เทคนคิ การนาเสนองาน
การนาเสนอ (Presentation)
เปน็ การสอื่ สารรูปแบบหน่ึงทม่ี คี วามสาคญั และมีความจาเป็นอย่างย่งิ ในปจั จบุ ัน ทงั้ ในแวดวง
การศึกษา แวดวงวิชาชพี การทางานทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชนใหค้ วามสาคญั กบั ทกั ษะการนาเสนอของ
บคุ ลากร Cheryl Hamilton (1999:6) อธบิ ายว่า มีงานศึกษาพบวา่ ผู้จา้ งงานสว่ นใหญเ่ ห็นว่าทักษะการ
นาเสนอมีส่วนสาคัญต่อการประสบความสาเร็จในการทางานมากกว่าทักษะทางวิชาชีพ จากการศกึ ษา
ของ Michigan State University ศึกษาความคดิ เห็นผู้อานวยการฝา่ ยบคุ คล 479 คนจากบรษิ ัท
ใหญๆ่ หน่วยงานของรฐั และองคก์ รไม่แสวงหากาไร พบว่าในการคัดเลือกบคุ ลากรเขา้ ทางาน ทักษะการ
นาเสนอเปน็ ทักษะท่สี าคัญทสี ุดที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลอื กผ้เู ข้าทางาน ในชวี ติ การทางาน การนาเสนอเป็น
บทบาทหน้าที่หนง่ึ ทีไ่ มส่ ามารถหลกี เล่ยี งได้ การนาเสนอเปน็ วิธกี ารส่ือสารข้อมลู ข่าวสารและแนวความคดิ ไปยงั
กลมุ่ ผู้ฟัง ที่อาจจะเปน็ กลุ่มผู้ฟังขนาดเลก็ ทีม่ คี วามคุ้นเคยกัน เชน่ กลุม่ ผู้ร่วมงาน หรอื กลุ่มผู้ฟงั ขนาดใหญ่ทไ่ี มม่ ี
ความคนุ้ เคยกัน เช่น กลมุ่ บคุ คลทวั่ ไป
ข้อดีของการนาเสนอคอื
๑. เปน็ การสอื่ สารสองทาง (Two ways communication) ระหวา่ งผนู้ าเสนอกบั ผู้ฟังทาให้ผู้นาเสนอ
สามารถเหน็ ปฏิกิรยิ าของผ้มู อี านาจตดั สินใจไดอ้ ยา่ งทันทีทนั ใด
๒. สามารถดึงดดู ความสนใจและสรา้ งผลกระทบต่อผู้ฟังรวมท้ังสร้างความจดจาได้ดีกว่าการนาเสนอดว้ ย
การเขยี น (Written Presentation)
๓. สามารถปรบั เน้ือหาหรอื เร่ืองราวทก่ี าลงั พูดให้เหมาะสมกบั ผฟู้ ังไดอ้ ยา่ งทันท่วงที เชน่ เม่ือเห็นวา่ ผู้ฟัง
แสดงทา่ ทางไม่เข้าใจเนื้อหาที่นาเสนอ ผ้นู าเสนอก็สามารถปรบั ปรุงวิธกี ารนาเสนอเพอื่ ให้ผู้ฟงั ได้เข้าใจ
เนอ้ื หาไดด้ ีข้ึน
การนาเสนอจะประสบความสาเร็จไดห้ ากมกี ารเตรยี มการท่ดี ี “การเตรยี มการเป็นสิ่งสาคัญที่จะ
นาไปส่คู วามสาเร็จของการนาเสนองาน” (Preparation is a major key to delivering a successful
