วิชาอคั ลาก (จรรยามารยาท)
วชิ าอคั ลาก
จรรยามารยาท
จรรยามารยาท หมายถึง การนาสิ่งท่ีน่ายกยอ่ งสรรเสริญมาปฏิบตั ิ ท้งั ในดา้ นวาจา การกระทา
และมารยาทที่ดีงาม
อิสลามเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ จดั ระบอบการดาเนินชีวิตของมนุษยใ์ นทุก
สภาวการณ์ กาชบั ใหป้ ฏิบตั ิในส่ิงที่เป็นประโยชน์ และหา้ มปรามจากส่ิงท่ีเกิดโทษ และได้
กาหนดมารยาทต่างๆ ตอ่ ตนเองและต่อผอู้ ่ืน มารยาทยามรับประทานอาหารและดื่ม มารยาท
ยามนอนและตื่น มารยาทยามอยใู่ นพ้ืนที่และเดินทาง และมารยาทในทุกอิริยาบทของ
ชีวิตประจาวนั
อลั ลอฮฺไดต้ รัสว่า :
ความว่า และส่ิงใดที่รอซลู ไดน้ ามายงั พวกเจา้ พวกเจา้ ก็จงยดึ มน่ั เอาไว้ และส่ิงใดที่ทา่ นหา้ ม
ปรามไม่ให้พวกเจา้ กระทา พวกเจา้ กจ็ งละเวน้ เสีย และพวกเจา้ จงเกรงกลวั ตอ่ อลั ลอฮฺเถิด แทจ้ ริง
อลั ลอฮฺน้นั เป็นผทู้ รงเขม้ งวดในการลงโทษ (อลั -หชั ร์ : 7)
การใหส้ ลาม
ความประเสริฐของการให้สลาม
1. จากอบั ดุลลอฮฺ บิน อมั ร์ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ กล่าววา่ :
ความว่า มชี ายผหู้ น่ึงไดถ้ ามท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั วา่ (บทบญั ญตั ขิ อง)อิสลามขอ้ ไหนดี
ท่ีสุด? ท่านรอซูล ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ตอบวา่ คือการท่ีท่านใหอ้ าหารแก่ผอู้ ่นื และการท่ีท่านให้
สลามแก่ผทู้ ่ีท่านรู้จกั และผทู้ ่ีท่านไมร่ ู้จกั (บนั ทึกโดย อลั -บุคอรีย์ : 12 สานวนรายงานเป็นของท่าน, มุสลิม
: 39)
ผู้ทส่ี มควรเร่ิมให้สลามก่อน
1. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ ว่าท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ไดก้ ล่าววา่ :
ความวา่ เด็กควรใหส้ ลามแก่ผใู้ หญ่ คนเดินผา่ น(ควรใหส้ ลาม)แก่คนทนี่ งั่ อยู่ และกลุม่ คนทีน่ อ้ ยกวา่ (ควร
ใหส้ ลาม)แก่กลุ่มคนที่มากกวา่ 2. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ ว่าท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮฺ
อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ไดก้ ล่าวว่า :
ความวา่ ผทู้ ี่ขบั ขี่ยานพาหนะควรใหส้ ลามแก่ผทู้ ่ีเดิน ผทู้ ่ีเดิน(ควรใหส้ ลาม)แก่ผทู้ ี่นงั่ และกล่มุ คนท่ีนอ้ ยกวา่
(ควรใหส้ ลาม)แก่กล่มุ คนท่ีมากกว่า
การให้สลามแก่สตรีและเด็ก
1. จากอสั มาอ์ บินตุ ยะซีด เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮา กลา่ ววา่ :
ความวา่ ท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ไดผ้ า่ นหนา้ พวกเราในหม่สู ตรีกลุม่ หน่ึง แลว้ ท่านกใ็ หส้ ลาม
แก่พวกเรา (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บนั ทกึ โดย อบู ดาวดู : 5204 ดู เศาะฮีหฺ สุนนั อบี ดาวูด : 4336, อบิ นุ
มาญะฮฺ : 3701 ดู เศาะฮีหฺ สุนนั อิบนิ มาญะฮฺ : 2986)
2. มีรายงานจากอะนสั บิน มาลกิ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ ว่า :
ความวา่ ท่าน(อะนสั )ไดผ้ า่ นพวกเดก็ ๆ กลมุ่ หน่ึง แลว้ ท่านก็ใหส้ ลามแก่พวกเขา และกลา่ ววา่ ท่านนบี
ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั เคยทาอยา่ งน้ี (บนั ทึกโดย อลั -บุคอรีย์ : 6247 สานวนเป็นของท่าน, มสุ ลมิ :
2168)
การให้สลามของสตรีแก่บุรุษเม่ือปลอดจากฟิ ตนะฮฺ
จากอมุ มุฮานิ บินตุ อบี ฏอลบิ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮา กลา่ ววา่ :
ความวา่ ฉนั ไดไ้ ปหาท่านรอซูล ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ในปี อลั -ฟัตหฺ(ปี แห่งการเปิ ดเมอื งมกั กะฮฺ) ซ่ึง
ฉนั พบวา่ ท่านกาลงั อาบน้าอยู่ โดยมฟี าฏมิ ะฮฺ บุตรสาวของท่านกาลงั ก้นั ฉากใหท้ ่าน ฉนั เลยใหส้ ลามแก่ท่าน
และท่านถามวา่ ใครกนั นี่ ?” ฉนั ตอบวา่ ฉนั คืออุมมุ ฮานิอ์ บินตุ อบีฏอลิบ ท่านจึงกลา่ ววา่ ยนิ ดีตอ้ นรับ
อุมมุ ฮานิอ์ (บนั ทึกโดย อลั -บุคอรีย์ : 6158 สานวนเป็นของท่าน, มสุ ลมิ : 336)
การให้สลามขณะเข้าบ้าน
อลั ลอฮฺไดต้ รัสว่า :
ความวา่ ดงั น้นั เมอ่ื พวกเจา้ จะเขา้ ในบา้ นหลงั ใดกต็ าม พวกเจา้ ก็จงใหส้ ลามแก่พวกทา่ นเอง(หมายถึงให้
สลามแก่ผอู้ ยใู่ นบา้ นที่เป็นมุสลิม ซ่ึงเปรียบเสมอื นเรือนร่างเดียวกนั กบั ท่าน) เพือ่ เป็นการอวยพรอนั จาเริญ
พนู สุขจากอลั ลอฮฺ (อนั -นูร : 61)
ไม่ให้สลามแก่ชาวซิมมยี ์(ผไู้ ม่ใช่มุสลิมที่อยใู่ นชุมชนมสุ ลิม)
1. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ วา่ ท่านรอซูล ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ไดก้ ลา่ วว่า
:ความวา่ พวกท่านจงอยา่ เริ่มใหส้ ลามแก่ชาวยะฮูดและนศั รอนียก์ ่อน ... (มสุ ลมิ : 2167)
2. อะนสั เราะฎิยลั ลอฮฺ อนั ฮุ กลา่ ววา่ ท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮฺ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ไดก้ ล่าววา่ :
ความวา่ เมอ่ื ชาวคมั ภีร์ใหส้ ลามแก่พวกท่าน กจ็ งตอบวา่ วะอะลยั กุม (บนั ทึกโดย อลั -บุคอรีย์ : 6258,
มุสลิม : 2163) ผ้ใู ดผ่านกลุ่มคนทีม่ ที ้งั มสุ ลมิ และกาเฟรกจ็ งให้สลามโดยม่งุ เจตนาต่อคนมสุ ลมิ
การแต่งกาย ผู้หญิงมุสลมิ และผ้ชู ายมสุ ลมิ ตามหลกั อสิ ลาม
การแต่งกายของมุสลิม และมสุ ลิมมะห์ การแต่งกาย ผหู้ ญิงมสุ ลิม และผชู้ ายมุสลิม ตามหลกั
อิสลามในอิสลาม วตั ถปุ ระสงคส์ าคญั ของการแต่งกายคือ การปกปิ ดสิ่งพึงละอายของร่างกาย
โดยเฉพาะร่างกายของ ผหู้ ญิงมสุ ลิม ท้งั น้ี เพื่อที่จะไม่ใหส้ ่วนหน่ึงส่วนใด ของเรือนร่างเพศหญิง
