รศ.ดร.พลอย สบื วเิ ศษ
คณบดี คณะรัฐประศาสนศาสตร์
สถาบนั บณั ฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์ (NIDA)
การบริหารจัดการภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
หัวข้อการบรรยาย
กระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์
PESTEL กบั การเปลย่ี นแปลงองค์การ
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
ความท้าทายในโลกปัจจุบนั
กระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์ (การบริหารรัฐกจิ )
นักวชิ าการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ได้จดั แบ่งกระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์
ออกเป็ น 3 กระบวนทศั น์หลกั คือ
1. กระบวนทศั น์การบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดมิ
(Traditional Public Administration paradigm - TPA)
2. กระบวนทศั น์การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management paradigm - NPM)
3. กระบวนทศั น์การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่
(New Public Governance paradigm - NPG หรือ New Public Service - NPS)
กระบวนทศั น์การบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดมิ - TPA
ข้าราชการจะเป็นเครื่องมือในการทางานใหบ้ รรลุเป้าหมายหรือนโยบายที่กาหนดโดย
ฝ่ ายการเมืองในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย (Goodnow, 1900; Wilson, 1887)
ดงั น้นั ความเป็นกลางของขา้ ราชการ (neutrality) โดยการยดึ ถือต่อหนา้ ท่ี กฎระเบียบ และ
ความภกั ดีตอ่ องคก์ าร จึงถือเป็นจรรยาบรรณทสี่ าคัญและดงี ามของขา้ ราชการ ท้งั น้ีเพราะ
การมีอคติทางการเมืองส่วนตน (political preconception) หรือความตอ้ งการส่วนตน (self-
interest) น้นั ยอ่ มส่งผลทาใหข้ า้ ราชการมีพฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนไปจากเป้าหมายของ
องคก์ ารได้ ถึงแมแ้ นวความคิดทางการบริหารราชการแบบด้งั เดิมน้ีจะยอมรับวา่ ขา้ ราชการ
กเ็ ป็นปุถุชนทาใหย้ อ่ มมีค่านิยมส่วนตน แต่คา่ นิยมส่วนตนเหลา่ น้นั จะมีความชอบธรรมอยู่
ไดก้ ต็ อ่ เมื่อ ความต้องการส่วนตนเหล่าน้นั มีความสอดคลอ้ งกบั เป้าหมาย และกฎระเบียบ
ขององคก์ ารดว้ ย (Taylor, 1987: 66-81)
กระบวนทศั น์การบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดมิ - TPA
สิงคโปร์ เป็นบทเรียนที่ประเทศกาลงั พฒั นาสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ ง
กวา้ งขวาง เช่น การใหค้ วามสาคญั กบั ความซ่ือสัตย์และมาตรการการต่อต้านการทุจริตท่ี
เข้มแข็ง การบริหารท่ีเนน้ ความรู้ความสามารถของบุคคลากร เห็นไดจ้ ากความสาเร็จใน
การสรรหาบุคคลากรที่มีความสามารถยอดเยย่ี ม การมุ่งผลสมั ฤทธ์ิของงานโดยท่ี
คา่ ตอบแทนและการเลื่อนตาแหน่งสะทอ้ นถึงผลการปฏิบตั ิงานของบุคคลากร การเนน้
ความภกั ดีต่อสายการบงั คบั บญั ชา การยดึ มน่ั ต่อระบบคุณธรรมและการมีระบบ
คา่ ตอบแทนที่สามารถแข่งขนั กบั องคก์ ารอื่นไดเ้ พ่ือลดปัญหาการทุจริต นอกจากน้ียงั มีการ
ปฏิรูปเชิงสถาบนั จาเพาะ เช่น ความเป็นอิสระในการปฏิบตั ิงานของคณะกรรมการกากบั