presentation) (Nick Morgan 2004:15) เทคนคิ การนาเสนออย่างมีประสทิ ธิภาพประกอบไปด้วย 3 ต. คือ
เตรยี มกายและใจ เตรียมเนอื้ หา และเตรยี มสื่อ
ต. ที่ 1 เตรียมกายและใจ ผู้นาเสนอจาเป็นต้องมีการเตรียมความพรอ้ มทงั้ กายและใจกอ่ นทจ่ี ะนาเสนองาน
การเตรียมกายเปน็ การเตรยี มวิธกี ารส่ือสารของผนู้ าเสนอ เมอ่ื กล่าวถึง คาวา่ ” วธิ กี ารสอ่ื สาร”หมายถึง การใช้
เสียง และภาษากายในการนาเสนองาน
เสยี ง (Voice) เสียงของผู้นาเสนอเปน็ เครอื่ งมือท่สี าคัญอยา่ งหนึ่งในการนาเสนองาน ไมว่ า่ จะเป็น
ระดบั เสยี ง ความดังของเสียง และการออกเสยี ง โดยธรรมชาตแิ ลว้ เวลาพูดเสยี งของคนเราจะมีการ
เปลยี่ นแปลงระดบั เสียงเหมือนเสน้ กราฟทมี่ ีข้ึนสูงและลงตา่ ผู้นาเสนอควรฝกึ การใชเ้ สยี งให้มีการใช้ระดบั เสียง
สูงต่าอยา่ งเป็นธรรมชาตเิ พื่อใหน้ า่ สนใจ และเสยี งไม่ราบเรียบเกนิ ไป
ความดงั ของเสียง ระดับความดังเสียงของผูน้ าเสนอ ควรใหเ้ หมาะสมกับสภาพของสถานที่ ถา้ เป็น
การนาเสนอในห้องประชมุ ขนาดเล็ก ควรใช้ความดังของเสียงระดบั ปกติ แตถ่ ้าเป็นการนาเสนอในห้องประชุม
ขนาดใหญ่ ควรใชเ้ สียงที่ดงั ข้นึ เพื่อให้ผูฟ้ ังในห้องทุกคนไดย้ นิ เสยี งของผู้นาเสนอชดั เจน ทั้งนี้ เสยี งทด่ี งั จะฟังดู
มอี านาจและกระตุ้นความสนใจไดด้ ี
การออกเสียง เปน็ สิ่งทสี่ าคญั มากในการนาเสนองาน ถา้ ผนู้ าเสนอพดู ออกเสยี งไม่ชดั ผฟู้ งั ก็จะไม่
สามารถรับข้อมูลขา่ วสารได้ถูกต้อง นอกจากนน้ั ความเรว็ ในการพูดก็มีความสัมพนั ธ์กับการออกเสียง ถ้าพูดเรว็
เกินไปคาท่ีพดู ตา่ งๆทพี่ ูดออกมา จะฟังไม่รู้เร่อื ง ควรมกี ารหยุดเว้นช่วงในการนาเสนอ โดยเฉพาะหัวขอ้
สาคัญ อาจจะเป็นการหยดุ เพ่ือจะเร่มิ หัวขอ้ ใหม่ หรอื หยดุ เว้นชว่ งเพ่อื เปลีย่ นอารมณจ์ ากอารมณห์ น่งึ เปน็ อกี
อารมณห์ นึง่
สตีฟ จ๊อบส์ ผทู้ ีไ่ ดร้ บั การยอมรับวา่ เป็นผู้ทนี่ าเสนองานทด่ี ที ่ีสดุ คนหนึง่ มีเทคนคิ วิธกี ารพูด คือ
“เปลี่ยนระดับความดังและสลับน้าเสียงสงู ต่าอยู่เรือ่ ยๆเพ่ือดึงความสนใจของผู้ฟงั ให้จบั จอ้ งอย่ทู ค่ี าพูดของคุณ
