The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้เกี่ยวกับสัปปุริสธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warinphon.chi, 2019-10-31 10:39:17

ความรู้เกี่ยวกับสัปปุริสธรรม

ความรู้เกี่ยวกับสัปปุริสธรรม

วิชาเศรษฐกจิ พอเพียง

: ความรู้เกี่ยวกับสัปปุริสธรรม

สัปปุริสธรรม แปลว่า ธรรมะของคนดี หมายความว่า ผู้ใดมีธรรมเหล่านี้ ผู้น้ันเป็นคนดี คนดีท่ี
พระพุทธศาสนายกย่อง คือคนทฉ่ี ลาดมีเหตุผลรู้จักใชค้ วามคดิ วางตวั ดแี ละมีมนษุ ยสัมพันธ์เหมาะสม

สัปปุริสธรรม 7 มีดังน้ี

1. ธมั มัญญตุ า ความเป็นผรู้ ้จู ักเหตุ
2. อตั ถญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ู้จักผล
3. อตั ตัญญตุ า ความเป็นผ้รู จู้ ักตน
4. มตั ตญั ญตุ า .ความเปน็ ผ้รู ู้จกั ประมาณ
5. กาลัญญตุ า ความเป็นผู้ร้จู ักกาลเวลา
6. ปรสิ ญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ู้จักชมุ ชน
7. ปคุ คลญั ญตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั บคุ คล
จากสัปปุริสธรม 7ข้อ นามาทาให้ข้าใจกันมากขึ้น คือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล
รู้จักชุมชน ร้จู ักบคุ คล
ธมั มัญญตา: ความเป็นผู้รูจ้ กั เหตุ และอัตถัญญุตา ความเป็นผรู้ ้จู กั ผล

ธรรมะท้ัง2ข้อมักอยู่คู่กันมีเหตุมีผลเหตุ หมายถึง การกระทาของบุคคล ทั้งการกระทาทางกาย การพูด
ทางวาจา และความเห็นของใจ ซึ่งความเห็นของใจเป็นตันเหตุที่สาคัญ การจะเห็นว่าถูกหรือ ผิดจะต้องใช้ปัญญา
คิดพิจาณา หากความเห็นพิจารณาว่าเหตุที่กระทานั้นถูกต้อง ผล คือสิ่งที่เกิดข้ึน ตามมาจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย
ในทางตรงกันขา้ ม หากเหน็ ในทางท่ผี ดิ ทาใหก้ ระทาส่งิ ผิด ผลทอ่ี อกมา ก็จะเปน็ ไปในทางท่ผี ดิ

ความเห็นของใจ (เหตุ) (ผล)
การกระทา สงิ่ ท่ีเกิดข้นึ
(ทางกาย/ทางวาจา)

บุคคลทยี่ ดึ หลกั ธัมมญั ญตุ าและอัตถัญญุตา คือเป็นผรู้ ้จู กั เหตุ รู้จกั ผล สามารถ ศกึ ษาและรูไ้ ดถ้ ึงเหตทุ ่ผี ิด
และเหตทุ ่ีถูกต้อง แลว้ คิดเลือกนาเอาเหตทุ ่ถี ูกต้องมาปฏบิ ัติ ทาใหผ้ ลท่ีเกิดข้ึนเปน็ ส่งิ ทีม่ ีคุณค่ากอ่ ใหเ้ กดิ ผลดีท้ังต่อ
ตนเองและผ้อู ืน่ ในสงั คมดังนั้นกอ่ นการกระทาสิ่งใดก็ตาม บคุ คลควรได้พิจารณาถงึ ผลท่ีเกิดขึ้นจากการกระทาดว้ ย
หากพจิ ารณาแล้ววา่ กระทาสง่ิ น้ันลงไปจะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลเสียหรอื ผลรา้ ยตามมากค็ วรหยดุ เช่นการตัดสนิ ใจทางานของ
คน หากทาแบบเดา หรอื สุ่มโดยขาดความม่นั ใจผลทีอ่ อกมา อาจก่อให้เกิดความเสยี หายต่อตนเอง ตอ่ เพ่ือร่วมงาน
และตอ่ องค์กร

