The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิเคราะห์วรรณคดี เรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chaiyanan43954, 2022-02-17 03:05:03

วิเคราะห์วรรณคดี เรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง

วิเคราะห์วรรณคดี เรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง

หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ( E-BOOK )
เร่ือง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ เเผนข้ึนเรือนขนุ ชา้ ง

จดั ทำโดย

นายพรพรหม พลจนั ทึก เลขที่ 1

นายอจั ฉริยะวฒั น์ ทว้ มหรุ่น เลขที่ 2

นายชยั นนั ท์ อยยู่ งั เลขที่ 3

นายธนาวฒุ ิ ธรรมสาลี เลขที่ 8

นายเขมนสั สุเยาว์ เลขท่ี 17

นายศุภกร โทท้ อง เลขท่ี 23

นายธนปกรณ์ ชยั สมบูรณ์ เลขท่ี 28

นายธนวนิ ท์ ขวญั ผอ่ ง เลขท่ี 29

นายพรหมพิริยะ ทองอ่วม เลขที่ 31

นายชานนท์ เฮงประเสริฐ เลขที่ 34

นางสาวอจั ฉราลกั ษณ์ กีรติสุนทรกลุ เลขที่ 36

นางสาวกนกพร ศิริวฒั น์ เลขท่ี 38

นางสาวแอนนา สเตรเซีย อารียา อิสเบลล่า วลิ ลิส เลขท่ี 39

นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6.9

เสนอ
คุณครูพนมพร ชมพพู าน
หนงั สือเล่มน้ีเป็นส่วนหน่ึงของ รายวชิ า วรรณคดีมรดก รหสั ท30211
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม

บทนำ

วรรณคดีมรก วรรณคดีที่กวใี นอดีตแต่งข้ึนอยา่ งมีศิลปะ ส่วนใหญ่แต่งเป็นร้อยกรองและไดร้ ับการ
ยกยอ่ งวา่ เป็นหนงั สือแต่งดี เป็นหนงั สือที่เป็นแบบฉบบั ใหก้ บั หนงั สือในอีกหลายๆเร่ือง

เนื่องดว้ ยกระเเสจากละคร ขนุ ชา้ งขนุ เเผน ท่ีไดร้ ับเสียงตอบรับที่ดีในวงกวา้ ง คณะผจู้ ดั ทำ มีความ
สนใจท่ีจะศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกบั เสภาเรื่องขนุ ชา้ งขนุ แผน มีการสนั นิษฐานวา่ เคยเกิดข้ึนจริงในสมยั
กรุงศรีอยธุ ยา แลว้ มีผจู้ ดจำเล่าสืบต่อกนั มา เนื่องจากเร่ืองราวของขนุ ชา้ งขนุ แผนมีปรากฏในหนงั สือคำ
ใหก้ ารชาวกรุงเก่า การดำเนินเรื่องยงั สะทอ้ นภาพการดำเนินชีวติ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรม
มีความงดงามในการใชถ้ อ้ ยคำ ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าว วรรณคดีสโมสรในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ
เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดย้ กยอ่ งวรรณคดีเร่ืองขนุ ชา้ งขนุ แผนวา่ เป็นยอดแห่งกลอนเสภา

ท่ีมา

คณะผจู้ ดั ทำ ไดด้ ำเนินการจดั ทำหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ( E-BOOK ) เพ่ือวเิ คราะห์วรรณคดีมรดก
เร่ือง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ เเผนข้ึนเรือนขนุ ชา้ ง รายวชิ า วรรณคดีมรดก รหสั ท30211 เพื่อใชใ้ นการเรียน
การสอน ตามหลกั สูตรการศึกษา โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อใหน้ กั เรียนไดศ้ ึกษา อธิบายความสำคญั ความเป็น
มาของวรรณคดีมรดก วจิ ารณ์คุณค่าของวรรณคดีมรดก วเิ คราะห์ตวั ละคร เปรียบเทียบกบั บุคคล เหตุการณ์
รวมถึงการนำแนวคิดไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั วางแผน ลงมือปฎิบตั ิงานเป็นกลุ่ม

ในการดำเนินการจดั ทำหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ( E-BOOK ) ในคร้ังน้ี ขอขอบคุณความร่วมมือ จาก
ผทู้ ี่เกี่ยวขอ้ ง คณะผจู้ ดั ทำทุกคน ในการร่วมมือกนั ทุกข้นั ตอน ตลอดจนคุณครูที่ปรึกษาประจำรายวชิ า มา ณ
โอกาสน้ี

คณะผจู้ ดั ทำ หวงั วา่ หนงั สือเล่มน้ีจะเป็นประโยชนต์ ่อผเู้ รียนเเละการจดั การเรียนการสอน หากมีขอ้
เสนอแนะ ผดิ พลาดประการใดขออภยั นอ้ มรับไวด้ ว้ ยความขอบคุณอยา่ งยง่ิ

คณะผจู้ ดั ทำ

ผเู้ เต่ง

1. พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั

พระราชประวตั ิ

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ทรงเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยองคท์ ี่ 2 แห่งราชวงศจ์ กั รี มี
พระนามเดิมวา่ "ฉิม" ระองคท์ รงเป็นพระบรมราชโอรสองคท์ ่ี 4 ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ าจุฬา
โลกมหาราชและกรมสมเดจ็ พระอมรินทรามาตยพ์ ระบรมราชชนนีพนั ปี หลวง ประสูติ ณ บา้ นอมั พวา แขวง
เมืองสมุทรสงคราม ขณะน้นั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกรับตั รเมือง
ราชบุรี พระบิดาไดใ้ หเ้ ขา้ ศึกษากบั สมเดจ็ พระวนั รัต ( ทองอยู่ ) ณ วดั บางหวา้ ใหญ่ พระองคท์ รงมีพระชายา
เท่าท่ีปรากฎ 1. กรมสมเดจ็ พระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอคั รมเหสี 2. กรมสมเดจ็ พระศรีสุราลยั พระ
สนมเอก เสดจ็ สวรรคต พระบาทสมเดจ้ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั เสดจ็ สวรรคต เม่ือวนั พธุ เดือน 8 แรม 11
ค่าํ ปี วอก ตรงกบั วนั ท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขณะน้นั ทรงพระชนมายุ 58 พรรษา ทรงเสวยราชยส์ มบตั ิ 16
ปี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมท้งั สิ้น 73 พระองค์

บทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ ไดแ้ ก่

1. บทละครในเร่ืองรามเกียรต์ิ

2. บทละครในเรื่องอิเหนา

3. บทละครนอกเรื่อง สงั ขท์ อง คาวี ไชยเชษฐ์ ไกรทอง มณีพิชยั

4. กาพยแ์ ห่เรือชมเครื่องคาวหวาน

5. บทกาพยโ์ ขน ตอนนางลอย พรหมาสตร์ นาคบาศ และเอราวณั

6. กลอนเสภาเร่ือง ขนุ ชา้ งขนุ แผน

2. พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั

พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยองคท์ ่ี 3 แห่งราชวงศจ์ กั รี เป็น
พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั และสมเดจ็ พระศรีสุราลยั ( เจา้ จอมมารดาเรียม )
ประสูติ ณ วนั จนั ทร์ เดือน 4 แรม 10 ค่าํ ปี มะแม ตรงกบั วนั ท่ี 31 มีนาคม พทุ ธศกั ราช 2330 มีพระนามเดิมวา่
"พระองคช์ ายทบั " เสดจ็ สวรรคต พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ สวรรคตวนั พธุ เดือน 5 ข้ึน 1
ค่าํ ตรงกบั วนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2394 เวลา 8 นาฬิกา สิริพระชนมายไุ ด้ 64 พรรษา มีพระราชบุตร 22
พระองค์ พระราชบุตรี 29 พระองค์

บทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ ไดแ้ ก่

1. กลอนเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน
2. บทละครเร่ืองสงั ขศ์ ิลปไชย
3. เพลงยาวรัชกาลที่ 3
4. โครงปราบดาภิเษก

3.พระสุนทรโวหาร

พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือท่ีเรียกกนั ทว่ั ไปวา่ สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398)
เป็นกวชี าวไทยท่ีมีช่ือเสียง ไดร้ ับยกยอ่ งเป็น เชกสเปี ยร์แห่งประเทศไทย เกิดหลงั จากต้งั กรุงรัตนโกสินทร์
ได้ 4 ปี และไดเ้ ขา้ รับราชการเป็นกวรี าชสำนกั ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั เม่ือสิ้น
รัชกาลไดอ้ อกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลบั เขา้ รับราชการอีกคร้ังในปลายรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระ
นงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยเป็นอาลกั ษณ์ในสมเดจ็ เจา้ ฟ้ าจุฑามณี กรมขนุ อิศเรศรังสรรค์ ในสมยั รัชกาลท่ี 4 ได้
เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจา้ กรมอาลกั ษณ์ฝ่ ายพระราชวงั บวร ซ่ึงเป็นตำแหน่งราชการสุดทา้ ย
ก่อนสิ้นชีวติ

บทประพนั ธ์ ไดแ้ ก่ (ตามที่มีหลกั ฐานปรากฏ)

1. นิราศ - นิราศเมืองแกลง, นิราศพระบาท, นิราศภเู ขาทอง, นิราศสุพรรณ, นิราศวดั เจา้ ฟ้ า, นิราศ
อิเหนา, รำพนั พิลาป, นิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร

2. นิทานกลอน - โคบุตร, พระอภยั มณี, พระไชยสุริยา, ลกั ษณวงศ์ และสิงหไกรภพ
3. สุภาษิต - สวสั ดิรักษา, เพลงยาวถวายโอวาท และสุภาษิตสอนหญิง
4. บทละคร- อภยั นุราช
5. บทเสภา - ขนุ ชา้ งขนุ แผน และเสภาพระราชพงศาวดาร
6. บทเห่กล่อมพระบรรทม - เห่เร่ืองพระอภยั มณี, เห่เรื่องโคบุตร, เห่เรื่องจบั ระบำ และเห่เรื่องกากี

และผแู้ ต่งท่ีไม่ปรากฏนามอีกหลายท่าน รวมไปถึง สมเดจ็ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงเดชานุภาพก็
ทรงนิพนธ์ในตอนที่ขาดหายไป

รูปแบบคำประพนั ธ์

กลอนเสภา

เป็นคำประพนั ธ์ชนิดหน่ึง ซ่ึงแต่งเพ่ือใชข้ บั เพราะใชเ้ ป็นกลอนขบั จึงกำหนดคำไม่แน่นอน มุ่งการขบั
เสภาเป็นสำคญั จึงใชค้ ำ ๗ คำ ถึง ๙ คำ การส่งสมั ผสั นอกเหมือนกบั กลอนสุภาพ แต่ไม่บงั คบั หรือหา้ มเสียง
สูง ต่ำ ตามจำนวนคำแต่ละวรรค อยใู่ นเกณฑก์ ลอน ๗-๙ เช่น เสภาขนุ ชา้ งขนุ แผน

ตวั อยา่ งคำประพนั ธ์

เรื่องยอ่

ขนุ ชา้ งขนุ แผน กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขนุ ไกรพลพา่ ยรับราชการทหาร

มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลกู ชายดว้ ยกนั ชื่อ พลายแกว้ (ขนุ แผน) ครอบครัวของขนุ ศรีวชิ ยั เศรษฐีใหญ่

ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมชา้ งนอก ภรรยาช่ือ นางเทพทอง มีลกู ชายช่ือ ขนุ ชา้ ง ซ่ึง

หวั ลา้ นมาแต่กำเนิด และครอบครัวของพนั ศรโยธา เป็นพอ่ คา้ ภรรยาช่ือ ศรีประจนั มีลกู สาวรูปร่างหนา้ ตา

งดงามช่ือ นางพิมพิลาไลย (วนั ทอง)

เมื่อพลายแกว้ อายไุ ด้ ๑๕ ปี กบ็ วชเณรเรียนวชิ าอยทู่ ี่วดั สม้ ใหญ่ แลว้ ยา้ ยไปเรียนต่อที่วดั ป่ าเลไลยก์ ต่อมา

ท่ีวดั ป่ าเลไลยกจ์ ดั ใหม้ ีเทศนม์ หาชาติ เณรพลายแกว้ เทศนก์ ณั ฑม์ ทั รี นางพิมเล่ือมใสมากจนเปล้ืองผา้
สไบบูชากณั ฑเ์ ทศ์

ขนุ ชา้ งเห็นเช่นน้นั กเ็ ปล้ืองผา้ ห่มของตนวางเคียงกบั ผา้ สไบของนางพิม อธิฐานขอใหไ้ ดน้ างเป็น
ภรรยา ต่อมาเณรพลายแกว้ สึกแลว้ ใหน้ างทองประศรีสู่ขอนางพิมและแต่งงานกนั ทางกรุงศรีอยธุ ยาไดข้ ่าววา่

กองทพั เชียงใหม่ตีไดเ้ มืองเชียงทอง ซ่ึงเป็นเมืองข้ึนของกรุงศรีอยธุ ยา สมเดจ็ พระพนั วษาถามหาเช้ือสายของ
ขนุ ไกร ขนุ ชา้ งซ่ึงเขา้ ไปรับราชการอยจู่ ึงเล่าเร่ืองราวความเก่งกลา้ สามารถของพลายแกว้ เพ่ือหวงั จะพราก

