The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติความเป็นมาดนตรีพื้นบ้านล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bank AEKARIN, 2023-07-02 13:15:44

ประวัติความเป็นมาดนตรีพื้นบ้านล้านนา

ประวัติความเป็นมาดนตรีพื้นบ้านล้านนา

Keywords: ประวัติความเป็นมาดนตรีพื้นบ้านล้านนา

๑ บทที่ ๑ เรื่อง ประวัติความเป็นมาของดนตรีพื้นบ้านล้านนา ความเป็นมา ดนตรีพื้นบ้านเป็นดนตรีที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้นด้วยการร้องหรือบรรเลงโดยชาวบ้านและ ชาวบ้านด้วยกันเป็นผู้ฟัง ดนตรีพื้นบ้านของทางภาคเหนือ คือ วงสะล้อ ซอ ซึง เป็นการน าเครื่อง ดนตรีประเภทเครื่องสาย หรือเครื่องดนตรีมีที่มีขนาดเล็กสามารถน าติดตัวไปบรรเลงในที่ต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีประจ ากายมาบรรเลงร่วมกัน ซึ่ง วงสะล้อ ซอ ซึง เริ่มมีการรวมวง เมื่อ ๘๐ กว่าปีมานี้เอง ช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ก่อนหน้าการรวมวงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น แยกการบรรเลง ไม่น ามาบรรเลงร่วมกันอย่างเด่นชัด วงสะล้อ ซอ ซึง หมายถึง วงดนตรี ที่น าเอาเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสายของภาคเหนือ คือ ซึงสะล้อ และเครื่องประกอบจังหวะมาบรรเลงรวมกันเป็นวง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในภาคเหนือ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีอยู่เฉพาะในภาคเหนือตอนบนเท่านั้น ถือว่าเป็นวงดนตรีพื้นบ้านของ ท้องถิ่นล้านนา ชื่อเรียกของวงดนตรี บางครั้งเรียก วงสะล้อ ซอ ซึง บ้างก็เรียก วง ซึง สะล้อ คงจะเป็นเพราะ วงสะล้อ ซอ ซึง ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ในการบรรเลง มีการน าเอาขลุ่ยพื้นเมือง ( ขลุ่ยตาด ) หรือปี่จุม มาบรรเลงร่วมด้วย บางครั้งมีการขับร้องเพลง ( ซอ ) ประกอบโดยใช้ท านองเพลงพื้นเมือง ขอแยกความหมายเพื่อให้ชัดเจน ดังนี้ สะล้อ เป็นเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการเล่นโดยการสี ซอ เป็นภาษาพื้นบ้านล้านนา หมายถึง การขับร้องเพลง ซึง เป็นเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการเล่นโดยการดีด ภาพที่ ๑ http://www.watsamphan.com (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๒ ดนตรีพื้นบ้านมีลักษณะดังนี้ ๑. เป็นดนตรีของชาวบ้าน ส่วนมากเกิดขึ้นและพัฒนาในสังคมเกษตรกรรม มีลักษณะที่ไม่มี ระบบกฎเกณฑ์ชัดเจนตายตัว ประกอบกับใช้วิธีถ่ายทอดด้วยปากและการจดจ า จึงเป็นเหตุให้ไม่มีใคร เอาใจใส่ศึกษาหรือจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานดังเช่นดนตรีสากล ๒. เป็นดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น แต่ละท้องถิ่นจะมีดนตรีที่มีส าเนียง ท านอง และจังหวะ ลีลาของตนเอง ดนตรีพื้นบ้านส่วนใหญ่มีท านองที่ประดิษฐ์ดัดแปลงมาจากท านองของเสียงธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ซอของดนตรีภาคเหนือ คือ เพลงจะปุ มีท านองอ่อนหวานตามส าเนียงพูดของคนไทย ชาวเมืองจะปุในแคว้นสิบสองปันนาหรือ ซอล่องน่าน ของจังหวัดน่านมีท านองเหมือนกระแสน้ าไหล ภาพที่ ๒ การแสดง สะล้อซอซึง เทศบาลต าบลสารภี จังหวัดเชียงใหม่ (๒๘ ม.ค. ๕๕) ลักษณะการบรรเลง ชาวบ้านล้านนาในอดีต มักนิยมใช้เวลาว่างในตอนกลางคืนให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะ ผู้หญิงสาว ภารกิจที่เป็นประโยชน์มักจะได้แก่ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อเตรียมไปเพาะปลูก ในวันรุ่งขึ้น บางทีก็ “ไซ้ (เลือก)” พืชผลทางการเกษตรที่ผลิตออกมาเพื่อจ าหน่าย จึงกลายเป็น จุดศูนย์กลางและการดึงดูดความสนใจของหนุ่ม และกลายเป็นศูนย์รวม “นักแอ่วสาว” ทั้งหลายและ ดนตรีคู่กายชายหนุ่มย่อมน ามาใช้ตามความถนัด สันนิษฐานว่าคงมีการนัดหมายเพื่อให้มาบรรเลง แนวเดียวกัน จึงเป็นการพัฒนาการขั้นแรกของการผสมวงดนตรี กลุ่มนักแอ่วสาวตามลานบ้าน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี เปี๊ยะ สะล้อ ซึง ขลุ่ย ปี่ กลองพื้นเมือง (กลองโป่งโป้ง) จึงกลายเป็นดนตรี พื้นบ้านภาคเหนือโดยปริยาย นิยมเรียกตามชนิดของเครื่องดนตรีที่น ามาผสมเป็นวงว่า “วงสะล้อ ซอ ซึง”


๓ ลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารและสื่อความหมายอย่างดียิ่งประเภทหนึ่ง รองลงมาจากภาษา ทุกท้องถิ่นทั่วโลกจึงมีดนตรีและภาษาเป็นของตนเอง หากเราได้มีโอกาสศึกษาอย่างถ่องแท้ จะทราบ ได้ว่า ทั้งภาษาและดนตรีมีแหล่งก าเนิดจากที่เดียวกัน เมื่อแพร่หลายกว้างขวางออกไปมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มเกิดความแตกต่างเป็นดนตรีเฉพาะถิ่นหรือภาษาถิ่น วงดนตรีพื้นเมืองและนักดนตรีพื้นเมืองแต่ละท้องถิ่นนั้น นิยมบรรเลงกันตามท้องถิ่นและยึดเป็น “อาชีพรอง” ยังคงเล่นดนตรีแบบดั่งเดิม ท านองเพลง ระเบียบวินัย และวิธีการเล่น จึงไม่ตรงตาม หลักสากล จุดบกพร่องเหล่านี้ถือเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่น่าศึกษาแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟู และมีวิธีการสืบทอดภูมิปัญญาสู่ชนรุ่นหลัง การอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านเป็นสิ่งที่ส าคัญเพราะแนวโน้ม การสูญหายของดนตรีพื้นบ้านมีมากขึ้น นักเรียนและคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมกัน ที่มา: www.macm.grad.chula.ac.th/.../ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ (๒๕ ม.ค.๕๕) ภาพที่ ๓ ถนนคนเดิน จังหวัดเชียงใหม่ (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๔ บทที่ ๒ เรื่อง เครื่องดนตรี สะล้อ ซอ ซึง และวิธีการฝึก กลองพื้นเมือง กลองพื้นเมือง มีลักษณะคล้ายตะโพน แต่มีขนาดเล็กกว่า เรียกกันทั่วไปว่า กลองโป่งโป้ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหน้ากลองด้านเล็ก ประมาณ ๖ นิ้วครึ่ง, ด้านใหญ่ประมาณ ๘ นิ้วครึ่ง ความยาวประมาณ ๑๖ นิ้ว กลองพื้นเมือง ส่วนมากท าด้วยไม้ขนุน, ไม้สักและไม้ซ้อ ส่วนหนังกลอง ใช้หนังวัว จังหวะหน้าทับพื้นเมือง จังหวะหน้าทับหรือจังหวะการตีกลองที่ใช้กับการบรรเลงพื้นเมืองนั้น ขึ้นอยู่กับลีลาและ ความช านาญของผู้ตีกลอง แต่ในที่นี้ได้น าตัวอย่างพื้นฐานแบบง่ายๆเพื่อฝึกตีเข้าจังหวะกับเพลง พื้นเมืองมาให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจฝึกตีกลอง ได้ศึกษาและฝึกตีตามหน้าพื้นเมือง ดังนี้ ให้ด้านกลองด้านใหญ่อยู่ทางขวามือ ด้านเล็กอยู่ทางซ้ายมือ มือขวาตีกลองด้านใหญ่เต็มฝ่ามือและ หยุดนิดหนึ่งแล้วยกเพื่อให้เกิดเสียง ป๊ะ ต่อไป มือซ้ายตีหน้ากลองด้านเล็ก ประมาณครึ่งฝ่ามือ หรือ หนึ่งในสามของฝ่ามือ ตีให้เกิดเสียง ติง แล้วมือขวาตีหน้ากลองด้านใหญ่อีก ประมาณ ครึ่งฝ่ามือโดยตี บริเวณค่อนมาทางด้านขอบ(ด้านคนตี)ของหน้ากลองให้เกิดเสียง ทั่ม แล้วฝึกตามจังหวะดนตรี เป็นเสียง ป๊ะ – ติง – ทั่ม ติง – ทุ่ม ติง และ ได้บรรจุลงในห้องโน้ตเพลงดังนี้ - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง


๕ ซึง ซึง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่ใช้วิธีเล่นโดยการดีด สมัยก่อนใช้สายลวดเส้นเล็กๆ หรือสายเบรกรถจักรยาน แต่ปัจจุบันนิยมใช้สายกีต้าร์แทน ซึงของชาวเหนือเป็นพิณแบบสายคู่โดย แบ่งคู่สายบน และ คู่สายล่าง(สายบน-สายลุ่ม) มีลูกนับแบ่งเป็นช่องๆ คล้ายกีต้าร์ ซึ่งมีทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และยังมีขนาดใหญ่ มากๆ เรียกว่า ซึงหลวง แต่ที่นิยมเล่นกันทั่วไปมักเล่น เพียง ๓ ขนาด คือ ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งใช้เล่นเพื่อให้เสียงกลมกลืนกัน ในการเล่นเป็นกลุ่ม หรือ คณะ หรือ เล่นบรรเลงเดี่ยว โดยการเลือกขนาดที่ชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละขนาดต่างมีส าเนียง เฉพาะตัว มีความไพเราะคนละรูปแบบ ส่วนประกอบของซึง ๑. ตัวซึง หรือ กล่องเสียง มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบ (สล่าแป๋งซึง) ส่วนความตื้น-ลึก และ หนา-บาง ของขอบด้านข้างและความหนาด้านล่างนั้น มีส่วนท าให้เกิดเสียงก้องกังวานมาก - น้อยได้ ๒. ตาดซึง เป็นแผ่นไม้บาง ๆ ปิดหน้าตัวซึงหรือกล่องเสียงไว้และเจาะรูให้เสียงสะท้อนออกมา จากกล่องเพียง ตาดซึงมีส่วนส าคัญในการรับการสั่นสะเทือนจากหย่อง(ก๊อป)ที่วางอยู่บน ตาดซึงโดยหย่องท าหน้าที่เป็นตัวน าการสั่นสะเทือนของสายซึงผ่านเข้าสู่กล่องเสียงเกิดเป็น เสียงสะท้อนเองออกมา ความหนาของไม้และขนาดรูเปิดเสียงของตาดซึง จะต้องพอดีและ สัมพันธ์กันกับขนาดของกล่องเสียง ซึ่งจะท าให้เกิดเสียงไพเราะและดังดี ส่วนไม้เป็นตาดซึง ใช้ไม้ชนิดเดียวกับตัวซึงหรืออาจใช้ไม้อัดก็ได้ ๓. คอซึง คอซึงเป็นไม้ชนิดเดียวกับกล่องเสียงใช้ไม้ประกอบต่อให้สนิทเข้าด้วยกันกับกล่องเสียง ก็ได้ ขนาดความกว้างของคอซึงไม่ก าหนดเป็นมาตรฐานแล้วแต่ความชอบของผู้เล่น คอซึง เป็นที่วางหย่องพาดสายและวางลูกนับหรือนมซึงวางเรียงกันตามล าดับบันไดเสียง ๔ ๓ ๒ ๑ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙


๖ ๔. หัวซึงและลูกบิด (หลักซึงหรือหลักสาย) หัวซึงจะเจาะรูด้านข้างไว้ส าหรับใส่ลูกบิดและเซาะ ร่องตรงกลาง ส าหรับเวลาใส่สาย ลักษณะของหัวซึงจะออกแบบลวดลายต่างๆกัน ส่วนลูกบิดนั้นสมัยก่อนใช้แต่ลูกบิดไม้ ( หลักซึงหรือหลักสาย ) เวลาฝึกหัดซึงใหม่ จะตั้งเสียง ยากและช้า ดังนั้นจะใช้ลูกบิดกีต้าร์แทน ๕. หย่องหน้า หรือ หย่องพาดสาย เป็นตัวจัดวางสายซึง โดยแบ่งเป็นคู่สายบนและคู่สายล่าง ความสูงของหย่องหน้านี้ จะสัมพันธ์กันกับความสูงของหย่องหลังและลูกนับหรือ นมหย่องหน้า จะต้องไม่สูงเกินไปเพราะจะท าให้ผู้เล่นเจ็บนิ้วเวลากดสาย ๖. ลูกนับหรือนม จะจัดวางเรียงกันตามล าดับสูงไปต่ าเวลากดสายซึงลูกใดลูกหนึ่ง ซึงต้องไม่ไป แตะลูกนับหรือนมตัวถัดไป ลูกนับหรือนมซึงท าด้วยไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่หรือกระดูกก็ได้ บางครั้งก็ใช้หวาย ลูกนับซึงจะเรียกเป็นลูกที่ ๑ ลูกที่ ๒ ลูกที่ ๓ ลูกที่ ๔ และลูกต่อไปอีก เรื่อย ๆ ซึงแต่ละตัวจ านวนลูกนับไม่เท่ากัน เช่น ตัด ๑๑ ลูก หรือ ตัด ๙ ลูก บางทีตัดเพียง ๗ ลูกก็มี ไม่ได้จ ากัดตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้ท าซึงหรือผู้เล่น ๗. หย่องหลัง(ก๊อปหลัง) คือส่วนที่รับน้ าหนักแรงกดจากความตึงของสายซึงและเป็นตัวน าเสียง สั่นสะเทือนจากการดีดสายซึงผ่านตาดซึงเข้าไปในกล่องเสียงแล้วสะท้อนก้องออกมา หย่องหลังควรท าด้วยไม้เนื้อแข็งหรือกระดูกหรือเขาสัตว์ เพื่อให้เป็นตัวน าเสียงที่ดี ๘. ที่ยึดสายซึง อยู่ด้านท้ายท าหน้าที่ยึดสายซึงไว้ซึ่งจะใช้ตะปูตอกยึด หรือ เจาะเป็นรูก็ได้ ๙. สายซึงและไม้ดีด (บางที่ก็เรียกไม้เขี่ย) สมัยก่อนสายซึงใช้สายเบรกรถจักรยานหรือสายลวด ทองเหลืองหรือสายลวดสลิงเส้นเล็ก ๆ ที่คลี่ออกมาแล้ว ปัจจุบันนิยมใช้สายกีต้าร์เนื่องจาก สามารถเลือกขนาดของสายได้ แต่สายเบรกรถจักรยานก็ยังนิยมใช้กันอยู่ด้วยว่าเป็นวัสดุ ที่หาง่ายและมีความทนทาน ส่วนไม้ดีดนั้นจะใช้เขาควาย โดยน ามาท าเป็นรูปร่างแบบเล็ก ๆ คล้ายปิ๊กกีต้าร์ แต่จะเล็กและยาวกว่า ไม้ดีดท าด้วยเขาควายมักไม่ค่อยทน เพราะจะแตก หรือฉีกง่าย ดังนั้นจะใช้พลาสติกมาท าไม้ดีดแทนเขาควายก็ได้ การตั้งเสียงซึง มี ๒ แบบ คือแบบลูกสามและแบบลูกสี่ กล่าวคือ ซึงตัวเดียวกันสามารถตั้งเสียงให้ เล่นได้สองแบบ ก็คือ แบบลูกสามและแบบลูกสี่ แต่จะมีซึงพิเศษคือ ซึง ๓ คู่สาย ซึ่งจะรวมเอาตั้งเสียง ทั้งลูกสามและลูกสี่ไว้ในซึงตัวเดียวกันนี้ (ซึงลูกสาม กดคู่สายบนช่องที่ ๔ เท่ากับสายเปล่าคู่ล่าง) (ซึงลูกสี่ กดคู่สายบนช่องที่ ๓ เท่ากับสายเปล่าคู่ล่าง) การเทียบเสียง คือการเทียบเสียงซึงที่ดีดลงไปแต่ละลูกว่าเทียบได้กับโน้ตเสียงอะไร