ดา้ นของการกระทาด้วยวาจา หรือการพูด ก่อนการพูดควรพิจารณาว่าจะก่อใหเ้ กิดผลเสียต่อคนเอง และ
ผู้อื่นหรือไม่ จึงมีคากล่าวว่า “ควรคิดก่อนพูด” หรือการจัดสรรเร่ืองที่จะนามา เม่ือพูดไปแล้วจะให้ประโยชน์แก่
ผฟู้ งั หรือเป็นไปตามสิ่งทผ่ี ู้พูดต้องการให้เป็นประโยชน์ ฟงั แลว้ ทาให้ผู้พงั ไดข้ อ้ คดิ ในทางทดี่ ี การพูดสอ่ เสยี ด นนิ ทา
วา่ ร้าย เป็นสิง่ ทีท่ กุ คนไม่ต้องการฟัง ส่วนใหญก่ ารพูดหรือ การกระทาท่ไี ม่ดี มกั เป็นพฤติกรมของคนพาลรวมถึงคน
ทชี่ อบเอาชนะผู้อื่น ไมย่ อมแพ้ จงึ มีการกระทา และการพูดที่หาเหตเุ พือ่ ใหเ้ ปน็ ผชู้ น โดยแสดงถึงการเข้าขา้ งตนเอง
พดู หรอื กระทาในสิ่งทต่ี ้องการโดย ไม่คานึงถึงผอู้ นื่

ดังน้ันผู้ท่ีเป็นคนรู้จักเหตุ รู้จักผล คือคนที่คิดพิจารณาถึงผลที่จะเกิดขึ้นเสียก่อน แล้ว ลงมือกระทาท้ัง
ทางกาย และวาจา หากคิดว่ากระทาลงไปแล้วไม่ก่อให้เกิดผลตีต่อผู้ใด ท้ังยังก่อให้ทา ความเสียหายด้วย ก็ไม่ควร
กระทาในทางตรงกนั ขา้ ม หากกระทาแล้วก่อใหเ้ กิดประโยชน์ หรอื ก่อใหเ้ กิด ผลในทางทด่ี กี ็ควรตดั สินใจกระทา

ผรู้ ้จู กั เหตุ รจู้ ักผลและกระทำในสิ่งทถี่ กู ต้องจะสง่ ผลให้อยู่รว่ มกนั ในสงั คมไดอ้ ย่ำงมคี วำมสุข

อตั ตัญญตุ า : ความเปน็ ผรู้ ูจ้ กั ตน

คาว่า “ตน” แบ่งออกเปน็ 3 รปู แบบ ดังน้ี
1. ตนในหนา้ ท่ี
2. ตนในรปู
3. ตนในนาม
ตนในหน้าท่ี หมายถึงการรู้จักหน้าทข่ี องตนเองว่าจะตอ้ งกระทาอะไรบ้าง เช่น การเป็นนักศึกษา มหี น้าท่ี
เรียนหนังสือ การเป็นสามี มีหน้าที่ดูแล เอาใจใส่ภรรยา เป็นผู้นาครอบครัวเพื่อให้ครอบครัว ได้รับความมั่นคง
ในทุกด้าน ผ้เู ปน็ พ่อ แม่ มหี นา้ ทีด่ แู ลบุตร อบรมส่ังสอนให้บุตรร้ถู งึ สงิ่ ทค่ี วรกระทา หรือไม่ควรกระทา

ตั้งใจเรยี น ดูแลครอบครัว

ตนในรูป หมายถึง ธาตุท้ัง 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุลม ธาตุไฟ ตนในธาตุท้ัง 4 ประกอบด้วย ตา หู