ดูแลองคก์ ารรัฐวสิ าหกิจ โดยทาหนา้ ที่เป็นหน่วยงานควบคุมและกากบั ดูแลทิศทางของ
นโยบายภายในหน่วยงานกลาง การใหร้ างวลั กบั บุคคลากรและผลการดาเนินงานของ
องคก์ ารดว้ ยส่ิงจูงใจและการใหก้ ารยอมรับ การสร้างนวตั กรรมอยา่ งตอ่ เน่ืองและการเป็น
ตวั อยา่ งที่ดี (Saxena, 2011: 22)
ลกั ษณะสาคญั ทางการบริหารในกระบวนทศั น์การบริหารงานงานภาครัฐแบบด้งั เดมิ
พืน้ ฐานทางทฤษฎี แนวคดิ การบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดมิ
ทฤษฎกี ารเมือง ทเี่ น้นการแบ่งแยกอานาจระหว่างฝ่ าย
ข้าราชการตอบสนองต่อใคร การเมืองกบั ฝ่ ายบริหาร
บทบาทของข้าราชการ
ความรับผดิ ชอบของข้าราชการ ผู้รับบริการและผู้ออกเสียงเลือกต้ัง
โครงสร้างขององค์การ
จริยธรรมหรือค่านิยมทข่ี ้าราชการยึดืือ นานโยบายทก่ี าหนดโดยฝ่ ายการเมืองไปปฏิบตั ิ
ลาดบั ข้นั การบงั คบั บญั ชาและกฎระเบยี บ
โครงสร้างระบบราชการทเ่ี น้นสายการบงั คบั บญั ชา
ความภกั ดตี ่อสายการบงั คบั บญั ชา และการยดึ มน่ั ต่อระบบ
คุณธรรมและการแต่งต้ังตามความรู้ความสามารื
ท่ีมา: ปรับมาจาก Denhardt and Denhardt (2000: 554)
กระบวนทศั น์การจดั การภาครัฐแนวใหม่ - NPM
ระบบราชการถูกมองวา่ ใหญ่โตเกินไป ทาใหเ้ กิดการทางานที่ลา่ ชา้ และขาด
ประสิทธิภาพ การจดั การภาครัฐแนวใหม่ เสนอแนวความคิดใหน้ าเอาลกั ษณะการ
บริหารงานแบบภาคเอกชนและการแขง่ ขนั เขา้ มาใชใ้ นระบบราชการเพอื่ เพ่มิ ประสิทธิภาพ
ในการบริหารงาน หลายประเทศ เช่น Australia, New Zealand, United Kingdom, USA,
Malaysia และ ประเทศไทย ไดม้ ีการปฏิรูประบบราชการตามแนว NPM มาใชใ้ นช่วง
ทศวรรษที่ 1980 ถึง 2000 การปฏิรูปดงั กล่าวมกั จะเนน้ ในเรื่องของการลดขนาดองคก์ าร
ภาครัฐ การแปรรูปกิจการของรัฐใหเ้ ป็นเอกชน การเนน้ ไปท่ีประสิทธิภาพและผลงาน การ
จดั ทาระบบบริหารงานแบบมุ่งเนน้ ผลงาน โดยมีการกาหนดเป้าหมาย ตวั ช้ีวดั ผลงาน และ
ระบบการติดตามประเมินผลงาน
ตามแนวความคิดน้ีค่านิยมหลกั (core values) ของขา้ ราชการคือ การเป็นผปู้ ระกอบการ
ท่ีมุ่งเนน้ ประสิทธิภาพและผลสมั ฤทธ์ิของงาน (Dunleavy and Hood, 1994; Kettl, 2005)
กระบวนทศั น์การจัดการภาครัฐแนวใหม่ - NPM
แนวคิดการจดั การภาครัฐแนวใหม่น้นั ถือกาเนิดข้ึนเพ่ือตอบสนองต่อขอ้ จากดั ของ
แนวคิดการบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดิม ในการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ระบบเศรษฐกิจท่ีมีการ
แข่งขนั ของตลาด (competitive market economy) องคป์ ระกอบหลกั ท่ีสาคญั ของแนวคดิ
การจดั การภาครัฐแนวใหม่ (Osborne, 2006) สรุปไดด้ งั น้ี
- การใหค้ วามสาคญั กบั การนาบทเรียนจากการบริหารจดั การของภาคเอกชนมาใช้
- การใหค้ วามสาคญั กบั การเป็นผนู้ าแบบผปู้ ระกอบการภายในองคก์ ารราชการ
- การใหค้ วามสาคญั กบั การควบคุมและประเมินปัจจยั นาเขา้ ผลผลิต รวมถึงการบริหาร
ตลอดจนการตรวจสอบผลการปฏิบตั ิงาน
- การแยกยอ่ ยระบบราชการใหเ้ ป็นหน่วยงานพ้ืนฐานใหม้ ากที่สุดและใหค้ วามสาคญั กบั
การบริหารตน้ ทุน
- การใชห้ ลกั การตลาด การแข่งขนั และการวา่ จา้ งการผลิต (contract out)ในการจดั สรร
ทรัพยากรและการส่งมอบบริการภายในระบบราชการใหม้ ากข้ึน