๗ ซึงลูกสาม ซึงลูกสามคือ ซึงที่ตั้งสายเปล่าคู่บนเป็นเสียงโด ตั้งเสียงสายเปล่าคู่ล่างเป็นเสียงซอล และ เสียงลูกนับที่สามของสายคู่ล่างเป็นเสียงโดสูง ( ด ) สายเปล่าคู่บนเป็นเสียง โด สายเปล่าคู่ล่างเป็นเสียง ซอล ซึงลูกสาม การใช้นิ้วกับลูกนับแต่ละลูกเทียบเสียงตามโน้ต ได้ดังนี้ คู่สาย ลูกนับ นิ้ว เสียง (โน้ต) สายบน สายเปล่า - โด ( ด ) ลูกนับที่ ๑ นิ้วชี้ เร ( ร ) ลูกนับที่ ๒ นิ้วกลาง มี ( ม ) ลูกนับที่ ๓ นิ้วนาง ฟา ( ฟ ) สายล่าง สายเปล่า - ซอล ( ซ ) ลูกนับที่ ๑ นิ้วชี้ ลา ( ล ) ลูกนับที่ ๒ นิ้วกลาง ที ( ท ) ลูกนับที่ ๓ นิ้วนาง โด ( ด ) ลูกนับที่ ๔ นิ้วก้อย เร ( ร ) ลูกนับที่ ๕ นิ้วชี้ มี ( ม ) ลูกนับที่ ๖ นิ้วกลาง ฟา ( ฟํ ) ลูกนับที่ ๗ นิ้วนาง ซอล ( ซ ) ซึงลูกสาม สายคู่บน มักจะเล่น สายเปล่า, ลูกที่ ๑, ลูกที่ ๒, และลูกที่ ๓ เท่านั้น ส่วนลูกที่ ๔ คู่บน ไม่ต้องเล่นก็ได้ แต่จะดีดสายเปล่าคู่ล่างซึ่งเป็นเสียงซอล เสียงเดียวกันแทน


๘ ซึงลูกสี่ ซึงลูกสี่คือ ซึงที่ตั้งสายเปล่าคู่บนเป็นเสียงซอล ตั้งเสียงสายเปล่าคู่ล่างเป็นเสียงโด และเสียง ลูกนับที่สี่ของสายคู่ล่างเป็นเสียงซอลสูง ( ซ ) สายเปล่าคู่บนเป็นเสียง ซอล สายเปล่าคู่ล่างเป็นเสียง โด ซึงลูกสี่ การใช้นิ้วกับลูกนับแต่ละลูกเทียบเสียงตามโน้ต ได้ดังนี้ คู่สาย ลูกนับ นิ้ว เสียง (โน้ต) สายบน สายเปล่า - ซอล ( ซ ) ลูกนับที่ ๑ นิ้วชี้ ลา ( ล ) ลูกนับที่ ๒ นิ้วกลาง ที ( ท ) สายล่าง สายเปล่า - โด ( ด ) ลูกนับที่ ๑ นิ้วชี้ เร ( ร ) ลูกนับที่ ๒ นิ้วกลาง มี ( ม ) ลูกนับที่ ๓ นิ้วนาง ฟา ( ฟ ) ลูกนับที่ ๔ นิ้วก้อย ซอล ( ซ ) ลูกนับที่ ๕ นิ้วชี้ ลา ( ล ) ลูกนับที่ ๖ นิ้วกลาง ที ( ท ) ลูกนับที่ ๗ นิ้วนาง โด ( ด ) ซึงลูกสี่ สายคู่บน มักจะเล่น สายเปล่า, ลูกที่๑ และลูกที่ ๒ เท่านั้น ส่วนเสียงโดสูงลูกที่สาม มักจะเล่นสายเปล่าคู่ล่างซึ่งเป็นเสียงเดียวกันแทน


๙ ประเภทของซึง ซึงใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวซึงประมาณ ๑๒-๑๕ นิ้ว ช่วงคอซึงยาวประมาณ ๑๘ - ๒๐ นิ้ว ซึงใหญ่เป็นซึงที่ให้เสียงทุ้มกังวาน มักตั้งแบบซึงลูกสี่ ซึงกลาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ นิ้ว ช่วงคอซึงยาวประมาณ ๑๕ - ๑๖ นิ้ว เป็นซึงเสียงทุ้มปานกลาง ถ้าเล่นเป็นวงจะใช้ควบคุมท านองหลัก มักตั้งเสียงแบบซึงลูกสาม ซึงตัด เป็นซึงที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางของตัวซึงประมาณ ๖ - ๘ นิ้วใช้เล่นเพื่อให้ เสียงตัดหรือขัดกันกับซึงใหญ่และซึงกลาง นอกจากนี้ ยังมีซึงสามสายและซึงหลวง ซึงสามสายที่รวมการตั้งเสียงทั้งแบบลูกสามและลูกสี่ อยู่ในตัวเดียวกัน ส่วนซึงหลวงคือซึง ที่มีขนาดตัวซึงใหญ่มากๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ นิ้ว ขึ้นไป ซึงตัด ๘ นิ้ว ซึงกลาง ๑๐ นิ้ว ซึงใหญ่ ๑๒ นิ้ว ภาพที่ ๔ http://www.google.co.th/imgres?q=ซึง (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๑๐ การตั้งเสียงซึง การตั้งเสียงซึงนั้นมักตั้งเทียบกับเสียงของขลุ่ยที่จะใช้เป่าเล่นร่วมกัน ส่วนใหญ่วงดนตรีสะล้อ ซอซึงจะใช้ขลุ่ยหลิบหรือขลุ่ยพื้นเมืองเป็นตัวประสานเสียงและใช้เทียบเสียง แต่รูปแบบการเทียบเสียง กับขลุ่ยนี้ ไม่ได้ก าหนดเป็นมาตรฐานตายตัวว่าจะเทียบแบบไหน ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มหรือแต่ละคณะ ส่วนในเบื้องต้นได้น าเอาการเทียบเสียงกับขลุ่ยหลิบโดย ปิดรูเสียงหมดเป่าเสียง ฟา เปิดรูเสียง ๑ รู เป็น เสียง ซอล เพื่อตั้งเทียบกับเสียง ซอล ของสายเปล่าคู่ล่างของซึงกลางลูกสาม วิธีดีดซึง ให้กางนิ้วมือซ้ายกดสายซึงโดยสายซึงแตะกับลูกนับหรือนมซึง ส่วนมือขวาจับไม้ดีดลงไปยัง สายซึง แล้วฝึกดีดตามขั้นตอนดังนี้ ซึงลูกสาม มีวิธีการฝึกดีดและไล่เสียง ดังนี้ ๑. ดีดสายเปล่าคู่บน โดยการดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด นิ้วชี้ กดสายคู่บนที่ ลูกแรก ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต เร นิ้วกลาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สอง ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต มี นิ้วนาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สาม ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ฟา ดีดสายเปล่าคู่ล่าง ดีดลง แล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต พร้อมกับท่องโน้ต ซอล นิ้วชี้ กดสายคู่ล่างที่ ลูกแรก ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ลา นิ้วกลาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สอง ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ที นิ้วนาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สาม ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด ( ด ) ๒. ฝึกไล่เสียงกลับย้อนไปย้อนมาแบบข้างบน แต่เปลี่ยนวิธีการดีดเป็น ดีดขึ้น - ดีดลง ดีดสายเปล่าคู่บน ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต โด นิ้วชี้ กดสายแรกคู่บนที่ ลูกแรก ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต เร นิ้วกลาง กดสายแรกคู่บนที่ ลูกที่สอง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต มี นิ้วนาง กดสายแรกคู่บนที่ ลูกที่สาม ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ฟา ดีดสายเปล่าคู่ล่าง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต ซอล นิ้วชี้ กดสายคู่ล่างที่ ลูกแรก ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ลา นิ้วกลาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สอง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต ที นิ้วนาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สาม ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด ( ด )


๑๑ ซึงลูกสี่ มีวิธีการฝึกดีดและไล่เสียงตามขั้นตอน ดังนี้ ๑. ดีดสายเปล่าคู่บน โดยการดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ซอล นิ้วชี้ กดสายคู่บนที่ ลูกแรก ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ลา นิ้วกลาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สอง ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ที นิ้วนาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สาม ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด ดีดสายเปล่าคู่ล่าง ดีดลง แล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด นิ้วชี้ กดสายคู่ล่างที่ ลูกแรก ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต เร นิ้วกลาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สอง ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต มี นิ้วนาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สาม ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ฟา นิ้วก้อย กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สี่ ดีดลงแล้วตวัดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ซอล ( ซ ) ๒. ฝึกไล่เสียงกลับย้อนไปย้อนมาแบบข้างบน แต่เปลี่ยนวิธีการดีดเป็น ดีดขึ้น - ดีดลง ดีดสายเปล่าคู่บน ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต ซอล นิ้วชี้ กดสายคู่บนที่ ลูกแรก ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ลา นิ้วกลาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สอง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต ที นิ้วนาง กดสายคู่บนที่ ลูกที่สาม ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต โด ดีดสายเปล่าคู่ล่าง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต โด นิ้วชี้ กดสายคู่ล่างที่ ลูกแรก ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต เร นิ้วกลาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สอง ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต มี นิ้วนาง กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สาม ดีดขึ้น พร้อมกับท่องโน้ต ฟา นิ้วก้อย กดสายคู่ล่างที่ ลูกที่สี่ ดีดลง พร้อมกับท่องโน้ต ซอล ( ซ ) ให้ดีดจนจ าได้แล้วฝึกดีดย้อนกลับต้นมาจนคล่องแล้วก็ดีดสายคู่ล่างลูกต่อๆ ไปจนจ าได้แต่ช่วง จังหวะดีดจะต้องดีดสม่ าเสมอ และ ฝึกดีด จากจังหวะช้า ๆ ไปหาจังหวะที่เร็วขึ้นโดยมีเป้าหมายให้จ า เสียงจ าลูกนับเทียบกับตัวโน้ตแต่ละตัวและฝึกแยกประสาทในส่วนของมือซ้ายและมือขวาให้ สอดคล้องสัมพันธ์กันระหว่างการใช้นิ้วกดลูกซึงของมือซ้ายกับการดีดของมือขวา เพราะถ้าเราแยก ประสาทมือซ้ายกับมือขวาออกจากกันไม่ได้ การดีดก็ไม่สม่ าเสมอและจะดีดลงตามจังหวะได้ไม่ถูกต้อง การดีดรัวเสียง การฝึกดีดรัวเสียง ให้ดีดลงแล้วดีดขึ้น จากดีดช้าๆแล้วให้ค่อยๆเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเสียงรัว ให้ฝึกดีดทั้งสายเปล่ากดลูกนับแต่ละลูก ให้ใช้ส่วนของข้อมือเป็นจุดเคลื่อนไหว


๑๒ ท่าทางในการดีดซึง ท่ายืนและเดินดีด ใช้สายซึงคล้องคอหรือพาดกับหัวไหล่ ท่ายืนและเดินนี้จะเห็นได้ตามงาน ประเพณีพื้นบ้านต่างๆ เช่น งานสงกรานต์ งานลอยกระทง งานแสดงตามเวทีต่างๆ ฯลฯ ในสมัยก่อน พวกหนุ่มๆชอบสะพายซึงดีดไปตามถนนในหมู่บ้านเพื่อความสนุกสนานและจีบสาว (ดีดซึงขึ้นกอง ล่องกอง) ท่านั่งดีดซึง - นั่งขัดสมาธิ ตัวซึงวางบนตักหรือต้นขาขวาแนบกับล าตัวให้หลักซึงวางตั้งกับพื้น - นั่งขัดสมาธิ ให้ตัวซึงวางต้นขาขวา แนบกับล าตัว หลักซึงวางต้นวางตั้งบนหัวเข่า ด้านซ้าย - นั่งขัดสมาธิ ใช้สายสะพายซึงช่วยประคองไว้ให้หัวซึงเอียงขึ้น - นั่งแบบสบายๆต่างๆเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ภาพที่ ๕ http://www.google.co.th/search?q=ซึง (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๑๓ สะล้อ สะล้อ เป็นค าเดียวกับค าว่า ทรอ(ซอ) ซึ่งเอกสารโบราณบางฉบับเขียนว่า ตะล้อ, ธลอ เป็น เครื่องดนตรีพื้นบ้านล้านนา ใช้เล่นกับซึงหรือบรรเลงเดี่ยวก็ได้ สะล้อมีกล่องเสียงท าด้วย กะลามะพร้าว (กะโหล้งบ่าป้าว) และคันสะล้อใช้ไม้เนื้อแข็ง สะล้อมีรูปทรงคล้ายซออู้ซึ่งเป็น เครื่องสายของดนตรีไทย ในส่วนของรายละเอียดอาจแตกต่างกัน เป็นต้นว่า กล่องเสียงหรือ กะลามะพร้าว สะล้อด้านหน้าปิดด้วยแผ่นไม้บางๆ ส่วนซออู้นั้นด้านหน้าปิดด้วยหนังและสาย สะล้อใช้สายลวดหรือสายกีต้าร์ ส่วนซออู้นั้นเป็นสายเอ็นหรือสายไหม สะล้อเป็นเครื่องสายดนตรี พื้นบ้านล้านนาใช้วิธีเล่นโดยการสี โดยมีคันชักที่ใช้หางม้า แต่ปัจจุบันหางม้านั้นหายากจึงใช้สายเอ็น เส้นเล็กๆแทน เอาหางม้าหรือสายเอ็นหลายๆ เส้นมาขึงแล้วดึงเข้ากับไม้คันชักจนได้ความตึง จากนั้น ก็ใช้ยางสนใช้ขี้ขะย้า (ขี้ขะย้า มีสองชนิดคือ ขี้ขะย้าจากมูลของสัตว์ประเภทผึ้งชนิดหนึ่งและขี้ขะย้า จากยางไม้ประเภท ยาง ซึ่งได้แก่ ยางนา, ยางป่า ฯลฯ) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนยางสน น ามาถูไปมา ที่หางม้าหรือสายเอ็นเพื่อให้เกิดความฝืดในการเสียดสีระหว่างหางม้ากับสายสะล้อ การเสียดสีท าให้ เกิดเสียงขึ้นมา ส่วนประกอบของสะล้อ ๑. กล่องเสียง (กะโหล้ง) ๒. หน้าซอหรือตาดสะล้อ ๓. คันสะล้อ ๔. ลูกบิดสายทุ้ม (สายยาน) ๕. ลูกบิดสายเอก (สายเคร่ง) ๖. รัดอก (สายฮัด) ๗. สายเอก และ สายทุ้ม (สายเคร่ง สายยาน) ๘. หย่อง (ก๊อป) ๑ ๙. คันชัก (กง หรือ ก๋ง) ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙


๑๔ ประเภทของสะล้อ สะล้อใหญ่ มีความยาวของคันสะล้อ วัดจากขอบด้านบนกะลามะพร้าวถึงลูกบิดสายเอก ประมาณ ๑๖ นิ้ว สะล้อใหญ่เวลาสี เสียงที่ออกมา ทุ้มใหญ่ มักตั้งเสียงแบบ สะล้อลูกสาม (สายทุ้มเสียง โด - สายเอกเสียง ซอล) สะล้อกลาง มีขนาดความยาวของคันสะล้อ วัดจากจุดเดียวกันกับสะล้อใหญ่ ได้ประมาณ ๑๔ นิ้ว ส่วนกะลาก็มีขนาดลดลงมา เสียงที่ได้เป็นเสียงทุ้มปานกลาง มักใช้สีควบคุมท านองหลัก นิยมตั้งเสียงแบบสะล้อสี่ลูก (สายทุ้มเสียง ซอล-สายเอกเสียงโด) สะล้อน้อย หรือสะล้อเล็ก มีขนาดความยาวของคันสะล้อ วัดจากจุดเดียวกันกับสะล้อใหญ่ และกลางได้ประมาณ ๑๒ นิ้ว ให้เสียงสูงกว่าสะล้อกลาง มักตั้งเสียงเป็นแบบสะล้อลูกสาม นอกจากนี้ ยังมีสะล้อสามสายและสะล้อขนาดจิ๋วอีก สะล้อสามสาย เป็นการรวมเอาการตั้งเสียงแบบสะล้อ ลูกสามและสี่ ไว้ในตัวเดียวกัน แบบเดียวกับซึงสามสาย ส่วนสะล้อจิ๋วนั้น เป็นสะล้อที่มีขนาดเล็กลง จากสะล้อเล็กอีก เสียงที่ได้เป็นเสียงเล็กแหลมและสูง บทบาทและลีลา สะล้อใหญ่ มีลักษณะร่วมทางเสียงรวมระหว่างสะล้อเล็กและสะล้อกลาง แต่เสียงทุ้มต่ า บทบาทคล้ายคนมีอายุมากไม่ค่อยมีลีลาและลูกเล่นมากนัก สะล้อกลาง บทบาทคล้ายคนวัยกลางคน มีลีลาสอดรับกับสะล้อใหญ่และสะล้อเล็ก สะล้อเล็ก บทบาทคล้ายคนวัยคะนอง มีเสียงแหลมเล็ก ลีลาโลดโผนล้อและรับเสียงสะล้อ กลาง ซึงและขลุ่ย สะล้อที่กล่าวมาทั้งหมด นิยมบรรเลงร่วม ในวงสะล้อ-ซึง หรือที่เรียกกันว่าวง “สะล้อ ซอ ซึง” ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในภาคเหนือตอนบน สะล้อเมืองน่าน อย่างไรก็ตามยังมีสะล้อ อีกประเภทหนึ่งที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ได้แก่ สะล้อ ที่เป็นที่นิยมในจังหวัดน่าน และแพร่ สะล้อดังกล่าวมีลักษณะต่างออกไป สะล้อที่ใช้เล่นในวงสะล้อ – ซึง ท าขึ้นโดยอาศัยเลียนแบบของเก่าและประสบการณ์ทางเสียง และรูปลักษณ์ ในการตั้งเสียงสะล้อนั้น มีครูผู้สอนดนตรีพื้นเมืองหลายท่านได้ตั้งเสียงให้เหมือนกับการ ตั้งเสียงซอด้วง ของวงดนตรีไทยคือสายทุ้มเป็นเสียง ซอล และสายเอกเป็น เสียง เร เนื่องด้วยเป็นการ สะดวกที่เด็กนักเรียนที่เคยเล่นหรือไม่เคยเล่น ซอด้วงหรือสะล้อ ก็สามารถที่จะเล่นเครื่องดนตรี ทั้งสองชิ้นได้ เพราะมีการวางต าแหน่งนิ้วที่จะกดเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว สะล้อที่เล่นประสม กับซึงและเครื่องประกอบจังหวะ ในวงดนตรีพื้นบ้านล้านนา จะตั้งเสียงไม่เหมือนกัน


๑๕ การตั้งเสียงสะล้อ ใช้เทียบกับขลุ่ยพื้นเมือง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า มีระดับเสียงเท่ากับขลุ่ยหลิบ ของดนตรีไทย ซึ่งปิดรูเสียงทั้งหมดจะเป็นเสียง ฟา อาจจะใช้ขลุ่ยหลิบก็ได้ คือ ใช้มือข้างบนปิด ๓ นิ้ว และปิดรูต่ าอีก ๑ นิ้ว เมื่อเป่าจะเป็นเสียง โดสูง และใช้มือล่างอีกข้างหนึ่งปิดอีก ๓ รู รวมเป็น ๗ รู (ถ้านับทั้งนิ้วค้ า) จะเป็นเสียงซอล ต าแหน่งเสียง แบ่งตามลักษณะการตั้งเสียงได้ ๒ ประเภท ๑. ประเภทของสะล้อลูกสาม จะมีการตั้งเสียงสายเปล่า สายทุ้มกับสายเอก เป็นคู่เสียงที่ ๕ คือ โดกับซอล ต าแหน่งนิ้ว สายทุ้ม ( เสียง ) สายเอก ( เสียง ) สายเปล่า โด ( ด ) ซอล ( ซ ) กดนิ้วชี้ เร ( ร ) ลา ( ล ) กดนิ้วกลาง มี ( ม ) ที ( ท ) กดนิ้วนาง ฟา ( ฟ ) โด ( ด ) กดนิ้วก้อย เร ( ร ) ๒. ประเภทสะล้อลูกสี่ จะตั้งเสียงสายเปล่า สายทุ้มกับสายเอก เป็นคู่เสียงที่ ๔ เป็น ซอลกับโด ต าแหน่งนิ้ว สายทุ้ม ( เสียง ) สายเอก ( เสียง ) สายเปล่า ซอล ( ซ ) โด ( ด ) กดนิ้วชี้ ลา ( ล ) เร ( ร ) กดนิ้วกลาง ที ( ท ) มี ( ม ) กดนิ้วนาง ฟา ( ฟ ) กดนิ้วก้อย ซอล ( ซ ) การจับสะล้อ มือซ้าย จับคันสะล้อ ใช้โคนหัวแม่มือและร่องนิ้วชี้คีบ ใต้สายรัดอกหรือรัดอกไว้เล็กน้อย (ประมาณ ๑ - ๒ เซนติเมตร) ให้พอดีกับต าแหน่งที่จะสามารถใช้นิ้วทั้ง ๔ กดลงบนต าแหน่งเสียงได้ถนัด และบังคับคันซอไม่ให้โอนเอนหรือล้มได้ มือขวาจับคันสะล้อให้มืออยู่ในลักษณะแบมือสอดนิ้วก้อย นิ้วนางและนิ้วชี้ไว้ใต้คันชักและหางม้าหัวแม่มืออยู่บนคันชักคล้ายกับจับปากกา แล้วหงายมือบังคับให้ คันชักสะล้อวางและสีในแนวนอนขนานกับพื้น


๑๖ การใช้คันชักสะล้อ การใช้คนชักในการสีสะล้อ จะใช้หลักการ ชักออก – ชักเข้า และชักรวบ (ชักออกหนึ่งครั้ง ได้โน้ตหนึ่งตัว, ชักเข้าหนึ่งครั้งได้โน้ตหนึ่งตัว, ชักรวบหนึ่งครั้งได้โน้ตสองตัวหรือหลายตัว) แบบเดียวกันกับการสีซออู้หรือซอด้วง แต่ต าแหน่งคันชักของสะล้อจะอยู่นอกสายสะล้อ มือซ้าย จะคอยหมุนคันสะล้อไป – มา ให้สายเอก หรือ สายทุ้ม บิดมาตรงต าแหน่งที่จะใช้คันชักสี ซึ่งในขณะเดียวกัน นิ้วมือซ้ายก็จะคอยกดสายสะล้อตามต าแหน่งเสียงที่ต้องการไปด้วย จึงเป็นเสน่ห์ เฉพาะตัวของสะล้อ เวลาผู้เล่นสีสะล้อ นอกจากจะดูสวยงามแล้ว ยังท าให้ทั้งผู้เล่นและผู้ชม คอยเพลิดเพลินไปด้วย ภาพที่ ๖ http://www.google.co.th/imgres?q=สะล้อ (๒๘ ม.ค. ๕๕) การฝึกสีสะล้อ การฝึกสีสะล้อ จะใช้จังหวะ และ โน้ต เดียวกันกับการฝึกดีดซึง และต่อไปนี้จะก าหนดการฝึก โดยตั้งเสียงสะล้อเป็นสะล้อลูกสาม (สายที่อยู่ด้านตัวผู้ฝึกเป็นสายทุ้ม ส่วนสายที่อยู่ด้านนอก เป็นสายเอก) ให้ง่ามมือซ้ายจับคันสะล้อ (ให้ต่ ากว่ารัดอกเล็กน้อย)พร้อมที่จะหมุนคันสะล้อไป – มา มือขวาจับคันชักโดยใช้นิ้วชี้ตามแนวคันชัก นิ้วกลางสอดไว้ระหว่างคันชักกับหางม้า ส่วนนิ้วนาง ช่วยประคองหางม้าเริ่มต้นฝึกโดย - ฝึกสีสายเปล่า สายทุ้ม – สายเอก ให้หางม้าแตะที่สายทุ้ม กดคันชักไว้กับสายเบาๆ พอประมาณ ดึงคันชักมาหาตัว(มาทางขวา) เรียก คันชักออก และจะใช้เครื่องหมาย ( ) แทน เสร็จแล้วยังไม่ต้องยกหางม้าออก (ให้แตะอยู่ที่สายทุ้ม) จากนั้นดันให้คันชักไปด้านหน้า (ออกไป ทางซ้าย) เรียกคันชักเข้า จะใช้เครื่องหมาย ( ) แทน เมื่อสายทุ้มเสร็จแล้วยังไม่ต้องยกคันชัก ออกเพื่อที่จะสีสายเอกต่อไปโดยมือซ้ายหมุนคันสะล้อเข้ามาให้หางม้าแตะกับสายเอก แล้วให้คันชัก ชักออกแล้วชักเข้า ให้ฝึกสีสายทุ้มและสายเอกโดยชักออก ชักเข้า ช้าๆหลายๆ ครั้งเพื่อให้คุ้นมือฝึกสี สายทุ้ม – สายเอก (สายเคร่ง – สายยาน) โดย ก าหนดต าแหน่งของนิ้วที่จะกดลงที่สาย (ให้ระยะห่าง ระหว่างนิ้วกว้างพอประมาณเพื่อไม่ให้เสียงเพี้ยน) เทียบกับเสียงของโน้ต โดยที่ไม่ต้องยกคันชักออก จากสาย และมือซ้ายก็คอยหมุนคันสะล้อไป – มา และสีเรียงตามล าดับตาราง ดังนี้


๑๗ ตารางฝึกการใช้นิ้วและคันชักในการสีสะล้อลูกสาม สะล้อลูกสาม คือ การตั้งเสียงสะล้อสายทุ้มเป็นเสียง โด สายเอก เป็นเสียง ซอล สามารถก าหนดนิ้ว และฝึกใช้คันชักโดยสีสะล้อตามได้ ดังนี้ สาย นิ้ว คันชัก (สัญลักษณ์) เสียง (โน้ต) สายทุ้ม (สายยาน) สายเปล่า ออก ( ) โด ( ด ) นิ้วชี้ เข้า ( ) เร ( ร ) นิ้วกลาง ออก ( ) มี ( ม ) นิ้วนาง เข้า ( ) ฟา ( ฟ ) สายเอก (สายเคร่ง) สายเปล่า ออก ( ) ซอล ( ซ ) นิ้วชี้ เข้า ( ) ลา ( ล ) นิ้วกลาง ออก ( ) ที ( ท ) นิ้วนาง เข้า ( ) โด ( ด ) นิ้วก้อย ออก ( ) เร ( ร ) สายเปล่า เข้า ( ) ซอล ( ซ ) ตารางฝึกการใช้นิ้วและคันชักในการสีสะล้อลูกสี่ สะล้อลูกสี่ คือ การตั้งเสียงสะล้อสายทุ้มเป็นเสียง ซอล สายเอก เป็นเสียง โด สามารถก าหนดนิ้ว และฝึกใช้คันชักโดยสีสะล้อตามได้ ดังนี้ สาย นิ้ว คันชัก (สัญลักษณ์) เสียง (โน้ต) สายทุ้ม (สายยาน) สายเปล่า ออก ( ) ซอล ( ซ ) นิ้วชี้ เข้า ( ) ลา ( ล ) นิ้วกลาง ออก ( ) ที ( ท ) สายเปล่า เข้า ( ) ซอล ( ซ ) สายเอก (สายเคร่ง) สายเปล่า ออก ( ) โด ( ด ) นิ้วชี้ เข้า ( ) เร ( ร ) นิ้วกลาง ออก ( ) มี ( ม ) นิ้วนาง เข้า ( ) ฟา ( ฟ ) นิ้วก้อย ออก ( ) ซอล ( ซ ) สายเปล่า เข้า ( ) โด ( ด )


๑๘ ขลุ่ยพื้นเมือง ในการบรรเลงร่วมกับวงดนตรีพื้นเมืองนั้น มักใช้ขลุ่ยหลิบ หรือ ขลุ่ยพื้นเมือง หรือขลุ่ยที่มี ระดับเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ เพื่อให้ได้เสียงตัดกันกับเสียงของสะล้อ และ ซึง การเป่าขลุ่ยพื้นเมือง มักมีลูกเล่นแพรวพราว ถ้านับเป็นโน้ตก็จะมีโน้ตหลายตัวในหนึ่งห้องแต่ก็เป่าได้แต่ผู้ช านาญแล้ว ส าหรับผู้ที่เริ่มต้นหัดเป่าใหม่ๆ จะเป่าแบบง่ายๆ ตามท านองหรือ คลอตามเพลงที่บรรเลงร่วมกันก็ได้ พอฝึกเป่าบ่อยๆ ความช านาญก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขลุ่ยพื้นเมืองท าจากพลาสติก, ไผ่รวก หรือประเภท ไม้เนื้อแข็งก็ได้ ขลุ่ยพื้นเมืองเท่าที่พบมีสองชนิดคือ แบบรูเสียง ๗ รู และ รูเสียง ๖ รู แต่รูแบบเสียง ๖ รู ไม่ค่อยเป็นที่นิยม (ที่ล าปางมีพ่ออุ้ยอ้วน แปงป้อ อยู่บ้านเลขที่ ๘๗ หมู่ ๗ ต.ดอนไฟ อ.แม่ทะ จ.ล าปาง อายุประมาณเก้าสิบกว่าปี ปัจจุบันยังท าขลุ่ย ๖ รูนี้อยู่ พ่ออุ้ยอ้วนบอกเคยเห็นและหัดท ามา แต่เด็กๆแล้ว) ขลุ่ยพื้นเมืองทั้งขนาดเสียงเท่าขลุ่ยหลิบและขนาดเสียงต่ ากว่าขลุ่ยหลิบหนึ่งเสียง ขลุ่ยพื้นเมืองแตกต่างจากขลุ่ยหลิบคือ ขลุ่ยพื้นเมืองไม่มีรูนิ้วค้ า (รูนิ้วหัวแม่มือ) ในวงดนตรีสะล้อ ซอ ซึง ขลุ่ยหลิบหรือขลุ่ยพื้นเมืองนั้นสามารถก าหนดวิธีการเทียบเสียงได้ หลากหลายวิธี เช่น ปิดรูเสียงหมดเป่าเป็นเสียง ฟา เสียงซอล หรือเสียงใดก็ได้ แต่ในขั้นต้นนี้ได้ ก าหนดให้ขลุ่ยหลิบหรือพื้นเมืองเทียบเสียงโดยการปิดรูเสียงทั้งหมดแล้วเป่าเสียง ฟา (ปิดรูเสียง ๖ รู เป่าเป็นเสียงซอล) เมื่อนักเรียนหัดเป่าเสียงนี้ได้คล่องดีแล้ว ควรจะหัดเป่าโดยปิดรูนิ้วทั้งหมดเป่าเป็น เสียง ซอล และ ฝึกหัดเป่าโดยปิดรูนิ้วทั้งหมดเป่าเป็นเสียงโด ตามแบบวิธีเป่าขลุ่ยเพียงออไปด้วย เพื่อให้สามารถเป่าได้หลากหลายวิธี ภาพที่ ๗ www.hitlanna.com (๒๘ ม.ค. ๕๕) ภาพที่ ๘ www.hitlanna.com (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๑๙ เทคนิคการเป่าขลุ่ย การที่เราจะเป่าขลุ่ยให้ไพเราะนั้น ย่อมมีเทคนิคต่างๆกันเช่น การเป่าให้มีเสียงสั่น เสียงเอื้อน เสียงรัว หรือมีเสียงครวญประกอบด้วย เป็นต้น การเป่าให้ได้เสียงที่กล่าวไว้นั้น ต้องอาศัยการหมั่น ฝึกฝน โดยมีวิธีการหลายอย่างดังนี้ ๑. การเป่าเสียงสั่น ต้องบังคับลมให้ออกมาเป็นช่วงๆ ให้ลมทยอยออกมาถี่ๆ หรือห่างๆ ตาม ต้องการที่จะท าให้เกิดเสียงคล้ายคลื่นตามอารมณ์ของเพลง ๒. การเป่าเสียงรัว หรือการพรมนิ้วท าได้โดยใช้นิ้วเปิดปิดสลับกันถี่ๆ ใช้สอดแทรกเพื่อให้ เพลงเกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้น ๓. การเป่าเสียงเอื้อน คือการใช้นิ้วค่อยๆเปิดบังคับลมให้เสียงขลุ่ยโรยจากหนักไปเบาหรือ จากเบาไปหนักที่เสียงใดเสียงหนึ่ง ๔. เสียงโหยหวน ใช้ลมและนิ้วบังคับเพื่อให้เสียงต่อเนื่องระหว่างสองเสียง เช่น เสียงคู่สาม คู่ห้า ซึ่งเป็นเสียงที่มีความกลมกลืนกันมากเท่ากับเสียงโดกับเสียงซอล เป็นต้น ๕. การหยุด หรือ การชะงักลม การเป่าขลุ่ยบางจังหวะควรมีการหยุด การเบา การเน้นเสียง บ้าง เพื่อให้เพลงเกิดความไพเราะมากขึ้น ๖. เสียงเลียน หรือ เสียงควง คือการท าเสียงโดยใช้นิ้วต่างกันแต่ได้เสียงเดียวกัน ใช้เมื่อท านอง เพลงช่วงนั้นยาว ท าได้โดยการเป่าเสียงตรงก่อนแล้วจึงเป่าเสียงเลียนและกลับมาเป่าเสียงตรงเมื่อ หมดจังหวะ การเป่าโดยใช้เสียงตรงและเสียงเลียนนี้จะท าให้เพลงเกิดความไพเราะได้อีกแบบหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อย่างมากในการเลือกขลุ่ย เพราะขลุ่ยที่ดีเสียงตรงกับเสียงเลียนต้องเท่ากัน ประการสุดท้ายผู้ฝึกหัดควรหาโอกาสฟังการเดี่ยวขลุ่ย หรือเสียงขลุ่ยที่บรรเลงในวงดนตรีไทย จากวิทยุ เทป หรือ ซีดีให้มากๆ แล้วใช้ความสังเกตจากการฟังจดจ าเอาแบบอย่างมาฝึกฝนให้ เชี่ยวชาญต่อไป ที่มา http://school.obec.go.th/khui (๒๕ ม.ค.๕๕) ภาพที่ ๙ www.LannaAcademy.com (๒๘ ม.ค. ๕๕)