ลนิ้ จมูก กาย และใจ รูปตนเป็นรูปชั่วคราว ไม่มคี วามจีรังและย่ังยนื เปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา เชน่ เม่ือคนเกิด
มารปู ตนเป็นทารก เป็นเดก็ จากน้ันกลายเป็นวยั รุ่น วัยหนุ่มสาว วยั กลางคน และ วัยชราในท่สี ดุ ถึงแม้จะมีอาหาร
มาหล่อเล้ียงอย่างครบถ้วน มีโภชนาการท่ีดี ก็จะแก้ไปตามกาลเวลา คามท่ีเคยมองขัดเจนก็จะมัวหูที่เคยได้ยินก็
เส่ือมลงร่างกายที่เคยแข็งแรงก็จะแก่และหมดสภาพไปในท่ีสุด บุคคลจึงไม่ควรยึดม่ันถือมั่นกับร่างกายต้องคิดเสีย
ว่ารา่ งกายเป็นกอ้ นธาตุที่จะต้องหมดสภาพไปในท่สี ุด

ตนในนาม การเป็นผู้รู้จักตนในนามได้ จะต้องใช้สติปัญญาท่ีเฉียบแหลม เขา้ ใจถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หมายถึง ทุกสิง่ เกดิ มาย่อมหมดไปตามสภาพ ไมย่ ืดติดส่งิ ใดใหเ้ ป็นทกุ ข์

การเป็นผู้รู้จักตน เป็นการรู้หน้าท่ีของตนว่าเป็นใคร มีหน้าท่ีต้องทาย่างไร สามารถทาอะไรได้บ้าง
ตลอดจนยอมรบั ไดถ้ งึ ส่งิ ทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไมย่ ดึ ติดต่อสิง่ ต่างๆ ซ่งึ ก่อให้เกิดทุกข์

มัตตญั ญตุ า : ความเปน็ ผูร้ จู้ กั ประมาณ
ประมาณ หมายถงึ ความรู้จกั พอดี ไมม่ ากเกนิ ไปหรอื นอ้ ยเกินไปในทกุ เรื่องของการดาเนินชีวิตการกนิ มาก
เกินไปทาให้อ้วน กินน้อยเกินไปทาให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ พูดมากเกินไป บ่นมากเกินไป ก่อให้เกิดความราคาญแก่
บุคคลรอบขา้ ง
ความเป็นผู้รู้จักประมาณ เหมาะกับบุคคลท่ีอยู่ร่วมกันจะต้องฝึกตนเองไม่ให้เป็นคนเห็นแก่ตัว มีความ
ละอาย ยึดหลกั ความพอดี เช่น เมือ่ เข้าร่วมรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต่ ์ ควรจักมากินเพียงอิ่ม ไม่ตกั มามากมาย
จนเหลอื ทง้ิ นอกจากจะเสียของแล้ว อาจทาใหผ้ ูท้ ่มี าทีหลังไม่ได้รับประทานด้วยความพอดี
ในด้านของการใชช้ ีวติ การรู้จักประมาณ หมายถงึ การใช้ทรัพยส์ ินหรือสิง่ ของที่มีอยู่ด้วยความพอดีใช้มาก
เกินไปอาจทาให้ไม่เหลือในอนาคต หรอื เมื่อไม่พอจะเป็นตัวกระตุ้นใหเ้ กิดการกระทาที่ผิดเช่น การปลน้ การทุจริต
ในหน้าท่ี

ใช้เงนิ อย่ำงประหยัด พอประมำณ เชน่ ปลูกผกั สวนครัวไว้เกบ็ กนิ เองไม่ต้องซ้ือใหส้ ้ินเปลือง
กาลญั ญตุ า : ความเปน็ ผู้รูจ้ ักกาลเวลา
ผู้รู้จักกาลเวลา หมายถึง กาลเวลาของตนเอง กาลเวลาของผู้อื่น กาลเวลาในสิ่งท่ีดูแลรักษา กาลเวลา
เกี่ยวกบั หนา้ ทที่ ี่จะต้องทา กาลเวลาในการใช้คาพดู กบั ผู้อ่นื อย่างถูกต้องตามกาลเทศะ รู้จกั แบ่งเวลา ให้ถูกต้องกับ
สถานการณ์ของตนเองและสังคมแบ่งเวลาการทางานอย่างถูกต้อง เวลาไหนควรกระทาส่ิงใด โดยเฉพาะเร่ืองของ
การนดั หมายจะตอ้ งเป็นคนตรงต่อเวลา ซงึ่ แสดงถึงความมีคุณภาพของคน