กระตุน้ อารมณ์ทางเพศ ของผชู้ าย ซ่ึงจะก่อใหเ้ กิด ความเสียหาย ข้ึนมาในสงั คม จึงไดว้ าง
หลกั เกณฑด์ งั น้ี
1.เส้ือผา้ ของท้งั ผชู้ ายมสุ ลิม และ ผหู้ ญิงมสุ ลิม จะตอ้ งสะอาด ประณีต เรียบร้อย ดสู วยงาม
เหมาะสมกบั บุคลิกภาพของ ผหู้ ญิงมุสลิม และ ผชู้ ายมุสลิม การดารงตนสมถะ หรือการ
เคร่งครัดในศาสนา ไมจ่ าเป็นตอ้ งหมายถึงการใส่เส้ือผา้ เก่าๆ ดซู อมซ่อ เพื่อให้คนอ่ืนดวู ่าตวั เอง
ไม่ใส่ใจใยดีตอ่ โลก อยา่ แตง่ กาย ใหค้ นอื่นดถู กู หรือมองเห็นเรา เป็นตวั ตลก
2. อิสลาม ไม่ห้ามการแตง่ กาย ดว้ ยเส้ือผา้ ท่ีดีมีราคา ถา้ หากวา่ ฐานะทางเศรษฐกิจ เอ้ืออานวย
และตอ้ งการแสดงออก ใหเ้ ห็นว่าตน ไดร้ ับความโปรดปรานจากพระเจา้ แต่ในขณะเดียวกนั
อิสลามก็ห้ามการแตง่ กาย โดยมีเจตนา ที่จะโออ้ วด ถึงความมง่ั คงั่ และความทนงตน ว่า
เหนือกว่าคนอื่น
3. เส้ือผา้ ของท้งั ผหู้ ญิงมสุ ลิม และ ผชู้ ายมสุ ลิม ตอ้ งปกปิ ด สิ่งพึงละอายของผสู้ วมใส่
โดยเฉพาะสาหรับ ผหู้ ญิงมุสลิม น้นั ส่ิงท่ีพึงปกปิ ด (เอาเราะฮ) ก็คือทุกส่วนของร่างกาย ยกเวน้
ใบหนา้ และฝ่ ามือ ส่วนเอาเราะฮ ของผชู้ ายน้นั คือบริเวณต้งั แตส่ ะดอื ถงึ หวั เข่า
4. ผหู้ ญิงมสุ ลิม จะตอ้ งไม่แตง่ กาย ดว้ ยเส้ือผา้ ท่ีรัดรูป แนบเน้ือ หรือเส้ือผา้ ที่โปร่งบาง หรือมีรูที่
ทาให้มองเห็นผวิ หนงั หรือเรือนร่างภายใน
5. ผชู้ ายมุสลิม จะตอ้ งไม่ใส่เส้ือผา้ หรือแต่งกายเลียนแบบผหู้ ญิง และผหู้ ญิงจะตอ้ งไม่ใส่เส้ือผา้
หรือแตง่ กายเลียนแบบผชู้ าย ท้งั น้ีเพื่อดารงรักษาบคุ ลิกและเอกลกั ษณ์แห่งเพศของตวั เองไว้
ท่านศาสดามฮุ มั มดั ไดส้ าปแชง่ คน ที่แตง่ กายเลียนแบบ ของเพศตรงขา้ ม
6. อิสลามห้ามมุสลิมชาย สวมใส่เส้ือผา้ ท่ีตดั มาจากผา้ ไหม และสวมใส่เครื่องประดบั ทองคา
ท้งั น้ีเพราะวา่ ส่ิงเหล่าน้ีเหมาะสม ที่จะเป็นอาภรณ์ และเคร่ืองประดบั ของ ผหู้ ญิง
7. อิสลามห้าม ผหู้ ญิงมุสลิม ใส่น้าหอมออกนอกบา้ น เพราะไม่ตอ้ งการใหก้ ลิ่นน้าหอม ไป
กระตนุ้ ความรู้สึกของเพศตรงขา้ ม แตข่ ณะเดียวกนั กส็ นบั สนุนให้ผหู้ ญิง โดยเฉพาะภรรยาใส่
น้าหอม และแต่งกายให้สะอาดสวยงามเมื่ออยกู่ บั สามี
8. ผชู้ ายหวีผมใหเ้ รียบร้อย และอยา่ ปล่อยให้ผมกระเซิง
9. ก่อนจะสวมใส่เส้ือผา้ และรองเทา้ ใหส้ ะบดั หรือเคาะเสียก่อน ท้งั น้ีเพ่อื ให้แมลง หรือสตั ว์
อนั ตราย ท่ีอาจอาศยั หรือติดอยใู่ นเส้ือผา้ และรองเทา้ หลุดไป และเม่ือสวมใส่เส้ือผา้ หรือรองเทา้
ใหเ้ ริ่มใส่ทางขา้ งขวากอ่ น
10. หลีกเลี่ยงการแต่งกาย ดว้ ยเส้ือผา้ สีฉูดฉาด หรือแตง่ กาย เลียนแบบนกั บวชหรือนกั พรต
11. ให้เส้ือผา้ แก่คนยากจนบา้ ง เพ่ือเป็นการขอบคุณต่ออลั ลอฮ ที่ทรงโปรดปราน ให้เราไดม้ ี
เส้ือผา้ สวมใส่ ท่านศาสดามฮุ มั มดั ไดก้ ลา่ วว่า "ใครที่ให้เส้ือผา้ แก่มุสลิม สวมใส่ร่างกายของเขา
อลั ลอฮ จะใหเ้ ขาไดส้ วมใส่เส้ือผา้ สีเขียว แห่งสวรรค์ ในวนั แห่งการพิพากษา"
12. ให้เส้ือผา้ ที่ดี ตามสถานภาพของท่านเอง แก่คนรับใช้ หรือบา่ วที่ทาหนา้ ที่รับใชท้ า่ นมา
ตลอดท้งั วนั
ฮิญาบ เป็นชุดท่ีจะทาใหผ้ หู้ ญิงมุสลิม ปลอดภยั จากการลวนลาม และแทะโลม ทกุ วนั น้ี ผแู้ ต่งชุด
ฮิญาบ ไมใ่ ช่ส่ิงแปลกใหม่ ในสายตาสงั คม แต่คือความงดงาม ความสุภาพ และความลุม่ ลึก ใน
ความรู้สึก ท่ีสงบของผสู้ วมใส่ และผพู้ บเห็น เป็นความเยน็ ตาเยน็ ใจ ดว้ ยสายตา ของผมู้ ีศรัทธา
ในอิสลาม ยอ่ มเห็นวา่ หญิงท่ีสวมใส่ชดุ หิญาบน่าเลื่อมใสและน่าใหเ้ กียรติ
มารยาทในการรับประทานอาหาร
หนึ่ง การกล่าว “บิสมลิ ลาฮฺ” ก่อนรับประทานอาหาร และการดื่ม
สอง รับประทานและดื่ม ด้วยมือขวา
สาม รับประทานโดยใช้เพยี งสามนิว้
ห้ามทานอาหาร จากส่วนบน ของจานอาหาร หรือตรงกลางจาน
ดงั กล่าวน้ี แบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทที่หนง่ึ
อาหารประเภทเดียว หมายความวา่ อาหารในจานน้นั เป็นอาหารชนิดเดียว มปี ระเภทเดียว มีซุนนะฮฺใหท้ าน
ส่วนท่ีอยใู่ กลก้ บั เราก่อน ดงั หะดีษที่กลา่ วไวข้ า้ งตน้ ว่า:
“และจงทานอาหาร ส่วนท่ีอยถู่ ดั จากท่าน” (อลั -บุคอรีย:์ 5376 และมุสลมิ : 2022)
และอีกหะดีษหน่ึง ท่ีรายงานโดย อตั -ติรมิซีย์ ในหนงั สือ สุนนั อตั -ติรมซิ ีย์ จากหะดีษของอบิ นุอบั บาส กล่าว
ว่า:
“ความจาเริญ (บะเราะกะฮฺ) จะถกู ประทานลงมา ท่ีอาหารส่วนที่อยตู่ รงกลาง ดงั น้นั จงเร่ิมทาน จากส่วน
ขอบก่อน อยา่ เร่ิมทาน จากตรงกลางของอาหาร” (อตั -ติรมซิ ีย:์ 1805)
ประเภททส่ี อง
อาหารมหี ลากหลายประเภท ดงั น้นั ถือวา่ ไม่เป็นไร ถา้ จะเริ่มทาน จากส่วนบนของอาหาร หรือส่วนขอบ
ของอาหารก่อน หลกั ฐานท่ีมายนื ยนั ในเร่ืองดงั กลา่ ว กค็ ือ หะดีษท่ีรายงาน จากอลั -บุคอรีย์ และมสุ ลิม จาก
หะดีษของอะนสั บินมาลกิ กลา่ วว่า:
“ฉนั เห็นท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั เลือกหามะระในจานอาหาร” (อลั -บุคอรีย:์ 2092 และ
มุสลมิ : 2041)
เก้า ห้ามด่ืมนา้ ในขณะทีย่ ืนอยู่
จากคากล่าวของท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั ในหะดีษท่ีรายงานโดยมุสลิม ในหนงั สือ
เศาะฮีหฺมุสลมิ จากหะดีษอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮฺ เล่าวา่ ท่านนบี ไดก้ ลา่ วว่า
“คนหน่ึงในพวกท่าน จงอยา่ ดื่มน้า ในขณะท่ียนื อยู่ หากใครลมื ก็จงบว้ นออกมา” (มสุ ลิม: 2026)
การมอบหมายต่ออัลลอฮ์ (ตะวกั ก้ลุ )
ตะวกั กุ้ลคืออะไร ?