๒๐ การวางนิ้วในการฝึกหัดเป่าขลุ่ยพื้นเมือง ปิดรูเสียงหมดเป่าเป็นเสียง ฟา เปิดรูขลุ่ย ฟา ซอล ลา ที โด เร มี ฟา ปิดรูขลุ่ย ฟ ซ ล ท ด ร ม ฟ เครื่องประกอบจังหวะดนตรีพื้นเมือง การเล่นดนตรีทั้งไทยเดิมและพื้นเมืองจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฝึกเล่นให้ลงจังหวะที่ถูกต้องเพื่อ ความไพเราะและพร้อมกัน จังหวะของดนตรีพื้นเมืองยังไม่มีการก าหนดอัตราจังหวะแบบเพลงไทย (เดิม)แต่ถ้าเอาเพลงไทย(เดิม)มาเล่นก็จะเล่นอัตราจังหวะตามเพลงไทยนั้นๆ ภาพที่ ๑๐,๑๑,๑๒ http://www.google.co.th/imgres?q=ฉิ่ง ฉาบ กรับ (๒๘ ม.ค. ๕๕) รูปากนกแก้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง มือซ้าย นิ้วนาง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง มือขวา นิ้วก้อย รูร้อยเชือก


๒๑ จังหวะฉิ่ง ฉาบ กรับ ของดนตรีพื้นเมือง ปัจจุบันจังหวะฉิ่ง ฉาบ กรับของดนตรีพื้นเมืองได้น าเอาแบบแผนเดียวกันกับดนตรีไทย(เดิม) มาก าหนดเพื่อใช้ตีประกอบเพิ่มความไพเราะและควบคุมจังหวะให้เป็นไปอย่างถูกต้องพร้อมเพรียงกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เพลงที่มีจังหวะอัตราความเร็วช้า เสียง ฉิ่ง จะตกตรงต าแหน่งที่ ๔ ของห้องที่ ๒ และห้อง ที่ ๖ เสียง ฉับและกรับ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๔ ของห้องที่ ๔ และห้องที่ ๘ เสียง ฉาบ จะตกตรง ต าแหน่งที่ ๒,๔ ของห้องที่ ๒ ตรงต าแหน่งที่ ๑,๒,๓,๔ ของห้องที่ ๓ ตกตรงต าแหน่งที่ ๒,๔ ของห้อง ที่ ๔ ตกตรงต าแหน่งที่ ๒,๔ ของห้องที่ ๖ ตรงต าแหน่งที่ ๑,๒,๓,๔ ของห้องที่ ๗ และตกตรงต าแหน่ง ที่ ๒,๔ ของห้องที่ ๘ - - - - - - - ฉิ่ง - - - - - - - ฉับ - - - - - - - ฉิ่ง - - - - - - - ฉับ - - - - - - - - - - - - - - - กรับ - - - - - - - - - - - - - - - กรับ - - - - - แช่ - วับ แช่วับ แช่วับ - แช่ - วับ - - - - - แช่ - วับ แช่วับ แช่วับ - แช่ - วับ เพลงที่มีจังหวะอัตราความเร็วปานกลาง เสียงฉิ่ง – ฉับ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๔ ของแต่ละ ห้องสลับกันตั้งแต่ห้องแรกจนถึงห้องสุดท้าย เสียงกรับ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๔ ของห้องเพลงพร้อมกับ เสียง ฉับ และเสียงฉาบ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๒, ๔ ของแต่ละห้อง ตั้งแต่ห้องแรกจนถึงห้องสุดท้าย - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - - - - - กรับ - - - - - - - กรับ - - - - - - - กรับ - - - - - - - กรับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ เพลงที่มีจังหวะอัตราความเร็วที่เร็ว เช่น เพลงร าวงต่างๆ เสียง ฉิ่ง – ฉับ จะตกต าแหน่งที่ ๒ และ ๔ ของทุกๆ ห้องเดียวกัน เสียงกรับ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๔ ของห้องเพลงพร้อมกับเสียง ฉับ และเสียงฉาบ จะตกตรงต าแหน่งที่ ๒, ๔ ของแต่ละห้อง ตั้งแต่ห้องแรกจนถึงห้องสุดท้าย - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - - - กรับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ - แช่ - วับ


๒๒ บทที่ ๓ เรื่อง แบบฝึกหัดการบรรเลงเครื่องดนตรี การฝึกเล่นตามโน้ต แต่ก่อนดั้งเดิมการฝึกเล่นดนตรีพื้นเมืองไม่ได้ใช้โน้ต จะฝึกกันแบบตัวต่อตัวหรือจากการ สังเกตและอาศัยการจดจ าเสียงของลูกนับแต่ละลูก เพลงไหนรู้ท านองหรือร้องได้ก็ฝึกได้ง่ายหรือเล่น ได้ทันทีส่วนเพลงไหนไม่รู้ท านองก็จะเล่นได้ช้า ในหนังสือเล่มนี้ได้น าเอาแบบแผนของโน้ตดนตรีไทย มาใช้กับการศึกษาดนตรีพื้นเมืองคือ มีการก าหนดตัวโน้ตคือ โด เร มี ตามแบบแผนที่ครูบาอาจารย์ ทางด้านดนตรีท่านได้ก าหนดไว้มาเรียบร้อย เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจได้ฝึกฝนได้ง่ายและ รวดเร็วแต่ก็ต้องใช้วิธีฝึกแบบจ าเสียงควบคู่กันไปด้วย โน้ตดนตรี จะก าหนดให้มี ๘ ห้องในหนึ่งบรรทัด และในแต่ละห้องจะมีโน้ตตั้งแต่ ๑ ถึง ๔ ตัวโน้ต (หรือมากกว่านี้ก็ได้ ถ้ามีความช านาญในการเล่น แล้ว) ในแต่ละห้องก็จะก าหนดเอาว่าโน้ตตัวไหนอยู่ในต าแหน่งที่เท่าไรขึ้นอยู่กับเนื้อหาของโน้ตเพลง นั้นๆถ้าห้องไหนไม่มีตัวโน้ตก็จะมีเครื่องหมายขีด(- - - -) หรือถ้ามีโน้ตไม่ครบ ๔ ตัว ต าแหน่งที่ว่าง ก็จะเป็นเครื่องหมายขีดแทนตัวโน้ต เช่น (- ด - ร) (- - - ม) (- ฟ - ช) ที่มีขีด - หมายถึง การรอจังหวะ ที่จะเล่นโน้ตตัวต่อไปหรือห้องต่อไป ซึ่งถ้าเป็นซึงก็จะใช้วิธีดีดรัวเสียง หรือ พรมนิ้วแทน การฝึกดีดซึงตามโน้ต ตามจังหวะอัตราความเร็วปานกลาง จากการที่โน้ตดนตรีก าหนดให้มี ๘ ห้องในแต่ละบรรทัด และในแต่ละห้องก็จะมีตัวโน้ต ๑ ถึง ๔ ตัวโน้ต การฟังเสียงฉิ่งในจังหวะอัตราความเร็วปานกลางนี้ เสียงฉิ่งจะลงตรงต าแหน่งโน้ตตัวที่ ๔ ของ ห้องแรก และ เสียงฉับ จะลงตรงต าแหน่งที่ ๔ ของตัวโน้ตในห้องถัดไป สลับกันไปจนหมดห้อง เพื่อให้การฝึกดีดซึง ควบคู่กับเสียงของฉิ่ง ลงจังหวะได้ถูกต้อง (ให้นับ ๑ ๒ ๓ ๔ พร้อมกับก าหนด เสียงฉิ่งในต าแหน่งที่ ๔ ขึ้นในใจอย่างสม่ าเสมอ) และฝึกเคาะจังหวะโดยใช้ปลายเท้าตบพื้นเบาๆ เคาะจังหวะลง ตามเสียง ฉิ่ง และ ฉับ ไปด้วย ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ หลังจากที่ได้ฝึกวิธีดีดซึง และจดจ าต าแหน่งโน้ตตามลูกซึง ในเบื้องต้นได้แล้ว ต่อไปให้ฝึกดีด ซึงให้ลงตามจังหวะ โดยจะใช้จังหวะอัตราความเร็วแบบปานกลาง (เหตุผลที่แยกการฝึกดีดและจ า เสียงลูกซึงโดยไม่น ามารวมกันกับฝึกดีดลงจังหวะตั้งแต่เริ่มฝึก เพราะจะให้ผู้ฝึกใหม่ที่ยังจ าเสียงไม่ได้ ว่าลูกไหนเสียงอะไร โน้ตอะไรและยังแยกส่วนประสาทมือซ้ายกับมือขวาไม่ได้ ต้องมากังวลกับการ ลงจังหวะอีก จะท าให้รู้สึกว่ายากส าหรับการฝึกใหม่ๆ) ฝึกดีดซึงตามตัวโน้ต ๔ ตัว ใน ๑ ห้อง (ถ้าไม่มีผู้ช่วยตีฉิ่งก็ให้นับและก าหนดเสียงฉิ่ง - ฉับ ในใจ) และใช้ปลายเท้าตบพื้นเบาๆ เคาะจังหวะไปด้วย พร้อมกับดีดลงตามจังหวะและตามตัวอย่างโน้ต ที่ก าหนดให้ดังนี้


๒๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ ด ด ด ด ร ร ร ร ม ม ม ม ฟ ฟ ฟ ฟ ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ท ท ท ท ด ด ด ด ด ด ด ด ท ท ท ท ล ล ล ล ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ฟ ฟ ม ม ม ม ร ร ร ร ด ด ด ด ด ร ม ฟ ร ม ฟ ซ ม ฟ ซ ล ฟ ซ ล ท ซ ล ท ด ล ท ด ร ท ด ร ม ด ร ม ฟํ ฟํ ม ร ด ม ร ด ท ร ด ท ล ด ท ล ซ ท ล ซ ฟ ล ซ ฟ ม ซ ฟ ม ร ฟ ม ร ด ด ม ซ ท ร ฟ ล ด ม ซ ท ร ฟ ล ด ม ซ ท ร ฟํ ล ด ม ซ ท ร ฟํ ล ด ม ซ ท ท ซ ม ด ล ฟํ ร ท ซ ม ด ล ฟํ ร ท ซ ม ด ล ฟ ร ท ซ ม ด ล ฟ ร ท ซ ม ด ฝึกดีดซึงตามตัวโน้ต ๑ ตัว ใน ๑ ห้อง (ถ้าไม่มีผู้ช่วยตีฉิ่งก็ให้นับและก าหนดเสียงฉิ่ง - ฉับ ในใจ) และใช้ปลายเท้าตบพื้นเบาๆ เคาะจังหวะไปด้วย พร้อมกับดีดลงตามจังหวะและตามตัวอย่างโน้ต ที่ก าหนดให้ดังนี้ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ด - - - ร - - - ม - - - ฟ - - - ซ - - - ล - - - ท - - - ด - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร - - - ด


๒๔ ฝึกดีดซึงตามโน้ต ๒ ตัว ใน ๑ ห้อง (นับและก าหนดเสียงฉิ่ง - ฉับ ในใจ) เคาะจังหวะไปด้วย ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ด - ด - ร - ร - ม - ม - ฟ - ฟ - ซ - ซ - ล - ล - ท - ท - ด - ด - ด - ด - ท - ท - ล - ล - ซ - ซ - ฟ - ฟ - ม - ม - ร - ร - ด - ด - ด - ร - ร - ม - ม - ฟ - ฟ - ซ - ซ - ล - ล - ท - ท - ด - ด - ร - ร - ด - ด - ท - ท - ล - ล - ซ - ซ - ฟ - ฟ - ม - ม - ร - ร - ด - ด - ม - ร - ฟ - ม - ซ - ฟ - ล - ซ - ท - ล - ด - ท - ร - ด - ม - ม - ด - ร - ท - ด - ล - ท - ซ - ล - ฟ - ซ - ม - ฟ - ร - ม - ด ฝึกดีดซึงตามโน้ต ๓ ตัว ใน ๑ ห้อง (นับและก าหนดเสียงฉิ่ง - ฉับ ในใจ) เคาะจังหวะไปด้วย ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ด ด ด - ร ร ร - ม ม ม - ฟ ฟ ฟ - ซ ซ ซ - ล ล ล - ท ท ท - ด ด ด - ด ด ด - ท ท ท - ล ล ล - ซ ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ม ม ม - ร ร ร - ด ด ด - ด ร ม - ร ม ฟ - ม ฟ ซ - ฟ ซ ล - ซ ล ท - ล ท ด - ท ด ร - ด ร ม - ม ร ด - ร ด ท - ด ท ล - ท ล ซ - ล ซ ฟ - ซ ฟ ม - ฟ ม ร - ม ร ด


๒๕ ฝึกดีดเป็นเพลง เพลงแรกๆที่ผู้ฝึกหัดเล่นใหม่ ถ้าเป็นเพลงที่ผู้ฝึกฝึกร้องได้ หรือท านองคลอเสียงตามได้หรือ รู้สึกคุ้นๆจะท าให้การฝึกง่ายขึ้นซึ่งไม่จ าเป็นต้องเป็นเพลงพื้นเมือง อาจจะเป็นเพลงไทยเดิม เพลงลูกทุ่งเพลงไทยที่น าเอาท านองดนตรีไทยมาเป็นท านองก็ได้ แต่ในแบบฝึกหัดเล่มนี้ได้น าเอา เพลงล่องแม่ปิงมาเป็นตัวอย่างการฝึกหัดตามโน้ตแบบง่ายๆ ผู้ฝึกอาจจะหาผู้ช่วยตีฉิ่งคุมจังหวะหรือ ก าหนดเอาเองในใจก็ได้ และใช้ปลายเท้าตบพื้นเบาๆ เคาะจังหวะตามเสียงฉิ่ง – ฉับไปด้วย ดังนี้ แบบฝึกหัดดีดซึง เพลงล่องแม่ปิง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ม ซ - ล - ด - ด - ด ซ ล ซ ด ซ ล ซ ด ม ร ซ ม - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ม - ม - ด ร ม - ซ - ม ร ด - ร - ร - ร ซ ด ร ม - ซ - ม ร ด - ร - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ซ - ล - ด - ร ม ร ซ ร - ด - ล - ด ร ม - ซ - ล ซ ล ด ล - ซ - ซ


