูลจากแหลง่ ข้อมลู ที่หลากหลาย
ประการที่สาม : การประเมินจะต้องมคี วามเท่ียงตรง เชือ่ ถือได้ และยตุ ิธรรม

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการเรยี นของผู้เรียน

วิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ถกู นำมาใชใ้ นการประเมินโดยทวั่ ไป ได้แก่ การสังเกต การตรวจงานหรือผลงาน
การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออก อย่างไรก็ตามมีการนำเสนอแนวทางการเก็บ
รวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเป้าประสงค์ของการประเมินที่เฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพื่อข้อมูลท่ีได้จะ
สามารถนำมาใช้ประโยชนต์ ่อการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้อยา่ งแทจ้ รงิ ดงั น้ี

๑. การให้ตอบแบบทดสอบ ท้ังในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคำตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก-ผิด
จับคู่ และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคำตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่าง คำตอบส้ันเป็นประโยค เป็นข้อความ
แผนภมู ิ

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยวิธกี ารน้ีเหมาะกับการวดั ความร้เู ก่ยี วกับข้อเท็จจรงิ ความร้เู กย่ี วกบั กระบวนการ
ซึง่ มขี ้อดที ่ีใช้เวลาในการดำเนนิ การนอ้ ย ง่าย และสะดวกต่อการนำไปใช้ ให้ผลการประเมนิ ทตี่ รงไปตรงมา
เนอ่ื งจากมกี ฎการประเมนิ ชดั เจน แต่ไม่เหมาะกับการนำไปใช้กบั ผลการเรียนรูท้ ่เี ปน็ เจตคติ คา่ นิยม

๒. การดูจากผลงาน เชน่ เรยี งความ รายงานการวจิ ัย บนั ทกึ ประจำวัน รายงานการทดลอง บทละคร บท
ร้อยกรอง แฟม้ ผลงาน เปน็ ตน้ ผลงานจะเป็นตัวแสดงให้เหน็ การนำความรู้และทักษะไปใชใ้ นการปฏิบตั ิงานของ
ผเู้ รียน จุดเด่นของการประเมนิ โดยดจู ากผลงานนี้ คอื จะแสดงให้เหน็ สง่ิ ทน่ี กั เรียนสามารถทำได้ มกี ารกำหนดเกณฑ์
การประเมนิ เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นสามารถประเมินตนเองได้ เพื่อการปรับปรุงพฒั นาตนเองของผเู้ รยี น เพื่อนกส็ ามารถ
ใช้เกณฑ์ในการประเมินผลงานของผู้เรียนได้เช่นกนั จุดอ่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมีการกำหนด
กฎเกณฑ์การประเมนิ รว่ มกัน ตอ้ งใชเ้ วลาในการประเมนิ มาก รวมท้งั ตัวแปรภายนอก อาจเขา้ มามีอิทธพิ ลตอ่ การ
ประเมนิ ได้ง่าย

๓. ดูการปฏิบตั ิ โดยผู้สอนสามารถสงั เกตการนำทักษะและความร้ไู ปใช้ไดโ้ ดยตรง ในสถานการณท์ ี่ใหป้ ฏิบตั ิ
จรงิ วิธีการน้ีถูนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมิน การปฏิบัติท่ีมีระเบียบ ข้อบังคับ เช่น การ ร้องเพลง ดนตรี
พลศึกษา การโต้วาที การกล่าวสุนทรพจน์ ละครเวที การประเมิน โดยวิธีการน้ีจะมีคุณค่ามาก หากผู้เรียนได้
นำไปใชใ้ นการประเมินตนเองเพอ่ื สร้างแรงจูงใจในการปรบั ปรงุ พัฒนาตนเองให้ดขี นึ้ ใน
กระบวนการประเมินจะมีเครื่องมือประกอบการดำเนินการ คือ แบบสำรวจรายการ มาตราส่วนประมาณค่า และ
เกณฑ์การใหร้ ะดบั คะแนน (scoring rubric )

