พระราชวังต้องห้าม
(กู้กง)
紫
禁
城
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา แหล่งมรดกโลก
ทางวัฒนธรรม 24942259 ชั้นปีที่ 3 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ
ศึกษาเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลกพระราชต้องห้าม (กู้กง) โดยมี
การจัดทำในรูปแบบของหนังสือ E book
ซึ่งคณะผู้จัดทำได้มีการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
คุณค่าและความสำคัญ ลักษณะ รายละเอียดของพระราชวัง
ต้องห้ามและการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพื่อเป็นประโยชน์
ต่อตนเองและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยว
กับแหล่งมรดกโลกพระราชวังต้องห้าม(กู้กง) เนื่องจาก
รายงานนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อการศึกษา หากมีข้อผิด
พลาดประการใด คณะผู้จัดทำขอน้อมรับและขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ด้วย
สารบัญ
• ข้อมูลทั่วไป 1
• ประวัติ 2
• คุณค่าและความสำคัญ 4
5
- ความเชื่อทางศาสนา 6
• ลักษณะของพระราชวังต้องห้าม 6
10
- โครงสร้างและสถาปัตยกรรม 11
- สัญลักษณ์นิยม
• รายละเอียดของทรัพยากรวัฒนธรรมใน 16
พระราชวังต้องห้าม
• การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก 17
• บรรณานุกรม
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อแหล่ง พระราชวังต้องห้าม หรือพระราชวังกู้กง
ที่ตั้งแหล่ง 4 ถนนจิ่งชานเฉียน เขตตงเฉิง ปักกิ่ง
พิกัด 39.915987°N 116.397925°E
ประวัติพระราชวังต้องห้าม(กู้กง)
ค.ศ.1406 สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิหย่ง
ค.ศ.1420 เล่อ จักรพรรดิองค์ที่ 3 ของ
ราชวงศ์หมิง
สร้างเสร็จสิ้นและใช้เป็นที่
ประทับของจักรพรรดิ เชื้อพระ
วงศ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ราชวงศ์หมิง
จนถึงราชวงศ์ชิง
ค.ศ.1911 พระราชวังถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่
จองจำของจักรพรรดิผู้อี๋
จักรพรรดิองค์ที่ 11 และองค์
สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง
ค.ศ.1925 พระราชวังถูกเปลี่ยนเป็น
พิพิธภัณฑ์กู้กงแห่งชาติที่จัด
แสดงโบราณวัตถุของประเทศจีน
ประวัติพระราชวังต้องห้าม(กู้กง)
ปัจจุบันพระราชวังต้องห้าม 紫
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ 禁
มีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่ง และ 城
สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว
มากมายจากทั่วโลก
พระราชวังต้องห้ามมีพื้นที่
กว่า 720,000 ตารางเมตร
หรือ 450 ไร่ จึงมีการแบ่ง
ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
พระราชฐานชั้นนอก (outer
court) ซึ่งจะประกอบด้วย
เขตที่รวมพระที่นั่ง และสถาน
ที่สำเร็จราชการ การทูต และ
จัดพระราชพิธีต่าง ๆ และ
พระราชฐานชั้นใน (inner
court) ประกอบด้วยเขตของ
ตำหนักและที่ประทับของ
สมาชิกราชวงศ์
คุณค่า ความสำคัญ
พระราชวังต้องห้าม ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในการท่องเที่ยวที่ประเทศจีน และ
เป็นสถานที่สำคัญของกรุงปักกิ่ง ซึ่งที่นี่นั้นเป็นอนุสรณ์การปกครองของประเทศ
จีนในยุคศักดินา และเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และวรรณคดีอีก