เลอื กจดุ เปล่ียนที่เหมาะสม เปล่ียนจงั หวะการพดู เพื่อไมใ่ ห้การพดู ของคุณราบเรียบจนเกนิ ไป พดู ให้เรว็ ขึน้ ใน
บางช่วงแลว้ ช้าลง หยดุ เวน้ ช่วงบ้างเพอ่ื สร้างอารมณ์ ” (Carmine Gallo 2010)
ภาษากาย (Body Language) มคี วามสาคัญต่อการสอ่ื สารของผู้นาเสนอ ภาษากายเปน็ ปัจจยั หนงึ่ ที่
ชว่ ยสร้างความประทบั ใจแรกพบ (First Impression)ให้เกิดข้ึนในการนาเสนองาน กอ่ นทีผ่ ้นู าเสนอจะเรมิ่ พดู
ควรทีจ่ ะประสานสายตา (Eye Contact)กบั ผูฟ้ ังเพอื่ แสดงความเป็นมติ รและความเข้าใจ ผู้นาเสนอทด่ี ีต้องมี
การประสานสายตากับผู้ฟงั อยา่ งสมา่ เสมอ การวางทา่ (Posture) หรอื การปรากฏกายของผู้นาเสนอในขณะท่ี
นาเสนองานต่อผู้ฟงั ทีเ่ หมาะสม คือควรวางท่าอย่างสบายๆเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากทีส่ ุดผนวกกบั มคี วาม
คล่องตัวพรอ้ มจะสอื่ สารกบั ผฟู้ งั ควรใชท้ า่ ทางให้เป็นธรรมชาตแิ สดงถงึ ความกระฉบั กระเฉง คล่องแคลว่ และ
ม่ันใจ
เทคนคิ ในการใช้ภาษากายเพื่อสร้างความประทบั ใจ
๑. เวลาจะนาเสนองาน ควรลุกขนึ้ ยืนอยา่ งสง่างาม
๒. เดนิ ไปท่ีเวทีดว้ ยทา่ ทางกระตอื รอื ร้น สร้างความรสู้ ึกประหนง่ึ ว่ากาลงั เดินขน้ึ ไปรบั รางวลั
๓. ก่อนจะเรมิ่ พดู ควรยิ้มอย่างอบอนุ่ กับผู้ฟัง
๔. ควรสบสายตากบั ผฟู้ ังกอ่ นจะพูด
วิธีการพูดและภาษากายเป็นปัจจัยสาคญั ท่ีจะสรา้ งความประทบั ใจให้กับผ้ฟู ัง ภาษากายควรสะท้อนใหเ้ หน็
ถึงความม่นั ใจในคาพูดของผนู้ าเสนอ วธิ กี ารส่ือสารท่ดี จี ะเกดิ ขึน้ ไดก้ ็ต่อเมือ่ มีการฝึกฝนบ่อยๆ ฝกึ การอ่านออก
เสียงดังๆเพือ่ ฟงั เสียงของตัวเอง หาจุดเดน่ จุดดอ้ ยในการใชเ้ สยี ง บันทกึ ภาพและเสยี งการนาเสนองานของ
ตนเองเพอ่ื นามาปรับปรงุ แก้ไขจุดบกพรอ่ งในการสอื่ สาร
การเตรยี มใจ การไดร้ บั มอบหมายใหน้ าเสนองาน บ่อยครั้งสร้างความวิตกกงั วลให้กับผไู้ ดร้ บั
มอบหมายวา่ จะพูดไดไ้ หม จะพูดรเู้ รือ่ งหรือเปล่า จะมคี นสนใจฟงั ไหม จะมีคนถามคาถามหรือเปลา่ สารพดั
ความวิตกกงั วลทเี่ กดิ ขึน้ ส่งผลใหข้ าดความเชอ่ื มั่นและความมน่ั ใจในการนาเสนองานเพม่ิ มากข้นึ การเตรยี มใจ