ลกั ษณะสาคญั ทางการบริหารในกระบวนทัศน์การจัดการภาครัฐแนวใหม่
แนวคดิ การจัดการภาครัฐแนวใหม่
พืน้ ฐานทางทฤษฎี ทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์ทเ่ี น้น การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและ
การแข่งขนั
ข้าราชการตอบสนองต่อใคร ลูกค้า
บทบาทของข้าราชการ เป็ นเสมือนผู้ประกอบการ
ความรับผดิ ชอบของข้าราชการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของงาน และตวั ชี้วดั ผลงาน
โครงสร้างขององค์การ เน้นโครงสร้างแบบกระจายอานาจ ทใี่ ห้ข้าราชการสามารืใช้
ดุลพนิ ิจในการตดั สินใจ
จริยธรรมหรือค่านิยมทขี่ ้าราชการยดึ ืือ มจี ิตวญิ ญาณของความเป็ นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial
spirit) ทมี่ ุ่งเน้นผลสัมฤทธ์ิของงานส่งเสริมการแข่งขนั และ
ประสิทธิภาพในการทางาน
ท่ีมา: ปรับมาจาก Denhardt and Denhardt (2000: 554)
กระบวนทศั น์การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่ - NPG
ในทศวรรษที่ 2000 ไดเ้ ริ่มมีพฒั นาการของกระบวนทศั น์ใหม่ในการบริหารงาน
ภาครัฐข้ึน โดยมีการเรียกกนั ในช่ือ New Public Governance (NPG) หรือ New Public
Service (NPS) (Osborne, 2010; Brandsen and Verschuere, 2013; O’leary and Vij, 2012)
กระบวนทศั น์ดงั กล่าวน้ีมีพ้นื ฐานมาจากค่านิยมแบบประชาธิปไตย (democratic values)
โดยใหค้ วามสาคญั กบั การยกระดบั ภาคประชาชน ใหม้ ีความสาคญั เท่าเทียมกนั กบั ภาครัฐ
และภาคเอกชน กลา่ วคือ ประชาชนมีความสามารถท่ีจะมีส่วนร่วมในการใหบ้ ริการ
สาธารณะ (coproduction) และสามารถมีส่วนร่วม (participation) ในการตดั สินใจร่วมกบั
ภาครัฐ การบริหารงานราชการจะประสบความสาเร็จ โดยบรรลุเป้าหมายของการ
ตอบสนองความตอ้ งการของสังคมได้ กจ็ ะตอ้ งส่งเสริมใหเ้ กิดการมีส่วนร่วม ความร่วมมือ
และการสร้างเครือขา่ ย (network) กบั ภาคประชาชน ซ่ึงการดาเนินการดงั กล่าวน้ีกจ็ ะสร้าง
ความเช่ือมนั่ ไวว้ างใจ (trust) ของประชาชนตอ่ ระบบราชการ ส่งผลใหก้ ารบริหารราชการ
ประสบผลสาเร็จได้
กระบวนทศั น์การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่ - NPG
แนวคิดการกากบั ดูแลกิจการสาธารณะแนวใหม่ (NPG) มีพ้ืนฐานแนวคิดเบ้ืองตน้ มาจากการ
เนน้ ใหเ้ ห็นวา่ เป้าหมายของการบริหารงานภาครัฐน้นั คือ พลเมือง (citizen) ชุมชน (community)
และภาคประชาสงั คม (civil society)
NPG จึงเสนอใหข้ า้ ราชการมีคา่ นิยมหลกั (core values) 4 ประการในการใหบ้ ริการสาธารณะ
คือ 1. การเนน้ ไปที่ผลประโยชนส์ าธารณะ (public interest)
2. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน (participation)
3. การใหค้ วามสาคญั กบั การสร้างเครือขา่ ยความร่วมมือกบั ประชาชน (collaboration)
4. การเพิม่ ขีดความสามารถของประชาชน (empowerment)
Christensen and Laegreid (2011) และ Denhardt and Denhardt (2011) เรียกจริยธรรมทางการ
บริหารในลกั ษณะน้ีวา่ จริยธรรมทม่ี ุ่งเน้นประชาชน (citizenship ethic)
กระบวนทศั น์การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่ - NPG
NPG ไดเ้ สนอแนวความคิดที่สาคญั ในการบริหารงานภาครัฐไวห้ ลายประการ ไดแ้ ก่ การ