ด้วย โดยที่พระราชวังต้องห้ามนี้ ได้รับรางวัลและการยกย่องจากองค์การยูเนสโก
ให้เป็นมรดกโลก และยังเป็นโบราณสถานที่สร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประวัติศาสตร์ สิ่งก่อสร้าง
เป็นศูนย์กลางของอำนาจสูงสุดในทั้ง การที่สามารถก่อสร้างพระราชวังที่
ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้นั้น สะท้อนให้เห็น
สองราชวงศ์ ประวัติศาสตร์กว่า 500 ปี ถึงภูมิปัญญาระดับสูงและเทคนิคทาง
ด้านนวัตกรรมของประชาชนสมัย
ของพระราชสำนักราชวงศ์หมิงและ โบราณของจีนอย่างชัดเจน นอกจาก
นี้ การก่อสร้างพระราชวังต้องห้าม
ราชวงศ์ชิงซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหว ยังต้องการใช้ต้นไม้จำนวนมาก ซึ่ง
ส่วนใหญ่มาจากทางภาคใต้ของจีน
ของจักรพรรดิและพระมเหษี ระบอบ ส่วนวัสดุที่เป็นหินส่วนใหญ่ได้มาจาก
ชานเมืองและเขตภูเขาที่ห่างจากกรุง
ชนชั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ และ ปักกิ่งประมาณ 200-300 กิโลเมตร
เนื่องจากพระราชสำนักเป็นใจกลางการ
ปกครองประเทศสูงสุดของระบอบ
ศักดินาที่มีความสมบูรณ์ในระดับสูงซึ่ง
ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เหตุ
การณ์สำคัญๆ มักจะเกิดขึ้นโดย
เกี่ยวข้องถึงการสืบทอดราชสมบัติและ
อำนาจของจักรพรรดิเสมอ
ความเชื่อทางศาสนา
ความเชื่อทางศาสนาเป็นส่วนสำคัญ
ของชีวิตในราชสำนัก ในราชวงศ์ชิง
พระที่นั่งคุนหนิง ถูกใช้เป็นสถานที่ใน
การพระราชพิธีแบบเชมัน ในขณะ
เดียวกันศาสนาประจำชนชาติจีนอย่าง
เต๋า ก็ยังมีบทบาทสำคัญตลอดทั้งรา
ชวงศ์หมิงและชิง มีศาลเจ้าในลัทธิเต๋า
อยู่สองศาล ศาลหนึ่งอยู่ภายในพระ
ราชอุทยานหลวงและอีกศาลหนึ่งอยู่
บริเวณส่วนกลางของเขตพระราชฐาน
ชั้นใน
พระที่นั่งคุนหนิง
อีกศาสนาหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิงคือ
ศาสนาพุทธ จึงปรากฏวัดและศาลเจ้า
กระจายอยู่ทั่วทั้งเขตพระราชฐานชั้นใน
รวมถึงศาสนาพุ ทธแบบทิเบตด้วย
พุ ทธศาสนศาสตร์ยังแพร่หลายไปใน
การตกแต่งอาคารหลายหลังด้วย ใน
บรรดาอาคารเหล่านั้น พลับพลาพิรุณ
มาลา (Pavilion of the Rain of
Flowers) เป็นหนึ่งในอาคารที่สำคัญ
ที่สุด ซึ่งเป็นพลับพลาที่ประดิษฐาน
พระพุทธรูป พุทธสัญลักษณ์ และแมน
ดาลาจำนวนมาก ซึ่งมีไว้เพื่อการพิธี
ทางศาสนา
พลับพลา
พิรุณมาลา
ลักษณะของพระราชวังต้องห้าม
โครงสร้างเเละสถาปัตยกรรม
พระราชวังต้องห้ามเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืน
ผ้า มีความกว้างจากเหนือถึงใต้ 961 เมตร
และจากตะวันออกถึงตะวันตก 753 เมตร
ประกอบด้วยอาคารที่หลงเหลืออยู่ 980
อาคาร พร้อมด้วยห้อง 8,886 ห้องซึ่งตาม
ตำนานบอกว่ามีห้องจำนวน 9,999ห้อง
พระพระราชวังต้องห้ามถูกออกแบบมาเพื่อ
เป็นศูนย์กลางทางอำนาจในสมัยโบราณ
เป็นกำแพงเมืองแห่งปักกิ่ง พระราชวังนี้
ถูกปิดล้อมด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ก่อเป็น
กำแ
พง เรียกว่า นครหลวง
นครหลวงนี้เป็นลำดับชั้นการปิดล้อมจากพระราชวังชั้นใน ไปยังพระราชวัง
ชั้นนอกพระราชวังต้องห้ามนั้นยังคงมีความสำคัญในโครงการเทศบาลของ
ปักกิ่ง แกนแนวกลาง เหนือ–ใต้ที่เหลืออยู่ในแกนกลางของปักกิ่ง แกนนี้