ตะวกั กุ้ล หมายถึง การปฏิบตั ิหนา้ ที่ ภารกิจ การทางานดว้ ยความแน่วแน่ มีการ
วางแผนและใชค้ วามพยายาม โดยเช่ือว่า ถา้ หากในงานน้นั มีความดีงาม และเป็นไปตามพระ
ประสงคข์ องอลั ลอฮ์ พระองคก์ จ็ ะทาให้งานน้นั สาเร็จบรรลผุ ลสมั ฤทธ์ิ
อิบนุรอญบั ไดใ้ ห้คานิยามของตะวกั กลุ้ วา่ : ตะวกั กุ้ล คือ ความซื่อสตั ยข์ องหวั ใจท่ี
พ่ึงพาพระองคอ์ ลั ลอฮ์ ในการแสวงหาสิ่งทเ่ี ป็นประโยชน์ และป้องกนั สิ่งทเี่ ป็นอนั ตรายท้งั
ในเรื่องดนุ ยาและอาคเี ราะฮ์ และมอบหมายกิจการท้งั หมดแด่พระองค์ และการบรรลุซ่ึงแก่นแท้
ของอีหม่านว่า ไมม่ ีผใู้ ดมีอานาจท่ีจะให้ หรือ ห้าม และให้โทษหรือใหค้ ณุ ใด ๆ นอกจาก
พระองคเ์ ท่าน้นั
การนินทาว่าร้าย
การนินทาว่าร้าย ถือวา่ เป็นการกระทาท่ีไมด่ ีอยา่ งมาก และเป็นการแสดงออกถงึ ความ
ไร้จรรยามารยาท ผทู้ ี่มีจิตใจออ่ นแอและมีจิตใจทีไ่ ร้อีหม่าน จะไมส่ ามารถหลีกเหลย่ี งจากการ
กระทาอนั น้ีได้ และมนั ยงั เป็นบาปใหญ่ท่ีมุสลิมจะตอ้ งละท้ิง การนินทาเปรียบเสมือนการคา้ ที่
ประสบกบั การขาดทุน โดยท่ีผลของการนินทาจะมากดั กร่อนความดีของเขาให้หมด
ไป ความผิดบาปจะเขา้ มาแทนที่ความดี
การนินทาว่าร้ายเป็นบ่อนทาลายความสามคั คีของคนในสงั คมและยงั เป็นการละเมิด
สิทธิส่วนบคุ คล เพราะคนแตล่ ะคนมีความรักและห่วงแหนในเกียรติยศของตนเอง การนินทา
ว่าร้ายถือเป็นการทาร้ายพี่นอ้ งร่วมสงั คม ผลของการนินทาไมไ่ ดเ้ ป็นการสร้างสรรคส์ งั คมใหน้ ่า
อยู่ แตจ่ ะนามาซ่ึงความแตกแยกในสงั คม และสร้างความเกลียดชงั ความเป็นศตั รูระหวา่ งกนั
ผทู้ ่ีชอบนินทาคนอื่นมกั จะเป็นคนใจแคบขาดการราลึกถึงอลั ลอฮ์ เพราะฉะน้นั
การนินทาจึงถือเป็นบาปทร่ี ุนแรงมาก เราอาจจะคิดวา่ การนินทาไมน่ ่าจะมีบาปและโทษอยา่ ง
รุนแรง เพราะแค่เราพูดดว้ ยคาพูดง่ายๆไมไ่ ดล้ งทุนกระทาส่ิงใด
พระองคอ์ ลั ลอฮ์ ไดก้ ลา่ วถึงสถาพของผทู้ ี่ชอบนินทาผอู้ ่ืน ไวใ้ นคมั ภีร์อลั กรุ อาน ความวา่
“ คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าชอบที่จะกนิ เนื้อของพน่ี ้องเขาทต่ี ายไปแล้ว ท้งั ๆทพี่ วกเจ้า
รังเกียจมนั ”
จากอายะน้ีอลั ลอฮ์ ไดก้ ล่าวถงึ สภาพของผทู้ ่ีนินทา เปรียบเหมือนกบั ผทู้ ี่กดั กิน
ซากศพของพี่นอ้ งของเขาซ่ึงมนั เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงอยา่ งยงิ่
ความหมายของการนินทา
ทา่ นอิหม่าม อนั นะวาวีย์ ไดใ้ ห้ความหมายของการนินทาไวว้ า่ การนินทา คือ การที่คน
คนหน่ึงไดก้ ล่าวถึงพี่นอ้ งของเขา ในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่วา่ ในเรื่องของร่างกาย นิสยั ใจคอ
ทรัพยส์ ินสมบตั ิ ลูกๆ และภรรยาของเขา หรือแมก้ ระทง่ั การเคลื่อนไหว ไมว่ า่ จะทาให้เขาไม่
พอใจดว้ ยกบั คาพดู หรือ แสดงดว้ ยการกระทา
ดุอาอ์ท่อี ลั ลอฮ์ทรงตอบรับ
ช่วงเวลา
- ช่วงสุดทา้ ยของกลางคืน - 2 ชม. ก่อนละหมาดศบุ ฮิ (เวลาสะฮรั ช่วงดึก) ละหมาดกลางคืนแลว้ กล่าว
อสั ตฆั ฟิ รุลลอฮฺจนกระทง่ั ละหมาดศุบฮิ
- ช่วงเวลาหน่ึงในวนั ศุกร์ (มี 40 ทศั นะ)
- เดือนรอมฎอน (สิบคืนสุดทา้ ย คืนคี่ ลยั ละตุล้ กอ็ ดร)
- ช่วงอะซาน
- ช่วงที่มสี งครามในหนทางของอลั ลอฮฺ (กาลงั ญิฮาด)
- ช่วงสุดทา้ ยของละหมาดฟัรฎู (ก่อนหรือหลงั สลาม)
- ขณะสุญูด
- ขณะครองเอียะหฺรอมไปทาฮจั ญฺ(และอุมเราะฮฺ)
- ท่ีทุ่งอะเราะฟะฮฺ, ขวา้ งเสาหิน
ดุอาอฺมุสตะญาบของคนบางประเภท
-- ดุอาอฺสามประเภทที่อลั ลอฮฺไม่ปฏเิ สธ (ดุอาอฺของพอ่ , ผถู้ อื ศลี อด, ผเู้ ดินทางไกล)
-- สามดุอาอฺที่อลั ลอฮฺตอบรับไมม่ ีขอ้ สงสยั คือ ผถู้ ูกอธรรม, คนเดนิ ทางไกล, บิดา(และมารดา)ขอใหแ้ ก่ลูก
-- สามดุอาอฺท่ีอลั ลอฮฺตอบรับไม่มขี อ้ สงสยั คือ ผถู้ ูกอธรรม, คนเดินทางไกล, ดุอาอฺของพอ่ ต่อลกู (ดุอาอฺ
แช่งลูก)
การอธรรม
ความหมายของ การอธรรม
ความหมายทางดา้ นบทบญั ญตั ิ การอธรรม คือการวางส่ิงหน่ึงท่ีไม่ใช่ที่ของมนั และการไปละเมดิ สิทธิของ
ผอู้ ืน่ และเลยขอบเขตของบทบญั ญตั ิ
ความสาคญั ในการหา้ มจากการอธรรม
แทจ้ ริงการอธรรม บ้นั ปลายของมนั เป็นสิ่งท่ีเลวร้าย และความอธรรมจะไม่เกิดข้ึนเวน้ แต่จากผทู้ ่ีมีจติ ใจที่ชว่ั
ร้าย และผลลพั ธข์ องการอธรรมเป็นส่ิงท่ีมีโทษอยา่ งยงิ่ ท้งั การมชี ีวติ ในโลกน้ี และโลกหนา้ และเมอื่ ความ
อธรรมไดเ้ กิดข้ึนอยา่ งกวา้ งขวางในสงั คม มนั จะเป็นสาเหตุความจาเริญต่างๆหายไป และความดีจะนอ้ ยลง
และโรคต่างๆ ความอดยากก็แพร่กระจาย
ความอธรรมเป็นส่ิงที่ถกู รังเกียจสาหรับคนทุกคน และผลลพั ธข์ องความอธรรมมโี ทษอยา่ งยง่ิ และจะเป็นสิ่ง
เลวร้ายยง่ิ กวา่ หากการอธรรมเกิดจากผปู้ กครอง ต่อบรรดาประชาชนของพวกเขา เนื่องจากการขจดั ความ
อธรรมจากผปู้ กครองมนั เป็นเร่ืองยาก เนื่องจากผปู้ กครองเขามีอานาจพลพรรคมากมาย และแทจ้ ริงสิ่งสาคญั
ที่ประชาชาชนผถู้ ูกปกครองพงึ ไดร้ ับสิทธิจากผปู้ กครอง คือ การที่ผปู้ กครองไดข้ จดั ความอธรรมใหแ้ ก่พวก
เขา และปกป้องคนอ่อนแอจากการข่มเหงของผทู้ ี่เขม้ แข็งกว่า และดว้ ยเหตุน้ีท่านอาบูบกั รฺ อซั ซิดดีกไดก้ ลา่ ว
ไว้ ขณะที่ท่านไดร้ ับตาแหน่งคอลฟี ะห์ ((ผทู้ ่ีออ่ นแอในหมพู่ วกเจา้ สาหรับฉนั แลว้ เขาคือผทู้ ี่เขม้ แขง็
จนกระทง่ั ฉนั ไดใ้ หส้ ิทธิแก่เขา และคนเขม้ แข็งในหมพู่ วกเจา้ สาหรับฉนั แลว้ เขาคือผทู้ ่ีออ่ นแอ จนกระทงั่
ฉนั ไดม้ อบสิทธิใหแ้ ก่เขา เช่นน้นั แหละที่ท่านไดก้ ล่าวไว้
และการอธรรมของผปู้ กครองน้นั จะนาใหบ้ ริวารของผปู้ กครองจะกลายเป็นผทู้ ่ีอธรรมเช่นเดียวกนั
การอธรรมประเภทต่างๆ
การอธรรมมีสามประเภท