๔. ดกู ระบวนการ วธิ กี ารน้จี ะใหข้ อ้ มลู เก่ยี วกับวธิ กี ารเรยี นรู้ กระบวนการคิดของผูเ้ รียนมากกวา่ ทีจ่ ะดู
ผลงานหรอื การปฏบิ ตั ิ ซง่ึ จะทำให้เขา้ ใจกระบวนการคดิ ที่ผู้เรยี นใช้ วธิ กี ารท่ีครูผสู้ อนใช้อยเู่ ปน็ ประจำใน
กระบวนการเรียนการสอน คือ การใหน้ กั เรียนคดิ ดังๆ การตงั้ คำถาม ให้นกั เรียนตอบ โดยครจู ะเปน็ ผสู้ ังเกตวิธีการ
คิดของผู้เรียน วิธีการเชน่ นเ้ี ปน็ กระบวนการท่จี ะให้ข้อมูลเพอื่ การวินิจฉยั และเป็นข้อมูลย้อนกลบั แก่ผู้เรยี น โดย
การเก็บรวบรวมข้อมูลอยา่ งตอ่ เนื่อง ซงึ่ เหมาะกับการประเมนิ พฒั นาการด้านคณุ ธรรม จริยธรรม และลกั ษณะนิสยั

การตดั สินผลการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย
การตัดสินผลการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย เป็นการตดั สินผลการเรยี นสาระการเรียนรู้ของผ้เู รยี น

ในแตล่ ะชั้น จึงเป็นการดำเนินการตดั สินผลการเรียนรูข้ องผเู้ รยี น แล้วนำผลการเรยี นไปสรุปตัดสนิ ใหผ้ ู้เรยี นผา่ น
ระดับช้นั

๑. การตัดสนิ ผลการเรียน
๑.๑ ผู้สอนทำการวัดและประเมนิ ผลผู้เรยี นให้ครอบคลมุ ทุกตัวชี้วดั ด้วยวิธกี ารท่ี หลากหลาย โดย

การวดั และประเมินผลไปพรอ้ มกบั กระบวนการจัดการเรียนการสอน และตอ้ งให้ความสำคญั กับการประเมินระหวา่ ง
เรียนมากกว่าประเมนิ ปลายปี

๑.๒ กำหนดเกณฑ์การประเมนิ ให้ระดบั ผลการเรยี น สถานศึกษาต้องกำหนดเกณฑก์ ารประเมินให้

ระดับคุณภาพผลการเรยี น สามารถอธบิ ายผลการตัดสินว่าผเู้ รียนตอ้ งมีความรู้ ทักษะและคุณลักษณะโดยรวมอยู่ใน
ระดับใด จึงยอมรับว่าผ่านการประเมิน เช่น ได้-ตก, คิดเป็นร้อยละ, ผ่าน-ไม่ผ่าน ส่วนผลการเรียนทั้งระบบตัวเลข

และตวั อักษรในการประเมนิ สาระการเรยี นรู้ กำหนดเปน็ ระดบั ผลการเรยี น ๘ ระดบั คอื

ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนรอ้ ยละ
๔ ผลการเรยี นดีเย่ียม ๘๐ – ๑๐๐
๓.๕ ผลการเรยี นดีมาก ๗๕ – ๗๙
๓ ผลการเรยี นดี ๗๐ – ๗๔
๒.๕ ผลการเรียนคอ่ นข้างดี ๖๕ – ๖๙
๒ ผลการเรยี นน่าพอใจ ๖๐ – ๖๔
๑.๕ ผลการเรียนพอใช้ ๕๕ – ๕๙
๑ ผลการเรียนผ่านเกณฑข์ ้ันตำ่ ๕๐ – ๕๔
๐ ผลการเรียนต่ำกวา่ เกณฑ์ ๐ – ๔๙

๑.๓ ประเมินให้ระดบั ผลการเรยี นกลมุ่ สาระภาษาไทย ตามเกณฑก์ ารประเมนิ ใหร้ ะดบั ผลการ
เรียนตามท่ีสถานศึกษากำหนด กรณีผู้เรียนมีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนดให้ดำเนินการซ่อมเสริม ปรับปรุง
แก้ไขผู้เรียนในสาระภาษาไทย การประเมินด้วยวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ จนผู้เรียนผ่านเกณฑ์การประเมินตัวช้ีวัด

สถานศึกษาควรดำเนินการให้เสร็จสิ้นในภาคเรียนต่อไป และให้ระดับผลการเรียนใหม่ตามเง่ือนไขท่ีสถานศึกษา
กำหนด