๒๖ การฝึกสีสะล้อตามโน้ต ฝึกสีสายทุ้ม สายเปล่าเสียง โด และฝึกนิ้วชี้กดสายทุ้ม เป็นเสียง เร ด ด ด ด ร ร ร ร ด ด ด ด ร ร ร ร ด ด ด ด ร ร ร ร ด ด ด ด ร ร ร ร ฝึกสีสายทุ้ม สายเปล่าเสียง โด และฝึกนิ้วกลางกดสายทุ้ม เป็นเสียง มี ด ด ด ด ม ม ม ม ด ด ด ด ม ม ม ม ด ด ด ด ม ม ม ม ด ด ด ด ม ม ม ม ฝึกสีสายทุ้ม สายเปล่าเสียง โด และฝึกนิ้วนางกดสายทุ้ม เป็นเสียง ฟา ด ด ด ด ฟ ฟ ฟ ฟ ด ด ด ด ฟ ฟ ฟ ฟ ด ด ด ด ฟ ฟ ฟ ฟ ด ด ด ด ฟ ฟ ฟ ฟ ฝึกสีสายทุ้มและฝึกนิ้วให้คล่อง ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ฝึกสีสายเอก สายเปล่าเสียง ซอล และฝึกนิ้วชี้กดสายทุ้ม เป็นเสียง ลา ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ฝึกสีสายเอก สายเปล่าเสียง ซอล และฝึกนิ้วกลางกดสายทุ้ม เป็นเสียง ที ซ ซ ซ ซ ท ท ท ท ซ ซ ซ ซ ท ท ท ท ซ ซ ซ ซ ท ท ท ท ซ ซ ซ ซ ท ท ท ท ฝึกสีสายเอก สายเปล่าเสียง ซอล และฝึกนิ้วนางกดสายทุ้ม เป็นเสียง โด ( โด เสียงสูง หรือ ด ) ซ ซ ซ ซ ด ด ด ด ซ ซ ซ ซ ด ด ด ด ซ ซ ซ ซ ด ด ด ด ซ ซ ซ ซ ด ด ด ด ฝึกสีสายเอก สายเปล่าเสียง ซอล และฝึกนิ้วก้อยกดสายทุ้ม เป็นเสียง เร ( เร เสียงสูง หรือ ร ) ซ ซ ซ ซ ร ร ร ร ซ ซ ซ ซ ร ร ร ร ซ ซ ซ ซ ร ร ร ร ซ ซ ซ ซ ร ร ร ร ฝึกสีสายเอกและฝึกนิ้วให้คล่อง ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ


๒๗ การฝึกสีสะล้อ ตามโน้ต ในจังหวะอัตราความเร็วแบบปานกลาง ( ๒ ชั้น ) ถ้าไม่มีผู้ช่วยตีฉิ่งหรือ เคาะจังหวะ ก็ฝึกโดยใช้วิธีการนับและก าหนดเสียง ฉิ่ง - ฉับ ขึ้นในใจพร้อมกับใช้ปลายเท้าตบพื้น เบาๆ เคาะจังหวะไปด้วย ( เหมือนกับการฝึกดีดซึง ) การฝึก สีสะล้อ ตามโน้ต ๔ ตัว ใน ๑ ห้อง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ ด ด ด ด ร ร ร ร ม ม ม ม ฟ ฟ ฟ ฟ ซ ซ ซ ซ ล ล ล ล ท ท ท ท ด ด ด ด ด ร ม ฟ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ร ม ฟ ซ ม ฟ ซ ล ฟ ซ ล ท ซ ล ท ด ล ท ด ร ท ด ร ม ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ม ร ด ท ร ด ท ล ด ท ล ซ ท ล ซ ฟ ล ซ ฟ ม ซ ฟ ม ร ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ฟ ม ร ด ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ด ร ม ฟ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ฟ ม ร ด ด ร ม ฟ ซ ล ท ด ด ท ล ซ ฟ ม ร ด การฝึก สีสะล้อ ตามโน้ต ๑ ตัว ใน ๑ ห้อง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ด - - - ร - - - ม - - - ฟ - - - ซ - - - ล - - - ท - - - ด - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร - - - ด


๒๘ การฝึก สีสะล้อ ตามโน้ต ๒ ตัว ใน ๑ ห้อง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - ๒ - ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ด - ด - ร - ร - ม - ม - ฟ - ฟ - ซ - ซ - ล - ล - ท - ท - ด - ด - ด - ด - ท - ท - ล - ล - ซ - ซ - ฟ - ฟ - ม - ม - ร - ร - ด - ด - ด - ร - ร - ม - ม - ฟ - ฟ - ซ - ซ - ล - ล - ท - ท - ด - ด - ร - ร - ด - ด - ท - ท - ล - ล - ซ - ซ - ฟ - ฟ - ม - ม - ร - ร - ด การฝึก สีสะล้อ ตามโน้ต ๓ ตัว ใน ๑ ห้อง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ด ด ด - ร ร ร - ม ม ม - ฟ ฟ ฟ - ซ ซ ซ - ล ล ล - ท ท ท - ด ด ด - ด ด ด - ท ท ท - ล ล ล - ซ ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ม ม ม - ร ร ร - ด ด ด - ด ร ม - ร ม ฟ - ม ฟ ซ - ฟ ซ ล - ซ ล ท - ล ท ด - ท ด ร - ด ร ม - ม ร ด - ร ด ท - ด ท ล - ท ล ซ - ล ซ ฟ - ซ ฟ ม - ฟ ม ร - ม ร ด


๒๙ แบบฝึกหัดการสีสะล้อ เพลงล่องแม่ปิง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ม ซ - ล - ด - ด - ด ซ ล ซ ด ซ ล ซ ด ม ร ซ ม - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ม - ม - ด ร ม - ซ - ม ร ด - ร - ร - ร ซ ด ร ม - ซ - ม ร ด - ร - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - ซ - ล - ด - ร ม ร ซ ร - ด - ล - ด ร ม - ซ - ล ซ ล ด ล - ซ - ซ แบบฝึกหัดการตีกลองพื้นเมือง เพลงล่องแม่ปิง การเริ่มจังหวะตีกลอง มักรอให้สะล้อ หรือ ซึงขึ้นน าก่อน แล้วจึงเริ่มตีกลองให้เสียงตกในห้องที่สี่หรือ ตกท้ายวรรคแรกของเพลง และต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างการฝึกตีจังหวะหน้าทับพื้นเมืองในเพลง ล่องแม่ปิง พื้นฐานแบบง่าย ๆ - - - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ม ซ - ล - ด - - - - ซ ล ซ ด ซ ล ซ ด ม ร ซ ม - - - - - - - - - - - - - ทั่ม - ติง - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง - ม - ม - ด ร ม - ซ - ม ร ด - ร - - - - ซ ด ร ม ร ม ซ ม ร ด - ร - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง - ซ - ล - ด - ร ม ร ซ ร - ด - ล - ด ร ม - ซ - ล ซ ล ด ล - ซ - ซ - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง - - - ป๊ะ - - - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - ติง


๓๐ บทที่ ๔ เรื่อง การประสมวง สะล้อ ซอ ซึง การประสมวงสะล้อซอซึง วงสะล้อ ซอ ซึง เป็นการน าเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย หรือเครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็ก สามารถน าติดตัวไปเล่นที่ต่างๆ กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีประจ ากายมาบรรเลงร่วมกัน ซึ่งวงเครื่องสายล้านนาหรือวงสะล้อ ซอ ซึง เริ่มมีการรวมวงเมื่อ ๘๐ กว่าปีมานี้เอง ช่วงประมาณ ปีพ.ศ. ๒๔๔๔ ก่อนหน้านั้นการรวมวงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแยกการบรรเลง ไม่น ามาบรรเลงร่วมกัน อย่างเด่นชัด การประสมวงสะล้อ ซอ ซึง ได้น าเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของล้านนามาเป็นหลัก เพิ่มเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ วงสะล้อ ซอ ซึง แบบครบวงประกอบด้วย ๑. สะล้อเล็ก ๑ คัน ๒. สะล้อกลาง ๑ คัน ๓. สะล้อใหญ่ ๑ คัน ๔. ซึงเล็ก ๑ ตัว ๕. ซึงกลาง ๑ ตัว ๖. ซึงใหญ่ ๑ ตัว ๗. ขลุ่ย ๑ เลา ๘. กลองโป่งโป้ง ๑ ใบ ๙. ฉิ่ง ฉาบ กรับ ๑ คู่ ลักษณะการผสมวงเครื่องสายล้านนาให้สะล้อและซึงเป็นหลักในการบรรเลง ใช้กลองฉิ่งฉาบ ควบคุมจังหวะในการบรรเลง ในแต่ละเครื่องดนตรีมีหน้าที่และวิธีการบรรเลงที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะได้กล่าวในเรื่องหน้าที่และบทบาทเครื่องดนตรีแต่ละประเภทไปแล้ววิธีการรวมวง สะล้อ ซอ ซึง แบบที่ได้ยกตัวอย่างมานี้เป็นการรวมวงแบบเต็มวง ซึ่งอาจจะเพิ่มจ านวนเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้หรือ ลดเครื่องดนตรีบางชิ้นลงได้ ขึ้นอยู่กับวงสะล้อ ซอ ซึงนั้นว่ามีความต้องการอย่างไร การบรรเลงรวมวงสะล้อ ซอ ซึง มีทั้งบรรเลงเพื่อการขับซอ บรรเลงเพลงทั่วไปและการ บรรเลงเพื่อประกอบการฟ้อนร า การบรรเลงแต่ละรูปแบบมีวิธีการจัดวงที่แตกต่างกันออกไปซึ่งขึ้นอยู่ กับวงสะล้อ ซอ ซึง นั้นว่าให้เครื่องดนตรีใดมีบทบาทในการบรรเลงมากที่สุดในวง ลักษณะการให้ เครื่องดนตรีบางชิ้นเป็นตัวหลักของการบรรเลง มีผลต่อการบรรเลงเครื่องดนตรีชิ้นอื่นที่บรรเลงร่วม อยู่ในวงเช่นกัน


๓๑ วิธีการจัดวงเครื่องสายล้านนาหรือวงสะล้อ ซอ ซึง นั้น มีวิธีการจัดรูปวงหลายแบบในปัจจุบัน อดีตการรวมวง สะล้อ ซอ ซึง ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวส าหรับต าแหน่งการบรรเลงมากนัก กล่าวคือ อาจนั่งล้อมเป็นวงบรรเลงร่วมกัน ปัจจุบันการบรรเลงมีลักษณะที่เป็นรูปแบบมากขึ้นตามการ พัฒนาการของวง สะล้อ ซอ ซึง วิธีการนั่งเพื่อบรรเลงจึงมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแบ่ง รูปแบบหลักได้ดังนี้ ๑. รูปแบบวงกลม ๒. รูปแบบหน้ากระดานยาว ๓. รูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้น ๔. รูปแบบสามเหลี่ยม แต่ละรูปแบบของการนั่งบรรเลงมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การเลือกรูปแบบ ใดๆ นั้น ต้องค านึงถึงจ านวนเครื่องดนตรีในวง พื้นที่ของสถานที่ในการบรรเลง รายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑. รูปแบบวงกลม รูปแบบวงกลมเป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในการบรรเลงโดยทั่วไป มีลักษณะการ นั่งบรรเลงล้อมเป็นวงไม่จ ากัด ว่าเครื่องดนตรีจะมีจ านวนน้อยหรือมากพบการนั่งบรรเลงรวมวงในงาน ที่ต้องมีการชุมนุมคน เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ งานเฮือนเย็น (งานศพ) รูปแบบวงกลมมีลักษณะ ดังต่อไปนี้ กลอง สะล้อ ขลุ่ย ซึงกลาง ซึงเล็ก ซึงใหญ่ ๒. รูปแบบหน้ากระดานยาว รูปแบบหน้ากระดานยาวเป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาจากการ นั่งเป็นวงกลม มีการจัดความดังเบาของเครื่องดนตรีว่าเครื่องใดควรจะอยู่ใกล้หรือห่างจากเครื่อง ดนตรีใด มีการจัดเครื่องดนตรีให้เป็นกลุ่มที่ชัดเจนขึ้นตามหลักทางเสียง เครื่องดนตรีใดที่เป็นหลัก ในการด าเนินท านอง ควรอยู่ในต าแหน่งที่ก าหนดไว้เพื่อที่จะสามารถส่งสัญญาณ การขึ้นเพลง การเปลี่ยนเพลงและการลงจบของเพลง รูปแบบหน้ากระดานยาวมีลักษณะดังต่อไปนี้


๓๒ ๑. สะล้อกลาง ๖. กลองโป่งโป้ง ๒. ขลุ่ย ๗. ฉิ่งฉาบ ๓. ซึงเล็ก ๘. ซึงใหญ่ ๔. ซึงกลาง ๙. ซึงเล็ก ๕. ซึงใหญ่ ๑๐. สะล้อใหญ่ ๓. รูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้น รูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้นมีรูปแบบที่พัฒนามาจาก รูปแบบหน้ากระดานยาว ซึ่งรูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้นนั้น เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวงดนตรี สะล้อ ซอ ซึง ที่มีขนาดใหญ่ กล่าวคือ มีจ านวนผู้บรรเลงเพิ่มขึ้น เพิ่มจ านวนเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง ให้มากขึ้น ดังนั้นการจัดรูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้นไม่ค่อยพบเห็นมากนักยกเว้น วงสะล้อ ซอ ซึง ที่มีจ านวนสมาชิกภายในวงจ านวนมากรูปแบบหน้ากระดานซ้อนชั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้ ขลุ่ย ซึงเล็ก สะล้อกลาง ซึงกลาง สะล้อใหญ่ ซึงใหญ่ ฉิ่ง ฉาบ กลอง ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐


๓๓ ๔. รูปแบบสามเหลี่ยม รูปแบบสามเหลี่ยมเป็นลักษณะการจัดวงสะล้อ ซอ ซึง ที่มีปรากฏอยู่ โดยมาก เนื่องจากเหมาะสมกับวงสะล้อ ซอ ซึง ที่มีจ านวนสมาชิกน้อยหรือเท่ากับเครื่องดนตรีหลัก ที่ต้องบรรเลง รูปแบบสามเหลี่ยมมีลักษณะดังต่อไปนี้ กลองโป่งโป้ง ซึงเล็ก ซึงกลาง ซึงใหญ่ สะล้อกลาง สะล้อใหญ่ ฉาบ ฉิ่ง ขลุ่ย บทเพลงที่ใช้บรรเลงโดยทั่วไปของวงเครื่องสายล้านนา หรือ วงสะล้อ ซอ ซึง มีทั้งบทเพลง เก่าเดิมและบทเพลงใหม่ประกอบการแสดงฟ้อนร า เพลงที่มีมาแต่โบราณนั้นส่วนมากเป็นเพลง ที่ประกอบการขับร้องเสียส่วนใหญ่แต่ก็มีเพลงบรรเลงอย่างเดียวเช่นกัน หากแต่ไม่ปรากฏลักษณะ ของผู้แต่งเพลงโบราณว่าผู้ใดเป็นแต่งขึ้น เพลงโบราณที่รวบรวมได้ดังต่อไปนี้ ๑. เพลงปราสาทไหว ๒. เพลงล่องแม่ปิง ๓. เพลงฤาษีหลงถ้ า ๔. เพลงจะปุ ๕. เพลงละม้าย ๖. เพลงอื่อ ๗. เพลงพม่า ๘. เพลงสาวไทย ๙. เพลงล่องน่านพระลอ ๑๐. เพลงบ๊ะเก่าบ๊ะกลาง ๑๑. เงี้ยว