1.การอธรรมระหวา่ งมนุษยก์ บั อลั ลอฮฺ และการอธรรมต่ออลั ลอฮฺที่เป็นการอธรรมยง่ิ กค็ ือการปฏเิ สธ และ
ต้งั ภาคี กลบั กลอกต่อพระองค
2.การอธรรมที่เกิดระหวา่ งมนุษยด์ ว้ ยกนั
3.การอธรรมของมนุษยท์ ่ีมีตอ่ ตวั ของเขาเอง มที่เกิดบางคนในหมพู่ วกเขาเป็นผอู้ ธรรมแก่ตวั เอง
สูเราะฮฺ ฟาฏริ อายะห์ที่ 32
สรุปแลว้ การอธรรมท้งั สามประเภทในความเป็นจริง กค็ ือการอธรรมต่อตวั เอง เพราะว่ามนุษยเ์ ม่อื สิ่งแรกที่
เขาใหค้ วามสาคญั คือการอธรรม มนั ก็คือการอธรรมต่อตวั เอง
ฮุกุม(ขอ้ ตดั สิน)ในเร่ืองการอธรรม และหลกั ฐานในเร่ืองน้ี
การอธรรมเป็นส่ิงท่ีตอ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั ิอสิ ลาม โดยที่อิสลามไดห้ า้ มการอธรรม และเป็นการเนน้ ย้าใน
เรื่องการหา้ มอธรรมเป็นอยา่ งมาก และไดข้ ่สู าทบั โทษแก่ผทู้ ี่อธรรมวา่ เขาจะไดร้ ับโทษอนั เจ็บแสบในวนั กิ
ยามะห์ อลั ลอฮฺมหาบริสุทธ์ิยงิ่ เป็นผทู้ ี่ปราศจากความอธรรม โดยที่พระองคห์ า้ มการอธรรมแกต่ วั ของ
พระองคเ์ อง และพระองคย์ งั กาหนดการอธรรมระหวา่ งบรรดามนุษยน์ ้นั เป็นส่ิงท่ีตอ้ งหา้ ม
หะดีษท่ีรายงานโดย อะบีซรั รอฎิยลั ลอฮูอนั ฮู จากท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮูอะลยั อิวะสลั ลมั
ในส่ิงท่ีท่านไดร้ ายงานมนั จากพระเจา้ ของท่าน ผทู้ รงสูงส่ง แทจ้ ริงพระองคก์ ล่าวว่า (โอป้ วงบ่าวของฉนั
แทจ้ ริงฉนั ไดห้ า้ มการอธรรมแก่ตวั ฉนั เอง และไดก้ าหนดมนั เป็นสิ่งท่ีตอ้ งหา้ มในระหวา่ งพวกเจา้ ดงั น้นั
พวกเจา้ อยา่ ไดอ้ ธรรมซึงกนั และกนั )
บนั ทึกโดย มสุ ลิมระหวา่ งมนุษยด์ ว้ ยกนั
คคุณธรรมต่อเพ่อื นบ้านกับคาสอนอสิ ลาม
อสิ ลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมการอยรู่ ่วมกบั สงั คมเพอื่ นบา้ น โดยมคี ุณธรรมต่อกนั และกนั หา้ มสร้างความ
เดือดร้อนแก่เพอื่ นบา้ น ( ) ِج ْي َرا ٌنซ่ึงคาวา่ ( ) ِج ْي َرا ٌنหรือเพื่อนบา้ นตามหลกั การอสิ ลามมอี ยสู่ ามประเภท
ดว้ ยกนั
ประเภทที่ 1 เพือ่ นบา้ นที่เป็นมุสลมิ และเป็นเครือญาติใกลช้ ิด เขาตอ้ งไดร้ ับสิทธิสามประการดงั ต่อไปน้ี คือ
สิทธิของการเป็นเพ่อื นบา้ น สิทธิของความเป็นมสุ ลมิ และสิทธิของความเป็นเครือญาติ
ประเภทที่ 2 เพือ่ นบา้ นที่เป็นมสุ ลมิ เขาตอ้ งไดร้ ับสิทธิสองประการ คือสิทธิความเป็นมุสลมิ และสิทธิของ
ความเป็นเพือ่ นบา้ น
ประเภทที่ 3 เพือ่ นบา้ นท่ีมิใช่มสุ ลมิ เขาไดร้ ับสิทธิหน่ึงประการ คือใหแ้ สดงความมคี ุณธรรมแก่เขาในฐานะ
ความเป็นเพือ่ นบา้ น
ไดม้ รี ายงานท่ีบนั ทกึ โดยท่านบุคอรียแ์ ละมสุ ลมิ จากอบูฮุรอยเราะหว์ า่ ความวา่ “แท้จริงนบีมฮุ าหมดั (ศ็อล
ฯ) กล่าวว่า ขอสาบานต่ออลั ลอฮ์ว่า ไม่ถือว่าเขามอี หี ม่านอย่างสมบูรณ์ ขอสาบานต่ออลั ลอฮ์ว่า ไม่ถือว่าเขาอี
หม่าน อย่างสมรบูรณ์ ขอสาบานต่ออลั ลอฮ์ว่า ไม่ถือว่าเขาอหี ม่านอย่างสมบูรณ์ จงึ มี ซอฮาบะห์ท่านหนงึ่
ถามว่า ใครกนั โอ้ท่านร่อซู้ลซอลลลั ลอฮุอะลยั ฮวิ ะซัลลมั ท่านร่อซู้ลซอลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะซัลลมั จงึ กล่าว
ตอบว่า คือเพ่อื นบ้านของเขาไม่ได้รับความปลอดภยั จากความช่ัวร้ายของเขา”
มารยาทต่อบิดามารดา
จงปฏิบตั ิดีต่อบิดามารดา เพราะการกระทาเช่นน้ีเป็นเสมอื นกบั การไดร้ ับความโปรดปรานจากท้งั ในโลกน้ี
และโลกหนา้ อสิ ลามถอื ว่า ถดั จากอลั ลอฮและศาสทูตของพระองคแ์ ลว้ มนุษยม์ ภี าระหนา้ ท่ีอนั ยง่ิ ใหญ่ที่
จะตอ้ งปฏบิ ตั ิดีต่อบิดามารดาของตน ความยง่ิ ใหญ่และคุณค่าของภาระหนา้ ท่ีที่จะตอ้ งมตี ่อบิดามารดาน้นั เรา
จะเห็นไดจ้ ากการที่คมั ภีร์กรุ อานไดก้ ลา่ วถึงสิทธิของบิดามารดา และสิทธิของอลั ลอฮไวพ้ ร้อมๆกนั ในหลาย
แห่ง ยงิ่ ไปกวา่ น้นั คมั ภีร์กรุ อานยงั ไดก้ าหนดหนา้ ท่ีการปฏบิ ตั ิต่อบิดามารดาไวค้ วบคูก่ บั การขอบคณุ
ต่ออลั ลอฮดว้ ย
1. จงราลึกถึงพระคุณบิดามารดาเสมอฐานะที่ท่านท้งั สองเป็นผใู้ หก้ าเนิดและเล้ยี งดูเรามาจนกระทงั่
เจริญเติบโตตลอดช่องเวลาน้ีท่านตอ้ งใหค้ วามรกั ความเสียสละและเหน็ดเหน่ือยเป็นอยา่ งมาก ดว้ ยเหตุน้ี
เองอลั ลอฮจึงไดท้ รงกลา่ วว่า "จงขอบคณุ ฉันและจงราลกึ ถงึ พระคุณของบดิ ามารดาของเจ้า"
2. จงพยายามทาใหบ้ ิดามารดามคี วามสุขอยเู่ สมอ อยา่ พดู อะไรที่ทาใหท้ ่านท้งั สองไมส่ บายใจโดยเฉพาะ
เมื่อตอนท่ีท่านท้งั สองอยใู่ นวยั ชราอนั เป็นวยั ท่ีออ่ นแอและทาใหท้ ่านเรียกร้องสิ่งน้นั สิ่งน้ีจนเราอาจเกิด
ความราคาญ ขอใหเ้ ราอดทน และนึกถึงเมื่อตอนท่ีเรายงั เป็นเด็ก เรามีสภาพท่ีไมม่ ีอะไรแตกต่างไปจาก
สภาพของบิดามารดาเมื่อตอนอยใู่ นวยั ชรา ดงั น้นั เมือ่ บิดามารดาเรียกร้องขอใหท้ าอะไรกจ็ งอยา่ ใชค้ าพดู ที่
ทาใหท้ ่านมีความรู้สึกเจบ็ ปวดนอ้ ยใจ
3. จงรับใชบ้ ิดามารดาของท่านดว้ ยหวั ใจและวญิ ญาณหากพระเจา้ ใหโ้ อกาสท่านรับใชบ้ ิดามารดาท่านก็
ควรจะยนิ ดีท่ีพระองคท์ รงโปรดประทานโอกาสใหแ้ ก่ท่านท่ีจะเขา้ สวรรค์ และความโปรดปรานจาก
พระองค์ การไดร้ ับใชบ้ ิดามารดาจะทาใหท้ ่านไดร้ ับความเจริญท้งั ในโลกน้ีและโลกหนา้
การมจี รรยามารยาทที่ดตี ่อเพ่อื นมนุษย์
การมจี รรยามารยาทที่ดีน้นั คือ การงดเวน้ การกระทาท่ีเป็นอนั ตราย การทุ่มเทแจกจ่าย และการมใี บหนา้
ยมิ้ แยม้ แจ่มใส
„ ข้อทีห่ นง่ึ : การงดเว้นการกระทาที่เป็ นอนั ตราย
หมายถงึ บุคคลผนู้ ้นั จะตอ้ งไมเ่ ป็นพิษเป็นภยั ไม่วา่ จะทางดา้ นทรัพยส์ ินหรือชีวิตร่างกาย หรือ
เกียรติยศชื่อเสียงของเพื่อนมนุษย์ ดงั น้นั ใครที่ไมง่ ดเวน้ การกระทาที่เป็นอนั ตรายต่อเพ่อื นมนุษย์ เขาเป็นผู้