๒. การตดั สนิ ผลการเรียนกล่มุ สาระภาษาไทยในแตล่ ะชัน้
ผ้เู รียนต้องเรียนรูต้ ามกลมุ่ สาระภาษาไทยครบทกุ รายวิชาตามโครงสรา้ งหลักสูตรของสถานศกึ ษา และได้รบั การ
ตัดสนิ ผลการเรยี นให้ “ผา่ น”

แนวการวดั ผลและประเมนิ ผลตามตัวชีว้ ัด

การสะกดคำ

การวัดผลและประเมินผลวา่ นกั เรียนสามารถสะกดคำไดห้ รอื ไม่ อย่างไร ครูสามารถดำเนนิ การได้ทงั้ ขณะ
สอนและสิ้นสดุ การสอนและเครื่องมอื ดังนี้

๑. การสังเกต ในการสังเกตนักเรยี นอยา่ งไม่เป็นทางการขณะอ่านแจกลูกสะกดคำ หรือสงั เกตการใช้น้วิ มือ
เขียนรูปตวั อักษรของคำทอ่ี า่ นในอากาศนัน้ ครคู วรบนั ทึกพฤติกรรมของนกั เรยี นในแบบสงั เกตท่ีเตรยี มไว้

๒. การทดสอบในระหวา่ งช่วั โมงสอน ครูอาจสร้างแบบทดสอบให้นักเรียนเติมสระ พยัญชนะท่ีขาดหายไป
หรือให้นักเรียนจำแนกคำทีค่ รกู ำหนดในตารางแจกลกู

๓. การสอบถาม ครอู าจต้ังคำถามให้นกั เรยี นตอบปากเปล่าเกย่ี วกบั ตำแหน่งของสระ รูปรา่ งของสระ หรือ
ให้นักเรยี นเขยี นคำใหม่ที่ใช้พยญั ชนะ หรอื สระหรอื ตัวสะกดเหมือนกบั คำทไี่ ดเ้ รียนไปแล้วหรอื คำท่ีครกู ำหนดให้

มาตราตัวสะกด

ครสู ามารถวดั ผลและประเมนิ ผลนักเรยี นวา่ มีความรแู้ ละความเข้าใจเกีย่ วกบั มาตราตัวสะกดไดโ้ ดยวิธีการ
และเครือ่ งมอื ดงั นี้

๑. ทดสอบปากเปล่า โดยครูกำหนดคำสะกดในมาตราต่าง ๆ ทั้งที่สะกดตรงมาตราและไม่ตรงมาตรา ให้
นกั เรียนอ่านแลว้ ครใู ชแ้ บบสงั เกตเพ่อื ประเมินวา่ นกั เรียนสามารถอา่ นตวั สะกดที่กำหนดไดถ้ กู ต้องหรอื ไม่

๒. เขยี นตามคำบอกโดยครูเลือกคำท่ีสะกดในมาตราตา่ ง ๆ ทงั้ ท่สี ะกดตรงมาตราและไม่
ตรงมาตรา บอกให้นกั เรียนเขยี นและครตู รวจแก้การเขยี นตัวสะกดของนักเรียน

๓. ทดสอบโดยใชแ้ บบทดสอบแบบเขยี นตอบ ให้เขียนคำอา่ นของตัวสะกดทคี่ รกู ำหนด
ใหห้ รอื ใช้แบบทดสอบแบบเลอื กตอบให้นกั เรยี นเลือกคำในตัวเลือกใดทเี่ ขียนคำอ่านถกู ต้อง หรอื เลือกตัวเลือกใด
ที่เขยี นคำอา่ นไม่ถูกตอ้ ง

อ่านออกเสยี งควบกล้ำ

การวัดผลและประเมนิ ผลนักเรยี นวา่ สามารถอา่ นออกเสียงควบกล้ำไดถ้ กู ต้องหรือไม่ ครูอาจจะมคี ำหรอื
ขอ้ ความหรอื เพลงทีม่ ีคำควบกลำ้ แล้วใหน้ ักเรยี นอ่านให้ฟงั แล้วครูบนั ทกึ ผลการประเมนิ ในแบบประเมินการอา่ น