ขยายออกไปทางใต้จนถึงประตูเทียนอันเหมินไปยังจตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่ง
เป็นลานประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน และยาวไปจนถึงประตูหย่ง
ติ้ง ส่วนทางด้านเหนือขยายไปจนถึงเนินเขาจิ่งชาน ถึงหอระฆังและกลอง
แกนนี้ไม่ได้ขยายไปในแนวเหนือใต้ตรง ๆ แต่มีความเอียงเล็กน้อยสอง
องศาการศึกษาเชื่อว่าแกนนี้ถูกออกแบบในสมัยราชวงศ์หยวนเพื่อให้
สอดคล้องกับแหล่งแซนาดู ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งอื่นของอาณาจักร
นักวิชาการด้านสถาปัตยกรรมมีความ
เห็นว่าหากพิจารณาด้านการจัดวางอาคาร
บนเส้นแกนกลาง จะพบว่าแนวคิดเบื้อง
หลังประตูต้าชิงคือการเลือกใช้วิธีกดลง
แล้วค่อยยกขึ้น หรือทำให้ดูเรียบง่ายก่อน
แล้วกระตุ้นอารมณ์ภายหลัง ให้ความรู้สึก
เหมือนค่อย ๆ ก้าวไปสู่พระราชวังอันยิ่ง
ใหญ่งดงามและน่าเกรงขาม
ลักษณะของพระราชวังต้องห้าม
เมื่อคณะทูตจากต่างแดนมาถวายบรรณาการ ตามระเบียบพระราชพิธีจะต้อง
ผ่านประตูต้าชิงเพื่อเข้าไปเฝ้า โดยต้องเดินประมาณ 1,500 เมตร ผ่านทั้ง 5
ประตู ข้ามลานจตุรัสหลายลานไปจนถึงจตุรัสหน้าพระที่นั่งไท่เหอ สิ่งเหล่านี้
เป็นอิทธิพลจากคติ "โอรสสวรรค์จะต้องมี 5 ประตู 3 เขตพระราชฐาน" ของ
พระราชวังตามขนบดั้งเดิมของจีน ซึ่ง
ประกอบไปด้วย 5 ประตู ได้แก่ ประตู
เทียนอัน ประตูตวน ประตูอู่ ประตูไท่เหอ และประตูเฉียนชิง และ 3 เขตพระ
ราชฐาน คือ เขตพระราชทานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระ
ราชฐานชั้นใน
พระราชวังต้องห้ามถูกแบ่งออกเป็นสอง
ส่วน คือ เขตพระราชฐานชั้นนอก หรือ
ส่วนหน้า ประกอบด้วยส่วนทางใต้ ถูกใช้
ในวัตถุประสงค์ด้านการพระราชพิธี และ
เขตพระราชฐานชั้นใน ประกอบด้วยส่วน
ทางเหนือ ถูกใช้เป็นที่ประทับของฮ่องเต้
และพระบรมวงศานุวงศ์ และถูกใช้ในการ
บริหารกิจการรัฐประจำวัน
โดยทั่วไปแล้ว พระราชวังต้องห้ามมีแกนแนวตั้งเป็นสามแฉก อาคารที่
สำคัญที่สุดตั้งอยู่ที่แฉกตรงกลางในแนวเหนือ–ใต้ เมื่อเข้าจากประตูอู่ จะ
พบกับพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ ซึ่งมีสะพานข้ามทั้งหมดห้าสะพาน
เมื่อข้ามสะพานไป ข้างหน้าจะเป็นประตูไท่เหอ ตั้งอยู่ โดยด้านหลังถัดไป
จากประตูคือพื้นที่จตุรัสของพระตำหนักไถ่เหอ โดยมีพระตำหนักทั้งหมด
สามองค์ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาว ประกอบด้วย พระที่นั่งไท่เหอ พระที่นั่ง
จงเหอ และพระที่นั่งเป่าเหอ
เขตพระราชฐานชั้นนอก
พระตำหนักไท่เหอ เป็นพระตำหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่สูงกว่า
ปริมณฑลโดยรอบประมาณ 30 เมตร พระตำหนักนี้เป็นศูนย์กลางพระ
ราชอำนาจขององค์ฮ่องเต้ และเป็นโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังหลง
เหลืออยู่ในประเทศจีน มีมุขกว้างเก
้ามุขและมุขลึกห้ามุข ซึ่งเลข 9 และ
5 เป็นสัญลักษณ์ที่สื่ อถึงองค์ฮ่องเต้ พระตำหนักไถ่เหอนั้นมี
วัตถุประสงค์เพื่ อการพระราชพิธีเท่านั้น เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีสถาปนา และพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
พระตำหนักจงเหอ มีขนาดรองลงมา เป็นพระตำหนักทรงจตุรัส ถูกใช้
สำหรับให้ฮ่องเต้ทรงเตรียมพระองค์เอง และเป็นที่สำหรับทรงพักผ่อนใน