ด้วยการคิดบวก( Positive Thinking) จึงเปน็ สง่ิ สาคญั Elizabeth Tierney (1999:56) กลา่ ววา่ การคดิ บวก
เปน็ วธิ ีการท่ีดีทส่ี ดุ ในการขจดั ความเครยี ดและความวิตกกงั วลในการนาเสนอ ผู้นาเสนอควรคดิ เสมอวา่ การ
นาเสนองานคือการนาสิ่งทเ่ี ปน็ ประโยชน์มาแบ่งปนั ใหก้ ับผู้ฟัง เชน่ ทาให้ผ้ฟู ังมคี วามร้คู วามเข้าใจมากขนึ้ ทาให้
ผฟู้ ังรสู้ ึกชีวิตดขี ึ้น ชว่ ยแก้ปญั หาใหก้ บั ผฟู้ งั เป็นตน้
ต. ที่ 2 เตรียมเนอื้ หา เนื้อหาเป็นสงิ่ สาคัญท่ีสุดในการนาเสนองาน ถ้าไมม่ ีเน้อื หาการนาเสนองานก็เกิดข้นึ
ไม่ได้ การเตรยี มเน้ือหา คือการกาหนดว่าเนอ้ื หาทีน่ าเสนอมีประเด็นใดบ้าง ควรมีการจัดลาดบั เนื้อหา
อย่างไร เนอื้ หาเปน็ ส่งิ สาคญั ในการนาเสนอ ผนู้ าเสนอจะตอ้ งมคี วามรู้ ความเข้าใจเนอ้ื หาทต่ี นนาเสนอเปน็
อยา่ งดี เรียกว่า รลู้ ึก รจู้ รงิ ในส่งิ ทีพ่ ดู เม่ือเรารู้และเข้าใจในส่งิ ทีเ่ รานาเสนอ จะทาให้เราสามารถถ่ายทอด
ข้อมูลให้ผฟู้ ังเข้าใจไดง้ า่ ยข้ึน ดงั ท่ี Albert Einstein กล่าวไวว้ า่ “ If you can’t explain it simply, you
don’t understand it well enough”
ก่อนท่ีจะเตรียมเนอื้ หา ผู้นาเสนอควรกาหนดจุดมุ่งหมายในการนาเสนอและศกึ ษาขอ้ มลู ผฟู้ ัง เพื่อเปน็
การกาหนดทิศทางการนาเสนอ การกาหนดจุดมุ่งหมายเป็นการตอบคาถามที่วา่ “ทาไมถงึ ตอ้ งนาเสนองาน”
ผู้นาเสนอคาดหวงั วา่ จะเกิดผลอะไรจากการนาเสนอ เชน่ เพ่อื ให้ขอ้ มลู ขา่ วสาร เพอ่ื จงู ใจ เพ่อื ขายหรือเพ่อื สอน
เป็นตน้ ในการนาเสนองานผ้นู าเสนอทกุ คนควรจะกาหนดเป้าหมายหรือวตั ถุประสงค์ของการนาเสนอ ซึง่ การ
วดั ความสาเร็จของการนาเสนองานสามารถพิจารณาไดจ้ ากผลของการนาเสนอนน้ั วา่ ตอบสนองตอ่ วัตถปุ ระสงค์
ท่ตี ง้ั ไว้หรือไม่
การศึกษาผฟู้ งั ในการนาเสนองาน ผ้นู าเสนอควรทจ่ี ะทราบล่วงหน้าวา่ ใครจะเข้าร่วมฟังบา้ ง หากร้จู ัก
กลุม่ ผฟู้ ังดีเท่าไรก็จะสามารถนาเสนองานให้เข้าถงึ กลุ่มผฟู้ งั ได้งา่ ยขนึ้ เท่านนั้ ผู้ฟังจะมคี วามหลากหลายทัง้
ทางดา้ นภมู ิหลงั ลักษณะทางจติ วิทยา ทีส่ าคญั ควรวิเคราะหค์ วามต้องการของผู้ฟัง (Audiences ’ need) วา่