ท่ียงั ไมม่ จี รรยามารยาทที่ดีงาม หากแต่จะเป็นคนที่นบั วา่ มจี รรยามารยาททตี่ ่าทราม
แทจ้ ริงแลว้ ท่านร่อซูล ไดป้ ระกาศหา้ มดงั กลา่ วน้นั ในท่ีชุมชนที่สาคญั ยง่ิ คร้ังหน่ึง ณ ท่ีน้นั
บรรดาประชาชาติของท่านรวมกนั อยู่ ท่านไดป้ ระกาศว่า :
“แท้จริงเลอื ดเนื้อของพวกท่าน ทรัพย์สินของพวกท่านเกยี รตยิ ศชื่อเสียงของพวกท่านเป็ นทตี่ ้องห้าม
เช่น การต้องห้ามในวนั ของพวกท่านวนั นี้ ในเดือนของพวกท่านเดือนนี้ และในบ้านเมืองของพวกท่านน”ี้
ดงั น้นั หากมคี นหน่ึงคนใดรุกรานคนอน่ื โดยการเอาทรัพยส์ ินรุกรานคนอน่ื โดยการ
หลอกลวง รุกรานคนอ่ืนดว้ ยการฉอ้ โกงหลอกลวงรุกรานคนอืน่ ดว้ ยการตบตีและทาร้าย หรือการด่าทอ
นินทาวา่ ร้ายดว้ ยสิ่งเป็นเท็จ คนประเภทน้ีคือ ผทู้ ่ีขาดการมีจรรยามารยาททด่ี ีงามกบั เพ่ือนมนุษย์ เพราะเขา
ไมง่ ดเวน้ การกระทาท่ีเป็นอนั ตรายต่อเพอื่ นมนุษยเ์ ป็นบาปท่ียงิ่ ใหญ่จากการกระทาน้นั เพราะแต่ละคร้ังที่
ไปกระทากบั คนที่มสี ิทธิอยา่ งหน่ึงจากท่าน โทษหรือบาปก็จะยงิ่ ใหญ่มาก เช่น การประพฤติไม่ดตี ่อบิดา
มารดา จะมีบาปใหญ่ยง่ิ กว่าการการะทาไม่ดีต่อคนอ่นื มาก หรือการกระทาไม่ดีต่อญาติพ่นี อ้ งท่ีใกลช้ ิด จะ
มบี าปใหญ่กวา่ การกระทาไม่ดีต่อคนท่ีห่างไกลออกไป หรือการกระทาไมด่ ีต่อเพือ่ นบา้ นใกลช้ ิด จะเป็น
บาปใหญ่กว่าคนที่ไม่ใช่เพอื่ นบา้ นใกลช้ ิดกบั ท่าน
ดว้ ยเหตุน้ี ท่านนบี ไดก้ ล่าวไวว้ ่า
“สาบานด้วยนามอลั ลอฮฺ ว่าเขายงั ไม่มอี มี าน,
สาบานด้วยนามอลั ลอฮฺ ว่าเขายงั ไม่มอี มี าน,
สาบานด้วยนามอลั ลอฮฺ ว่าเขายงั ไม่มอี มี าน,
“คนทเ่ี พอื่ นบ้านของเขาไม่ ได้รับความปลอดภัยจากเขา”
(บนั ทึกโดยบุคอรีย)์
„ ข้อทส่ี อง : การทุ่มเทบริจาค
หมายถึง การหยบิ ยนื่ ทรัพยส์ ินหรือขา้ วของเครื่องใช้ การแสดงว่าใจบุญน้นั มใิ ช่เพยี งแค่การแจกจ่าย
ทรัพย์ หาเป็นเช่นน้นั ไม่ การใจบุญยงั มคี วามหมายรวมถึง การเสียสละท้งั ชีวติ จิตใจ หรือสละท้งั อานาจ
บารมแี ละทรัพยส์ ิน หรือเมื่อพบเห็นผทู้ ่ีจะสามารถช่วยจดั การธุระให้ หรือช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ต่อการ
งานใหก้ บั บุคคลผทู้ ี่ไม่สามารถทาเองได้ และพยายามสอนความรู้ความชานาญงานของตนใหผ้ คู้ นทราบ
หรือช่วยดว้ ยกบั ทรัพยส์ ินทต่ี นมีอยนู่ ้นั แทจ้ ริงแลว้ เขาผนู้ ้นั คือ คนที่มีจรรยามารยาทท่ีดี เพราะเขาไดท้ ุ่มเท
เสียสละแลว้ ซ่ึงความมนี ้าใจ
ดงั ที่ ท่านนบี ไดก้ ลา่ วไวว้ า่
“ท่านจงยาเกรงอลั ลอฮฺ ณ ทีใ่ ดกต็ ามท่ีท่านอย่แู ละจงทาความดีตดิ ตามความช่ัวมนั จะได้ลบล้างกนั และจง
อยู่ร่วมกบั ผ้คู นด้วยจรรยามารยาททดี่ งี าม”
ส่วนหน่ึงของการมีจรรยามารยาทดี คือ เมอ่ื ท่านโดนข่มเหงรังแกหรือโดนกระทาท่ีไมด่ ีแลว้ ท่านก็
ใหอ้ ภยั ไม่ถอื โทษ ดงั ท่ีอลั ลอฮฺ ไดท้ รงกล่าวบรรดา ผไู้ มถ่ ือโทษผคู้ นท้งั หลาย และไดต้ รัสไวเ้ กี่ยวกบั
ชาวสวรรค์ จากซูเราะฮฺ อาละอิมรอน 134 ว่า :
“คือบรรดาผู้ทีบ่ ริจาคท้งั ในยามสุขสบายและในยามเดือดร้อน และบรรดาผ้ขู ่มโทษะ และบรรดาผู้ให้อภยั
แก่เพอ่ื นมนษุ ย์และอลั ลอฮฺ ทรงรักผู้กระทาดที ้งั หลาย”
พระองคท์ รงตรัสใน ซูเราะฮฺ อลั บะเกาะเราะฮฺ อายะฮ์ ท่ี 237 วา่
“...และการทีพ่ วกเจ้าจะให้อภยั น้ัน เป็ นส่ิงทใ่ี กล้กบั ความยาเกรงมากกว่า”
และตรัสในซูเราะฮฺอซั ซูรอ อายะฮฺที่ 40 วา่ :
“...แต่ผ้ใู ดอภยั และไกล่เกลยี่ คืนดกี นั รางวลั ตอบแทนของเขาอยู่ทอ่ี ลั ลอฮฺ”
ดงั น้นั บุคคลท่ีมกี ารพบปะติดต่อกบั บุคคลอน่ื ๆ จะพบวา่ ผคู้ นท้งั หลายมีบางส่วนอยบู่ า้ งที่ทาไม่
ดี ซ่ึงจุดยนื ของเขากบั ความไมด่ ีเหลา่ น้นั คือ การที่ไมถ่ ือโทษและใหอ้ ภยั ไม่โกรธเคือง และยงั แสดงออก
กบั ส่ิงที่ดีงามแลว้ การเป็นศตั รูกนั จะกลบั กลายเป็นมติ ร ก่อใหเ้ กิดความใกลช้ ิดความรักปกป้องซ่ึงกนั และ
กนั ดงั ที่อลั ลอฮ์ ตรัสไวใ้ น ซูเราะฮฺฟศุ ศิลตั อายะฮท์ ี่ 34 ว่า :
“และความดกี บั ความชั่วน้ันหาเท่าเทยี มกนั ไม่เจ้าจงขบั ไล่ความชั่วด้วยส่ิงที่มนั ดีกว่า
แล้วเมือ่ ผ้ทู ีร่ ะหว่างเจ้า กบั ระหว่างเขาเคยเป็ นอริกนั กจ็ ะกลบั กลายเป็ นเยย่ี งมติ รท่สี นทิ กนั ”
ดงั น้นั ท่านที่รู้ภาษาอาหรับท้งั หลายจงพิจารณาถงึ ผลที่ตามติดในทนั ใดน้นั เนื่องจากคาวา่ : อซิ า ที่ช้ี
ถงึ วา่ จะเกิดผลในทนั ใดจากการกระทา
“...แล้วเมื่อน้ันผ้ทู ร่ี ะหว่างเจ้ากบั ระหว่างเขาเคยเป็ นอรกิ นั กจ็ ะกลบั กลายเป็ นเยย่ี งมติ รท่ีสนทิ กนั ”
แต่กม็ ใิ ช่ทุกคนจะประสบความสาเร็จเสียไปท้งั หมด ดงั ท่อี ลั ลอฮฺ ตรัสในซูเราะฮฺฟศุ ศลิ ตั อายะฮฺท่ี 35 ว่า
“และไม่มผี ้ใู ดได้รับมนั (คุณธรรมดงั กลา่ ว) นอกจากบรรดาผู้อดทน และจะไม่มผี ้ใู ดได้รับมนั นอกจากผู้ที่
มโี ชคลาภอนั ใหญ่หลวง”
จากเร่ืองน้ี ทาใหเ้ ราเขา้ ใจวา่ การอภยั หรือยกโทษใหแ้ ก่ผกู้ ระทาผดิ จะดีหรือถูกตอ้ งหรือสมควร
ไดร้ ับการชมเชยท้งั หมด และมีการส่งเสริมใชใ้ หท้ าหรือไม่ ? บางคร้ังก็อาจจะมคี วามเขา้ ใจเช่นน้นั ได้ ตาม
อายะฮด์ งั กล่าว จาตอ้ งรับทราบไวว้ า่ ในการใหอ้ ภยั หรือยกโทษน้นั จะไดร้ ับการชมเชย ต่อเม่ือการใหอ้ ภยั
หรือการยกโทษน้นั ดกี วา่ แต่กรณีที่การกระทาความผดิ น้นั หากว่าการลงโทษดีกว่าการไม่ลงโทษแลว้ ส่ิงที่
สมควรไดร้ ับการชมเชย คือ การตดั สินลงโทษยอ่ มจะดีกว่าการไม่ลงโทษ แน่นอนดว้ ยเหตุน้ี อลั ลอฮฺ ได้
ตรัสไวใ้ น ซูเราะฮฺอซั ซูรอ อายะฮท์ ่ี 40 ว่า :
“...แต่ผ้ใู ดอภยั และไกล่เกลยี่ คืนดีกนั รางวลั ตอบแทนของเขาอยู่ทอ่ี ลั ลอฮฺ....”