การอา่ น

การวดั ผลประเมินผล อาจใชว้ ิธีการดังนี้

๑. พจิ ารณาความถูกต้องเหมาะสมในการวเิ คราะหค์ ำ วลี หรอื ประโยค นอกจากนัน้ ควรวดั ผลด้านเหตผุ ล
การวเิ คราะหท์ ัศนะของผเู้ ขยี นจากเรื่องท่อี ่าน ตลอดจนประเมนิ ผลจากความตงั้ ใจ สนใจ และผลงานท่ีได้
มอบหมาย

๒. ใหน้ กั เรียนเลือกอา่ นบทรอ้ ยกรองทน่ี ักเรียนชอบแล้วสรปุ ความเปน็ ร้อยแกว้ โดยใช้สำนวนภาษาทเี่ ข้าใจ
งา่ ย

๓. ให้นกั เรียนอ่านบทร้อยกรองเรอ่ื ง……… แลว้ วเิ คราะหว์ ิจารณบ์ ททอี่ ่านในดา้ นรูปแบบฉนั ทลักษณ์
ความคิดและเนื้อหาสาระในบทร้อยกรอง กลวิธใี นการแตง่ ของบทร้อยกรอง และส่ิงทีผ่ ู้เขยี นฝากไว้ในบทร้อย
กรอง

๔. ใหน้ กั เรียนอ่านบทรอ้ ยกรองเรอ่ื ง…………… แล้ววเิ คราะห์วา่ เนอื้ หาของบทรอ้ ยกรองใหอ้ ารมณ์
ความรู้สึก สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาของบทรอ้ ยกรองหรอื ไม่อยา่ งไร นักเรียนมคี วามซาบซ้งึ ประทบั ใจกบั บทร้อยกรอง
ท่ีอ่านหรือไม่ ต่อจากน้ันจงึ พิจารณาความสามารถและผลการทำงานด้วยการวดั ผลความถกู ต้องของการใช้
ถ้อยคำ สำนวนภาษา การสรุปความ การวิเคราะหว์ จิ ารณ์บทรอ้ ยกรอง และความต้ังใจในการทำงาน

๕. ให้นกั เรียนอา่ นข้อความใหถ้ ูกต้องชัดเจนตามแบบท่ีกำหนดให้

๖. ใหน้ ักเรยี นอ่านเรอื่ งและสรปุ ความจากเรอ่ื ง พรอ้ มทง้ั แสดงความคิดเห็นเชงิ วเิ คราะห์

๗. ใหน้ กั เรียนอ่านขา่ วหรือบทความจากหนังสอื พิมพ์ แลว้ ขีดเสน้ ใต้ขอ้ ความที่เป็นขอ้ เท็จจรงิ และข้อความที่
เปน็ ขอ้ คิดเหน็ ของผเู้ ขียนดว้ ยสหี รอื สัญลักษณ์ท่แี ตกตา่ งกัน

๘. ให้นักเรยี นตดั ข่าวจากหนงั สอื พิมพแ์ ลว้ วเิ คราะห์ว่าข่าวน้ันมกี ารนำเสนอข้อเทจ็ จรงิ หรือมคี วามคดิ เห็น
ของผู้เขียนแทรกอยดู่ ้วย พร้อมท้ังให้เหตุผลประกอบว่าความคิดเห็นของผูเ้ ขยี นนา่ เชื่อถือหรอื ไม่เพียงใด

๙. ให้นักเรียนวเิ คราะหว์ ิจารณ์การพาดหัวขา่ วของหนังสือพมิ พ์ต่าง ๆ ในแงก่ ารใช้สำนวนภาษา การสอ่ื
ความหมาย และความสอดคล้องกบั เนือ้ หาของข่าวนัน้ ๆ

๑๐. ใหน้ ักเรียนตัดขอ้ ความโฆษณาจากสง่ิ ตีพมิ พ์ตา่ ง ๆ แลว้ แสดงความคิดเหน็ เชงิ วเิ คราะหว์ ิจารณ์ในด้าน
ความน่าเช่ือถอื การใช้สำนวนภาษา ความน่าสนใจของการนำเสนอ

๑๑. ใหน้ ักเรยี นอา่ นเร่ือง…………… แล้วตีความเนื้อหาใหส้ อดคลอ้ งกับความต้องการของผเู้ ขยี นแล้วสรุป
ความคิดเหน็ ของผเู้ ขยี น พรอ้ มทัง้ เสนอแนวความคิดของผเู้ รียนทม่ี ีต่อหนงั สอื เล่มน้นั