บริหารงานภาครัฐท่ีมีลกั ษณะเป็นพหุนิยม โดยที่การใหบ้ ริการสาธารณะน้นั มีผกู้ ระทาที่พ่ึงพา
ระหวา่ งกนั หลายภาคส่วนเป็นผดู้ าเนินการ มีปัจจยั นาเขา้ และกระบวนการหลายอยา่ งเป็นตวั กาหนด
นโยบาย ในแง่น้ี แสดงใหเ้ ห็นถึงความสาคญั ของการมีผกู้ ระทาและขอบเขตอานาจรัฐที่หลากหลาย
โดยมีการพ่ึงพาระหวา่ งกนั เพ่ิมข้ึนระหวา่ งภาคส่วนต่างๆท้งั ในระดบั ทอ้ งถ่ิน ระดบั ชาติและระดบั
โลก ท้งั ในการถกแถลงนโยบาย การส่งมอบบริการ และการกาหนดนโยบายสาธารณะ ตลอดจน
การนานโยบายสาธารณะไปปฏิบตั ิ (Weber & Khademian, 2008)
นอกจากน้ี NPG ยงั ใหค้ วามสาคญั กบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคก์ าร (inter-organizational
relationship) และกระบวนการกากบั ดูแลกิจการสาธารณะ (governance of processes) โดยเฉพาะ
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการบริหารงานสาธารณะ ในแง่น้ี
NPG จึงมีความแตกต่างไปจากแนวคิดการบริหารงานภาครัฐแบบด้งั เดิม ท่ีมกั เนน้ ไปท่ี
ความสัมพนั ธ์ภายในองคก์ ารและสายการบงั คบั บญั ชาเป็นหลกั (Osborne, Radnor and Nasi, 2013)
ลกั ษณะสาคญั ทางการบริหารในกระบวนทศั น์การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่ - NPG
แนวคดิ การกากบั ดูแลกจิ การสาธารณะแนวใหม่
พืน้ ฐานทางทฤษฎี ทฤษฎปี ระชาธิปไตย (Democratic theory) ท่ีเน้นค่านิยมประชาธิปไตยทใ่ี ห้
ความสาคญั กบั การยกระดบั ภาคประชาชนให้มคี วามสาคญั เท่าเทยี มกนั กับภาครัฐ
และการมสี ่วนร่วมในกจิ การสาธารณะ
ข้าราชการตอบสนองต่อใคร ประชาชน
บทบาทของข้าราชการ ส่งเสริมให้เกดิ ความร่วมมือกบั ภาคประชาชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
ระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม ในการให้บริการสาธารณะ และการเพมิ่ ขดี
ความสามารืของประชาชน
ความรับผดิ ชอบของข้าราชการ รับผดิ ชอบต่อเป้าหมายหลายด้าน ท้งั ต่อกฎหมาย ต่อมาตรฐานวชิ าชีพ และต่อความ
ต้องการของประชาชน
โครงสร้างขององค์การ โครงสร้างแบบเครือข่าย เน้นความร่วมมือในการบริหารงานและการมผี ู้นาร่วมกนั
จริยธรรมหรือค่านยิ มทขี่ ้าราชการ มจี ติ วญิ ญาณของการให้บริการสาธารณะ การสร้างประโยชน์ต่อสังคมและ
ยดึ ืือ ผลประโยชน์สาธารณะ
ที่มา: ปรับมาจาก Denhardt and Denhardt (2000: 554)
หัวข้อหลกั ในการบรรยาย
กระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์
PESTEL กบั การเปลยี่ นแปลงองค์การ
ธรรมาภิบาลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
ความท้าทายในโลกปัจจุบัน
PESTEL ANALYSIS คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ทว่ี เิ คราะห์ปัจจยั ภายนอกท่ี
ส่ งผลต่อองค์การ
• Political (การเมือง) : แนวนโยบายของรัฐบาล การเมืองระหว่างประเทศ
• Economic (เศรษฐกจิ ) : ยคุ ปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม ยคุ พัฒนาเทคโนโลยี ยคุ เศรษฐกจิ ไรพ้ รมแดน
• Social (สงั คม) : สงั คมเกษตร สังคมอุตสาหกรรม สงั คมผสู้ ูงอายุ สังคมไรเ้ งนิ สด
สังคมหลากหลายเชอ้ื ชาติ-ศาสนา-เพศสภาพ
• Technology (เทคโนโลยี) เครอ่ื งจักร ระบบอัตโนมตั ิ หุน่ ยนต์ เทคโนโลยไี รส้ าย ระบบ
เครอื ขา่ ย