บุคคลจะต้องแบ่งเวลาที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เช่น คนทางานจะตอ้ งแบ่งเวลาสาหรบั การทางา เวลาสาหรับ
ครอบครัว เวลาสาหรบั การพักผ่อนของตนเอง ในเวลาของการทางานจะต้องแบง่ ย่อยออกไป เวลาใดควรทางานใด
ก่อน ซ่ึงตามความเป็นจริงงานด่วนหรืองานที่ต้องใช้ก่อนจะต้องนามาทาก่อน และในระหว่างของการทางาน
หากไมร่ จู้ ักเวลาเหลวไหล ละทิ้งงานกจ็ ะไมส่ าเร็จ เปน็ ตนั

ดังนั้นการเป็นผู้รู้จักกาลเวลา จะทาให้บุคคลสามารถแบ่งเวลา การปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมเป็นท่ี
น่าเชอื่ ถอื และแสดงถึงความรับผดิ ชอบ และความมีคณุ ภาพของบคุ คลดว้ ย

กำรแบ่งเวลำสำหรับกำรพกั ผอ่ นกบั ครอบครัว
ปริสัญญตุ า : ความเป็นผรู้ ู้จักชมุ ชน
ชุมชน หมายถึง คนหลายคนท่ีเป็นหมู่คณะ แตล่ ะกลุ่ม แต่ละคณะจะมีนสิ ัยและความเป็นอยู่ แตกต่างกัน
ออกไป แต่ละชุมชนมีเอกลักษณ์ความเป็นอยู่ท่ีแตกต่างกัน เม่ือบุคคลได้สัมผัสกับชุมชนใด ควรต้ังข้อสังเกตว่า
บุคคลในชุมชนมีพฤติกรรม ความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อเข้าไปในกลุ่มจะได้ระมัดระวัง การกระทาหรือคาพูด
ท่ไี มเ่ หมาะสม หรือส่ิงทท่ี าให้ชาวชุมชนนัน้ ไมพ่ งึ พอใจ และจะตอ้ งมีการปรบั ตวั ให้เข้ากบั ชุมชนนน้ั

เข้ำรว่ มกิจกรรมในชุมชนเพ่ือสรำ้ งสัมพนั ธ์ทดี่ ีต่อกนั เช่น ร่วมกันปลูกต้นไม้เพอ่ื อนรุ กั ษ์ปำ่ ชุมชน
ปคุ คลัญญตุ า : ความเปน็ ผูร้ จู้ กั บคุ คล
การเป็นผู้รู้จักบุคคล หมายถึง บุคคลท่ีเราเลือกมาเป็นมิตร มิตรมีท้ังมิตรแท้ และมิตรเทียมมิตรแท้
เป็นมิตรท่ีร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน คบกันอย่างสนิทใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามท่ีเดือดร้อน ส่วนมิตรเทียม
เป็นมติ รท่ีคบกนั โดยทั่วไป มีจานวนมาก ซง่ึ บุคคลจะตอ้ งรจู้ ัก ศกึ ษาผทู้ ่คี บดว้ ยวา่ จะเปน็ มิตรแท้ หรือมติ รเทียม
ลักษณะของบุคคลทีไ่ ม่ควรคบเปน็ มิตรแท้ ไดแ้ ก่ พวกท่ีชอบประจบ ดีแตพ่ ูด ชอบปอกลอก ตอ้ งการเป็น
ผู้รบั โดยไม่เป็นผ้ใู ห้ ขาดความเมตตา ชอบชกั ชวนไปในทางที่ผดิ ฯลฯ
ลักษณะของบุคคลควรคบเป็นมิดรแท้ ได้แก่ ผู้ที่มีความตรงไปตรงมา มีความซ่ือสัตย์ต่อเพ่ือนฝูง ไม่เอา
เปรียบผู้อื่น ไม่เอาชนะผอู้ ่ืน ไมน่ ินทาผู้อ่ืนท้ังต่อหน้าและลับหลัง ช่วยเหลือเพอื่ นเมือยามทกุ ข์ร้อน แนะนาสิ่งที่เป็น
ประโยชน์ตอ่ เพอ่ื น ป้องกนั รักษาทรัพยส์ มบัติของเพ่ือน ดงึ เพอื่ นใหพ้ ้นจากควาน ทัง้ ปวง ไมข่ ่มเพ่อื น ฯลฯ
นอกจากจะพิจารณาบุคคลที่เลือกมาเป็นมิตรแท้แล้ว เราควรประพฤติตนอย่างเหมาะสม ตามลักษณะ
ของมติ รแทด้ ว้ ย เพ่อื ให้มคี ณุ สมบัตทิ เ่ี หมาะสมใหผ้ ูอ้ ่นื ไวว้ างใจเลือกเป็นมิตรแท้