การเขยี น

การวดั ผลแลการประเมนิ ผลวิชาการเขียนนี้สงิ่ สำคญั ที่สดุ อย่ทู ี่ “การตรวจผลงาน” พรอ้ มการวิจารณ์
เสนอแนะ เพอื่ ใหน้ ักเรยี นไดน้ ำไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขหาจดุ บกพร่องของตนเอง วธิ กี ารวัดผลและการประเมินผลงาน
เขยี นมมี ากมายหลายวธิ ี ทั้ง ๑๐ วิธที นี่ ำมาเสนอนเ้ี ป็นเพียงส่วนหน่ึงเท่านัน้ ขนึ้ อยกู่ ับกจิ กรรมท่นี ำเสนอไว้ ครู
สามารถเพิม่ เติมปรบั เปลีย่ นใหเ้ หมาะสมแก่สถานการณ์ได้ทั้งสน้ิ วธิ วี ดั ผลมดี ังนี้

๑. ถ้าเปน็ กิจกรรมประเภทเกมเตมิ คำถูกผิด ควรจะเฉลยคำตอบตรวจงานกนั ระหว่างเพ่อื นในช่ัวโมง

เรียน แล้วส่งครูตรวจอีกคร้งั

๒. ถ้าเป็นกิจกรรมแสดงความคดิ เหน็ อาจใช้อภิปรายแสดงความคดิ กับเพื่อนรว่ มชน้ั ได้ครูวดั ผลทั้งการ

สังเกต การตอบคำถาม การสนทนา การสมั ภาษณ์ และการอภปิ ราย

๓. ถา้ เปน็ กิจกรรมการเขียนในหอ้ งเรียนและมเี วลาเขียนเสรจ็ ภายในหอ้ งเรียนครูอาจพิจารณาคดั เลือก

ขอ้ เขียนเด่น แปลก ใหม่ นำมาถา่ ยทอดใหน้ กั เรียนคนอ่ืนแสดงความคิดเห็น วจิ ารณ์ ชื่นชม และนำไปเปน็
แบบอย่างการสร้างสรรคแ์ ละพฒั นาความคิด ติดผลงานท่ีปา้ ยนิเทศประจำสัปดาห์

๔. ถา้ เปน็ กจิ กรรมกลมุ่ ครูสังเกตความร่วมมือของนกั เรยี นทุกคนในกล่มุ

๕. ถ้าเป็นงานเขยี นท่เี ปน็ การบา้ น ควรซักถามวธิ ีการผลติ ข้อเขยี น สาเหตุ และคาดวา่ จะไดร้ บั ผ

อย่างไรเสียก่อนเพอ่ื ทราบแนวความคิดในการทำงานของนักเรยี นอย่างคร่าวๆ

๖. การบนั ทกึ อนทุ นิ ควรให้จัดทำอย่างสม่ำเสมอเปน็ ผลงานการเขียนอกี ๑ ชิ้น

๗. การเขยี นเล่าเร่อื งจากประสบการณห์ รือการกระทำท่นี า่ ยกย่องของนกั เรยี นเองหรอื ท่ีไปประสบมา

นำมาเขยี น ครูอาจเสนอแนวทางในการผลิตผลงานใหม่ๆ ไดห้ ลายวิธีเช่น เขียนเป็นการต์ ูน คำขวัญ คำประพันธ์
บนั ทึก เล่าเร่ือง และขา่ วเปน็ ต้น นับเปน็ กิจกรรมที่สร้างสรรค์ของนักเรียนได้ และควรนำส่งลงหนังสอื พิมพ์บาง
ฉบบั ได้

๘. การใหน้ ักเรยี นมสี ว่ นรว่ มในการพจิ ารณาผลงานของเพ่ือนๆ ว่าผู้ใดชอบงานชิน้ ใด เพราะเหตใุ ด

๙. การจดั ทำปา้ ยนิเทศแสดงผลงานเขียนโดยเฉพาะงานเขยี นที่อยใู่ นชว่ งเทศกาลต่าง ๆ เชน่ วันแม่

วันพอ่ วันลอยกระทง ฯลฯ

๑๐. การรวบรวมผลงานการเขียน จัดทำเป็น Portfolio แลกเปลี่ยนกับเพ่อื นๆ ทง้ั หอ้ งเดียวกนั และต่าง