ช่วงก่อนและในระหว่างพระราชพิธี
พระตำหนักเป่าเหอ ใช้สำหรับฝึกซ้อมการพระราชพิธี และยังถูกใช้เป็น
สนามสอบขั้นสุดท้ายของการสอบขุนนางด้วยทั้งสามพระตำหนักมีพระ
ราชบัลลังก์หลวง ซึ่งพระราชบัลลังก์ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนที่สุด
ประดิษฐานอยู่ภายในพระตำหนักไถ่เหอ
ด้านใต้ฝั่ งตะวันตกและด้านใต้ฝั่ งตะวันออกของเขตพระราชฐานชั้น
นอกเป็นพระตำหนักอู่หยิง และพระตำหนักเหวินฮวา ซึ่งในอดีตเคยถูกใช้
สำหรับฮ่องเต้เสด็จออกรับเหล่ารัฐมนตรีและการเปิดศาล ต่อมาถูก
เปลี่ยนเป็นที่ตั้งของโรงพิมพ์ในพระราชวัง อีกพระตำหนักถูกใช้เป็น
สถานที่บรรยายพิธีการทางศาสนาโดยนักพรตขงจื้ อขั้นสูงที่ได้รับการ
ยกย่อง และต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานราชเลขาธิการ สำเนาของ
หนังสือซื่อคูเฉียนชูถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ส่วนด้านเหนือฝั่ งตะวันออกเป็น
หมู่พระที่นั่งหน่านซัน ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์รัชทายาท
พระราชวังชั้นใน
เขตพระราชฐานชั้นในเป็นส่วนที่แยกออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอกโดย
ลานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตั้งฉากกับแกนหลักของพระนครต้องห้ามเป็นที่
ประทับขององค์ฮ่องเต้และพระบรม
วงศานุวงศ์ของพระองค์ในสมัย
ราชวงศ์ชิงองค์ประกอบพระราชฐานฝ่ายในทั้งหมดนี้เป็นที่มาของท้องฟ้า
และดินรวมกันเป็นหนึ่งก่อให้เกิดภาพของสวรรค์และพื้นดินผสานกัน
อย่างสมบูรณ์
เขตพระราชฐานชั้นในคือที่ประทับของพระราชวงศ์ถนนกลางคือพระ
ตำหนักที่บรรทมหลัก 2 หลัง ของจักรพรรดิและฮองเฮา ตรงกลาง
ระหว่างพระตำหนัก 2 หลังคือ "พระที่นั่งเจียวไท่เตี้ยน" มีระเบียงล้อมรอบ
ครบครัน ฝั่ งตะวันออกและตะวันตกมีหมู่พระตำหนักฝั่ งละ 6 หมู่และถัด
ไปทางด้านทิศเหนือมีหมู่พระตำหนักอีกฝั่ งละ 5 หมู่ มีลักษณะคล้ายกันทุก
หลัง มีบ่อน้ำส่วนตัว ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีลานกว้างอยู่ส่วน
หน้าและส่วนกลาง มีหลังคาแบบอิ้งซาน มุงกระเบื้องสีเหลือง มีการ
ตกแต่งเรียบง่าย ไม่หรูหรา หากเป็นองค์ชายรัชทายาทจะประทับที่
ตำหนัก"อี้ชิ่งกง" หรือไม่ก็ประทับกันที่ หมู่พระตำหนัก"หนานซ่านสั่ว"ใน
เขตพระราชฐานชั้นกลางกับเหล่าองค์ชายที่กำเนิดจากพระสนมชั้นสูง
หากองค์ชายมีพระชันษาครบ 15 ปีหรืออภิเษกสมรสแล้ว ต้องออกจาก
ตำหนักไปอยู่นอกวัง แต่สมัยจักรพรรดิคังซียังคงให้รัชทายาทประทับร่วม
กับองค์ชายองค์อื่นได้ต่อไป แม้จะมีพระชันษาเกิน 15 ปีแล้วก็ตาม บางรัช
สมัยตำหนักเหล่านี้ก็เคยเป็นที่พักของเหล่าพระสนมศักดิ์ต่ำที่มิค่อยมี
บทบาทในราชสำนัก
เ อ เ ชี ย ต ะ วั น อ อ ก
สัญลักนิยม
ลักษณะของพระราชวังต้องห้าม
การออกแบบพระราชวังต้องห้ามถูกวางแผนมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อน
หมีลกัการทตัา้งงขป้อรัสชัญงเกาแตลกะาศราอสอนกาแแบลบะเสปั็ญนสลั
ัญกษลัณก์ษบณา์งแอหย่่งาองำปนราะจกขออบงด้จัวกยรกพารรรใชด้ิ
สีเหลืองเพื่อสื่อถึงองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นเกือบทุกหลังคาในพระราชวังต้อง
ห้ามจะปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ยกเว้นเพียงสองอาคารคือ หอพระ