ลักษณะมิตรแท้ต้องช่วยเหลือซึ่งกนั และกนั อย่เู สมอ

หลกั สปั ปรุ ิสธรรม 7 กับเศรษฐกิจพอเพยี ง

เศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักเศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ
พลอดุลยเดช แนะแนวทางให้ประชาชน ดาเนินชีวิตโดยยึดหลัก ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไม่มาก
เกินไป หรือน้อยเกินไป ความมีเหตุผล หมายถึง ความมีสติ พิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องรอบด้าน อย่างมีสติ การมี
ภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี หมายถึง การรู้จักตนเอง รู้จักสังคมที่ตนอยู่ ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นกับสังคมและ
ตนเองเพ่ือใหส้ ามารถเตรยี มตวั พรอ้ มรับกับผลกระทบหรือการเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดขึ้นได้เปน็ อย่างดี

ความพอประมาณ สอดคล้องกับ มตั ตญั ญตุ า (ความเป็นผู้ร้จู ักประมาณ) คือ ความรู้จักประมาณ ความรู้
จักพอดีรู้จักประมาณในการบริโภค รู้จักประมาณในการกระทาทุกอย่าง การรู้จักประมาณจะทาให้เรา ลดการ
เบียดเบียนตนเองและผอู้ ่ืน อัตตญั ญตุ า (ความเป็นผู้จักตน) คอื การู้จกั ตนเอง การรู้จักลกั ษณะ ทางกายภาพ เพศ
วัยทาให้มีการบริโภคท่ีเหมาะสม ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม การรู้จักความสามารถของตนเอง ความสามารถในการ
พัฒนาตนเอง ย่อมทาให้รู้จักประมาณในการตั้งเป้าหมายในชีวิตไม่ให้สูงเกินกว่าขีดความสามารถของตนเอง
จนเกินไป ซึ่งจะทาให้การดาเนินชีวิตเป็นไปอย่างเคร่งเครียด บีบค้ัน และกาลัญญุตา (ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา)
คือ การรู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม และรู้จักระยะเวลาท่ีเหมาะสม ในการกระทาใดๆ เช่น รู้ว่าเวลานี้ควรทางาน
เวลาน้ีควรพักผ่อนร่างกาย เวลาน้ีควรผ่อนคลายจิตใจ รู้ว่าควรทางานเป็นระยะเวลาเท่าไหร่จึงจะสัมฤทธิ์ผล
เพือ่ ไม่ใหช้ า้ เกินจนไม่ทันการณ์ หรือเรว็ เกนิ ไป จนไมร่ อบคอบ

ความมีเหตุผล จะตรงกับหลักธรรม ธัมมัญญุตา (ความเป็นผู้รู้จักเหตุ) คือ รู้จักเหตุ รู้จักหลักการต่างๆ
รู้หลักความจริงรู้ว่าเหตุอันใดทาแล้วจะเกิดผลท่ีเราต้องการนั้นๆ ในขณะที่ อัตถัญญุตา (ความเป็นผู้รู้จักผล) คือ
รู้จักผล รู้จักความมุ่งหมาย รู้ถึงจุดประสงค์ของการกระทาใดๆ รู้เป้าหมายใน การกระทา รู้ว่าหลักการน้ีทาแล้ว
ย่อมปรากฏผลอย่างไร การมีเหตุมีผลในการดาเนินชวี ิตย่อมทาใหเ้ รามี หลักยดึ ไม่เดินหลงทาง แม้ระหวา่ งทางอาจ
แก้ปัญหา ผลท่ีได้อาจไม่ตรงกับที่คาดกรณีไปบ้าง แต่เพราะ มีหลักการในการดาเนินชีวิต ย่อมสามารถหาต้นตอ
ของปญั หาและแก้ไขได้