• Ecology/Ethic (นิเวศวทิ ยา/จริยธรรม) โรคระบาด ภัยพิบตั ิ คุณธรรม/จริยธรรม ความเท่า
เทียม ประชาธปิ ไตย Law (กฎหมาย) : เครอื่ งมอื ในการกากับดูแลคนในสังคม/ระหว่าง
ประเทศ
หัวข้อหลกั ในการบรรยาย
กระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์
PESTEL กบั การเปลยี่ นแปลงองค์การ
ธรรมาภิบาลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
ความท้าทายในโลกปัจจุบัน
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษที่ 21
หลกั คิดใน ธรรมาภิบาล หรือ Good Governance ซ่ึงมาจากต่างประเทศและเขา้ มาสู่สังคมไทย
ในยคุ สมยั ระบอบประชาธิปไตยน้นั ในความเป็นจริงแลว้ กม็ ิใช่เร่ืองใหม่ท้งั หมดแตป่ ระการใดเลย
เพราะผปู้ กครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กม็ ีหลกั การสาคญั เกี่ยวกบั คุณธรรมในการ
บริหารราชการแผน่ ดินที่ยดึ ถือปฏิบตั ิมาชา้ นาน คือ “ หลกั ทศพธิ ราชธรรม ” ซ่ึงเป็นหลกั คิดและ
หลกั ปฏิบตั ิที่เป็นเสมือน เสาหลกั ของการปกครองรัฐไทยในระบอบการปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประกอบดว้ ย 1. ทาน 2. ศีล 3. บริจาค 4. ความซ่ือสตั ย์ 5. ความอ่อนโยน
6. ความเพยี ร 7. ความไม่โกรธ 8. ความไม่เบียดเบียน 9. ความอดทน 10. ความยตุ ิธรรม
หลงั การเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็ นระบอบ
ประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 หลกั ทศพิธราชธรรมกถ็ ูกลดความสาคญั ลงไป ตามสถานภาพของ
สถาบนั พระมหากษตั ริยซ์ ่ึงอยภู่ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ และความสนใจของผปู้ กครองในในระบอบการ
ปกครองใหม่ กไ็ ดห้ นั ไปสนใจกบั หลกั ประชาธิปไตยซ่ึงใหค้ วามสาคญั กบั หลกั สิทธิ เสรีภาพ และ
ความเสมอภาคมากข้ึน
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
หลกั ธรรมาภิบาลไดเ้ ขา้ มาสู่สังคมไทยในปลายทศวรรษ 2530 หลงั เหตุการณ์
พฤษภาทมิฬ ซ่ึงจุดประกายต่อตา้ นผปู้ กครองท่ีเขา้ มาโดยวถิ ีท่ีไม่สอดคลอ้ งกบั หลกั การ
ของประชาธิปไตย และไม่ยดึ คามนั่ สัญญาท่ีใหไ้ วต้ ่อสาธารณะ หลงั จากน้นั ไม่นาน
หลกั ธรรมาภิบาลเขา้ มาไดถ้ ูกจงั หวะเวลาในช่วงของวกิ ฤตทางเศรษฐกิจท่ีเกิดข้ึนกบั
ประเทศไทยท่ีเรียกวา่ “วิกฤตตม้ ยากงุ้ ” อนั เน่ืองมาจากความไม่พอเพยี งของนกั ธุรกิจ
นกั ลงทุน ความไม่โปร่งใสในการปฏิบตั ิหนา้ ที่ของเจา้ หนา้ ที่ภาครัฐ การแทรกแซงของ
นกั การเมืองในกิจการธนาคารและสถาบนั การเงิน ทาใหร้ ัฐบาลไทยตอ้ งหนั ไปขอความ
ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหวา่ งประเทศ (International Monetary Fund - IMF) ซ่ึง
กาหนดเง่ือนไขใหป้ ระเทศไทยตอ้ งปฏิบตั ิตาม คือ ตอ้ งมีการปฏิรูประบบกฎหมายไทย
และการปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐ
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
ในปี พ.ศ. 2542 มีการวางระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ยการสร้างระบบ
บริหารกิจการบา้ นเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 และมีผลใชบ้ งั คบั กบั หน่วยราชการ
ของรัฐต้งั แตว่ นั ท่ี 11 สิงหาคม พ.ศ. 2542 โดยมีหลกั การสาคญั 6 ประการไดแ้ ก่ 1.