ห้อง

แนวปฏบิ ตั ิในการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสองประการคือ การประเมินเพื่อ
พัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จนั้น
นักเรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ
สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ใน
ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการพัฒนาคณุ ภาพนักเรียนโดยใช้
ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของ
นักเรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้นักเรียนเกิด การพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม
ศกั ยภาพ

การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ ระดบั ชน้ั เรยี น ระดับสถานศกึ ษา มี
รายละเอียด ดงั น้ี

๑. การประเมินระดับช้นั เรยี น เป็นการวดั และประเมินผลทอ่ี ยู่ในกระบวนการจดั การเรยี นรู้ ครู ผ้สู อน
ดำเนนิ การเปน็ ปกติและสมำ่ เสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใชเ้ ทคนคิ การประเมนิ อยา่ งหลากหลาย เชน่ การ
ซกั ถาม การสงั เกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมนิ ช้ินงาน/ ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้
แบบทดสอบ ฯลฯ โดยครู ผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรอื เปดิ โอกาสให้นักเรียนประเมนิ ตนเอง เพือ่ นประเมินเพอื่ น
ผปู้ กครองร่วมประเมนิ ในกรณีทีไ่ ม่ผ่านตวั ช้วี ดั ให้มี การสอนซอ่ มเสริม

การประเมนิ ระดับชั้นเรยี นเป็นการตรวจสอบว่า นกั เรยี นมีพฒั นาการความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้
อนั เปน็ ผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรอื ไม่ และมากน้อยเพยี งใด มีส่งิ ท่จี ะต้องได้รับการพฒั นา
ปรบั ปรุงและสง่ เสริมในด้านใด นอกจากน้ยี งั เปน็ ข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนของตนด้วย ทง้ั นี้โดย
สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัด

๒. การประเมินระดบั สถานศึกษา เปน็ การประเมนิ ทีส่ ถานศึกษาดำเนินการเพ่อื ตัดสินผล การเรียน
ของผเู้ รยี นเปน็ รายปี/รายภาค ผลการประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียน คุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค์ และ
กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น นอกจากนเ้ี พ่ือให้ไดข้ ้อมลู เกี่ยวกับการจดั การศกึ ษา ของสถานศกึ ษา วา่ สง่ ผลต่อ การ
เรียนร้ขู องผู้เรยี นตามเปา้ หมายหรอื ไม่ ผเู้ รยี นมจี ุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ังสามารถนำผลการเรยี นของผู้เรียนใน
สถานศกึ ษาเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ระดบั ชาติ ผลการประเมินระดับสถานศกึ ษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพือ่ การ
ปรบั ปรุงนโยบาย หลักสตู ร โครงการ หรอื วิธีการจดั การเรียนการสอน ตลอดจนเพอ่ื การจดั ทำแผนพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาและการรายงานผลการจดั การศกึ ษาตอ่
คณะกรรมการสถานศกึ ษา สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน
ผู้ปกครองและชุมชน

ขอ้ มลู การประเมินในระดบั ต่าง ๆ ขา้ งตน้ เปน็ ประโยชนใ์ นการตรวจสอบทบทวนพฒั นาคุณภาพนกั เรยี น ที่
จะตอ้ งจัดระบบดแู ลชว่ ยเหลือ ปรบั ปรุงแกไ้ ข ส่งเสรมิ สนบั สนนุ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพบน
พ้ืนฐาน ความแตกต่างระหว่างบคุ คลทจี่ ำแนกตามสภาพปญั หาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มนกั เรยี นทว่ั ไป กลุ่ม
นกั เรียนทมี่ ีความสามารถพิเศษ กล่มุ นักเรียนทมี่ ผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่ำ กลุม่ ผู้เรยี นทมี่ ีปัญหาด้านวินยั และ
พฤตกิ รรม กลุ่มนกั เรยี นที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มนักเรยี นท่มี ีปัญหาทางเศรษฐกจิ และสังคม กล่มุ พิการทางร่างกาย
และสติปัญญา เปน็ ตน้ ข้อมูลจากการประเมนิ จึงเปน็ หัวใจของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผ้เู รยี นได้
ทันทว่ งที เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบความสำเร็จในการเรยี น