ผู้ฟังจาเปน็ ต้องรู้อะไรบ้างและผฟู้ ังตอ้ งการรู้อะไรบ้างจากการนาเสนอ ปญั หาหน่ึงของการนาเสนองานคือการ
ไมน่ าเสนอในสิง่ ที่ผฟู้ ังตอ้ งการท่ีจะไดฟ้ งั หากนาเสนอแตเ่ พยี งสง่ิ ที่ผู้ฟงั จาเปน็ ตอ้ งรู้ โดยไม่คานึงวา่ ผู้ฟัง
ตอ้ งการร้อู ะไรบ้าง เมือ่ นาเสนอเสรจ็ อาจทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดคาถามค้างในใจถงึ สง่ิ ท่ีต้องการจะรแู้ ตไ่ ม่ได้รู้ การ
วิเคราะหค์ วามตอ้ งการของผู้ฟงั จะทาให้มขี ้อมูลเพื่อใชใ้ นการกาหนดแนวทางและวิธีการทีถ่ ูกต้องในการ
นาเสนอแก่ผ้ฟู ังแต่ละกลุ่มทแี่ ตกต่างกนั ทงั้ ในด้านความคาดหวงั และเหตุผลของผฟู้ งั ที่มตี อ่ การนาเสนอนนั้ ๆ
การนาเสนอท่ีดที ี่สุดคือการนาเสนอดว้ ยวธิ ีการและแนวทางที่ถูกใจผ้ฟู ัง
การเตรียมเน้ือหา ผนู้ าเสนอควรเขียนโครงรา่ งเนอ้ื หาโดยแบง่ เนอื้ หาออกเปน็ 3 สว่ น ตามโครงสรา้ งเนือ้ หา
ได้แก่ การเปิด (Opening) เนือ้ หาหลัก (Body) และ การปิด (Closing)
การเปิด (Opening) คอื การดึงดูดความสนใจจากผ้ฟู ังและทาใหผ้ ู้ฟังสนใจติดตามเนื้อหา การเปิดท่ี
ดจี ะสรา้ งความน่าเช่ือถอื ให้กบั ผนู้ าเสนอ ผู้พูดทไ่ี ม่มีประสบการณ์มกั จะเร่มิ ต้นด้วยการกลา่ วคาขอโทษในเรอ่ื ง
ทแ่ี สดงถงึ ความไมม่ ั่นใจและไมพ่ ร้อม เช่น ขอโทษท่ีมาสาย , งานยงั ไมเ่ รียบรอ้ ย ,ไมเ่ คยนาเสนอมากอ่ น หรอื
รู้สกึ ต่นื เตน้ มาก ซง่ึ ถือเป็นการเร่มิ ตน้ ที่ไมด่ ี เพราะผฟู้ งั จะตดั สนิ ผูน้ าเสนอต้ังแต่การเร่มิ ต้นการนาเสนอ ถา้
เรมิ่ ตน้ ไมด่ ี จะเปน็ การลดความนา่ เช่ือถอื ของผนู้ าเสนอ
การกลา่ วเปิดที่ดนี ้นั ควรคานงึ ถึงสงิ่ ตอ่ ไปน้ี
๑. สามารถดงึ ดดู ความสนใจจากผู้ฟงั
๒. กล่าวถงึ ประเด็นสาคัญเป็นหลกั แต่สามารถเสนอภาพรวมของเนื้อหาทง้ั หมด
๓. ชี้ใหเ้ หน็ ถึงประโยชนท์ ่ีผฟู้ งั จะไดร้ บั จากการนาเสนอ
๔. ทาให้ผูฟ้ ังเกดิ ความเช่อื ถือและม่ันใจผูน้ าเสนอ
เนือ้ หาหลัก (Body )ในช่วงกลางของการนาเสนอเปน็ ช่วงทเี่ หมาะสาหรบั การนาเสนอ
รายละเอยี ด แตผ่ ูพ้ ูดควรระมดั ระวังไม่ใหผ้ ู้ฟงั เกิดความเบื่อหนา่ ย จากกราฟท่ี 1 แสดงผลการวิจยั ทางจิตวิทยา