พลายแกว้ ไปใหห้ ่างไกลนางพิมพลายแกว้ ถกู แต่งต้งั ใหเ้ ป็นแม่ทพั ไปรบกบั เมืองเชียงใหม่และไดช้ ยั ชนะ
นายบา้ นแสนคำแมนแห่งหม่บู า้ นจอมทอง เห็นวา่ พลายแกว้ กบั พวกทหารไม่ไดเ้ บียดเบียนใหช้ าวบา้ น

เดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลกู สาวของตนใหเ้ ป็นภรรยาของพลายแกว้

ส่วนนางพิมพิลาไลย เม่ือสามีจากไปทพั ไดไ้ ม่นานกป็ ่ วยหนกั รักษาเท่าไรกไ็ ม่หาย ขรัวตาจูวดั

ป่ าเลไลยแนะนำใหเ้ ปลี่ยนชื่อเป็นวนั ทอง อาการไขจ้ ึงหาย ขนุ ชา้ งทำอุบายนำใหน้ างศรีประจนั กบั นางวนั

ทองเชื่อวา่ พลายแกว้ ตายแลว้ และข่วู า่ นางวนั ทองจะตอ้ งถกู คุมตวั ไวเ้ ป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย นางวนั ทอง

ไม่เช่ือ แต่นางศรีประจนั คิดวา่ จริง ประกอบกบั เห็นวา่ ขนุ ชา้ งเป็นเศรษฐีจึงบงั คบั ใหน้ างวนั ทองแต่งงานกบั

ขนุ ชา้ ง นางวนั ทองจำตอ้ งตามใจแม่แต่นางไม่ยอมเขา้ หอ

ขณะน้นั พลายแกว้ กลบั มาถึงกรุงศรีอยธุ ยา นางวนั ทองเห็นขนุ แผนพาภรรยาใหม่มากโ็ กรธด่าทอ
โตต้ อบกบั นางลาวทองและลืมตวั พดู กา้ วร้าวขนุ แผน ทำใหข้ นุ แผนโมโหพานางลาวทองไปอยทู่ ่ีกาญจนบุรี

ส่วนนางวนั ทองกต็ กเป็นภรรยาของขนุ ชา้ งอยา่ งจำใจ

ต่อมาขนุ ชา้ งและขนุ แผนเขา้ ไปรับราชการและไดเ้ ป็นมหาดเลก็ เวรท้งั สองคน วนั หน่ึงนางลาวทอง
ป่ วยหนกั ขนุ แผนจึงฝากเวรไวก้ บั ขนุ ชา้ งแลว้ ไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเชา้ สมเดจ็ พระพนั วษาถามถึง

ขนุ แผน ขนุ ชา้ งบอกวา่ ขนุ แผนปี นกำแพงวงั หนีไปหาภรรยา สมเดจ็ พระพนั วษาโกรธจึงสงั่ ใหน้ ำตวั นางลาว
ทองมากกั ไวใ้ นวงั ส่วนขนุ แผนใหไ้ ปตระเวนด่านหา้ มเขา้ วงั อีกทำใหข้ นุ แผนแคน้ ขนุ ชา้ งมากคิดช่วงชิงนาง

วนั ทองกลบั คืนมา จึงออกหาของวเิ ศษ ๓ อยา่ ง คือ ดาบวเิ ศษ กมุ ารทอง และมา้ ฝีเทา้ ดี ขนุ แผนเดินทางไปถึง

ซ่องโจรของหมื่นหาญกส็ มคั รเขา้ เป็นสมุน วนั หน่ึงไดช้ ่วยชีวติ หม่ืนหาญ เขาจึงยกนางบวั คล่ีลกู สาวของตน

ใหเ้ ป็นภรรยาของขนุ แผน

หม่ืนหาญเห็นขนุ แผนมีวชิ าอาคมเหนือกวา่ ตนกค็ ิดกำจดั โดยสง่ั ใหน้ างบวั คล่ีวางยาพิษฆ่าขนุ แผน
แต่โหงพรายมาบอกใหข้ นุ แผนรู้ตวั คืนน้นั พอนางบวั คลี่นอนหลบั ขนุ แผนกผ็ า่ ทอ้ งนางควกั เอาเดก็ ไปทำพิธี
ปลุกเสกเป็นกมุ ารทอง ต่อจากน้นั กท็ ำพิธีตีดาบฟ้ าฟ้ื นและไปซ้ือมา้ ลกั ษณะดีไดต้ วั หน่ึง ช่ือ มา้ สีหมอก แลว้

ขนุ แผนกไ็ ปท่ีบา้ นของขนุ ชา้ งสะกดคนใหห้ ลบั หมดแลว้ ข้ึนไปบนบา้ นแต่เขา้ หอ้ งผดิ จึงพบนางแกว้ กิริยา
และไดน้ างเป็นภรรยา จากน้นั กไ็ ปปลุกนางวนั ทองพาข้ึนมา้ หนีเขา้ ป่ าไป

ขนุ แผนกบั นางวนั ทองหลบซ่อนอยใู่ นป่ าจนนางต้งั ทอ้ ง จึงพากนั ออกมามอบตวั สูค้ ดีกบั ขนุ ชา้ งจน
ชนะคดี ขนุ แผนนางวนั ทอง และนางแกว้ กิริยาจึงอยรู่ ่วมกนั ดว้ ยความสุข แต่ขนุ แผนนึกถึงนางลาวทองจึง

ขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษใ์ หข้ อตวั นางจากสมเดจ็ พระพนั วษาทำใหพ้ ระองคโ์ กรธวา่ ขนุ แผนกำเริบจึงสงั่ จำคุก
ขนุ แผนไว้ นางแกว้ กิริยาตามไปปรนนิบตั ิขนุ แผนดว้ ย ส่วนนางวนั ทองพกั อยทู่ ี่บา้ นของหมื่นศรี ขนุ ชา้ งจึง

พาพรรคพวกมาฉุดนางวนั ทองไปเป็นภรรยาอีก

ต่อมานางกค็ ลอดลกู ชาย แลว้ ต้งั ชื่อใหว้ า่ พลายงาม ขนุ ชา้ งรู้วา่ ไม่ใช่ลกู ของตนกเ็ กลียดชงั จึงหลอกพาเขา้ ไป
ในป่ าทุบตีจนสลบแลว้ เอาท่อนไมท้ บั ไว้ โหงพรายของขนุ แผนมาช่วยไดท้ นั นางวนั ทองจึงใหล้ กู ไปอยกู่ บั