การมีภูมคิ ุ้มกนั ในตวั ทีด่ ี จะสอดคล้องกับ หลักอัตตัญญูตา (ความเป็นผู้ร้จู ักตน) คือ การรจู้ ักตนเอง รู้จัก
ถึงความสามารถ ข้อดีข้อด้อยของตนเองปริสัญญุตา (ความเป็นผู้รู้จักชุมชน) คือความรู้จักบริษัทรู้จักชุมชน
รู้จักสังคม รู้ว่าสังคมตัวเองเป็นอย่างไร รู้จักว่าจุดไหนคือโอกาส รู้ว่าสังคม มีการเปล่ียนแปลงไปอย่างไร
ร้จู ักธรรมชาตขิ องคนในสังคมนั้นๆ ว่ามีพฤติกรรมอย่างมีธรรมนิยมอย่างไร ปคุ คลัญญุตา (ความเปน็ ผู้รู้จักบุคคล)
คือ ความรู้จักบุคคล รู้จักความแตกต่างของนิสัยของคนแต่ละคน รู้จักความสามารถของคนแต่ละคน รู้จักข้อดี
ข้อด้อยของคนแต่ละคน รู้ว่าคนประเภทใดควรคบหาสมาคมหรือคนประเภทใดควรอยู่ให้ห่าง และกาลัญญุตา

(ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา) คือ การรู้จักกาลเทศะรู้จักเวลาไหนควรพูดเวลาไหนควรฟัง เวลาไหนควรกระทาการ
ใดๆ คาดการณ์ได้ว่าในกาลข้างหน้าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพ่ือหาทางในการปรับตัวพร้อมรับ
การเปล่ียนแปลงเหล่าน้ันการรู้จักตนเอง การรู้จักผู้อื่นการรู้จักสังคมที่เราอาศัยอยู่ อาศัยความรู้เหล่านี้ประเมิน
พร้อมกบั กาลเวลาจะทาใหเ้ ราสามารถคาดการณถ์ ึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึน้ ในอนาคตได้อย่างใกล้เคียง ทาให้เราเป็น
คนท่ีทนั ตอ่ โลก ทันต่อสมัย ยากต่อการถูกหลอกลวง ยากตอ่ การลม้ เหลว

หลักเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นหลักดาเนินชีวิตท่ีมีจุดประสงค์เดียวกันกับหลักธรรมสัปปุริสธรรมคือหลัก
ดาเนนิ ชวี ติ ท่ีเป็นไปเพอ่ื ใหม้ ีชีวติ อันสงบและดีงาม

สปั ปรุ ิสธรรมกับการบรหิ าร

การบรหิ ารในปัจจุบันให้ความสาคัญในเร่อื งจริยธรรมศีลธรรม ซ่ึงเช่ือว่าจะนามาซ่ึงความสาเร็จ และสันติ
สุข หากองค์กรขาดจริยธรรมศีลธรรม อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ขาดความสขุ ดังน้ันผู้บริหาร หลายองค์กรได้นา
หลักสปั ปรุ ิสรธรรม7มาใชใ้ นการบรหิ ารงาน ดงั น้ี

1. ความเป็นผู้รู้จักเหตุ (ธัมมัญญุตา) คือการรู้กฎเกณฑ์ของส่ิงท่ีตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง รู้ในหน้าท่ีและ
ความรบั ผดิ ชอบของตนเอง รู้ว่าจะต้องนาหลกั การใดมาใชจ้ งึ จะเปน็ เหตใุ หส้ ง่ิ นั้น ประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย

2. ความเป็นผู้รู้จักผล (อัตถัญญุตา) คือ การรู้ความมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของส่ิง ที่กาลังปฏิบัติ
ดังนั้นผู้บริหารจะต้องครบถึง วิสัยทัศน์ (vision) และความมุ่งหมายขององค์กรก่อน จากน้ันจึงวางแผนงานเพ่ือ
นาสกู่ ารปฏิบัติ