๓๔ วงสะล้อ ซอ ซึง เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีหน้าที่ในการบรรเลงท านองที่แตกต่างกันออกไปด้วย ลักษณะของเครื่องดนตรี ความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าวงสะล้อ ซอ ซึงนั้นใช้เครื่อง ดนตรีชนิดใดเป็นหลักน าการบรรเลงซึ่งแต่ละวงมีวิธีการเลือกเครื่องดนตรีหลักของวงที่แตกต่างกัน ออกไป เช่น วงดนตรีสะล้อ ซอ ซึงคณะนาคทันต์เชียงใหม่ ใช้ขลุ่ยเป็นหลักของวง วงดนตรีสะล้อ ซอ ซึง คณะอเนกประสงค์เชียงใหม่ ใช้กลองโป่งโป้งเป็นหลักของวงวงดนตรีสะล้อ ซอ ซึง คณะช้างสะดน เชียงใหม่ ใช้สะล้อเป็นหลักของวง วิธีการเลือกเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งชิ้นใดท าหน้าที่หลักในการบรรเลงรวมวง มีผลกระทบ ต่อวิธีการบรรเลงเครื่องดนตรีชิ้นอื่นที่อยู่ในวง สามารถแบ่งกลุ่มหน้าที่เครื่องดนตรีหลักเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๑. กลุ่มด าเนินท านองหลัก ๒. กลุ่มด าเนินท านองประดับตกแต่ง ๓. กลุ่มด าเนินจังหวะ แต่ละกลุ่มมีความส าคัญต่อวิธีการรวมวงกล่าวคือ เครื่องดนตรีในกลุ่มด าเนินท านองหลัก เป็นผู้รักษาท านองและจังหวะหลักของเพลง สามารถบรรเลงลูกเล่นได้ไม่มากเพื่อมิให้กวนแนวท านอง ของกลุ่มด าเนินท านองประดับตกแต่ง และกลุ่มด าเนินท านองหลักนี้เป็นผู้ให้สัญญาณการขึ้น การลง จบและการเปลี่ยนเพลง เพราะฉะนั้นสมาชิกภายในวงต้องคอยฟังและยึดเครื่องดนตรีกลุ่มด าเนิน ท านองหลัก เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มด าเนินท านองหลักที่นิยม เช่น สะล้อกลาง ซึงกลาง เป็นต้น กลุ่มด าเนินท านองประดับตกแต่ง กลุ่มนี้เครื่องดนตรีท าหน้าที่เสริมแนวท านองให้ไพเราะ มากขึ้น อาจบรรเลงท านองที่ซับซ้อนมากขึ้น อาจคงท านองหลักไว้หรือไม่มีท านองหลักเลยก็ได้ เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มด าเนินท านองประดับตกแต่งที่นิยม เช่น สะล้อใหญ่ สะล้อเล็ก ซึงเล็ก เป็นต้น กลุ่มด าเนินจังหวะ กลุ่มนี้นิยมใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องดนตรีให้จังหวะ เครื่องดนตรีกลุ่ม นี้มีหน้าที่ให้จังหวะต่อเครื่องอื่นๆ ในการบรรเลงรวมวง เพื่อให้เครื่องดนตรีชิ้นอื่น ๆ มีจังหวะเดียวกัน ขณะบรรเลง เครื่องดนตรีที่นิยมใช้เพื่อด าเนินจังหวะ เช่น กลองโป่งโป้ง ซึงใหญ่ เป็นต้น วิธีการด าเนินท านองของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ในการรวมวงแล้วมีลักษณะที่แบ่ง หน้าที่แนวท านองของการบรรเลง อาศัยลักษณะน้ าเสียง ( tone colour ) ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น และช่วงเสียง ( range ) ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ตัวอย่างวิธีการด าเนินท านองในกรณีที่ใช้สะล้อ เป็นเครื่องดนตรีหลักในวง


๓๕ - สะล้อกลาง ท าหน้าที่ด าเนินท านองหลัก รักษาท านองเดิมไว้ให้มากที่สุด - สะล้อเล็ก และสะล้อใหญ่ด าเนินท านองประดับตกแต่ง สะล้อเล็กมีเสียงที่สูงกว่าสะล้อ กลางมักบรรเลงทางเก็บเล่นท านองที่ละเอียด ส่วนสะล้อใหญ่ด าเนินท านองรักษาเสียงลูกตก ของเพลงไว้ - ซึงกลาง ท าหน้าที่ด าเนินท านองหลัก ช่วยสะล้อกลางรักษาท านองเดิมไว้ - ซึงเล็ก และซึงใหญ่หรือซึงหลวง ด าเนินท านองประดับตกแต่ง ซึงเล็กมีเสียงสูงกว่าซึงกลาง บรรเลงทางเก็บเล่นท านองที่ละเอียด ส่วนซึงใหญ่ด าเนินท านองรักษาเสียงลูกตกของเพลงไว้ - ขลุ่ย มีระดับเสียงที่สูงที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีอื่น ๆ ในวง การบรรเลงขลุ่ยบรรเลง ท านองประดับตกแต่งตามลีลาท านองของผู้บรรเลง - กลองโป่งโป้ง ตีรักษาจังหวะเพลงสามารถเพิ่มลูกเล่นได้ท าตามท านองเพลง ตีได้ ๒ แบบ การตีเก็บ หมายถึง การตีจังหวะให้กระชับใน ๘ ช่องดนตรีไทย วิธีการตีแบบเก็บนิยมใช้เมื่อเครื่อง ดนตรีอื่นๆ ภายในวงไม่สามารถเล่นท านองประดับตกแต่งได้มากนัก และการตีปล่อย หมายถึง การตีเฉพาะจังหวะที่ส าคัญในช่องเพลงเท่านั้น นิยมใช้เมื่อเครื่องดนตรีภายในวงเล่นท านองเก็บ การบรรเลงผสมวงเครื่องสายของล้านนา เป็นศิลปะด้านดนตรีที่น่าสนใจศึกษาการเรียน การสอนดนตรีพื้นบ้านล้านนา โดยขนาดความรู้ความเข้าใจลักษณะกายภาพทางเสียง คุณภาพเสียง ของเครื่องดนตรีแต่ละประเภทที่น ามาบรรเลงร่วมกันนั้น อาจท าให้ความไพเราะบังเกิดไม่ มองผิวเผิน แล้ว วงสะล้อ ซอ ซึง เหมือนเป็นวงดนตรีที่บรรเลงได้อย่างง่ายดาย แท้จริงแล้วการบรรเลงและ ประสมวง สะล้อ ซอ ซึง นั้นมีรูปแบบและวิธีการเฉพาะการประสมวง ผู้ที่ต้องการศึกษาต้องพยายาม เรียนรู้จากประสบการณ์ การบรรเลงที่ยาวนานและรสนิยมทางเสียงพื้นถิ่นที่ดี จึงสามารถเข้าใจ กระบวนการการประสมวงอย่างแท้จริง


๓๖ บทที่ ๕ เรื่อง เพลงพื้นบ้านภาคเหนือ ในดินแดนภาคเหนือตอนบนหรือที่เรียกว่าล้านนาในอดีตนั้น มีประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตน เป็นต้นว่า ภาษาพูด ภาษาเขียน (อักขระล้านนา) การละเล่นพื้นบ้านต่างๆ เช่น จ้อย ซอ ค่าวฮ่ า ตบมะผาบ ฟ้อนเจิง เป็นต้น รวมถึงการเล่นดนตรีพื้นเมืองประเภท สะล้อ ซอ ซึง โดยเฉพาะท านองเพลงที่น ามาบรรเลงนั้น นับได้ว่ามีเอกลักษณ์ในส าเนียงของพื้นบ้านภาคเหนืออย่าง แท้จริง เช่น เพลงล่องแม่ปิง เพลงสร้อยล าปาง เพลงซออื่อ เพลงซอปั่นฝ้าย เพลงเตียวดง เพลงปราสาทไหว เพลงฤาษีหลงถ้ า เพลงซอเงี้ยว เพลงมอญล าปาง ฯลฯ เพลง ล่องแม่ปิง - - - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ม ซ - ล - ด - ด - ด ซ ล ซ ด ซ ล ซ ด ม ร ซ ม - ม - ม ซ ด ร ม ร ม ซ ม ร ด - ร - ร - ร ซ ด ร ม ร ม ซ ม ร ด - ร - ซ - ล - ด - ร - ม ซ ร ม ร ด ล - ด ร ม - ซ - ล ซ ล ด ล ซ ม - ซ เป็นท านองเพลงโบราณไม่รู้ผู้แต่ง สันนิษฐานว่าตั้งให้ชื่อให้ตรงกันข้ามกับเพลงโบราณอีก เพลงหนึ่งคือ "ล่องน่าน" เดิมใช้บรรเลงคับพิณเปี๊ยะเพื่อขับกล่อมคนในราชส านักล้านนา เพลงนี้เป็นที่ รู้จักแพร่หลายเมื่อ คุณจรัญ มโนเพชร น ามาแต่งเนื้อร้องและขับร้องโดยคุณสุนทรี เวชชานนาท์ เพลง สร้อยเวียงพิงค์(เตียวดง) (- - - - ซ ล ซ ด ซ ล ซ ด ม ร ซ ม) - - ซ ซ - ม - ร - ด ม ร ด ร ม ซ - ซ - ซ - ม - ซ ล ซ ม ซ ล ซ ด ล - - ด ร ม ร ด ล - ด ล ซ ด ล ซ ม - ม - ม ด ร ม ซ ล ซ ด ล ซ ม ซ ร ม ร ด ล ซ ล ด ร ม ร ซ ม - ร - ด เพลงสร้อยเวียงพิงค์ เป็นเพลงล้านนาเพลงหนึ่งที่มีปรากฏเล่นกันในหมู่คนเฒ่าคนแก่นานแล้ว โดยชื่อเรียกนี้มีหลายชื่อ เช่น รอบเวียง เดินดงหรือเตียวดง และยังเป็นท่อนแรกของเพลงแหย่งล าพูน อีกด้วย


๓๗ เพลง ฤาษีหลงถ้ า - - - ท - ด ด ด ร ท ด ร ท ด ด ด ร ม ซ ร ม ร ด ซ - - - ล ด ร ด ซ - - - ล ด ร ด ซ - - - ล ด ร ล ด - - - ล ด ล ซ ฟ ซ ฟ ร ฟ ซ ล ฟ ซ - ซ - ซ ล ฟ ล ซ ล ฟ ล ซ - ร - ม - ม - ม ร ด ร ม ซ ล ซ ม - ร - ด เป็นเพลงโบราณอีกเพลงหนึ่งของล้านนาไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ท านองเพลงที่มีแต่เดิมนั้นมี จังหวะลงตัวแบบล้านนา หากไม่เอาหน้าทับกลองในอัตราจังหวะสองชั้นของดนตรีไทยมาจับ เพราะ หากเอาเกณฑ์ของดนตรีมาจับจะขาดหน้าทับไป ๒ จังหวะ ต่อมาเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ เห็นว่าควร เพิ่มเติม จึงเพิ่มตรง - - - ร ฟ ซ ฟ ด จากครั้งเดียวเป็น ๒ ครั้งเป็น - - - ร ฟ ซ ฟ ด - - -ร ฟ ซ ฟ ด เพลง อื่อ (- - - ม - ร ด ล - - ซ ร - ม ซ ล ซ ม ร ด - ร ม ซ) - - -ม ซ ม ซ ล ด ล ซ ล ซ ฟ ซ ร - - - ซ - ล ซ ร ซ ร ซ ร ด ร ม ซ - - ด ล ซ ล ซ ม ร ด ร ม - ร ด ล - - ซ ร - ม ซ ล ซ ม ร ด - ร ม ซ อื่อ เป็นท านองโบราณของล้านนา ใช้ประกอบการขับซอ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง เพียงแต่ สันนิษฐานกันว่ามีวิวัฒนาการมาจากเพลงกล่อมเด็ก นิยมใช้ประกอบการขับซอในเนื้อหาพรรณนา ทั่วไป ตลกขบขัน และอวยชัยให้พร ท านองนี้นิยมบรรเลงในวงปี่ชุมและวงสะล้อ - ซึง โดยทั่วไป จังหวะของเพลงนี้ลงจังหวะแบบล้านนา แต่หากเอาหน้าทับกลองในอัตราสองชั้นแบบดนตรีไทยมาจับ จะไม่ลงจังหวะ เพลง พม่า - ล ซ ฟ ซ ล ซ ด - - ซ ด ท ล ฟ ซ - ล ซ ฟ ซ ล ซ ด - - ซ ด ท ล ฟ ซ - ซ - ซ ฟ ร ฟ ฟ ซ ล ซ ฟ ซ ฟ ด ร - - ฟ ซ ฟ ร ฟ ด ร ด ท ซ - ร ด ท - - ซ ท - - ด ร ฟ ซ ฟ ร - - ด ท - ล ซ ฟ - - ซ ล - ซ - ด - ท ล ซ เพลงพม่าเป็นท านองเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการขับซอ ชื่อเพลงบางแห่งเรียกเพลง “เจ้าสุวัตร” หรือ “นางบัวค า” สาเหตุเพราะท้าวสุนทรพจน์กิจแต่งบทซอเรื่อง “เจ้าสุวัตรนางบัวค า” โดยใช้ท านองนี้


๓๘ เพลง ร าวงลอยกระทง - - ซ ซ ม ซ ล ด - ร ด ล - ซ - ม - ซ ล ด - ล ด - ซ ล ด ร ด ล ซ ซ - - - ด - ด ด ด - - - ซ - ซ ซ ซ - ด ด ด - ร ม - ม ร ด ล ซ ล ด ร - - ม ม ม ม ม ม - - ด ด ด ด ด ด - ด ล ซ ล ด ล ด - ด ล ซ ล ด ล ด เพลง เต้ยโขง - - - - - - - ล - - - ซ - ม - ล - - - ซ - ด - ล - - - ซ - ม - ล - - - - - ซ - ม - - - ร - ด - ม - - - ร - ซ - ม - - - ร - ด - ล - - - ด - ร - ม - - ร ด - ซ - ล - - - ด - ร - ม - - ร ด - ซ - ล เพลง ลาวจ้อย - - - ด ร ม ซ ร - - - - - ม - ร - - - ด ร ม ซ ร ม ร ด ร - ม - ซ - - - ม ซ ล ด ซ - - - ม ร ด ร ม - ซ - ล - ด - ร ม ร ด ล - ด - ซ - - - ล ซ ซ ซ ซ - ซ - ล ด ร ม ล - - ซ ด - - ซ ล ด ล ซ ม ซ ล ด ซ - - - ล ซ ซ ซ ซ ซ ม ร ด - ร - ม - - - - ซ ล ด ร ม ร ด ล - ม - ด เป็นเพลงอัตราจังหวะ 2 ชั้น ส าเนียงลาว ใช้เป็นท านองเพลงน าไปประกอบระบ าไก่หมู่ ที่เรียกว่า “ระบ าไก่” ซึ่งมีบทร้องขึ้นว่า “สร้อยแสงแดงพระพายขนเขียวลายระยับ” ต่อมามีผู้เรียก ชื่อเพลงว่า เพลงสร้อยแสงแดง หรือเพลงลาวเซิ้ง เหตุที่เรียกว่าเพลงลาวจ้อย ก็เนื่องจากสร้อยของ ท านองเพลงส าเนียงลาวเพลงหนึ่ง ที่มีบทสร้อยว่า “จ้อยแม่นา” บางแห่งก็เรียกว่าเพลงต่อไก่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเรียกชื่อเพลงต่างๆกัน แต่ท านองเพลง และบทร้องยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง เพลง กุหลาบเชียงใหม่ - - - ด ร ม ฟ ซ - - - ล ด ล ซ ม - - - ล ด ล ซ ร ม ร ด ร ม ล ซ ม - - - ด ร ม ฟ ซ - - - ล ด ล ซ ม - - ซ ร ด ล - ด ร ด ล ซ ม ซ ล ด - ร ม ร ด ล - ด ร ด ล ซ ม ซ ล ด เพลงกุหลาบเชียงใหม่ เป็นเพลงที่มีท่วงท านองอันไพเราะและอ่อนหวานอีกเพลงหนึ่ง ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง


๓๙ เพลง ฟ้อนสาวไหม ท่อน ๑ - - - - - - - ซ - - - ล ด ร ด ม - - ซ ร ม ร ด ล ด ล ร ด - ล - ซ - - - - - - - ซ - ล - ซ - ม - ร - ด - ร - ม - ซ - ล - ซ - ม - ร - ม ซ ร ม ร ด ล ด ล ร ด - ล ด ซ (กลับต้น) ท่อน ๒ - ซ - ล ซ ล ซ ซ - - - - ล้อ - - - - - ด - ล ด ล ซ ด - ร - ม เหลื่อม - ล - ซ ล้อ - ม - ร ล้อ - ม ซ ร ม ร ด ล ซ ม ซ ล - ด - ร - ม ซ ร ม ร ด ล ด ล ร ด - ล ด ซ (กลับต้น) ฟ้อนสาวไหมปรากฏอยู่สองแบบ คือสาวไหมในการฟ้อนเจิงหรือร่ายร าท่าต่อสู้ด้วยมือเปล่า ซึ่งมีลีลากระบวนท่าที่แน่นอน และการฟ้อนสาวไหมที่เป็นการฟ้อนของผู้หญิงที่แสดงความเคลื่อนไหว ในลีลาร่ายร าที่นุ่มนวล มิได้ร้อนแรงเหมือนอย่างที่ปรากฏในเชิงต่อสู้ เป็นเพลงที่พ่อครูโมดัดแปลง จากเพลง “ลาวสมเด็จ” เพื่อใช้ประกอบการฟ้อนสาวไหม เพลง ซอล่องน่าน - - - - - - - ด - - ท ซ ฟ ม ซ ฟ - - - - ซ ฟ ม ด - - ท ซ ฟ ม ซ ฟ ซ ฟ ม ด ซ ด ม ฟ - ด - ท ด ม ฟ ซ - - - - ท ซ ฟ ม - ด - ฟ ด ม ฟ ซ - ซ - ซ ท ซ ฟ ม - ด - ฟ ด ม ฟ ซ - - - - ท ซ ฟ ม - ด - ซ ม ฟ ซ ด - ซ ท ซ ฟ ม ซ ฟ ด ซ ท ซ ฟ ม ซ ฟ - - ด ท - - ซ ฟ ด ซ ท ซ ฟ ม ร ด - ด - ด - ม ฟ ซ - ม - ฟ - ม ร ด - ด - ด - ม ฟ ซ - ม - ฟ - ม ร ด พญาปูคา ผู้สร้างเมืองปัวและได้สถาปนาตัวเองขึ้นครองเมืองปัว เรียกว่า วรนคร (อ าเภอปัว จังหวัดน่านในปัจจุบัน) ต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนมีราชบุตร คือ พญาก่านเมือง ขุนนุ่น ขุนฟอง พญาปูคาจึงได้เรียกราชบุตรมาปรึกษาหารือพร้อมทั้งเสนาอ ามาตย์ทั้งหลาย โดยด าริที่จะย้ายเมือง ลงมาตั้งใหม่ทางทิศใต้ของวรนคร ราชบุตรและเสนาอ ามาตย์ได้ให้ค าปรึกษาหารือเห็นพ้องในการ ย้ายเมืองลงมาตั้ง ณ ที่ดอยภูเพียง (พระธาตุแช่แห้ง อ าเภอเมือง จังหวัดน่านในปัจจุบัน) เมื่อประชุม กันแล้วก็ได้ไปตัดไม้ในป่ามาท าเป็นแพซุงส าหรับเป็นพาหนะบรรทุกสิ่งของในการเดินทางล่องตาม ล าแม่น้ าน่าน (สมัยนั้นการเดินทางบกคงล าบากเพราะไม่มีถนนหนทางอย่างปัจจุบัน) ในการเดินทาง ได้จัดเป็นขบวนต่างๆถึง ๗ ขบวนคือ


๔๐ ขบวนที่ ๑ เป็นที่ประทับของ พญาก๋านเมือง กับข้าราชการบริวาร พร้อมทั้งพระบรมธาตุเจ้าที่น า ลงมาบรรจุ ณ พระธาตุแช่แห้ง ขบวนที่ ๒ เป็นขบวรข้าราชการน้อยใหญ่และเสนาอ ามาตย์ ขบวนที่ ๓ เป็นคณะพระสงฆ์องค์เจ้า และสมณชีพราหมณ์ ขบวนที่ ๔ เป็นพวกขุนนาง ผู้ใหญ่บ้าน ก านัน ท่านท้าว หัวเมือง ขบวนที่ ๕ เป็นพวกดนตรี มีการประโคมและมโหรีต่างๆ ขบวนที่ ๖ เป็นพวกประชาชน พลเมือง ขบวนที่ ๗ เป็นขบวรของพวกกลอง พวกฆ้องและผู้คนปนเปกัน ร้องร าท าเพลงสนุกสนาน ในขบวนนี้มีหญิงม่ายเจ้าปัญญาผู้หนึ่ง ซึ่งมีศิลปไหวพริบปฎิภาณอันดีเยี่ยมในการขับกล่อม ร้องร า ท าเพลง นางจึงได้ว่าท านองเพลง "ซอ" บรรยาย ร่ าร าพัน บรรยายถึงการโยกย้ายครั้งนี้ โดยบรรยาย ตั้งแต่ต้นตลอดล าน้ า ล าห้วย ป่าไม้พันธุ์ไม้นานาชนิด ชมธรรมชาติอันงดงามของสองฟากฝั่งล า น้ าน่านตลอดทางที่ผ่าน บรรลุถึงที่จะตั้งเมืองใหม่ และได้สร้างบ้านแป๋งเมืองลง ณ ดอยภูเพียง (พระธาตุแช่แห้งปัจจุบัน) "ซอล่องน่าน" ก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีท านองซอล่องน่าน นี้อยู่ เพลง ปุ๋มเป้ง - - - - ด ร ม ซ - - ซ ล ซ ล ด ซ - ฟ - ม ร ม ฟ ซ - - ซ ล ซ ล ด ซ ด ด ร ด ล ล ด ล ซ ซ ล ซ ด ล ซ ฟ - - - - ซ ม ร ด - - - ร ม ร ซ ม - - - - ซ ม ร ด - - - ร ม ร ซ ม ซ ซ ล ซ ม ม ซ ม ร ร ม ร ด ด ร ด เพลงปุมเหม้นหรือปุมเป้ง ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เพลงนี้มีท่วงท านองคล้ายคลึงกับเพลง “ปั่นฝ้าย” มาก ออกจะมีความคล้ายคลึงกันจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพลงเดียวกันเลยทีเดียว เพลงนี้ยัง มีความสับสนเรื่องชื่อเพลงอยู่ บางแห่งเรียก “ขงเบ้ง” “ปุ๋มเป้ง” ล าน าชนบทเป็นต้น เพลง พม่าแทงกบ - ซ - ล - ซ - ด - ฟ ซ ล ฟ ซ ซ ซ - ซ - ล - ซ - ด - ฟ ซ ล ฟ ซ ซ ซ - - - - - ร - ฟ - - ร ฟ - ซ - ท - - ด ร - ซ - ท - ฟ ซ ล - ซ ฟ ร - - ร ม - ร - ซ - ด ร ม ด ร ร ร - - ร ม - ร - ซ - ด ร ม ด ร ร ร - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ฟ ร ด ท - ด - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ฟ ร ด ท - ด - ฟ ซ ล - ท - ด ร ด ซ ล ท ร ด ท - - - - ซ ท ด ร ฟ ซ ฟ ร ฟ ร ด ท - - - - ซ ท ด ร ฟ ซ ฟ ร ฟ ร ด ท - ล ซ ฟ - ซ - ล ซ ฟ ซ ด - ท ล ซ


๔๑ เพลง ปราสาทไหว - - - ซ - ซ ซ ซ ฟ ม ฟ ซ ฟ ซ ท ด - - ร ด ท ซ ท ด ซ ด ท ซ ท ซ ฟ ม - ด ม ฟ ม ร ด ท ด ซ ด ท ฟ ซ ท ด - - - ซ - - ม ฟ ด ร ท ด ซ ล ฟ ซ เพลง ปราสาทไหว เป็นเพลงเก่าดั้งเดิมของล้านนา ไม่ทราบผู้แต่ง ท านองเพลงใช้บรรเลง ในวงปี่พาทย์เมื่อมีงานศพ (เมื่อเวลาเคลื่อนศพ ปราสาทที่ท าครอบโลงจะไหวไปตามแรงลาก จึงเป็น ที่มาของชื่อ บางท้องที่ก็เรียกว่า “เพลงลาก”) เพลงปราสาทไหว มีการบรรเลง ๕ ระดับเสียง ซึ่งมีชื่อ เรียกต่างกันไปตามระดับเสียงต่าง ๆ เช่น แหย่งหลวง, ปราสาทไหว, แหย่งน้อย เป็นต้น ในวงปี่พาทย์ โดยทั่วไปจะบรรเลงจนครบ ๕ ระดับเสียง แต่ในวงสะล้อ ซอ ซึง นิยมบรรเลงแค่เพียง ๒ ระดับเสียง โดยทั้ง ๒ ระดับเสียงในวงสะล้อ ซอ ซึง บางทีเรียกว่า “แห่ปั้น” เพลง ปราสาทกุด ซ ด ท ซ ท ซ ฟ ม - - - ซ - ฟ - ม - - ด ม ด ม ฟ ซ ซ ซ ซ ซ ฟ ซ ฟ ม ฟ ด ซ ฟ ม ซ ท ด - - - ร ฟ ซ ท ด - - - ร ฟ ซ ท ด เพลง อุทยานดอกไม้ - - - - - - - - ด ด ซ ด ร ม ฟ ซ - ซ - ซ ล ฟ ซ ล ด ล ซ ฟ ซ ฟ ม ร - - - - ซ ซ ซ ซ ล ฟ ซ ล ซ ฟ ม ร - - ด ท ด ฟ - - ด ร ฟ ร ด ท - ด - - ด ร ด ด ด ด - ฟ - ร - - ร ร - - ด ร ฟ ซ ฟ ร - - - ด ท ร ด ท - ล - ซ - ฟ - ท - - - - - ด - ร - - ด ฟ - - - - ด ร ฟ ร ด ท - ด เป็นเพลงลูกกรุงของไทยที่มีเนื้อหากล่าวถึงพรรณไม้ดอกมากที่สุด ๕๑ ชนิด แต่งค าร้อง โดย สกนธ์ มิตรานนท์แต่งท านองโดย ชูศักดิ์ รัศมีโรจน์ขับร้องโดย วงจันทร์ ไพโรจน์เพลงนี้แต่งขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ภายหลังมีการน าเพลงนี้ไปเรียบเรียงเสียงประสานใหม่และขับร้องโดยศิลปินอื่น เช่น สุนารี ราชสีมา, อรวี สัจจานนท์แต่เนื้อร้องและท านองยังคงเดิม นอกจากนี้ เพลงที่มีพรรณไม้ดอกรองลงมาคือ มาลีแดนสรวง ซึ่งมีเพียง ๓๒ ชนิด ขับร้องโดย มัณฑนา โมรากุล นักร้องในวงสุนทราภรณ์และมีการแปลงเพลงเพื่อล้อเลียน อาทิอุทยานผลไม้ขับร้องโดย สุรพล สมบัติเจริญ และ อุทยานผีขับร้องโดย มีศักดิ์ นาครัตน์


๔๒ เพลง ลาวเสี่ยงเทียน ท่อน ๑ ( - - - ร ด ด ด ด ) - ล ล ล ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - ม - - - ร ม ซ - ล ซ ซ - - - - - - - - - ล ล ล ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - ม - - - ร ม ซ - ล ซ ซ - ซ - ม ซ ร ม ซ - - ด ร ม ร ด ล - - ด ล ซ ม ซ ล - ด ร ม - ร - ด - ม - ร - ด ร ม - - ซ ร ม ร ด ล - - ด ล ซ ม ซ ล - ด ร ม - ร - ด ท่อน ๒ ซ ล ซ ม ซ ร ม ซ - - - - ล้อ - - - - ซ ล ซ ม ร ม ด ร - - - - ล้อ - - - - ซ ล ซ ม ซ ร ม ซ - - - - ล้อ - - - - ซ ล ซ ม ร ม ด ร - - - - ล้อ - - - - - ม - ร - ด - ม - - ซ ร ม ร ด ล - - ด ล ซ ม ซ ล - ด ร ม - ร - ด - ม - ร - ด - ม - - ซ ร ม ร ด ล - - ด ล ซ ม ซ ล - ด - ร ด ม ร ด เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๖ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้น าท านองเพลง ลาวเสี่ยงเทียนของเก่าซึ่งเป็นอัตรา ๒ ชั้น และมี ๒ ท่อนนั้นมาแต่งขึ้นเป็นอัตรา ๓ ชั้นทั้งท านองร้อง และท านองดนตรีโดยประดิษฐ์ ท านองให้มีส าเนียงเป็นภาคเหนือตามส าเนียงเดิม โดยตั้งใจบรรเลง เป็น ๓ ชั้นเท่านั้น จึงได้แต่งท านองเที่ยวกลับให้ผิดจากเที่ยวแรก เรียกกันว่า "ทางเปลี่ยน" เมื่อบรรเลงรวมกัน จึงเท่ากับ ๔ ท่อน มาภายหลังประสงค์ที่จะร้องและบรรเลงเพลงลาวเสี่ยงเทียน ให้เป็นเพลงเถาโดยเพิ่มอัตรา ๒ ชั้นและชั้นเดียวต่อไปอีก ครั้นจะตัดท านอง ๓ ชั้นท่อนใด ท่อนหนึ่ง ออกก็ไม่เหมาะสม จึงให้คงไว้ทั้งหมดเมื่ออัตรา ๓ ชั้น กลับต้นเป็น ๒ เที่ยวเช่นนั้น อัตรา ๒ ชั้นและ ชั้นเดียวก็ด าเนินไปในเกณฑ์เดียวกัน ท านองในอัตรา ๒ ชั้นจึงเป็นของเก่าเที่ยวเดียวแต่งขึ้นใหม่ เป็นทางเปลี่ยนอีกเที่ยวหนึ่งและชั้นเดียวแต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๒ เที่ยว เพลง ลาวครวญ ( - - - ม ร ร ร ร ) - ซ - ม ร ด ร ม - - - - ซ ล ด ร - ด - ม ร ร ร ร - - - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ม ซ - ล - ด - - - ร ด ด ด ด ร ม ซ ม ร ด - ร เป็นเพลงไทยเดิม ที่เป็นที่ยอมรับว่ามีท านองหวานเศร้าไพเราะที่สุดเพลงหนึ่ง ประกอบเรื่อง "พระลอ"


๔๓ เพลง สร้อยสนตัด - ท ล ท ร ท ล ซ เที่ยวกลับต้น - ม - ซ - ซ ซ ซ ล ซ ด ม - ซ - ล - ด - ร ม ร ด ล - ด - ซ ม ล ซ ม - - - - ซ ล ล ล ด ร ด ล - ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - ซ ล ม ซ ล - - - ด - ล ล ล - - ด ล - - ล ล - - ด ล ซ ม ซ ล - - - ด - ล ด ร - - ด ม - ซ - ร - ม ซ ร ม ร ด ล - ซ - ด - ร - ม ซ ล ซ ม - ร - ด เป็นเพลง เก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา อัตรา ๒ ชั้น เป็นเพลงอันดับที่ ๒ ในเพลงตับเรื่องอรุ่ม และ เป็นเพลงประเภทเพลงช้าเรื่องสร้อยสน ซึ่งมีอยู่ ๔ ท่อน ๒ ท่อนแรกเรียกชื่อสร้อยสน ๒ ท่อนหลัง เรียกเพลงพวงร้อย เพลงเรื่องสร้อยสน เป็นเพลงประเภทเพลงช้าที่มีท่วงท านองไพเราะงามสง่า แสดงถึงจริยาวัตรอันงดงาม ปี่พาทย์พิธีจึงนิยมน ามาบรรเลงต่อจากเพลงโหมโรง และใช้บรรเลง รับพระสงฆ์เมื่อเดินทางมาถึงสถานประกอบมงคลพิธี เพลงสร้อยสนเมื่อตัดท านองลง จึงเรียกชื่อ เสียใหม่ว่า “สร้อยสนตัด” เพลง มวย (ไหว้ครู) - - - ด - ร ร ร - - - ฟ ร ซ ฟ ร ด ร ฟ ด - ด - ด ล ร ด ล ซ ฟ ซ ล - - - ด - ร ร ร - - - ฟ ร ซ ฟ ร ด ร ฟ ด - ด - ด ล ร ด ล ซ ฟ ซ ล - ร ด ล ด ล ซ ฟ - ร - ฟ ร ฟ ซ ล - ด - ร ฟ ร ด ล - - - ซ ด ล ซ ฟ - - ซ ล ด ล ซ ฟ ซ ล ซ ฟ ซ ล ด ร - - ฟ ร ด ล ด ร ด ล ด ร - ซ - ล - - ฟ ล ด ล ซ ฟ - ร - ฟ - ซ - ล - - ด ร ฟ ร ด ล - - - ซ ฟ ล ซ ฟ เพลงมวย เดิมคือเพลงแขกบรเทศ ซึ่งประพันธ์ท านองโดยพระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก) ชาวล้านนาน ามาประกอบการชกมวย โดยบรรเลงในอัตราจังหวะ ๒ ชั้น ขณะที่นักมวยไหว้ครู และ บรรเลงในอัตราจังหวะชั้นเดียวขณะที่นักมวยชกกัน นอกจากนี้ยังนิยมบรรเลงประกอบการฟ้อนเชิง ฟ้อนดาบและหอกอีกด้วย เพลง ลูกกุยเว็ย ขึ้น - ซ - ฟ ม ร ด ท - - ซ ด ซ ซ ท ด - - ซ ฟ ม ร ท ด - - ซ ด ซ ซ ท ด ม ด ม ม ด ม ฟ ซ - ด ท ซ ท ซ ฟ ม ซ ซ ซ ฟ ม ร ท ด ท่อนจบ - - ซ ด ซ ซ ท ด - - ซ ฟ ม ร ท ด - - ซ ด ซ ซ ท ด - ด - ด - ท - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร - - - ด