สถานศกึ ษาในฐานะผรู้ ับผดิ ชอบจัดการศึกษา จะตอ้ งจัดทำระเบียบวา่ ด้วยการวัดและประเมนิ ผลการเรยี น
ของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบตั ทิ เ่ี ปน็ ข้อกำหนดของหลักสูตรสถานศกึ ษา

เพ่อื ใหบ้ คุ ลากรที่เก่ียวข้องทุกฝ่ายถอื ปฏิบัติร่วมกัน

เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผลการเรยี น

๑. การตดั สนิ การใหร้ ะดบั และการรายงานผลการเรียน
๑.๑ การตัดสนิ ผลการเรยี น
ในการตัดสนิ ผลการเรียนของกล่มุ สาระการเรียนรู้ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน คุณลักษณะอนั

พึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนนน้ั ผู้สอนตอ้ งคำนึงถงึ การพฒั นานักเรยี นแตล่ ะคนเป็นหลัก และต้องเก็บ
ขอ้ มลู ของนกั เรียนทุกด้านอยา่ งสม่ำเสมอและตอ่ เน่ืองในแตล่ ะภาคเรียน รวมทัง้ สอนซ่อมเสริมผเู้ รียนใหพ้ ฒั นาจนเต็ม
ตามศักยภาพ

ระดับประถมศึกษา
(๑) ผูเ้ รยี นต้องมเี วลาเรยี นไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทั้งหมด
(๒)ผู้เรียนตอ้ งได้รบั การประเมินทกุ ตวั ชี้วัด และผ่านเกณฑ์ไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวน
ตวั ชว้ี ดั
(๓) ผเู้ รียนต้องไดร้ ับการตดั สนิ ผลการเรียนทุกรายวชิ า ไม่นอ้ ยกวา่ ระดบั “ ๑ ” จงึ จะถือว่าผ่าน
เกณฑ์
(๔)นกั เรียนตอ้ งไดร้ บั การประเมิน และมผี ลการประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียน
สมรรถนะผู้เรียน ในระดับ “ ผา่ น ” ข้นึ ไป มีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ในระดบั “ ผ่าน ” ข้ึนไป
และมผี ลการประเมนิ กิจกรรมพฒั นานกั เรยี น ในระดับ “ ผ่าน ”

๑.๒ การใหร้ ะดบั ผลการเรียน

ระดับประถมศึกษา ในการตดั สนิ เพอ่ื ใหร้ ะดับผลการเรียนรายวชิ า ให้ระดับผลการเรยี นหรอื ระดบั คุณภาพการ
ปฏบิ ตั ขิ องนกั เรยี น เปน็ ระบบตวั เลขแสดงระดบั ผลการเรียนเปน็ ๘ ระดับดังนี้

ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนรอ้ ยละ
๔ ผลการเรียนดีเยย่ี ม ๘๐ – ๑๐๐
๓.๕ ผลการเรยี นดีมาก ๗๕ – ๗๙
๓ ผลการเรยี นดี ๗๐ – ๗๔
๒.๕ ผลการเรยี นคอ่ นขา้ งดี ๖๕ – ๖๙
๒ ผลการเรยี นนา่ พอใจ ๖๐ – ๖๔
๑.๕ ผลการเรยี นพอใช้ ๕๕ – ๕๙
๑ ผลการเรยี นผา่ นเกณฑข์ ั้นตำ่ ๕๐ – ๕๔
๐ ผลการเรยี นต่ำกว่าเกณฑ์ ๐ – ๔๙

การประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น สมรรถนะผู้เรยี น และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคใ์ ห้ได้
ระดับผลการประเมนิ เป็น ดีเยีย่ ม ดี ผ่าน และไม่ผ่าน

การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น จะตอ้ งพิจารณาทัง้ เวลาการเขา้ รว่ มกจิ กรรม การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
และผลงานของผูเ้ รียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกจิ กรรมเป็นผ่าน และไมผ่ ่าน

ระดบั มธั ยมศึกษา ในการตดั สินเพ่ือใหร้ ะดับผลการเรยี นรายวชิ า ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเปน็ ๘

ระดบั ดังนี้ ช่วงคะแนนรอ้ ยละ
๘๐ – ๑๐๐
ระดับผลการเรยี น ความหมาย ๗๕ – ๗๙
๗๐ – ๗๔
๔ ผลการเรยี นดเี ยย่ี ม ๖๕ – ๖๙
๖๐ – ๖๔
๓.๕ ผลการเรียนดมี าก ๕๕ – ๕๙
๕๐ – ๕๔
๓ ผลการเรียนดี ๐ – ๔๙