อลั ลอฮฺ ไดท้ รงเอาการอภยั รวมไวก้ บั การไกลเ่ กล่ยี เพราะการอภยั น้นั เป็นไปไดใ้ นบางกรณี แต่บาง
กรณีไม่สมควรไดร้ ับการ รอมชอม ลดหยอ่ น เพราะคนที่ทาร้ายท่านน้นั ล่วงละเมิด โดยท่ีรูก้ นั ดีอยแู่ ลว้ ว่า
บุคคลผนู้ ้นั เป็นคนชวั่ ชา้ เลวทรามโหดเห้ียม หากท่านอภยั ใหเ้ ขากย็ ง่ิ เหิมเกริมอยใู่ นความชวั่ ความเลวน้นั
ต่อไป วิธีที่ดีสาหรับกรณีเช่นน้ีแลว้ สมควรจะตอ้ งลงโทษผทู้ ่ีทาร้ายดีกวา่ การไมล่ งโทษ เพราะการลงโทษ
น้นั เป็นการแกไ้ ขปรับปรุง
เชคคลุ อสิ ลาม อบั นุตยั มยี ะฮฺ (ขออลั ลอฮฺ ทรงเมตตาท่าน) ไดก้ ล่าวว่า
“การปรับปรุงแก้ไขนั้น เป็นเรื่องจาเป็น (วาญิบ) ส่วนการอภยั น้นั เป็นเรื่องสมคั รใจ ถ้าการให้อภัย
จะทาให้การปรับปรุงแก้ไขต้องสูญเสียโอกาสไป กห็ มายความว่า เราได้นาการกระทาท่ีเป็นเรื่องสมคั รใจ
มาทาและละทิง้ สิ่งที่เป็นวาญิบในเร่ืองนี้ ทางบัญญัติของศาสนาไม่ส่งเสริมให้ทาเขาได้พูดเอาไว้ถกู ต้อง
แล้ว”
อีกประเดน็ หน่ึงท่ีใคร่ขอตกั เตือน ซ่ึงผคู้ นส่วนมากทากนั โดยมีจุดประสงคใ์ นการทาดี คือ เมื่อมี
อบุ ตั ิเหตุเกิดข้ึนกบั คนใดคนหน่ึงแลว้ จาเลยผเู้ ป็นตน้ เหตุใหค้ นอื่นเสียชีวติ ไป ต่อมาบรรดาทายาทของผตู้ าย
ท่ีมายกเรื่องค่าสินไหมให้ โดยใหอ้ ภยั กบั จาเลยท่ีทาใหเ้ กิดเหตุน้นั ดงั การยกใหไ้ ม่เอาสินไหมจะถอื ว่าเป็น
เร่ืองของการมีจรรยาท่ีดีหรือไมน่ ้นั ในประเดน็ ดงั กล่าวตอ้ งมีการพจิ ารณารายละเอยี ดประกอบการตดั สินใจ
ดงั น้ี
เราจะตอ้ งพิจารณาใหร้ อบคอบวา่ สภาพของจาเลยท่ีกระทาผดิ ท่ีไดท้ าใหเ้ กิดอุบตั ิเหตุข้ึน ว่าเขาเป็น
บุคคลประเภทที่เป็นคนใจร้อนประมาทขบั รถเร็ว โดยไม่สนใจวา่ การกระทาของตนจะสร้างความเสียหาย
ใหก้ บั บุคคลอืน่ หรือเป็นคนประเภทท่ีไมห่ วนั่ เกรงภยนั ตรายใดๆ จะเกิดข้ึน ขอความคุม้ ครองจากอลั ลอ
ฮฺ ใหพ้ น้ ภยั ดว้ ยเถดิ หรือเขาคิดวา่ ถา้ ชนใครแลว้ เขาก็มีเงนิ จ่ายค่าสินไหมได้ หรือวา่ เขาเป็นบุคคลอีก
ประเภทหน่ึงท่ีทาใหเ้ กิดอุบตั ิเหตุคร้ังน้ี ท้งั ๆ ท่ีเขาเป็นคนท่ีรอบคอบและระมดั ระวงั แลว้ แต่อลั ลอฮฺ ไดท้ รง
กาหนดทกุ ส่ิงท่ีเกิดเอาไวแ้ ลว้
ถา้ อบุ ตั ิเหตุเกิดในลกั ษณะท่ีบุคคลประเภทหลงั ก็สมควรใหอ้ ภยั ในส่วนสิทธิแก่เขายงิ่ กว่าการเอา
เรื่อง ขณะเดียวกนั จะตอ้ งพิจารณาประกอบอยา่ งละเอยี ด แมจ้ ะเป็นบุคคลประเภทหลงั ก่อนท่ีจะใหอ้ ภยั
จะตอ้ งตรวจสอบว่า ผทู้ ่ีเสียชีวิตเนื่องจากโดนอบุ ตั ิเหตุน้นั เขามีหน้ีสินหรือไม่? ถา้ ผเู้ สียชีวิตมหี น้ีสินที่เขา
ไม่มีทางใชไ้ ดห้ มด นอกจากตอ้ งเอาค่าสินไหมไปชดใชเ้ ทา่ น้นั ในกรณีเช่นน้ี การไมใ่ หอ้ ภยั เป็นการ
ดีกวา่ เพราะเรื่องหน้ีสินน้นั จาเป็นตอ้ งชดใชก้ ่อนแบ่งมรดก และถา้ มีการใหอ้ ภยั กไ็ ม่สามารถลา้ งหน้ี
ได้ ผคู้ นจานวนมากมกั จะมองขา้ มรายละเอยี ดในเรื่องน้ีไป เราจึงขอบอกเร่ืองดงั กลา่ วน้ี แก่กล่มุ ของบรรดา
ทายาท และพน่ี อ้ งท่ีจะรับสิทธิจากค่าสินไหมแทนผเู้ สียชีวิตที่ประสบอบุ ตั ิเหตุวา่ พวกเขาจะไม่มสี ิทธิใน
สินไหม เวน้ แต่หลงั จากการใชห้ น้ีแลว้
ดงั ที่ อลั ลอฮฺ ไดท้ รงตรัสเรื่องมรดกในซูเราะฮฺ อนั นิซาอฺ อายะฮท์ ่ี 11 ว่า
“...หลงั จากพนิ ัยกรรมทีเ่ ขาได้สั่งเสียมนั ไว้หรือหลงั จากหนีส้ ิน...”
สรุปได้ว่า การมจี รรยามารยาทที่ดี คือ การไม่ถือโทษโกรธเคืองผ้คู นท่ัวไป และเป็นเร่ืองของการ
ทุ่มเทให้หรือยกโทษให้ไม่เอาโทษ และการอภัยกเ็ ป็นส่วนหนึ่งของการยกโทษไม่เอาเรื่อง
„ ข้อที่สาม การมใี บหน้าที่ยมิ้ แย้มแจ่มใส
หมายถึง บุคคลผนู้ ้นั จะตอ้ งมใี บหนา้ ที่ยมิ้ แยม้ แจ่มใส ตรงกนั ขา้ มกบั การมใี บหนา้ บ้ึงตึงดว้ ยเหตุน้ี ท่านน
บี ไดก้ ล่าวไวว้ า่
“ท่านอย่างได้มองข้ามคุณธรรมอนั เลก็ น้อย แม้แต่การท่ีท่านจะพบปะพนี่ ้องของท่านด้วยใบหน้าทย่ี มิ้ แย้ม”
ดงั น้นั การมใี บหนา้ ที่ยม้ิ แยม้ แจ่มใส ก่อใหเ้ กิดความสบายใจกบั ผทู้ ี่พบปะท่าน เมอื่ หนั มาทางท่านจะ
ทาใหเ้ กิดความรักใคร่สนิทสนมเกิดความปลอดโปร่งโลง่ หวั ใจ และมคี วามเบิกบานกบั ผทู้ ่ีพบปะกบั ท่าน
ลองพิจารณาดูแลว้ จะพบว่าเป็นเร่ืองจริง หากว่าท่านทาหนา้ บึงตึงก็ไม่มใี ครอยากเขา้ มาใกลท้ ่าน หลบหนา้
พน้ ไปจากท่าน และไม่สบายใจที่จะนงั่ ร่วมกบั ท่าน หรือในการพดู คุยกบั ท่าน หรือบางคร้ังท่านท่ีเป็นโรค
ความดนั โลหิตอยกู่ อ็ าจเป็นอนั ตรายได้
เป็นความจริงท่ีว่าการทาใหอ้ ารมณ์แจ่มใสมีใบหนา้ ยม้ิ แยม้ น้นั เป็นผลดีต่อการรักษาใหพ้ น้ จากโรค
ความดนั โลหิต ดว้ ยเหตุน้ีบรรดาแพทยจ์ ึงไดก้ าชบั ผปู้ ่ วย ควรจะอยหู่ ่างไกลส่ิงยว่ั ยหุ รือการมอี ารมณ์
โกรธ เพราะการอยใู่ นสภาพเช่นน้ี เป็นการเพ่มิ โรคความดนั โลหิตใหส้ ูงข้ึน ดงั น้นั การมีใบหนา้ ยม้ิ แยม้
แจ่มใส จะบาบดั อาการน้ีไดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะมนุษยเ์ ราเมอื่ มใี บหนา้ ท่ียมิ้ แยม้ กจ็ ะเป็นที่รักใคร่ชอบพอ
ของผทู้ ่ีพบเห็น
ท่ีกล่าวมาทั้งหมดนี้ คือพืน้ ฐานสามข้อ ที่เป็นแกนของการมจี รรยามารยาทดี ในการอย่รู ่ วมกบั ผ้คู นท้ังหลาย
มารยาทท่คี วรมีให้แก่กนั
1. จริงใจเสมอ