นางทองประศรีที่กาญจนบุรีพลายงามไดร้ ่ำเรียนวชิ าของพอ่ เช่ียวชาญ ขนุ แผนจึงพาไปฝากไวก้ บั หมื่นศรี

เพื่อหาโอกาสใหเ้ ขา้ รับราชการ

พลายงามอาสาออกไปรบกบั เชียงใหม่ และขอใหป้ ล่อยขนุ แผนออกจากคุก เพื่อจะไดช้ ่วยกนั ทำศึก

ขนุ แผนจึงพน้ โทษ ในขณะที่กำลงั เตรียมทพั นางแกว้ กิริยากค็ ลอดลกู เป็นชาย ขนุ แผนต้งั ชื่อวา่ พลายชุมพล
พลายงามไดพ้ บนางศรีมาลา ระหวา่ งทางไปเชียงใหม่และไดน้ างเป็นภรรยา จากน้นั กค็ ุมทพั ไปรบกบั
เชียงใหม่ไดช้ ยั ชนะ เม่ือกลบั ถึงกรุงศรีอยธุ ยา สมเดจ็ พระพนั วษากย็ กนางสร้อยฟ้ าธิดาของพระเจา้ เชียง

อินทร์ใหแ้ ต่งงานกบั พลายงามพร้อม ๆ กบั นางศรีมาลา

พลายงามอยากใหแ้ ม่มาอยกู่ บั ตนและคืนดีกบั พอ่ จึงไปลกั พานางวนั ทองมา ขนุ ชา้ งเคืองมากไป

ฟ้ องสมเดจ็ พระพนั วษา จึงมีการไต่สวนคดีกนั อีกคร้ังหน่ึง ในท่ีสุดสมเดจ็ พระพนั วษากถ็ ามความสมคั รใจ
ของนางวา่ จะเลือกอยกู่ บั ใคร นางตดั สินใจไม่ได้ สมเดจ็ พระพนั วษาหาวา่ นางเป็นหญิงสองใจจึงสง่ั ใหน้ ำตวั
ไปประหารชีวติ

เร่ืองยอ่ ตอน ขนุ เเผนข้ึนเรือนขนุ ชา้ ง

ขนุ แผนลอบข้ึนเรือนขนุ ชา้ ง ใชม้ นตส์ ะกดผคู้ นในเรือนแลว้ เขา้ หอ้ ง เห็นขนุ ชา้ งนอนอยกู่ บั นางวนั
ทองกโ็ กรธ จึงมดั ขนุ ชา้ งกบั นางวนั ทองติดกนั แลว้ ใหต้ ามผเู้ กี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองน้ีมาใหร้ ับรู้ พร้อมแจง้ ให้
กำนนั ทราบแลว้ กก็ ลบั ไป ต่อมามีรับสงั่ ใหข้ นุ แผนเขา้ ไปฝึกหดั ราชการท่ีกรุงศรีอยธุ ยา พอถึงเวรขนุ แผน
บงั เอิญนางลาวทองป่ วยหนกั ขนุ แผนฝากเวรไวก้ บั ขนุ ชา้ งซ่ึง ไดร้ ับราชการอยดู่ ว้ ยกนั แลว้ ออกไปเผา้ ไข้
นางลาวทอง เมื่อสมเดจ็ พระพนั วษาเสดจ็ ออกวา่ ราชการไม่เห็นขนุ แผนกร็ ับสงั่ ถามถึง ขนุ ชา้ งคิดกำจดั
ขนุ แผน จึงทูลวา่ ขนุ แผนละทิ้งหนา้ ที่ไปหาภริยาจึงทรงกริ้ว สงั่ ลงโทษขนุ แผนใหอ้ อกตระเวนอยตู่ ามชาย
แดน หา้ มเขา้ มาในกรุงและกกั ขงั นางลาวทองไวใ้ นพระราชวงั

ขนุ แผนเมื่อทราบความจริง จึงผกู พยาบาทขนุ ชา้ ง ขณะเดียวกนั กแ็ สวงหาของวเิ ศษท่ีทำใหม้ ีฤทธ์ิ
มาก คือกมุ ารทอง ดาบฟ้ าฟ้ื น และมา้ สีหมอก โดยไดฝ้ ากตวั อยกู่ บั หม่ืนหาญซ่ึงเป็นนายซ่องโจรไดน้ าง บวั
คลี่ ลกู สาวหม่ืนหาญเป็นภริยา ต่อมาหมื่นหาญไม่พอใจที่ขนุ แผนไม่ยอมออกปลน้ จึงคิดกำจดั เสีย โดยให้
นางบวั คลี่วางยาพิษ แต่พรายไดก้ ระซิบใหข้ นุ แผนรู้ ขนุ แผนจึงฆ่าบวั คลี่ ควกั เอาลกู ในทอ้ งไปทำพิธี
ปลุกเสกเป็นกมุ ารทอง เมื่อกลบั มากาญจนบุรีกท็ ำพิธีตีดาบตามตำรามหาศาสตราคม ใหช้ ื่อวา่ ดาบฟ้ าฟ้ื น
แลว้ เดินทางไปแสวงหามา้ สีหมอกตามตำราที่จงั หวดั เพชรบุรี เม่ือไดแ้ ลว้ กเ็ ดินทางกลบั กาญจนบุรี

ต่อมาขนุ แผนคิดถึงนางวนั ทองจึงเดินทางไปสุพรรณบุรี ข้ึนเรือนขนุ ชา้ งในเวลากลางคืน สะกด
ผคู้ นใหห้ ลบั แลว้ เดินหาหอ้ งนางวนั ทอง พบนางแกว้ กิริยาบุตรีพระยาสุโขทยั ซ่ึงบิดานำมาขายใหข้ นุ ชา้ ง ได้
เป็นภริยาแลว้ มอบเงินใหไ้ วไ้ ถ่ตวั ขนุ แผนไดพ้ านางวนั ทองหนีไปจากบา้ นขนุ ชา้ ง ชุนชา้ งพาพวกพอ้ ง
ติดตามไปทนั ในป่ าแต่สูข้ นุ แผนไม่ได้ จึงเขา้ กราบทูลกล่าวโทษขนุ แผนต่อพระพนั วษา พระพนั วษาจึงมี
หมายรับสง่ั ใหจ้ บั ขนุ แผนกบั นางวนั ทองส่งมากรุงศรีอยธุ ยา ขนุ แผนพานางวนั ทองซ่ึงกำลงั มีครรภ์ เขา้ มอบ
ตวั ต่อเจา้ เมืองพิจิตร เจา้ เมืองพิจิตรทำใบบอกส่งตวั ขนุ แผนกบั นางวนั ทองเขา้ มายงั กรุงศรีอยธุ ยา นางแกว้
กิริยาซ่ึงไดไ้ ถ่ตวั เป็นอิสระแลว้ ไดพ้ บขนุ แผนกบั นางวนั ทองซ่ึงถกู จองจำโซ่ตรวนระหวา่ งถกู ส่งตวั เขา้ มายงั
กรุงศรีอยธุ ยาดว้ ย สมเดจ็ พระพนั วษารับสง่ั ใหช้ ำระคดีระหวา่ งขนุ แผนกบั ขนุ ชา้ ง คณะตุลาการตดั สินให้
ขนุ แผนชนะคดีและไดน้ างวนั ทองคืนไป