สมุดที่พลับพลาเหวินยวน ซึ่งเป็นสีดำ เพราะสีดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับธาตุ
น้ำ เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย และที่ที่ประทับขององค์รัชทายาทที่ใช้สี
เขียว เพราะเกี่ยวข้องกับธาตุดิน เพื่อการเติบโตและพระตำหนักองค์หลัก
ในเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นในถูกจัดเรียงเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามองค์
เป็นรูปทรงของเฉียน เป็นตัวแทนของสวรรค์ ส่วนที่ประทับในเขตพระ
ราชฐานชั้นใน ในแต่ละด้านถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละหกองค์ เป็นรูปทรงของ
คุน เป็นตัวแทนของโลกมนุษย์ สันหลังคาที่ลาดเอียงของอาคารถูก
ตกแต่งด้วยรูปปั้ นเรียงกัน
โครงสร้างของอาคารโบราณถูกวาง
ไว้เพื่อก่อสร้างตามต้นแบบแห่ง
พิธีกรรม ดังนั้นจึงมีการตั้งวัดหลวง
สืบต่อมาจากบรรพบุรุษที่ด้านหน้า
ของพระราชวัง ส่วนพระคลังหลวง
ถูกวางไว้บริเวณส่วนหน้าของ
พระราชวังอันซับซ้อน และส่วนที่
ประทับขององค์ฮ่องเต้อยู่ด้านหลัง
ทรัพยากรวัฒนธรรมใน
พระราชวังต้องห้าม
สะพานหินอ่อนทั้ง 5
เป็นสะพานหินอ่อนสีขาว
สลักลวดลายสวยงามขนาน
กันทั้ง 5 สะพาน ทอดข้าม
แม่น้ำทอง (Golden Water)
ประตูไท่เหอเหมิน
ถัดจากสะพานทั้ง 5 จะเป็นซุ้มประ
ตูไท่เหอเหมินอันยิ่งใหญ่และสวยงาม
ในอดีตคือประตูแรกที่เข้าสู่เขตพระ
ตำหนักชั้นนอก ลักษณะของซุ้มประตู
เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ดังนั้นในสมัย
ราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1912) จึงถูก
ใช้เป็นสถานที่รับรองแขกอีกด้วย
บันได 9 มังกร
ถัดจากประตูไท่เหอเหมินเข้ามาจะ
เจอแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ สลักรูปนูน
ต่ำเป็นรูปมังกร 9 ตัวอย่างวิจิตร ใน
อดีตเป็นทางเดินของจักรพรรดิเสด็จ
ออกมาจากพระราชฐานชั้นในเพื่อว่า
ราชการหรือประกอบพระราชพิธีไปยัง
พระตำหนักชั้นนอก ปัจจุบันทางเดินนี้
ถูกปิดห้ามคนเข้า
พระตำหนักไท่เหอเตี้ยน
เป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่ใน
พระราชวังต้องห้าม และเป็น
สถาปัตยกรรมโครงสร้างไม้ที่ใหญ่
ที่สุดในบรรดาพระตำหนักของจีน
ด้านในห้องโถงยังเป็นที่ประทับของ
องค์จักรพรรดิในการว่าราชการ ซึ่ง
มีพระราชบัลลังก์มังกรที่ทำจากไม้
หอมจันทน์สูง 2 เมตรตั้งอยู่ และ
พระราชบัลลังก์นี้ใช้เป็นที่ประกอบ
พิธีราชาภิเษกอีกด้วย
พระตำหนักจงเหอเตี้ยน
เมื่อผ่านประตูด้านข้างของพระ
ตำหนักไท่เหอเตี้ยน จะเป็นที่ตั้งของ
พระตำหนักจงเหอเตี้ยนซึ่งมีขนาด
เล็กกว่ามาก ภายในมีบัลลังก์ขนาด
เล็กที่องค์จักรพรรดิใช้เป็นที่ประทับ
ก่อนออกว่าราชการ หรือประกอบ
พิธีการต่างๆ รวมถึงใช้เป็นสถานที่
ทรงงานและให้ขุนนางเข้าเฝ้าด้วย
พระตำหนักเป่าเหอเตี้ยน
ตั้งอยู่ถัดจาก พระตำหนักจงเหอ
เตี้ยน แต่เดิมบุคคลภายนอกห้ามเข้า
เพราะเป็นห้องฉลองพระองค์ของ
จักรพรรดิ บริเวณด้านนอกถูกใช้เป็น
สถานที่จัดงานเลี้ยงและสอบจอหงวน
ประตูเฉียนชิงเหมิน
เป็นประตูเข้าพระราชฐานชั้นใน
หรือวังใน อันเป็นที่ประทับส่วน
พระองค์ของจักรพรรดิ พระมเหสี
เหล่านางสนมและบรรดาขันที
ด้านหน้ามีมังกรปิดหูคู่สีทองอยู่
ประจำซ้ายขวา เขตพระราชฐาน