หลกั นิติธรรม 2. หลกั คุณธรรม 3. หลกั ความโปร่งใส 4. หลกั การมีส่วนร่วม 5. หลกั
ความรับผดิ ชอบ และ 6. หลกั ความคุม้ คา่
ในปี พ.ศ. 2545 มีการแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหารราชการแผน่ ดิน (ฉบบั ท่ี
5) มาตรา 3/1 โดยมีจุดมุ่งหมายวา่ การบริหารราชการจะตอ้ งเป็นไปเพือ่ ประโยชน์สุข
ของประชาชนเกิดความสมั ฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ
ในปี พ.ศ. 2546 ไดม้ ีกฎหมายสาคญั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ธรรมาภิบาลโดยตรงคือ พระราช
กฤษฎีกาวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการบริหารกิจการบา้ นเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 ซ่ึงไดว้ าง
แนวทางการบริหารกิจการบา้ นเมืองที่ดี หรือ “ธรรมาภิบาล” ไวใ้ หห้ น่วยงานของรัฐ
ตอ้ งยดึ ถือปฏิบตั ิ
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษที่ 21
สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ไดเ้ ร่ิมกาหนด
หลกั ธรรมาภิบาลลงในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 9 (พ.ศ.2545-
2549) เร่ือยมาจนถึงปัจจุบนั เพ่ือเสริมสร้างการบริหารกิจการบา้ นเมืองที่ดี และแกไ้ ข
ปัญหาการฉอ้ ราษฏร์บงั หลวง
ผลจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550 นามา สู่การพฒั นา
ระบบบริหารงานภาครัฐหรือระบบราชการโดยคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ
(ก.พ.ร) กาหนดแผนยทุ ธศาสตร์การพฒั นาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 – 2555)
เม่ือวนั ท่ี 24 เมษายน พ.ศ. 2555 คณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติเห็นชอบ หลกั ธรรมาภิบาล
ของการบริหารกิจการบา้ นเมืองที่ดี (GG Framework) อนั ประกอบดว้ ย 4 หลกั การ
สาคญั และ 10 หลกั การยอ่ ย เพ่ือใชเ้ ป็นหลกั ในการปฏิบตั ิราชการของเจา้ หนา้ ท่ีภาครัฐ
อนั จะนาไปสู่การบริหารกิจการบา้ นเมืองที่ดี (สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบ
ราชการ, 2555)
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษที่ 21
หลกั ธรรมาภบิ าลของการบริหารกจิ การบ้านเมืองทีด่ ี พ.ศ. 2555 (GG Framework)
ประกอบดว้ ย 4 หลกั การสาคญั และ 10 หลกั การยอ่ ย ดงั น้ี
1) หลกั ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Values) ประกอบดว้ ย 1. หลกั ภาระรับผดิ ชอบ/
สามารถตรวจสอบได้ (accountability) 2. หลกั ความเปิ ดเผย/โปร่งใส (transparency) 3. หลกั
นิติธรรม (rule of law) 4. หลกั ความเสมอภาค (equity)
2) หลกั การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ประกอบดว้ ย 1. หลกั
ประสิทธิภาพ (efficiency) 2. หลกั ประสิทธิผล (effective) 3. หลกั การตอบสนอง (responsive)
3) หลกั ประชารัฐ (Participatory State) ประกอบดว้ ย 1. หลกั การกระจายอานาจ
(decentralization) 2. หลกั การมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉนั ทามติ
(participation/consensus oriented)
4) หลกั ความรับผดิ ชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) ประกอบดว้ ย 1.หลกั
คุณธรรม/จริยธรรม (morality/ethics)
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
คณะกรรมการพฒั นาระบบราชการไดก้ าหนดคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ของระบบ