๔๔ เพลง ลูกกุยจ้า - ร - ด - ซ - ด ซ ซ ด ซ ฟ ซ ท ด - ม ฟ ซ - ท - ฟ - ด ม ฟ - ท ร ด - - - - - ซ - ด ซ ซ ด ซ ฟ ซ ท ด - ม - ด ม ซ ท ด ท ร ท ด ซ ล ฟ ซ - ม ฟ ซ ท ด ท ซ - ม ฟ ซ ท ซ ฟ ม - ท - ด - ท - ม ฟ ซ ฟ ม ด ม ฟ ซ - ท - ด - ท - ซ - ม ฟ ซ ท ซ ม ฟ - ซ - ด - ซ - ฟ - ม ฟ ซ - ท ร ด เพลง เก๊าห้า - - ซ ด ซ ซ ท ด - - ซ ฟ ม ซ ท ด - - ซ ด ซ ซ ท ด ม ด ท ม ฟ ซ ฟ ซ ท ด ซ ท ด ม ฟ ซ ท ด ซ ท ด ม ฟ ซ - ด ท ซ ท ซ ฟ ม - ด ซ ฟ ม ซ ท ด เพลง มอญ ซ ด - - - - ฟ ซ ฟ ซ ท ด ซ ด ท ซ ม ฟ ซ ท ซ ท ด ร ด ด ร ด ท ด ร ฟ ซ ฟ ร ด ซ ซ ท ด ร ด ท ซ - ซ - ซ ด ท ซ ฟ ซ ท ซ ฟ ม ด ท ด ด ด ม ฟ ซ ซ ม ฟ ม ซ ท ด ท ม ฟ ซ - ซ - ซ ด ท ซ ฟ ซ ท ซ ฟ ม ซ ฟ ม - ด ม ฟ ซ ซ ม ฟ ซ ท ด ร ฟ ท ร ด ฟ ท ด ร ฟ ท ร ด เพลงมอญล าปาง เป็นเพลงบรรเลงที่ใช้ประกอบการฟ้อนผีเม็งของชาวล าปาง ซึ่งเรียกชื่อ เพลงว่า “มอญเก๊าห้า” (มอญต้นหว้า) นายอุดม หลีตระกูลไปพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ จึงน ามาเผยแพร่ จนเป็นที่นิยมในเชียงใหม่และล าพูน จึงเรียกชื่อตามแหล่งที่มาว่า “มอญล าปาง” เพลง พายงัด - - - - - ม - ซ - ม - ซ - ม - ซ - - - - - ม - ซ - ม - ร - ด - ล - - - - - ม - ม - - - ม - - - ม - ซ - ร - ด - ล - ม - ซ - ม - ซ - - - - - ด - ร - ม - ร - ด ม ซ - - - ม - - ซ ล - ซ - ซ - ด ร ม - - - ซ - ล - ซ - ฟ - ม - ด ร ม - - - ร - - ม ร - ม - ร ดล - ด - - - ร - - ม ร - ม - ร ดล - ด


๔๕ เพลง พวงมาลัย - - - - - - - ร - ม - ร - ม - ซ - - - - - ด - ร - ม - ล - ซ - ม - - - - - - - - - ซ - ม - ร - ด - - - ล - ซ - ฟ - - - ม - ร - ร - - - - - - - - - ซ - ซ - ซ - ซ - - - - - ด - ล - ซ - ม - ร - ซ - - - - - ด - ม - - - ร - ร - - - ม - ร - ด - ล - ด - ซ - ล - ด - - - - - ด - ม - - - ร - ร - - - ม - ร - ด - ล - ด - ซ - ล - ด เพลงพวงมาลัย เป็นเพลงพื้นบ้าน ภาคกลาง ที่ดัดแปลงมาจาก ระบ ากลางบ้าน พัฒนามาสู่ ก าแพงเพชรราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประชาชนจะนิยมเล่นกัน หลังเกี่ยวข้าว เป็นการเกี้ยวพาราสีกัน ระหว่าง หนุ่มสาว เพลงพวงมาลัย หาย ไปราว ๕๐ ปี ได้มีการฟื้นฟู ขึ้นมาใหม่ โดยประชาชน กลุ่มแม่บ้านนครชุมหมู่ที่๓ วิธีเล่นเหมือนระบ ากลางบ้านทั่วไป โดยผู้เล่นมาล้อมวง ครึ่งวงกลม หนุ่มสาวจะเดินออกมา ร้องโต้ตอบกัน เป็นบทกลอน โดยมีท่าร าประกอบการร้อง เพื่อนหญิงชายที่ล้อมวง จะร้องรับ เป็นลูกคู่ สลับกันไปจนครบทุกคู่ เพลง สาวบ้านป่า (ผ้าตวบขี้งา) - - - ร - ร ร ร ม ซ ม ร ม ร ด ล - - - ม ร ด ร ม - - ด ร ม ด ร ร - - ร ม ร ม ซ ด ร ม ร ซ - ม ด ร - ซ - ม - ร ม - ร ด ร ม ร ด ล ด - - - ร - ร ร ร ม ซ ม ร ม ร ด ล - - - ม ร ด ร ม - - ด ร ม ด ร ร - - ร ม ซ ม ร ด ร ม ด ด ร ม ซ ร - ซ - ม - ร ม - ร ม ร ม ร ด ล ด เพลง หมู่เฮาจาวเหนือ ท่อน ๑ - - - - - ม - ซ - - ม ซ - ล - ด - - ล ซ ล ด - ล - ซ - ม - ร ม ซ - - - - - ม ร ด - - ด ร ม ร ซ ม - - - - ซ ม ร ด - - ด ร ม ร ซ ม ซ ซ ล ซ ม ม ซ ม ร ร ม ร ด ด ร ด ท่อน ๒ - - - - - ด ร ม - - ซ ม ร ด ร ม - - - - ร ด ร ม - - ซ ล ซ ม - ซ - - - - - ม ซ ล - - ด ล - ซ - ม - ล - ซ - ม - ร ม ร ม ล - ด - ร - - - - - ม - ซ - - ล ซ - ม - ร - - ม ร - ด - ล ด ล ด ซ - ล - ด


๔๖ เพลง ซอเสเลเมา - - - ร - - ฟ ซ - - ด ร ด ร ฟ ซ - - - ซ - ล - ซ ฟ ร ฟ ท - ด ร ฟ - - - ร - - ฟ ซ ฟ ซ ฟ ร ด ท ด ร - ด - ท - ด ซ ท ซ ซ ท ด ซ ล ฟ ซ - ซ - ล - ซ ล - ล ซ ฟ ร ฟ ซ - - - ซ - ล - ซ ล - ล ซ ฟ ร ฟ ซ - - เพลง สาวแม่อิง (สาวแม่ปิง) (ร าวงบ่าเก่า) ด ด ด ซ ฟ ล ซ ซ ด ด ด ซ ฟ ล ซ ซ ล ฟ ล ซ - ฟ ด ร - - ด ฟ ซ ฟ ด ร ฟ ฟ ด ร ฟ ร ด ท - - ซ ด - - ซ ฟ ซ ล ซ ฟ ซ ท ด ท - - ด ร ฟ ร ด ท ซ ฟ ซ ล ด ท ล ซ เพลง สร้อยล าปาง ท่อน ๑ - - - - - - - ซ - - - ด - ด - ด - ม - ร - ด - ร - ม - ด - ด - ด - - - - - - - ซ - - - ด - ด - ด - ม - ร - ด - ร - - - ม - - - ซ - - - - - ด - ร - ม - ร - ด - ซ - - - - - ด - ร - ม - ร - ด - ซ - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ร - ด - ล - - - ซ - - - ม ( - - - ด - ร - ม - ซ - ม - ร - ด - ร - ด - ล - ซ - ม - ซ - ล - ด ) ท่อน ๒ - - - - - - - ม - ม - ม - ซ - ล - ด - ซ - ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ด - ล - ซ - ล - ด - ม - - - - - ร - ม - ซ - ล - ด - ซ - - - - - ด - ร - ม - ร - ด - ซ - - - - - ด - ร - ม - ร - ด - ซ - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ร - ด - ล - - - ซ - - - ม ( - - - ด - ร - ม - ซ - ม - ร - ด - ร - ด - ล - ซ - ม - ซ - ล - ด ) ถ้าเป็นเพลงสาวเครือฟ้า ให้เพิ่มเพลง ช้าง ช้าง ช้าง ข้างล่างนี้ เป็นท่อนที่ ๒ และ ๔ ของเพลง - - - - - - - ซ - - - ซ - ซ - ซ - - - - - ซ - ม - - ร ม - ซ - ด - - - - - - - ซ - - - ซ - ซ - ซ - - - - - ซ - ม - - ร ม - ซ - ด - - - - - ซ - ม - - ร ม - ด - ร - - ด ล - ด - ด - ซ - ล - ด - - - - ด ล - ด - ด - ซ - ล - ด - - - ซ - ล - ซ - ม - - - ร - - - ด


๔๗ เพลง ล าปางใหญ่ ท่อน ๑ - - - ซ - - - ด - - - ร - ฟ - ซ - ล - ร ด ร ฟ ซ ล ซ ด ล - ซ - ฟ - - - - - ร ร ร ฟ ซ ฟ ร - ด - ท - - - ซ ฟ ซ ท ด - - - ร ด ร ฟ ซ - - - - - ร ร ร - ฟ - ม - ร - ซ - ม - ซ - ม ซ ร - ฟ - ม - ร - ซ - - - - ม ม ม ซ ม ม ม ซ - ด ร ม - - - - ร ด ร ม ซ ล ซ ม - ร - ด - - - ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด - ท ด ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด ท่อน ๒ - ซ ท ด ท ซ ท ฟ - ม - ร - ด - ซ - ท ซ ด ท ซ ท ฟ - ม - ร - ด - ซ - - - - ม ม ม ซ ม ม ม ซ - ด ร ม - - - - ร ด ร ม ซ ล ซ ม - ร - ด - - - ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด - ท ด ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด ท่อน ๓ - - - ท ด ร ม ฟ - - - ฟ - - - ฟ - - ซ ล - ด - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ด ท ร ด ท - - - ด - - - ฟ - - ซ ล ด ร ด ซ - - - - - ร ร ร - ฟ - ม - ร - ซ - ม - ซ - ม ซ ร - ฟ - ม - ร - ซ - - - - ม ม ม ซ ม ม ม ซ - ด ร ม - - - - ร ด ร ม ซ ล ซ ม - ร - ด - - - ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด - ท ด ร ม ร ด ซ - ด - ฟ - ซ - ด เพลง แม่แล้ล าปาง (ล าปางเล็ก) - - ซ ซ - ซ - ด - ล ซ ล ด ล ซ ฟ - - ซ ซ - ม ร ด - ล ด ร - ม ฟ ซ - - ด ซ ฟ ม ฟ ซ - - ด ซ ฟ ม ฟ ซ - - ด ด - ซ ซ - ด ล ซ ฟ - ม ฟ - ม ซ ม ฟ - ร - ด - - - ซ ท ด ท ด ร ด ร ซ ท ด ท ด - - - ซ ท ด ท ด ร ด ร ซ ท ด ท ด เพลง ล่องน่านใหญ่ - - - - - ม ร ด - - ล ซ ม ซ ล ด - ซ ล ซ ล ด - ล ด ล ซ ม ซ ร ม ซ - ซ - ซ ร ด ร ม - - ซ ม ร ด ร ม - ด ร ม - ซ - ล - ด - ซ ม ซ ล ด * เจ้านกขมิ้น เจ้าบินไปไหน จะไปแห่งหนใด ไปไหน บอกที เจ้าไปไกลรัง ระวังให้ดี อันตรายอาจมี เห็นทีจะต้องโศกศัลย์ * หยุดพักสักหน่อย แล้วค่อยบินถลาฯ


๔๘ เพลง น้อยใจยา ซ ม ซ ซ ซ ล ซ ซ ล ซ ด ล ซ ด ร ม - - - - ซ ด ร ม ซ ล ซ ม ร ด ร ม - - - - ซ ด ร ม ซ ล ซ ม ร ด ร ม ร ด ร ม ร ซ ร ม ร ด ร ม - ซ - ล - - ด ซ ล ซ ม ซ - - ร ม ซ ล ซ ม - - ร ม ซ ล ซ ด - ด - ด - ซ - ล - - - ด - - ล ด - - ร ม ร ด ล ด - - - ด - - ล ด - - ร ม ร ด ล ด ซ ด ล ซ - ม ร ซ - - - - ด ม ร ด ถ้าส่งให้นักร้องให้ลงอีกครึ่งบรรทัดข้างล่างนี้ เพลง ซอแว่นแก้ว - - - ซ - ม - ล - ซ ล ด - ร ม ซ - - - ม ซ ม ซ ล - ซ - ล ซ ด ร ม - - - - ซ ด ร ม ซ ม ซ ล ซ ด ร ม - - - - ซ ด ร ม ร ม ซ ม ร ด ร ม - - - ม - - ล ซ - - ล ซ ล ด ร ม - - ร ม ซ ล ซ ด - - - - - ซ - ล - - ด ซ ล ซ ม ซ - - ร ม ซ ล ซ ม - - ร ม ซ ล ซ ด - - - ด - - ซ ล - - - ด - - ล ด - - ร ม ร ด ล ด - - - ด - - ล ด - - ร ม ร ด ล ด ซ ด ล ซ - ม ร ซ - - - - - ม ร ด - - - - - ร ด ฟ - - - - - ล ซ ฟ - ล ซ ฟ - ร ฟ ซ ท่อน ๑ เพลง พม่าร าขวาน - - ร ม - ร - ซ - ด ร ม ด ร ร ร ซ ม ร ด ร ม ฟ ซ ฟ ม ร ด - ร - ร - - - - ด ล ด ด ร ม ร ด - ล - ล - - - - ด ล ด ด ร ม ร ด ซ ล ล ล ด ล ด ซ - ล - ซ ฟ ซ ร ม ฟ ล ซ ฟ - ร ด ฟ - ซ - ล ด ซ ด ล - ซ - ฟ - - - ด - ร - ม ร ด ร ม - ฟ - ซ - ด ด ด ซ ด ร ม ร ม ซ ล ซ ม ด ร ท่อน ๒ - ม ร ร - ม ร ร - ม ร ร - ม ร ร - ร - ม - ฟ - ซ - ล - ซ ด ล ล ล - - - - ด ล ด ด ร ม ร ด ซ ล ล ล - - - - ด ล ด ด ร ม ร ด - ล - ล - ล ด ซ - ล - ซ ฟ ซ ร ม ฟ ล ซ ฟ ม ร ด ฟ ม ฟ ซ ล ด ร ด ซ ด ล ซ ฟ - ด - ด - ร - ม ร ด ร ม - ฟ - ซ - ล - ซ - ฟ - ม ร ด ร ม ด ร ร ร เพลง ร าวงดาวพระศุกร์ - - - ซ - ซ ซ ซ ท ซ ฟ ม ด ม ฟ ซ ท ซ ฟ ม ด ม ฟ ซ ท ซ ฟ ม - ร - ด - - ฟ ด ท ด ร ด ฟ ฟ ฟ ด ท ด ร ด - ม ม ม ม ฟ - ซ ท ซ ฟ ม ด ม ฟ ซ ซ ซ ซ ล ซ ล ฟ ซ - - ด ซ ด ซ ด ซ ซ ฟ ม ฟ ม ด ท ด ซ - ซ ฟ ม ด ท ด


๔๙ บรรณานุกรม วรเชษฐ์ ศรีวงศ์พันธ์,“คู่มือพื้นฐานประกอบการศึกษา ดนตรีพื้นบ้านล้านนา สะล้อ ซอ ซึง”, พิมพ์ครั้งที่ ๓ ,ล าปาง,๒๕๔๓. ธิติพล กันตีวงศ์,“การประสมวงสะล้อ ซอ ซึง”, (จุลสารร่มพยอม), ส านักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,๒๕๔๕,หน้า ๗ - ๙. ไกรทอง ณ ล าปาง,“แบบฝึกการดีดพิณเปี๊ยะสายเดียว”, ล าปาง,๒๕๕๐,หน้า ๑๒๘. ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ แหล่งที่มาhttp://www.macm.grad.chula.ac.th/.../.๒๕๕๕. เทคนิคการเป่าขลุ่ย แหล่งที่มา http://school.obec.go.th/khui.๒๕๕๕.


Click to View FlipBook Version