ชั้นในประกอบด้วนตำหนักหลักๆ
สามตำหนักได้แก่
1. พระตำหนักเฉียนชิงกง
เป็นพระตำหนักหลักของ “วัง
ใน” และใหญ่ที่สุดในบรรดา 3 พระ
ตำหนัก ของวังใน
2. พระตำหนักเจียวไท่เตี้ยน
ตั้งอยู่ระหว่างพระตำหนักเฉียนชิงกง
และพระตำหนักคุนหนิงกง เป็นสถานที่
ส่วนพระองค์ของพระมเหสี ทั้งในสมัย
ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
3. พระตำหนักคุนหนิงกง
ตั้งอยู่หลังสุดของวังใน (เหนือสุด)
เป็นที่ประทับของพระมเหสีในสมัยรา
ชวงศ์หมิง ส่วนในราชวงศ์ชิงถูก
เปลี่ยนเป็นที่บูชาเทพยดาฟ้าดิน
สวนอวี้ฮัวหยวน
ถัดจากประตูด้านหลังพระตำหนักคุนหนิงกงจะเป็นเขตของ
สวนอวี้ฮัวหยวน หรือสวนในพระตำหนักใน สวนแห่งนี้ร่มรื่น
ด้วยต้นสนขนาดใหญ่ที่มีอายุหลายร้อยปี จุดที่น่าสนใจก็คือ
ต้นสนคู่รักที่มีลักษณะโน้มเข้าหากัน
การขึ้นทะเบียนมรดกโลก
พระราชวังต้องห้ามได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกใน เมื่อ ค.ศ. 1987
ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมาใน ค.ศ. 2004 พระราชวัง
เฉิ่นหยาง พระราชวังพักตากอากาศของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่ง
ราชวงศ์ชิง ได้ลงทะเบียนร่วมกับพระราชวังต้องห้ามภายใต้ชื่อ
"พระราชวังแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเฉิ่นหยาง"
ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
· (i) - เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการ
สร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
· (ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมา
ในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน
ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่
เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นใน
ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใด ๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่ง
วัฒนธรรม
· (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรือ
อารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
· (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอัน
เป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของ
มนุษยชาติ
บรรณานุกรม
DPlus Guide Team. (2557). เที่ยวปักกิ่ง ชมความงามและความยิ่ง
ใหญ่ของพระราชวังกู้กง พระราชวังต้องห้าม แหล่งเที่ยว. สืบค้นเมื่อ 13
ตุลาคม 2565,
จาก : https://www.dp
lusguide.com/2014/china-
forbidden-city/
Thai CRI online. (2553). ประวัติของพระราชวังต้องห้ามปักกิ่ง.
สืบค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2565,
จาก : http://thai.cri.cn/321/2010/04/26/41s174472.htm
SummerB. (2565). พระราชวังร้องห้าม Forbidden City ที่เที่ยวจีน
มรดกยิ่งใหญ่แห่งแดนมังกร. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565,
จาก : https://travel.trueid.net/detail/YB84dlpr8L3B
จัดทำโดย
พรบุญญา อุไรเลิศ รหัส 63020122
คาร่า เครือวัลย์ เมอร์ริค รหัส 63020324
ชุติมา คล้อยสุวรรณ์ รหัส 63020326
ปุณยนุช ศรีเมืองสุข รหัส 63020331
อชิรญา ปพณพัชร์เมธา รหัส 63020755
เสนอ
อาจารย์เปลวเทียน เจษฎาชัยยุทธ์