เม่ือขนุ แผนชนะความแลว้ ไม่นานกค็ ิดถึงนางลาวทอง ซ่ึงถกู กกั ขงั อยู่ จึงขอใหจ้ ม่ืนศรีเสาวรักษ์ ผทู้ ี่
ตนมาอาศยั อยดู่ ว้ ยทูลขออภยั โทษใหน้ างลาวทอง พอกราบทูล พระพนั วษาทรงกริ้วมากสง่ั ใหเ้ อาขนุ แผนไป
จองจำไว้ นางแกว้ กิริยาไดเ้ ขา้ ไปปรนนิบตั ิขนุ แผนอยใู่ นคุก ส่วนนางวนั ทองถกู ขนุ ชา้ งกบั บ่าวไพร่มาฉุดคร่า
ไปสุพรรณบุรี นางจึงอยกู่ บั ขนุ ชา้ งจนคลอดบุตรใหช้ ื่อวา่ พลายงามขนุ ชา้ งคิดกำจดั พลายงามอยตู่ ลอดเวลา
เพราะรู้วา่ เป็นลกู ขนุ แผน เม่ือพลายงามอายุ 10 ขวบ ขนุ ชา้ งไดล้ วงพลายงามไปป่ าเพื่อฆ่าใหต้ าย แต่ผพี ราย
ของขนุ แผนช่วยไว้ นางวนั ทองใหพ้ ลายงามเดินทางไปอยกู่ บั ยา่ ท่ีกาญจนบุรี นางทองประศรีไดเ้ ล้ียงดูพลาย
งาม และพาไปเยยี่ มขนุ แผนในคุก นางไดส้ ง่ั สอนคาถาอาคมต่าง ๆ ตามตำราของขนุ แผนใหจ้ นแก่กลา้
เหมือนขนุ แผน พออายไุ ด้ 13 ปี พลายงามกม็ าอยกู่ บั หมื่นศรีฯ เพื่อใหพ้ าเขา้ เฝ้ าถวายตวั เป็นมหาดเลก็

คุณค่าทางดา้ นเน้ือหา

1.ดา้ นโครงเรื่อง จดั ระเบียบโครงเร่ืองดี แมจ้ ะมีผแู้ ต่งหลายคนกต็ ามแต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องมีค
วามสมั พนั ธ์กนั บุคลิกภาพของตวั ละคร ตลอดจนเน้ือเร่ืองและกลอนกร็ าบร่ืนสอดคลอ้ งกนั

2.ดา้ นเน้ือเรื่อง มีความสมจริงท้งั เหตุการณ์ ตวั ละคร สถานท่ีและถิ่นฐานบา้ นเมืองถกู ตอ้ ง ไม่วา่ จะ
เป็นสถานที่ หม่บู า้ น ตำบล ทิศทาง ระยะทางถกู ตอ้ งตามสภาพความเป็นจริง ตวั ละครมีชีวติ จิตใจและมีค
วามสมจริงมีท้งั รัก โลภ โกรธ หลง ตามความเป็นจริง จึงเป็นหนงั สือท่ีถ่ายทอดชีวติ ของคนในสงั คมไทยใน
สมยั ก่อนไดอ้ ยา่ งดี

3.ดา้ นความรู้ ใหค้ วามรู้เก่ียวกบั ชีวติ ความเป็นอยขู่ องคนไทย เช่น ความเช่ือทางเวทมนตค์ าถา
ความเช่ือในโชคลางต่างๆ เช่น จิ้งจกทกั ถือวา่ ลางไม่ดี ความเชื่อมนั่ และความเคารพในพระพทุ ธศาสนา
ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เช่น การทำบุญฟังเทศน์ การแต่งงาน การทำศพ การเกิด การบวช ดำน้ำลุยไฟ
การคลอดลกู และยงั ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั การศึกษาของไทยในสมยั ก่อน

4.ดา้ นค่านิยม ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั ค่านิยมของคนไทย เช่น ความซ่ือสตั ยส์ ุจริตต่อพระมหากษตั ริย์
ลกู ผหู้ ญิงจะตอ้ งไดร้ ับการฝึกฝนการบา้ นการเรือน ลกู ผชู้ ายจะตอ้ งเรียนวชิ าภาษาไทย ภาษาบาลี คาถาอาคม
อนั เป็นประโยชนต์ ามความนิยมในสงั คมไทยสมยั ก่อน และการถวายตวั ในราชสำนกั เป็นตน้

คุณค่าดา้ นวรรณ์ศิลป์

1.โวหาร

จากเสภาเร่ืองขนุ ชา้ งขนุ แผน สามารถจำแนกโวหารที่โดดเด่น ออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี

1.1 บรรยายโวหาร คือ การเขียนอยา่ งตรงไปตรงมา มุ่งเขา้ หาสาระของเร่ือง ทนั ที เช่น

“... ลงบนั ไดไปข้ึนสีหมอกมา้ เรียกโหงพรายมาท้งั นอ้ ยใหญ่

ออกจากกาญจนบ์ ุรีร่ีเขา้ ไพร โหงพรายตามไปเป็ นโกลา

ตดั มาหว้ ยโรงหนองตะพาน ขา้ มธารจระเขแ้ ลว้ เขา้ ป่ า

ถึงหนองน้าบา้ นพลบั ระยบั ตา รีบมาใกลบ้ า้ นขนุ ชา้ งน้นั ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการแสดงใหเ้ ห็นการบรรยายในตอนท่ีขนุ แผนเดินทางจากเมืองกาญจนบุรีไปถึง
บา้ นของขนุ ชา้ งท่ีอยใู่ นเมืองสุพรรณบุรี ในตวั บทมีเน้ือความท่ีกระชบั รัดกมุ ต้งั แต่ขนุ แผนออกจากบา้ น
การเตรียมตวั ท่ีจะเดินทางรวมถึงการกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ จนไปถึงบา้ นของขนุ ชา้ ง ขอ้ ความท่ีปรากฏส่ือ
ความไดอ้ ยา่ งตรงไปตรงมา ใชค้ ำนอ้ ยและเรียบง่าย แต่สามารถสื่อความไดอ้ ยา่ งครบถว้ น ท้งั น้ีอาจเป็น
เพราะผปู้ ระพนั ธ์ไม่ตอ้ งการใหเ้ น้ือหาของบทประพนั ธ์ยดื เย้อื และจะช่วยใหผ้ อู้ ่านและผฟู้ ังไม่เกิดความเบื่อ
หน่าย