๒.๕ ผลการเรียนค่อนข้างดี

๒ ผลการเรยี นน่าพอใจ

๑.๕ ผลการเรยี นพอใช้

๑ ผลการเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นตำ่

๐ ผลการเรียนต่ำกวา่ เกณฑ์

การประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียน สมรรถนะผเู้ รียน และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์นัน้ ให้ได้
ระดบั ผลการประเมินเปน็ ดเี ย่ยี ม ดี ผา่ น และไมผ่ ่าน

การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทง้ั เวลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม การปฏบิ ัตกิ จิ กรรม
และผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑท์ ี่สถานศกึ ษากำหนด และให้ผลการเข้ารว่ มกิจกรรมเปน็ ผา่ น และไมผ่ ่าน

๑.๓ การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการสอื่ สารใหผ้ ู้ปกครองและนกั เรยี นทราบความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้
ของนักเรียน ตอ้ งสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงาน ให้ผปู้ กครองทราบเป็นระยะ ๆ หรอื

อยา่ งน้อยภาคเรียนละ ๑ ครัง้
การรายงานผลการเรยี นสามารถรายงานเป็นระดบั คณุ ภาพการปฏิบัติของนักเรยี นทส่ี ะท้อนมาตรฐาน

การเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้

๒. เกณฑ์การจบการศึกษา

หลกั สูตรสถานศึกษา กำหนดเกณฑก์ ลางสำหรบั การจบการศึกษาเปน็ ๒ ระดบั คือ ระดบั ประถมศึกษา
และระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้

๒.๑ เกณฑ์การจบระดบั ประถมศึกษา
(๑) นักเรยี นเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานและรายวชิ า/กิจกรรมเพิ่มเตมิ ตามโครงสร้างเวลาเรียน ทกี่ ำหนด
(๒) นักเรยี นต้องมผี ลการประเมนิ รายวชิ าพ้ืนฐาน ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ โดยนักเรียนจะตอ้ งมี

ระดับผลการเรียนในระดับ ๒.๕ (รอ้ ยละ ๖๕) ข้ึนไป
(๓) นักเรียนมีผลการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียนในระดับผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ
(๔) นกั เรียนมีผลการประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
(๕) นกั เรียนเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ

๒.๒ เกณฑก์ ารจบระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น
(๑) นักเรยี นเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานและเพมิ่ เติมไมเ่ กนิ ๘๑ หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวชิ าพื้นฐาน ๖๖

หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเตมิ และนกั เรยี นจะต้องมรี ะดับผลการเรยี นในระดับ ๓ (ร้อยละ ๗๐) ขึ้นไป
(๒) นกั เรียนตอ้ งไดห้ น่วยกิตตลอดหลักสตู รไมน่ อ้ ยกว่า ๗๗ หน่วยกติ โดยเป็นรายวชิ าพื้นฐาน ๖๖

หนว่ ยกติ และรายวิชาเพมิ่ เตมิ ไม่น้อยกวา่ ๑๑ หนว่ ยกติ
(๓) นกั เรียนมผี ลการประเมนิ การอ่านคิดวิเคราะหแ์ ละเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การประเมนิ
(๔) นกั เรยี นมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงคใ์ นระดับผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน

(๕) นกั เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนและมีผลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
สำหรับการจบการศึกษาสำหรบั กลมุ่ เป้าหมายเฉพาะเชน่ การศึกษาเฉพาะทางการศกึ ษาสำหรบั ผมู้ ีความสามารถ

พเิ ศษ การศกึ ษาทางเลอื ก การศึกษาสำหรบั ผูด้ อ้ ยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัย ให้คณะกรรมการของสถานศึกษา
ดำเนนิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูต้ ามหลักเกณฑใ์ นแนวปฏบิ ัตกิ ารวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
สถานศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ

คณะผู้จัดทำ
....................................................

คณะที่ปรึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา
นายสมเกียรติ วัลลภธารี รองผู้อำนวยการสถานศึกษา

นางสมพิศ โคมกระจ่าง

คณะทำงาน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
นายปฏิเวช บุญเกิด
ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ


Click to View FlipBook Version