ราชการไทย 8 ประการ (I AM READY) ดงั น้ี
I - Integrity ซื่อสตั ยแ์ ละกลา้ ยนื หยดั ในสิ่งที่ถูกตอ้ ง
A - Accountability ตรวจสอบได้
M - Morality มีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
R - Responsiveness คานึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นท่ีต้งั
E - Efficiency มุ่งเนน้ ประสิทธิภาพ
A - Activeness ทางานเชิงรุก คิดเชิงบวกและมีจิตบริการ
D - Democracy ยดึ มน่ั ในหลกั ประชาธิปไตย
Y - Yield มุ่งผลสัมฤทธ์ิ
ธรรมาภบิ าลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษที่ 21
การบริหารงานภาครัฐของขา้ ราชการตอ้ งรักษาสมดุลระหวา่ ง
นโยบายที่มาจากฝ่ ายการเมืองกบั การตอบสนองต่อความตอ้ งการ
ของประชาชน
ธรรมาภิบาลเป็นแนวปฏิบตั ิที่จะช่วยใหข้ า้ ราชการดาเนินงานได้
อยา่ งถูกตอ้ งเป็นธรรม
หัวข้อหลกั ในการบรรยาย
กระบวนทศั น์ทางรัฐประศาสนศาสตร์
PESTEL กบั การเปลยี่ นแปลงองค์การ
ธรรมาภิบาลกบั การบริหารงานภาครัฐในศตวรรษท่ี 21
ความท้าทายในโลกปัจจุบัน
ความท้าทายในโลกปัจจุบัน
1. ชีวติ การทางานยคุ ดจิ ทิ ลั (Digital workforce)
2. ความตงึ เครียดทางการเมือง (Political tension)
3. เศรษฐกจิ ย้อนแย้ง (Paradox Economy)
4. แรงกดดนั ทางทรัพยากร (Resources stress)
1. ชีวิตการทางานยคุ ดิจิทลั (Digital workforce)
30 ปีตอ่ จากน้ี ยคุ ของชนชน้ั กลางท่ดี ารงชีวติ ดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการ
สอ่ื สารอย่างสะดวกสบายมโี อกาสการทางานท่ี เปิดกวา้ งและหลากหลาย แต่เป็ นสงั คม
ท่หี นุ่ ยนต์ หรอื เคร่อื งจกั รสามารถทางานทดแทนอาชีพท่มี กี ระบวนการ ชดั เจน เป็น
มาตรฐาน ไม่ซบั ซอ้ น สว่ นมนุษยจ์ ะม่งุ พฒั นาความสามารถในสายงานท่เี น้น การ
วเิ คราะหก์ ารมปี ฏสิ มั พนั ธใ์ นสงั คม และการทางาน รูปแบบทมี สหวชิ าชีพเกดิ ข้ึนจาก
การมีระบบการเช่ือมตอ่ ท่รี วดเรว็ ข้ึน และใชร้ ะบบการทางานแบบเสมอื นจรงิ ใน การ
ทางานของภาครฐั และการนาเทคโนโลยมี าใชแ้ ทนแรงงานมนุษย์
1. ชีวิตการทางานยคุ ดิจิทลั (Digital workforce)
การนาเคร่อื งจกั รมาเขา้ มาทดแทนทาใหม้ นุษย์ ตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั กระบวนการ
ทางานบางอยา่ งท่เี คร่อื งจกั รไม่สามารถทาได้ เช่น การทางานท่ตี อ้ งอาศยั การ
วเิ คราะหแ์ ละการปฏสิ มั พนั ธก์ ารคดิ คน้ นวตั กรรม การเป็นผูน้ า การขาย และการ
เรยี นรู้
2. ความตงึ เครียดทางการเมือง (Political tension)
ภาครฐั ทวั่ โลกอยู่ทา่ มกลางภาวะเศรษฐกจิ ชะลอตวั เผชิญกบั ปญั หาการจดั หา รายไดไ้ ม่
เพยี งพอกบั รายจา่ ย และพบกบั ความไม่แน่นอนทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม การเมือง
• สง่ ผลตอ่ การสรา้ งความไดเ้ ปรยี บในเชิงแข่งขนั ของประเทศ
• การใหบ้ รกิ ารสาธารณะแก่ประชาชน
• การรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติ
2. ความตงึ เครียดทางการเมือง (Political tension)
หน้ีสาธารณะเป็นอปุ สรรคในการออกแบบนโยบายการเงนิ ในอนาคต
• สง่ ผลตอ่ การตอบสนองความทา้ ทายในดา้ นสงั คม เศรษฐกจิ และสง่ิ แวดลอ้ ม เช่น การตง้ั
คณะทางานท่มี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะในการพจิ ารณาการใชง้ บประมาณอย่างคมุ้ ค่า
บคุ ลากรภาครฐั มีแนวโนม้ ท่จี ะตอ้ งพฒั นาทกั ษะความสามารถของตน เน่ืองจากภาครฐั มีแนวโนม้