1.2 พรรณนาโวหาร คือ การเขียนท่ีเนน้ รายละเอียด ใชภ้ าษาท่ีไพเราะงดงามมุ่งใหผ้ อู้ ่านเกิด
จินตภาพ สร้างความเพลิดเพลินหรือมุ่งใหเ้ กิดความซาบซ้ึง เช่น

“... ยางยงู สูงโยนโอนสะบดั พระพายพดั เอนล่ดู ูสะพรั่ง

ลมกระแทกแตกลนั่ สนน่ั ดงั ถกู รังหนูพกุ ยงุ่ สยมุ พู

ปลายทอดยอดแยะตลอดไส้ เป็ นตะไคร่ คราบเครอะออกเยอะอยู่

กระแตตามกระรอกมาเขา้ คารู งูเขียวเล้ียวไล่ตลอดปลาย

ลางตน้ ลม้ ต้งั ตละปัก รากหกั ข้ึนแทงระแหงหงาย

กะตุม้ กะติ้มเกะกะปะกนั ตาย ยอดหวายพนั คลุมอยซู่ ุม้ เซิง

เป็นน้ำกรังรังเรอะอยเู่ ฉอะฉะ เขยอะขยะขยกุ ขยยุ ดูยยุ่ เหยงิ

รุ งรังรุ กรุ ยเป็ นปุยเซิง กะพะกะเพิงพนั ผกู ลกู หวายไป

ลางตน้ โกร๋นกร่อนจนปลอ้ นเปลือก เทือกถกู โคลนชา้ งเอาขา้ งไส

เขียวชอุ่มพมุ่ ช้ือชอ้ือใบ แมงภ่ไู ชในนอกเป็นพรอกโพรง ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการแสดงใหเ้ ห็นการ “พรรณนา” อยา่ งเด่นชดั โดยผปู้ ระพนั ธ์มีการเลือกใช้
ถอ้ ยคำเพื่อกล่าวถึงลกั ษณะของธรรมชาติอยา่ งตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง แมว้ า่ ภาพที่ผอู้ ่านและผฟู้ ังได้
จินตนาการข้ึนจะเป็นภาพท่ีดูจะไม่งดงามนกั แต่ตวั บทดงั กล่าวกลบั มีลกั ษณะทางวรรณศิลป์ ท่ีงดงาม เห็น
ไดจ้ ากการใชค้ ำท่ีมุ่งใหเ้ กิดภาพท่ีสมจริง เช่นคำวา่ คราบ - กรัง - เขยอะขยะ - ขยกุ ขยยุ - รุงรังนอกจากน้ียงั
ปรากฏภาพของสิ่งมีชีวติ ที่กำลงั เคลื่อนไหวอยใู่ นธรรมชาติช่วยใหเ้ กิด ความสมจริง เช่น ภาพของกระแต
กระรอก ที่กำลงั วง่ิ รวมถึงงูเขียวที่กำลงั เล้ือยอยตู่ ามตน้ ไม้

2.ภาพพจน์

2.1 อุปมา คือ การเปรียบเทียบวา่ ส่ิงหน่ึงเหมือนกบั อีกสิ่งหน่ึงโดยใชค้ ำเชื่อมท่ีมีความหมายเช่น
เดียวกบั คำวา่ “เหมือน” เช่นคำวา่ ดุจ ดง่ั ราว ราวกบั เปรียบ ประดุจ เฉก ปาน ประหน่ึง เพียง เพ้ียง เช่น

“... จะเสียแรงไปวา่ พยายาม แม่จะเปรียบเน้ือความใหเ้ ขา้ ใจ

นางพิมพริ้มเพราดงั จนั ทรา เอง็ เหมือนเต่านาอยตู่ ่ำใต้ ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นตอนท่ีนางเทพทองกล่าวถึงความงามของนางพิมพิลาไลยวา่ เป็นผหู้ ญิงที่มีความ
งดงามเปรียบไดก้ บั ความงามของ ดวงจนั ทร์ผดิ กบั ตวั ขนุ ชา้ งลกู ของนางเทพทองท่ีมีรูปลกั ษณ์ไม่งาม รวม
ท้งั ไม่คู่ควรกบั นางพิมพิลาไลย โดยใชก้ ารเปรียบขนุ ชา้ งวา่ เป็น เต่านา ท่ีไม่มีความงามและอยตู่ ่ำตอ้ ยไม่
สามารถเทียบไดก้ บั ดวงจนั ทร์ท่ีงดงามและสูงส่ง

2.2 อุปลกั ษณ์ คือ การเปรียบสิ่งหน่ึงเป็นอีกสิ่งหน่ึง ซ่ึงมีคุณสมบตั ิบางประการร่วมกนั มกั ใชค้ ำวา่
“คือ” และคำวา่ “เป็น” แต่ในบางคร้ังกอ็ าจไม่มีคำท่ีสื่อใหเ้ ห็นการใชอ้ ุปลกั ษณ์โดยตรงเหมือนอุปมาแต่ใช้
วธิ ีกล่าวเป็นนยั ใหผ้ อู้ ่านและผฟู้ ังทำความเขา้ ใจเอง เช่น

“... คิดแลว้ จึงวา่ ช่างน่าหวั มาหลงตวั หลงหอ้ งไม่เห็นสม

แคน้ นกั ท่ีมาลกั มาลอบชม มายกยอใหน้ ิยมเหมือนเยย้ กนั

เต่าเต้ียดอกอยา่ ต่อใหต้ ีนสูง มิใช่ยงู จะมายอ้ มไม่เห็นขนั

ห่ิงหอ้ ยฤๅจะแข่งแสงพระจนั ทร์ อยา่ ป้ันน้าใหห้ ลงตะลึงตา ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการใช้ “อุปลกั ษณ์โดยนยั ” ท่ีไม่มีการใชค้ ำวา่ “คือ” และคำวา่ “เป็น” มาแสดงให้
เห็น แต่ใชป้ ระเภทของสตั ว์ คือ เต่า นกยงู และหิ่งหอ้ ย รวมไปถึงลกั ษณะของธรรมชาติ คือ แสงของพระ
จนั ทร์ มาเปรียบใหเ้ ป็นตวั ละครภายในเรื่อง ซ่ึงปรากฏในตอนท่ีนางแกว้ กิริยากล่าวกบั ขนุ แผนเมื่อขนุ แผน
เขา้ มาในหอ้ งของนางแลว้ กล่าวชมวา่ นางมีความงามคลา้ ยนางวนั ทองท าใหข้ นุ แผนเขา้ ใจผดิ จึงไดล้ อบชม
นาง ท าใหน้ างแกว้ กิริยาโกรธและรู้สึกเหมือนถกู เยาะเยย้ ท่ีขนุ แผนน าตนไปเปรียบกบั นางวนั ทอง