ความจริงใจเป็นสิ่งสาคญั ท่ีสุดสาหรับเพ่ือนเลยก็วา่ ได้ เพราะมนั มกั ถกู ใชเ้ ป็นเกณฑใ์ นการวดั ระดบั
ความเป็นเพ่ือนอยเู่ สมอ ส่ิงน้ีไมไ่ ดเ้ ป็นเพียงมารยาทท่ีดีที่ทุกคนพงึ มเี ท่าน้นั แต่ยงั แสดงให้เห็นวา่ เพ่ือน
สามารถไวใ้ จเราไดอ้ กี ดว้ ย
2. ใส่ใจเร่ืองเลก็ ๆ น้อย ๆ
บางคร้ังเราก็ละเลยมารยาทเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ หรือไม่ไดใ้ ส่ใจความรู้สึกของเพื่อนมากที่ควร ยกตวั อยา่ ง
เช่นเร่ืองการยมื เงิน ถงึ แมจ้ านวนเงินจะไม่มากมาย และเพ่ือนกบ็ อกว่าไม่เป็นไร แต่เรากค็ วรจะคืนเงินให้
ครบตามจานวนเพื่อแสดงมารยาทที่ดีและความจริงใจของเราดว้ ย เพราะเราไม่สามารถรู้ไดเ้ ลยว่าวนั หน่ึง
เพอื่ นอาจจะหมดความอดทนกบั นิสยั เสีย ๆ ของเราจนเลิกคบไปเลยกไ็ ด้
3. รู้จกั เกรงใจ
เช่นเดียวกบั ขอ้ ท่ีแลว้ บางคนอาจคิดว่าเป็นเพ่ือนสนิทกนั ไมต่ อ้ งแคร์กนั มากก็ได้ จนบางทีเราก็
พดู จากนั ไมด่ ี ไม่ใหเ้ กียรติกนั ซ่ึงอาจทาร้ายความรู้สึกเพ่ือนโดยไม่รู้ตวั รอยร้าวเลก็ ๆ อยา่ งน้ีอาจ
กลายเป็นปัญหาใหญ่ท่ีทาลายมติ รภาพได้ เพราะฉะน้นั จาไวเ้ สมอว่า ยงิ่ สนิท ยิ่งตอ้ งรู้ใจและนึกถงึ ใจ
เพ่อื นให้มาก
ในวนั ที่เราเจอปัญหา นอกจากครอบครัวแลว้ ก็มเี พ่อื นน่ีแหละที่คอยช่วยเหลือเราตลอด เราจึง
ตอ้ งปฏิบตั ิต่อเพ่ือนใหด้ ีและนึกถงึ ใจกนั อยเู่ สมอ เพื่อให้มติ รภาพดี ๆ สามารถอยตู่ ่อไปไดย้ าวนาน
จงทาดตี ่อเพ่ือนบ้าน
เพ่ือนบา้ นคือ ผทู้ ี่มบี า้ นเรือนอยใู่ กลก้ นั หรืออยหู่ ่างกนั ผเู้ ป็นเพอื่ นบา้ นกม็ ีสิทธิที่จะไดร้ ับจากเรา
และเราก็มีหนา้ ที่ท่ีจะตอ้ งปฏิบตั ิต่อเพ่ือนบา้ นดว้ ยมารยาทที่ดี อสิ ลามไดส้ ่งเสริมเรื่องน้ีเสมอ
"และจงเคารพสักการะอลั ลอฮ์เถดิ และอย่าให้มสี ่ิงหนงึ่ สิ่งใดเป็ นภาคกี บั พระองค์ และจงทาดีต่อผู้
บังเกดิ เกล้าท้ังสองและต่อผู้เป็ นญาตทิ ใ่ี กล้ชิด และเด็กกาพร้าและผู้ขดั สน และเพื่อนบ้านใกล้เคยี งและเพื่อน
ที่ห่างไกล และเพื่อนเคยี งข้าง และผ้เู ดินทาง และผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง แท้จริงอลั ลอฮ์ ไม่ทรง
ชอบผู้ยะโส ผู้โอ้อวด”
มหี ะดีษกล่าวถึงดงั ต่อไปนี้
"ผ้ใู ดศรัทธาต่ออลั ลอฮแฺ ละวนั อาคเิ ราะฮฺ เขากจ็ งให้เกยี รตเิ พื่อนบ้านของเขา"( บนั ทกึ โดย บุคอรี และมสุ ลมิ )
มารยาทที่มุสลมิ จะต้องปฏิบตั ติ ่อเพ่ือนบ้าน ได้แก่ :
- จะตอ้ งทาดกี บั เพอ่ื นบา้ น ใหก้ ารชว่ ยเหลอื เขา ไปเยย่ี มเขาเมอื่ เขาเจบ็ ป่ วย แสดงความยนิ ดกี บั เขา
เมอื่ เขาไดร้ ับสิ่งที่ดี แสดงความเสียใจและปลอบใจเขา เม่อื เขาประสบทุกขภ์ ยั และไดร้ ับความเดือดร้อน ให้
กาสนบั สนุนเขา พดู จากบั เขาโดยดี
- ใหก้ ารเอ้อื เฟ้ื อเผอื่ แผแ่ ก่เพอื่ นบา้ น ท่านอบูซรั รฎิยลั ลอฮุอนั ฮุ กล่าวว่า แทจ้ ริงมติ รของฉนั คือ
ท่านนบีมฮุ ามดั ศอ็ ลลอฮุอะลยั ฮิวะซลั ลมั ไดส้ ง่ั เสียใหแ้ ก่ฉนั วา่
“เมอื่ ท่านทาแกง กจ็ งใส่น้าแกงใหม้ าก แลว้ ท่านจงมองดูผอู้ ยใู่ นบา้ นจากบรรดาเพอ่ื นบา้ นของท่าน แลว้ จง
มอบแกงส่วนหน่ึงใหแ้ ก่เขา เพอ่ื เขาจะไดร้ ับประทาน” (บนั ทึกโดย มสุ ลมิ )
- ใหเ้ กียรติต่อเพอ่ื นบา้ น มคี วามรู้สึกเกรงอกเกรงใจเขาโดยอยใู่ นหลกั บญั ญตั ิอิสลาม ขณะเดียวกนั ก็
จะตอ้ งใหค้ าแนะนาตกั เตือนกนั ใหเ้ พ่อื นบา้ นไดป้ ฏบิ ตั ิอยใู่ นขอบเขตของบญั ญตั ิศาสนา
มารยาทที่ผขู้ บั รถควรรู้และปฏิบตั ิตอ่ เพอื่ นร่วมทาง
สมยั น้ีการถอยรถยนตส์ กั คนั ออกจากโชวร์ ูมไมใ่ ช่เรื่องยาก แต่ใช่ว่าทกุ คนท่ีมใี บขบั ข่ีและมีรถยนต์ จะขบั
รถยนตไ์ ดถ้ กู ตอ้ งตามกฎจราจร มมี ารยาทในการขบั รถ และใหเ้ กียรติเพอื่ นร่วมทางบนทอ้ งถนน แลว้ มีเร่ือง
อะไรบา้ ง ท่ีผขู้ บั รถควรรู้ ควรนาไปปฏบิ ตั ิกบั เพื่อนร่วมทาง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบตั ิเหตุบนทอ้ งถนน
1. มนี ้าใจต่อเพ่อื นร่วมทาง
ถนนเป็นของสาธารณะท่ีถกู สร้างข้ึนมา เพ่ือใหท้ ุกคนใชร้ ่วมกนั ฉะน้นั คณุ ในฐานะผขู้ บั ขี่คนหน่ึงควร
แสดงน้าใจต่อผทู้ ่ีใชร้ ถใชถ้ นนร่วมกบั เราดว้ ย อาทิ ไมจ่ อดแช่เลนขวา ไมข่ บั รถแซงคิวแทรกเขา้ ตรงเชิง
สะพาน ลดความเร็วเมื่อเขา้ เขตชุมชน (หมบู่ า้ น/ตลาด/โรงเรียน) ไมจ่ อดรถในท่ีหา้ มจอด หรือจอดรถกีด
ขวางการจราจร และที่สาคญั ไม่ควรเร่งเคร่ือง เมื่อเห็นวา่ มีคนรอขา้ มทางมา้ ลาย
2. ใชไ้ ฟสูงหรือไฟตดั หมอก เม่ือมีความจาเป็น
ผขู้ บั ขี่ไม่ควรเปิ ดไฟสูงโดยไมจ่ าเป็น เน่ืองจากแสงไฟจะไปรบกวนเพอื่ นร่วมทอ้ งถนน ส่วนช่วงเวลาที่
ควรใชไ้ ฟสูงน้นั ควรเป็นตอนที่ขบั รถเขา้ สู่ถนนหรือเสน้ ทางที่มีแสงสวา่ งไมพ่ อ
ขณะที่ไฟตดั หมอกน้นั ควรเปิ ดใชใ้ นกรณีที่มหี มอกหรือฝนตกหนกั จนทาใหท้ ศั นะวิสยั ในการมองเห็น
ของผขู้ บั ขี่ต่าลงเท่าน้นั แต่หากพล้งั เผลอเปิ ดไฟตดั หมอกโดยไมจ่ าเป็น แสงไฟอาจไปแยงตาผขู้ บั ข่ีท่ขี บั รถ
สวนเลนมา จนนาไปสู่อบุ ตั ิเหตุ เพราะแสงไฟตดั หมอก มปี ระสิทธิภาพความสวา่ งจากกว่าการเปิ ดไฟสูง
3. ไมค่ วรเหยยี บเบรกบ่อย
เนื่องจากสภาพการจราจรที่คบั คง่ั ในเมอื งกรุง ประกอบกบั ปริมาณรถที่เพิ่มข้ึน ทาใหร้ ถยนตต์ อ้ งค่อย ๆ