ในเร่ืองระดบั ความสนใจของผู้ฟงั กบั ระยะเวลาในการนาเสนองาน โดยศึกษาการนาเสนองานทใี่ ชร้ ะยะเวลา
ท้ังสิ้น 40 นาที พบว่าชว่ งเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผูฟ้ ังจะอยูใ่ นระดบั ท่ีสูง หลังจากนน้ั ระดับความ
สนใจจะลดลงมาเรอื่ ยๆ จนกระทง่ั ประมาณ 30 นาที ระดบั ความสนใจจะอยู่ในระดบั ต่าสุด และจะเรมิ่ สูงขน้ึ
อกี คร้งั เมื่อใกลเ้ วลา 5 นาทสี ดุ ท้าย
จากผลการศกึ ษามปี ระเดน็ ทนี่ ่าสนใจ 4 ประเด็นคอื ประเดน็ แรกการนาเสนองานในระยะเวลาสัน้ ๆ
จะเป็นชว่ งทผี่ ู้ฟงั มคี วามสนใจอยใู่ นระดับที่สูง ประเดน็ ทส่ี อง การนาเสนอประเดน็ สาคญั เพือ่ ใหผ้ ู้ฟังเกดิ การ
จดจาควรนาเสนอในชว่ งเริม่ ต้น และช่วงสุดทา้ ย ประเดน็ ที่สาม หลังจาก 10 นาทีแรกระดบั ความสนใจของ
ผูฟ้ งั จะลดลง ควรจะใชส้ ือ่ หรอื เทคนิคต่างๆ ชว่ ยในการดงึ ความสนใจผูฟ้ ังกลบั มา และประเด็นสดุ ท้ายระดบั
ความสนใจของผฟู้ งั จะไมเ่ พ่มิ ขน้ึ ในช่วงทา้ ยของการนาเสนอ หากผู้ฟังไม่ทราบวา่ กาลงั จะถึงช่วงทา้ ยของการ
นาเสนอ
การปดิ (Closing) การปิดมีความสาคญั เทา่ กับการเปิด ซงึ่ ถอื เป็นโอกาสสดุ ท้ายทผี่ ู้นาเสนอจะ
สามารถสรา้ งความจดจาและความประทบั ใจใหเ้ กิดขน้ึ กบั ผู้ฟงั ผู้นาเสนอจาเปน็ ต้องวางแผนการพูด ควรกลา่ ว
ย้าและทบทวนถงึ วัตถปุ ระสงคใ์ นการนาเสนอและสรุปประเดน็ ทส่ี าคญั รวมท้งั แนวคิดหลกั ๆ ซงึ่ เช่ือมโยง
เนอ้ื หาทกุ ส่วนเขา้ ด้วยกัน
นอกจากจะเตรยี มเนอ้ื หาแลว้ ผนู้ าเสนองานควรเตรยี มตัวสาหรบั การตอบคาถาม โดยคาดการณ์
ลว่ งหนา้ เกยี่ วกับคาถามท่ผี ูฟ้ ังจะถาม และเตรยี มคาตอบให้พร้อมกับทุกคาถาม ซง่ึ การคาดการณ์ลว่ งหนา้
เกิดขนึ้ ได้จากการศึกษาผู้ฟงั และจากประสบการณ์ของผ้นู าเสนอ นอกจากนนั้ การคดิ บวกตอ่ การถามคาถามจะ
ช่วยสร้างความเช่ือมนั่ ในการตอบคาถาม ผนู้ าเสนอไมค่ วรมองวา่ การถามคาถามของผู้ฟงั เปน็ การจบั ผิดไมไ่ ว้ใจ
หรือ มอี คติกบั ผนู้ าเสนอ พยายามมองคณุ คา่ ของการถามคาถามวา่ การตอบคาถามเป็นโอกาสที่ได้อธบิ ายหรอื
ตอกย้าประเด็นสาคญั และที่สาคญั การตอบคาถามเป็นวิธกี ารที่จะสร้างความนา่ เชื่อถือใหก้ ับตวั ผ้นู าเสนอ