ภาพพจนท์ ี่นางแกว้ กิริยากล่าวน้ีจึงเปรียบตวั ของนางเป็นเพียง เต่า และ ห่ิงหอ้ ย ท่ีไม่อาจเปรียบกบั ความงาม
ของนางวนั ทองท่ีเปรียบไดก้ บั ยงู (นกยงู ) และ แสงพระจนั ทร์

2.3 บุคคลวตั หรือบุคลาธิษฐาน คือ การสมมติส่ิงต่าง ๆ ใหม้ ีกิริยาอาการความรู้สึกเหมือนมนุษย์
หรือเป็นการเปรียบโดยนำส่ิงที่ไม่มีชีวติ หรือส่ิงมีชีวติ ที่ไม่ใช่มนุษยม์ ากล่าวถึงราวกบั เป็นมนุษย์ เช่น

“... ขนุ แผนบอกวา่ ขา้ จะไปทพั หมายจะรับไปดว้ ยช่วยอาสา

เพราะไดเ้ คยเห็นใจแต่ไรมา จะไปไดฤ้ ๅวา่ ท่านหยอ่ นแรง

สีหมอกดีใจจะไปทพั เตน้ หรับร้องร่าดดั ขาแขง้

ดงั บอกวา่ ขา้ จะไปอยา่ ไดแ้ คลง ขนุ แผนแจง้ ท่วงทีกด็ ีใจ ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการใช้ “สตั ว”์ เพื่อแสดงอากบั กิริยาของมนุษย์ นนั่ คือผปู้ ระพนั ธ์กล่าวถึง“มา้ สี
หมอก” พาหนะของขนุ แผนท่ีแสดงความดีใจเม่ือไดพ้ บกบั ขนุ แผน รวมท้งั ยงั แสดงใหเ้ ห็นความรู้สึก ดีใจที่
จะไดไ้ ปร่วมทพั กบั ขนุ แผนอีกคร้ัง ตวั บทมีการใชอ้ ากบั กิริยา เตน้ และการ ดดั ขาแขง้ ซ่ึงเป็นคำแสดงกิริยา
ท่าทางของมนุษย์ ทำใหผ้ อู้ ่านและผฟู้ ังเกิดจินตภาพสามารถรับรู้ถึงความต่ืนเตน้ ดีใจ ซ่ึงเป็นอารมณ์สากลท่ี

เกิดข้ึนไดท้ ้งั กบั มนุษยแ์ ละสตั วใ์ หเ้ กิดความชดั เจนยงิ่ ข้ึน

2.4 อติพจน์ คือ การเปรียบเทียบที่เกินความเป็นจริง มิไดเ้ ป็นการโกหกหลอกลวงแต่เป็นการ
เปรียบเทียบเพ่ือใหเ้ น้ือความที่ผปู้ ระพนั ธ์สื่อออกมามีความหนกั แน่น ชดั เจนยง่ิ ข้ึน เช่น

“... ลาวทองนอ้ งรักประจกั ษจ์ ิต ดงั คมกริชกรีดทรวงออกเป็นสอง

สะอ้ืนออกปากวา่ น้ำตานอง พอ่ ครองเมียอยไู่ ม่ถึงปี

จะจากอกเหมือนตกเมรุมาศ จะกลิ้งตายกายขาดลงเป็นผี ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการกล่าวถึงความตื่นตระหนก ความกลวั และความเสียใจของนางลาวทองที่ตน
จะตอ้ งถกู พรากจากขนุ แผนไปอยใู่ นวงั หลวง ตวั บทมีการกล่าวถึงอารมณ์ และความรู้สึกของนางลาวทอง
โดยผปู้ ระพนั ธ์มีการกล่าวเปรียบความทุกขท์ ่ีตวั ละครไดร้ ับวา่ เปรียบไดก้ บั การถกู กริชผา่ อก เปรียบไดก้ บั
การตกจากเขาพระสุเมรุจนร่างกายฉีกขาด ภาพพจนเ์ กินจริงประเภทน้ีช่วยใหผ้ อู้ ่านและผฟู้ ังสามารถเขา้ ใจ
ถึงอารมณ์ความรู้สึกท่ีตวั ละครก าลงั ไดร้ ับอยา่ งชดั เจน

2.5 นามนยั คือ การใชค้ ำ หรือวลีที่บ่งลกั ษณะหรือคุณสมบตั ิของส่ิงใดส่ิงหน่ึงมาแสดงความหมาย
แทนส่ิงน้นั ท้งั หมด เช่น

“... ญาติกาหาไหนมีใครเล่า จะส่งขา้ วปลาหมดคงอดสิ้น

จะเป็ นความถามไถ่ในบุริ น เงินแต่เท่าปี กริ้นกไ็ ม่มี

เขาจะเรียกค่าฤชาตุลาการ จะผกู มดั รัดประจานไม่ควรท่ี

ถา้ แพล้ งคงปรับทบั ทวี เลือดเน้ือเท่าน้ีเป็นเงินทอง ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการใชภ้ าพพจนป์ ระเภท นามนยั โดยผปู้ ระพนั ธ์ใชค้ าวา่ เลือด- เน้ือ แทนความ
หมายของ “ชีวติ ” ในตวั บทเป็นการกล่าวถึงการคิดหาทางสูค้ ดีความของนางวนั ทองที่อาจจะตอ้ งใชเ้ งินทอง
เป็นจำนวนมาก ซ่ึงในตอนน้ีนางและขนุ แผนกไ็ ม่มีทรัพยส์ ินท่ีจะนำไปสูค้ ดีได้ และหากแพค้ ดีความกค็ งได้
รับความเดือนร้อน คงตอ้ งใชเ้ ลือด เน้ือซ่ึงหมายรวมถึง “ชีวติ ” ของ พวกตนแทนเงินค่าปรับ

2.6 สทั พจน์ คือ การเปรียบเทียบโดยใชค้ ำเลียนเสียงของส่ิงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงสตั วห์ รือ
เสียงในธรรมชาติ เช่น