ในการหารายไดล้ ดลง และงบประมาณถกู จากดั มากข้ึน
3. เศรษฐกิจยอ้ นแยง้ (Paradox Economy)
เกดิ ระบบเศรษฐกจิ ใหม่ คนยากจนลดจานวนนอ้ ยลง
สง่ ผลใหส้ ถาบนั ระดบั นานาชาติและรฐั บาลของประเทศตา่ งๆ ตอ้ งหนั มาใหค้ วามสาคญั กบั ความ
โปร่งใสและการมสี ว่ นรว่ มของภาคพลเมือง
สง่ ผลใหบ้ คุ ลากรภาครฐั ตอ้ งมีทกั ษะเพ่มิ มากข้ึน ทกั ษะในการจดั การความเสย่ี ง การแกไ้ ข
สถานการณ์ท่ซี บั ซอ้ น การประสานความร่วมมือกบั พนั ธมิตรจากทกุ ภาคสว่ นดว้ ยการ จดั การกบั
เครอื ข่ายผูเ้ ช่ียวชาญ
4. แรงกดดนั ทางทรัพยากร (Resources stress)
แรงกดดนั จากการเพม่ิ ข้นึ ของ แรงกดดนั จากการเตบิ โตทาง แรงกดดนั จากการเปลย่ี นแปลง
ประชากร เศรษฐกจิ สภาพอากาศ
แรงกดดนั ทางทรพั ยากร ทาใหเ้ กดิ การแย่งชิงทรพั ยากรธรรมชาตทิ ง้ั น้า อาหาร ท่ดี ินทากนิ และพลงั งาน ปญั หา
สภาพแวดลอ้ มในอนาคตน้นั เป็ นสง่ิ ท่ีไม่สามารถคาดการณ์ไดภ้ าครฐั ทวั่ โลกกาลงั เผชิญกบั ความทา้ ทายในการ วางนโยบาย
เพอ่ื รบั มือกบั ความไม่แน่นอนน้ีและจะตอ้ งหนั มาใหค้ วามสาคญั กบั การจดั การกบั ทรพั ยากรให้ เพยี งพอตอ่ การพฒั นา
ประเทศ ทาใหต้ อ้ งดาเนินการจดั การในหลากหลายมิตเิ ช่น การวางยทุ ธศาสตรเ์ พ่อื รบั มอื กบั ภยั ธรรมชาตกิ ารวาง
ยทุ ธศาสตรเ์ พอ่ื เตรยี มความพรอ้ มในการอพยพเน่ืองจากภยั ธรรมชาตดิ ว้ ยความจาเป็ นน้ี สง่ ผลใหจ้ าเป็ นตอ้ งพฒั นา
บคุ ลากรภาครฐั ใหม้ ีทกั ษะทางคณิตศาสตรร์ วมถงึ การจดั การวตั ถดุ บิ และทรพั ยากร
4. แรงกดดนั ทางทรัพยากร (Resources stress)
การเขา้ สูส่ งั คมสูงวยั
ภายในปี 2050 ประชากร 2 ใน 3 ของโลกจะเคลอ่ื นยา้ ยมา
อาศยั ในเมือง ความเป็นเมอื งจะเป็นโอกาสสาคญั ในการ
พฒั นาสงั คม เศรษฐกจิ และ การใชช้ ีวิตอย่างยงั่ ยนื ใน
ขณะเดยี วกนั กส็ ง่ ผลตอ่ การจดั การโครงสรา้ ง พ้นื ฐานของทง้ั
ทรพั ยากรธรรมชาติและดา้ นประชากรของโลก
แรงกดดนั ขอ้ จากดั ทางเลอื ก
4. แรงกดดนั ทางทรัพยากร (Resources stress)
ปี 2060 อตั ราของผูส้ ูงอายทุ ่เี พ่มิ มากข้ึนสง่ ผลกระทบ อยา่ งมากต่อโครงสรา้ ง
ประชากร
• ขนาดของกาลงั แรงงานของแต่ละประเทศ ลดลง สง่ ผลใหเ้ กดิ การ
เคลอ่ื นยา้ ยแรงงานขา้ มชาตเิ พม่ิ สูงข้ึน
• วยั แรงงานมกั จะใหค้ วามสาคญั กบั การจดั การ สมดุลชีวติ การเพ่ิม multi
tasking skills และ การพฒั นาทกั ษะความสามารถใหส้ ูงข้ึนเพ่อื ท่ี จะ
ขยายช่องทางในการประกอบอาชีพไดอ้ ย่าง หลากหลาย
การบริหารจดั การภาครัฐในศตวรรษที่ 21
ภาครฐั ตอ้ งปรบั ตวั เพอ่ื ตอบสนองตอ่ การเปล่ยี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มทง้ั ภายในและภายนอกองคก์ าร
โครงสรา้ งภาครฐั และกระบวนการทางานตอ้ งปรบั ตามการเปล่ยี นแปลงเหลา่ น้ีดว้ ยไม่มากกน็ อ้ ย
ผูน้ าองคก์ ารภาครฐั จะตอ้ งมคี วามรอบรูแ้ ละทกั ษะการบรหิ ารงานในยุคสมยั ท่มี ีความเป็ นโลกาภวิ ตั น์ รวมถงึ ตอ้ งมี
คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการบรหิ ารงาน
บคุ ลากรจะตอ้ งมคี วามรูแ้ ละทกั ษะใหค้ วามพรอ้ มกบั การปฏบิ ตั งิ านในภาครฐั ท่เี ปล่ยี นแปลงไป
ตอ้ งเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามีสว่ นรว่ มในทกุ ๆกระบวนการตดั สนิ ใจของภาครฐั ใหม้ ากข้ึน
ตอ้ งใหป้ ระชาชนสามารถตรวจสอบการทางานของภาครฐั ในทกุ ระดบั และการทางานตอ้ งเนน้ ความโปรง่ ใสตรวจสอบ
ได้