เพราะเปน็ การแสดงวา่ ผนู้ าเสนอมีความรอบรู้ในเรื่องที่นาเสนอ
ต. ที่ 3 เตรยี มส่อื การนาเสนองานโดยการพูดหรือบรรยายใหผ้ ฟู้ งั ฟังแตเ่ พียงอยา่ งเดยี ว บางคร้ัง
อาจจะไมส่ ามารถส่ือความหมายไดต้ รงตามวัตถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ ซึง่ อาจเปน็ เพราะความยากของเน้อื หาที่
นาเสนอหรอื ความสามารถในการอธบิ ายของผูน้ าเสนอไม่ดีพอ ดงั นนั้ การแกไ้ ขปญั หาดงั กล่าวได้ กด็ ้วยการใช้
สอื่ ประกอบในการนาเสนอ
สอ่ื ทีใ่ ช้ประกอบในการนาเสนอเช่น ภาพถ่าย แผนภูมิ แผนภาพ คลปิ ภาพ คลปิ เสียง เป็นตน้ จาก
เทคโนโลยีที่พฒั นากา้ วไกลในปจั จุบนั ทาให้สือ่ ท่ีใช้ในการนาเสนอมีลูกเลน่ มคี วามนา่ สนใจมากขน้ึ ประกอบ
กบั โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ทใ่ี ช้ในการออกแบบส่อื สามารถใชง้ านไดง้ ่ายและสะดวกสบายมากกว่าแต่ก่อน ผนู้ า
เสนอบางคนจึงให้ความสาคญั ในการเตรียมสื่อ มากกว่าการเตรียมเนื้อหา ประกอบกับความเช่อื ว่าหากนาเสนอ
ดว้ ยสือ่ ท่ีดูดี เทคนิคหลากหลาย จะทาให้การนาเสนอสามารถดงึ ดดู ความสนใจของผฟู้ งั ได้ ความเช่ือดังกลา่ วมี
ความถกู ต้องแตไ่ มถ่ ูกทง้ั หมด เพราะหากผ้นู าเสนอนาเสนอดว้ ยส่อื ท่ีสวยงาม โดยไม่มีความรู้ ความเข้าใจใน
เร่ืองทน่ี าเสนอ กจ็ ะไมส่ ามารถดึงดูดความสนใจของผ้ฟู ังได้ ดงั น้นั การใชส้ อ่ื ในการนาเสนอพงึ ระลกึ เสมอว่าให้
สือ่ เปน็ พระรอง ที่ช่วยเสริมความเข้าใจในเนือ้ หา ผู้นาเสนอจะตอ้ งเปน็ ตวั เอกในการนาเสนอ
เทคนคิ 3 ต.การเตรยี มกายและใจ การเตรียมเน้อื หา และการเตรยี มสอ่ื จะช่วยลดความวติ กกังวล
ในการนาเสนองาน ทาให้ผู้นาเสนอมคี วามพรอ้ มทีจ่ ะสอ่ื สารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ สามารถสร้างความ
ประทบั ใจและความน่าเชือ่ ถือใหเ้ กิดข้ึน และหลังจากการนาเสนอผูน้ าเสนอควรมกี ารประเมินตนเอง หากผู้
นาเสนอมองย้อนกลบั ไป และประเมนิ ในสง่ิ ทที่ าไดด้ แี ละสงิ่ ท่ที าได้ไมด่ ี รวมถึงพจิ ารณาสาเหตขุ องปญั หาก็จะ