“... นกเขาเง้ือมเขาแลว้ เคลา้ คู่ จูฮ้ ุกกจู ูฮ้ ุกกเู ฝ้ าคูขนั

อญั ชนั จบั กิ่งตน้ ชิงชนั เบญจวรรณจบั เจ่าเถาวลั ยเ์ ปรียง

ไก่ป่ าวง่ิ กรากกระตา๊ กลนั่ ตวั ผขู้ นั เอกอีเอก๊ วเิ วกเสียง

เขา้ กินขยุ คุย้ เข่ียตวั เมียเคียง เห็นคนเล่ียงลดั แลงเขา้ แฝงกอ ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการเลียนเสียงของสตั วใ์ นธรรมชาติ ผปู้ ระพนั ธ์ไดพ้ รรณนาถึงสตั วช์ นิดต่าง ๆ
รวมกบั มีการใชก้ ารเลียนเสียงของสตั วแ์ ต่ละชนิด ไดแ้ ก่เสียง จูฮ้ ุกกจู ูฮ้ ุกกู ของนกเขาและเสียง กระตา๊ ก -
เอกอีเอก๊ ของไก่ป่ า ท าใหผ้ อู้ ่านสามารถที่จะจินตนาการถึงภาพสตั วท์ ่ีมีเสียงร้องอนั สมจริงไปพร้อมกนั ซ่ึง
เป็นการสร้างความงามทางวรรณศิลป์ ที่ผปู้ ระพนั ธ์ใชเ้ สริมการพรรณนาไดอ้ ยา่ งแยบยล

2.7 ปฏิพากษ์ คือ การใชถ้ อ้ ยคำท่ีมีความหมายตรงกนั ขา้ ม หรือขดั แยง้ กนั มากล่าวอยา่ งกลมกลืนกนั
เพ่ือเพ่ิมความหมายใหม้ ีน้ำหนกั มากยงิ่ ข้ึน เช่น

“... อกเอ๋ยเกิดเขญ็ เป็นสตรี พอที่จะเป็นสุขไม่สุขได้

ไม่รักอายร่ายชมภิรมยไ์ ป เพราะไม่ครองใจจึงไดแ้ คน้

เสียแรงรูปงามนามกเ็ พราะ ละมุนเหมาะใจชว่ั น้ีเหลือแสน

ท่ีดีดีสิ้นในดินแดน ชว่ั เล่าใครจะแมน้ กไ็ ม่มี...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นภาพพจนป์ ฏิพากษ์ โดยการใช้ “ภาวะขดั แยง้ ” ซ่ึงเป็นการใชค้ ำหรือขอ้ ความท่ีมีค
วามหมายตรงกนั ขา้ ม หรือต่างกนั มาเปรียบเทียบกนั เพ่ือใหเ้ กิดความหมายท่ีเด่นชดั มากยงิ่ ข้ึน ตวั อยา่ งขา้ ง
ตน้ เป็นการนำคำท่ีมีความหมายตรงขา้ มกนั มาเปรียบเทียบใหเ้ ห็นเป็นคู่ ๆไดแ้ ก่คำวา่ รูปงาม - ใจชว่ั และ ดี -

ชวั่ ทำใหเ้ ห็นวา่ คำท้งั คู่มีความหมายที่ต่างกนั โดยสิ้นเชิง ท้งั น้ีผปู้ ระพนั ธ์อาจตอ้ งการส่ือใหเ้ ห็นถึงความคิด
ของนางวนั ทองที่มีความขดั แยง้ อยภู่ ายในจิตใจเก่ียวกบั เร่ืองของการประพฤติปฏิบตั ิตนท่ีผา่ นมาของนางเอง

2.8 สญั ลกั ษณ์คือ การใชส้ ิ่งหน่ึงแทนอีกส่ิงหน่ึง เป็นการสร้างจินตภาพซ่ึงใชร้ ูปธรรมชกั นำไปสู่
ความหมายอีกช้นั หน่ึง ส่วนใหญ่มกั เป็นที่เขา้ ใจกนั ในสงั คม ในวรรณคดีไทยโบราณมีการใชส้ ญั ลกั ษณ์
อยา่ งเป็นระบบใน “บทอศั จรรย”์ โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์จากธรรมชาติมาพรรณนาการร่วมรักของตวั ละครอยา่ ง

ประณีตเป็น “ขนบ” ทางวรรณศิลป์ ของไทยประการหน่ึง เช่น

“... ค่อยขยบั จบั เขย้อื นแต่นอ้ ยนอ้ ย ฝนปรอยฟ้ าลนั่ สนนั่ เปร้ียง

ลมพดั ซดั คล่ืนสำเภาเอียง ค่อยหลีกเลี่ยงแล่นเลียบตลิ่งมา

พายหุ นกั ชกั ใบไดค้ ร่ึงรอก แต่เกลือกกลอกกลบั กลิ้งอยหู่ นกั หนา

ทอดสมอรอทา้ ยเป็นหลายครา เภตราหยดุ เล่นเป็นคราวคราว

สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำต้ืน ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว

ปะสายทองดุจตอ้ งพายวุ า่ ว พอออกอ่าวกพ็ อจมล่มลงไป ...”

ตวั บทขา้ งตน้ เป็นการใชส้ ญั ลกั ษณ์ในบทอศั จรรย์ คือ ขนุ แผนกบั นางสายทอง เห็นไดจ้ ากคำวา่ สมพาส ท่ีมีค
วามหมายวา่ การอยรู่ ่วมกนั หรือการร่วมประเวณี (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2556) ท้งั น้ี ผปู้ ระพนั ธ์ไดน้ ำเสนอ
โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์ทางธรรมชาติท่ีมิไดก้ ล่าวอยา่ งตรงไปตรงมา เช่น คำวา่ ฝนปรอย -
ฟ้ าลนั่ - ลมพดั -คลื่น - พายรุ วมท้งั การเดินเรือ (สา้ เภา - เภตรา) มาพรรณนา บทอศั จรรยด์ งั กล่าว ซ่ึงไม่
สามารถแปลความตามถอ้ ยคำได้ แต่ตอ้ งใชจ้ ินตนาการและประสบการณ์ของผอู้ ่านในการตีความจึงถือวา่
เป็นกลวธิ ีการนำเสนออยา่ งแยบคายท่ีนอกจากจะลดความหยาบโลนในเร่ืองเพศแลว้ ยงั ช่วยใหเ้ กิดความงาม
ทางดา้ นการใชภ้ าษาอยา่ งมีวรรณศิลป์ อีกประการหน่ึง

บรรณานุกรม

file:///C:/Users/User/Downloads/journalgrad,+Journal+manager,+20+%E0%B8%A7%E0%B8%
B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5+%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A
3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82+266-279.pdf


Click to View FlipBook Version