3. ความเป็นผู้รู้จักตน (อัตตัญญุตา) คือ การรู้ว่าตนเองมีความรู้ ความสามารถ ความถนัด จุดแข็ง
จุดออ่ นอยา่ งไรเพือ่ การกาหนดบทบทหนา้ ที่อย่างเหมาะสมตลอดจนการพฒั นาตนเองเพอ่ื ให้มีศักยภาพเพม่ิ ข้ึน

4. ความเป็นผู้รู้จักประมาณ (มัตตัญญุตา) คือการรู้จักความพอดี การประกอบกิจการต่าง ต้องมีความ
เข้าใจ รู้จักการจัดทรัพยากรและสิ่งอ่ืนๆ ให้อยู่ในความพอดี กระทาด้วยปัญญา เพื่อก่อให้เกิดความสุขแก่ตนเอง
ผรู้ ่วมงาน และผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา

5. ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา (กาลัญญุตา) คือ การรู้กาลเวลาอันเหมาะสม รู้ว่าเวลาใดควรกระทาส่ิงใด
สามารถวางแผนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการทาตารางเวลาการปฏิบัติงานจัดสรรงานท่ีต้องใช้ก่อนหรืองาน
เร่งด่วนมาทาก่อน เพอื่ ให้ทันตอ่ การเข้าสูก่ ระบวนการข้ันต่อไป

6. ความเป็นผู้รู้จักชุมชน (ปริสัญญุตา) เม่ือองค์กรต้องเข้าไปเกี่ยวของกับชุมชน จะต้องรู้จัก กับชุนชน
น้ันตลอดจนใหเ้ กยี รติใหค้ วามร่วมมือทานุบารงุ รักษาชุมชนให้เรยี บร้อยน่าอยู่

องค์กรในปัจจุบันให้ความสาคัญด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Comported Social Responsibility:
CSR) ดาเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรม ควบคู่ไปกับการดูแลและใส่ใจส่ิงแวดล้อม ให้ความสาคัญต่อสังคมชุมชน
และความเป็นอยู่ของมนุษย์ ไม่ต้องการให้มนุษย์และส่ิงแวดล้อมอยู่ร่วมกันในลักษณะเบียดเบียนกันตรงกันข้าม
กลับต้องการใหม้ นษุ ย์และส่งิ แวดลอ้ มอยู่รว่ มกันในลักษณะเกอื้ กูลกนั

7. ความเป็นผู้รู้จักบุคคล (ปุคคลัญญุตา) งานด้านการรับสมัครคัดเลือก อบรม พัฒนาบุคลากร เลื่อน
ตาแหน่ง การให้บุคลากรพันสภาพ เป็นงานของฝายบุคลากรที่จะต้องใช้ความสามารถในการรู้จัก บุคคลเหล่าน้ัน
เพอ่ื ใหส้ ามารถตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ

ดังน้ันผู้บริหารจึงควรนาหลักสัปปุริสธรรมมาใช้ในการบริหารงานเพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร อย่างมี
ประสิทธิภาพโดยคานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และมีบทบาทใน กรบริหารงานใน
องคก์ รไดอ้ ย่างเหมาะสม ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนใ์ นด้านการบรหิ ารงานดังน้ี

1. มคี วามสามารถในการบริหารงาน โดยต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม หรือ ประสิทธิภาพ
ในการบริหารให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดข้นึ ในปัจจุบนั

2. ทาให้เกิดการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการทางานโดยติดตามเทคนิค ทรัพยากร
ใหมๆ่ แลว้ เลือกใชเ้ ทคโนโลยีมาประยุกต์ใชใ้ นการผลติ และการบรหิ ารงานให้มปี ระสทิ ธิภาพ

3. ทาให้มีการกาหนดเป้าหมายในการบริหารงานอย่างมีระบบ รวมทั้งมีการแบ่งหน้าที่และความ
รับผิดชอบอยา่ งชัดเจน


Click to View FlipBook Version