ทาให้การนาเสนองานครัง้ ตอ่ ไปมปี ระสิทธภิ าพย่งิ ขึน้ ดังคากล่าวของวินสตนั เชอรช์ ลิ ล์ ที่วา่ “ The farther
backward you can look, the farther forward you are likely to see” ย่ิงสามารถมองไปข้างหลงั ได้ไกล
เพยี งใด ก็จะยงิ่ มีโอกาสเห็นขา้ งหน้าไดไ้ กลเพียงนัน้
ลักษณะและรูปแบบการนาเสนอ
เปน็ ทท่ี ราบกันดวี า่ มนุษย์สามารถรบั รู้สาระ เรื่องราวไดด้ ที ส่ี ุดผ่านระบบประสาททางตา (75%)
รองลงมาก็คือทางการได้ยนิ ผ่านหู (13%) แตค่ นเราจะจาได้เพียง 20% ของส่ิงทไี่ ด้เห็น และจาเพยี ง 30% ของ
สง่ิ ท่ไี ด้ยนิ แต่ถา้ หากตั้งใจรับท้งั การไดย้ นิ และประทับใจสงิ่ ที่ไดเ้ ห็น มนษุ ยจ์ ะจาไดส้ งู ถึง 70% เลยทเี ดียว
ดงั น้ัน หากเราสามารถสรา้ งสรรกระบวนการนาเสนอทีด่ ี ผา่ นการรบั ร้ดู ว้ ยตาและหู (Audio & Visual) กถ็ อื
เป็นกระบวนการการถา่ ยทอดหรอื การส่อื สารผ่านพลงั ของการนาเสนอท่มี ีประสทิ ธิภาพ
รปู แบบของการนาเสนอในปจั จุบัน พอสรปุ โดยภาพรวมจะมี 3 วธิ กี าร คือ
๑. มีผู้นาเสนอเป็นหลกั
ลักษณะการถ่ายทอดจะอยทู่ ต่ี วั คนหรือผูน้ าเสนอ(พดู ) เป็นสาคัญ รูปแบบมักจะเปน็ การปาฐกถา การกล่าวเปดิ
ประชุม การบรรยายก่อนการประชุมสมั มนา เปน็ ตน้ การนาเสนออาจจะมกี ารใชเ้ อกสารประกอบ (Handout)
เป็นส่วนร่วมในการนาเสนอดว้ ยกไ็ ด้
๒. มผี ู้นาเสนอและใชส้ ่ืออปุ กรณ์
การถ่ายทอดรูปแบบนี้แมจ้ ะใช้คนเปน็ ผนู้ าเสนอเป็นหลกั เชน่ แบบแรก แต่มีการผสมผสานดว้ ยส่อื กลางท่ีเปน็
ภาพนิ่งหรอื มัลตมิ เี ดียผา่ นอปุ กรณ์ เครื่องมอื เปน็ การนาเสนอท่ีเพม่ิ มมุ มอง ความน่าสนใจ นอกจากน้อี าจจะมี
เอกสารประกอบ (Handout) การบรรยายหรอื การนาเสนอด้วย
๓. นาเสนอในรูปของนทิ รรศการ
การนาเสนอแบบนตี้ วั Display จะเปน็ สื่อหลักในการถ่ายทอดสาระความรู้ หากนิทรรศการมีความต่อเนอ่ื งอาจ
ใช้เสน้ นาทาง หรอื ชอ่ งทางบังคบั เปน็ ส่วนพาผู้ชมไดเ้ รยี นร้เู นอ้ื หาไปตามลาดับ โดยการนาเสนอเช่นนี้อาจจะมี
การบรรยายเพม่ิ เติมดว้ ยวทิ ยากร หรอื การให้ข้อมูลผา่ นเสยี ง หรือผ่านการแสดง หรอื ผา่ นสื่อประกอบอื่นๆรว่ ม
อาทิ ส่ือเสมือนจรงิ ของจริง สอื่ วดิ ีทัศน์ หรอื เอกสารประกอบ