เคลื่อนตวั ไปทีละนิด ส่งผลใหร้ ถหลายคร้ังตอ้ งคอยแตะเบรกตลอด ซ่ึงพฤติกรรมเช่นน้ี ไม่ต่างไปจาก
ปฏิกิริยาลูกโซ่ เพราะเม่อื รถคนั หน่ึงเหยยี บเบรก รถท่ีขบั ตามมาก็ตอ้ งเหยยี บเบรกดว้ ยเช่นกนั และ
พฤติกรรมเหยยี บเบรกบ่อย ๆ ยงั อาจทาใหร้ ะบบเบรกของรถคุณเส่ือมสภาพเร็วกว่าปกติ เป็นผลใหร้ ถของ
คุณมีความเส่ียงจะ “เบรกแตก” สูงตามไปดว้ ย
4. ไมค่ วรขบั รถจ้ีทา้ ยรถคนั หนา้
การขบั รถแบบจ้ีทา้ ยคนั หนา้ เส่ียงต่อการชนทา้ ยเป็นอยา่ งมาก และหากเกดิ ข้ึนผทู้ ี่ขบั รถชนทา้ ยมกั จะเป็น
ฝ่ ายผดิ ฉะน้นั คุณควรเวน้ ระยะห่างจากรถคนั หนา้ ตามระยะเบรกที่ปลอดภยั
โดย “ระยะเบรกที่ปลอดภยั ” น้นั อาจพิจารณาตามสภาพแวดลอ้ มกไ็ ด้ อาทิ คุณกาลงั ขบั รถข้ึนดอยม่อน
แจ่ม ท่ีเป็นเนินชนั และมจี ุดโคง้ หกั ศอก กค็ วรทิ้งระยะห่างจากคนั หนา้ ในระยะทางที่มากกว่าเดิม จากเวน้
ระยะ 20-30 เมตร ขยบั มาเป็น 50-60 เมตร หรืออาจมากกวา่ น้นั เพอ่ื ป้องกนั กรณีท่ีรถคนั หนา้ ไหลถอยหลงั
มาชนคุณ
5. รู้จกั ขอบคุณและขอโทษเพอ่ื นร่วมทาง
เมอื่ เจอเพอ่ื นร่วมทางที่มนี ้าใจต่อเรา ไม่ว่าจะช่วยใหท้ างหรือช่วยหรี่ไฟสูงลงมา กค็ วรแสดงความ
ขอบคุณดว้ ยการโคง้ ศรี ษะและยมิ้ ให้ หรือจะใชว้ ิธีเปิ ดไฟกระพริบฉุกเฉินก็ได้
ในทางกลบั กนั เมอื่ มรี ถหยดุ ใหค้ ุณเดินขา้ มถนน กค็ วรโคง้ ศีรษะขอบคุณเช่นกนั แมก้ ารแสดงความ
ขอบคุณกบั เพอ่ื นร่วมทางอาจดูเป็นเรื่องเลก็ นอ้ ย แตก่ ็สามารถสร้างความรู้สึกดี ๆ บนทอ้ งถนนได้
แลว้ ถา้ เป็นกรณีที่เราเผลอทาพฤติกรรมที่ไมด่ ี อยา่ งเปล่ียนเลนกะทนั หนั ขบั รถตดั หนา้ รถคนั อน่ื ละ่ หาก
เป็นเช่นน้นั สิ่งท่ีควรทาเพอ่ื ลดความตึงเครียดท่ีอาจนาไปสู่การทะเลาะววิ าท คือ การโคง้ ศรี ษะ ยกมือ หรือ
เปิ ดไฟกระพริบ เพือ่ ขอโทษเพอื่ นร่วมทาง แต่หากบงั เอิญรถของคุณติดฟิ ลม์ ดามดื จนมองไมเ่ ห็นวา่ มีใครอยู่
บนรถบา้ ง กอ็ าจใชว้ ธิ ีเปิ ดกระจกเพอ่ื ขอบคุณหรือขอโทษก็ได้
6. เปิ ดไฟเล้ยี วทุกคร้ัง เม่อื ตอ้ งการเปลี่ยนเลน
ผขู้ บั ขี่ทุกคน ควรย้ากบั ตวั เองบ่อย ๆ ว่า รถของเรามีไฟเล้ยี วที่สามารถเปิ ดใชง้ านไดจ้ ริง ดงั น้นั ไมว่ ่าคุณ
จะเล้ียวซา้ ย เล้ยี วขวา หรือเปล่ยี นเลน กต็ อ้ งเปิ ดไฟเล้ยี วก่อนทุกคร้ัง เพ่ือใหร้ ถคนั อื่น ๆ ชะลอใหร้ ถของคุณ
เขา้ ไปยงั เสน้ ทางที่ตอ้ งการ ไมใ่ ช่ใจนึกอยากจะไป กไ็ ปไดท้ นั ที นอกจากเสี่ยงเกิดอุบตั ิเหตุแลว้ คุณจะยงั ได้
เสียงก่นด่าไปถงึ บรรพบุรุษตามหลงั มาแน่ ๆ
7. ไมป่ ฏิบตั ิตามเคร่ืองหมายจราจร
ผขู้ บั ข่ีควรปฏบิ ตั ิตามกฎจราจรอยา่ งเคร่งครัด อยา่ ลกั ไกก่ ลบั รถในที่หา้ มกลบั รถ หรือเบี่ยงจากช่องทาง
หลกั เขา้ ช่องคู่ขนาน ท้งั ๆ ท่ีรู้วา่ จดุ ดงั กลา่ วมเี ครื่องหมายจราจรระบุให้ รถที่วิง่ ในช่องคขู่ นานสามารถเบ่ียง
เขา้ ช่องทางหลกั เท่าน้นั
พฤติกรรมชอบฝ่ าฝืนกฎจราจรเหล่าน้ี นอกจากสร้างความสงสยั กบั เพื่อนร่วมทางวา่ คุณซ้ือใบขบั ขี่ มา
หรืออยา่ งไร ? ยงั เส่ียงเกิดอบุ ตั ิเหตุ และหากเกิดเหตุข้ึนจริง นอกจากเจบ็ ตวั รถพงั เจอท้งั โทษจาคุกหรือปรับ
และถา้ ร้ายแรงมาก กอ็ าจถึงข้นั เสียชีวติ (อาจเป็นคุณ/คู่กรณี) ได้
8. เมาแลว้ ขบั
“เมาแลว้ ขบั ” เป็นหน่ึงในพฤติกรรมที่จะนาพาเร่ืองเลวร้ายชนิดคาดไมถ่ ึงมาสู่ตวั คุณ ครอบครัว และ
เพ่ือนร่วมทางไดง้ ่ายดายที่สุด ดงั น้นั หากรู้ตวั ว่า “เมา” กค็ วรใชบ้ ริการรถสาธารณะในการเดินทาง หรือคุณ
จะโทรใหค้ นท่ีไวใ้ จมารับแทนการขบั รถเองก็ได้
9. เลน่ โทรศพั ทม์ อื ถอื ขณะขบั รถ
รู้หรือไมว่ ่า การเล่นโทรศพั ทม์ อื ถือขณะขบั รถ ไมว่ า่ จะเป็นช่วงที่ติดไฟแดง หรือรถติดเพราะมอี ุบตั ิเหตุ
กีดขวางการจราจร ลว้ นเสี่ยงเกิดอุบตั ิเหตุท้งั สิ้น เน่ืองจากสมาธิที่ควรเพง่ อยกู่ บั การขบั รถ ถกู ยา้ ยไปอยกู่ บั
โทรศพั ทม์ อื ถือแทน
บางคนอาจคิดว่า “ทาแบบน้ีอยบู่ ่อย ๆ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” หรือ “รถติดแบบน้ี ใคร ๆ กห็ ยบิ
โทรศพั ทม์ อื ถือข้ึนมาเล่นท้งั น้นั ” หากคณุ กาลงั คิดเช่นน้ี ขอเตือนเลยวา่ คุณกาลงั ประมาทอยา่ งแรง เพราะ
ขนาดผทู้ ี่มปี ระสบการณ์ขบั รถมานบั 10 ปี กย็ งั ประสบอบุ ตั ิเหตุไดเ้ ลย
ท่ีสาคญั คุณอาจลมื ไปวา่ ต่อใหค้ ุณระมดั ระวงั เพียงใด กไ็ ม่ไดร้ ับประกนั วา่ เพ่ือนร่วมทางของคุณจะขบั
รถอยา่ งระมดั ระวงั เช่นกนั
ฉะน้นั เพ่อื ป้องกนั การเกิดอุบตั ิเหตุ คุณควรงดเล่นโทรศพั ทม์ อื ถือ แต่หากมีความจาเป็นตอ้ งใชง้ าน
โทรศพั ทม์ ือถอื จริง ๆ ก็ใหห้ าจุดที่ปลอดภยั เพ่ือจอดรถเสียก่อน
10. ขบั รถคร่อมเลน
คือ การขบั รถคร่อมเลนกินพ้ืนท่ีจราจร จะไปซา้ ย กไ็ มซ่ า้ ย จะไปขวา กไ็ มข่ วา พฤติกรรมแบบน้ี ไมน่ ่า
รอดจากการโดนด่า หรือไปรบกวนการขบั ของรถคนั อ่ืน
ดงั น้นั ทุกคร้ังที่เขา้ ไปนงั่ อยหู่ ลงั พวงมาลยั ขอใหค้ ุณใส่ใจความปลอดภยั ของตวั เองและเพือ่ นร่วมทางให้
มาก ๆ เพราะไมว่ า่ ใครก็มคี นท่ีรกั รออยทู่ ี่บา้ นท้งั น้นั
อ้างองิ
: http://tonkit360.com
https://www.safetydrive.info
http://0765g.blogspot.com/
http://www.islammore.com/view/3010